โลโก้
ยูเนี่ยนพีเดีย
การสื่อสาร
ดาวน์โหลดได้จาก Google Play
ใหม่! ดาวน์โหลด ยูเนี่ยนพีเดีย บน Android ™ของคุณ!
ฟรี
เร็วกว่าเบราว์เซอร์!
 

สัตว์

ดัชนี สัตว์

ัตว์ (Animal) เป็นสิ่งมีชีวิตยูแคริโอตหลายเซลล์ในอาณาจักร Animalia (หรือเรียก เมตาซัว) แผนกาย (body plan) ของพวกมันสุดท้ายคงที่เมื่อพัฒนา แม้สัตว์บางชนิดมีกระบวนการการเปลี่ยนสัณฐานภายหลังในช่วงชีวิต สัตว์ส่วนใหญ่เคลื่อนที่ได้ สัตว์ทุกชนิดต้องกินสิ่งมีชีวิตอื่นหรือผลิตภัณฑ์ของสิ่งมีชีวิตเพื่อการดำรงชีพ (สิ่งมีชีวิตสร้างอาหารเองไม่ได้) ไฟลัมสัตว์ที่รู้จักกันดีที่สุดปรากฏในบันทึกฟอสซิลเป็นสปีชีส์ภาคพื้นสมุทรระหว่างการระเบิดแคมเบรียน (Cambrian explosion) ประมาณ 542 ล้านปีก่อน สัตว์แบ่งเป็นกลุ่มย่อยหลายกลุ่ม บางกลุ่ม เช่น สัตว์มีกระดูกสันหลัง (นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน ปลา) มอลลัสกา (หอยกาบ หอยนางรม ปลาหมึก หมึกสาย หอยทาก) สัตว์ขาปล้อง (กิ้งกือ ตะขาบ แมลง แมงมุม แมงป่อง ปู ลอบสเตอร์ กุ้ง) สัตว์พวกหนอนปล้อง (ไส้เดือนดิน ปลิง) ฟองน้ำ และแมงกะพรุน.

3567 ความสัมพันธ์: Acantopsis choirorhynchosAcerosAnorrhinusAnthracocerosArapaima leptosomaAstronotus crassipinnisATC รหัส V01บรรพบุรุษร่วมที่ใกล้กันที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลกบรรพชีวินวิทยาบรอนโตเทอเรียมบรู๊คเคเซียบลูทั้งค์บลูซีซลักบลูแอนด์โกลด์ มาคอว์บล็อบฟิชบอบแคตชะมดแผงชะมดแผงสันหางดำชะมดแผงหางปล้องชะมดแปลงชะมดแปลงลายจุดชะมดแปลงลายแถบชะมดเช็ดชะนีชะนีมือขาวชะนีมือดำชะนีมงกุฎชะนีธรรมดา (สกุล)ชะนีดำชะนีคิ้วขาวชะนีคิ้วขาวสกายวอล์คเกอร์ชะนีคิ้วขาวตะวันตกชะนีแก้มขาวชะนีแก้มขาว (สกุล)ชะนีแก้มเหลืองชะนีเซียมังบั่วชั้นพอลิพลาโคฟอราชั้นย่อยอีแลสโมแบรงไคชั้นสแคโฟโปดาชั้นอะพลาโคฟอราชั้นปลากระดูกแข็งชั้นแกสโทรโพดาชั้นโมโนพลาโคฟอราชั้นไบวาลเวียชั้นเซฟาโลพอดชาดกชิมแปนซีชิปมังก์บึงพลาญชัย...บุชด็อกบุคคลธรรมดาชูการ์ไกลเดอร์บีชมาร์เทินบีกูญาบีกูญา (สกุล)ชีวิตชีวนิเวศบีเวอร์บีเอลซิบูโฟบทนำวิวัฒนาการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นชนิดย่อยช่วง มูลพินิจช่อง 9 เอ็มคอตเอชดีบ่างบ่างฟิลิปปินช็อกโกแลตช้างบอร์เนียวช้างพุ่มไม้แอฟริกาช้างศรีลังกาช้างสุมาตราช้างอินเดียช้างป่าแอฟริกาช้างน้ำช้างแมมมอธช้างแอฟริกาช้างเอเชียช้างเอเชีย (สกุล)ฟรังซิสแห่งอัสซีซีฟลายอิงฟาแลนเจอร์ฟองน้ำฟองน้ำปะการังฟองน้ำน้ำจืดฟองน้ำแคลคาเรียฟาโกไซโทซิสฟิชเชอร์ฟูราโนะพญากระรอกพญากระรอกบินพญากระรอกบินลาวพญากระรอกบินสีดำพญากระรอกบินสีดำ (สกุล)พญากระรอกบินหูแดงพญากระรอกดำพญากระรอกเหลืองพญาแร้งพยาธิหนอนหัวใจในสุนัขพยาธิตัวตืดพยาธิใบไม้พยาธิใบไม้ในตับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พยาธิเข็มหมุดพระพนัสบดี ศรีทวารวดีพร็อกนาโทดอนพลาโคซัวพอร์พอยส์พะยูนพะยูนแมนนาทีพังพอนกินปูพังพอนแคระพังพอนแคระธรรมดาพังพอนเล็กพันธุศาสตร์พันธุ์พื้นเมืองพาราลิไททันพาราซอโรโลฟัสพาลีโอบาทราคัสพาคิเซทัสพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทยพิสัยการได้ยินพิงก์แฟรีอาร์มาดิลโลพืชพืชกินสัตว์พูคยองโกซอรัสพีโกเซนตรัสกบชะง่อนผาภูหลวงกบมะเขือเทศกบมะเขือเทศมาดากัสการ์กบลำห้วยกบลูกศรพิษสตรอว์เบอร์รีกบหนังห้อยกบอกหนามกบอเมริกันบูลฟร็อกกบทาสีกบทูดกบดอยช้างกบนากบแอฟริกันบูลฟร็อกกบแคระแอฟริกันกบโกไลแอทกระรอกกระรอกบินกระรอกบินสีเขม่ากระรอกบินไซบีเรียกระรอกบินเล็กกระรอกบินเล็กแก้มขาวกระรอกบินเท้าขนกระรอกสวนกระรอกสามสีกระรอกสีสวยกระรอกหลากสีกระรอกหน้ากระแตกระรอกอิรวดีกระรอกข้างลายท้องแดงกระรอกดินเคปกระสุนพระอินทร์กระจงกระจงชวากระจงควายกระจงเล็กกระจ้อนกระทิงกระทิงวัวกระต่ายยุโรปกระต่ายลายเสือกระต่ายสโนว์ชูกระต่ายอาร์กติกกระต่ายป่ากระต่ายแจ็กกระซู่กระแตหางขนนกกระแตใต้กระแตเล็กกระแตเหนือกระเล็นกระเล็นขนปลายหูสั้นกราวเขียวกรีนวิงค์ มาคอว์กรดฟอร์มิกกวางกวางชะมดป่ากวางชะมดไซบีเรียกวางบึงกวางรูซากวางรูซาชวากวางผากวางผาจีนกวางดาวกวางคุณพ่อดาวีดกวางซีกากวางป่ากวางแฟลโลว์กวางแดงกวางไอริชกวางเรนเดียร์กวางเอลก์กอมโฟทีเรียมกอริลลากอริลลาภูเขากองทะเบียนประวัติอาชญากรกะพรุนน้ำจืดกะละปังหากะท่างกะแท้กั้งกั้งกระดานกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีกายวิภาคศาสตร์การชันสูตรพลิกศพการกำหนดเพศการย่อยสลายทางชีวภาพการรับรู้รสการรับรู้ความใกล้ไกลการละเล่นพื้นเมืองการสร้างกลูโคสการสะสมแสตมป์การสืบเชื้อสายร่วมกันการจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์การดูแลและหาเพื่อนการตอบสนองโดยสู้หรือหนีการปรับตัว (นิเวศวิทยา)การปรับตัวเป็นสัตว์เลี้ยงการเรียนการเห็นเป็น 3 มิติการเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาการเข้ารหัสทางประสาทการเดินป่า ล่าสัตว์ แกะรอยในเพชรพระอุมาการเปลี่ยนสัณฐานกาลานุกรมวิวัฒนาการมนุษย์กาลาโกแคระแองโกลากาเลโกกาเซลล์กำเนิดประสาทกิล่ามอนสเตอร์กินรีกินรีไมมัสกิ้งกือกิ้งกือกระสุนกิ้งกือมังกรสีชมพูกิ้งก่ากิ้งก่าบาซิลิสก์กิ้งก่าบินกิ้งก่าบินคอแดงกิ้งก่าบินปีกจุดกิ้งก่ามอนิเตอร์กิ้งก่าลูกปัดกิ้งก่าสวนกิ้งก่าหนามกิ้งก่าจระเข้กิ้งก่าดงคอสีฟ้ากิ้งก่าคาเมเลี่ยนแจ็คสันกิ้งก่าแผงคอกุยกุ้งกุ้งพิงก์ฟลอยด์กุ้งการ์ตูนกุ้งกุลาดำกุ้งก้ามกรามกุ้งมังกรกุ้งมังกรญี่ปุ่นกุ้งมังกรประขาวกุ้งมังกรประเหลืองกุ้งมังกรเจ็ดสีกุ้งมดแดงกุ้งม้าลายกุ้งยับบี้น้ำจืดกุ้งอิเล็กทริกบลูกุ้งขาวกุ้งดีดขันกุ้งตะกาดกุ้งแชบ๊วยกุ้งแดงกุ้งไวต์สปอตกุ้งเรดบีกุ้งเรนโบว์กูปรีกีเยร์โม มอร์ดีโยฝูหนิวเล่อเล่อภาวะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็กภูมิศาสตร์ภูมิทัศน์ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเนมวนมหายุคนีโอโพรเทอโรโซอิกมหาสีลวชาดกมอลลัสกามอดแป้งมองโกเลียนเจอร์บิลมอโนโลโฟซอรัสมังกรทะเลมังกรทะเลทับทิมมังกรทะเลใบหญ้ามังกรทะเลใบไม้มังกรน้ำมังกรโกโมโดมาพูซอรัสมาร์มอตมาร์เทินมาดากัสการ์ (แฟรนไชส์)มาคอว์มานุษยรูปนิยมมาโมเสทมาเมนชีซอรัสมิญชวิทยามิยาโนะ ชิโฮะมินิตซาลาแมนเดอร์มูลปริยายสูตรมีมาโทมอร์ฟามดมดสีเงินสะฮารามดหนามกระทิงอกแดงมดทหารศรีลังกามดคันไฟอิวิคต้ามนุษยศาสตร์มนุษย์มนุษย์ปักกิ่งมนุษย์นกฮูกม้าม้าลายม้าลายภูเขาม้าลายธรรมดาม้าลายแชพแมนม้าลายเบอร์เชลล์ม้าลายเกรวีม้าน้ำม้าน้ำสามจุดม้าน้ำหนามขอม้าน้ำดำม้าน้ำแคระม้าน้ำแคระซะโตะมิม้าน้ำเหลืองยายามา (สัตว์)ยาปฏิชีวนะยานพาหนะยุคสัมฤทธิ์ยุงยุงยักษ์ยุงลายยุงลายบ้านยูอินตาเทอเรียมยูทาห์แรปเตอร์ยูดิมอร์โฟดอนยูคลาโดเซรอสยูแคริโอตยูโรคอร์ดาตายูโอโพลเซอฟารัสยูเธอเรียยีราฟ (สกุล)ยีราฟมาไซยีราฟรอทส์ไชลด์ยีราฟลายร่างแหยีราฟใต้ราชสีมาซอรัสรายการสัตว์รายการหมู่ระบบทศนิยมดิวอี้รายการความเข้าใจผิดที่พบบ่อยริ้นน้ำจืดริ้นน้ำตกริ้นน้ำเค็มรูปหลายเหลี่ยมรีดบักรีดบักโบฮอร์ลอริสลอริซิเฟอราละองละมั่งละครลาลาป่าทิเบตลาป่าแอฟริกาลำดับสงวนลิสแซมฟิเบียลิงบาบูนลิงบาบูนชัคม่าลิงบาบูนเหลืองลิงบาร์บารีลิงกังญี่ปุ่นลิงกังดำลิงกังใต้ลิงกังเหนือลิงลมลิงลมชวาลิงลมแคระลิงลมใต้ลิงลมเหนือลิงวอกลิงอ้ายเงียะลิงจมูกยาวลิงจมูกเชิดลิงจมูกเชิดพม่าลิงจมูกเชิดสีทองลิงขนทองลิงคีปูนจีลิงซ์ยูเรเชียลิงซ์สเปนลิงซ์แคนาดาลิงแม็กแคกลิงแสมลิงโลกใหม่ลิงโคโลบัสลิงไลออนทามารินลิงไลออนทามารินสีทองลิงเลซูลาลิงเสนลิ่นยักษ์ลิ่นจีนลิ่นต้นไม้ลิ่นซุนดาลู่ตูงลู่เฟิงโกซอรัสลีดส์อิชธีส์ลีเมอร์ลีเมอร์หนูลีเมอร์ซิฟากาลีเมอร์ไผ่สีทองล่อล็อบสเตอร์วอมแบตวอลรัสวัววัวทะเลชเตลเลอร์วัวแดงวัดเส้าหลินวัดเขาสมโภชน์วาฬวาฬบรูด้าวาฬบาลีนวาฬฟินวาฬมีฟันวาฬสีน้ำเงินวาฬสเปิร์มวาฬสเปิร์มแคระวาฬสเปิร์มเล็กวาฬหลังค่อมวาฬหัวคันศรวาฬนาร์วาลวาฬแกลบวาฬเบลูกาวาฬเพชฌฆาตวาฬเพชฌฆาตแปลงวิลอซิแรปเตอร์วิลเดอบีสต์วิลเดอบีสต์เคราขาววิวัฒนาการวิวัฒนาการของการเห็นสีวิวัฒนาการของคอเคลียวิวัฒนาการของตาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมวิทยาศาสตร์สุขภาพวิตามินบี12วุลเวอรีนวีเวรียอาวงศ์ชะมดและอีเห็นวงศ์พังพอนวงศ์กบมีหางวงศ์กบลิ้นส้อมวงศ์กบลื่นวงศ์กบลูกศรพิษวงศ์กบนาวงศ์กบเล็บวงศ์กระจงวงศ์กระต่ายวงศ์กระแตวงศ์กวางชะมดวงศ์กิล่ามอนสเตอร์วงศ์กิ้งก่าวงศ์กิ้งก่าบาซิลิสก์วงศ์กิ้งก่าคาเมเลี่ยนวงศ์ม้าวงศ์ย่อยชะมดวงศ์ย่อยกวางวงศ์ย่อยกาเซลล์วงศ์ย่อยกิ้งก่าวงศ์ย่อยม้าน้ำวงศ์ย่อยลิงโลกเก่าวงศ์ย่อยวัวและควายวงศ์ย่อยวิลเดอบีสต์วงศ์ย่อยหอยมือเสือวงศ์ย่อยหนูวงศ์ย่อยอึ่งอ่างวงศ์ย่อยอีเห็นวงศ์ย่อยอีเห็นลายเสือโคร่งวงศ์ย่อยอ้นวงศ์ย่อยจิ้งจกและตุ๊กแกวงศ์ย่อยงูหางกระดิ่งวงศ์ย่อยงูแมวเซาวงศ์ย่อยงูโบอาวงศ์ย่อยงูเขียววงศ์ย่อยตะพาบวงศ์ย่อยตะพาบหับวงศ์ย่อยปลาพีค็อกแบสวงศ์ย่อยปลากระดี่วงศ์ย่อยปลากะรังวงศ์ย่อยปลากะรังจิ๋ววงศ์ย่อยปลากัดวงศ์ย่อยปลาสอดวงศ์ย่อยปลาหมอสีวงศ์ย่อยปลาหมอสีแอฟริกาวงศ์ย่อยปลาหมอจำปะวงศ์ย่อยปลาหมอเอิร์ธอีเตอร์วงศ์ย่อยปลาออสการ์วงศ์ย่อยปลาผีเสื้อติดหินวงศ์ย่อยปลาค้อวงศ์ย่อยปลาซิววงศ์ย่อยปลาแรดวงศ์ย่อยปลาเลียหินวงศ์ย่อยปลาเขือวงศ์ย่อยนกคอพันวงศ์ย่อยนกเดินดงวงศ์ย่อยนกเป็ดน้ำวงศ์ย่อยแกะและแพะวงศ์ย่อยแมววงศ์ย่อยแอลลิเกเตอร์วงศ์ย่อยเพียงพอนวงศ์ย่อยเสือใหญ่วงศ์ย่อยเหยี่ยววงศ์ย่อยเป็ดแดงวงศ์ลิงลมวงศ์ลิงใหญ่วงศ์ลิงโลกเก่าวงศ์วัวและควายวงศ์วาฬแกลบวงศ์หมาน้ำวงศ์หอยหนามวงศ์หอยจุกพราหมณ์วงศ์หอยขมวงศ์หนูวงศ์หนูทุ่งวงศ์อิกัวนาวงศ์อึ่งกรายวงศ์อึ่งอ่างวงศ์อ้นวงศ์จิ้งจกและตุ๊กแกวงศ์จิ้งเหลนน้อยหางยาววงศ์ทัวทาราวงศ์ดาซีพร็อกทิแดวงศ์ครึ่งหมาวงศ์คางคกวงศ์คางคกหมอตำแยวงศ์ค้างคาวแวมไพร์แปลงวงศ์งูพิษเขี้ยวหลังวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้าวงศ์งูก้นขบวงศ์งูดินวงศ์งูงวงช้างวงศ์งูน้ำวงศ์งูแมวเซาวงศ์งูแสงอาทิตย์วงศ์งูโบอาวงศ์งูเส้นด้ายวงศ์งูเหลือมวงศ์ตะพาบวงศ์ตะโขงวงศ์ซาลาแมนเดอร์ยักษ์วงศ์ซาลาแมนเดอร์แท้วงศ์ซาลาแมนเดอร์เอเชียวงศ์ปลาบู่วงศ์ปลาบู่ทรายวงศ์ปลาช่อนวงศ์ปลาฟันสุนัขวงศ์ปลากระบอกวงศ์ปลากระทิงวงศ์ปลากระทุงเหววงศ์ปลากระโทงวงศ์ปลากระเบนหางสั้นวงศ์ปลากระเบนธงวงศ์ปลากระเบนนกวงศ์ปลากรายวงศ์ปลากะพงสลิดวงศ์ปลากะพงขาววงศ์ปลากะพงดำวงศ์ปลากะพงปากกว้างวงศ์ปลากะพงแสมวงศ์ปลากะพงแดงวงศ์ปลากะรังวงศ์ปลากะแมะวงศ์ปลากัด ปลากระดี่วงศ์ปลากังจีรูวงศ์ปลากุเราวงศ์ปลากดวงศ์ปลากดอเมริกันวงศ์ปลากดอเมริกาใต้วงศ์ปลากดทะเลวงศ์ปลามังกรน้อยวงศ์ปลายอดม่วงวงศ์ปลายอดจากวงศ์ปลาลิ้นหมาวงศ์ปลาลิ้นหมาอเมริกันวงศ์ปลาลิ้นหมาตาข้างขวาวงศ์ปลาลิ้นหมาตาข้างซ้ายวงศ์ปลาลิ้นเสือวงศ์ปลาวัววงศ์ปลาวัวจมูกยาววงศ์ปลาวัวจมูกสั้นวงศ์ปลาวูล์ฟฟิชวงศ์ปลาสร้อยน้ำผึ้งวงศ์ปลาสลิดหินวงศ์ปลาสลิดทะเลวงศ์ปลาสวายวงศ์ปลาสอดวงศ์ปลาสากวงศ์ปลาสามรสวงศ์ปลาสินสมุทรวงศ์ปลาสตาร์เกเซอร์วงศ์ปลาหมอวงศ์ปลาหมอช้างเหยียบวงศ์ปลาหมอสีวงศ์ปลาหมอแคระวงศ์ปลาหมูวงศ์ปลาหมูกระโดงสูงวงศ์ปลาหมูแท้วงศ์ปลาหลังเขียววงศ์ปลาหวีเกศวงศ์ปลาหัวตะกั่ววงศ์ปลาหางแข็งวงศ์ปลาหูช้างวงศ์ปลาอมไข่วงศ์ปลาอะราไพม่าวงศ์ปลาอินทรีวงศ์ปลาอินซีเน็ตวงศ์ปลาผีเสื้อวงศ์ปลาผีเสื้อกลางคืนวงศ์ปลาจวดวงศ์ปลาจะละเม็ดวงศ์ปลาจานวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำวงศ์ปลาขี้ตังเบ็ดวงศ์ปลาข้างตะเภาวงศ์ปลาดอกหมากวงศ์ปลาดาบวงศ์ปลาดาบลาววงศ์ปลาดุกวงศ์ปลาดุกทะเลวงศ์ปลาดุกไฟฟ้าวงศ์ปลาคาราซินวงศ์ปลาคาราซินไม่มีฟันวงศ์ปลาค้อวงศ์ปลางวงช้างวงศ์ปลาตะพัดวงศ์ปลาตะกรับวงศ์ปลาตะเพียนวงศ์ปลาตั๊กแตนหินวงศ์ปลาตาเหลือกวงศ์ปลาตาเหลือกยาววงศ์ปลาตาเดียววงศ์ปลาตูหนาวงศ์ปลาฉลามพยาบาลวงศ์ปลาฉลามกบวงศ์ปลาฉลามครีบดำวงศ์ปลาฉลามปากเป็ดวงศ์ปลาซักเกอร์วงศ์ปลาปอดแอฟริกาวงศ์ปลาปักเป้าฟันสองซี่วงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่วงศ์ปลาปักเป้ากล่องวงศ์ปลาปากแตรวงศ์ปลาปิรันยาวงศ์ปลานกกระจอกวงศ์ปลานกขุนทองวงศ์ปลานกแก้ววงศ์ปลาแบล็คโกสต์วงศ์ปลาแพะวงศ์ปลาแพะ (ปลาทะเล)วงศ์ปลาแมววงศ์ปลาแมงป่องวงศ์ปลาแสงอาทิตย์วงศ์ปลาแค้วงศ์ปลาแซลมอนวงศ์ปลาแป้นวงศ์ปลาแป้นแก้ววงศ์ปลาใบมีดโกนวงศ์ปลาใบโพวงศ์ปลาใบไม้อเมริกาใต้วงศ์ปลาโรนันวงศ์ปลาไหลมอเรย์วงศ์ปลาไหลนาวงศ์ปลาเสือพ่นน้ำวงศ์ปลาเสือดำวงศ์ปลาเสือตอวงศ์ปลาเหล็กในวงศ์ปลาเหาฉลามวงศ์ปลาเข็มวงศ์ปลาเตตร้าแอฟริกันวงศ์ปลาเฉี่ยววงศ์ปลาเนื้ออ่อนวงศ์ปาดโลกเก่าวงศ์ปูบกวงศ์ปูว่ายน้ำวงศ์ปูเสฉวนบกวงศ์นกบูบีวงศ์นกพรานผึ้งวงศ์นกพิราบและนกเขาวงศ์นกกระสาวงศ์นกกระจอกวงศ์นกกระทุงวงศ์นกกระตั้ววงศ์นกกระติ๊ดวงศ์นกกระเต็นวงศ์นกกระเต็นปักหลักวงศ์นกกระเต็นน้อยวงศ์นกกาวงศ์นกกินแมลงและนกกะรางวงศ์นกยางวงศ์นกร่อนทะเลวงศ์นกหัวขวานวงศ์นกอ้ายงั่ววงศ์นกจับแมลงและนกเขนวงศ์นกจาบวงศ์นกคุ่มอืดวงศ์นกตะขาบวงศ์นกปักษาสวรรค์วงศ์นกนางนวลวงศ์นกนางนวลแกลบวงศ์นกแสกวงศ์นกแต้วแร้ววงศ์นกแซงแซววงศ์นกโพระดกวงศ์นกเอี้ยงและนกกิ้งโครงวงศ์นกเดินดงวงศ์นกเค้าแมววงศ์นกเป็ดน้ำวงศ์แพนด้าแดงวงศ์แมวน้ำวงศ์แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกสวงศ์แร็กคูนวงศ์แอกโซลอเติลวงศ์แอลลิเกเตอร์วงศ์ใหญ่ตะพาบและเต่าจมูกหมูวงศ์โลมาแม่น้ำแอมะซอนวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทาวงศ์เพียงพอนวงศ์เม่นโลกใหม่วงศ์เม่นโลกเก่าวงศ์เสือและแมววงศ์เหยี่ยวปีกแหลมวงศ์เหยี่ยวและอินทรีวงศ์เหี้ยวงศ์เอลิฟานติดีวงศ์เขียดงูวงศ์เครย์ฟิชออสเตรเลียวงศ์เต่ามะเฟืองวงศ์เต่าสแนปปิ้งวงศ์เต่าทะเลวงศ์เต่าคองูวงศ์เต่านาวงศ์เต่าแก้มแดงศักย์สนามไฟฟ้าเฉพาะที่สกังก์สกุลบาร์โบดีสสกุลบาร์โบนีมัสสกุลชิมแปนซีสกุลพุนชัสสกุลพุนทิกรุสสกุลมอดแป้งสกุลมีสทัสสกุลมดทหารสกุลม้าสกุลยาสุฮิโกทาเกียสกุลรัสบอร่าสกุลลาบิโอบาร์บุสสกุลลาเบโอสกุลลิงซ์สกุลวูลเปสสกุลสหยัดเรียสกุลหมูป่าหน้าหูดสกุลออรีเซียสสกุลทิลาเพียสกุลดีอานีม่าสกุลคองโกโครมิสสกุลซิสทูราสกุลซีสโทมัสสกุลปลาชาร์สกุลปลาวัวปิกัสโซสกุลปลาหัวโตสกุลปลาทองทะเลสกุลปลาปักเป้าตุ๊กแกสกุลปลาแพะสกุลปลาไบเคอร์สกุลนกกระตั้วดำสกุลแบร็คอิรัสสกุลแพนเทอราสกุลแมวสกุลแมวลายหินอ่อนสกุลแมวดาวสกุลแมงมุมแม่ม่ายสกุลแมงคีมหนวดสามปล้องสกุลแรดสกุลแร้งสกุลแอมบาสทาเอียสกุลแอนดิโนอะคาราสกุลแซกโกสกุลโลโบคีลอสสกุลโดรีอิคธีสสกุลโปตาโมไทรกอนสกุลไมโครนีมาสกุลไซโนกลอสซัสสกุลไซเรนสกุลไซเลอร์อัสสกุลเพลวิคาโครมิสสกุลเพเธียสกุลเสือชีตาห์สกุลเสือพูม่าสกุลเสือลายเมฆสกุลเสือไฟสกุลเออรีธิสทีสสกุลเฮมอิบากรัสสกุลเดสโมพุนชัสสกุลเตตราโอดอนสมองสมองน้อยสมันสมุนไพรสมเสร็จสมเสร็จภูเขาสมเสร็จมลายูสมเสร็จอเมริกากลางสมเสร็จอเมริกาใต้สยามโมอะเดปิส แม่เมาะเอนซิสสยามโมดอนสยามโมซอรัสสยามโมไทรันนัสสลอธสังข์รดน้ำสัตววิทยาสัตว์พวกกุ้งกั้งปูสัตว์พวกหนอนปล้องสัตว์กินเนื้อสัตว์กีบคี่สัตว์มีกระดูกสันหลังสัตว์มีแกนสันหลังสัตว์รังควานสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกสัตว์หิมพานต์สัตว์ขาปล้องสัตว์ปีกสัตว์ป่าสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังสัตว์เลื้อยคลานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมสัตว์เคี้ยวเอื้องสาบเสือสารอาหารสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนสางห่าสางห่า (สกุล)สิงโตสิงโตบาร์บารีสิงโตมาไซสิงโตอินเดียสิงโตทรานส์วาลสิงโตทะเลสิงโตทะเลกาลาปาโกสสิงโตแหลมกู๊ดโฮปสิ่งมีชีวิตสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์สิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นสื่อลามกอนาจารเด็กสุรบถ หลีกภัยสุดยอดสิ่งมีชีวิตสี่สหายผจญภัยสถาปัตยกรรมอาสนวิหารในยุโรปตะวันตกสคัวขั้วโลกใต้สติแรโคซอรัสสตีนบอกสปริงบ็อกสโตนฟลายสไมโลดอนสไตกิโมล็อกสไปเดอร์-แมนสเตอรอยด์สเตโกดอนสเตโกซอรัสหมัด (สัตว์)หมาหมาหริ่งหมาหริ่งพม่าหมาหริ่งจีนหมาจิ้งจอกหมาจิ้งจอกหลังดำหมาจิ้งจอกหูค้างคาวหมาจิ้งจอกอาร์กติกหมาจิ้งจอกอินเดียหมาจิ้งจอกทองหมาจิ้งจอกข้างลายหมาจิ้งจอกแดงหมาจิ้งจอกเบงกอลหมาจิ้งจอกเฟนเนกหมาป่าหมาป่าดิงโกหมาป่านิวกินีหมาป่าไคโยตีหมาป่าเอธิโอเปียหมาป่าเคราขาวหมาในหมาไม้หมาไม้ต้นสนยุโรปหมึก (สัตว์)หมึกกระดองหมึกกระดองลายเสือหมึกกล้วยหมึกมหึมาหมึกสายหมึกสายมหัศจรรย์หมึกสายวงน้ำเงินหมึกสายวงน้ำเงินใต้หมึกสายเลียนแบบหมึกสายเล็กหมึกหอมหมึกฮัมโบลต์หมึกตะขอหนวดยาวหมึกแวมไพร์หมึกแคระหมึกไดมอนด์หมึกเกลเชียหมูหมูหริ่งหมูป่าหมูป่าอินโดจีนหมูป่าอินเดียหมีหมีกริซลีหมีสีน้ำตาลหมีหมาหมีขอหมีขาวหมีดำหมีควายหมีน้ำหมีแว่นหย่งชวนโนซอรัสหอยชักตีนหอยพิมหอยกระจกหอยกะพงหอยกูอีดั๊กหอยมือเสือหอยมือเสือยักษ์หอยมือเสือเล็บยาวหอยลายหอยลำโพงหอยสังข์มะระหอยสังข์ยักษ์ออสเตรเลียหอยสังข์หนามเล็กหอยสังข์แตรหอยหมวกเจ๊กหอยหมากหอยหลอดหอยหวานหอยหวีวีนัสหอยครางหอยคันลิมเนียหอยงวงช้างหอยงวงช้างกระดาษหอยงวงช้างมุกหอยปากกระจาดหอยปากเป็ดหอยปีกนางฟ้าหอยนักล่าเกลียวเชือกหอยแมลงภู่หอยแครงหอยเชลล์หอยเชอรี่หอยเบี้ยจักจั่นหอยเบี้ยแก้ตัวเล็กหอยเสียบหอยเต้าปูนหอยเต้าปูนกลอรีออฟอินเดียหอยเต้าปูนลายแผนที่หอยเต้าปูนหาดราไวย์หอยเป๋าฮื้อหิ่งห้อยหงส์หงส์กู่หงส์ขาวคอดำหงส์ดำหงส์แตรหนอนกำมะหยี่หนอนมรณะมองโกเลียหนอนริบบิ้นหนอนถั่วหนอนท่อหนอนตัวแบนหนอนนกหนูหนูบ้านหนูฟานหนูฟานเหลืองหนูพุกหนูหริ่งหนูหริ่งบ้านหนูหินหนูผีหนูผีช้างหน้าเทาหนูผีบ้านหนูผีจิ๋วหนูผีป่าหนูผีนากหนูผีนากยักษ์หนูจี๊ดหนูท้องขาวหนูขนเสี้ยนหนูขนเสี้ยนเขาหินปูนหนูตะเภาหนูเหม็นหน่วยรับที่จับคู่กับจีโปรตีนห่านห่านหัวลายห่านแคนาดาห่านเทาปากดำอกอลาโมซอรัสอวัยวะออมนิทริกซ์ออริกซ์ออร์นิทิสเกียออร์นิโทไมมัสออร์โธเนคทิดาออสตราโลพิเทคัส เซดีบาออสตราโคเดิร์มอะมีบาอะนอฟธัลมัส ฮิตเลริอะแพโทซอรัสอะแคนโธเซฟาลาอะแนปซิดาอัลปากาอัลโลซอรัสอัลไพน์ซาลาแมนเดอร์อัลไพน์นิวต์อันดับบ่างอันดับช้างอันดับพะยูนอันดับกบอันดับกระต่ายอันดับกระแตอันดับกิ้งก่าและงูอันดับฐานปูไม่แท้จริงอันดับย่อยสัตว์เคี้ยวเอื้องอันดับย่อยซาลาแมนเดอร์อันดับย่อยซาลาแมนเดอร์ยักษ์อันดับย่อยปลากระโทงอันดับย่อยปลากะพงอันดับย่อยปลากัด ปลากระดี่อันดับย่อยปลาทูน่าอันดับย่อยปลาขี้ตังเบ็ดอันดับย่อยปลานกขุนทองอันดับย่อยเม่นอันดับย่อยเต่าอันดับย่อยเต่าคองูอันดับลิ่นอันดับวาฬและโลมาอันดับวานรอันดับสัตว์ฟันแทะอันดับสัตว์กินแมลงอันดับสัตว์กีบคู่อันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องอันดับหนูผีช้างอันดับห่านอันดับอาร์ดวาร์กอันดับจระเข้อันดับทัวทาราอันดับของขนาด (ความยาว)อันดับด้วงอันดับตุ่นอันดับปลากระเบนอันดับปลากะพงอันดับปลาลิ้นกระดูกอันดับปลาสเตอร์เจียนอันดับปลาหลังเขียวอันดับปลาหัวตะกั่วอันดับปลาหนังอันดับปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำอันดับปลาคาราซินอันดับปลาคางคกอันดับปลาตะเพียนอันดับปลาตาเหลือกอันดับปลาฉลามฟันเลื่อยอันดับปลาฉลามกบอันดับปลาฉลามหลังหนามอันดับปลาฉลามหัววัวอันดับปลาฉลามขาวอันดับปลาฉลามครุยอันดับปลาฉลามครีบดำอันดับปลาซีกเดียวอันดับปลาปักเป้าอันดับปลานวลจันทร์ทะเลอันดับปลาแมงป่องอันดับปลาโรนันอันดับปลาไหลอันดับปลาไหลนาอันดับปลาไหลไฟฟ้าอันดับปลาเหล็กในอันดับปลาเข็มอันดับนกกระสาอันดับนกกระทุงอันดับนกหัวขวานและนกโพระดกอันดับนกตะขาบอันดับนกแก้วอันดับไก่อันดับไฮแรกซ์อันดับเหยี่ยวอันดับเหยี่ยวปีกแหลมอันดับเฮดจ์ฮอกอันดับเทนเรคอาการกลัวสัตว์อาการปวดต่างที่อาย-อายอาร์มาดิลโลอาร์ดวาร์กอาร์คีออปเทอริกซ์อาร์โคซอร์อาร์เจนติโนซอรัสอาร์เคียอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงอาวุธปืนในเพชรพระอุมาอาหารอาหารสัตว์อาหารหมาอาณาจักร (ชีววิทยา)อิกัวนาอิกัวนาบกอิกัวนาฟีจีอิกัวนาสีชมพูอิกัวนาสีฟ้าอิกัวนาหมวกเหล็กอิกัวนาทะเลอิกัวนาแรดอิกัวโนดอนอิกทิโอซอรัสอิมพาลาอิริอาเตอร์อิคิดนาอิคีเนอเดอร์เมอเทออินทรีอินทรีกินงูอินทรีหัวขาวอินทรีหางขาวอินทรีฮาสท์อินทรีทะเลอินทรีทะเลหัวนวลอินทรีทุ่งหญ้าสเตปป์อินทรีดำอินดรีอึ่งอ่างอึ่งอ่างบ้านอึ่งผีอึ่งปากขวดอึ่งน้ำเต้าอุรังอุตังอุรังอุตังบอร์เนียวอุรังอุตังสุมาตราอุรังอุตังตาปานูลีอุทยานแห่งชาติตาดโตนอุทยานแห่งชาติไซออนอุปสมบทอูฐอูฐสองหนอกป่าอูราโนซอรัสอีกาอีลาสโมซอรัสอีแกอีแลนด์อีแลนด์ธรรมดาอีเห็นอีเห็นลายเสือโคร่งอีเห็นลายเสือโคร่งอินโดจีนอีเห็นหน้าขาวอีเห็นข้างลายอีเห็นน้ำมลายูอีเห็นน้ำอินโดจีนอีเห็นเครืออนุกรมวิธานอ้นอ้น (สกุล)อ้นกลางอ้นใหญ่อ้นเมืองจีนอ้นเล็กฮอรัสซอร์นิทเดฮอร์โมนพืชฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟมฮันนีพอสซัมฮันนี่แบดเจอร์ฮาลิซอรัสฮิปโปโปเตมัสฮิปโปโปเตมัสแคระผึ้งผึ้งมิ้มผีเสื้อ (แมลง)ผีเสื้อหางดาบตาลไหม้ผีเสื้อหนอนม้วนใบเขานันผีเสื้อหนอนถั่วผีเสื้อหนอนใบกระท้อนผีเสื้อหนอนใบรักธรรมดาผีเสื้อจักรพรรดิผีเสื้อขอบปีกเลื่อยจุดแดงผีเสื้อแดงผีเสื้อใบไม้ใหญ่อินเดียผีเสื้อเหยี่ยวบอนเขียวผนังเซลล์จระเข้จระเข้อเมริกาจระเข้ตีนเป็ดจระเข้น้ำจืดจระเข้น้ำเค็มจระเข้แม่น้ำไนล์จระเข้แคระจะเข้จับให้ได้ถ้านายแน่จักจั่นจักจั่นทะเลจากัวรันดีจามรีจิงโจ้จิงโจ้ต้นไม้จิงโจ้น้ำจิงโจ้แดงจิตพยาธิวิทยาสัตว์จิ้งหรีดจิ้งหรีดทองดำจิ้งหรีดทองแดงลายจิ้งจกบ้านจิ้งจกบ้านหางหนามจิ้งจกบ้านหางแบนจิ้งจกดินจิ้งจกดินลายจุดจิ้งจอกแร็กคูนจิ้งเหลนจิ้งเหลนบ้านจิ้งเหลนจระเข้จิ้งเหลนจระเข้ตาแดงจุลประติมากรรมจงโคร่งธรรมชาติวิทยาธาตุทรูโอดอนทฤษฎีใหม่ทวีปแอนตาร์กติกาทอมสันส์กาเซลล์ทอร์วอซอรัสทะนุกิทัวทาราทัศนียภาพของเสียงทากหนามม่วงทากิฟูงุทากทะเลทาร์โบซอรัสทาร์เซียร์ทาร์เซียร์ฟิลิปปินทาลามัสทาคินทางเดินอาหารทาแมนดัวทีนอนโตซอรัสที่อยู่อาศัยทีโนฟอราของเล่นขาขำกลิ้งลิงกับหมาข้อโต้เถียงเรื่องอาหารดัดแปรพันธุกรรมดราวิโดซอรัสดอกไม้ทะเลดัคดังโงะโมโมทาโร่ดังเคิลออสเตียสดาวดาวมงกุฎหนามดาวทรายหนามดาวทะเลดาวทะเลพระราชาดาวทะเลปุ่มแดงดาวตะกร้าดาวเปราะดิก-ดิกดิอะเมซิ่งเรซ 12ดิอะเมซิ่งเรซ 15ดีเอ็นเอดนตรีไทยด้วงกว่างด้วงกว่างชนด้วงกว่างญี่ปุ่นด้วงกว่างสามเขาจันทร์ด้วงกว่างแอตลัสด้วงกว่างเฮอร์คิวลีสด้วงกุหลาบด้วงยีราฟด้วงหมัดผักด้วงงวงด้วงงวงมะพร้าวด้วงแรดมะพร้าวด้วงไฟด้วงเสือด้วงเจาะเปลือกไม้สนด้วงเต่าลายคลิปสปริงเงอร์ควอกกาควอลควากกาความหลากหลายทางชีวภาพความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศบราซิลความอยากรู้อยากเห็นความเจ็บปวดความเครียด (ชีววิทยา)ควายควายป่าควายป่าแอฟริกาคอมมอนบรัชเทลพอสซัมคอมป์ซอกนาทัสคอยวูล์ฟคอลลาเจนคอเลสเตอรอลคัพภวิทยาคาร์ชาโรดอนโทซอรัสคาร์โนทอรัสคางคกบ้านคางคกหมอตำแยคางคกห้วยคางคกต้นไม้คางคกซูรินามคางคกซูรินาม (สกุล)คางคกแคระคางคกโพรงเม็กซิกันคางคกไฟคางคกไวโอมิงคาเมเลี่ยนใบไม้แอฟริกาคิม พอสสิเบิลคิงคองยักษ์คิงคาจูคู่มือภาคสนามคูโบซัวค่างค่างกระหม่อมขาวค่างสะโพกขาวค่างสี่สีค่างหัวมงกุฎค่างหนุมานค่างห้าสีค่างจมูกเชิดตังเกี๋ยค่างดำมลายูค่างแว่นถิ่นใต้ค่างแว่นถิ่นเหนือค่างแว่นโฮสค่างเทาคโลนะเซแพมค้างคาวค้างคาวกินแมลงนิ้วสั้นค้างคาวยอดกล้วยผีเสื้อค้างคาวยอดกล้วยป่าค้างคาวสเปกตรัมค้างคาวหางอิสระเม็กซิโกค้างคาวหน้ายักษ์กุมภกรรณค้างคาวหน้ายักษ์ทศกัณฐ์ค้างคาวอีอาอีโอค้างคาวผลไม้ค้างคาวท้องสีน้ำตาลค้างคาวขอบหูขาวเล็กค้างคาวคุณกิตติค้างคาวแม่ไก่ภาคกลางค้างคาวแม่ไก่ป่าฝนค้างคาวแวมไพร์ค้างคาวแวมไพร์ธรรมดาค้างคาวแวมไพร์แปลงทองอารีย์งูงูบินงูพิษเฟียงูกระด้างงูกรีนแมมบาตะวันออกงูกรีนแมมบาตะวันตกงูกะปะงูก้นขบงูลายสองูสมิงทะเลงูสมิงทะเลปากดำงูสมิงทะเลปากเหลืองงูสามเหลี่ยมงูสิงงูสิงธรรมดางูหลามงูหลามบอลงูหลามต้นไม้สีเขียวงูหลามปากเป็ดงูหลามแอฟริกางูหัวกะโหลกงูหัวจิ้งจกงูหางกระดิ่ง (สกุล)งูหางกระดิ่งแคระงูหางกระดิ่งไซด์ไวน์เดอร์งูหางแฮ่มกาญจน์งูอนาคอนดางูอนาคอนดาเหลืองงูอนาคอนดาเขียวงูผ้าขี้ริ้วงูจงอางงูทะเลงูทะเลเอราบุงูทับทางงูทางมะพร้าวธรรมดางูดินงูดินบ้านงูดินหางยาวงูงวงช้างงูตาแมวงูปล้องทองงูปล้องฉนวนงูปะการังแปลงงูปาล์มงูแบล็กแมมบางูแมมบางูแมวเซางูแมวเซาอินเดียงูแสมรังงูแสมรังเกล็ดเบลเชอร์งูแสงอาทิตย์งูไทปันงูไทปันกลางงูไทปันธรรมดางูไทปันโพ้นทะเลงูเส้นด้ายบาร์เบโดสงูเหลือมงูเหลือม (สกุล)งูเหลือมอ้องูเห่างูเห่าพ่นพิษสยามงูเห่าพ่นพิษสีทองงูเห่าหม้องูเห่าอินเดียงูเห่าอียิปต์งูเห่าน้ำงูเขียวพระอินทร์งูเขียวหัวจิ้งจกงูเขียวหัวจิ้งจกมลายูงูเขียวหางไหม้งูเขียวหางไหม้ลายเสืองูเขียวหางไหม้ท้องเหลืองงูเขียวปากแหนบตะพาบม่านลายตะพาบม่านลายพม่าตะพาบม่านลายอินเดียตะพาบม่านลายไทยตะพาบยักษ์แยงซีเกียงตะพาบยูเฟรทีสตะพาบสวนตะพาบหับตะพาบหับพม่าตะพาบหับอินเดียตะพาบหัวกบตะพาบหัวกบลายตะพาบฮหว่านเกี๊ยมตะพาบจีนตะพาบแก้มแดงตะพาบไบคอลโลไซต์ตะพาบไต้หวันตะกวดตะกวดบิตาตาวาตะกวดแม่น้ำไนล์ตะกวดใต้ตะกวดเหลืองตะกองตะขาบตะขาบยักษ์ขาเหลืองเปรูตะโขงตะโขงอินเดียตัวกินมดตัวกินมดยักษ์ตัวกินมดซิลกี้ตัวรับความรู้สึกเจ็บปวดตัวนำโชคตั๊กแตนตั๊กแตนตำข้าวตั๊กแตนตำข้าวกล้วยไม้สีชมพูตุ๊กกายตุ๊กตาตุ๊กแกตุ๊กแกบินตุ๊กแกบินหางแผ่นตุ๊กแกบินหางเฟินตุ๊กแกบ้านตุ๊กแกบ้านสีเทาตุ๊กแกหางใบไม้ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิคตุ๊กแกตาเขียวตุ๊ดตู่ตุ่นตุ่นจมูกดาวตุ่นปากเป็ดต่อต่อเยอรมันต้นฝิ่นซอริสเกียซอร์เดสซอโรพอดซอโรโพไซดอนซอโรโลฟัสซอโรเพกาแนกซ์ซอโรเพลตาซัลตาซอรัสซันไกซาลาแมนเดอร์ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ญี่ปุ่นซาลาแมนเดอร์ยักษ์จีนซาลาแมนเดอร์ไฟซาวลาซิมโบสปอนไดลัสซิมไฟลาซิจิลมาซาซอรัสซิตตะโกซอรัสซิโนซอรอปเทอริกซ์ซูโคไมมัสซูเปอร์แดนเซอร์ออนไลน์ซีโลไฟซิสซีโทเทอเรียมประชานประวัติวิชากายวิภาคศาสตร์ประตูปลาปลาบอลด์โนโทเธนปลาชะโอนปลาชะโอน (สกุล)ปลาชะโอนหินปลาชะโอนถ้ำปลาชะโดปลาชะโดอินเดียปลาบัวปลาบิทเทอร์ลิ่งปลาบึกปลาบึก (สกุล)ปลาบู่กลับหัวปลาบู่กล้วยปลาบู่กล้วย (สกุล)ปลาบู่กุดทิงปลาบู่มหิดลปลาบู่ยามปลาบู่รำไพปลาบู่หมาจูปลาบู่หมาจูดอเรียปลาบู่หมาจูแม่น้ำโขงปลาบู่หินปลาบู่จักรพรรดิ์ปลาบู่จากปลาบู่จุดคู่ปลาบู่ทรายปลาบู่ทราย (สกุล)ปลาบู่ปิดบังปลาบู่น้ำตกปลาบู่น้ำตกเชียงใหม่ปลาบู่น้ำตกเดาส์ปิลุสปลาบู่เกาะสุรินทร์ปลาบู่เหลืองปลาช่อนปลาช่อนบาร์กาปลาช่อนบานคานปลาช่อนพัลชราปลาช่อนสจวร์ตปลาช่อนออแรนติปลาช่อนออเรียนตาลิสปลาช่อนจุดอินโดปลาช่อนทรายแก้วปลาช่อนทะเลปลาช่อนข้าหลวงปลาช่อนดำปลาช่อนงูเห่าปลาช่อนงูเห่าอินเดียปลาช่อนแอฟริกา (สกุล)ปลาช่อนแอนดริวปลาช่อนเชลปลาช่อนเหนือปลาช่อนเอเชียปลาช่อนเอเชียติกาปลาช่อนเจ็ดสีปลาช่อนเข็มปลาช่อนเข็ม (สกุล)ปลาบ้าปลาบ้า (สกุล)ปลาฟันสุนัขปลาฟิงเกอร์ปลาพรมปลาพริสเทลล่าปลาพลวง (สกุล)ปลาพลวงชมพูปลาพลวงหินปลาพลวงถ้ำปลาพลวงทองปลาพลาตี้ปลาพาราไดซ์ปลาพาราไดซ์ (สกุล)ปลาพาราไดซ์แดงปลาพีค็อกแบสปลากบปลากบสี่มือปลากระบอกเทาปลากระมังปลากระมังครีบสูงปลากระสูบปลากระสูบสาละวินปลากระสูบจุดปลากระสูบขีดปลากระสงปลากระจังปลากระทิงปลากระทิง (สกุล)ปลากระทิงจุดปลากระทิงไฟปลากระทุงเหวเมืองปลากระดูกอ่อนปลากระดี่ปลากระดี่ช็อกโกแลตปลากระดี่ช็อกโกแลต (สกุล)ปลากระดี่มุกปลากระดี่ยักษ์ปลากระดี่หม้อปลากระดี่อินเดียปลากระดี่ปากหนาปลากระดี่นางปลากระดี่แดงปลากระดี่แคระปลากระดี่โนเบิลปลากระแหปลากระโห้ปลากระโห้อินเดียปลากระโทงร่มปลากระโทงร่มอินโด-แปซิฟิกปลากระโทงลายปลากระโทงสีน้ำเงินปลากระโทงดาบปลากระเบนปลากระเบนบอนเนตปลากระเบนบัวปลากระเบนชายธงปลากระเบนชายธง (สกุล)ปลากระเบนกิตติพงษ์ปลากระเบนราหูน้ำจืดปลากระเบนลายแมลงวันปลากระเบนลายเสือปลากระเบนลาวปลากระเบนหลังดำปลากระเบนหัวแหลมปลากระเบนหางริบบิ้นปลากระเบนหางหนามปลากระเบนหางปีกปลากระเบนหางแส้ปลากระเบนหน้ากากปลากระเบนอเมซอนหางยาวปลากระเบนผีเสื้อปลากระเบนจมูกวัวปลากระเบนจุดฟ้าปลากระเบนธงปลากระเบนทองปลากระเบนขาวปลากระเบนขนุนปลากระเบนค้างคาวปลากระเบนปากแหลมปลากระเบนปีศาจปลากระเบนปีศาจหางหนามปลากระเบนแมลงวันปลากระเบนแมนตาปลากระเบนแมนตามหาสมุทรปลากระเบนแมนตาแนวปะการังปลากระเบนแอปเปิลปลากระเบนโมโตโร่ปลากระเบนโปลกาด๊อทปลากระเบนไฟฟ้าปลากระเบนไฟฟ้าตาบอดปลากระเบนไฟฟ้าแปซิฟิกปลากระเบนเฮนไลปลากรายปลากรายอินเดียปลากรายคองโกปลากรายแอฟริกาปลากริมปลากริมมุกปลากริมอีสานปลากริมข้างลายปลากริมแรดปลากล่องปลากะพงญี่ปุ่นปลากะพงลายปลากะพงลายสี่แถบปลากะพงหน้าลายปลากะพงผีปลากะพงขาวปลากะพงขาว (สกุล)ปลากะพงข้างปานปลากะพงดำปลากะพงแม่น้ำไนล์ปลากะพงแดงปลากะพงแดงสั้นหางปานปลากะพงแดงหน้าตั้งปลากะพงแดงป่าชายเลนปลากะพงเหลืองห้าเส้นปลากะพงเขียวปลากะมงพร้าวปลากะมงครีบฟ้าปลากะรังลายจุดปลากะรังหัวโขนปลากะรังหน้างอนปลากะรังจุดฟ้าจุดเล็กปลากะรังดอกแดงปลากะรังปากแม่น้ำปลากะทิปลากะตักปลากะตักใหญ่ปลากะแมะปลากัดปลากัด (สกุล)ปลากัดช้างปลากัดหัวโม่งจันทบุรีปลากัดอมไข่กระบี่ปลากัดอมไข่สงขลาปลากัดอัลบิปลากัดค็อกซินาปลากัดปีนังปลากัดป่าภาคใต้ปลากัดป่ามหาชัยปลากัดเขียวปลากาปลากากาตาปลาการ์ปลาการ์ร่า รูฟาปลาการ์ตูนปลาการ์ตูนมะเขือเทศปลาการ์ตูนมะเขือเทศแดงดำปลาการ์ตูนลายปล้องปลาการ์ตูนลายปล้องหางเหลืองปลาการ์ตูนส้มขาวปลาการ์ตูนอานม้าปลาการ์ตูนอินเดียนแดงปลาการ์ตูนอินเดียนแดงชมพูปลาการ์ตูนแดงปลาการ์ตูนแดงดำปลาการ์ตูนเพอร์คูล่าปลากาแดงปลากินยุงปลากุดสลาดปลากุแลปลากุเราสี่หนวดปลากดกลับหัวพม่าปลากดหมูปลากดหมูสาละวินปลากดหลาวปลากดหัวกบปลากดหัวลิงปลากดหัวผานปลากดหัวแข็งปลากดหัวเสียมปลากดหัวเสียมสาละวินปลากดอเมริกันปลากดทะเลหัวแข็งปลากดขาวปลากดขี้ลิงปลากดดำปลากดคังปลากดคังสาละวินปลากดคางเบือนปลากดแดงปลากดเกราะปลากดเหลืองปลาก้างปลาก้างพระร่วงปลาก้างอินเดียปลาฝักพร้าปลามอลลี่ปลามะไฟปลามังกงปลามาคูลาตาไพค์ปลามาเบิลแคทฟิชปลามูดปลามูดหลังจุดปลามูดหน้านอปลามูนฟิชปลามีดโกนปลามีเกราะปลามงปลามงโกรยปลาม่อนปลาม่ำพม่าปลาม้าปลาม้ามังกรปลาม้าลายปลายอดม่วงลายปลายอดม่วงเกล็ดถี่ปลายอนหอยปลายาวปลายาดปลายี่สกปลายี่สกเทศปลาย่าดุกปลาย่าดุก (สกุล)ปลาราฟิโอดอนปลารากกล้วยปลาริชาร์ด ดอว์กินส์ปลาริวกิวปลารีดฟิชปลาร่องไม้ตับปลาร่องไม้ตับวานเดิร์สปลาลังปลาลิ่นปลาลิ้นหมาลายนกยูงปลาลิ้นหมาน้ำจืดปลาลิ้นควายขนดำปลาลิ้นควายเกล็ดลื่นปลาลิ้นแมวปลาลีโปรินัสปลาวัวลายส้มปลาวัวสามเขาปลาวัวจมูกยาวปลาวัวจมูกสั้นปลาวัวดำปลาวัวตัวตลกปลาวัวปิกัสโซปลาวัวปิกัสโซเรดซีปลาวัวไททันปลาวาฮูปลาวาเรียตัสปลาวีคส์ไบเคอร์ปลาสร้อย (สกุล)ปลาสร้อยลูกกล้วยปลาสร้อยขาวปลาสร้อยนกเขาปลาสร้อยนกเขาลายขวางปลาสร้อยนกเขาจุดทองปลาสร้อยนกเขาทะเลปลาสร้อยนกเขาน้ำจืดปลาสร้อยนกเขาไฟปลาสร้อยน้ำผึ้งปลาสร้อยน้ำเงินปลาสละปลาสลาดปลาสลิดปลาสลิดหินฟ้าหางส้มปลาสลิดหินฟ้าหางเหลืองปลาสลิดหินมะนาวปลาสลิดหินม้าลายปลาสลิดหินสามจุดปลาสลิดหินหางเหลืองนอกปลาสลิดหินจุดแดงปลาสลิดหินท้องเหลืองปลาสลิดหินนีออนปลาสลิดหินแขกปลาสลิดทะเลเหลืองทองปลาสวายปลาสวายหางเหลืองปลาสวายหนูปลาสอดปลาสอดหางดาบปลาสอดหางดาบเขียวปลาสะกางปลาสะอีปลาสะตือปลาสะนากปลาสะนากยักษ์ปลาสะแงะปลาสังกะวังปลาสังกะวาดปลาสังกะวาดท้องคมปลาสากหางเหลืองปลาสากใหญ่ปลาสากเหลืองปลาสายยูปลาสายยู (สกุล)ปลาสำลีปลาสิงโตปลาสิงโตธรรมดาปลาสิงโตครีบจุดปลาสิงโตปีกปลาสิงโตปีกเข็มปลาสินสมุทรบั้งเหลืองปลาสินสมุทรมัดหมี่ปลาสินสมุทรลายบั้งปลาสินสมุทรวงฟ้าปลาสินสมุทรหางเส้นปลาสินสมุทรจักรพรรดิปลาสินสมุทรแคระไบคัลเลอร์ปลาสุดสาครจิ๋วปลาสุดสาครจิ๋วลายเข้มปลาสีกุนทองปลาสีกุนครีบยาวปลาสีขนปลาสีนวลปลาสี่ตาปลาสีเสียดปลาสคอมบิรอยด์ปลาสแปรตแม่น้ำปลาส่อปลาสเกตปลาสเตอร์เจียนปลาสเตอร์เจียนยุโรปปลาสเตอร์เจียนขาวปลาสเตอร์เจียนแปซิฟิกปลาสเตอร์เจียนใหญ่ปลาสเตอร์เจียนไซบีเรียปลาหมอปลาหมอ (สกุล)ปลาหมอบัตเตอร์ปลาหมอช้างเหยียบปลาหมอฟรอนโตซ่าปลาหมอฟรอนโตซ่า (สกุล)ปลาหมอฟลามิงโก้ปลาหมอกิบเบโรซ่าปลาหมอมาคูลิคัวด้าปลาหมอริวูเลตัสปลาหมอลายตารางหมากรุกปลาหมอลายเมฆปลาหมอลิฟวิงสโตนปลาหมอสีไซไพรโครมิสปลาหมอสีเลบโตโซม่าปลาหมอออสเซลาริสปลาหมออีแนนปลาหมอจำปะปลาหมอทะเลปลาหมอทะเล (สกุล)ปลาหมอคอนวิคปลาหมอคิวปิโดปลาหมอตาลปลาหมอซินสไปลุ่มปลาหมอแรมปลาหมอแรมแดงปลาหมอแจ็กเดมป์ซีย์ปลาหมอแคระฟิลาเมนโตซัสปลาหมอแคระพม่าปลาหมอแคระอพิสโตแกรมมาปลาหมอแคระอกาสซิสสิอายปลาหมอแคระอะโดเกตาปลาหมอแคระฮองสโลอายปลาหมอแคระขี้เซาปลาหมอแคระคาเคทอยเดสปลาหมอแคระนันนาคาราปลาหมอแคระแม่กลองปลาหมอแคระแรมโบลิเวียปลาหมอแคระแรมเจ็ดสีปลาหมอแคระไตรฟาสเซียตาปลาหมอแตงไทยปลาหมอโมโนคูลัสปลาหมอโครมายด์เขียวปลาหมอไฟร์เมาท์ปลาหมอไพค์ปลาหมอไตรมาคูปลาหมอเฟอร์ซิเฟอร์ปลาหมอเฮโรสปลาหมอเทศปลาหมอเทศข้างลายปลาหมอเท็กซัสปลาหมอเท็กซัส (สกุล)ปลาหมอเท็กซัสเขียวปลาหมอเทเมนซิสปลาหมอเซวารุ่มปลาหมากผางปลาหมูปลาหมูกระโดงสูงปลาหมูลายปลาหมูลายเมฆปลาหมูลายเสือปลาหมูลายเสือสาละวินปลาหมูอารีย์ปลาหมูอินโดปลาหมูอินเดียปลาหมูฮ่องเต้ปลาหมูขาวปลาหมูข้างลายปลาหมูค้อปลาหมูน่านปลาหมูโยโย่ปลาหม่นปลาหยะเคปลาหลดปลาหลดม้าลายปลาหลดหลังจุดปลาหลดหินปลาหลดจุดปลาหวีเกศปลาหวีเกศพรุปลาหว่าชะอีปลาหว้าปลาหว้าหน้านอปลาหัวงอนปลาหัวตะกั่วปลาหัวตะกั่วทองคำปลาหางบ่วงปลาหางนกยูงปลาหางแข็งปลาหางแข็งบั้งปลาหางไหม้ปลาหิมะปลาหินปลาหูช้างปลาหูช้างกลมปลาหูช้างครีบยาวปลาหนวดพราหมณ์ปลาหนวดพราหมณ์หนวดสิบสี่เส้นปลาหนวดพราหมณ์หนวดเจ็ดเส้นปลาหนามหลังปลาหนามหลังสาละวินปลาหน้าหมองปลาอกแลปลาอมไข่ครีบยาวปลาอมไข่ตาแดงปลาออร์ปลาออสการ์ปลาออสการ์ (สกุล)ปลาอะราไพม่าปลาอะราไพม่า (สกุล)ปลาอะโรวานาออสเตรเลียจุดปลาอะโรวานาอเมริกาใต้ปลาอะโรวานาดำปลาอะโรวานาแอฟริกาปลาอะโรวานาเงินปลาอะโรวาน่าออสเตรเลียปลาอะโรวาน่าเอเชียปลาอัลลิเกเตอร์ปลาอามาทัสปลาอายุปลาอินทรีปลาอินทรีบั้งปลาอินทรีจุดปลาอินทรีทะเลสาบเขมรปลาอินซีเน็ตปลาอินซีเน็ตยักษ์ปลาอินซีเน็ตหางแดงปลาอินซีเน็ตหางเหลืองปลาอินซีเน็ตขาวปลาอินซีเน็ตดำปลาอิแกลาเอ๊ะปลาอุกปลาอีกองปลาอีคุดปลาอีโต้มอญปลาอ้ายอ้าวปลาอเล็กซานดรี่ปลาฮูโชปลาฮูโซปลาผมนางปลาผีตุ่นปลาผีเสื้อ (น้ำจืด)ปลาผีเสื้อกลางคืนปลาผีเสื้อกลางคืนปากยาวปลาผีเสื้อจมูกยาวปลาผีเสื้อจมูกยาวเหลืองปลาผีเสื้อถ้ำปลาผีเสื้อติดหินน่านปลาผีเสื้อนกกระจิบปลาจะละเม็ดปลาจะละเม็ดขาวปลาจะละเม็ดดำปลาจะละเม็ดเทาปลาจาดปลาจาดแถบดำปลาจิ้มฟันจระเข้ปลาจิ้มฟันจระเข้ยักษ์ปลาจิ้มฟันจระเข้ลายด่างปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจใบไม้ปลาจิ้มฟันจระเข้แคระปลาจิ้มฟันจระเข้ใบสาหร่ายปลาจิ้มฟันจระเข้เขียวปลาจิ้งจกปลาจิ้งจกสมิธปลาจิ้งจอกปลาจุมพรวดปลาจีดปลาจีดอินเดียปลาจีดเขมราฐปลาจ่าเอกปลาทรงเครื่องปลาทรงเครื่อง (สกุล)ปลาทองปลาทอง (สกุล)ปลาทองทะเลปลาทองทะเลหลังสีเหลืองปลาทาทูเอียปลาทุงงะปลาทูปลาทู (สกุล)ปลาทูปากจิ้งจกปลาทูน่าปลาทูน่าครีบยาวปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือปลาทูน่าครีบเหลืองปลาทูน่าแท้ปลาทูน่าเขี้ยวหมาปลาทูแขกปลาที่มีก้านครีบปลาที่มีครีบเป็นพู่ปลาท่องเที่ยวปลาขวานปลาขาไก่ปลาขิ้งปลาขิ้ง (สกุล)ปลาขี้ยอกปลาขี้ควายปลาขี้ตังปลาขี้ตังเบ็ดปลาขี้ตังเบ็ดฟ้าปลาขี้ตังเบ็ดฟ้าอกขาวปลาขี้ตังเบ็ดลายปลาขี้ตังเบ็ดครีบลายปลาข้อมือนางปลาข้าวเม่าปลาข้าวเม่า (ปลาซิว)ปลาข้างตะเภาปลาข้างตะเภาลายโค้งปลาข้างเหลืองปลาดอกหมากปลาดอกหมาก (น้ำจืด)ปลาดอกหมากกระโดงปลาดักปลาดังปลาดังแดงปลาดาบลาวยาวปลาดาบเงินใหญ่ปลาดินสอ (สกุล)ปลาดินสอแดงปลาดุกปลาดุกบอนปลาดุกมูนปลาดุกยักษ์ทะเลสาบบิวะปลาดุกลำพันปลาดุกลำพันภูเขาปลาดุกหนามไนเจอร์ปลาดุกอุยปลาดุกทะเลปลาดุกทะเลยักษ์ปลาดุกทะเลลายปลาดุกด้านปลาดุกแอฟริกาปลาดุกไฟฟ้าปลาดุกไฟฟ้ายักษ์ปลาดุกไฟฟ้าแอฟริกาปลาดุมชีปลาคลาวน์คิลลี่ฟิชปลาคลุดปลาคาร์ดินัลปลาคาร์ปปลาคาร์ปเลตปลาคางคกปลาคางเบือนปลาคิลลี่ฟิชราโชวี่อายปลาคู้ปลาคู้ดำปลาคู้แดงปลาคู้แดง (สกุล)ปลาค็อดน้ำแข็งปลาค้อมาเนิร์ทปลาค้อถ้ำพระวังแดงปลาค้าวขาวปลาค้าวขาว (สกุล)ปลาค้าวดำปลาค้างคาว (น้ำจืด)ปลาค้างคาวดอยอินทนนท์ปลาตกเบ็ดปลาตกเบ็ดหลังค่อมปลาตองปลาตองลายปลาตองลายแอฟริกาปลาตองแอฟริกาปลาตะพัดปลาตะพัดพม่าปลาตะพากปลาตะพากส้มปลาตะพากเหลืองปลาตะกรับปลาตะกรับห้าแถบปลาตะกรับเจ็ดแถบปลาตะกากปลาตะลุมพุกปลาตะลุมพุก (สกุล)ปลาตะลุมพุกฮิลซาปลาตะคองปลาตะคองจุดเหลืองปลาตะโกกปลาตะโกกหน้าสั้นปลาตะเพียนลายปลาตะเพียนลายมาเลย์ปลาตะเพียนลายหมากรุกปลาตะเพียนสาละวินปลาตะเพียนหยดน้ำปลาตะเพียนหน้าแดงปลาตะเพียนอินเดียปลาตะเพียนจุดปลาตะเพียนทรายปลาตะเพียนทองปลาตะเพียนขาวปลาตะเพียนปากหนวดปลาตะเพียนน้ำเค็มปลาตะเพียนแคระปลาตะเกียงปลาตั๊กแตนหินสองสีปลาตั๊กแตนหินแปลงสีส้มปลาตามินปลาตามิน (สกุล)ปลาตาดำปลาตาเหลือกปลาตาเหลือกยาวปลาตาเหลือกยาวซอรัสปลาตาเดียวปลาตุมปลาตูหนาปลาตูหนายุโรปปลาตีนปลาฉลามปลาฉลามพยาบาลปลาฉลามพยาบาลสีน้ำตาลปลาฉลามพอร์ตแจ็กสันปลาฉลามกบปลาฉลามกรีนแลนด์ปลาฉลามก็อบลินปลาฉลามมาโกปลาฉลามวาฬปลาฉลามหลังหนามปลาฉลามหลังหนามหนามสั้นปลาฉลามหัวบาตรปลาฉลามหัวค้อนปลาฉลามหัวค้อนยาวปลาฉลามหัวค้อนหยักปลาฉลามหางยาวปลาฉลามหางยาวหน้าหนูปลาฉลามหางยาวธรรมดาปลาฉลามหางไหม้ (อินโดนีเซีย)ปลาฉลามหางไหม้ (ไทย)ปลาฉลามหินปลาฉลามหนูใหญ่ปลาฉลามอาบแดดปลาฉลามจ้าวมันปลาฉลามขาวปลาฉลามครุยปลาฉลามครีบขาวปลาฉลามครีบดำปลาฉลามครีบเงินปลาฉลามคุกกี้คัตเตอร์ปลาฉลามปากเป็ดปลาฉลามปากเป็ดจีนปลาฉลามนางฟ้าปลาฉลามน้ำจืดปลาฉลามแม่น้ำฟันหอกปลาฉลามแนวปะการังปลาฉลามเมกาเมาท์ปลาฉลามเสือปลาฉลามเสือดาวปลาฉนากปลาฉนากฟันเล็กปลาฉนากจะงอยปากกว้างปลาฉนากจะงอยปากแคบปลาฉนากเขียวปลาซักเกอร์ปลาซักเกอร์กระโดงสูงปลาซักเกอร์ม้าลายปลาซักเกอร์ธรรมดาปลาซักเกอร์ครีบสูงปลาซักเกอร์ไฮฟินปลาซันฟิชปลาซันฟิชหูยาวปลาซาบะปลาซาร์ดีนยุโรปปลาซาร์ดีนทะเลสาบปลาซาร์ดีนแปซิฟิกปลาซิวพม่าปลาซิวกาแล็กซีปลาซิวสมพงษ์ปลาซิวหัวตะกั่วปลาซิวหัวตะกั่วสุโขทัยปลาซิวหัวตะกั่วอินเดียปลาซิวหางกรรไกรปลาซิวหางแดงปลาซิวหนวดยาวปลาซิวหนวดยาว (สกุล)ปลาซิวหนูปลาซิวอ้าวปลาซิวทองปลาซิวข้าวสารปลาซิวข้าวสารชวาปลาซิวข้าวสารญี่ปุ่นปลาซิวข้าวสารแม่น้ำสงครามปลาซิวข้าวสารเดซี่ปลาซิวข้างขวานปลาซิวข้างขวานใหญ่ปลาซิวข้างขวานโกลว์ไลต์ปลาซิวข้างขวานเล็กปลาซิวข้างเหลืองปลาซิวควายปลาซิวควายข้างเงินปลาซิวคาโลโครม่าปลาซิวตาเขียวปลาซิวซอ-บวาปลาซิวแก้วปลาซิวแคระปลาซิวใบไผ่ปลาซิวใบไผ่มุกปลาซิวใบไผ่ยักษ์ปลาซิวใบไผ่แม่แตงปลาซิวใบไผ่ใหญ่ปลาซิวใบไผ่เขียวปลาซิวเจ้าฟ้าปลาซีลาแคนท์ปลาซีลาแคนท์มหาสมุทรอินเดียตะวันตกปลาซีลาแคนท์อินโดนีเซียปลาซ่งปลาปล้องอ้อยปลาปล้องอ้อย (อเมริกาใต้)ปลาปล้องอ้อยคูลี่ปลาปล้องทองปรีดีปลาปอมปาดัวร์ปลาปอมปาดัวร์น้ำตาลปลาปอมปาดัวร์เฮคเคลปลาปอมปาดัวร์เขียวปลาปอดปลาปอดออสเตรเลียปลาปอดอเมริกาใต้ปลาปอดแอนเนคเทนปลาปอดเอธิโอปิคัสปลาปักเป้าฟาฮากาปลาปักเป้ากล่องดำลายจุดปลาปักเป้ากล่องเหลืองลายจุดดำปลาปักเป้ายักษ์ปลาปักเป้าสมพงษ์ปลาปักเป้าหางวงเดือนปลาปักเป้าหนามทุเรียนปลาปักเป้าหนามทุเรียนหนามยาวปลาปักเป้าหนามทุเรียนด่างดำปลาปักเป้าหน้ากากปลาปักเป้าหน้าหมาปลาปักเป้าอ้วนปลาปักเป้าจมูกแหลมปลาปักเป้าจุดส้มปลาปักเป้าจุดดำปลาปักเป้าทองปลาปักเป้าทอง (สกุล)ปลาปักเป้าทองแม่น้ำโขงปลาปักเป้าท้องตาข่ายปลาปักเป้าขนปลาปักเป้าดำปลาปักเป้าดำแม่น้ำโขงปลาปักเป้าควายปลาปักเป้าคองโกปลาปักเป้าตาแดงปลาปักเป้าตุ๊กแกปลาปักเป้าซีลอนปลาปักเป้าปากขวดปลาปักเป้าปากแม่น้ำอเมริกาใต้ปลาปักเป้าน้ำจืดอเมริกาใต้ปลาปักเป้าแอมะซอนปลาปักเป้าแคระปลาปักเป้าเอ็มบูปลาปักเป้าเขียวปลาปากหนวดปลาปากขลุ่ยปลาปากแตรปลาปากแตรเรียบปลาปากเปี่ยนบ้านด่านปลาปิรันยาปลาปิรันยาดำปลาปิรันยาแดงปลาปีศาจครีบพัดปลานกขุนทองปากยื่นปลานกแก้วหัวตัดปลานกแก้วหัวโหนกปลานวลจันทร์ทะเลปลานวลจันทร์น้ำจืดปลานวลจันทร์น้ำจืด (สกุล)ปลานวลจันทร์เทศปลานางอ้าวปลานิลปลานิล (สกุล)ปลานิลอกแดงปลานีออนปลานีออน (สกุล)ปลานโปเลียนปลาน้ำฝายปลาน้ำฝายหลังดำปลาน้ำหมึกปลาน้ำหมึกยักษ์ปลาน้ำหมึกจีนปลาน้ำหมึกโคราชปลาน้ำเงินปลาแบมบูซ่าปลาแบล็คบาร์เรดฮุกปลาแบล็คสวอลโลปลาแบล็คโกสต์ปลาแบสลายจุดปลาแบสดำปลาแบสปากใหญ่ปลาแบสปากเล็กปลาแชดปลาแฟลกเทลแคทฟิชปลาแฟงค์ทูธปลาแฟนซีคาร์ปปลาแพะลายปลาแพะเหลืองปลาแพะเขียวปลาแกมบูเซียปลาแกงปลาแก้มช้ำปลาแมกเคอเรลแท้ปลาแมวปลาแมงป่องยักษ์ปลาแมนดารินปลาแมนดารินจุดปลาแรดปลาแรดหกขีดปลาแรดแม่น้ำโขงปลาแรดแดงปลาแลมป์เพรย์ปลาแลมป์เพรย์ทะเลปลาแสงอาทิตย์ปลาแอฟริกันไทเกอร์ปลาแองหวู (สกุล)ปลาแอตแลนติกทาร์ปอนปลาแฮลิบัต (สกุล)ปลาแขยงจุดปลาแขยงทองปลาแขยงดานปลาแดงปลาแดงน้อยปลาแค้ปลาแค้ยักษ์ปลาแค้วัวปลาแค้ขี้หมูปลาแค้งูปลาแค้ติดหินปลาแค้ติดหินสามแถบปลาแซลมอนชินูกปลาแซลมอนทองคำปลาแซลมอนซ็อกอายปลาแซลมอนแอตแลนติกปลาแซลมอนแปซิฟิกปลาแปบยาวปลาแปบยาวสาละวินปลาแปบสยามปลาแปบหางดอกปลาแปบขาวปลาแปบขาวหางดำปลาแปบควายปลาแปบควายอาร์ม็องปลาแปบควายไทพัสปลาแปบแม่น้ำปลาแปบใสปลาแป้นหัวโหนกปลาแป้นแก้วปลาแป้นแก้วรังกาปลาแป้นเขี้ยวปลาแนนดัสปลาใบขนุนปลาใบโพปลาใบโพจุดปลาใบไม้ปลาใบไม้กายอานาปลาใบไม้อเมริกาใต้ปลาโบว์ฟินปลาโมลาปลาโมงปลาโรซี่บาร์บปลาโรซี่บิทเทอร์ลิ่งปลาโรนันยักษ์ปลาโรนันหัวใสปลาโรนันหัวเสียมปลาโรนันหัวเสียมยักษ์ปลาโรนันจุดปลาโรนันจุดขาวปลาโรนินปลาโลมาน้อยปลาโอรีโนโกพีค็อกแบสปลาโอดำปลาโอด์ไวฟ์ปลาโอแถบปลาโจกปลาโจกไหมปลาโนรีปลาโนรีหน้าหักปลาโนรีครีบยาวปลาโนรีครีบสั้นปลาโนรีเกล็ดปลาโนรีเทวรูปปลาไบรคอนปลาไบเคอร์ปลาไบเคอร์ลายบั้งปลาไบเคอร์จุดปลาไบเคอร์เซเนกัลปลาไม่มีขากรรไกรปลาไวท์คลาวด์ปลาไวเปอร์ปลาไส้ตันสนธิรัตนปลาไส้ตันตาขาวปลาไส้ตันตาแดงปลาไหลช่อปลาไหลกัลเปอร์ปลาไหลญี่ปุ่นปลาไหลมอเรย์ยักษ์ปลาไหลมอเรย์ลายเมฆปลาไหลมอเรย์หน้าปานปลาไหลมอเรย์ตาขาวปลาไหลริบบิ้นปลาไหลหลาดปลาไหลผีอะบาอะบาปลาไหลครีบยาวนิวซีแลนด์ปลาไหลนาปลาไหลนา (สกุล)ปลาไหลแดงปลาไหลไฟฟ้าปลาไฮนีเรียปลาไจแอนท์แทนกันยีกาปลาไทเกอร์วิเตตัสปลาไทเกอร์โชวเวลโนสปลาไทเกอร์โกไลแอตปลาไทเมนปลาไข่อองปลาไข่อองใหญ่ปลาไข่อองเล็กปลาไซเชเดลิกาปลาไนปลาเบลนนี่ปลาเบลนนี่หน้าผีปลาเชอรี่บาร์บปลาเบี้ยวปลาเพียวปลาเพียวขุ่นปลาเกล็ดถี่ปลาเกล็ดถี่ (สกุล)ปลาเก๋าดอกหมากยักษ์ปลาเก๋าแดงปลาเก๋าเสือปลาเม็ดขนุนปลาเรดฮุกปลาเรดเทลแคทฟิชปลาเรนโบว์เทราต์ปลาเลียหินปลาเลียหินกัมพูชาปลาเล็บมือนางปลาเล็บมือนางแม่โขงปลาเวลส์ปลาเวียนปลาเวียนทองปลาเสือพ่นน้ำปลาเสือพ่นน้ำพม่าปลาเสือพ่นน้ำน้ำกร่อยปลาเสือพ่นน้ำเกล็ดถี่ปลาเสือสุมาตราปลาเสือหกขีดปลาเสือข้างลายปลาเสือดำปลาเสือตอลายใหญ่ปลาเสือตอลายเล็กปลาเสือตออินโดนีเซียปลาเสือตอปาปัวนิวกินีปลาเสือเยอรมันปลาเหล็กในปลาเห็ดโคนปลาเอินปลาเอินฝ้ายปลาเอินตาขาวปลาเอี่ยนหูปลาเอนด์เลอร์ปลาเอ็กโซดอนปลาเฮร์ริงน้ำจืดปลาเผาะปลาเทพาปลาเทราต์บิวะปลาเทราต์สีน้ำตาลปลาเทวดาปลาเทวดาสกาแลร์ปลาเทวดาอัลตั้มปลาเทวดาจมูกยาวปลาเทโพปลาเขือปลาเขียวพระอินทร์ปลาเขี้ยวก้างปลาเข็มปลาเข็มหม้อปลาเข็มงวงปลาเข็มป่าปลาเฉลียบปลาเฉาปลาเฉี่ยวหินปลาเซลฟินยักษ์ปลาเป้าปลาเนื้ออ่อนปลิงปลิงทะเลปลิงแดงยักษ์กีนาบาลูปะการังปัจจัยสี่ปากกาทะเลปาดบ้านปาดเขียวตีนดำปืน เชื้อโรค และเหล็กกล้าปูปูก้ามดาบปูก้ามดาบก้ามขาวปูมะพร้าวปูม้าปูม้า (สกุล)ปูราชินีปูลมปูลมใหญ่ปูจักรพรรดิปูจั๊กจั่นปูทหารปูทะเลปูทูลกระหม่อมปูขน (ปูก้ามขน)ปูนาปูแมงมุมญี่ปุ่นปูแสมปูแป้นปูไก่ปูไฮเกะปูเยติปูเสฉวนปูเสฉวนบกปูเสฉวนบกก้ามแถวฟันปูเสฉวนยักษ์จุดขาวปูเจ้าฟ้าปีชีป่องรู้กลิ่นป่าหิมพานต์ป่าโลกล้านปีนกชาปีไหนนกบูบีนกบูบีตีนฟ้านกชนหินนกช้อนหอยนกช้อนหอยศักดิ์สิทธิ์นกช้อนหอยขาวนกฟลอริแคนเบงกอลนกฟลามิงโกนกฟินช์เจ็ดสีนกฟินฟุตนกพญาปากกว้างอกสีเงินนกพญาไฟสีเทานกพรานผึ้งนกพัฟฟินนกพาโรเทียนกพิราบนกพิราบหงอนวิคตอเรียนกกกนกกระสาหัวดำนกกระสาคอขาวปากแดงนกกระสาคอดำนกกระสาปากพลั่วนกกระสาปากห่างนกกระสานวลนกกระสาแดงนกกระสาใหญ่นกกระจอกชวานกกระจอกบ้านนกกระจอกใหญ่นกกระจอกเทศนกกระจอกเทศโซมาลีนกกระจิบนกกระจิบกัมพูชานกกระจิบหญ้าสีน้ำตาลนกกระจิบหญ้าสีเรียบนกกระจิบหญ้าท้องเหลืองนกกระทาญี่ปุ่นนกกระทาดงแข้งเขียวนกกระทุงนกกระตั้วดำนกกระตั้วดำหางขาวนกกระตั้วใหญ่หงอนเหลืองนกกระเบื้องผานกกระเรียนนกกระเรียนฟ้านกกระเรียนกู่นกกระเรียนมงกุฎนกกระเรียนมงกุฎดำนกกระเรียนมงกุฎแดงนกกระเรียนมงกุฎเทานกกระเรียนยุโรปนกกระเรียนหมวกขาวนกกระเรียนออสเตรเลียนกกระเรียนคอขาวนกกระเรียนคอดำนกกระเรียนไทยนกกระเรียนไซบีเรียนกกระเรียนเล็กนกกระเรียนเหนียงคอยาวนกกระเรียนเนินทรายนกกระเต็นนกกระเต็นขาวดำใหญ่นกกระเต็นปักหลักนกกระเต็นน้อยธรรมดานกกระเต็นเฮอร์คิวลิสนกกะรางหัวขวานนกกะปูดนกกะปูดใหญ่นกกานกกาภูเขาปากแดงนกกางเขนนกกางเขนดงนกกาน้อยหงอนยาวนกกาน้อยแถบปีกขาวนกกาน้ำนกกาน้ำปากยาวนกกาน้ำใหญ่นกกาน้ำเล็กนกกาน้ำเล็ก (สกุล)นกกาเหว่านกกินปลีนกกินปลีหางยาวเขียวนกกินปลีอกเหลืองนกกินปลีดำม่วงนกกินปลีคอสีน้ำตาลนกกินปลีแดงหัวไพลินนกกินแมลงเด็กแนนนกกินเปี้ยวนกกิ้งโครงคอดำนกกีวีนกกีวีสีน้ำตาลนกมานูโคดนกยางดำนกยางควายนกยางแดงใหญ่นกยางโทนใหญ่นกยูงนกยูงอินเดียนกยูงคองโกนกยูงไทยนกร่อนทะเลหางแดงนกลุมพูนกลุมพูขาวนกลุยน้ำนกศิวะนกศิวะหางสีตาลนกสาลิกานกสาลิกาดงนกสาลิกาปากดำนกสาลิกาเขียวนกสีชมพูสวนนกหกนกหกใหญ่นกหกเล็กปากดำนกหว้านกหัวขวานสามนิ้วหลังทองนกหัวขวานดำนกหัวขวานด่างแคระนกหัวขวานเขียวตะโพกแดงนกหัวค้อนนกหัวโตกินปูนกหัวโตมลายูนกหัวโตทรายใหญ่นกหงส์หยกนกออกนกอัญชันอกสีไพลนกอัญชันคิ้วขาวนกอัลบาทรอสนกอัลบาทรอสคิ้วดำนกอินทรีฟิลิปปินนกอินทรีสีน้ำตาลนกอินทรีฮาร์ปีนกอินทรีทองนกอินทรีทะเลชเตลเลอร์นกอินทรีปาปัวนกอีก๋อยนกอีลุ้มนกอีวาบตั๊กแตนนกอีเสือนกอีเสือลายนกอีเสือสีน้ำตาลนกอีเสือหลังเทานกอ้ายงั่วนกอ้ายงั่วแอฟริกันนกจมูกหลอดยักษ์ขั้วโลกใต้นกจมูกหลอดลายนกจาบนกจาบสังคมนกจาบอกลายนกจาบธรรมดานกจาบทองนกจาบควายนกจาบคาหัวเขียวนกจาบปีกอ่อนสร้อยคอสีน้ำตาลนกจาบเหลืองนกทึดทือนกทึดทือพันธุ์เหนือนกทึดทือมลายูนกขมิ้นนกขุนทองนกขุนแผนนกดำน้ำน้อยดีนกดำน้ำไร้ปีกนกคอพันนกคอกคาทีลนกคุ่มนกคุ่มสีนกคีรีบูนนกตบยุงหางยาวนกตะกรุมนกตะขาบทุ่งนกตะขาบทุ่งอกสีม่วงนกตะขาบดงนกติ๊ดสีน้ำเงินนกตีทองนกต้อยตีวิดนกปรอดนกปรอดหัวสีเขม่านกปรอดหัวโขนนกปลีกล้วยหูเหลืองใหญ่นกปักษาสวรรค์ (สกุล)นกปักษาสวรรค์ใหญ่นกปักษาสวรรค์โกลดีนกปักษาสวรรค์เล็กนกปากห่างนกปากงอนนกปากซ่อมนกปีกลายสก็อตนกนางนวลหัวดำนกนางนวลธรรมดานกนางนวลแกลบหงอนใหญ่นกนางนวลแกลบเล็กนกนางแอ่นนกนางแอ่นแม่น้ำนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกานกน้ำลายดำนกแก๊กนกแก้วอิเคล็กตัสนกแก้วคาคาโปนกแก้วโม่งนกแว่นสีน้ำตาลนกแว่นสีเทานกแสกนกแสก (สกุล)นกแสกทุ่งหญ้านกแสกแดงนกแสกแดง (สกุล)นกแอ่นพงนกแขกเต้านกแขวกนกแคสโซแวรีนกแคสโซแวรีใต้นกแต้วแร้วนกแต้วแร้วท้องดำนกแต้วแร้วป่าโกงกางนกแซวสวรรค์นกแซงแซวสีเทานกแซงแซวหางบ่วงใหญ่นกแซงแซวหางบ่วงเล็กนกแซงแซวหางปลานกแซงแซวหงอนขนนกแซงแซวเล็กเหลือบนกโพระดกคอสีฟ้านกโมอานกโจรสลัดนกโคเอลนกโนรีนกไต่ไม้นกไต่ไม้สีสวยนกเกาะคอนนกเลิฟเบิร์ดนกเลขานุการนกเหยี่ยวกินหอยทากนกเอี้ยงนกเอี้ยงสาลิกานกเอี้ยงหัวสีทองนกเอี้ยงคำนกเจย์สีน้ำตาลซินเจียงนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรนกเขาชวานกเขาพม่านกเขาใหญ่นกเขียวก้านตองนกเขียวก้านตองท้องสีส้มนกเขียวก้านตองปีกสีฟ้านกเขียวก้านตองใหญ่นกเขียวก้านตองเล็กนกเขนน้อยไซบีเรียนกเดินดงสีดำนกเด้าลมนกเค้านกเค้ากู่นกเค้าจุดนกเค้าป่าสีน้ำตาลนกเค้าป่าหลังจุดนกเค้าแมวหิมะนกเค้าแมวหูสั้นนกเค้าแคระนกเค้าใหญ่นกเค้าใหญ่พันธุ์สุมาตรานกเค้าใหญ่แวโรนกเค้าโมงนกเค้าเหยี่ยวนกเงือกนกเงือกกรามช้างนกเงือกกรามช้างปากเรียบนกเงือกสีน้ำตาลนกเงือกสีน้ำตาลคอขาวนกเงือกหัวหงอกนกเงือกหัวแรดนกเงือกดำนกเงือกดินนกเงือกดินใต้นกเงือกคอแดงนกเงือกปากย่นนกเงือกปากดำนกเงือกปากเหลืองถิ่นใต้นกเงือกโหนกเล็กนกเปล้านกเปล้าใหญ่นกเป็ดผีนกเป็ดผีคอดำนกเป็ดผีใหญ่นกเป็ดผีเล็กนกเป็ดน้ำหางวงแหวนนอร์แมน เบตส์นอติลอยด์นักล่า-เก็บของป่านากนากญี่ปุ่นนากยักษ์นากหญ้านากจมูกขนนากทะเลนากแม่น้ำนากใหญ่นากใหญ่ธรรมดานากใหญ่ขนเรียบนากเล็กนากเล็กเล็บสั้นนางฟ้าทะเลนาโธสโทมูลิดานิลกายนิวต์นิวต์หางใบพายนิวต์หงอนใหญ่นิวต์ผิวขรุขระนิวต์จระเข้นิวต์ท้องแดงนิวต์ท้องแดงจีนนิวต์แปซิฟิกนิเวศวิทยานิเวศวิทยาชุมชนเมืองนีมาโทดานีแอนเดอร์ทาลนีโอพัลปา โดนัลด์ทรัมปีนีเมอร์เทียน้ำมันประกอบอาหารน้ำลายแบรีออนิกซ์แบรคิโอพอดแบรคิโอซอรัสแบล็ก & ไวต์แบล็กบักแบทแมน บีกินส์แบดเจอร์แบดเจอร์ยุโรปแบคทีเรียแบคทีเรียดื้อยาแบ็บทอนิสแฟนพันธุ์แท้ 2008แพรรีด็อกแพลทีโอซอรัสแพลงก์ตอนแพะแพคิเซอฟาโลซอรัสแพนด้ายักษ์แพนด้ายักษ์ (สกุล)แพนด้าฉินหลิ่งแพนด้าแดงแกรฟโตไลต์แกรนท์กาเซลล์แกสโทรทริชาแกะแกะภูเขาแก๊สเรือนกระจกแมลงแมลงชีปะขาวแมลงช้างปีกใสแมลงกระชอนแมลงภู่แมลงวันแมลงวันสีแมลงวันทองแมลงวันดอกไม้แมลงวันตอมดอกไม้ บิล เกตส์แมลงวันตอมดอกไม้ พอล อัลเลนแมลงวันแมงมุมแมลงสาบแมลงสาบมาดากัสการ์แมลงอุตสาหกรรมแมลงทับแมลงทับกลมขาเขียวแมลงทับราชาแมลงดาแมลงปอแมลงปอบ้านสองสีเขียวฟ้าแมลงแกลบแมลงเสือซอลต์ครีกแมวแมวพัลลัสแมวลายหินอ่อนแมวอิริโอะโมะเตะแมวทรายแมวดาวแมวตีนดำแมวป่าแมวป่าหัวแบนแมวน้ำช้างแมวน้ำมีหูแมวน้ำลายพิณแมวน้ำเสือดาวแมวแดงบอร์เนียวแมวเสือแมสโสสปอนดิลัสแมงแมงกะพรุนแมงกะพรุนสาหร่ายแมงกะพรุนหัวคว่ำแมงกะพรุนหนังแมงกะพรุนถ้วยแมงกะพรุนโนะมุระแมงกะพรุนไฟแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกสแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกสอินโด-แปซิฟิกแมงกินลิ้นแมงมันแมงมุมแมงมุมกระโดดแมงมุมมดแดงแมงมุมลูกตุ้มแมงมุมสันโดษเมดิเตอร์เรเนียนแมงมุมหว่านแหแมงมุมทะเลแมงมุมทารันทูล่าแมงมุมปูขี้นกแมงมุมน้ำแมงมุมแม่ม่ายดำแมงมุมแม่ม่ายน้ำตาลแมงมุมแวมไพร์แมงอีนูนแมงดาแมงดาญี่ปุ่นแมงดาจานแมงดาถ้วยแมงดาแอตแลนติกแมงคีมแมงคีมยีราฟแมงคีมละมั่งเหลืองแมงป่องแมงป่องช้างแมงป่องช้างก้ามยาวแมงป่องช้างใต้แมงป่องแส้แมนนาทีอินเดียตะวันตกแมนนาทีแอฟริกาแมนนาทีแอมะซอนแม่หอบแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาพแย้แย้กะเทยแย้เส้นแรมิพีเดียแรมโฟริงคัสแรดแรดชวาแรดอินเดียแรดขาวแรดขาวเหนือแรดดำแรดดำตะวันตกแร็กคูนแร้งแร้งสีน้ำตาลแร้งสีน้ำตาลหิมาลัยแร้งดำหิมาลัยแร้งคอนดอร์แอนดีสแร้งโลกใหม่แร้งโลกเก่าแร้งเทาหลังขาวแร้งเคราแลมบีโอซอรัสแอฟริกากลางแอกโซลอเติลแอมฟิอูมาแอมฟิอูมาสองนิ้วแอมโมนอยด์แอมโมไนต์แอลลิเกเตอร์อเมริกาแอลลิเกเตอร์จีนแอดแดกซ์แองคิโลซอรัสแอนทิโลปสี่เขาแอนทิโลปปศุสัตว์แอนทิโลปแคระแอนคิออร์นิสแอนตาร์กติกซิลเวอร์ฟิชแอนโธซัวแอโครแคนโทซอรัสแฮมสเตอร์แฮมสเตอร์จีนแฮมสเตอร์โรโบรอฟสกีแฮ็กฟิชแทสเมเนียนเดวิลแดนซ์ แดนซ์ เรโวลูชันแคมาราซอรัสแคราแคลแตนแซนแทนาแรปเทอร์โบโนโบโพรโทเธอเรียโพลาแคนทัสโพลีคีทาโพโกโนฟอราโมซาซอร์โมโนทรีมโยชิโรควัวบ้าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า อุตรดิตถ์โรติเฟอร์โลมาโลมามหาสมุทรโลมาหลังโหนกโลมาหัวบาตรหลังเรียบโลมาอิรวดีโลมาฮาวี่ไซด์โลมาครีบทู่โลมาปากขวดโลมาปากขวดอินโดแปซิฟิกโลมาปากขวดธรรมดาโลมาแม่น้ำโลมาแม่น้ำอาราไกวยาโลมาแม่น้ำจีนโลมาแม่น้ำแอมะซอนโลมาแม่น้ำโบลิเวียโอพอสซัมโอพิสโธคอนตาโอลิงกีโตโอลิโกคีทาโอล์มโอวิแรปเตอร์โอคาพีโฮโมโทรูลีนโขนโดโดโคริโทซอรัสโคอาลาโคอาทีโคะอิโคะอิโคเรียโนซอรัส (ออร์นิโธพอด)โปรโตเซอราทอปส์โนซิเซ็ปชันไบรโอซัวไบลาทีเรียไบซาออริกซ์ไฟลัมไฟลัมย่อยไพกาไพรมหากาฬไพรอะพูลาไพลโอซอร์ไพโรโซมไก่ไก่ฟ้าพญาลอไก่ฟ้าสีทองไก่ฟ้าสีเลือดไก่ฟ้าหลังขาวไก่ฟ้าหลังเทาไก่ฟ้าหางลายขวางไก่ฟ้าหน้าเขียวไก่จุกไก่งวงไก่ต๊อกไก่ต๊อกหมวกเหล็กไก่ต๊อกอีแร้งไก่ป่าไก่ป่าชวาไก่ป่าลังกาไก่ป่าอินเดียไก่นวลไก่เถื่อนไมอาซอราไมโครแรปเตอร์ไรทะเลไรขาวไรน้ำนางฟ้าไรแดงไรเฟิล วินเชสเตอร์ .375 โมเดล 70ไลโอพลัวเรอดอนไลเกอร์ไวมานูไวรัสไส้เดือนยักษ์กีนาบาลูไส้เดือนดินไส้เดือนน้ำไหม (แมลง)ไอโซพอดไฮยีน่าไฮยีน่าลายจุดไฮดรอกซิซีนไฮดรา (สกุล)ไฮแรกซ์หินไฮแรกซ์จุดเหลืองไฮแรกซ์ต้นไม้ไฮโดรซัวไฮโนซอรัสไจกาโนโทซอรัสไทกอนไทรออปส์ไทรนาครอมีรัมไทรโลไบต์ไทรเซราทอปส์ไทลาซีนไททันโอโบอา แซร์อาโฮนเอนซิสไททันโนซอรัสไทแรนโนซอรัสไขมันทรานส์ไข่มุกไดพลอโดคัสไดยีมิดาไดโลโฟซอรัสไดโปรโตดอนไดโนนีคัสไดโนเสาร์ไดโนเซฟาโลซอรัสไครนอยด์ไครโอโลโฟซอรัสไคโนรินชาไซส์โมซอรัสไซคาเนียไซน์แรปเตอร์ไซโฟซัวไซโฟซูราไซเรน (สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก)ไซเรนแคระไนดาเรียไนโตรเจนออกไซด์เชลิเซอราตาเบวะซิซิวแมบเชสนัส มาคอว์เชื้อเพลิงเบียร์ดดราก้อนเบียร์ดดราก้อน (สกุล)เบเลมไนต์เฟร์ริตเฟอร์ริตินเฟิร์นเพชรพระอุมาเพรียงหัวหอมเพลสิโอซอร์เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเพลี้ยแป้งเพียงพอนเพียงพอนสีน้ำตาลเพียงพอนโคลัมเบียเพียงพอนไซบีเรียเพียงพอนเส้นหลังขาวเพนกวินเพนกวินชินสแตรปเพนกวินมาเจลลันเพนกวินราชาเพนกวินริดเกนเพนกวินลายเพนกวินหางแปรงเพนกวินอาเดลีเพนกวินฮัมโบลต์เพนกวินจักรพรรดิเพนกวินปีกขาวเพนกวินน้อยเพนกวินแอฟริกันเพนกวินเจนทูเกมส์ซ่าท้ากึ๋นเกรินุกเกลือเก้งเก้งยักษ์เก้งหม้อเก้งอินโดจีนเก้งจีนเก้งธรรมดาเก้งเจื่องเซินเภสัชศาสตร์เภสัชเวทเภสัชเคมีเมกะลาเนียเมกาซีลลีน กูชาเมก้าแร็ปเตอร์เมลาโนโซมเมอโรสโทมาทาเมืองออโกก๊กเมียร์แคตเมทาเธอเรียเมแทบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรตเม่นหางพวงเม่นทะเลเม่นต้นไม้เม่นใหญ่เม่นใหญ่แผงคอยาวเม็กกาโลดอนเยติเรือดเรดบิลลี่ มาคอว์เลียงผาเลียงผาญี่ปุ่นเลียงผาใต้เลียงผาเหนือเสมหะเสือเสือชีตาห์เสือชีตาห์เอเชียเสือพูม่าเสือกเสือลายเมฆเสือลายเมฆบอร์เนียวเสือจากัวร์เสือดาวเสือดาวหิมะเสือดาวอามูร์เสือดาวอาระเบียเสือดาวอินโดจีนเสือดาวอินเดียเสือดาวแอฟริกาเสือปลาเสือโคร่งเสือโคร่งชวาเสือโคร่งบาหลีเสือโคร่งมลายูเสือโคร่งสุมาตราเสือโคร่งอินโดจีนเสือโคร่งจีนใต้เสือโคร่งแคสเปียนเสือโคร่งไซบีเรียเสือโคร่งเบงกอลเสือไฟเสือไฟแอฟริกาเสียงคำรามเส้นทางการเดินทางในเพชรพระอุมาเส้นนัซกาเส้นเวลาการสำรวจระบบสุริยะเหยี่ยวเหยี่ยวกิ้งก่าสีดำเหยี่ยวรุ้งเหยี่ยวออสเปรเหยี่ยวทุ่งแถบเหนือเหยี่ยวดำเหยี่ยวดำท้องขาวเหยี่ยวค้างคาวเหยี่ยวปลาเหยี่ยวปลาใหญ่หัวเทาเหยี่ยวปลาเล็กหัวเทาเหยี่ยวนกเขาเหยี่ยวนกเขาชิคราเหยี่ยวแมลงปอเหยี่ยวแดงเหยี่ยวแคระเหยี่ยวแคระแอฟริกันเหยี่ยวเพเรกรินเหยี่ยวเคสเตรลเหยี่ยวเคสเตรลพันธุ์อเมริกาเหลือบเหี้ยเหี้ยดำเห่าช้างเห็บโคเห็ดราเห็ดหลุบเห็ดทะเลเห็ดทะเลหูช้างเอบิลิซอรัสเอชไอวีเออร์มินเอาชีวิตรอดเอปเอปตาเซียเอไคยูราเอ็ดมอนโตซอรัสเอ๋อเหมยซอรัสเฮลล์เบนเดอร์เฮสเปอร์รอร์นิสเฮอร์รีราซอรัสเฮดจ์ฮอกเฮดจ์ฮอกยุโรปเฮดจ์ฮอกสี่นิ้วเฮเทโรทรอพเจมส์บอกเจนเพตเธอเรียเทอริสิโนซอรัสเทอโรซอร์เทอโรแดคทิลลัสเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่เทนตะคูไลต์เทโรพอดเท้าเทเลโอคราเตอร์เขียดว้ากเขียดจิกเขียดงูเดรัจฉานเดวิด ลิฟวิงสโตนเดสเพลโตซอรัสเดดิคูรัสเคยเคยแอนตาร์กติกาเครย์ฟิชเครื่องจักรความร้อนเคลดเคสทิดาเคนโทรซอรัสเคแมนเคแมนแคระเคแมนแคระกูว์วีเยเงือกเตาเจียงโกซอรัสเต่าเต่าบกเต่าบกอินโดจีนเต่าบกเอเชียเต่าบินเต่าบึงเต่าบึงดำเต่ากระเต่ากระอานเต่าญี่ปุ่นเต่ามะเฟืองเต่ามาตามาต้าเต่ายักษ์กาลาปาโกสเต่ายักษ์เซเชลส์เต่ายูนิฟอราเต่ารัศมีดาราเต่าราเดียตาเต่าริดลีย์เต่าลายตีนเป็ดเต่าสแนปปิ้งเต่าหกเต่าหญ้าเต่าหับเต่าหับเอเชียเต่าหัวค้อนเต่าอัลลิเกเตอร์เต่าอาร์คีลอนเต่าจักรเต่าจานเต่าทะเลเต่าดาวเต่าดาวพม่าเต่าดำเต่าดำแฮมิลตันเต่าคอยาวเต่าคองูเต่าคองูเหนือเต่าตนุเต่าซูลคาต้าเต่าปากแม่น้ำเต่าปูลูเต่าป่าอาระกันเต่านาเต่านาหัวใหญ่เต่านาอีสานเต่าน้ำบอร์เนียวเต่าแพนเค้กเต่าแก้มแดงเต่าแม่น้ำมาลาวีเต่าใบไม้เต่าเสือดาวเต่าเหลืองเต่าเดือยเตโตรโดท็อกซินเซฟาโลคอร์ดาตาเซกโนซอรัสเซลล์ประสาทเซอราแซลมัสเซอราโตซอรัสเซอร์วัลเซคันด์ไลฟ์เซเบิลเป็ดเป็ดบ้านเป็ดพม่าเป็ดก่าเป็ดหางแหลมเป็ดหงส์เป็ดคับแคเป็ดแมลลาร์ดเป็ดแมนดารินเป็ดแดงเนื้อทรายเนื้อทรายอินโดจีนเนื้อเยื่อเนื้อเยื่อบุผิวเนื้อเยื่อคัพภะเนื้อเยื่อเจริญเนเฟชBalistoidesBangana lippusBangana sinkleriBenthosemaBolinichthysBothrops insularisBrookesia micraBucerosCaenorhabditis elegansCassiopea andromedaCentrobranchusCeratoscopelusCervusChironex fleckeriClione limacinaCOPINE ScaleDiaphusDiogenichthysElectronaEntelodontEpiplatysEristalis tenaxEuryplatea nanaknihaliFilopaludina martensiGeckolepis megalepisGene flowGonichthysGymnoscopelusHan solo (ไทรโลไบต์)Harryplax severusHeterometrus laoticusHintonia (ปลา)Homo erectusHomo nalediHydrornisHyelaphusHygophumHymenoceridaeICD-10 บทที่ 20: สาเหตุภายนอกของการเจ็บป่วยและการตายIdiogramma elbakyanaeIdiolychnusKrefftichthysLampadenaLampanyctodesLampanyctusLampichthysLamprologus ocellatusLatimeriaLepidophanesLobianchiaLoweinaMacrobrachium lanchesteriMakararaja chindwinensisMalo kingiManogea porraceaMegapiranhaMetelectronaMicrodontinaeMyctophumNannobrachiumNotolychnusNotoscopelusPachysticus jenisiPaedophrynePaedophryne amauensisPalaemonidaeParviluxPenaeidaePhascolarctosPolycentrusProtomyctophumPygocentrus palometaRhynchocinetidaeRNA interferenceRucervusScopelopsisSiamogale melilutraSolen regularisSpongilla lacustrisStenobrachiusStereociliaSymbolophorusTaaningichthysTachypleusTarletonbeaniaTriphoturusXenarthraXenotilapia papilio ขยายดัชนี (3517 มากกว่า) »

Acantopsis choirorhynchos

Acantopsis choirorhynchos เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาหมูแท้ (Cobitidae) มีลำตัวเล็ก ขนาดยาวไม่เกิน 30 เซนติเมตร (แต่ที่พบโดยทั่วไปจะยาวเพียงแค่ 5-14 เซนติเมตร) หัวแหลม ตาเล็ก หางแหลม กลางลำตัวมีเส้นสีเทาจากหัวถึงหางระหว่างเส้นมีจุดสีดำเป็นแนวยาว ครีบหางเว้าตื้น มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ในพื้นท้องน้ำที่มีกรวดทรายและมีกระแสน้ำไหลเชี่ยว สามารถมุดทรายได้อย่างรวดเร็วเมื่อตกใจหรือจะซ่อนตัวจากสัตว์นักล่า A. choirorhynchos เป็นปลาพื้นเมืองในรัฐอัสสัมของอินเดีย, พม่า, ไทย, เวียดนาม, มาเลเซีย (ทั้งตะวันตกและตะวันออก) และเกาะสุมาตราและเกาะชวาของอินโดนีเซีย ตัวอย่างที่นำมาจัดอนุกรมวิธานถูกจับมาจากบริเวณจุดบรรจบระหว่างแม่น้ำเลอมาตังกับแม่น้ำเอนิมในจังหวัดสุมาตราใต้ ส่วนในไทยพบที่แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำยม แม่น้ำวัง แม่น้ำมูล แม่น้ำสงคราม แม่น้ำปัตตานี เป็นต้น เนื่องจากปลาชนิดนี้เป็นปลาขนาดเล็ก จึงนิยมบริโภคด้วยการรับประทานทั้งตัวและก้าง โดยนำมาทำเป็นอาหารได้หลายอย่างทั้งการปรุงสดและตากแห้ง โดยรายการที่ขึ้นชื่อที่สุด คือ ปลารากกล้วยทอดกระเทียม รับประทานกับข้าวต้ม สำหรับการปรุงสดสามารถทำอาหารได้หลากหลาย เช่น ต้มยำ ต้มโคล้ง ฉู่ฉี่ นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ นิยมเลี้ยงเพราะเป็นปลาที่เก็บเศษอาหารที่ปลาอื่นกินเหลือไว้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยพรวนทรายให้ร่วนอยู่ตลอดเวลาด้วย จากการที่มันสามารถมุดทรายได้เป็นอย่างดี อนึ่ง A. choirorhynchos มีชื่อสามัญในภาษาไทยว่า "ปลารากกล้วย" หรือ "ปลาซ่อนทราย" ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกร่วมกับปลาชนิดอื่น ๆ ในสกุล Acantopsis ของวงศ์ปลาหมูราชบัณฑิตยสถาน.

ใหม่!!: สัตว์และAcantopsis choirorhynchos · ดูเพิ่มเติม »

Aceros

Aceros เป็นสกุลของนกเงือกขนาดใหญ่สกุลหนึ่ง พบในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ โดยในสกุลนี้บางชนิดอาจถูกจัดให้อยู่ในสกุล Rhyticeros โดยถือว่าเป็นสกุลเดียว รวมถึงนกเงือกคอแดง ที่เหลืออาจจะจัดให้อยู่ในสกุล Rhyticeros นอกจากนี้แล้วนกเงือกหัวหงอกก็จัดอยู่ในสกุลนี้ด้วย แต่ส่วนใหญ่ขณะนี้ถูกจัดให้อยู่ในสกุล Berenicornis แทน โดยที่คำว่า Aceros (/อาแกร็อส/) มาจากคำว่า "cera" หรือ "keras" ซึ่งเป็นภาษากรีก (κερος) แปลว่า "เขาสัตว์" และ A ที่เป็นอุปสรรค หมายถึง "ไม่" โดยรวมหมายถึง "ไม่มีเขา" อันหมายถึง นกเงือกในสกุลนี้ไม่มีโหนกแข็งอยู่บนหัวเหมือนนกเงือกสกุลอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และAceros · ดูเพิ่มเติม »

Anorrhinus

Anorrhinus เป็นสกุลของนกจำพวกนกเงือก เป็นนกเงือกขนาดเล็ก พบกระจายพันธุ์ในป่าทึบของภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ (รวมถึงชายแดนอินเดียและจีน) เป็นนกที่มีพฤติกรรมทางสังคมปรากฏให้เห็นและช่วยเหลือกันในกลุ่ม.

ใหม่!!: สัตว์และAnorrhinus · ดูเพิ่มเติม »

Anthracoceros

Anthracoceros เป็นสกุลของนกจำพวกนกเงือก จัดเป็นนกเงือกขนาดเล็ก พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ประกอบด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และAnthracoceros · ดูเพิ่มเติม »

Arapaima leptosoma

Arapaima leptosoma ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะพัด (Osteoglossidae) หรือวงศ์ปลาอะราไพม่า (Arapaimidae) ชนิดหนึ่ง จัดเป็นปลาอะราไพม่าชนิดใหม่ ที่เพิ่งประกาศไปเมื่อ..

ใหม่!!: สัตว์และArapaima leptosoma · ดูเพิ่มเติม »

Astronotus crassipinnis

Astronotus crassipinnis เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) เป็นปลาที่ใกล้เคียงกับปลาออสการ์ (A. ocellatus) ซึ่งเป็นปลาหมอสีที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามมาอย่างยาวนาน ด้วยเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน มีการกระจายพันธุ์ในแม่น้ำในทวีปอเมริกาใต้ เช่น แม่น้ำปารากวัย สเวน ออสการ์ คูลเลนเดอร์ นักมีนวิทยาชาวสวีเดนรายงานว่าพบในตอนบนของแม่น้ำแอมะซอน ในเขตประเทศเปรูด้วย มีลักษณะคล้ายกับปลาออสการ์ แต่มีสีพื้นลำตัวสีคล้ำกว่า และไม่มีจุดบนหลังเหมือนปลาออสการ์ มีลักษณะเด่น คือ มีแถบพาดยาวที่บริเวณหลังครีบอก และมีสีค่อนข้างสว่าง ซึ่งไม่พบในปลาออสการ์ หรือพบก็ไม่เป็นรูปร่างที่ชัดเจน นอกจากนี้แล้วยังแตกต่างกันที่จำนวนของเกล็ดและจำนวนของก้านครีบอ่อน ขนาดใหญ่ที่สุดวัดได้ 9.4 นิ้ว และอาจจะมีขนาดใกล้เคียงกับปลาออสการ์ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่นับว่าเป็นปลาชนิดที่หาได้ค่อนข้างยาก โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์คำว่า Crassipinnis มาจากภาษากรีกคำว่า fat fat และ Pinna หมายถึง "ปลา".

ใหม่!!: สัตว์และAstronotus crassipinnis · ดูเพิ่มเติม »

ATC รหัส V01

วนของ ระบบจำแนกประเภทยาตามการรักษาทางกายวิภาคศาสตร์ (Anatomical Therapeutic Chemical Classification System) V อื่นๆ (Various).

ใหม่!!: สัตว์และATC รหัส V01 · ดูเพิ่มเติม »

บรรพบุรุษร่วมที่ใกล้กันที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก

อาณาจักรและโดเมน สีม่วงคือแบคทีเรีย สีเทาเข้มคืออาร์เคีย สีน้ำตาลคือยูแคริโอต โดยยูแคริโอตยังแบ่งออกเป็น 5 อาณาจักรคือ สัตว์(แดง) ฟังไจ(น้ำเงิน) พืช(เขียว) โครมาลวีโอลาตา(น้ำทะเล) และ โพรทิสตา(เหลืองทอง) โดยมีจุดศูนย์กลางคือ บรรพบุรุษร่วมที่ใกล้กันที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก (LUCA) บรรพบุรุษร่วมที่ใกล้กันที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก (last universal common ancestor; ตัวย่อ: LUCA) หมายถึง สิ่งมีชีวิตรุ่นล่าสุด ที่เป็นบรรพบุรุษร่วมกันของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกนี้ คล้ายคลึงกับ บรรพบุรุษร่วมที่ใกล้กันที่สุด (MRCA) ซึ่งหมายความถึงสับเซตใดๆของ LUCA ขณะที่ LUCA เองมีความหมายครอบคลุมถึงทุกเซตทั้งหม.

ใหม่!!: สัตว์และบรรพบุรุษร่วมที่ใกล้กันที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก · ดูเพิ่มเติม »

บรรพชีวินวิทยา

นักบรรพชีวินวิทยา บรรพชีวินวิทยา (Paleontology) คือ วิชาที่ศึกษาลักษณะรูปร่าง ลักษณะความเป็นอยู่ และประวัติการวิวัฒนการของสิ่งมีชีวิต ได้แก่สัตว์และพืชในธรณีกาล โดยอาศัยข้อมูลหรือร่องรอยต่างๆ ของสัตว์และพืชนั้นๆที่ถูกเก็บบันทึกและรักษาไว้ในชั้นหิน จัดเป็นแขนงหนึ่งของวิชาธรณีวิทยา ที่อาศัยความรู้ทางชีววิทยาปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับหลักฐานที่ได้สภาพซากดึกดำบรรพ์ เพื่อให้เข้าใจสภาพแวดล้อมในอดีตในช่วงที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่ ผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์ เรียกว่า นักบรรพชีวินวิท.

ใหม่!!: สัตว์และบรรพชีวินวิทยา · ดูเพิ่มเติม »

บรอนโตเทอเรียม

รอนโตเทอเรียม (Brontotherium มีความหมายว่าสัตว์แห่งสายฟ้า) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกีบคี่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วสกุลหนึ่งในวงศ์ Brontotheriidae ซึ่งเป็นวงศ์ของสัตว์กินหญ้าที่คล้ายแรดและมีความเกี่ยวพันกับม้า สกุลนี้ได้รับการค้นพบในแถบทวีปอเมริกาเหนือในช่วงปลายของยุค Eocene ซากที่เหลือของบรอนโตเทอเรียมได้รับการค้นพบในบริเวณรัฐเซาท์ดาโคตาและเนวาดา ในอดีต ชนเผ่าซุกซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของอเมริกันได้ค้นพบบรอนโตเทอเรียมจากการมาของพายุฝน และเชื่อว่าเมื่อใดที่พวกมันวิ่งอยู่เหนือก้อนเมฆจะทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง และได้เรียกพวกมันว่าม้าแห่งสายฟ้า กระดูกที่ค้นพบโดยชนเผ่าซุกนั้นเป็นกระดูกของฝูงบรอนโตเทอเรียมที่ตายจากการระเบิดของภูเขาไฟในบริเวณเทือกเขาร็อกกีซึ่งยังมีพลังอยู่และปะทุตัวบ่อยในขณะนั้น ตาม Mihlbachler et al.

ใหม่!!: สัตว์และบรอนโตเทอเรียม · ดูเพิ่มเติม »

บรู๊คเคเซีย

รู๊คเคเซีย (Dwarf chameleon, Leaf chameleon) เป็นกิ้งก่าคาเมเลี่ยนสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Brookesia เป็นกิ้งก่าคาเมเลี่ยนสกุลที่เล็กที่สุด มีความยาวเฉลี่ยเพียง 2.5–5.5 เซนติเมตร เท่านั้น และมีสีลำตัวเป็นสีน้ำตาลเข้ม เพื่อที่จะพรางตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่อาศัย เป็นสีหม่นไม่สดใสเหมือนกิ้งก่าคาเมเลี่ยนสกุลอื่น ๆ และปลายหางสามารถที่จะม้วนงอได้เพียงแค่สำหรับป่ายปีนตามพุ่มไม้หรือตามพื้นดินเท่านั้น เนื่องจากเป็นกิ้งก่าคาเมเลี่ยนที่หากินบนพื้นดิน ไม่สามารถที่จะปีนต้นไม้ได้ โดยปกติจะหลบซ่อนอยู่อยู่ใต้กองใบไม้ที่หลบทับถมกันอยู่พื้นดิน ในบางชนิด คือ B. micra ได้รับการประกาศว่าเป็นกิ้งก่าและสัตว์เลื้อยคลานที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก โดยมีความยาวเพียง 2.4 เซนติเมตรเท่านั้น จนสามารถที่จะเกาะบนหัวไม้ขีดไฟได้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ากิ้งก่าคาเมเลี่ยนในสกุลนี้ เป็นสกุลที่เก่าแก่ที่สุดสกุลหนึ่งของกิ้งก่าคาเมเลี่ยน โดยวิวัฒนาการตัวเองขึ้นมาเฉพาะอาศัยอยู่บนเกาะมาดากัสการ์ แต่ด้วยความที่มีสีสันไม่สะดุดตา จึงทำให้เป็นที่รู้จักกันน้อย โดยบรู๊คเคเซียได้รับการบรรยายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกในปี..

ใหม่!!: สัตว์และบรู๊คเคเซีย · ดูเพิ่มเติม »

บลูทั้งค์

ำหรับบลูทั้งค์ที่เป็นโรคที่เกิดกับสัตว์กีบจำพวกสัตว์เคี้ยวเอื้อง ดูที่: โรคบลูทั้งค์ ลิ้นของบลูทั้งค์ที่เป็นสีน้ำเงิน บลูทั้งค์ หรือ จิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงิน (Blue-tongued skink, Blue-tongued lizard; ชื่อย่อ: ฺBTS) เป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภทกิ้งก่า จำพวกจิ้งเหลนสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Tiliqua บลูทั้งค์ เป็นจิ้งเหลนที่มีส่วนหัวใหญ่ เกล็ดเรียบลื่นมีความมัน แต่ลำตัวกลับป้อมสั้นอ้วนกลม หางสั้นป้อมกลมมน ระยางค์ขาทั้ง 4 ข้างสั้น มีลักษณะเด่นคือ มีลิ้นสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ บลูทั้งค์ แพร่กระจายพันธุ์ในประเทศอินโดนีเซีย, นิวกินี, อิเรียนจายา, ออสเตรเลีย และเกาะทัสมาเนีย เป็นสัตว์ที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น แมลง, หอยทาก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น หนู เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 2 ปี เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ตัวผู้จะกัดที่บริเวณคอของตัวเมียทำให้เกิดเป็นแผลได้ ขยายพันธุ์ด้วยการออกลูกเป็นตัวครั้งละประมาณ 6-8 ตัว ขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 45 เซนติเมตร บลูทั้งค์ เป็นสัตว์เลื้อยคลานอีกประเภทหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลายหรือสัตว์แปลก ๆ ซึ่งสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้วในปัจจุบัน การเลี้ยงบลูทั้งค์จะต้องการแสงยูวีน้อยกว่ากิ้งก่าจำพวกอื่น ๆ สามารถเลี้ยงได้โดยการให้อาหารสำเร็จรูปแบบกระป๋องของทั้งสุนัขและแมวผสมกัน และผสมแคลเซียมเข้าไป และมีน้ำให้อยู่เสมอ บลูทั้งค์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 8 ชนิด และยังสามารถแบ่งออกเป็นชนิดย่อย ๆ ต่าง ๆ ได้มากมาย ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และบลูทั้งค์ · ดูเพิ่มเติม »

บลูซีซลัก

ลูซีซลัก (blue sea slug) หรือที่รู้จักกันในชื่อของ sea swallow, blue glaucus และ blue ocean slug เป็นชื่อของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้น้ำทะเลลึกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสัตว์จำพวกหอย แต่จะมีรูปร่างลักษณะที่แปลกประหลาดออกไป.

ใหม่!!: สัตว์และบลูซีซลัก · ดูเพิ่มเติม »

บลูแอนด์โกลด์ มาคอว์

ลูแอนด์โกลด์ มาคอว์ (blue-and-gold macaw) เป็นนกมาคอว์ขนาดใหญ่ มีความยาวประมาณ 76-85 เซนติเมตร บลูแอนด์โกลด์ มาคอว์มีสีสันที่สวยงาม สามารถพบได้ในทวีปอเมริกาใต้ ในแถบประเทศ โบลิเวีย,บราซิล,เปรู เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และบลูแอนด์โกลด์ มาคอว์ · ดูเพิ่มเติม »

บล็อบฟิช

ล็อบฟิช (blobfish) เป็นปลาในวงศ์ Psychrolutes marcidus อาศัยในน้ำลึกนอกชายฝั่งออสเตรเลียแผ่นดินใหญ่และในแทสแมเนีย ซึ่งทำให้มีอีกชื่อหนึ่งว่า "ปลาทะเลน้ำลึก" (deep sea fish) บล็อบฟิชสามารถพบเจอได้ในก้นทะเลซึ่งมีความกดอากาศมากกว่าระดับทะเลทั่วไปอย่างมากและปรกติจะทำให้ประสิทธิภาพของกระเพาะปลาลดต่ำลง แต่บล็อบฟิชมีหนังเป็นแพวุ้นหุ้มหนาแน่นยิ่งกว่าท้องน้ำ จึงลอยตัวอยู่เหนือพื้นทะเลได้โดยไม่หมดกำลัง เนื่องจากที่อยู่ของฝูงบล็อบฟิชนั้นเข้าถึงยาก น้อยคนจึงได้เห็นปลาเหล่านี้ ที่ผ่านมาบล็อบฟิชติดอวนลากของชาวประมงบ่อยครั้ง หลายฝ่ายจึงกังวลกันว่า อวนลากกำลังคุกคามบล็อบฟิชที่ทะเลในออสเตรเลีย และทำให้จำนวนประชากรบล็อบฟิชลดลง ทั้งนี้ ออสเตรเลียอาจเป็นบ้านหลังเดียวของบล็อบฟิชในเวลานี้ ในนิยายเรื่อง นิวเวิลด์มังคีส์อินเดอะมังคีส์แลร์ (New World Monkeys in the Monkey's Lair) ของอาร์เธอร์ เพทรา (Arthur Petra) มีตัวละครชื่อ "วิกเตอร์ หยาง" (Victor Yang) ได้รับการพรรณนาว่าเหมือน "บล็อบฟิชรูปทราม" (ugly looking blobfish).

ใหม่!!: สัตว์และบล็อบฟิช · ดูเพิ่มเติม »

บอบแคต

อบแคต (Bobcat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง จำพวกแมวป่า พบกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาเหนือ จัดอยู่ในสกุลเดียวกับลิงซ์ ซึ่งเป็นแมวป่าชนิดที่พบได้ในทวีปยุโรป มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับลิงซ์ชนิดอื่น ๆ แต่บอบแคตมีขนาดลำตัวที่เล็กกว่า มีขาสั้นเหมือนแมวบ้าน ลำตัวล่ำสัน ขนปุยมีสีแต้มเป็นลายจุด พบกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะบริเวณที่หนาวเย็นแถบตอนเหนือสุดของสหรัฐอเมริกาติดกับแคนาดา และพบได้จนถึงเม็กซิโก เป็นสัตว์ที่ปรากฏมีขึ้นบนโลกเมื่อ 1.8 ล้านปีก่อน และแบ่งออกได้เป็น 13 ชนิดย่อย บอบแคต ไม่ได้เป็นสัตว์ที่อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์หรือถูกคุกคามแต่ประการใด แต่ทว่าในบางรัฐของสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกมีกฎหมายคุ้มครองอยู่ จำนวนประชากรของบอบแคตในปัจจุบันคาดว่ามีถึง 3,600,000 ตัว โดยเพิ่มขึ้นอย่างเสถียรในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้เชื่อว่า คงเป็นเพราะสภาพอากาศที่อุ่นขึ้นทำให้ไม่ต้องหาอาหารอย่างยากลำบากเหมือนในอดีต กอรปกับการไล่ล่าที่ลดลง ซึ่งผลกระทบของการเพิ่มขึ้นอย่างมากของบอบแคตนั้นส่งผลให้เกิดเป็นภาวะสัตว์รังควาญขึ้นมา โดยในบางชุมชนอาจพบบอบแคตเดินอยู่บนท้องถนน หรือไล่จับสัตว์เล็ก ๆ ในสวนหลังบ้านกินเป็นอาหารได้ หรืออาจคุกคามต่อปศุสัตว์หรือสัตว์เลี้ยง ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ผิดแผกไปจากแมวป่าชนิดอื่น ๆ ที่มักขี้อาย และอยู่อย่างสันโดษ.

ใหม่!!: สัตว์และบอบแคต · ดูเพิ่มเติม »

ชะมดแผง

มดแผง เป็นสกุลของชะมดสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Viverra มีลักษณะคล้ายกับชะมดหรืออีเห็นทั่วไป มีลักษณะเด่น คือ ที่อุ้งตีนมีนิ้วทั้งหมด 5 นิ้ว โดยที่หัวแม่เท้ามีขนาดเล็กมากจนดูเหมือนมี 4 นิ้ว เมื่อประทับลงบนพื้นดิน จะมีรอยเท้าเพียง 4 นิ้ว เนื่องจากหากินบนพื้นดินเป็นหลัก และมีขนาดใหญ่กว่าของอีเห็น อีกทั้งที่ขนบริเวณสันหลังจรดปลายหางมีลักษณะเป็นแผงขนสีดำ พาดยาวตั้งแต่สันคอไปตามแนวสันหลัง ซึ่งเวลาตกใจหรือต้องการข่มขู่ผู้รุกรานจะยกแผงขนหลังนี้ให้ตั้งชันได้ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญที่ใช้เรียกขาน ส่วนหางจะเป็นลายปล้อง ๆ เป็นชะมดขนาดใหญ่ หากินตามพื้นดินมากกว่าบนต้นไม้ และักินสัตว์เล็ก ๆ เช่น หนู, กระรอก หรือ กบ, เขียด มากกว่ากินผลไม้หรือลูกไม้ พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในอนุทวีปอินเดียและเอเชียอาคเนย์ทั้งส่วนที่เป็นแผ่นดินใหญ่ และเกาะต่าง ๆ ไปจนถึงเอเชียตะวันออก พบได้ในประเทศไทย 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และชะมดแผง · ดูเพิ่มเติม »

ชะมดแผงสันหางดำ

มดแผงสันหางดำ (Large-spotted civet) เป็นชะมดชนิดหนึ่ง มีรูปร่างและลักษณะคล้ายคลึงกับชะมดแผงหางปล้อง (V. zibetha) แต่ต่างกันที่บริเวณหาง โดยหางของชะมดแผงสันหางดำจะมีลายขวางสีดำบริเวณด้านบนของหางลากยาวมาจากโคนหางถึงปลายหาง ทำให้ปล้องหางไม่แยกขาดจากกันเหมือนชะมดแผงหางปล้อง ปลายหางมีสีดำและมีลายจุดสีดำกระจายไปทั่วตัว มีความยาวลำตัวและส่วนหัว 72-85 เซนติเมตร ความยาวส่วนหาง 30-36.9 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 8-9 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถอาศัยอยู่ได้ในป่าหลากหลายประเภท ทั้งป่าสมบูรณ์ และตามสวนเกษตรกรรมต่าง ๆ เช่น สวนยางพารา หรือสวนปาล์มน้ำมัน แต่ส่วนมากมักพบเห็นตามพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 80-200 เมตร จากระดับน้ำทะเล โดยปกติแล้วมักอาศัยและหากินตามลำพัง ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์หรือเลี้ยงดูลูกอ่อน จะอยู่ด้วยกันเป็นคู่ จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และชะมดแผงสันหางดำ · ดูเพิ่มเติม »

ชะมดแผงหางปล้อง

มดแผงหางปล้อง (Large indian civet;; อีสาน: เหง็นแผงหางก่าน) เป็นชะมดชนิดหนึ่ง มีลำตัวสีเทาค่อนข้างดำ มีลายสีดำข้างลำตัว ข้างลำคอมีเส้นสีดำสามแถบพาดผ่านในแนวขวาง มีจุดเด่น คือ ส่วนหางมีลายสีดำสลับกับขาวเป็นปล้อง ๆ 5-6 ปล้อง มีขนสีดำสนิทพาดตั้งแต่กึ่งกลางหลังจนถึงโคนหาง เท้ามีสีดำ ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย จัดเป็นชะมดที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีความยาวลำตัวและหัว 75-85 เซนติเมตร ความยาวหาง 38-46 เซนติเมตร น้ำหนักตัว 8-10 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย, อินโดจีน, ประเทศจีน, ฮ่องกง, มาเลเซีย และสิงคโปร์ สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ในป่าหลากหลายประเภท แม้กระทั่งใกล้ชุมชนของมนุษย์ หากินในเวลากลางคืน กินอาหารได้หลากหลาย โดยจับเหยื่อจะใช้ฟันกัดและสะบัดอย่างแรงจนเหยื่อตายมากกว่าจะใช้เล็บตะปบ ตอนกลางวันจะนอนหลับตามโพรงไม้หรือโพรงหินหรือในถ้ำ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และชะมดแผงหางปล้อง · ดูเพิ่มเติม »

ชะมดแปลง

มดแปลง (Asiatic linsang) เป็นสกุลของสัตว์กินเนื้อ ในวงศ์ชะมดและอีเห็น (Viverridae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Prionodon (/ไพร-โอ-โน-ดอน/) ในวงศ์ย่อย Prionodontinae (หรือแยกออกมาเป็นวงศ์ต่างหาก คือ Prionodontidae) ชะมดแปลง เป็นชะมดจำพวกหนึ่งที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับชะมดส่วนใหญ่ทั่วไป แต่มีรูปร่างเพรียว มีหางยาว ความยาวลำตัวไม่เกิน 30 เซนติเมตร อาศัยและหากินส่วนใหญ่บนต้นไม้ ด้วยรูปร่างที่เพรียวยาวจึงทำให้ดูเผิน ๆ เหมือนงูไต่ตามต้นไม้มากกว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อุ้งตีนมีซองเก็บเล็บได้เหมือนสัตว์ตระกูลแมว มีสีขนตามลำตัวเป็นจุดหรือลายแถบคดเคี้ยวแตกต่างไปตามชนิด ส่วนหางเป็นปล้อง ๆ ไม่มีขนแผงคอหรือขนที่สันหลัง และมีลักษณะเด่นเฉพาะ คือ ไม่มีต่อมผลิตกลิ่น เหมือนชะมดหรืออีเห็นชนิดอื่น ๆ จึงได้ชื่อว่า ชะมดแปลงหน้า 82-84, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน.

ใหม่!!: สัตว์และชะมดแปลง · ดูเพิ่มเติม »

ชะมดแปลงลายจุด

มดแปลงลายจุด หรือ อีเห็นลายเสือ (Spotted linsang) เป็นชะมดชนิดหนึ่ง เป็นชะมดที่ไม่มีต่อมกลิ่นเช่นเดียวกับชะมดแปลงลายแถบ (P. linsang) และมีรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ส่วนหัวมีขนสีน้ำตาลอ่อน ลักษณะเด่นคือ มีจุดสีน้ำตาลเข้มหรือดำขึ้นอยู่ประปรายตามลำตัว หางยาวและมีแถบสีขาวสลับดำ หรือน้ำตาลเข้มเป็นปล้องประมาณ 7 ปล้อง มีความยาวลำตัวและหัวประมาณ 35-37 เซนติเมตร ความยาวส่วนหาง 31-34 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 700 กรัม มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่เนปาล, แคว้นสิกขิมและแคว้นอัสสัมของอินเดีย, ภาคใต้ของจีน, ภาคเหนือของพม่า, ไทย, ลาว และเวียดนาม มักอาศัยอยู่ตามลำพังเพียงตัวเดียว ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์หรือมีลูกอ่อนอาจอยู่เป็นคู่หรือหลายตัว มักพบในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500-2,700 เมตร ล่าสัตว์ขนาดเล็ก เช่น กระรอก, หนู, นก และแมลงต่าง ๆ เป็นอาหาร ออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนใหญ่จะหากินเป็นหลักบนต้นไม้ นานครั้งจึงจะลงมาบนพื้นดิน มีฤดูผสมพันธุ์ในเดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม ออกลูกครั้งละ 2 ตัว ใช้โพรงไม้ในการเลี้ยงดูลูกอ่อน จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และชะมดแปลงลายจุด · ดูเพิ่มเติม »

ชะมดแปลงลายแถบ

มดแปลงลายแถบ หรือ อีเห็นลายเมฆ เป็นชะมดแปลงชนิดหนึ่งที่มีการกระจายพันธุ์ในแถบมาเลเซียตะวันตก, เกาะสุมาตรา, เกาะบอร์เนียว และชวาตะวันตก รวมทั้งในประเทศไทยตั้งแต่บริเวณคอคอดกระลงไป ชะมดแปลงลายแถบ จัดเป็นชะมดที่ไม่มีต่อมกลิ่น มีลายเป็นแถบคดเคี้ยวขวางบริเวณหลังทั้งหมด 5 แถบ และตามด้านข้างของคอและลำตัว จุดจะติดกัน กลายเป็นแถบคดเคี้ยวมีอยู่ด้านละ 2 แถบ สีพื้นของตัวเป็นสีน้ำตาลแกมเหลืองซีด ๆ หางมีปล้องสีขาวสลับดำอยู่ 7 ปล้อง ไม่มีขนแผงคอหรือแผงหลัง มีขนาดตัวยาวจากหัวถึงหาง 74 เซนติเมตร อาศัยและหากินบนต้นไม้มากกว่าจะลงมาพื้นดิน กินอาหาร ได้แก่ กระรอก, หนู, นก และจิ้งจก มีฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม สร้างรังออกด้วยเรียวไม้และใบไม้อยู่ในโพรงดินโคนต้นไม้ใหญ่ ออกลูกครั้งละ 2–3 ตัว มีอายุยืนเกือบ 10 ปี เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และชะมดแปลงลายแถบ · ดูเพิ่มเติม »

ชะมดเช็ด

มดเช็ด หรือ ชะมดเชียง หรือ มูสัง (Indian small civet) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดหนึ่ง จัดเป็นชะมดขนาดเล็ก ขาสั้น หูทั้งสองข้างอยู่ใกล้กัน เมื่อมองไกล ๆ อาจคล้ายแมว จนตามลำตัวมีสีน้ำตาลเหลือง และมีจุดสีดำขนาดเล็กแทรกอยู่ทั่วไปตามลำตัว มีแถบสีดำและขาวบริเวณลำคอ หางมีวงสีดำ 6-9 ปล้องพาดขวางอยู่ ทำให้มีดูมีลักษณะเป็นปล้องสีดำ ไม่มีขนแผงสันหลัง ปลายหางมีสีขาว ขาหลังมีต่อมกลิ่นที่ใช้สื่อสารระหว่างพวกเดียวกัน และจัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล ViverriculaBlanford, W. T. (1888–91).

ใหม่!!: สัตว์และชะมดเช็ด · ดูเพิ่มเติม »

ชะนี

นี (วงศ์: Hylobatidae; Gibbons; ภาษาเหนือ: อี่ฮุย, อี่วุย) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับวานร (Primates) เป็นลิงไม่มีหาง ซึ่งชะนีถูกจัดให้อยู่ในวงศ์ Hylobatidae และถูกจัดให้เป็น 1 ใน 4 ลิงที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด (ประกอบไปด้วย ชะนี, ชิมแปนซี, อุรังอุตัง, กอริลลา ซึ่งชะนีมีความใกล้เคียงมนุษย์น้อยที่สุดในบรรดาทั้ง 4 นี้ เนื่องจากมีแขนขาเรียวยาว มีฟันเขี้ยวที่แหลมคม และใช้ชีวิตหากินอยู่บนต้นไม้มากกว่าพื้นดิน) ซึ่งนับว่าชะนีมีแขนที่ยาวที่สุดในบรรดาสัตว์อันดับวานรทั้งหมด และมีฟันที่เขียนเป็นสูตรได้ว่า Myers, P. 2000.

ใหม่!!: สัตว์และชะนี · ดูเพิ่มเติม »

ชะนีมือขาว

นีมือขาว หรือ ชะนีธรรมดา (Common gibbon, White-handed gibbon) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอันดับวานร (Primates) ชนิดหนึ่ง จัดเป็นลิงไม่มีหางชนิดหนึ่ง จำพวกชะนี (Hylobatidae).

ใหม่!!: สัตว์และชะนีมือขาว · ดูเพิ่มเติม »

ชะนีมือดำ

นีมือดำ (Agile gibbon, Black-handed gibbon) เป็นชะนีชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hylobates agilis จัดเป็นหนึ่งในสี่ชนิดของชะนีที่สามารถพบได้ในประเทศไทย ชะนีมือดำดั้งเดิมเคยถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยของชะนีมือขาวหรือชะนีธรรมดา (H. lar) เช่นเดียวกับชะนีมงกุฎ (H. pileatus) แต่เมื่อมีการศึกษาเพิ่มเติมพบว่ามีบางอย่างที่แตกต่างออกไป เช่น เสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะกว่าและการแพร่กระจายพันธุ์ จึงจัดให้เป็นชนิดใหม่ ชะนีมือดำมีลักษณะทั่วไปคล้ายกับชะนีมือขาว โดยสีของลำตัวจะมีทั้งสีเทา, ดำ และสีน้ำตาลแก่ ซึ่งความแตกต่างของสีนี้จะไม่เกี่ยวกับเพศหรือวัยเช่นเดียวกับในชะนีมือขาว โดยที่ตัวใดเกิดเป็นสีใดก็จะเป็นสีนั้นไปตลอด ชะนีมือดำจะแตกต่างจากชะนีมือขาวตรงที่ขนที่มือและเท้าเป็นสีดำ อันเป็นที่มาของชื่อ บริเวณกระหม่อมแบนกว่า และมีขนข้างส่วนหัวยาวกว่า ทำให้เวลาดูทางด้านหน้าส่วนหัวจะเป็นรูปสามเหลี่ยม ในขณะที่ส่วนหัวของชะนีมือขาวจะดูเป็นรูปกลม มีการแพร่กระจายพันธุ์ในประเทศไทย เฉพาะในป่าดิบภาคใต้ตอนล่างที่ติดกับมาเลเซียเท่านั้น จากนั้นจะพบได้ตลอดทั้งแหลมมลายู จนถึงเกาะสุมาตราและเกาะบอร์เนียว ขณะที่นิเวศวิทยาและพฤติกรรมก็คล้ายคลึงกับชะนีชนิดอื่น ๆ สถานะการอนุรักษ์ในอนุสัญญาไซเตสจัดให้อยู่ในบัญชีหมายเลข 1 (Appendix I) คือ ห้ามค้าขายหรือมีไว้ครอบครองเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นไปเพื่อการศึกษาหรือวิจัยขยายพัน.

ใหม่!!: สัตว์และชะนีมือดำ · ดูเพิ่มเติม »

ชะนีมงกุฎ

thumb thumb thumb thumb ชะนีมงกุฎ หรือ ชะนีเอี๊ยมดำ (Pileated gibbon) เป็นชะนีชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hylobates pileatus เดิมเคยถูกจัดเป็นชนิดย่อยของชะนีมือขาว (H. lar) แต่มีพฤติกรรมและลักษณะบางอย่างต่างออกไป รวมถึงเสียงร้องด้วย โดยสีขนจะแตกต่างออกไปตามเพศและช่วงอายุ ตัวผู้ในช่วงวัยรุ่นจะมีสีขนเหลือง เมื่ออายุ 3-4 ปี จะเปลี่ยนเป็นสีดำทั่วตัวยกเว้นคิ้ว ถุงอัณฑะ หลังมือ หลังเท้า และวงรอบใบหน้า ส่วนตัวเมียมีสีขาวนวลเหมือนเดิม แต่ที่หน้าอกและบนหัวมีสีดำ แลดูคล้ายใส่เอี๊ยม หรือผ้ากันเปื้อน อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ พบอาศัยอยู่ในแถบประเทศลาวและกัมพูชา ทางด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำโขง สำหรับในประเทศไทยพบทางภาคตะวันออก เช่น จังหวัดสุรินทร์, บุรีรัมย์, ปราจีนบุรี, จันทบุรี, ตราด และในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มักอาศัยอยู่ในป่าดิบที่มียอดไม้สูงและรกชัฏ อาหารหลัก คือ ผลไม้, ใบไม้, แมลงและสัตว์เลื้อยคลาน ดื่มน้ำโดยใช้วิธีการเลียตามขนตัวเองและหาตามโพรงไม้ ออกลูกครั้งละ 1 ตัว เมื่อลูกชะนีอายุได้ 1 ปี จะเริ่มออกจากอกแม่ห้อยโหนไปมาด้วยตัวเอง ซึ่งต่างจากชะนีมือขาวที่จะเกาะอยู่กับอกแม่จนอายุได้ 2 ปี และเมื่อลูกอายุได้ 2-3 ปี แม่ชะนีมงกุฎจะเริ่มผสมพันธุ์อีกครั้ง ลูกชะนีโดยเฉพาะตัวผู้จะถูกขับไล่ออกจากฝูงเร็วกว่าตัวเมีย และจะอยู่ตามลำพังจนกระทั่งหาคู่ผสมพันธุ์ได้ ชะนีมงกุฎในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีการผสมข้ามพันธุ์กับชะนีมือขาว จนเกิดเป็นชะนีลูกผสมซึ่งมีลักษณะรูปร่างที่แตกต่างออกไป รวมถึงเสียงร้องด้วย อันเนื่องจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นับเป็นสถานที่แห่งเดียวในโลก ที่มีชะนีทั้ง 2 ชนิดนี้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน.

ใหม่!!: สัตว์และชะนีมงกุฎ · ดูเพิ่มเติม »

ชะนีธรรมดา (สกุล)

กุลชะนีธรรมดา เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานร จำพวกลิงไม่มีหางสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Hylobates (/ไฮ-โล-บา-เตส/) ในวงศ์ชะนี (Hylobatidae) ชะนีในสกุลนี้มีจำนวน 44 โครโมโซม บริเวณรอบ ๆ ใบหน้าจะมีขนสีขาวขึ้นเป็นวงกลมเหมือนวงแหวน ชะนีในสกุลนี้กระจายพันธุ์ตั้งแต่ภาคกลางและภาคใต้ของจีน จนถึงหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ รวมถึงเกาะต่าง ๆ ในทะเล เดิมเคยถูกจัดให้เป็นเพียงสกุลเดียวในวงศ์นี้ ก่อนที่แยกออกไปเป็นสกุลต่าง ๆ ตามการศึกษาที่มีเพิ่มมากขึ้น (ข้อมูลบางแหล่งจัดให้มีเพียงสกุลเดียว).

ใหม่!!: สัตว์และชะนีธรรมดา (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ชะนีดำ

นีดำ (Black-cheeked gibbon) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับวานร มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nomascus concolor มีรูปร่างหน้าตาคล้ายชะนีมงกุฎ (Hylobates pileatus) และชะนีมือขาว (H. lar) ตัวผู้มีขนปกคลุมลำตัวสีดำสนิท ยกเว้นบริเวณใบหน้า ที่มีขนสีขาวขึ้นแซมอยู่บริเวณรอบ ๆ ดวงตา จมูกและปาก ส่วนตัวเมียมีขนปกคลุมลำตัวสีครีม และมีสีดำอยู่กลางกระหม่อม ชะนีดำมีความยาวลำตัวและหัว 46-60 เซนติเมตร น้ำหนัก 4.5-9 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์อยู่ทางตอนใต้ของจีน ภาคเหนือของลาวและเวียดนาม แต่การศึกษาชีววิทยาและนิเวศวิทยาของชะนีดำมีน้อยมาก อย่างไรก็ตามชะนีชนิดนี้มีความใกล้เคียงกับชะนีแก้มขาว (N. leucogenys) สามารถอาศัยอยู่ได้ในป่าหลายประเภท เช่น ป่าดิบ, ป่าเบญจพรรณ หรือป่าที่อยู่ในระดับความสูงประมาณ 2,900 เมตรจากระดับน้ำทะเล พบว่าชะนีดำอาศัยอยู่บนยอดไม้ที่มีความสูงมากกว่าชะนีชนิดอื่น ๆ อาหารหลักคือ ยอดอ่อนของต้นไม้, ใบไม้, ผลไม้ หรือดอกไม้ แต่จะชอบกินไม้จำพวกไผ่มากที่สุด ออกหากินในเวลากลางวัน มีพฤติกรรมการรวมฝูงแบบผัวเดียวเมียเดียว โดยฝูงหนึ่งมีสมาชิกประมาณ 3-5 ตัว ตัวผู้เป็นผู้นำกลุ่มในการหาอาหารและดูแลฝูง จะลงมาบนพื้นดินบ้างเพื่อกินหน่อไม้ ลักษณะการร้องของชะนีดำมีความต่างระหว่างตัวผู้และตัวเมีย โดย ตัวผู้มีเสียงร้องที่ยาวกังวาลและแหลมกว่าตัวเมีย ปัจจุบัน ประชากรชะนีดำในเวียดนาม สำรวจพบว่ามีแค่ 110 ตัวเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และชะนีดำ · ดูเพิ่มเติม »

ชะนีคิ้วขาว

นีคิ้วขาว หรือ ชะนีฮูล็อก (Hoolock gibbons, Hoolocks, White-browed gibbons) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานรสกุลหนึ่ง ในวงศ์ชะนี (Hylobatidae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hoolock ชะนีคิ้วขาว มีลักษณะและเสียงร้องทั่วไปเหมือนชะนีสกุลและชนิดอื่น ๆ ตัวผู้มีขนสีดำ ตัวเมียมีขนสีขาว จัดเป็นชะนีที่มีความใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของบรรดาชะนีทั้งหมด รองจากเซียมมัง ที่พบในภาคใต้ตอนล่างของไทยและมาเลเซีย ด้วยมีความสูงสูงสุดได้ถึง 90 เซนติเมตร น้ำหนักระหว่าง 6-9 กิโลกรัม ชะนีคิ้วขาว กระจายพันธุ์ทั่วไปในอนุทวีปอินเดียและภาคใต้ตอนล่างของจีน โดยที่ไม่พบในประเทศไทย เดิมถูกจัดให้มีเพียงชนิดเดียว แต่ปัจจุบันได้มีการจำแนกออกเป็น 3 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และชะนีคิ้วขาว · ดูเพิ่มเติม »

ชะนีคิ้วขาวสกายวอล์คเกอร์

นีคิ้วขาวสกายวอล์คเกอร์ หรือ ชะนีฮูล็อกสกายวอล์คเกอร์ (Skywalker hoolock gibbon) เป็นวานรจำพวกชะนีชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในประเภทฮูล็อกหรือชะนีคิ้วขาว เป็นชนิดที่เพิ่งถูกค้นพบเมื่อต้นปี..

ใหม่!!: สัตว์และชะนีคิ้วขาวสกายวอล์คเกอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ชะนีคิ้วขาวตะวันตก

นีคิ้วขาวตะวันตก หรือ ชะนีฮูล็อกตะวันตก (Hoolock gibbon, Hoolock, Western hoolock gibbon) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ในอันดับวานร (Primates) จัดเป็นชะนีชนิดหนึ่ง ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกรองลงมาจากเซียมมัง หรือชะนีดำใหญ่ ที่พบในป่าดิบในแหลมมลายูและเกาะสุมาตรา เมื่อมีความสูงเมื่อยืนด้วยสองขาหลังได้ถึง 90 เซนติเมตร น้ำหนักเกือบ 10 กิโลกรัม แต่มีความคล่องแคล่วว่องไวเมื่ออยู่บนต้นไม้ ชะนีคิ้วขาวตะวันตก เดิมเคยถูกจัดให้เป็นชะนีฮูล็อกเพียงชนิดเดียว (โดยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hylobates hoolock) แต่ต่อมาได้ถูกจัดแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ในปี ค.ศ. 2005 โดยจำแนกจากถิ่นที่อยู่อาศัย ตัวผู้มีขนสีดำ ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าและมีขนสีขาว มีเสียงร้องและพฤติกรรมทั่วไปเหมือนชะนีชนิดอื่น ๆ สุดหล้าฟ้าเขียว, รายการสารคดี: เสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555 ทางช่อง 3 โดย ปองพล อดิเรกสาร ชะนีคิ้วขาวตะวันตกจะกระจายพันธุ์อยู่ในรัฐอัสสัมของอินเดีย อาทิ อุทยานแห่งชาติกาจิรังคา, ตอนใต้ของจีน, พม่า และซีกตะวันตกของแม่น้ำชินด์วิน.

ใหม่!!: สัตว์และชะนีคิ้วขาวตะวันตก · ดูเพิ่มเติม »

ชะนีแก้มขาว

นีแก้มขาว (White-cheeked gibbon, Northern white-cheeked gibbon) เป็นชะนีชนิดหนึ่ง มีลักษณะที่แตกต่างกันชัดเจนระหว่างตัวผู้และตัวเมีย กล่าวคือ ตัวผู้จะมีขนสีดำตลอดทั้งลำตัว ยกเว้นบริเวณแก้มซึ่งจะมีสีขาวเด่นชัด ส่วนตัวเมียนั้นจะมีขนสีเหลืองอ่อนหรือสีครีมตลอดทั้งลำตัว ยกเว้นบริเวณกระหม่อมหรือกลางศีรษะซึ่งมีสีดำ ขนาดเมื่อโตเต็มที่มีความยาวลำตัวตั้งแต่ศีรษะ 45-63 เซนติเมตร น้ำหนักตัวผู้ประมาณ 5.6 กิโลกรัม ขณะที่ตัวเมีย 5.8 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้นของทางตอนเหนือของลาวติดต่อกับพรมแดนเวียดนาม และจีน มีพฤติกรรมและนิเวศวิทยาอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดเล็ก ๆ บนต้นไม้สูง ซึ่งในฝูงจะเป็นครอบครัวกัน ประกอบไปด้วยตัวผู้จ่าฝูง 1 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว และลูก ๆ อีก 2-3 ตัว จะมีอาณาเขตครอบครองเป็นของตัวเอง และมักจะส่งเสียงร้องที่สอดประสานกันระหว่างตัวผู้และตัวเมีย ขณะที่ห้อยโหนไปกับกิ่งไม้ โดยที่ตัวผู้จะมีเสียงร้องที่สลับซับซ้อนกว่า ประชากรชะนีแก้มขาวในจีน เดิมเคยเหลือเพียง 60 ตัวเท่านั้น ก่อนที่จะมีการอนุรักษ์ ซึ่งปัจจุบันได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และชะนีแก้มขาว · ดูเพิ่มเติม »

ชะนีแก้มขาว (สกุล)

นีแก้มขาว (White-cheeked gibbon) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานรสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Nomascus (/โน-มาส-คัส/) จัดเป็นลิงไม่มีหาง ในวงศ์ชะนี (Hylobatidae) เดิมสกุลนี้เคยถูกให้เป็นสกุลย่อยของสกุล Hylobates (ซึ่งบางข้อมูลจัดให้เป็นสกุลเดียวกัน) ต่อมามีการศึกษาเพิ่มเติมพบว่าชะนีสกุลนี้มีจำนวนโครโมโซม 52 ส่วนมากชะนีกลุ่มนี้จะมีขนสีดำและมีกระจุกขนสีดำที่กลางกระหม่อม แต่บางส่วนก็มีสีที่อ่อนลงไป พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ภาคใต้ของจีน (มณฑลยูนาน และเกาะไหหลำ) จนถึงภาคเหนือและกลางของเวียดนาม และภาคเหนือของลาว.

ใหม่!!: สัตว์และชะนีแก้มขาว (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ชะนีแก้มเหลือง

นีแก้มเหลือง (Yellow-cheeked gibbon, Golden-cheeked gibbon, Buff-cheeked gibbon) เป็นชะนีชนิดหนึ่ง มีลักษณะ ขนาดและรูปร่างใกล้เคียงกับชะนีแก้มขาว (N. leucogenys) และชะนีดำ (N. concolor) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันมาก น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 5.75 กิโลกรัม มีความแตกต่างกันระหว่างตัวผู้และตัวเมีย โดยตัวผู้จะมีขนตามลำตัวสีดำ มีขนสีทองปนแดงบริเวณแก้มและมีขนสีขาวบริเวณคาง ส่วนตัวเมียจะมีจนสีครีมตลอดทั้งลำตัว ส่วนในตัวลูกวัยอ่อนจะมีขนสีขาวนวลทั้งตัวทั้งตัวผู้และตัวเมีย พบกระจายพันทางแถบเทือกเขาอันนัม อันเป็นพรมแดนระหว่างประเทศลาวกับเวียดนามทางตอนกลางและตอนใต้ และบางส่วนของกัมพูชา มีพฤติกรรมความเป็นอยู่คล้ายกับชะนีชนิดอื่น ๆ คือ อาศัยและหากินบนยอดไม้สูงในป่าดิบ โดยมีอาหารหลัก คือ ผลไม้ และใบไม้อ่อน มักออกหากินในเวลากลางวันโดยห้อยโหนไปตามกิ่งไม้ มีเสียงที่สอดประสานกันระหว่างเพศ โดยที่ตัวผู้มักจะส่งเสียงร้องหลังจากที่ตัวเมียร้องเสร็จแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และชะนีแก้มเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ชะนีเซียมัง

นีเซียมัง หรือ เซียมมัง หรือ ชะนีดำใหญ่ (มลายู: Siamang; แปลว่า "ลิงสยาม") สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานรชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์จำพวกชะนี ซึ่งเป็นชะนีชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดเป็นเพียงชนิดเดียวในสกุล Symphalangus มีรูปร่างคล้ายชะนีทั่วไป แต่มีรูปร่างและลำตัวใหญ่กว่ามาก ขนาดโตเต็มที่มีความยาวลำตัวและหัว 75-90 เซนติเมตร น้ำหนักในเพศผู้ 10.9 กิโลกรัม ตัวเมีย 10.6 กิโลกรัม ขนมีสีดำทั้งตัวทั้งตัวผู้และตัวเมีย มีลักษณะเด่นคือ บริเวณลำคอมีถุงสีเทาปนชมพู โดยถุงดังกล่าวจะป่องออกขณะที่ส่งเสียงร้อง โดยชะนีเซียมังจัดเป็นชะนีที่ร้องได้ดังที่สุด มีการกระจายพันธุ์ในเขตใต้สุดของไทย, มาเลเซียและเกาะสุมาตรา มี 2 ชนิดย่อย คือ S. s. syndactylus พบในมาเลเซีย และ S. s. continentis พบที่เกาะสุมาตรา อาศัยอยู่ในป่าดิบแล้งและป่าดิบชื้น อาหารหลัก ได้แก่ ใบไม้, ผลไม้, ดอกไม้และสัตว์ที่มีขนาดเล็ก อาศัยอยู่รวมกันเป็นครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียวที่มีลูกอาศัยอยู่ด้วยกัน โดยชะนีเซียมังแต่ละฝูงมีสมาชิกประมาณ 3-5 ตัว แต่ตัวผู้จะเป็นฝ่ายเลี้ยงดูลูกด้วยตัวเอง ซึ่งแตกต่างไปจากชะนีชนิดอื่น ที่ตัวเมียจะเป็นฝ่ายดูแลลูก ในสถานที่เลี้ยงมีอายุขัยประมาณ 35 ปี ชะนีเซียมัง ในสวนสัตว์ในประเทศไทยมีอยู่เพียงที่เดียวเท่านั้น คือ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 ได้มีลูกชะนีเซียมังเกิดขึ้นมาใหม.

ใหม่!!: สัตว์และชะนีเซียมัง · ดูเพิ่มเติม »

บั่ว

ั่ว (Gall Midges หรือ Gall Gnats) อยู่ในวงศ์ Cecidomyiidae อันดับ Diptera ตัวอ่อนกินอยู่ภายในเนื้อเยื่อ พืช ทำให้พืชเจริญเติบโตผิดปกติเกิดเป็น ปมขึ้น บั่วกำลังวางไข่บนหญ้า เป็นแมลงที่บอบบาง ขนาดยาว 1-8 มิลลิเมตร แต่ปกติขนาดเล็กยาวเพียง 2-3 มิลลิเมตร หลายชนิดยาวน้อยกว่า 1 มิลลิเมตร ปีกมีขน มี หนวดยาว มีประมาณ 5,000 ชนิดทั่วโลก หลายชนิดมีความสำคัญมากทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะ the Hessian fly ซึ่งเป็นศัตรูข้าวสาลี สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับข้าวสาลี ชนิดอื่นๆที่มีความสำคัญ เช่น the lentil flower midge (Contarinia lentis), the lucerne flower midge (C. medicaginis) และ the alfalfa sprout midge (Dasineura ignorata) ซึ่งเป็นศัตรูพืชในกลุ่ม Leguminosae the Swede midge (Contarinia nasturtii) และ the brassica pod midge (Dasineura brassicae) ซึ่งเป็นศัตรูผักในกลุ่ม Cruciferae the pear midge (Contarinia pyrivora) the raspberry cane midge (Resseliella theobaldi) เป็นศัตรูของผลไม้ และ the rosette gall midge (Rhopalomyia solidaginis) เป็นศัตรูของก้าน goldenrod เป็นต้น อีกหลายชนิดเป็นศัตรูธรรมชาติต่อแมลงศัตรูพืชอื่นๆ ตัวอ่อนของชนิดเหล่านี้เป็น ตัวห้ำ และบางชนิดเป็น ตัวเบียน โดยตัวห้ำมักกินเพลี้ยอ่อน และ ไรแมงมุม เป็นหลัก และอาจกิน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย แมลงหวี่ขาว เพลี้ยไฟ ตลอดจนไข่ของแมลงอื่น และไร เนื่องจาก ตัวอ่อน มีขนาดเล็กมากไม่สามารถเคลื่อนที่เป็นระยะทางไกลได้ ดังนั้นตัวเต็มวัยจะวางไข่เฉพาะในที่ๆมีเหยื่อจำนวนมาก และมักจะพบในช่วงที่มีแมลงศัตรูพืชระบาด ชนิด Aphidoletes aphidomyza เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของโปรแกรม การควบคุมโดยชีวินทรีย์ สำหรับโรงเรือน และถูกขายกันอย่างแพร่หลายในประเทศสหรัฐอเมริกา บั่วมีการสืบพันธุ์แบบ paedogenesis คือระยะตัวอ่อนสามารถสืบพันธุ์ได้ก่อนที่จะเป็นตัวเต็มวั.

ใหม่!!: สัตว์และบั่ว · ดูเพิ่มเติม »

ชั้นพอลิพลาโคฟอรา

ระวังสับสนกับ: ลิ้นทะเล ชั้นพอลิพลาโคฟอรา (ชั้น: Polyplacophora) เป็นมอลลัสคาชั้นหนึ่ง มีชื่อเรียกในชื่อสามัญว่า ลิ่นทะเล หรือ หอยแปดเกล็ด (Chiton) อาศัยอยู่ในทะเล จัดเป็นมอลลัสคาจำพวกหนึ่งที่มีลักษณะแตกต่างไปจากมอลลัสคาชั้นอื่น ๆ กล่าวคือ แทนที่จะเปลือกหรือฝาเดียวหรือสองฝา แต่กลับมีมากถึง 7-8 ชิ้น ที่แยกออกจากกันแต่ก็ยึดเข้าไว้ด้วยกันทางด้านบนลำตัวเหมือนชุดเกราะ มีวิวัฒนาการที่ต้องแนบลำตัวดัดไปตามพื้นผิวแข็งขรุขระใต้ทะเลเพื่อแทะเล็มสาหร่ายทะเลและพืชทะเลที่เจริญเติบโตบนหิน ขณะที่ในบางชนิดก็ดักซุ่มรอกินเหยื่อตัวเล็ก ๆ ที่เคลื่อนผ่านไปมา ชั้นพอลิพลาโคฟอรานั้นวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษที่มีอายุยาวนานกว่า 500 ล้านปี โดยที่ในปัจจุบัน ก็มิได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างไปจากเดิมมากน้อยเท่าไหร่นัก โดยมีลำตัวเป็นวงรีคล้ายรูปไข่ มักพบอาศัยอยู่ตามโขดหินตามริมชายฝั่ง ปัจจุบันนี้พบแล้วทั้งหมด 900-1,000 ชนิด โดยศัพท์คำว่า "Polyplacophora" นั้น แปลได้ว่า "ผู้มีหลายเกล็ด".

ใหม่!!: สัตว์และชั้นพอลิพลาโคฟอรา · ดูเพิ่มเติม »

ชั้นย่อยอีแลสโมแบรงไค

ั้นย่อยอีแลสโมแบรงไค (ชั้นย่อย: Elasmobranchii) เป็นชั้นย่อยของปลาในชั้นปลากระดูกอ่อน เป็นปลากระดูกอ่อนที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ปลาในชั้นนี้มีวิวัฒนาการมาจากยุคดีโวเนียนยุคต้น (เมื่อ 400 ล้านปีก่อน) จนถึงปัจจุบัน ลักษณะสำคัญของปลาในชั้นนี้คือ ไม่มีถุงลมช่วยในการว่ายน้ำ มีช่องเหงือกทั้งหมด 5-7 คู่เปิดออกสู่ภายนอกเพื่อใช้ในการหายใจ ครีบหลังแข็งมีเกล็ดแบบสาก มีฟันที่แข็งแรงหลายชุดในปาก ปากอยู่ต่ำลงมาทางด้านท้อง มีขากรรไกรที่ไม่เชื่อมติดกับกะโหลก และเมื่อเจริญเติบโตขึ้นกระดูกอ่อนจะแทนที่ด้วยกระดูกสันหลัง รูจมูกทั้ง 2 ข้างไม่ทะลุเข้าช่องปาก หัวใจมี 2 ห้อง เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวมีนิวเคลียส เส้นประสาทสมอง 10 คู่ มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศด้วยการปฏิสนธิภายใน โดยที่ออกลูกเป็นตัว ตัวอ่อนเจริญในท่อรังไข่ เพศผู้จะมีอวัยวะเพศเป็นแท่ง 1 คู่ซึ่งวิวัฒนาการมาจากครีบ อยู่บริเวณกระดูกเชิงกราน บริเวณครีบท้อง ใช้สำหรับผสมพันธุ์และปล่อยอสุจิ ขณะที่เพศเมียจะมีช่องคลอด เป็นปลากระดูกอ่อนที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เช่น ปลาฉลาม, ปลากระเบน, ปลาฉนาก, ปลาโรนัน พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วโลก.

ใหม่!!: สัตว์และชั้นย่อยอีแลสโมแบรงไค · ดูเพิ่มเติม »

ชั้นสแคโฟโปดา

ั้นสแคโฟโปดา (ชั้น: Scaphopoda) เป็นหนึ่งในชั้นของไฟลัมมอลลัสคาที่ยังสืบเผ่าพันธุ์มาจนปัจจุบัน ซึ่งสัตว์ในชั้นนี้พบมีอยู่มายาวนานกว่า 240 ล้านปีมาแล้ว โดยพบหลักฐานในซากดึกดำบรรพ์ ปัจจุบันพบแล้วประมาณ 1,000 ชนิด ซึ่งเรียกกันในชื่อสามัญว่า หอยงาช้าง หรือ หอยฟันช้าง(Tusk Shell) ทุกชนิดจะอาศัยอยู่ภายใต้พื้นทรายใต้ทะเล มีรูปร่างโดยรวม คือ เปลือกมีรูปร่างคล้ายฝักดาบซามูไรหรืองาของช้าง มีลักษณะเรียวยาว โค้งตรงกลางเล็กน้อย หน้าตัดเป็นทรงค่อนข้างกลม มีช่องเปิดที่ปลายสุดของทั้งสองด้านซึ่งด้านหนึ่งจะใหญ่กว่าอีกด้านเสมอ มีขนาดตั้งแต่ 5 มิลลิเมตรจนถึง 15 เซนติเมตร ศัพท์คำว่า Scaphopoda นั้น สามารถแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า "เท้าเป็นจอบ" (shovel-footed) มีลักษณะโครงสร้างคือ ไม่มีตา ไม่มีเส้นเลือด ไม่มีแม้กระทั่งอวัยวะสำคัญอย่าง หัวใจ โดยเลือดจะถูกสูบโดยแรงดันน้ำภายในเนื้อเยื่อจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเท้าที่มีรูปร่างคล้ายจอบ ที่ใช้ขุดเจาะเพื่อแทรกเปลืองลงวางตัวดิ่งในพื้นทราย มีอวัยวะพิเศษคล้ายหนวดเล็ก ๆ รอบ ๆ ปากด้านล่างเรียกว่า "captacula" ทำหน้าที่ดักจับอาหารเข้าสู่ปากเพื่อบดเคี้ยวและย่อยสลาย แล้วพ่นทิ้งออกอีกทางเป็นของเสีย เปลือกของหอยงาช้าง นั้น ผู้หญิงในอินเดียนแดงเผ่าลาโคตาใช้ทำเครื่องประดับสำหรับตกแต่งเสื้อผ้าหรือชุดที่สวมใส่เช่นเดียวกับขนของเม่น.

ใหม่!!: สัตว์และชั้นสแคโฟโปดา · ดูเพิ่มเติม »

ชั้นอะพลาโคฟอรา

ั้นอะพลาโคฟอรา (Class Aplacophora) เป็นชั้นหนึ่งในไฟลัมมอลลัสคาเป็นมอลลัสที่โบราณ ตัวคล้ายหนอน ไม่มีเปลือก อาศัยอยู่ตามโคลนใต้ทะเลหรือตามผิวของฟองน้ำ ตัวยาวประมาณ 1-40 มิลลิเมตร ไม่มีเท้าหรือถ้ามีจะมีขนาดเล็กมาก มีแมนเทิล ที่ผิวของแมนเทิลมีสปิคุลฝังอยู่ ด้านท้องมีร่องกลางท้องยาวตลอดตัวตัวอย่างเช่น Solenogaster.

ใหม่!!: สัตว์และชั้นอะพลาโคฟอรา · ดูเพิ่มเติม »

ชั้นปลากระดูกแข็ง

ปลากระดูกแข็ง (ชั้น: Osteichthyes, Bony fish) จัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์ซึ่งอยู่ในไฟลัมคอร์ดาตา เป็นปลาที่จัดอยู่ในชั้น Osteichthyes พบทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม โครงร่างภายในเป็นกระดูกแข็งทั้งหมด ก้านครีบอาจเป็นกระดูกอ่อนหรือกระดูกแข็งก็ได้ มีกระดูกสันหลัง ปากอยู่ปลายสุดด้านหน้า มีฟัน ตาขนาดใหญ่ ไม่มีหนังตา ขากรรไกรเจริญดี หายใจด้วยเหงือก มีฝาปิดเหงือก หัวใจมี 2 ห้อง เม็ดเลือดแดงมีนิวเคลียส เส้นประสาทสมองมี 10 คู่ มีถุงรับกลิ่น 1 คู่ แยกเพศ ปฏิสนธิภายนอก ออกลูกเป็นไข่ มีบางชนิดที่ออกลูกเป็นตัว.

ใหม่!!: สัตว์และชั้นปลากระดูกแข็ง · ดูเพิ่มเติม »

ชั้นแกสโทรโพดา

ั้นแกสโทรโพดา (ชั้น: Gastropoda) หรือที่เรียกกันในชื่อสามัญว่า หอยฝาเดียว หรือ หอยฝาเดี่ยว หรือ หอยกาบเดี่ยว หรือ หอยกาบเดียว หรือ หอยเปลือกเดี่ยว หรือ หอยเปลือกเดียว เป็นหนึ่งในลำดับของไฟลัมมอลลัสคา ในสิ่งมีชีวิต สัตว์ในชั้นนี้มีการสืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันมีอยู่ระหว่าง 60,000-80,000 ชนิด จัดเป็นมอลลัสคาที่มีวิวัฒนาการสูงสุดรองจากมอลลัสคาในชั้นเซฟาโลพอดหรือหมึกและหอยงวงช้าง.

ใหม่!!: สัตว์และชั้นแกสโทรโพดา · ดูเพิ่มเติม »

ชั้นโมโนพลาโคฟอรา

มโนพลาโคฟอรา (Class Monoplacophora) เป็นชั้นหนึ่งในไฟลัมมอลลัสคาเป็นมอลลัสที่มีเปลือกเพียงชิ้นเดียว รูปร่างคล้ายฝาชีแต่ปลายยอดเอนมาด้านหน้า เท้าเป็นแผ่นกลมแบนอยู่ที่ท้อง ไม่มีหนวด ไม่มีตา เดิมเชื่อว่สัตว์ชนิดนี้สูญพันธุ์หมดแล้ว จนกระทั่งเรือเดินสมุทรของเดนมาร์กได้พบสัตว์ชนิดนี้จากดินที่ตักมาจากทะเลทางตะวันตกของคอสตาริกาเมื่อ..

ใหม่!!: สัตว์และชั้นโมโนพลาโคฟอรา · ดูเพิ่มเติม »

ชั้นไบวาลเวีย

ั้นไบวาลเวีย (ชั้น: Bivalvia) เป็นมอลลัสคาชั้นหนึ่ง ที่ยังคงสืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน โดยวิวัฒนาการให้อาศัยอยู่ได้ทั้งในทะเลและน้ำจืด มีชื่อเรียกในภาษาสามัญว่า หอยฝาคู่ หรือ หอยสองฝา หรือ หอยเปลือกคู่ หรือ หอบกาบคู.

ใหม่!!: สัตว์และชั้นไบวาลเวีย · ดูเพิ่มเติม »

ชั้นเซฟาโลพอด

ั้น เซฟาโลพอด (Cephalopod) เป็นชั้นในไฟลัมมอลลัสคา เซฟาโลพอดมีลักษณะเด่นตรงที่ร่างกายสมมาตร มีส่วนศีรษะเด่นออกมา การดัดแปลงส่วนเท้าของมอลลัสคา (muscular hydrostat) ไปเป็นแขนหรือหนว.

ใหม่!!: สัตว์และชั้นเซฟาโลพอด · ดูเพิ่มเติม »

ชาดก

ก (-saजातक) คือ เรื่องราวหรือชีวประวัติในอดีตชาติของพระโคตมพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงนำมาเล่าให้พระสงฆ์ฟังในโอกาสต่าง ๆ เพื่อแสดงหลักธรรมสุภาษิตที่พระองค์ทรงประสงค์ เรียกเรื่องในอดีตของพระองค์นี้ว่า ชาดก ชาดกเป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึงเรียกว่า นิทานชาดก ชาดกที่ทรงเล่านั้นมีหลายร้อยเรื่อง ว่าทรงเคยเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บ้าง แต่ที่รู้จักกันโดยทั่วไป คือ 10 ชาติสุดท้ายที่เรียกว่าทศชาติชาดก และชาติสุดท้ายที่สุดที่ทรงเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร จึงเรียกเรื่องพระเวสสันดรนี้ว่า มหาเวสสันดรชาดก.

ใหม่!!: สัตว์และชาดก · ดูเพิ่มเติม »

ชิมแปนซี

มแปนซี (Chimpanzee; ชื่อวิทยาศาสตร์: Pan troglodytes) เป็นลิงไม่มีหางที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากที.

ใหม่!!: สัตว์และชิมแปนซี · ดูเพิ่มเติม »

ชิปมังก์

ปมังก์ (chipmunk) เป็นกระรอกขนาดเล็กสกุลหนึ่ง อยู่ในสกุล Tamias จัดเป็นกระรอกดินจำพวกหนึ่ง กระจายพันธุ์เฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือ และบางชนิดพบได้ในทวีปเอเชียตอนบนและตะวันออก ชิปมังก์มีลักษณะคล้ายกับกระเล็น (Tamiops spp.) ซึ่งเป็นกระรอกต้นไม้และพบได้ในเอเชียอาคเนย์ คือ เป็นกระรอกขนาดเล็ก และมีลายแถบเป็นริ้วสีขาวและดำคล้ำลากผ่านบริเวณใบหน้าทั้งสองด้าน, หลัง และหาง สีขนตามลำตัวจะแตกต่างกันออกไปตั้งแต่สีเทาจนถึงสีน้ำตาลออกแดงต่างกันตามแต่ชนิด ขนาดโดยเฉลี่ย ความยาวลำตัวประมาณ 8–11.5 นิ้ว มีหางที่มีขนเป็นพวงฟูต่างจากกระเล็น ความยาวประมาณ 3–4 นิ้ว นอกจากนี้แล้วชิปมังก์ยังมีกระพุ้งแก้มที่ใช้สำหรับเก็บอาหารได้อีกด้วย ชิปมังก์จะสร้างโพรงในระดับต่ำกว่าพื้นดิน ทางเข้าจะมีการปิดบังไว้ใต้ก้อนหินหรือพุ่มไม้ต่าง ๆ เป็นอย่างดี แม้จะอยู่ในโพรงแล้วก็ตาม ชิปมังก์ก็ยังเป็นสัตว์ที่ตื่นตัวตลอดเวลา มีการระแวดระวังภัยสูง เป็นสัตว์ที่กินอาหารได้หลากหลาย แต่ส่วนมากจะเป็น ลูกไม้ชนิดต่าง ๆ แม้กระทั่งลูกไม้ที่มีเปลือกแข็ง, ถั่ว, เมล็ดพืช, ข้าว, ไข่นก, แมลง แม้กระทั่งเห็ดรา มีฤดูผสมพันธุ์ ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของทุกปี ตัวเมียจะออกลูกครอกละ 2–8 ตัว ลูกชิปมังก์จะอยู่กับพ่อแม่เป็นเวลา 2 เดือนและหลังจากนั้นจะจากไปหาอาหารด้วยตนเอง หลังจากผ่านไป 5 เดือน ชิปมังก์วัยอ่อนจะเจริญเติบโตจนมีขนาดตัวโตเต็มวัย ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาว อาหารหายาก จะเข้าสู่การจำศีลด้วยการนอนอยู่นิ่ง ๆ ในโพรงของตัวเอง จนกว่าจะถึงฤดูร้อน ชิปมังก์มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 2–3 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และชิปมังก์ · ดูเพิ่มเติม »

บึงพลาญชัย

ตราประจำจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นรูปบึงพลาญชัย บึงพลาญชัย ตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองร้อยเอ็ด ถือเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด มีลักษณะเป็นเกาะอยู่กลางบึงน้ำขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 2 แสนตารางเมตร เป็นบึงที่เกิดจากพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ (เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนแรก) นำชาวบ้าน 40,000 คน ขุดขึ้นมาเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และบึงพลาญชัย · ดูเพิ่มเติม »

บุชด็อก

็อก (Bush dog, Savannah dog) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์สุนัข (Canidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวของสกุล Speothos ที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน บุชด็อก แม้จะอยู่วงศ์เดียวกับหมาป่าหรือสุนัขบ้าน แต่กลับมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับนากหรือพังพอนมากกว่าจะเป็นสุนัข เนื่องจากลำตัวยาว ขาสั้น ขนสั้น หางสั้น ใบหูกลมสั้น ที่อุ้งตีนมีพังผืด จึงทำให้มีความสามารถว่ายน้ำได้ดี และดำน้ำได้เก่งมาก ขนาดเมื่อโตเต็มที่ ยาวประมาณ 55–75 เซนติเมตร (22–30 นิ้ว) และความยาวหาง 13 เซนติเมตร (5 นิ้ว) มีความสูงจากตีนถึงหัวไหล่ 20–30 เซนติเมตร (8–12 นิ้ว) น้ำหนักประมาณ 5–8 กิโลกรัม (11–18 ปอนด์) และมีฟันที่เขียนเป็นสูตรได้ว่า มีฟันทั้งหมด 38 ซี่de Mello Beiseigel, B. & Zuercher, G.L. (2005).

ใหม่!!: สัตว์และบุชด็อก · ดูเพิ่มเติม »

บุคคลธรรมดา

ในทางกฎหมาย บุคคลธรรมดา หรือ บุคคล (natural person) หมายถึง สิ่งที่มีชีวิตสามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย คือมนุษย์ทั้งปวงจะเป็นหญิง ชาย เด็ก คนชรา หรือเป็นผู้บกพร่องในความสามารถหรือเป็นคนวิกลจริตอย่างใดก็ตามคนวิกลจริตอย่างใดก็ตามถือเป็นบุคคลธรรมดาทั้งสิ้น ตามประมวลกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 15 ที่ว่าไว้ดังนี้ สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่างๆได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก.

ใหม่!!: สัตว์และบุคคลธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

ชูการ์ไกลเดอร์

ูการ์ไกลเดอร์ หรือที่บางครั้งเรียกกันว่า จิงโจ้ร่อน (Sugar glider, Australia sugar glider) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จัดเป็นสัตว์ที่อยู่ในอันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องจำพวกพอสซัม เนื่องจากในตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้อง ใช้สำหรับให้ลูกอ่อนอยู่อาศัยจนกว่าจะโตได้ที่ ชูการ์ไกลเดอร์มีลักษณะภายนอกคล้ายคลึงกับกระรอกบินมาก แต่เป็นสัตว์คนละอันดับกัน เนื่องจากกระรอกบินเป็นสัตว์ที่อยู่ในอันดับสัตว์ฟันแทะ ชูการ์ไกลเดอร์เป็นสัตว์ที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงตั้งแต่ 6-10 ตัวขึ้นไป และแต่ละฝูงจะมีการกำหนดอาณาเขตของตัวเองอย่างชัดเจน ซึ่งตัวผู้ที่เป็นจ่าฝูงจะมีการปล่อยกลิ่นเพื่อกำหนดอาณาเขตของตนเอง อายุโดยเฉลี่ย 10-15 ปี ตามธรรมชาติแล้ว ชูการ์ไกลเดอร์จะอาศัยอยู่บนต้นไม้ ดังนั้นจึงมีเล็บที่แหลมคมใช้เกาะเพื่อกระโดดข้ามจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง ขนมีลักษณะนุ่มมาก บริเวณข้างลำตัวของมันจะมีพังผืด ซึ่งสามารถกางได้จากขาหน้าไปถึงขาหลังเพื่อลู่ลมเวลาร่อน เหมือนเช่นกระรอกบิน หรือบ่าง เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน โดยอาหารหลัก คือ แมลง ส่วนผลไม้จะถือเป็นอาหารรอง เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดความยาวจากจมูกถึงปลายหางจะอยู่ที่ 11 นิ้ว แพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่ปาปัวนิวกินี จนถึงออสเตรเลียทางซีกตะวันออก สามารถแบ่งออกได้เป็น 7 ชนิดย่อย ๆ (ดูในตาราง) ด้วยความน่ารัก ประกอบกับเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็ก และมีอุปนิสัยไม่ดุร้ายก้าวร้าว ทำให้ชูการ์ไกลเดอร์นิยมนำมาเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง ในปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และชูการ์ไกลเดอร์ · ดูเพิ่มเติม »

บีชมาร์เทิน

ีชมาร์เทิน (Beech marten) เป็นสัตว์ลูกด้วยนมกินเนื้อขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกมาร์เทิน หรือหมาไม้ มีขนสีตั้งแต่สีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีเทาอ่อนออกน้ำตาล มีริ้วสีขาวหรือสีครีมในบริเวณคางและคอไปจนถึงหน้าอก ตัวเต็มวัยมีความยาวหัวและลำตัวมีขนาด 400–500 มิลลิเมตร หางยาว 200–300 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวราว 1.10–2.30 กิโลกรัม บีชมาร์เทิน มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ลำพังเพียงตัวเดียว ยกเว้นในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ตามป่าผลัดใบหรือตามโขดหินบนภูเขา ฤดูผสมพันธุ์จะอยู่ในช่วงกลางฤดูร้อนถึงแม้ว่าการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิแล้วในมดลูกจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นฤดูที่อาหารอุดมสมบูรณ์ ระยะเวลาตั้งท้องจะอยู่ที่ 28 วัน มีลูกได้ครอกละ 2–7 ตัว ลูกบีชมาร์เทินจะหย่านมเมื่ออายุได้ 2 เดือน แม่จะเป็นผู้สอนวิธีการล่าสัตว์ให้ หลังจากนั้นลูกบีชมาร์เทินจะออกไปอยู่เป็นอิสระในช่วงปลายฤดูร้อน มีอายุขัยโดยปกติในธรรมชาติจะอยู่ประมาณ 3 ปี และมีอายุยืนมากที่สุดในป่าประมาณ 10 ปี ในที่เลี้ยงมีอายุอยู่ได้นานถึง 18 ปี พบกระจายพันธุ์ไปในหลายพื้นที่ของทวีปยุโรป ตั้งแต่ยุโรปใต้ เช่น สเปน และโปรตุเกส จนถึงเอเชียกลาง เช่น สหภาพโซเวียต, จีน, ตะวันออกกลาง, อนุทวีปอินเดีย จนถึงภาคเหนือของพม่า แบ่งออกได้เป็น 11 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) left บีชมาร์เทน เป็นสัตว์ที่ถูกล่าเพื่อนำขนและหนังทำเป็นเสื้อขนสัตว์เช่นเดียวกับสัตว์ชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน เป็นสัตว์ที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี สามารถเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านเรือนของมนุษย์ได้ เช่น ตามยุ้งฉาง หรือเพดานบ้าน ถือเป็นสัตว์รังควานชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์ที่กินอาหารได้ไม่เลือก จึงอาจทำลายเครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องเรือน หรือเครื่องยนต์ของรถยนต์ได้.

ใหม่!!: สัตว์และบีชมาร์เทิน · ดูเพิ่มเติม »

บีกูญา

ีกูญา (vicuña) เป็นหนึ่งในสัตว์ป่าตระกูลอูฐ (camelid) สองชนิดซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่สูงมากบนเทือกเขาแอนดีสในทวีปอเมริกาใต้ (อีกชนิดหนึ่งคือกวานาโก) บีกูญาเป็นญาติกับยามา และทุกวันนี้เชื่อกันว่าบีกูญาเป็นบรรพบุรุษป่าของอัลปากาซึ่งมนุษย์นำมาเลี้ยงเพื่อเอาขน บีกูญาให้ขนที่มีเส้นใยละเอียดมากแต่ก็มีราคาแพง เพราะเราสามารถตัดขนของมันได้ทุก ๆ สามปีเท่านั้น และต้องจับมาจากแหล่งที่อยู่อาศัยธรรมชาติ เมื่อถักเข้าด้วยกัน ผลผลิตที่ได้จากขนบีกูญาจะมีความนุ่มและอุ่นมาก ชาวอินคาให้คุณค่ากับบีกูญาเป็นอย่างสูงเนื่องจากขนคุณภาพดีของพวกมัน การสวมใส่เครื่องนุ่งห่มจากขนบีกูญาถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายหากผู้สวมใส่มิใช่ราชนิกุล บีกูญาได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายทั้งในสมัยจักรวรรดิอินคาและในสมัยปัจจุบัน แต่พวกมันก็ถูกล่าอย่างหนักในช่วงเวลาระหว่างสมัยทั้งสอง โดยก่อนที่จะได้รับการประกาศให้เป็นสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และบีกูญา · ดูเพิ่มเติม »

บีกูญา (สกุล)

ีกูญา เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์อูฐ (Camelidae) มีถิ่นกำเนิดและกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้ ในอดีตเชื่อว่าอัลปากาสืบสายพันธุ์มาจากยามา จึงจัดสัตว์ชนิดนี้อยู่ในสกุลยามา (Lama) แต่ต่อมาได้รับการจัดกลุ่มใหม่ให้อยู่ในสกุลบีกูญา เนื่องจากมีรายงานการศึกษาดีเอ็นเอของอัลปากาในปี..

ใหม่!!: สัตว์และบีกูญา (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ชีวิต

ีวิต คือสถานะที่แยกสิ่งมีชีวิตหรืออินทรีย์ออกจากสิ่งไม่มีชีวิตหรืออนินทรีย์และสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว สิ่งมีชีวิตเติบโตผ่านกระบวนการสันดาป การสืบพันธุ์และ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม สิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดสามารถพบได้ในชีวมณฑลของโลก ส่วนประกอบทั่วไปของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ - พืช สัตว์ เห็ดรา โพรทิสต์ อาร์เคีย และ แบคทีเรีย - คือ เซลล์ที่มีส่วนของน้ำและคาร์บอนเป็นหลัก และ เซลล์แหล่านี้ถูกเรียบเรียงอย่างซับซ้อนตามข้อมูลจากหน่วยพันธุกรรม สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการสันดาป เพิ่มความสามารถในการเจริญเติบโต ตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว และ มีการปรับตัวและวิวัฒนาการโดยการผ่านการคัดเลือกโดยธรรมชาติ สิ่งที่มีคุณสมบัติเหล่านี้เท่านั้นที่ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ชีวิต คือ หน่วยที่ต้องใช้พลังงาน มีคุณสมบัติทั้งกายภาพและชีวภาพดังต่อไปนี้.

ใหม่!!: สัตว์และชีวิต · ดูเพิ่มเติม »

ชีวนิเวศ

ีวนิเวศ (biome) หมายถึง สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น พื้นที่ทาง ภูมิศาสตร์ที่คล้ายคลึงกันบนโลก ซึ่งเป็นชุมชนกลุ่มสิ่งมีชีวิต ของพืชและสัตว์ รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตในดิน ซึ่งมักจะหมายถึงระบบนิเวศ ซึ่งบางส่วนของโลกจะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับชนิดการแพร่กระจายขององค์ประกอบสิ่งมีชีวิต (Abiotic Factor) และองค์ประกอบของสิ่งไม่มีชีวิต ในพื้นที่ขนาดใหญ่ ประเภทของชีวนิเวศ แบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ คือ.

ใหม่!!: สัตว์และชีวนิเวศ · ดูเพิ่มเติม »

บีเวอร์

รงกระดูกของบีเวอร์ บีเวอร์ (beaver) เป็นสัตว์กินพืชเลี้ยงลูกด้วยนมจัดเป็นสัตว์ฟันแทะชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับหนูยักษ์ พวกมันมีอยู่ด้วยกันสองสายพันธุ์คือ พันธุ์ยูเรเชียน (Eurasian beaver ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Castor fiber) กับพันธุ์อเมริกาเหนือ (North American beaver ชื่อทางวิทยาศาสตร์ก็คือ Castor Canadensis) ถึงแม้จะมีขนาดและรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองสายพันธุ์แยกขาดจากกันตั้งแต่เมื่อ 24,000 ปีที่แล้ว พวกมันจึงไม่สามารถผสมพันธุ์กันเองได้อีก บีเวอร์มีขนาดตัวที่ใหญ่ตัวโตเต็มวัยจะมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับเด็กอายุ 8 ขวบ ตัวผู้สามารถมีน้ำหนักได้มากกว่า 25 กิโลกรัมส่วนตัวเมียอาจมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ในช่วงอายุเท่ากัน นอกจากนี้บีเวอร์มีอายุยืนยาวได้ถึง 24 ปี พวกมันยังมีอีกสายพันธุ์หนึ่งในอดีตคือสายพันธุ์บีเวอร์ยักษ์ (Giant beaver ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Castor ohioensis) ที่สูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อน พวกมันส่วนมากอาศัยอยู่ในบริเวณซีกโลกเหนือมีจำนวนประชากรในแถบอเมริกาเหนือมากกว่า 60 ล้านตัว แต่เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และบีเวอร์ · ดูเพิ่มเติม »

บีเอลซิบูโฟ

ีเอลซิบูโฟ หรือ กบปีศาจ หรือ คางคกปีศาจ หรือ กบจากนรก (Beelzebufo) เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกขนาดใหญ่จำพวกกบที่สูญพันธุ์ไปแล้วในยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อกว่า 65-70 ล้านปีก่อน ในยุคครีเตเชียสตอนปลาย โดยคำว่า Beelzebufo นั้น มาจากคำว่า "บีเอลซิบับ" ซึ่งเป็นปีศาจตนหนึ่งในความเชื่อทางคริสต์ศาสนา เป็นปีศาจแมลงวัน และ bufo เป็นภาษาละตินแปลว่า "คางคก" ส่วนชื่อชนิดนั้น ampinga หมายถึง "โล่" ในภาษามาลากาซี บีเอลซีบูโฟ ถูกค้นพบครั้งแรกเป็นฟอสซิลในมาดากัสการ์เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และบีเอลซิบูโฟ · ดูเพิ่มเติม »

บทนำวิวัฒนาการ

"ต้นไม้บรรพชีวินวิทยาของสัตว์มีกระดูกสันหลัง" จากหนังสือ ''วิวัฒนาการมนุษย์'' ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 (ลอนดอน, 1910) ของเฮเกิล (Ernst Haeckel) ประวัติวิวัฒนาการของสปีชีส์ต่าง ๆ สามารถจัดเป็นรูปต้นไม้วิวัฒนาการชาติพันธุ์ โดยมีสาขามากมายงอกออกจากลำต้นเดียวกัน วิวัฒนาการ (evolution) เป็นการเปลี่ยนแปลงในสรรพชีวิตตลอดหลายรุ่น และศาสตร์ชีววิทยาวิวัฒนาการ (evolutionary biology) เป็นศึกษาว่าเกิดขึ้นอย่างไร ประชากรสิ่งมีชีวิตวิวัฒนาผ่านการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมซึ่งเข้ากับการเปลี่ยนแปลงลักษณะปรากฏของสิ่งมีชีวิต การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมรวมทั้งการกลายพันธุ์ ซึ่งเกิดจากความเสียหายของดีเอ็นเอหรือข้อผิดพลาดในการถ่ายแบบดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิต เมื่อความหลากหลายทางพันธุกรรมของประชากรเปลี่ยนไปอย่างไม่เจาะจงแบบสุ่มเป็นเวลาหลายรุ่นเข้า การคัดเลือกโดยธรรมชาติจะเป็นเหตุให้พบลักษณะสืบสายพันธุ์มากขึ้นหรือน้อยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขึ้นอยู่กับความสำเร็จทางการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเช่นนั้น โลกมีอายุประมาณ 4,540 ล้านปี และหลักฐานสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ที่สุดโดยไม่มีผู้คัดค้านสืบอายุได้อย่างน้อย ระหว่างมหายุคอีโออาร์เคียนหลังเปลือกโลกเริ่มแข็งตัว หลังจากบรมยุคเฮเดียนก่อนหน้าที่โลกยังหลอมละลาย มีซากดึกดำบรรพ์แบบเสื่อจุลินทรีย์ (microbial mat) ในหินทรายอายุ ที่พบในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย หลักฐานรูปธรรมของชีวิตต้น ๆ อื่นรวมแกรไฟต์ซึ่งเป็นสสารชีวภาพในหินชั้นกึ่งหินแปร (metasedimentary rocks) อายุ ที่พบในกรีนแลนด์ตะวันตก และในปี 2558 มีการพบ "ซากชีวิตชีวนะ (biotic life)" ในหินอายุ ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย Early edition, published online before print.

ใหม่!!: สัตว์และบทนำวิวัฒนาการ · ดูเพิ่มเติม »

ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น

อกบัวตอง language.

ใหม่!!: สัตว์และชนิดพันธุ์ต่างถิ่น · ดูเพิ่มเติม »

ชนิดย่อย

นิดย่อย หรือ พันธุ์ย่อย หรือ สปีชีส์ย่อย (subspecies) หมายถึง สิ่งมีชีวิตในสกุล (genus) เดียวกัน และจัดอยู่ในชนิด (species) เดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยซึ่งไม่สามารถแยกแยะออกเป็นชนิดใหม่ได้ จึงจัดเป็นชนิดย่อย โดยใช้ชื่อไตรนาม เช่น เต่าปูลู (Platysternon megacephalum pequense) เต่าปูลูเหนือ (Platysternon megacephalum megacephalum) เต่าปูลูใต้ (Platysternon megacephalum vogeli) เป็นต้น ความแตกต่างของชนิดย่อยมักอยู่ที่ลวดลาย สีสัน หรือขนาดลำตัว อันเนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่อยู่ที่แตกต่างกัน ปกติชนิดย่อยของสัตว์นิยมเรียกว่า subspecies ส่วนพืชเรียกว่า variety.

ใหม่!!: สัตว์และชนิดย่อย · ดูเพิ่มเติม »

ช่วง มูลพินิจ

วง มูลพินิจ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ประจำปี พ.ศ. 2556 เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงชาวไทย มีผลงานปรากฏทั้งในด้านจิตรกรรมและประติมากรรมตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา งานของช่วงในระยะแรกเริ่มเป็นภาพลายเส้นประยุกต์ลายไทย ต่อมาจึงใช้เทคนิคสีน้ำ และสีน้ำมัน ผลงานส่วนใหญ่แสดงถึงเรื่องราวของดอกไม้ แมลง สัตว์ มนุษย์ ผนึกเรื่องราวทางอุดมคติกับธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และช่วง มูลพินิจ · ดูเพิ่มเติม »

ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี

นีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี (Channel 9 MCOT HD; ชื่อเดิม: สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม, สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 บางลำพู, สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท., สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี) เป็นสถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดิน (Terrestrial Television) แห่งแรกของประเทศไทย ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เริ่มแพร่ภาพเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2498 ในระบบวีเอชเอฟ เดิมออกอากาศเป็นภาพขาวดำ ทางช่องสัญญาณที่ 4 ต่อมาในปี พ.ศ. 2517 จึงย้ายมาออกอากาศด้วยภาพสี ทางช่องสัญญาณที่ 9 จนถึงปัจจุบัน สังกัด สำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับดูแล มีพลเอก ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เป็นประธานกรรมการบริษัท และนายเขมทัตต์ พลเดชเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ.

ใหม่!!: สัตว์และช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี · ดูเพิ่มเติม »

บ่าง

ง หรือ พุงจง หรือ พะจง ในภาษาใต้ หรือ ปักขพิฬาร เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกหนึ่งในอันดับบ่าง (Dermoptera) มีรูปร่างคล้ายกระรอกบินขนาดใหญ่ พบได้แต่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Galeopterus variegatus นับเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Galeopterus.

ใหม่!!: สัตว์และบ่าง · ดูเพิ่มเติม »

บ่างฟิลิปปิน

งฟิลิปปิน (Philippine Flying Lemur) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง บ่างฟิลิปปินจัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งในสองชนิดเท่านั้นที่อยู่ในอันดับบ่าง (Dermoptera) ที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน (อีกชนิดหนึ่งนั้นคือ บ่าง (Galeopterus variegatus)) และเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในสกุล Cynocephalus บ่างฟิลิปปินมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับบ่างที่พบในภูมิภาคอินโดจีนและแหลมมลายู แต่มีขนาดที่เล็กกว่าและมีน้ำหนักตัวที่เบากว่า โดยมีความยาวประมาณ 14-17 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 1-1.7 กิโลกรัม มีหัวโต หูเล็ก ตาโต พังผืดมีขนาดใหญ่และมีกรงเล็บเท้าเป็นพังผืด สามารถปีนต้นไม้เพื่อร่อนได้อย่างรวดเร็ว และสามารถร่อนได้ไกลกว่า 100 เมตร บ่างฟิลิปปินมีฟันทั้งหมด 34 ซี่ ใช้สำหรับกินอาหารจำพวก ยอดไม้, ใบไม้อ่อน หรือดอกไม้ มีพฤติกรรมคล้ายกับบ่าง คือ ออกหากินในเวลากลางคืน พักผ่อนในเวลากลางวันตามโพรงไม้หรือพุ่มไม้หนา ใช้เวลาตั้งท้องนาน 2 เดือน ลูกอ่อนจะยังเกาะที่หน้าท้องและดูดนมของแม่ บ่างฟิลิปปิน จะพบได้เฉพาะบนเกาะมินดาเนาและเกาะโบฮอล ในหมู่เกาะฟิลิปปินเท่านั้น ถูกล่าโดยมนุษย์เพื่อนำเนื้อไปทำอาหาร และกำจัดลงเพราะเป็นศัตรูของพืชสวน เช่น มะพร้าว หรือผลไม้ต่าง ๆ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และบ่างฟิลิปปิน · ดูเพิ่มเติม »

ช็อกโกแลต

็อกโกแลต ช็อกโกแลต (chocolate; ช็อก(กะ)เล็ต) คือผลิตผลที่ได้มาจากเมล็ดของต้นโกโก้เขตร้อน ช็อกโกแลตเป็นส่วนผสมของของหวานหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นไอศกรีม ลูกอม คุกกี้ เค้ก หรือว่าพาย ช็อกโกแลตถือได้ว่าเป็นของหวานอย่างหนึ่งที่ถูกใจคนทั่วโลก ช็อกโกแลตทำจากการหมัก คั่ว และบดอย่างละเอียดของเมล็ดโกโก้ซึ่งได้มาจากต้นโกโก้เขตร้อน (tropical cacao tree) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากอเมริกากลางและเม็กซิโก ต้นโกโก้นั้นค้นพบโดยชาวอินเดียนแดงและชาวอัซเตก (Aztecs) แต่ในปัจจุบันได้แพร่กระจายและปลูกไปทั่วเขตร้อน เมล็ดของต้นโกโก้นั้นมีรสฝาดที่เข้มข้นมาก ผลผลิตของเมล็ดโกโก้รู้จักกันในนาม "ช็อกโกแลต" หรือบางส่วนของโลกในนาม "โกโก้" ผลิตภัณฑ์จากเมล็ดโกโก้รู้จักภายใต้หลายชื่อที่แตกต่างกันไปในส่วนต่าง ๆ ของโลก ในอเมริกา อุตสาหกรรมช็อกโกแลตได้จำกัดความไว้.

ใหม่!!: สัตว์และช็อกโกแลต · ดูเพิ่มเติม »

ช้างบอร์เนียว

้างบอร์เนียว หรือ ช้างแคระบอร์เนียว (Borneo elephant) เป็นชนิดย่อยของช้างเอเชียชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Elephas maximus borneensis พบได้เฉพาะบนเกาะบอร์เนียวเท่านั้น ถูกเรียกว่าเป็น "ช้างแคระ" เพราะมีขนาดลำตัวที่เมื่อโตเต็มที่แล้วมีขนาดเล็กกว่าช้างเอเชียชนิดอื่น ๆ อย่างมาก โดยมีความสูงประมาณ 8 ฟุต เท่านั้นเอง ตัวผู้มีงาสั้น ๆ หรือไม่มีเลย ขณะที่ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ มีใบหูใหญ่ มีลำตัวอ้วนกลมกว่า และมีนิสัยไม่ดุร้าย มีลักษณะความแตกต่างทางพันธุกรรมจากช้างเอเชียชนิดอื่น ๆ พอสมควร สุลต่านแห่งซูลูได้นำเอาช้างที่ถูกจับเข้ามาบนเกาะบอร์เนียวในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก่อนจะถูกปล่อยเข้าป่าไปCranbrook, E., Payne, J., Leh, C.M.U. (2008).

ใหม่!!: สัตว์และช้างบอร์เนียว · ดูเพิ่มเติม »

ช้างพุ่มไม้แอฟริกา

้างพุ่มไม้แอฟริกา หรือ ช้างสะวันนาแอฟริกา (African bush elephant, African savanna elephant) หรือที่นิยมเรียกกันว่า ช้างแอฟริกา หรือ ช้างแอฟริกัน เป็นช้างชนิดหนึ่งที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน ช้างพุ่มไม้แอฟริกา นับเป็นช้างขนาดใหญ่ที่สุด และถือเป็นสัตว์บกและสัตว์กินพืชที่ใหญ่และหนักที่สุดในโลกอีกด้วย ช้างพุ่มไม้แอฟริกา เดิมเคยถูกจัดเป็นชนิดเดียวกับช้างป่าแอฟริกา (L. cyclotis) โดยเป็นชนิดย่อยของกันและกัน ก่อนที่จะแยกออกจากกันในปี ค.ศ. 2010 จากการศึกษาทางดีเอ็นเอ โดยช้างพุ่มไม้แอฟริกานั้นมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่า ล่ำสันกว่า แพร่กระจายพันธุ์ได้กว้างกว่า โดยกระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนใต้ของทะเลทรายสะฮาราลงไป รวมถึงมีพฤติกรรมการอยู่อาศัยที่แตกต่างออกไปด้วย กล่าวคือ จะอาศัยอยู่ตามทุ่งโล่งหรือตามพุ่มไม้ต่าง ๆ มากกว่าป่าทึบ เป็นสัตว์ที่ไม่กลัวแดดและความร้อน หากินและอพยพได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ช้างพุ่มไม้แอฟริกา อาจจะมีความสูงถึงเกือบ 4 เมตร เมื่อวัดจากเท้าถึงหัวไหล่ แต่โดยเฉลี่ยทั่วไปจะมีความสูงประมาณ 3.3 เมตร น้ำหนักประมาณ 5.5 ตัน ขณะที่ตัวเมียจะมีขนาดเล็กลงมากว่าหน่อย คือ สูง 2.8 เมตร และมีน้ำหนัก 3.7 ตันโดยเฉลี่ย ขณะที่มีงายาวได้ถึง 20 นิ้ว น้ำหนักงา 200 ปอนด์ มีงาทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่งาของตัวผู้จะสั้นและอวบใหญ่กว่า ส่วนงาของตัวเมียจะยาวกว่า แต่มีความเรียวบางกว่า เท้าหน้ามี 4 เล็บ และเท้าหลังมี 3 เล็บ มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 50 ปี นับว่าน้อยกว่าช้างเอเชีย ช้างพุ่มไม้แอฟริกา จะอยู่รวมกันเป็นฝูง มีตัวเมียที่อาวุโสสูงสุดเป็นจ่าฝูง เป็นตัวนำพาสมาชิกในฝูงตัวอื่น ๆ ขณะที่ตัวผู้ที่โตเต็มที่มักจะออกไปอยู่เองเป็นอิสระ ช้างพุ่มไม้แอฟริกามีอุปนิสัยดุร้าย ก้าวร้าวมากกว่าช้างเอเชีย จึงฝึกให้เชื่องได้ยากกว่า มีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สามารถฝึกให้เชื่อฟังมนุษย์ได้ โดยปกติ ตัวเมียจะเป็นอันตรายมากกว่าตัวผู้ อาจเป็นเพราะต้องดูแลปกป้องลูกช้าง และสมาชิกในฝูงกว่า แต่ช้างตัวผู้ที่โตเต็มที่สามารถฆ่าสัตว์ใหญ่แม้กระทั่งแรดได้ ทั้ง ๆ ที่แรดมิได้เป็นสัตว์ที่คุกคามเลย แต่เป็นเพราะมาจากความก้าวร้าว ในแต่ละปี ช้างพุ่มไม้แอฟริกา จะบุกรุกและทำลายบ้านเรือนของชาวพื้นเมืองแอฟริกัน เพราะพื้นที่อยู่อาศัยและทำการเกษตรของมนุษย์กับช้างทับซ้อนกัน มีผู้ถูกฆ่ามากกว่า 500 คน โดยก่อนที่จะบุกรุก ช้างพุ่มไม้แอฟริกาจะทำการชูงวง ที่มีกล้ามเนื้อมากกว่า 100,000 มัด เต็มไปด้วยพละกำลัง และกางหูออก เมื่อจะวิ่งเข้าใส่ จะทำการย่อเข่าลงมาเล็กน้อย แม้จะมีขนาดลำตัวใหญ่ที่ใหญ่โต แต่ก็สามารถวิ่งได้เร็วกว่ามนุษย์ โดยวิ่งได้เร็วถึง 30 ไมล์/ชั่วโมงหน้า 91-94, สัตว์สวยป่างาม โดย ชมรมนิเวศวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล (สิงหาคม, 2518) ปัจจุบัน มีรายงานการพบช้างพุ่มไม้แอฟริการ้อยละ 30 ที่ไม่มีงา แต่ช้างที่ไม่มีงานั้นกลับดุร้าย และอันตรายยิ่งกว่าช้างที่มีงา โดยจะพุ่งเข้าใส่เลยทันที สันนิษฐานว่าเป็นเพราะพันธุกรรมตกทอดกันมา จากการถูกมนุษย์ล่าเอางาElephant, "Rouge Nature With Dave Salmoni" สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต ทางทรูวิชั่นส์: พฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2555.

ใหม่!!: สัตว์และช้างพุ่มไม้แอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

ช้างศรีลังกา

้างศรีลังกา (Sri Lankan elephant; ශ්‍රි ලංකා‍ අලියා) เป็นช้างเอเชียชนิดย่อยชนิดหนึ่ง มีถิ่นกระจายพันธุ์เฉพาะบนเกาะซีลอน หรือประเทศศรีลังกาในปัจจุบันเท่านั้น ช้างศรีลังกา ได้ถูกอนุกรมวิธานแยกออกจากช้างเอเชียชนิดอื่น ๆ โดยคาโรลัส ลินเนียส นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดนเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และช้างศรีลังกา · ดูเพิ่มเติม »

ช้างสุมาตรา

้างสุมาตรา (Sumatran elephant) เป็นชนิดย่อยของช้างเอเชีย (E. maximus) ชนิดหนึ่ง จัดเป็นช้างที่พบได้เฉพาะบนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เท่านั้น ช้างสุมาตรา มีรูปร่างที่เล็กกว่าช้างเอเชียชนิดอื่น ๆ มีลำตัวสีเทาจางและมีรอยด่างน้อยกว่าช้างเอเชียชนิดอื่น โดยมีจุดสีชมพูเฉพาะบนใบหูเท่านั้น ช้างสุมาตราตัวเต็มวัยมีความสูงจากพื้นถึงไหล่วัดได้ 2-3.2 เมตร น้ำหนักระหว่าง 2,000-4,000 กิโลกรัม มักอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าและถิ่นที่อยู่ปกคลุมด้วยต้นไม้บางส่วน ปัจจุบันช้างสุมาตราตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤต คาดว่ามีจำนวนประชากรทั้งหมดไม่เกิน 1,000 ตัว โดยสาเหตุสำคัญที่สุดของการสูญพันธุ์ คือ การไล่ล่าจากพรานป่าเพื่อเอาอวัยวะและงาไปขายในตลาดมืด ถือเป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดมากกว่าการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย หรือโรคระบาดเสียอีก แม้ปัจจุบันจะมีการตั้งศูนย์อนุรักษ์ช้างสุมาตราขึ้นภายในอุทยานแห่งชาติเวย์แคมบัส แต่ทว่ารอบ ๆ ศูนย์อนุรักษ์ก็ยังคงมีปัญหาการไล่ล่าอยู่ ในระยะแรก ๆ ที่มีการตั้งศูนย์อนุรักษ์ขึ้นมา ก็ปรากฏมีพรานป่าแอบเข้ามาลักขโมยช้างออกไปฆ่าจนมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่หลายครั้ง ได้รับความเสียหายทั้งสองฝ่าย จึงมีการคล้องโซ่ช้างไว้เพื่อให้ได้ยินเสียงในเวลากลางคืน มิได้เป็นไปเพื่อการล่ามหรือกักขังแต่อย่างใด ช้างสุมาตราในศูนย์อนุรักษ์ อุทยานแห่งชาติเวย์แคมบัส ปัจจุบันที่ศูนย์อนุรักษ์แห่งนี้มีจำนวนช้างสุมาตราเลี้ยงไว้ราว 80 เชือก เป็นช้างที่เชื่องต่อผู้เลี้ยงเหมือนช้างบ้าน ซึ่งภาวะเช่นนี้เสี่ยงอย่างมากต่อการสูญเสียพฤติกรรมตามธรรมชาติไป อีกทั้งในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ทางศูนย์ก็ยังได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมได้อีก เพื่อต้องการเงินนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู, ศึกษา และอนุรักษ์ต่อยอดขึ้นไปในอนาคต แม้ช้างที่เลี้ยง ณ ที่นี่มีการขยายพันธุ์ได้ลูกช้างบางส่วนแล้วก็ตาม แต่การปล่อยคืนสู่ธรรมชาติยังมิอาจทำได้ เพราะปัญหาการไล่ล่าที่ยังคงมีอยู.

ใหม่!!: สัตว์และช้างสุมาตรา · ดูเพิ่มเติม »

ช้างอินเดีย

้างอินเดีย (Indian elephant) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ ในวงศ์ Elephantidae หรือช้าง เป็นช้างที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคไพลโอซีนหรือประมาณ 5 ล้านปีก่อนมาแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และช้างอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ช้างป่าแอฟริกา

้างป่าแอฟริกา (African forest elephant) เป็นช้างชนิดหนึ่ง เดิมเคยถูกจัดให้เป็นชนิดเดียวกันกับช้างพุ่มไม้แอฟริกา (L. africana) โดยใช้ชื่อว่า L. africana cyclotis จนกระทั่งในปี..

ใหม่!!: สัตว์และช้างป่าแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

ช้างน้ำ

้างน้ำ เป็นชื่อเรียกของสัตว์หลายชนิดในภาษาพูด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และช้างน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

ช้างแมมมอธ

้างแมมมอธ หรือ แมมมอธ (Mammoth) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตระกูลช้างที่อาศัยอยู่ในยุคน้ำแข็งเมื่อกว่า 20,000 ปีก่อน จัดอยู่ในวงศ์ Elephantidae เช่นเดียวกับช้างที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน โดยอยู่ในสกุล Mammuthus จำแนกออกได้ทั้งหมด 9 ชนิด (ดูในตาราง) โดยคำว่า "แมมมอธ" นั้นมาจากคำว่า "Mammal" หรือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แมมมอธ กระจายพันธุ์อยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะทวีปยุโรปและเอเชียเหนือ เช่น ไซบีเรีย ยกเว้นออสเตรเลียและอเมริกาใต้ เป็นช้างที่มีลำตัวและงาใหญ่กว่าช้างในยุคปัจจุบันมาก ปัจจุบันจะค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของแมมมอธได้ในยุคไพลสโตซีน แมมมอธ กำเนิดขึ้นมาเมื่อราว 2.6 ล้านปีก่อน ในยุคไพลโอซีนตอนต้น และสูญพันธุ์อย่างสิ้นเชิง เมื่อ 11,700 ปีที่ผ่านมา (แมมมอธตัวสุดท้ายที่สูญพันธุ์ คือ แมมมอธแคระ ที่อาศัยบนเกาะแรงเกล ในทะเลอาร์กติก เมื่อราว 3,700 ปีก่อน) แมมมอธมีขนาดโดยเฉลี่ย 4 เมตร (14 ฟุต) ตั้งแต่เท้าจนถึงหัวไหล่ มีสีขนที่หลากหลายตั้งแต่น้ำตาล หรือน้ำตาลออกเหลือง ความยาวตั้งแต่ 2.5 เซนติเมตร (1 นิ้ว) จนถึง 50 เซนติเมตร (20 นิ้ว) ภายใต้ผิวหนังหนาและมีชั้นไขมันเป็นฉนวนกันความหนาว 8 เซนติเมตร (3 นิ้ว) มีส่วนหัวที่กลม ใบหูเล็กกว่าช้างในยุคปัจจุบันมาก มีโหนกไขมันอยู่บริเวณส่วนหลัง มีงายาวโค้งได้ถึง 13 ฟุต (4 เมตร) มีฟันกรามเป็นสัน ทั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเหมาะแก่การอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความหนาวในยุคน้ำแข็ง เพื่อรักษาความอบอุ่นในร่างกาย แมมมอธ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อมนุษย์ในยุคหินเก่า ด้วยการล่าเอาเนื้อเป็นอาหาร หนังและไขมันเป็นเครื่องสร้างความอบอุ่น จนมีภาพเขียนสีบนผนังถ้ำหลายแห่งที่ปรากฏภาพ การล่าแมมมอธด้วยอาวุธที่ทำจากหินในยุคนั้น ภาพเปรียบเทียบขนาดของมนุษย์กับแมมมอธแต่ละชนิด แมมมอธ จำแนกออกได้เป็นทั้งหมด 9 ชนิด แต่ละชนิดมีลักษณะ รูปร่าง แตกต่างกันออกไป โดยชนิดที่เป็นที่รู้จักดีที่สุด คือ แมมมอธขนดก (Mammuthus primigenius) ที่มีขนปกคลุมอยู่ทั้งตัว เชื่อว่า แมมมอธสูญพันธุ์ไปเพราะถูกล่าโดยมนุษย์จนหมด แต่จากการศึกษาด้านพันธุกรรมศาสตร์และดีเอ็นเอพบว่า แมมมอธนั้นมีสายสัมพันธ์ใกล้เคียงกับ Elephas หรือช้างเอเชียที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนปัจจุบัน จึงมีความพยายามจากนักวิทยาศาสตร์ที่จะโคลนนิงตัวอ่อนของแมมมอธให้เกิดขึ้นมาให้ได้ โดยให้แม่ช้างเอเชียเป็นฝ่ายอุ้มท้อง จากการสกลัดนิวเคลียสจากซากดึกดำบรรพ์ของลูกแมมมอธที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เพราะถูกแช่แข็งในน้ำแข็ง จากไขกระดูกบริเวณต้นขา และจากหลักฐานใหม่ที่ได้ทำการศึกษาพบว่า แมมอธสูญพันธุ์ไปเพราะสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมากกว่า โดยประชากรในยุโรปเกือบสูญพันธุ์ไปก่อนหน้านั้นเมื่อ 20,000-30,000 ปีก่อน จากนั้นเมื่อ 14,000 ปีก่อน โลกเริ่มมีอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น จึงพากันสูญพันธุ์ เนื่องจากสภาพร่างกายที่ใหญ่และมีขนยาวปกคลุมลำตัว ในปลายเดือนสิงหาคม..

ใหม่!!: สัตว์และช้างแมมมอธ · ดูเพิ่มเติม »

ช้างแอฟริกา

้างแอฟริกา หรือ ช้างแอฟริกัน (African elephant) เป็นช้างสกุลหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกา จากหลักฐานฟอสซิลที่ค้นพบทำให้ทราบว่า ช้างแอฟริกาอาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกามาตั้งแต่ยุคไพลสโตซีน ช้างแอฟริกา จัดอยู่ในสกุล Loxodonta (/โล-โซ-ดอน-ตา/; เป็นภาษากรีกแปลว่า "ฟันเอียงข้าง") ซึ่งปัจจุบันหลงเหลือเพียง 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และช้างแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

ช้างเอเชีย

้างเอเชีย (Asian elephant) จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิด Elephas maximus ในวงศ์ Elephantidae มีขนาดเล็กกว่าช้างแอฟริกา รวมทั้งมีใบหูขนาดเล็กกว่า มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 60 ปี ซึ่งถือได้ว่ามีอายุยืนกว่าช้างแอฟริก.

ใหม่!!: สัตว์และช้างเอเชีย · ดูเพิ่มเติม »

ช้างเอเชีย (สกุล)

้างเอเชีย หรือ ช้างยูเรเชีย (Asian elephant, Eurasian elephant) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในอันดับ Proboscidea หรืออันดับช้าง ใช้ชื่อสกุลว่า Elephas (/อี-เล-ฟาส/) จัดอยู่ในวงศ์ Elephantidae.

ใหม่!!: สัตว์และช้างเอเชีย (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ฟรังซิสแห่งอัสซีซี

นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซีราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, พิมพ์ครั้งที่ 3, ราชบัณฑิตยสถาน, 2552, หน้า 148 (Saint Francis of Assisi) มีนามเดิมว่า ฟรันเชสโก ดี ปีเอโตร ดี แบร์นาร์โดเน เป็นไฟรเออร์และนักเทศน์ในนิกายโรมันคาทอลิกชาวอิตาลี ผู้ก่อตั้งคณะฟรันซิสกัน คณะกลาริส และคณะชั้นสามของนักบุญฟรังซิส แม้นักบุญฟรังซิสจะไม่ใช่บาทหลวง แต่ถือเป็นศาสนบุคคลที่ไดัรับการเคารพนับถือมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์Brady, Ignatius Charles.

ใหม่!!: สัตว์และฟรังซิสแห่งอัสซีซี · ดูเพิ่มเติม »

ฟลายอิงฟาแลนเจอร์

ฟลายอิงฟาแลนเจอร์ (flying phalanger, wrist-winged glider) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกระเป๋าหน้าท้องจำพวกพอสซัมสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Petaurus ฟลายอิงฟาแลนเจอร์มีรูปร่างโดยรวมคล้ายกับกระรอกบิน ซึ่งเป็นกระรอกจำพวกหนึ่ง ซึ่งเป็นสัตว์ฟันแทะมาก คือ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก อาศัยหากินและทำรังบนต้นไม้ มีหางเป็นขนพวงฟู และมีแผ่นหนังที่เป็นพังผืดขึงจากขาหน้าไปยังขาหลัง ใช้สำหรับร่อนถลาไปบนอากาศ ระหว่างกระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งด้วยการร่อน การร่อนของฟลายอิงฟาแลนเจอร์มีลักษณะคล้ายกับกระรอกบินมาก คือ จะกางขาทั้ง 4 ข้างออกเมื่อร่อนถลา เมื่อถึงจุดที่จะร่อนลงก็จะยกหางขึ้นมาด้านอากาศเสมือนเบรก จากนั้นจึงควงหางครั้งหนึ่งให้ลงเกาะบนเป้าหมายทั้ง 4 ขา โดยเอาหัวตั้งขึ้น สามารถร่อนได้ไกลถึง 50 หลา ขณะที่ลอยอยู่ในอากาศ จะใช้ส่วนหางเสมือนหางเสือบังคับทิศทาง ฟลายอิงฟาแลนเจอร์เป็นสัตว์หากินตอนกลางคืน กินอาหารจำพวก ผลไม้และยางไม้จากต้นไม้ รวมถึงกินแมลงด้วย ด้วยความเป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง เมื่อคลอดออกมา ลูกอ่อนจะคลานเข้าสู่กระเป๋าของแม่ และเกาะติดกับหัวนมจนแน่น ไม่หล่นมาแม้ขณะร่อน เมื่อโตขึ้นมาก็จะเปลี่ยนมาเกาะอยู่หลังของแม่แทน ขนาดโดยเฉลี่ยของฟลายอิงฟาแลนเจอร์ คือ มีความยาวประมาณ 15 นิ้ว โดยครึ่งหนึ่งเป็นความยาวของหาง ชนิดที่มีขนาดเล็กที่สุดยาวเพียง 6 นิ้วเท่านั้น เป็นสัตว์ที่คล่องแคล่วเมื่ออยู่บนต้นไม้ แต่เมื่อตกลงมาพื้นดินจะเคลื่อนไหวได้ลำบาก และอาจตกเป็นอาหารของสัตว์ใหญ่กว่าได้กระรอกบิน หรือฟลายอิ้งฟาแลงเก้อ หน้า 25-26, "สัตว์สวยป่างาม" โดย ชมรมนิเวศวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล (สิงหาคม, 2518).

ใหม่!!: สัตว์และฟลายอิงฟาแลนเจอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ฟองน้ำ

ฟองน้ำ เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเดียวในไฟลัมพอริเฟอรา (Porifera มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน - porus หมายถึง รู และ ferre หมายถึง พยุงหรือค้ำเอาไว้) เป็นสัตว์หลายเซลล์ที่มีวิวัฒนาการต่ำสุด มีรูปร่างคล้ายแจกันที่มีรูพรุนเล็ก ๆ ทั่วตัวซึ่งเป็นช่องทางให้น้ำผ่านเข้าไปในลำตัว มีเซลล์เรียงกันเป็นสองชั้นแต่ยังไม่มีเส้นประสาทและกล้ามเนื้อที่แท้จริง ไม่มีอวัยวะและทางเดินอาหาร ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำทะเล มีบางชนิดเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในน้ำจืด ตัวอ่อนของฟองน้ำนั้นมีเซลล์ที่สามารถว่ายไดน้ำได้ เรียกระยะนี้ว่า แอมพิบลาสทูลา (Amphiblastula) โดยจะว่ายน้ำไปเกาะตามก้อนหิน เมื่อเจริญเติบโตแล้วจะกลายเป็นฟองน้ำที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ฟองน้ำในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 7,000 สายพันธุ์ มักพบในเขตน้ำลึกกลางมหาสมุทร (ลึกประมาณ 8,500 เมตร) ต้นกำเนิดของฟองน้ำอาจย้อนไปถึงยุคพรีคัมเบรียน (Precambrian) หรือประมาณ 4,500 ล้านปีที่แล้ว พิสูจน์โดยซากฟอสซิลของฟองน้ำ นอกจากนี้แล้ว ฟองน้ำยังถือว่าเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนสูงสุดในบรรดาอาณาจักรสัตว์ทั้งหมดอีกด้วย โดยมีอายุยืนได้ถึงหมื่นปี.

ใหม่!!: สัตว์และฟองน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

ฟองน้ำปะการัง

ฟองน้ำปะการัง (Sclerospongiae) เป็นฟองน้ำชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในไฟลัมพอริเฟอรา ชั้นสเคลียโรสปัน หมวดหมู่:พอริเฟอรา.

ใหม่!!: สัตว์และฟองน้ำปะการัง · ดูเพิ่มเติม »

ฟองน้ำน้ำจืด

ฟองน้ำน้ำจืด (Freshwater sponge) เป็นฟองน้ำจำพวกหนึ่ง จัดอยู่ในไฟลัมพอริเฟอรา ชั้นดีโมสปันกีดี จัดอยู่ในวงศ์ Spongillidae เป็นฟองน้ำเพียงวงศ์เดียวที่อาศัยอยู่ในน้ำจืด อยู่เป็นกลุ่มตามกิ่งก้านของพืชน้ำ หรือเศษไม้ที่อยู่ในน้ำ มองดูคล้ายเศษสิ่งของที่มีรูพรุน สีน้ำตาลหรือน้ำตาลอมเขียว ชอบน้ำที่มีออกซิเจนสูง มีสปิคุลเป็นซิลิกอน เมื่อถึงฤดูหนาว จะตายและสลายตัวไป เหลือแต่เจมมูล ซึ่งจะเจริญเป็นตัวเต็มวัยอีกในฤดูร้อน มี 24 สกุล (หรือ 23 สกุล).

ใหม่!!: สัตว์และฟองน้ำน้ำจืด · ดูเพิ่มเติม »

ฟองน้ำแคลคาเรีย

ฟองน้ำแคลคาเรีย (Calcareous sponge) เป็นฟองน้ำชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในไฟลัมพอริเฟอรา คลาส Calcispongia มีสปิคุลเป็นหินปูน เป็นแท่งเดียวหรือแตกเป็นแฉก เป็นฟองน้ำขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 10 เซนติเมตร อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มัทั้งประเภทสีคล้ำและสีสดใส อาศัยในบริเวณน้ำทะเลที่ตื้น ริมชายฝั่ง.

ใหม่!!: สัตว์และฟองน้ำแคลคาเรีย · ดูเพิ่มเติม »

ฟาโกไซโทซิส

กระบวนการฟาโกไซโทซิส (Phagocytosis แปลตรงตัวแปลว่า "การกินเซลล์") หรือการกลืนกินของเซลล์ คือรูปแบบหนึ่งของการย่อยอาหารในเซลล์ หรือเอนโดไซโทซิส (Endocytosis) โดยที่อนุภาคขนาดใหญ่ (อาจเป็นสิ่งแปลกปลอมหรืออาหาร) ถูกโอบล้อมรอบโดยเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ (ส่วนมากจะใหญ่กว่าอนุภาคที่ทำการโอบ) และถูกนำเข้าไปอยู่ภายในเซลล์ (คล้ายกับการกิน) เพื่อทำให้อนุภาคกลายเป็นฟาโกโซม (Phagosome) หรือฟูดแวคิวโอล (Food vacuole) ซึ่งก็คือช่องว่างในเซลล์ที่มีอาหารหรือสิ่งแปลกปลอมบรรจุอยู่นั่นเอง ในสัตว์นั้น กระบวนการฟาโกไซโทซิสจะมีเซลล์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะเรียกว่า ฟาโกไซต์ (Phagocytes) ซึ่งจะทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ซึ่งก็คือการกำจัดเชื้อโรคนั่นเอง ส่วนในสัตว์มีกระดูกสันหลังนั้น ยังมีเซลล์อื่นนอกจากฟาโกไซต์ ทำหน้าที่เดียวกันอยู่ คือแมโครเฟจ (Macrophages) ที่มีขนาดใหญ่กว่าฟาโกไซต์ และกรานูโลไซต์ (Granulocytes) ที่มีขนาดเล็กกว่า โดยที่เซลล์ทั้งสองแบบนี้ล้วนอยู่ในเม็ดเลือดขาวทั้งสิ้น สิ่งที่ถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมที่จะถูกกำจัดโดยวิธีการฟาโกไซโทซิสได้แก่ แบคทีเรีย, เซลล์เนื้อเยื่อที่ตายแล้ว และอนุภาคแร่ธาตุขนาดเล็ก ในกรณีที่แบคทีเรียนั้นอาจทำให้เซลล์ที่ทำการฟาโกไซโทซิสติดเชื้อได้จะถูกเคลือบด้วยแอนติบอดีก่อนที่จะถูกโอบเข้าไป แต่ในกรณีของแบคทีเรียที่เป็นเชื้อของโรคบางชนิดเช่นโรคเรื้อน และวัณโรค ซึ่งเมื่อถูกนำเข้าไปในเซลล์ผ่านกระบวนการฟาโกไซโทซิสแล้ว จะไม่สามารถถูกทำลายได้โดยเซลล์ฟาโกไซต์ที่ได้โอบเชื้อเข้าไป โดยจะเรียกเชื้อโรคเหล่านี้รวมไปถึงทุกสิ่งที่ขัดขวางหรือยับยั้งกระบวนการฟาโกไซโทซิสว่าแอนติฟาโกไลติก (Antiphagolytic) จากการรู้ถึงความสามารถของเชื้อโรคในการต่อต้านเซลล์ฟาโกไซต์ธรรมดาๆ ได้ ทำให้สรุปได้ว่าแมโครเฟจ และกรานูโลไซต์ (ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นแกรนูโลไซต์ประเภทนิวโทรฟิล, Neutrophil granulocytes) นั้นอาจถือได้ว่าเป็น "ฟาโกไซต์ที่เก่งกว่า" แต่นี่เป็นเพียงแค่ผลสรุปของการวิจัยเซลล์ประเภทนี้หลายๆ การวิจัยที่ตรงกันเท่านั้น ส่วนจุดที่สำคัญที่สุดในกระบวนการฟาโกไซโทซิสก็คือความสามารถในการควบคุมการอักเสบของมัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอนุภาคที่ถูกโอบ โดยกระบวนการฟาโกไซโทซิสนี้สามารถบรรเทาอาการอักเสบได้ หรือในกรณีของเซลล์ที่ตายแบบอะพอพโทซิส จะช่วยชะลอการหายอักเสบของเซลล์เหล่านั้น กระบวนการฟาโกไซโทซิสยังมีส่วนเกี่ยวข้องในการต้านทางต่อภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะช่วยป้องกันการอักเสบกับส่วนต่างๆ ของร่างกายที่เป็นปกติ โดยการกำจัดสิ่งแปลกปลอมก่อนที่แอนติบอดีจะกำจัดซึ่งจะทำให้เกิดอาการอัก.

ใหม่!!: สัตว์และฟาโกไซโทซิส · ดูเพิ่มเติม »

ฟิชเชอร์

ฟิชเชอร์ (Fisher, Pekan, Pequam, Wejack, Fisher cat) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) ฟิชเชอร์จัดอยู่ในสกุลหมาไม้ (Martes spp.) มีความยาวลำตัวและส่วนหัวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 32-40 นิ้ว หางยาว 13-16 นิ้ว น้ำหนัก 1.3-5.4 กิโลกรัม มีอายุขัยประมาณ 10 ปี ทั้งในธรรมชาติและสถานที่เลี้ยง จัดเป็นหมาไม้ที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีสีขนสีดำและน้ำตาลเข้ม หางเรียวยาว สีขนจะเปลี่ยนไปในช่วงฤดูหนาว โดยปลายขนจะเปลี่ยนเป็นสีขาว พบกระจายพันธุ์ค่อนข้างกว้างขวางในทวีปอเมริกาเหนือ (แบ่งออกเป็น 3 ชนิดย่อย-ดูในตาราง) ในป่าที่หนาทึบเช่น ไม้เนื้อแข็งและโกเฟอร์ นอกจากนี้ยังอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำอีกด้วย ฟิชเชอร์ ผสมพันธุ์ในช่วงตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ มีระยะเวลาตั้งท้องราว 353 วัน ออกลูกครั้งละ 1-5 ตัว (โดยเฉลี่ย 3) ซึ่งตัวเมียกว่าจะผสมพันธุ์และออกลูกได้อีกครั้งต้องเว้นเป็นระยะเวลานาน ลูกที่เกิดใหม่จะมีร่างกายและขนเบาบาง ตาจะยังปิดอยู่จะกระทั่งอายุได้ 7 สัปดาห์ จะอาศัย อยู่ในรังกับพ่อแม่จนอายุได้ 3 เดือน จึงจะแยกตัวออกไป ฟิชเชอร์ ถูกมนุษย์ล่าเพื่อเอาหนังและขนทำเป็นเสื้อขนสัตว์ เช่นเดียวกับสัตว์ในวงศ์นี้สกุลและชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และฟิชเชอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ฟูราโนะ

ฟูราโนะ (ไอนุ: フラヌイ ฟูรานุย) เป็นเมืองกิ่งจังหวัดคะมิกะวะ จังหวัดฮกไกโด ประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวในการชมทุ่งลาเวนเดอร์ หรือการเล่นสกีในฤดูหนาว.

ใหม่!!: สัตว์และฟูราโนะ · ดูเพิ่มเติม »

พญากระรอก

ญากระรอก (Oriental giant squirrels) เป็นสัตว์ฟันแทะจำพวกกระรอกที่มีขนาดใหญ่สกุลหนึ่ง โดยจัดอยู่ในวงศ์ย่อย Ratufinae และใช้ชื่อสกุลว่า Ratufa (/รา-ตู-ฟา/) พบทั้งหมด 4 ชนิด แพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่อนุทวีปอินเดียไปจนถึงตอนใต้ของจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพฤติกรรมอาศัยและหากินบนต้นไม้ใหญ่ในป่าดิบ มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ยของลำตัวไม่รวมหางประมาณ 1 ฟุต ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ เชื่อว่าพญากระรอกมีความหลากหลายทางชนิดมากกว่านี้ เพราะมีสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันอยู่ในยุคกลางไมโอซีน (ประมาณ 16-15.2 ล้านปีก่อน) พบในเยอรมนี.

ใหม่!!: สัตว์และพญากระรอก · ดูเพิ่มเติม »

พญากระรอกบิน

ญากระรอกบิน (Giant flying squirrel) เป็นสกุลของกระรอกบินขนาดใหญ่สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Petaurista เป็นกระรอกบินที่พบได้ในป่าดิบของหลายประเทศในทวีปเอเชีย ออกหากินในเวลากลางคืน.

ใหม่!!: สัตว์และพญากระรอกบิน · ดูเพิ่มเติม »

พญากระรอกบินลาว

ญากระรอกบินลาว (Laotian giant flying squirrel) เป็นกระรอกบินขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง พญากระรอกบินลาว จัดอยู่ในสกุล Biswamoyopterus ซึ่งนับเป็นชนิดที่สองในสกุลนี้ หลังจากชนิดแรกถูกค้นพบครั้งแรกที่อินเดียเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และพญากระรอกบินลาว · ดูเพิ่มเติม »

พญากระรอกบินสีดำ

ญากระรอกบินสีดำ (Black flying squirrel) เป็นกระรอกบินขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกพญากระรอกบิน เป็นกระรอกบินที่มีขนาดใหญ่ มีความยาวลำตัวและหัวประมาณ 42 เซนติเมตร หางยาว 50 เซนติเมตร มีจุดเด่นคือสีขนที่เป็นสีดำเข้มหรือน้ำตาลเข้มทั้งตัว ลำตัวด้านล่างสีจางกว่าและมีขนสีเทาแซม ส่วนหัวมีขนาดเล็ก หากินในเวลากลางคืน โดยสามารถร่อนไปมาได้ระหว่างต้นไม้จากต้นที่สูงกว่าไปหาต้นที่เตี้ยกว่าหรือระดับเดียวกัน น้ำหนักตัวประมาณ 900 กรัม พญากระรอกบินสีดำ พบได้ในป่าดิบชื้นในแหลมมลายู โดยพบตั้งแต่ภาคใต้ของไทยตั้งแต่จังหวัดกระบี่ลงไป, มาเลเซีย, สิงคโปร์, บรูไน, มาเลเซียตะวันออกและเกาะสุมาตร.

ใหม่!!: สัตว์และพญากระรอกบินสีดำ · ดูเพิ่มเติม »

พญากระรอกบินสีดำ (สกุล)

ญากระรอกบินสีดำ (Large black flying squirrel) เป็นสกุลของกระรอกบินขนาดใหญ่สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Aeromys (/แอ-โร-มิส/) อาจเรียกได้เป็นพญากระรอกบินได้เนื่องจากมีขนาดใหญ่ พบกระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้นตั้งแต่ภาคใต้ของประเทศไทยลงไปตลอดแหลมมลายูและอินโดนีเซีย พบกระจายพันธุ์ 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และพญากระรอกบินสีดำ (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

พญากระรอกบินหูแดง

ญากระรอกบินหูแดง (Red giant flying squirrel) เป็นกระรอกบินขนาดใหญ่ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Petaurista petaurista มีรูปร่างและลักษณะคล้ายพญากระรอกบินหูดำ (P. elegans) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แตกต่างจากตรงที่มีปลายหางสีดำ ขนสีน้ำตาลแดงไม่มีลาย หัวและหางมีลายจาง ๆ มีขนสีน้ำตาลแดงจางและมีลายจุดสีขาวหนาแน่น โดยเฉพาะบริเวณหัว ขอบหูด้านหน้าเป็นสีขาวและมีรอยแต้มสีขาวบริเวณไหล่ หางสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเทา ปลายหางสีดำ มีคอหอยสีขาว มีความยาวลำตัวและหัวประมาณ 52 เซนติเมตร ความยาวหาง 63 เซนติเมตร หากินในเวลากลางคืนเช่นเดียวกับกระรอกบินชนิดอื่น ๆ พบกระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ ตั้งแต่อัฟกานิสถาน, ตอนเหนือของอินเดีย เช่น รัฐชัมมูและกัศมีร์ ไปตลอดจนแนวเทือกเขาหิมาลัยจนถึงเอเชียตะวันออก เช่น เกาะไต้หวัน ในประเทศไทยจะพบได้ในภาคใต้ตั้งแต่คอคอดกระลงไปจนถึงแหลมมลายู, สิงคโปร์ จนถึงเกาะบอร์เนียวและชวา นอกจากนี้แล้วยังพบได้ที่ศรีลังกาอีกด้วย กินอาหารจำพวกพืชและผลไม้ตลอดจนแมลง พญากระรอกบินหูแดงสามารถร่อนได้ไกลถึง 75 เมตร (250 ฟุต).

ใหม่!!: สัตว์และพญากระรอกบินหูแดง · ดูเพิ่มเติม »

พญากระรอกดำ

ญากระรอกดำ (Black giant squirrel, Malayan giant squirrel) เป็นกระรอกชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ย่อยพญากระรอก (Ratufinae) เป็นกระรอกชนิดหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นกระรอกชนิดที่ใหญ่ที่สุดที่พบในประเทศไทย หางยาวเป็นพวง ขนตามลำตัวและหางสีดำสนิท บางตัวอาจมีสะโพก หรือโคนหางออกสีน้ำตาล ขนบริเวณแก้มและท้องสีเหลือง เท้าหน้ามี 4 นิ้ว เท้าหลังมี 5 นิ้ว เล็บยาวและโค้งช่วยในการยึดเกาะต้นไม้ และสะดวกในการเคลื่อนไหวไปมา ขนาดโตเต็มที่มีความยาวลำตัวและหัว 33-37.5 เซนติเมตร ความยาวหาง 42.5-46 เซนติเมตร น้ำหนัก 1-1.6 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ในแคว้นอัสสัม ของอินเดีย, ภาคตะวันออกของเนปาล, ภาคใต้ของจีน, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, เกาะสุมาตรา, เกาะชวา, เกาะบาหลี มีทั้งหมด 10 ชนิดย่อย มีพฤติกรรมมักอาศัยอยู่ในป่าที่มีเรือนยอดไม้สูง เช่น ป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง มักพบเห็นอยู่ตามเรือนยอดไม้ที่รกทึบและใกล้ลำห้วย หากินในเวลากลางวันและหลับพักผ่อนในเวลากลางคืน มีความปราดเปรียวว่องไว สามารถกระโดดไปมาบนยอดไม้ได้ไกลถึง 22 ฟุต ปกติจะอาศัยอยู่ตามลำพัง ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์หรือมีลูกอ่อนที่อาจเห็นเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุได้ 2 ปี ตั้งท้องนาน 28 วัน ออกลูกครั้งละ 1-2 ตัว โดยที่ตัวเมียมีเต้านมทั้งหมด 3 คู่ รังสร้างขึ้นโดยการนำกิ่งไม้สดมาขัดสานกันคล้ายรังนกขนาดใหญ่ และอาจจะมีรังได้มากกว่าหนึ่งรัง ปัจจุบันมีผู้สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ที่เลี้ยงได้แล้ว และนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง พญากระรอกดำ ยังมีชื่อเรียกอื่นอีกว่า "กระด่าง" ในภาษาใต้เรียก "พะแมว".

ใหม่!!: สัตว์และพญากระรอกดำ · ดูเพิ่มเติม »

พญากระรอกเหลือง

ญากระรอกเหลือง (Cream-coloured giant squirrel) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง เป็นกระรอกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรองมาจากพญากระรอกดำ (R. bicolor) ที่พบในประเทศไทย มีรูปร่างหน้าตาคล้ายพญากระรอกดำ แต่มีขนสีเหลืองครีมอ่อน ๆ ท้องสีขาว ขนหางสีเข้มกว่าลำตัว แก้มทั้งสองข้างมีสีเทาอ่อน หูและเท้าทั้ง 4 ข้าง มีสีดำ และมีขนาดเล็กกว่า โดยโตเต็มที่มีความยาวประมาณ 31-36 เซนติเมตร หางยาว 37.5-41.5 เซนติเมตร น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 0.5-1.4 กิโลกรัม มีทั้งหมด 9 ชนิดย่อย พบได้ในป่าดิบในภาคใต้ของไทยตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไป จนถึงมาเลเซีย, เกาะสุมาตรา, เกาะบอร์เนียว อาศัยและหากินบนยอดไม้สูง ไม่ค่อยลงพื้นดิน มีพฤติกรรมความเป็นอยู่และนิเวศวิทยาคล้ายพญากระรอกดำ.

ใหม่!!: สัตว์และพญากระรอกเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

พญาแร้ง

ญาแร้ง (อังกฤษ: Red-headed vulture, Asian king vulture, Indian black vulture, Pondicherry vulture; ชื่อวิทยาศาสตร์: Sarcogyps calvus) นกจำพวกอีแร้งชนิดหนึ่ง จัดเป็นอีแร้งขนาดใหญ่ และเป็นนกเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Sarcogyps.

ใหม่!!: สัตว์และพญาแร้ง · ดูเพิ่มเติม »

พยาธิหนอนหัวใจในสุนัข

พยาธิหนอนหัวใจในสุนัข หรือ พยาธิหนอนหัวใจ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dirofilaria immitis เป็นพยาธิตัวกลมแบบฟิลาเรียชนิดหนึ่งซึ่งมียุงเป็นพาหะ โฮสต์แท้ของพยาธินี้คือสุนัข แต่ก็สามารถติดแมว สุนัขป่า สุนัขจิ้งจอก โคโยตี้ และสัตว์อื่นๆ เช่น เฟอร์เร็ต สิงโตทะเล หรือแม้แต่มนุษย์ก็สามารถติดได้แม้จะพบน้อย หมวดหมู่:โรครับจากสัตว์.

ใหม่!!: สัตว์และพยาธิหนอนหัวใจในสุนัข · ดูเพิ่มเติม »

พยาธิตัวตืด

พยาธิตัวตืด (Cestoda) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมแพลทีเฮลมินธิส เป็นสิ่งมีชีวิตที่แพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว สามารถขยายพันธุ์ได้ถึง 1 ล้านตัวต่อวัน ในแต่ละปล้องของพยาธิตัวตืด สามารถแบ่งตัวและเติบโตเป็นพยาธิตัวใหม่ได้ ปกติแล้วพยาธิตัวตืดเป็นปรสิตอาศัยในลำไส้ของ หมู หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:แพลทีเฮลมินธิส ต.

ใหม่!!: สัตว์และพยาธิตัวตืด · ดูเพิ่มเติม »

พยาธิใบไม้

พยาธิใบไม้ (Trematoda) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมแพลทีเฮลมินธิส หมวดหมู่:สัตว์ หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:แพลทีเฮลมินธิส บไม้.

ใหม่!!: สัตว์และพยาธิใบไม้ · ดูเพิ่มเติม »

พยาธิใบไม้ในตับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ใบไม้ตับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian liver fluke ชื่อวิทยาศาสตร์:Opisthorchis viverrini) เป็นปรสิตพยาธิใบไม้จากสกุล Opisthorchiidae ที่มีผลต่อบริเวณท่อน้ำดี การติดเชื้อมักเกิดจากการทานปลาน้ำจืดมีเกล็ดแบบสุก.

ใหม่!!: สัตว์และพยาธิใบไม้ในตับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ · ดูเพิ่มเติม »

พยาธิเข็มหมุด

วงชีวิตของพยาธิเข็มหมุด พยาธิเข็มหมุด เป็นหนอนตัวกลมในสกุล Enterobius ที่เป็นปรสิตในสัตว์ ศัพท์ทางการแพทย์เรียกอาการติดพยาธิเข็มหมุดว่า enterobiasis.

ใหม่!!: สัตว์และพยาธิเข็มหมุด · ดูเพิ่มเติม »

พระพนัสบดี ศรีทวารวดี

ระพนัสบดี ศรีทวารวดี เป็นพระพุทธรูป ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดพรหมทินใต้ ตำบลหลุมข้าว อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี.

ใหม่!!: สัตว์และพระพนัสบดี ศรีทวารวดี · ดูเพิ่มเติม »

พร็อกนาโทดอน

ร็อกนาโทดอน(prognathodon)เป็นสัตว์เลื้อยคลานทะเลในกลุ่มโมซาซอร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ2รองจากไทโลซอรัสที่ยาว19เมตร(ในอดีตเคยเป็นไฮโนซอรัสที่ใหญ่ที่สุด) มันมีความยาว 14.9 เมตรและอาจหนักถึง 7 ตัน อาหารที่พร็อกนาโทดอนชอบกินคือหอยแอมโมไนต์เพราะฟันของมันคมและแข็งแรงมาก มันจึงสามารถกัดเปลือกแอมโมไนต์ได้ และเรายังเคยพบรอยฟันของพร็อกนาโทดอนบนเปลือกแอมโมไนต์ด้วย(เป็นที่มาของฉายา "ฟันที่แข็งเหมือนเหล็ก")นอกจากนี้ พร็อกนาโทดอนยังกินทุกอย่างที่ขวางหน้า หมวดหมู่:โมซาซอร์.

ใหม่!!: สัตว์และพร็อกนาโทดอน · ดูเพิ่มเติม »

พลาโคซัว

พลาโคซัว เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:ไฟลัม en:Trichoplax.

ใหม่!!: สัตว์และพลาโคซัว · ดูเพิ่มเติม »

พอร์พอยส์

อร์พอยส์ (Porpoise; การออกเสียง) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวาฬและโลมา (Cetacea) ขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Phocoenidae พอร์พอยส์ จัดเป็นวาฬมีฟันขนาดเล็ก ลักษณะทั่วไปคล้ายกับโลมาทะเล (Delphinidae) แต่มีความแตกต่างไปจากโลมาทั่วไป คือ มีรูปร่างที่เล็กกว่า และมีรูปทรงที่อ้วนกลมกว่า อีกทั้งสรีระร่างกายของพอร์พอยส์ไม่อาจจะเก็บความอบอุ่นไว้ได้นาน ทำให้สูญเสียพลังงานในร่างกายได้รวดเร็วกว่า จึงต้องกินอาหารบ่อยครั้งและมากกว่าโลมาทะเลเพื่อสร้างพลังงานและความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้แล้ว ครีบหลังของพอร์พอยส์นั้นเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายกับครีบของปลาฉลาม แต่มีความสั้นทู่ ซึ่งในบางครั้งจะมีปุ่มขนาดเล็กเรียกว่า ทูเบอร์เคิล อยู่ตรงขอบครีบ ลักษณะของจมูกของพอร์พอยส์นั้นสั้นทู่และกลมกว่าโลมาทั่วไป ลักษณะของฟันก็มีลักษณะเล็ก ๆ เป็นตุ่มไม่แหลมคม ส่วนกระดูกคอนั้นติดต่อกับกระดูกสันหลัง ทำให้ไม่อาจจะขยับส่วนคอไปมาได้อย่างอิสระเหมือนโลมา และพฤติกรรมก็แตกต่างไปจากโลมาด้วย ได้แก่ ฝูงของพอร์พอยส์มีขนาดเล็กกว่า คือ มีจำนวนสมาชิกในฝูงเพียง 2–4 ตัวเท่านั้น ไม่ได้มีกันหลายสิบหรือร้อยตัวเหมือนโลมาทะเล และมีพฤติกรรมขี้อาย เกรงกลัวมนุษย์ ผิดกับโลมาทะเล และเป็นโลมาที่มีอายุขัยสั้นเพียงแค่ 20 ปีเท่านั้น พอร์พอยส์ นับเป็นสัตว์ในอันดับนี้ที่มีขนาดเล็กที่สุด โดยชนิดที่มีขนาดเล็กที่สุด คือ วิกีตา พบกระจายพันธุ์ทางตอนเหนือของอ่าวแคลิฟอร์เนีย มีขนาดโตเต็มที่ไม่ถึง 2 เมตรด้วยซ้ำ ขณะที่ชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ก็มีความยาวเพียง 2.3 เมตรเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และพอร์พอยส์ · ดูเพิ่มเติม »

พะยูน

ูน เป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดเดียวที่เป็นสัตว์น้ำ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเลเขตอบอุ่น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon อยู่ในอันดับพะยูน (Sirenia).

ใหม่!!: สัตว์และพะยูน · ดูเพิ่มเติม »

พะยูนแมนนาที

ูนแมนนาที บางทีเรียก พะยูนหางกลม หรือ วัวทะเล (Manatee, Sea cow) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอาศัยในน้ำขนาดใหญ่สกุลหนึ่ง สัตว์ในวงศ์ Trichechidae ต่างจากสัตว์ในวงศ์ Dugongidae หรือพะยูนตรงรูปร่างของกะโหลกศีรษะและรูปร่างของหาง โดยหางของพะยูนแมนนาทีจะมีรูปร่างแบนกลมคล้ายใบพาย ส่วนหางของพะยูนจะแยกออกเป็นส้อมคล้ายหางโลมา แมนนาทีเป็นสัตว์กินพืชซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหาอาหารกินในเขตน้ำตื้น รวมถึงอาจเข้าไปหากินในแหล่งน้ำจืดที่ไกลจากทะเล 300 กิโลเมตรได้ด้วย โดยคำว่า "แมนนาที" (manatí) มาจากภาษาตีโน ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองในแถบแคริบเบียน หมายถึง "เต้านม" เขตอาศัยของพะยูนแมนนาทีได้แก่ พื้นที่หนองน้ำตื้นแถบชายฝั่งของอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง อเมริกาใต้ และทะเลแคริบเบียน พะยูนแมนนาทีชนิด Trichechus senegalensis (พะยูนแมนนาทีแอฟริกาตะวันตก หรือ พะยูนแมนนาทีเซเนกัล) อยู่อาศัยแถบชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา ส่วนชนิด T. inunguis (พะยูนแมนนาทีแอมะซอน) อยู่อาศัยแถบชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้ ส่วนอีกชนิดหนึ่งได้แก่ T. manatus (พะยูนแมนนาทีอินเดียตะวันตก หรือ พะยูนแมนนาทีแคริบเบียน) อยู่อาศัยแถบหมู่เกาะอินเดียตะวันตกในทะเลแคริบเบียน สำหรับแมนนาทีฟลอริดานั้น นักสัตวศาสตร์บางส่วนถือว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ระบบไอทีไอเอสจัดให้พะยูนแมนนาทีฟลอริดาเป็นชนิดย่อยของ T. manatus และปัจจุบันถือเป็นที่ยอมรับทั่วไปพะยูน แมนนาทีฟลอริดามีลำตัวยาว 4.5 เมตรหรือมากกว่านั้น และอยู่ได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม ในอดีตพะยูนแมนนาทีฟลอริดาเคยถูกล่าเพื่อเอาน้ำมันและหนัง แต่ปัจจุบันสัตว์ชนิดนี้ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายให้พ้นจากการถูกล่า พะยูนแมนนาที พะยูนแมนนาทีอินเดียตะวันตกเป็นหนึ่งในกลุ่มสัตว์ชนิดที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ แม้มันจะไม่มีผู้ล่าตามธรรมชาติ แต่การขยายดินแดนของมนุษย์ทำให้ที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติแถบบึงน้ำตื้นชายฝั่งของมันลดลง พะยูนแมนนาทีจำนวนมากยังได้รับบาดเจ็บจากการถูกใบพัดเรือบาด อีกทั้งพะยูนแมนนาทียังมักกินอุปกรณ์ตกปลาที่มนุษย์ทิ้งไว้ เช่นเบ็ดหรือตุ้มถ่วงเข้าไปบ่อย ๆ วัตถุแปลกปลอมเหล่านี้โดยมากจะไม่ทำอันตรายแก่พะยูนแมนนาที ยกเว้นแต่สายเบ็ดหรือเอ็นตกปลา ซึ่งจะเข้าไปอุดตันระบบย่อยอาหารของพะยูนแมนนาที และทำให้มันค่อย ๆ ตายอย่างช้า ๆ พะยูนแมนนาทีมักมารวมกันอยู่ใกล้โรงไฟฟ้าซึ่งน้ำในแถบนั้นจะมีอุณหภูมิสูงกว่าที่อื่น จนกระทั่งกลายเป็นการพึงพิงแหล่งน้ำอุ่นที่มนุษย์สร้างขึ้นนี้ไปในที่สุด โดยไม่ยอมอพยพไปยังแหล่งที่น้ำอุ่นกว่าเนื่องจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะให้ความร้อนตลอดทั้งปี ไม่นานมานี้ โรงไฟฟ้าหลายแห่งได้ปิดตัวลง กรมคุ้มครองสัตว์น้ำและสัตว์ป่าของสหรัฐอเมริกาซึ่งทราบถึงการพึ่งพิงแหล่งน้ำอุ่นของพะยูนแมนนาที จึงได้พยายามหาหนทางที่จะเพิ่มอุณหภูมิของน้ำเพื่อช่วยพะยูนแมนนาที.

ใหม่!!: สัตว์และพะยูนแมนนาที · ดูเพิ่มเติม »

พังพอนกินปู

ังพอนกินปู หรือ พังพอนยักษ์ (Crab-eating mongoose) เป็นหนึ่งในสองชนิดของสัตว์จำพวกพังพอนที่พบในประเทศไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Herpestes urva เป็นพังพอนขนาดใหญ่ มีลักษณะเด่นคือ มีแถบสีขาวจากมุมปากลาดยาวไปตามข้างคอจนถึงหัวไหล่ หางยาวประมาณครึ่งหนึ่งของลำตัว ขนที่หางเป้นพวง สีขนบริเวณลำตัวเป็นสีน้ำตาลอมเทา คอมีสีดำ หน้าอกมีสีน้ำตาลแดง ท้องมีสีน้ำตาลอ่อน ขนมีสีน้ำตาลเข้มหรือดำ มีความยาวลำตัวและหาง 44-48 เซนติเมตร ความยาวหาง 26.5-31 เซนติเมตร น้ำหนัก 3-4 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ภาคใต้ของจีน, เนปาล ภาคตะวันออกของพม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, ไต้หวัน, เวียดนามและมาเลเซีย ในประเทศไทยพบที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว มักอาศัยอยู่ตามลำพัง ยกเว้นช่วงฤดูผสมพันธุ์ มักอาศัยอยู่ตามป่าใกล้กับแหล่งน้ำ ป่าเต็งรัง, ป่าเบญจพรรณ หากินโดยจับสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่ากินเป็นอาหาร โดยเฉพาะสัตว์ที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น ปู, ปลา, กุ้ง, หอย หรือแม้แต่แมลงน้ำหรือนกน้ำ และสัตว์เลื้อยคลานบางชนิดด้วย ออกหากินในเวลากลางคืน พังพอนกินปูสามารถว่ายน้ำและดำน้ำได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และพังพอนกินปู · ดูเพิ่มเติม »

พังพอนแคระ

ังพอนแคระ (dwarf mongoose) เป็นสัตว์กินเนื้อขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์พังพอน (Herpestidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Helogale เป็นพังพอนขนาดเล็กที่สุด มีถิ่นกำเนิดเฉพาะถิ่นในทวีปแอฟริกา พบในเขตร้อนชื้นของทวีป แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด โดยถิ่นที่อยู่อาซัยและแพร่กระจายพันธุ์ของทั้ง 2 ชนิดทับซ้อนกัน โดยพังพอนแคระธรรมดาเป็นชนิดที่พบได้แพร่หลายมากกว่า พังพอนแคระทั้ง 2 ชนิดเป็นสัตว์สังคม มีพฤติกรรมอาศัยอยู่กันเป็นฝูงใหญ่ ในถิ่นที่อยู่อาศัยใกล้กับทางน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และพังพอนแคระ · ดูเพิ่มเติม »

พังพอนแคระธรรมดา

ังพอนแคระธรรมดา (Common dwarf mongoose, Dwarf mongoose) เป็นสัตว์กินเนื้อขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์พังพอน (Herpestidae) จัดเป็นพังพอนขนาดเล็กอีกชนิดหนึ่ง มีความยาวไม่ถึง 1 ฟุต ส่วนหัวขนาดใหญ่ หูเล็ก และหางยาว ขาสั้น แต่อุ้งเท้ายาว กระจายพันธุ์ในแถบแอฟริกากลาง เช่น เอธิโอเปีย ไปจนถึงแอฟริกาใต้ เป็นสัตว์ที่กินอาหารได้หลากหลาย โดยมากจะเป็นพวกสัตว์ตัวเล็ก ๆ เช่น แมงมุม, แมงป่อง, จิ้งเหลน ตลอดไปจนถึงนกตัวเล็ก ๆ รวมถึงผลไม้ พังพอนแคระธรรมดาเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง ตั้งแต่ 2-20 ตัว โดยตัวเมียจะมีจำนวนมากกว่าตัวผู้ โดยมีตัวเมียเป็นจ่าฝูง และเป็นสัตว์ที่มีการจับคู่แบบคู่เดียวกันตลอดทั้งชีวิต และมีการส่งเสียงร้องเพื่อสื่อสารกันโดยเฉ.

ใหม่!!: สัตว์และพังพอนแคระธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

พังพอนเล็ก

ังพอนเล็ก หรือ พังพอนธรรมดา (Small asian mongoose, Small indian mongoose) เป็นสัตว์กินเนื้อชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Herpestidae มีขนาดเล็ก ขนบนหัวมีสีน้ำตาลแดงจนถึงน้ำตาลเข้ม ขามีสีเดียวกับลำตัวหรือเข้มกว่าเล็กน้อย หางยาวประมาณ 2 ใน 3 ของลำตัว เมื่อตกใจจะพองขนทำให้ดูตัวใหญ่กว่าปกติ เพศเมียจะมีเต้านมทั้งหมด 3 คู่ มีความยาวลำตัวและหัว 35-41 เซนติเมตร ความยาวหางประมาณ 25-29 เซนติเมตร พังพอนเล็กมีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางมากตั้งแต่อิหร่าน, ปากีสถาน, อินเดีย, พม่า, เนปาล, รัฐสิกขิม, บังกลาเทศ, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซียและเกาะชวา จึงทำให้มีชนิดย่อยมากถึง 12 ชนิด (ดูในเนื้อหา) มีพฤติกรรมชอบอาศัยตามป่าโปร่งหรือทุ่งหญ้ามากกว่าป่าดิบทึบ ดังนั้นจึงมักเห็นพังพอนเล็กอาศัยอยู่แม้แต่ในเขตเมือง มักอาศัยอยู่ตามลำพังในโพรงดินที่ขุดไว้ หรือโพรงไม้ ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์หรือมีลูกอ่อนที่อาจอยู่เป็นคู่หรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ อาหารได้แก่ สัตว์ทั่วไปขนาดเล็ก หรือบางครั้งอาจล่าเหยื่อที่มีขนาดใหญ่กว่าลำตัว เช่น ไก่ป่า กินได้ ออกหากินทั้งกลางวันและกลางคืน พังพอนเล็กจัดเป็นสัตว์ที่มีความปราดเปรียวว่องไวมาก อีกทั้งมีนิสัยที่ไม่กลัวใคร จึงเป็นที่ทราบกันดีว่าชอบที่จะสู้กับงูพิษ โดยเฉพาะงูเห่าเมื่อเผลอจะโดดกัดคองูจนตาย มีฤดูผสมพันธุ์ที่ไม่แน่นอน มักจะผสมกันในโพงดิน ออกลูกครั้งละ 2-4 ตัว ใช้เวลาตั้งท้องนาน 6 สัปดาห์ สมัยก่อนในบางบ้านจะเลี้ยงพังพอนไว้สำหรับจับหนูหรือสัตว์ที่ทำรังควานในบ้านชนิดอื่น ๆ แทนแมว ซึ่งได้ผลดีกว่าแมวเสียอีก พังพอนเล็กแม้เป็นสัตว์ดุ แต่หากเลี้ยงตั้งแต่เล็กก็จะเชื่องกับเจ้าของ ในสถานที่เลี้ยงพบว่ามีอายุยืนประมาณ 6 ปี ปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และพังพอนเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

พันธุศาสตร์

ีเอ็นเอเป็นโมเลกุลพื้นฐานของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ดีเอ็นเอแต่ละสายประกอบขึ้นจากสายโซ่นิวคลีโอไทด์จับคู่กันรอบกึ่งกลางกลายเป็นโครงสร้างที่ดูเหมือนบันไดซึ่งบิดเป็นเกลียว พันธุศาสตร์ (genetics) เป็นอีกสาขาหนึ่งของชีววิทยา ศึกษาเกี่ยวกับยีน การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม และความหลากหลายทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต พันธุศาสตร์ว่าด้วยโครงสร้างเชิงโมเลกุลและหน้าที่ของยีน พฤติกรรมของยีนในบริบทของเซลล์สิ่งมีชีวิต (เช่น ความเด่นและอีพิเจเนติกส์) แบบแผนของการถ่ายทอดลักษณะจากรุ่นสู่รุ่น การกระจายของยีน ความแตกต่างทางพันธุกรรมและการเปลี่ยนแปลงของพันธุกรรมในประชากรของสิ่งมีชีวิต (เช่นการศึกษาหาความสัมพันธ์ของยีนตลอดทั่วทั้งจีโนม) เมื่อถือว่ายีนเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด พันธุศาสตร์จึงเป็นวิชาที่นำไปใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ทั้งไวรัส แบคทีเรีย พืช สัตว์ และมนุษย์ (เวชพันธุศาสตร์) ได้มีการสังเกตมาแต่โบราณแล้วว่าสิ่งมีชีวิตมีการถ่ายทอดลักษณะจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเป็นความรู้ที่มนุษย์ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ด้วยวิธีการคัดเลือกพันธุ์ อย่างไรก็ดี ความรู้พันธุศาสตร์สมัยใหม่ที่ว่าด้วยการพยายามทำความเข้าใจกระบวนการการถ่ายทอดลักษณะเช่นนี้เพิ่งเริ่มต้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเกรเกอร์ เมนเดล แม้เขาไม่สามารถศึกษาเจาะลึกไปถึงกระบวนการทางกายภาพของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม แต่ก็ค้นพบว่าลักษณะที่ถ่ายทอดนั้นมีแบบแผนจำเพาะ กำหนดได้ด้วยหน่วยพันธุกรรม ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า ยีน ยีนคือส่วนหนึ่งของสายดีเอ็นเอซึ่งเป็นโมเลกุลที่ประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์สี่ชนิดเชื่อมต่อกันเป็นสายยาว ลำดับนิวคลีโอไทด์สี่ชนิดนี้คือข้อมูลทางพันธุกรรมที่ถูกเก็บและมีการถ่ายทอดในสิ่งมีชีวิต ดีเอ็นเอตามธรรมชาติอยู่ในรูปเกลียวคู่ โดยนิวคลีโอไทด์บนแต่ละสายจะเป็นคู่สมซึ่งกันและกันกับนิวคลีโอไทด์บนสายดีเอ็นเออีกสายหนึ่ง แต่ละสายทำหน้าที่เป็นแม่แบบในการสร้างสายคู่ขึ้นมาได้ใหม่ นี่คือกระบวนการทางกายภาพที่ทำให้ยีนสามารถจำลองตัวเอง และถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกได้ ลำดับของนิวคลีโอไทด์ในยีนจะถูกแปลออกมาเป็นสายของกรดอะมิโน ประกอบกันเป็นโปรตีน ซึ่งลำดับของกรดอะมิโนที่มาประกอบกันเป็นโปรตีนนั้นถ่ายทอดออกมาจากลำดับของนิวคลีโอไทด์บนดีเอ็นเอ ความสัมพันธ์ระหว่างลำดับของนิวคลีโอไทด์และลำดับของกรดอะมิโนนี้เรียกว่ารหัสพันธุกรรม กรดอะมิโนแต่ละชนิดที่ประกอบขึ้นมาเป็นโปรตีนช่วยกำหนดว่าสายโซ่ของกรดอะมิโนนั้นจะพับม้วนเกิดเป็นโครงสร้างสามมิติอย่างไร โครงสร้างสามมิตินี้กำหนดหน้าที่ของโปรตีนนั้น ๆ ซึ่งโปรตีนมีหน้าที่ในกระบวนการเกือบทั้งหมดของเซลล์สิ่งมีชีวิต การเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับดีเอ็นเอในยีนยีนหนึ่ง อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลำดับกรดอะมิโนในโปรตีน เปลี่ยนโครงสร้างโปรตีน เปลี่ยนการทำหน้าที่ของโปรตีน ซึ่งอาจส่งผลต่อเซลล์และสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ได้อย่างมาก แม้พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตจะมีบทบาทมากในการกำหนดลักษณะและพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต แต่ผลสุดท้ายแล้วตัวตนของสิ่งมีชีวิตหนึ่ง ๆ เป็นผลที่ได้จากการผสมผสานกันระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ประสบ ตัวอย่างเช่น ขนาดของสิ่งมีชีวิตไม่ได้ถูกกำหนดโดยยีนเพียงอย่างเดียว แต่ได้รับผลจากอาหารและสุขภาพของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ด้วย เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และพันธุศาสตร์ · ดูเพิ่มเติม »

พันธุ์พื้นเมือง

ันธุ์พื้นเมือง (landrace) หมายถึง สัตว์ หรือพืช ที่ปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมโดยธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอาศัยอยู่ (หรือแหล่งกำเนิด) สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีพัฒนาการโดยธรรมชาติ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพันธุ์แบบดั่งเดิมโดยมนุษย์น้อยมาก พันธุ์พื้นเมืองมีความหมายค่อนข้างแตกต่างจากความหมายของ breed และมีความหมายครอบคลุมถึงความหลากหลายของ phenotype และ genotype ซึ่งเป็นพื้นฐานของ formalised breed ที่มีความเป็นพันธุ์แท้สูง (highly-bred formalized breeds) ในบางครั้ง formalised breed ยังมีชื่อ “พันธุ์พื้นเมือง” อยู่แม้ว่าจะไม่เป็นพันธุ์พื้นเมืองที่แท้จริงก็ตาม.

ใหม่!!: สัตว์และพันธุ์พื้นเมือง · ดูเพิ่มเติม »

พาราลิไททัน

ราไลไททัน (แปลว่า “ยักษ์ใหญ่แห่งลุ่มน้ำ”) เป็นซอโรพอด สกุลไททันโนซอร์ พบในประเทศอียิปต์ อาศัยอยู่ในปลายยุคครีเตเชียส ประมาณ 99.6 – 93.5 ล้านปีก่อนมันมีขนาดใหญ่ที่สุดในซอร์โรพอดแอฟริกาจนสตรูตามธรรมชาติน้อยมากเห็นคงจะมีแค่ คาร์ชาโรดอนโทซอรัส หรือซาร์โคซูคัส ความสูงของมันมีขนาดพอๆกับตึก 15 ชั้นมันยังปรากฏใน Planet Dinosaur ตอน Giant Dinosaur.

ใหม่!!: สัตว์และพาราลิไททัน · ดูเพิ่มเติม »

พาราซอโรโลฟัส

นเสาร์พาราซอโรโลฟัส (Parasaurolophus) เป็นไดโนเสาร์ที่มีชีวิตอยู่ ในยุคครีเตเชียสตอนปลายพบได้ในทวีปอเมริกาเหนือ เช่น ในอัลเบอร์ต้า คานาดา หรือรัฐยูทาห์ ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ลักษณะเด่นของพาราซอโรโลพัส คือ หงอนที่มีลักษณะเหมือนท่อกลวงยาว บางตัวอาจจะมีหงอนยาวถึง 1.5 เมตร มีไว้ส่งเสียงหาพวก สามารถเดินได้ทั้ง 2 เท้าและ 4 เท้า มีขนาดใหญ่โตพอสมควร เท่าที่ค้นพบไดโนเสาร์พันธุ์นี้จะมีความยาวประมาณ 10 เมตร กินพืชเป็นอาหาร หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส.

ใหม่!!: สัตว์และพาราซอโรโลฟัส · ดูเพิ่มเติม »

พาลีโอบาทราคัส

ลีโอบาทราคัส (palaeobatrachus)เป็นสกุลหนึ่งของกบดึกดำบรรพ์ในยุโรปที่อาศัยอยู่ในยุคพาลีโอซีน (58 ล้านปีก่อน) ถึงยุคไพลสโตซีนตอนกลาง (Ionian) อาจจะมีความเกี่ยวโยงกับซีโนปัส อึ่งอ่างแอฟริกันยุคปัจจุบัน พาลีโอบาทราคัสมีกระโหลกรูปร่างคล้ายทรงโค้งของกอธิค ขนาดร่างกายค่อนข้างใหญ่ ประมาณ 8 ถึง 10 ซม. และตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้.

ใหม่!!: สัตว์และพาลีโอบาทราคัส · ดูเพิ่มเติม »

พาคิเซทัส

พาคิเซทัส (Pakicetus) เป็นวาฬชนิดแรกๆของโลก อาศัยอยู่เมื่อ 50 ล้านปีมาแล้วประมาณยุคเทอร์เชียรี ยาวประมาณ 2 เมตร ใช้ชีวิตอยู่บนบกและในน้ำ เป็นวาฬพวกแรกๆที่รู้จัก รูปร่างตอนอยู่บนบกจะมีรูปร่างคล้ายหมาป่า เขาเชื่อกันว่ามันคือ ปลาวาฬที่วิ่งเดินได้ ชื่อของมันมาจากสถานที่มันถูกค้นพบคือ ปากีสถาน thumbnail หมวดหมู่:วาฬ หมวดหมู่:สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมยุคก่อนประวัติศาสตร์ในทวีปเอเชีย หมวดหมู่:สัตว์ที่พบในประเทศปากีสถาน.

ใหม่!!: สัตว์และพาคิเซทัส · ดูเพิ่มเติม »

พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย

ัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สากลเรียกว่า Natural History Museum อันเป็นสถานที่รวบรวมและจัดแสดงวัตถุธรรมชาติ (ธรรมชาติวิทยา) ทั้งในด้านธรณีวิทยา พฤกษศาสตร์ สัตวศาสตร์ ทางทะเลเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ตั้งอยู่ริมทะเลบริเวณเขาหมาจอ ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี อยู่ตรงข้ามเกาะแสมสาร มีพื้นที่ประมาณ 16 ไร่ เป็นหนึ่งใน โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ สิ่งก่อสร้างมีลักษณะเป็นอาคารไต่ระดับเขาถึงยอดเนินเป็นอาคารรูปพัด เพื่อให้มองเห็นทัศนียภาพมุมกว้างของเกาะและทะเลโดยมุ่งที่จะให้ผู้ชมเห็นความงดงามของท้องทะเลไทย แล้วเกิดจินตนาการและความปิติที่จะรักษาทรัพยากรธรรมชาติไว้ตามแนวพระราชดำริพระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ว่า "ให้สำรวจตั้งแต่ยอดเขาถึงใต้ทะเล" กองทัพเรือได้น้อมเกล้าฯ รับพระราชดำริมาประมวลเป็นรูปแบบการก่อสร้างและหลักการการจัดการพิพิธภัณฑ์ฯ จนกระทั่งบัดนี้การก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทยบนฝั่งแสมสารรวมทั้งสวนพฤกษศาสตร์ และเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนเกาะแสมสารแล้วเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่ 30 ตุลาคม..

ใหม่!!: สัตว์และพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย · ดูเพิ่มเติม »

พิสัยการได้ยิน

ัยการได้ยิน (Hearing range) หมายถึงพิสัยความถี่เสียงที่มนุษย์หรือสัตว์อื่น ๆ ได้ยิน แม้ก็อาจหมายถึงระดับความดังเสียงได้ด้วยเหมือนกัน มนุษย์ปกติจะได้ยินในพิสัยความถี่ 20-20,000 เฮิรตซ์ (Hz) แต่ก็จะต่างไปตามบุคคลพอสมควรโดยเฉพาะเสียงความถี่สูง และการสูญความไวเสียงความถี่สูงอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามอายุก็เป็นเรื่องปกติ ความไวต่อความถี่ต่าง ๆ แม้ในบุคคลก็ยังไม่เท่ากันอีกด้วย (ดูหัวข้อ เส้นชั้นความดังเสียงเท่า) มีสัตว์หลายอย่างที่สามารถได้ยินเสียงเกินพิสัยของมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น โลมาและค้างคาวสามารถได้ยินเสียงสูงจนถึง 100,000 Hz ช้างสามารถได้ยินเสียงต่ำจนถึง 14-16 Hz ในขณะที่วาฬบางชนิดสามารถได้ยินเสียงต่ำในน้ำจนถึง 7 Hz.

ใหม่!!: สัตว์และพิสัยการได้ยิน · ดูเพิ่มเติม »

พิงก์แฟรีอาร์มาดิลโล

งก์แฟรีอาร์มาดิลโล หรือ แฟรีอาร์มาดิลโลเล็ก (Pink fairy armadillo, Lesser fairy armadillo) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กจำพวกอาร์มาดิลโลชนิดหนึ่ง นับเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Chalamyphorus จัดเป็นอาร์มาดิลโลที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก มีรูปร่างลักษณะประหลาด คือ มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก ขณะที่ส่วนท้ายลำตัวมีแผ่นปิดอยู่เป็นแผงขนยาว ส่วนหางสั้น มีเกราะหุ้มตัวเฉพาะแค่ด้านหลัง ขณะที่ด้านข้างและด้านล่างลำตัวเป็นขนอ่อนนุ่มสีชมพู มีกรงเล็บหน้าที่แหลมคม โดยเฉพาะตีนหน้า พิงก์แฟรีอาร์มาดิลโลมีความยาวเพียง 4-6 นิ้วเท่านั้น อาศัยอยู่เฉพาะแถบตะวันตกของประเทศอาร์เจนตินา เช่น จังหวัดเมนโดซา เท่านั้น โดยอาศัยในพื้นที่แห้งแล้งแบบทะเลทรายเท่านั้น พิงก์แฟรีอาร์มาดิลโลมีชื่อเรียกในภาษาถิ่นว่า "ปีชีเซียโก" (pichi ciego) เป็นสัตว์ที่ออกหากินเฉพาะในเวลากลางคืน โดยกินแมลงต่าง ๆ เป็นอาหาร รวมถึงซากสัตว์ขนาดใหญ่ด้วย เช่น ซากวัว ในบางครั้งจะขุดโพรงใต้ดินอยู่ใต้พื้นที่ซากสัตว์นั้นตาย เพื่อง่ายต่อการกินหนอนหรือแมลงที่มาตอมซาก พิงก์แฟรีอาร์มาดิลโลเป็นสัตว์ที่ไม่อาจจะพบเห็นตัวได้ง่าย และเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีข้อมูลน้อยมาก ชาวพื้นเมืองของอาร์เจนตินากล่าวว่า จะพบเห็นได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในแต่ละปี โดยเฉพาะเวลาหลังฝนตก ซึ่งพื้นที่ที่มันอยู่อาศัยนั้นมีปริมาณฝนตกต่อปีน้อยกว่า 200 มิลลิเมตรเสียด้วยซ้ำ พิงก์แฟรีอาร์มาดิลโลจะโผล่ออกมาจากโพรงหลังฝนตก เป็นเพราะน้ำท่วมโพรง และออกมาหาแมลงกินอีกประการหนึ่ง โดยปกติแล้ว พวกมันจะอาศัยและเดินทางในโพรงใต้ดินด้วยการขุดโพรงไปเรื่อย ๆ เหมือนตุ่นสีทองในทวีปแอฟริกา หรือตุ่นมาร์ซูเปียล ที่เป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง ในทะเลทรายของออสเตรเลียตะวันตก.

ใหม่!!: สัตว์และพิงก์แฟรีอาร์มาดิลโล · ดูเพิ่มเติม »

พืช

ืช เป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มใหญ่ประเภทหนึ่ง (มีประมาณ 350,000 สปีชีส์ ถูกระบุแล้ว 287,655 สปีชีส์ เป็นพืชดอก 258,650 ชนิด และพืชไม่มีท่อลำเลียง 18,000 ชนิด) อยู่ในอาณาจักรพืช (Kingdom Plantea) ประกอบด้วย ไม้ยืนต้น ไม้ดอก พืชล้มลุก และเฟิร์น พบได้ทั้งบนบกและในน้ำ เป็นสิ่งมีชีวิตที่เนื้อเยื่อส่วนใหญ่ประกอบด้วยหลายเซลล์ นิวเคลียสมีผนังเซลล์ ห่อหุ้ม เคลื่อนที่ไม่ได้ ได้แค่เอียงตัว จะสามารถเห็นได้ชัดเจน.เมื่อมีแดดส่อง พืชจะเอียงตัวไปที่แดด ไม่มีอวัยวะเกี่ยวกับความรู้สึก มีคลอโรฟิลล์ซึ่งเป็นสารสีเขียว ช่วยในการสังเคราะห์และเจริญเติบโต.

ใหม่!!: สัตว์และพืช · ดูเพิ่มเติม »

พืชกินสัตว์

''Nepenthes mirabilis'' ที่ขึ้นอยู่ริมถนน พืชกินสัตว์ (carnivorous plant) คือ พืชที่ได้สารอาหารบางส่วนหรือส่วนใหญ่ (แต่ไม่รวมถึงพลังงาน) จากการดักและบริโภคสัตว์หรือสัตว์เซลล์เดียวซึ่งปรกติได้แก่แมลงและสัตว์ขาปล้องเหล่าอื่น ๆ โดยเป็นผลจากการปรับตัวให้อยู่รอดในดินที่มีสารอาหารน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไนโตรเจน เช่น ดินที่มีสภาพเป็นกรด หิน ฯลฯ ศาสตรนิพนธ์อันเลื่องชื่อฉบับแรกซึ่งว่าด้วยพืชชนิดนี้นั้นเป็นผลงานของชาลส์ ดาร์วิน เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และพืชกินสัตว์ · ดูเพิ่มเติม »

พูคยองโกซอรัส

ูคยองโกซอรัส (천년부경용; Pukyongosaurus) เป็นสกุลหนึ่งของไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ ซึ่งอาศัยอยู่ในเกาหลีในยุคครีเทเชียสตอนต้น มันมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับยูเฮโลปัส และเป็นที่รู้จักกันจากชุดกระดูกสันหลังในส่วนของลำคอและหลัง และเคยอาศัยอยู่ในสมัยหนึ่งร้อยสี่สิบล้านปีที่ผ่านม.

ใหม่!!: สัตว์และพูคยองโกซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

พีโกเซนตรัส

ีโกเซนตรัส เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง จำพวกปลาปิรันยา ใช้ชื่อสกุลว่า Pygocentrus (/พี-โก-เซน-ตรัส/) ในวงศ์ปลาปิรันยา (Serrasalmidae) ปลาปิรันยาสกุลนี้มีชื่อเสียงและลือชื่อในเรื่องของการล่าเหยื่อเป็นฝูงด้วยความดุดันและโหดร้าย ทั้งหมดพบในแหล่งน้ำจืดของทวีปอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และพีโกเซนตรัส · ดูเพิ่มเติม »

กบชะง่อนผาภูหลวง

กบชะง่อนผาภูหลวง (Phu Luang cliff frog; ชื่อวิทยาศาสตร์: Huia aureola) เป็นกบเฉพาะถิ่นชนิดใหม่ที่ค้นพบใน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จังหวัดเลย ค้นพบโดย นายธัญญา จั่นอาจ จากองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ขนาดตัวยาว 63-96.5 มิลลิเมตร หัวแคบเรียว มีขนาดด้านยาวมากกว่าด้านกว้าง จุดกลางหน้าผาก เห็นได้ชัดเจนแผ่นหูเห็นได้ชัดเจน มีถุงใต้คางที่บริเวณมุมของคอ ปลายนิ้วขยายออกเป็นแผ่นขนาดใหญ่ ผิวหนังเรียบ ยกเว้นที่ผิวใต้ต้นขา มีตุ่มหยาบไม่มีต่อมที่โคนขาหน้า สันต่อมที่เหนือแผ่นหูเห็นไม่ชัด ไม่มีสันต่อมที่ขอบหลัง หัวและลำตัวด้านหลังสีเขียว ด้านข้างของหัวและสีข้างสีน้ำตาลเข้ม ผิวด้านท้ายของต้นขาหน้า ครึ่งด้านท้องของสีข้าง ผิวของต้นขา แข้ง และตีนดำพร้อมด้วยลวดลายสีเหลืองสด ขอบปากบนมีเส้นสีเหลือง ขอบปากล่างดำ ใต้คอมีแต้มสีน้ำตาล ถุงใต้คอดำ ท้องขาว แผ่นพังผืดที่ยึดระหว่างนิ้วตีนสีน้ำตาลอมม่วงพบอาศัยเฉพาะในบริเวณลำธารต้นน้ำในป่าดิบเขาของจังหวัดเลย ตัวเมียใหญ่กว่าตัวผู้ ประมาณ 10 มิลลิเมตร อาศัยบนต้นน้ำสูงเกิน 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล พบตัวเมียน้อยกว่าตัวผู้.

ใหม่!!: สัตว์และกบชะง่อนผาภูหลวง · ดูเพิ่มเติม »

กบมะเขือเทศ

กบมะเขือเทศ หรือ อึ่งมะเขือเทศ (Tomato frogs) สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกในสกุล Dyscophus ในวงศ์อึ่งอ่าง (Microhylidae) ในวงศ์ย่อย Dyscophinae ซึ่งมีเพียงสกุลเดียวเท่านั้น เป็นสัตว์ที่พบเฉพาะถิ่นที่มาดากัสการ์ที่เดียวเท่านั้น กะโหลกมีกระดูกเอธมอยด์หนึ่งคู่ และมีกระดูกพรีโวเมอร์ขนาดใหญ่หนึ่งชิ้น มีฟันที่กระดูกแมกซิลลา กระดูกสันหลังมีเซนทรัมเป็นแบบอย่างของไดพลาสิโอซีลัส กระดูกหัวไหล่มีกระดูกไหปลาร้าและกระดูกโพรโคราคอยด์ อายุโดยเฉลี่ย 6-8 ปี เมื่อโตเต็มที่มีสีตั้งแต่สีส้มเหลืองหรือสีแดงเข้ม กบมะเขือเทศจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 9-14 เดือน ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 4 นิ้ว ขณะที่ตัวผู้ประมาณ 2-3 นิ้ว ตัวเมียส่วนใหญ่มีสีแดงส้มหรือสีแดงเข้มสดใส ส่วนท้องมักจะมีสีเหลืองเข้มและบางครั้งก็มีจุดสีดำบนลำคอ แต่ตัวผู้มิได้สีสีสดใสเช่นนั้น แต่จะเป็นสีส้มทึบทึบหรือน้ำตาลส้ม เมื่อยังไม่โตเต็มที่จะมีสีทึบทึมและจะพัฒนาไปสู่สีสดใสเมื่อโตเต็มที่ เป็นสัตว์ที่อยู่ในรายชื่อสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ อาศัยอยู่ตามพื้นล่างของป่า ผสมพันธุ์ในช่วงฤดู​​ฝนในเวลากลางคืน วางไข่ในน้ำ ลูกอ๊อดอาศัยอยู่ในน้ำ กินแมลงและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และกบมะเขือเทศ · ดูเพิ่มเติม »

กบมะเขือเทศมาดากัสการ์

กบมะเขือเทศมาดากัสการ์ หรือ อึ่งมะเขือเทศมาดากัสการ์ (Tomato frog, Madagascar tomato frog) สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ในอันดับกบชนิดหนึ่ง ในวงศ์อึ่งอ่าง (Microhylidae) มีผิวหนังเรียบลื่นเป็นมัน สีแดงเข้มเหมือนมะเขือเทศ จึงเป็นที่มาของชื่อสามัญ มีรอยย่นสีดำที่ตาและมีดวงตาสีเขียว ปากแคบ มีสันนูนเป็นรอยย่นขึ้นมาบนปาก ใต้ท้องสีเหลือง ช่องคอเป็นสีดำ ลำตัวอ้วนสั้น ขนาดเมื่อโตเต็มที่ตัวผู้จะมีสีส้มยาวประมาณ 2.5 นิ้ว หนัก 40 กรัม ขณะที่ตัวเมียจะมีสีแดง และมีขนาดใหญ่กว่า คือ ยาว 4 นิ้ว หนัก 227 กรัม เมื่อยังเป็นวัยอ่อนสีสันจะยังไม่ฉูดฉาดเหมือนตัวเต็มวัย กระจายพันธุ์อยู่ในแหล่งน้ำจืดบนเกาะมาดากัสการ์ ทางแอฟริกาตะวันออก ว่ายน้ำได้ไม่เก่ง แต่กินอาหารไม่เลือก ได้แก่ แมลงขนาดใหญ่, ตัวอ่อนของสัตว์ชนิดต่าง ๆ เช่นหนอน, จิ้งหรีด, หนอนผึ้ง ตลอดจนสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังทั้งในน้ำและบนบก กบมะเขือเทศมาดากัสการ์มีพิษที่รุนแรงบนผิวหนัง เมื่อตกใจหรือเครียด จะปล่อยสารเคมีสีขาวขุ่นเหมือนกาวเพื่อใช้ในการป้องกันตัว ซึ่งสารนี้สามารถเกาะติดกับลำตัวของศัตรูที่มาคุกคามได้นานถึง 2 วัน แม้แต่ขนาดงูพิษยังไม่อาจจะกินได้ ขยายพันธุ์ในช่วงฤดูฝน ตัวผู้จะส่งเสียงเรียกตัวเมีย ภายหลังการผสมพันธุ์แล้ว ตัวเมียจะนำไข่ซึ่งมีทั้งสีขาวและสีดำ ประมาณ 1,000-1,500 ฟอง ปล่อยลงสู่ผิวน้ำ ไข่จะฟักเป็นลูกอ๊อดในเวลา 2 วัน ใช้เวลาพัฒนาเหมือนตัวเต็มวัย 1 ปี และมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 10 ปี กบมะเขือเทศมาดากัสการ์ นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และมีแสดงตามสวนสัตว์ต่าง ๆ อาทิ เขาดินวน.

ใหม่!!: สัตว์และกบมะเขือเทศมาดากัสการ์ · ดูเพิ่มเติม »

กบลำห้วย

กบลำห้วย หรือ กบห้วย (fanged frog) เป็นสกุลของกบในสกุล Limnonectes ในวงศ์กบลิ้นส้อม (Dicroglossidae) มีรูปร่างลักษณะที่หลากหลาย โดยส่วนใหญ่มักมีส่วนหัวโต ปากกว้าง ในตัวผู้มีฟันอยู่ 1 คู่บริเวณด้านล่างขากรรไกร เรียกว่า "เขี้ยวเทียม" ใช้สำหรับต่อสู้กับตัวผู้ตัวอื่น หรือใช้งับเหยื่อได้เช่นกัน ซึ่งต่างจากกบจำพวกอื่นที่มีฟันขนาดเล็ก จึงทำให้ได้อีกชื่อหนึ่งว่า "กบเขี้ยว" กบในสกุลนี้บางชนิดมีพฤติกรรมการปกป้องตัวอ่อน โดยการเอาไข่หรือลูกอ๊อดแบกไว้บนหลัง (ไม่พบพฤติกรรมนี้ในกบสกุลนี้ในไทย) บางชนิดขุดโพรงเพื่อวางไข่ในดินที่ชื้น รอให้เจริญเป็นตัวอ่อนพัฒนาเป็นกบเล็ก โผล่พ้นจากดิน หลายชนิดมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก พบกระจายพันธุ์ในเอเชียแถบเอเชียตะวันออกถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายชนิดมีพฤติกรรมอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ ชนิดที่มีขนาดใหญ่มักอาศัยอยู่ในลำธารที่น้ำไหลเชี่ยว ขณะที่ชนิดที่มีขนาดเล็กอาศัยตามกองใบไม้หรือริมฝั่ง เฉพาะในสุลาเวสีของอินโดนีเซีย พบอย่างน้อย 15 ชนิด แต่ได้รับการบรรยายเพียงแค่ 4 ชนิด สำหรับในประเทศไทยมีรายงานพบประมาณ 11 ชนิด รวมถึงจากการศึกษาพบว่าในประเทศไทย กบสกุลนี้กินอาหารซึ่งได้แก่แมลงจำพวกมดมากที.

ใหม่!!: สัตว์และกบลำห้วย · ดูเพิ่มเติม »

กบลูกศรพิษสตรอว์เบอร์รี

กบลูกศรพิษสตรอว์เบอร์รี หรือ กบพิษสตรอว์เบอร์รี (Strawberry poison-dart frog, Strawberry poison frog) สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกกบชนิดหนึ่ง ในวงศ์กบลูกศรพิษ (Dendrobatidae) เป็นกบที่มีขนาดเล็กเหมือนกับกบลูกศรพิษทั่วไป มีลำตัวเป็นสีแดงฉูดฉาดเห็นได้ชัดเจนและขาทั้งสี่ข้างเป็นสีน้ำเงิน (แต่ก็ยังมีบางส่วนที่มีสีสันแตกต่างออกไปตามสภาพสัณฐานวิทยา) นิ้วตีนไม่มีพังผืด เนื่องจากใช้ชีวิตในการปีนต้นไม้และอยู่บนพื้นดินเป็นส่วนใหญ่ กระจายพันธุ์อยู่ในป่าดิบชื้นของภูมิภาคอเมริกากลาง เช่น คอสตาริกา, นิคารากัว จนถึงตะวันออกเฉียงเหนือของปานามา กบลูกศรพิษสตรอว์เบอร์รีมีบลูกศรพิษที่หลั่งออกมาจากรูบนผิวหนังเหมือนรูขุมขนของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพื่อใช้ในการป้องกันตัวโดยเฉพาะจากสัตว์นักล่า เช่น งู เนื่องจากมีขนาดลำตัวเล็กมาก เมื่องูได้งับเข้าไปแล้ว จะปล่อยสารเคมีจำพวกแอลคาลอยด์ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้กับงูได้ จนกระทั่งต้องยอมคายออกมา แต่กระนั้นก็มิได้หมายความว่า กบลูกศรพิษสตรอว์เบอร์รีทุกตัวจะรอดได้ทั้งครั้ง หากโดนงับเข้าอย่างแรง ก็อาจทำให้ตัวกบแตกและตายได้ ตัวที่มีสีสันแตกต่างออกไป โดยสารแอลคาลอยด์ได้มาจากการที่กบกินอาหารจำพวกแมลงบางชนิด เช่น ปลวก, แมลงปีกแข็ง ที่กินพืชที่มีสารนี้เข้าไปและสะสมในตัว โดยเก็บไว้ในต่อมสารคัดหลั่ง เมื่อโดนคุกคาม จะคายผ่านผิวหนังเพื่อตอบโต้ กบลูกศรพิษสตรอว์เบอร์รีขยายพันธุ์ในกลีบดอกไม้หรือใบไม้ที่มีน้ำขังบนต้นไม้ขนาดใหญ่ในป่า เช่น บรอมเมเลีย เมื่อตัวเมียวางไข่ ตัวผู้จึงจะปล่อยสเปิร์มเข้าปฏิสนธิ โดยวางไข่จำนวนเพียง 3-4 ฟองเท่านั้น และจะถูกสัตว์บางชนิด เช่น แมงมุม กินเป็นอาหาร แต่จะมีบางส่วนที่เหลือรอด โดยหน้าที่เฝ้าไข่จะเป็นของกบตัวผู้ เมื่อลูกอ๊อดฟักเป็นตัวแล้ว ตัวผู้จะส่งสัญญาณไปยังตัวเมีย และจะเป็นหน้าที่ของตัวเมียที่จะเป็นฝ่ายเลี้ยงดูลูก โดยจะแบกลูกอ๊อดไว้บนหลังเพื่อหาที่ ๆ เหมาะสมสำหรับเลี้ยงดูลูกอ๊อด โดยจะเคลื่อนย้ายลูกอ๊อดไว้บนหลังแบบนี้จนกระทั่งหมด ตัวเมียจะปล่อยไข่ที่ไม่ได้ปฏิสนธิไว้เป็นอาหารแก่ลูกอ๊อด ลูกอ๊อดใช้ระยะเวลาราว 2 สัปดาห์จึงจะเติบโตจนมีสภาพเหมือนกบตัวเต็มวัย และจะปีนลงมาจากใบของต้นบรอมเมเลียลงสู่พื้นดิน เพื่อที่จะใช้ชีวิตต่อไป ซึ่งกบลูกศรพิษสตรอว์เบอร์รีที่เพิ่งลงสู่พื้นดิน ร่างกายจะยังไม่มีพิษสะสม จึงจะต้องเร่งหาอาหารกินเพื่อสะสมพิษ ในตอนนี้จึงอาจตกเป็นอาหารแก่งูได้ง.

ใหม่!!: สัตว์และกบลูกศรพิษสตรอว์เบอร์รี · ดูเพิ่มเติม »

กบหนังห้อย

กบหนังห้อย (Titicaca water frog, Saggy-skinned frog) สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกกบชนิดหนึ่ง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น กบหนังห้อย จัดอยู่ในวงศ์ Leptodactylidae ซึ่งเป็นวงศ์กบที่มีจำนวนสมาชิกมาก นับเป็นวงศ์ใหญ่ กระจายพันธุ์ตั้งแต่อเมริกากลาง, แคริบเบียน จนถึงอเมริกาใต้ กบหนังห้อยมีลักษณะเด่น คือ มีผิวหนังที่ใหญ่มาก จนห้อยย้อยและพับโก่งตัวขึ้นอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งผิวหนังที่พับย่นนี้มีเพื่อสำหรับหายใจในน้ำที่มีอุณหภูมิเย็นจัดและในระดับที่ลึก เนื่องจากเป็นกบที่พบเฉพาะทะเลสาบตีตีกากา ในประเทศโบลิเวีย ใกล้กับเทือกเขาแอนดีส ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ตั้งอยู่บนที่สูงถึง 3,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล นับเป็นทะเลสาบแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนที่สูงแห่งหนึ่งของโลก ทำให้มีปริมาณออกซิเจนต่ำ และอุณหภูมิของน้ำเย็นยะเยือก ซึ่งผิวหนังที่พับย่นของกบหนังห้อยเป็นการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับการอาศัยในสภาพแวดล้อมแห่งนี้ โดยภายในผิวหนังมีหลอดเลือดฝอยหนาแน่นมากเพื่อช่วยแลกเปลี่ยนออกซิเจน และมีลักษณะการว่ายน้ำแบบส่ายไปมาเพื่อให้น้ำปะทะกับผิวหนังให้มากที่สุดเพื่อหายใจ ปอดมีขนาดเล็กกว่ากบวงศ์อื่น ๆ ถึง 4 เท่า และมีปริมาณแมตาบอลิสซึมต่ำมากที่สุดชนิดหนึ่งของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำทั้งหมด กบหนังห้อยจะอาศัยเฉพาะอยู่แต่ในน้ำชั่วชีวิต นิ้วตีนทั้ง 4 ข้างมีพังผืดขนาดใหญ่มากเชื่อมต่อกัน จึงเป็นกบที่กระโดดไม่ได้ โดยปกติจะหลบซ่อนตัวอยู่ในกอพืชน้ำและสาหร่าย มีขนาดโตเต็มที่ราว 25-30 เซนติเมตร กบตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้หลายเท่า ซึ่งขนาดที่ใหญ่ที่สุด ถูกบันทึกไว้ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และกบหนังห้อย · ดูเพิ่มเติม »

กบอกหนาม

กบอกหนาม (อังกฤษ: Spiny-breasted Giant Frog, ชื่อวิทยาศาสตร์: Paa fasciculispina) เป็นกบชนิดหนึ่งในวงศ์กบนา (Ranidae) พบในประเทศกัมพูชาและประเทศไทย จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครอง..

ใหม่!!: สัตว์และกบอกหนาม · ดูเพิ่มเติม »

กบอเมริกันบูลฟร็อก

กบอเมริกันบูลฟร็อก (American bullfrog) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ในอันดับกบ (Anura) ในวงศ์กบนา (Ranidae) เป็นกบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ โตเต็มที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 กิโลกรัมขึ้นไป ตัวที่โตมีความยาวถึง 8 นิ้ว มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือทางด้านตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกา เรื่อยไปจนถึงตอนกลางของประเทศ ต่อมามีการนำไปเลี้ยงแพร่กระจายทางด้านตะวันตกของประเทศ กบอเมริกันบูลฟร็อกเมื่อโตเต็มที่ด้านหลังมีสีเขียว ปนสีน้ำตาลเข้ม มีจุดประสีน้ำตาลทั่วตัว ส่วนหัวด้านหน้ามีสีเขียว ที่ขามีลายพาดขวาง แยกเพศได้โดยสังเกตจากลักษณะภายนอกคือ ตัวเมียมีวงหูเล็กกว่าตา ลำตัวมีสีอ่อนใต้คางมีสีขาวครีม ส่วนท้องอูมและมีขนาดใหญ่ ตัวผู้มีวงหูใหญ่กว่าตา ในช่วงฤดูสืบพันธุ์ลำตัวมีสีเข้มขึ้นและที่ใต้คางมีสีเหลือง หรือเหลืองปนเขียว ไม่มีถุงเสียง แต่มีกล่องเสียงทำให้สามารถส่งเสียงร้องดังคล้ายวัวได้ยินเป็นระยะไกลอันเป็นที่มาของชื่อ กบอเมริกันบลูฟร็อกจัดเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีการเพาะขยายพันธุ์เพื่อใช้เนื้อในการบริโภคในหลายประเทศ ในประเทศไทยมีการนำเข้ามาและเพาะเลี้ยงขายพันธุ์นานแล้ว และมีบางส่วนที่เล็ดรอดไปสู่ธรรมชาติ ได้เกิดการผสมข้ามพันธุ์กับกบพื้นเมือง ทำให้เสียสายพันธุ์ดั้งเดิม.

ใหม่!!: สัตว์และกบอเมริกันบูลฟร็อก · ดูเพิ่มเติม »

กบทาสี

กบทาสี (Painted frog) เป็นสกุลของกบในสกุล Discoglossus ในวงศ์คางคกหมอตำแย (Alytidae) เป็นกบขนาดเล็กมีความยาวลำตัวประมาณ 6–7 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าค่อนข้างเปิดโล่งและอยู่ใกล้แหล่งน้ำ โดยขุดโพรงที่มีอุโมงค์เป็นระบบเชื่อมต่อกัน การขุดโพรงใช้ขาหน้าและใช้ส่วนหัวดันวัสดุให้ออกจากโพรง ตัวผู้ส่งเสียงร้องหาตัวเมีย และกอดรัดตัวเมียในตำแหน่งเอวเมื่อผสมพัน.

ใหม่!!: สัตว์และกบทาสี · ดูเพิ่มเติม »

กบทูด

กบทูด หรือ กบภูเขา หรือ เขียดแลว (Kuhl's creek frog, Giant asian river frog; ชื่อวิทยาศาสตร์: Limnonectes blythii) เป็นกบขนาดใหญ่ที่สุดในที่พบได้ในประเทศไทย ความยาวจากปลายปากถึงก้น ประมาณ 1 ฟุต น้ำหนักกว่า 5 กิโลกรัม มีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณป่าต้นน้ำบนภูเขาสูง อยู่ตามลำห้วยป่าดิบเฉพาะแห่ง โดยพบภาคตะวันตกของไทย ตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ไปจนถึงมาเลเซียและอินโดนีเซีย เช่นในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา, อุทยานแห่งชาติเขาสก เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังพบได้ในกัมพูชา, ลาว และเวียดนาม มีลักษณะ ปลายปากเรียวแหลมจนเห็นได้ชัด ส่วนลำตัวอ้วนใหญ่ ผิวเป็นตุ่มเล็ก ๆ ไม่สะดุดตาดูคล้ายเป็นผิวหนังเรียบ เมื่อโตเต็มที่ลำตัวจะมีสีน้ำตาลแดง ริมฝีปากดำ มีขีดดำจากท้ายตาลากมาจนถึงเหนือวงแก้วหู บริเวณสีข้างอาจมีลาย หรือจุดสีดำ น้ำตาลเข้ม ส่วนขามีลายเข้มคาด เป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ ยังพบว่าสามารถปรับเปลี่ยนสีผิวไปตามที่อยู่อาศัย เช่น ลำตัวจะมีสีน้ำตาลแดงเมื่ออาศัยอยู่ตามพงหญ้าแห้ง หรือมีสีดำเมื่อหลบซ่อนอยู่ในโพรงไม้ กบทูดเป็นสัตว์ที่มีนิสัยหากินตอนกลางคืน ชอบสภาพอากาศค่อนข้างเย็น เวลากลางวันมักหลบซ่อนอยู่ตามที่มืดทึบ เช่น โพรงไม้, หลุม, พงหญ้า บริเวณเหล่านี้ล้วนมีสภาพชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากกบทูดไม่สามารถอาศัยอยู่ในที่แห้งแล้งหรือร้อนจัดได้นาน เพราะสภาพเช่นนี้จะทำให้ผิวหนังแห้ง อาจทำให้ตายได้ ความแตกต่างเพศผู้เพศเมีย สามารถดูได้จากระยะห่างระหว่างตากับวงแก้วหู ตัวผู้จะมีระยะห่างดังกล่าวนี้ยาวกว่าตัวเมีย นอกจากนี้ ยังสังเกตได้จากเขี้ยว ซึ่งตัวผู้จะเห็นได้เด่นชัดมากกว่าตัวเมียที่มีลักษณะคล้ายตุ่มเล็ก ๆ และโดยส่วนใหญ่แล้ว กบทูดตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย ฤดูผสมพันธุ์ของกบทูดอยู่ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม เมื่อช่วงฤดูวางไข่ ตัวผู้จะขุดหลุมสำหรับตัวเมียวางไข่ เวลาผสมพันธุ์ตัวผู้ลงไปอยู่ในหลุมที่ตัวเองขุด แล้วจะส่งเสียงร้องเรียกตัวเมีย ตัวเมียที่พร้อมผสมพันธุ์ก็จะลงไปในหลุมนั้น หลังจากผสมพันธุ์เสร็จ ตัวผู้และตัวเมียจะช่วยกันกลบหลุมไข่ ซึ่งมีลักษณะเป็นกองหินนูนขึ้นมา ทั้งตัวเมียและตัวผู้จะผลัดกันเฝ้าหลุมไข่พร้อมกับออกหาอาหาร กบทูด จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 แต่จัดเป็นสัตว์ป่าชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ ปัจจุบัน กบทูดเป็นสัตว์ที่หายากชนิดหนึ่งในประเทศไทย อันเนื่องจากสภาพแวดล้อมและถิ่นที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไป จึงมีการส่งเสริมให้มีการเพาะเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ โดยทางกรมประมง เช่น สถานีประมงน้ำจืดจังหวัดแม่ฮ่องสอน สามารถเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์เพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ และกลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจได้แล้วในขณะนี้.

ใหม่!!: สัตว์และกบทูด · ดูเพิ่มเติม »

กบดอยช้าง

กบดอยช้าง (Doichang frog) สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชนิดหนึ่ง จำพวกกบ จัดเป็นกบขนาดเล็ก มีความยาวจากปลายจมูกถึงปลายก้น 35–38 มิลลิเมตร หัวกว้างกว่ายาว ปลายจมูกมนกลม สันบนจมูกหักมุมเด่นชัด รูจมูกอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางระหว่างตากับปลายจมูก ระยะระหว่างตาแคบกว่าความกว้างของเปลือกตา แผ่นหูขนาดเล็กกว่าครึ่งหนึ่งของความกว้างของตาและเห็นไม่ชัดเจนนัก นิ้วตีนนิ้วแรกยาวไล่เลี่ยกับนิ้วที่สอง ขาหลังยาวเมื่อเหยียดไปทางด้านหน้า รอยต่อของต้นขากับแข้งอยู่เลยปลายจมูก มีปุ่นที่ฝ่าตีนเพียงปุ่มเดียว ผิวลำตัวเรียบ สันด้านข้างลำตัวเริ่มที่หลังเปลือกตาหลังพาดตลอดความยาวตัวแล้วเข้ามาเชื่อมกับสันอีกด้านหนึ่งตรงเหนือรูทวาร ลำตัวออกสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมดำ สันด้านข้างลำตัวสีขาว มีขลิบสีดำตรงบริเวณหัวและไหล่ ริมฝีปากสีดำมีลายแต้มสีขาว ด้านข้างลำตัวมีจุดสีดำสนิท ขาทั้ง 4 ข้างมีลายพาดขวางสีดำ ใต้ท้องออกสีเหลือง ใต้คางมีลายกระละเอียดสีดำ มีจุดสีดำกระจายห่าง ๆ กันใต้ท้องและใต้ขา กบดอยช้าง ถูกค้นพบครั้งแรกที่ดอยช้าง ตรงรอยต่อระหว่างจังหวัดเชียงใหม่กับเชียงราย เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และกบดอยช้าง · ดูเพิ่มเติม »

กบนา

กบนา (Chinese edible frog, East Asian bullfrog, Taiwanese frog; 田雞, 虎皮蛙) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ในวงศ์กบนา (Ranidae) ลักษณะผิวด้านหลังมีสีน้ำตาลจุดดำ ผิวหนังขรุขระมีรอยย่น ที่ริมฝีปากมีแถบดำ ใต้คางมีจุดดำ หรือแถบลายดำ เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนัก 200–400 กรัม กบนาตัวเมีย มีขนาดโตกว่าตัวผู้ ตัวเมียพร้อมที่จะผสมพันธุ์ท้องจะมีลักษณะอูมเคลื่อนไหวช้าและข้างลำตัวจะมีตุ่มเมื่อคลำดูมีลักษณะ สากมือ ตุ่มที่ด้านข้างลำตัวแสดงถึงความพร้อมของตัวเมีย กบนาตัวผู้ มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย มีน้ำหนักประมาณ 150– 50 กรัม เมื่อโตเต็มที่และพร้อมที่จะผสมพันธุ์จะมองเห็นถุงเสียง เป็นรอยย่นสีดำที่ใต้คาง ถุงเสียงเกิดจากการที่กบนาตัวผู้ส่งเสียงร้องเรียกตัวเมียในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ตัวผู้พร้อมที่จะผสมพันธุ์ในช่วงนี้ลำตัวจะมีสีเหลือง นิ้วเท้าด้านหน้าจะมีตุ่มที่ขยายใหญ่ขึ้น มองเห็นได้ชัดเจน ตุ่มนี้มีประโยชน์ในการใช้เกาะตัวเมียและตุ่มนี้จะหายไปในช่วงนอกฤดูผสมพันธุ์ โดยมีช่วงฤดูผสมพันธุ์อยู่ที่ระหว่างเดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนกันยายน เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่อมีอายุได้ 1 ปี วางไข่ครั้งละ 1,500–3,000 ฟอง ต่อครั้ง ระยะการฟักไข่กลายเป็นลูกอ๊อดใช้เวลา 24–36 ชั่วโมง ลูกอ๊อดพัฒนาไปเป็นลูกกบใช้เวลา 28–45 วัน โดยลูกอ๊อดมีลำตัวสีเขียว พบกระจายพันธุ์ในพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ เช่น นาข้าวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียอาคเนย์ สำหรับในประเทศไทยพบได้ทุกภาค โดยเป็นกบชนิดที่นิยมบริโภคกันเป็นอาหารมาอย่างช้านาน มีการเพาะขยายพันธุ์เป็นสัตว์เศรษฐกิจ ในตัวที่มีผิวสีเผือกขาวหรือสีทองอาจเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงได้.

ใหม่!!: สัตว์และกบนา · ดูเพิ่มเติม »

กบแอฟริกันบูลฟร็อก

กบแอฟริกันบูลฟร็อก (African bullfrog; ชื่อวิทยาศาสตร์: Pyxicephalus adspersus) เป็นกบชนิดที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ลำตัวมีสีน้ำตาลปนเขียว จุดสีน้ำตาล บริเวณส่วนหัวสีเขียวเคลือบน้ำตาล ขาทั้งสี่มีลายน้ำตาลดำ ขาหลังมีลายขวาง ลำตัวอ้วนข้างท้องมีลายน้ำตาลใต้ท้องเป็นสีขาว ผิวหนังส่วนใหญ่เรียบจะมีบ้างเป็นบางส่วนที่ขรุขระ มีถิ่นกำเนิดที่ทวีปแอฟริกาแถบแอฟริกากลางจนถึงแอฟริกาใต้ ความแตกต่างระหว่างตัวผู้กับตัวเมีย นอกจากอวัยวะเพศแล้วตัวผู้จะมีวงแก้วหูใหญ่กว่าตาและอยู่ทางด้านหลัง ลำตัวจะมีสีเข้มบริเวณใต้คางซึ่งมีสีจะเหลืองปนเขียวอย่างชัดเจนบริเวณใต้คางจะเป็นสีเหลือง แต่เพศเมียผิวหนังจะสดใสกว่าและมีวงแก้วหูเล็กกว่าตา กบแอฟริกันบูลฟร็อกเมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดยาวประมาณ 8-10 นิ้ว พร้อมผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ 12-18 เดือน ตัวผู้จะส่งเสียงร้องคล้ายวัวเพื่อหาคู่ จึงเป็นที่มาของชื่อ (บูลฟร็อก.

ใหม่!!: สัตว์และกบแอฟริกันบูลฟร็อก · ดูเพิ่มเติม »

กบแคระแอฟริกัน

กบแคระแอฟริกัน (African dwarf frog) เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกกบสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Hymenochirus ในวงศ์กบเล็บ (Pipidae) เป็นกบที่มีขนาดเล็ก อาศัยอยู่ในน้ำตลอดชีวิต มีลำตัวแบนราบมาก ขายื่นออกไปทางด้านข้างลำตัว ไม่มีเส้นข้างลำตัวเหมือนกบสกุลอื่นในวงศ์เดียวกัน ขาหลังใหญ่และมีแผ่นหนังเป็นพังผืดระหว่างนิ้วตีนใหญ่มาก ขาหน้ามีนิ้วตีนยาวและมีพังผืด ลูกอ๊อดกินสัตว์ขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นอาหาร มีความยาวเฉลี่ยประมาณ 6.35 เซนติเมตร (2.5 นิ้ว) อายุสูงสุดที่พบคือ 20 ปี พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำจืดต่าง ๆ ของทวีปแอฟริกา แถบลุ่มน้ำคองโก เป็นกบที่มีขนาดเล็ก จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์น้ำสวยงามเหมือนปลาสวยงามในตู้กระจก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตัวที่เป็นสีเผือก.

ใหม่!!: สัตว์และกบแคระแอฟริกัน · ดูเพิ่มเติม »

กบโกไลแอท

กบโกไลแอท (Goliath frog, Giant slippery frog) เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกกบขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จัดว่าเป็นกบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่ยังมีการสืบเผ่าพันธุ์อยู่ในปัจจุบัน โดยกบโกไลแอทมีความยาวเต็มที่ประมาณ 33.2 เซนติเมตร (12.6 นิ้ว) และมีน้ำหนัก 3.25 กิโลกรัม (7.17 ปอนด์) จัดได้ว่ามีน้ำหนักพอ ๆ กับเด็กทารกแรกคลอด เมื่อยังมีสภาพเป็นลูกอ๊อดก็เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เป็นกบที่กระจายพันธุ์อยู่ตามแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวที่มีสภาพพื้นเป็นทราย ในป่าดิบทึบหรือภูเขาในแถบแอฟริกากลาง บริเวณประเทศแคเมอรูนและอิเควทอเรียลกินี อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่สะอาดและมีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำสูง กินอาหารได้หลากหลายทั้ง แมลงชนิดต่าง ๆ เช่น ตั๊กแตน, แมลงปอ รวมถึงกบด้วยกัน, ปู หรือแม้กระทั่งเต่าหรืองูขนาดเล็ก และมีรายงานว่าพบค้างคาวในท้องด้วย มีอายุเต็มที่ 15 ปีในธรรมชาติ และ 21 ปีในที่เลี้ยง กบโกไลแอท เป็นกบที่ถูกใช้เป็นอาหารบริโภคในท้องถิ่น และจากความใหญ่โตของร่างกาย ทำให้ถูกจับนำมาขายเป็นสัตว์เลี้ยง เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเลี้ยงสัตว์แปลก อีกทั้งการบุกรุกทำลายป่าและการสร้างเขื่อน ทำให้ปริมาณกบโกไลแอทลดน้อยลง อีกทั้งเป็นกบที่ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครอง แต่ทางรัฐบาลแคเมอรูนจำกัดการส่งออกกบโกไลแอทไม่เกิน 300 ตัวต่อปี.

ใหม่!!: สัตว์และกบโกไลแอท · ดูเพิ่มเติม »

กระรอก

กระรอก(Squirrel, ภาษาไทยถิ่นเหนือ: ฮอก) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีขนาดลำตัวเล็ก ขนปุยปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย นัยน์ตากลมดำ หางเป็นพวงฟู จัดอยู่ในประเภทสัตว์ฟันแทะ ในวงศ์ Sciuridae.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอก · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกบิน

กระรอกบิน เป็นกระรอกจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในเผ่า Pteromyini หรือ Petauristini มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากกระรอกจำพวกอื่น คือ มีแผ่นหนังลักษณะคล้ายพังผืดที่บริเวณข้างลำตัวตั้งแต่ขาหน้าถึงขาหลัง สำหรับกางเพื่อร่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยมีหางและกระดูกอ่อนพิเศษที่ยื่นออกมาจากข้อเท้าหน้าเพื่อช่วยในการควบคุมทิศทาง กระรอกบินมีพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากกระรอกในกลุ่มอื่น คือ หากินในเวลากลางคืน มีดวงตากลมโตสีดำสะท้อนแสงไฟ กระรอกบินจะอาศัยอยู่เฉพาะในป่าดิบที่อุดมสมบูรณ์ อาหารหลัก คือ แมลง หากินหลักอยู่บนต้นไม้ แต่ก็สามารถลงมาหากินบนพื้นดินได้ในบางครั้ง แม้จะได้ชื่อว่า กระรอกบิน แต่แท้ที่จริงแล้วกระรอกบินก็ทำได้เพื่อแค่ร่อน หรือโต้อากาศโดยใช้พังผืดนี้อยู่กลางอากาศได้เพียงสั้น ๆ เท่านั้น โดยการกระโจนจากต้นไม้อีกต้นไปยังอีกต้นหนึ่งเท่านั้น กระรอกบินมีทั้งหมด 44 ชนิด ใน 15 สกุล พบได้ในทวีปอเมริกาเหนือ, ทวีปยุโรปตอนเหนือและทวีปเอเชีย บางชนิดจัดเป็นกระรอกขนาดใหญ่เทียบเท่าพญากระรอก เช่น พญากระรอกบินสีดำ (Aeromys tephomelas) บางชนิดอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์แล้ว เช่น กระรอกบินเล็กแก้มขาว (Hylopetes phayrei) เป็นต้น ในประเทศไทยพบทั้งหมด 13 ชนิด จาก 6 สกุล ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกบิน · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกบินสีเขม่า

กระรอกบินสีเขม่า (Smoky flying squirrel) เป็นกระรอกบินชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Pteromyscus มีขนาดลำตัวค่อนข้างใหญ่ แก้มเป็นสีออกเทา ลำตัวด้านบนสีน้ำตาลแกมเทาเข้ม แซมด้วยสีเทาจาง หางเป็นสีเดียวกับลำตัวแต่โคนหางเป็นสีเทาแกมสีเนื้อ ลำตัวด้านล่างมีสีขาวนวลมีสีเทาแซม พบกระจายพันธุ์ในป่าดงดิบชื้นทางภาคใต้ตอนล่างสุดของประเทศไทยไปจนถึงตลอดคาบสมุทรมลายู และพบได้จนถึงบรูไน, บอร์เนียว ในประเทศไทยจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกบินสีเขม่า · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกบินไซบีเรีย

กระรอกบินไซบีเรีย (Siberian flying squirrel) คือ กระรอกบินสายพันธุ์เก่าแก่สายพันธุ์หนึ่งของโลก อาศัยอยู่ในแนวทะเลบอลติกทางตะวันตก ไปจนถึงชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออก กระรอกบินไซบีเรียเป็นกระรอกบินสายพันธุ์เดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในยุโรป และถูกพิจารณาให้อยู่ในสถานะที่สิ่งมีชีวิตที่เกือบอยู่ในข่ายใกล้การสูญพันธุ์ในทวีปยุโรป.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกบินไซบีเรีย · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกบินเล็ก

กระรอกบินเล็ก หรือ กระรอกบินหางลูกศร (Arrow-tailed flying squirrel.) เป็นกระรอกบินขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Hylopetes (/ไฮ-โล-เพ-เตส/) พบในทวีปเอเชียในแถบภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกบินเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกบินเล็กแก้มขาว

กระรอกบินเล็กแก้มขาว (Phayre's flying squirrel) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในกลุ่มฟันแทะชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ Sciuridae หรือ กระรอก มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากกระรอกจำพวกอื่น คือ มีแผ่นหนังลักษณะคล้ายพังผืดที่บริเวณข้างลำตัวตั้งแต่ขาหน้าถึงขาหลัง นั่นคือ เป็นกระรอกบิน กระรอกบินเล็กแก้มขาว มีขนาดความยาวลำตัวและหัว 17 - 19 เซนติเมตร หางยาว 13 - 17 เซนติเมตร นับเป็นกระรอกบินขนาดกลาง ขนาดใหญ่กว่ากระรอกบินเล็กแก้มแดง (H. spadiceus) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน ตาค่อนข้างกลมและโต ลักษณะเด่นคือ ขนบริเวณแก้มมีสีขาว ขนหลังสีเทาหรือสีน้ำตาลเข้ม ด้านท้องมีสีขาวครีม ขนหางแบนเรียบสีเทาหรือสีน้ำตาลเข้ม บริเวณแก้มจนถึงหลังใบหูมีสีขาว ส่วนกระรอกบินเล็กเขาสูงจะมีแก้มและกระหม่อมเป็นสีเทา และลำตัวด้านบนกับส่วนหางจะมีสีเทาแกมน้ำตาล แผ่นหนังสำหรับใช้ร่อนมีสีน้ำตาลไหม้ ส่วนลำตัวด้านล่างมีสีขาวแต้มด้วยสีเหลือง และตรงคอหอยจะมีสีออกเหลือง ถิ่นที่อยู่อาศัยส่วนมากอยู่ในป่าดงดิบเขาระดับต่ำ และป่าเบญจพรรณในระดับความสูงไม่เกิน 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล สามารถพบได้ทั้งในภาคเหนือและภาคตะวันตกของไทย นอกจากนี้แล้วยังพบได้ในประเทศใกล้เคียง เช่น ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมายของไท.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกบินเล็กแก้มขาว · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกบินเท้าขน

กระรอกบินเท้าขน (Hairy-footed flying squirrel) เป็นกระรอกบินที่อาศัยอยู่ในภูเขาของเทือกเขาหิมาลัยทางทิศตะวันออก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีนตอนใต้จนถึงเกาะไต้หวัน จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Belomys กระรอกบินเท้าขน มีขนเป็นสีน้ำตาลแดงที่ด้านบนและสีขาวที่ด้านล่าง ลักษณะเป็นขนยาวที่เท้าซึ่งครอบคลุมกรงเล็บเพื่อป้องกันความหนาวเย็นในระดับความสูงที่สูงมาก กระรอกบินเท้าขนมีความยาวประมาณ 22 เซนติเมตร และมีหางยาว 13 เซนติเมตร โดยที่ไม่ได้จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไทยแต่อย่างใ.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกบินเท้าขน · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกสวน

กระรอกสวน หรือ กระรอกท้องแดง (Pallas's squirrel, Red-bellied squirrel) เป็นกระรอกชนิดหนึ่ง เป็นกระรอกขนาดกลาง มีขนาดเล็กกว่ากระรอกหลากสี (C. finlaysonii) เล็กน้อย ทั่วไปลำตัวมีสีน้ำตาลแกมเขียว ลำตัวส่วนล่างขนสีน้ำตาลแดง, ส้ม หรือสีเหลืองนวล แบ่งออกเป็นชนิดย่อยต่าง ๆ ได้ถึง 20 ชนิดย่อย บางชนิดย่อยมีปื้นสีดำบริเวณหลังส่วนท้าย หางเป็นพวงสวยงาม มีสีแถบสีเนื้อจาง ๆ สลับดำ บางชนิดย่อยปลายหางมีสีดำ บางชนิดย่อยปลายหางเป็นสีอ่อน มีความยาวลำตัวและหัวประมาณ 20-26 เซนติเมตร ความยาวหาง 20 เซนติเมตร กระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ ภูฏาน อินเดีย จีน ประเทศไทย ลาว เวียดนาม คาบสมุทรมลายู อินโดนีเซีย ปจนถึงเอเชียตะวันออกอย่างไต้หวัน ญี่ปุ่น กระรอกสวนกินผลไม้และลูกไม้ต่าง ๆ เป็นอาหารรวมถึงสัตว์ขนาดเล็กต่าง ๆ อย่างแมลงและหนอน หากินและอาศัยเป็นหลักบนต้นไม้ พบได้ในหลายพื้นที่ทั้งสวนสาธารณะและเมืองใหญ่ นับเป็นกระรอกที่พบได้มากและบ่อยที่สุดในประเทศไทย พบมากตามสวนผลไม้หรือสวนมะพร้าว มักถูกกำจัดหรือจับมาขายเพราะทำลายพืชผล จัดเป็นศัตรูพืชชนิดหนึ่ง ตามปกติจะอาศัยและหากินตามลำพัง เวลาหากินจะเป็นเวลากลางวัน สามารถแทะกินเปลือกไม้เปลือกแข็งหรือผลไม้เปลือกแข็งได้ นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง หากเลี้ยงตั้งแต่เล็ก ๆ ขณะยังไม่หย่านม จะเชื่องกับผู้เลี้ยง ถูกนำไปเป็นสัตว์เลี้ยงในหลายประเทศ จนกลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่น และไม่จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองหรือสัตว์ป่าสงวนในประเทศไทยแต่ประการใด Stuyck, Baert, Breyne & Adriaens (2010).

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกสวน · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกสามสี

กระรอกสามสี (อังกฤษ: Prevost's squirrel, Asian tri-colored squirrel) กระรอกชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Callosciurus prevostii จัดเป็นกระรอกขนาดกลาง มีความยาวของลำตัวประมาณ 25 เซนติเมตร หาง 27 เซนติเมตร มีลักษณะเด่นที่สีของขนคลุมตัวโดยขนที่หูหลังและหัวมีสีดำ ขนหางครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ ส่วนครึ่งปลายหางมีสีน้ำตาล ขนท้องและขามีสีแดงปนน้ำตาลแก่ ขนที่โคนขาหลังด้านบนมีสีขาวหว่างขนหลังสีดำกับขนท้องสีน้ำตาลปนแดง มีแถบสีขาวพาดจากโคนขาหลังไปยังขาหน้าส่วนบน ใบหน้าด้านข้าง และที่จมูกมีขนสีเทาดำ ทำให้ดูคล้าย กระรอกหลากสี (C. finlaysonii) ซึ่งเป็นกระรอกที่อยู่ในสกุลเดียวกัน เว้นแต่ตัวเมียของกระรอกสามสีจะมีเต้านม 3 คู่ กระรอกสามสี พบได้ในคาบสมุทรมลายู ตั้งแต่ภาคใต้ของประเทศไทยลงไป พบได้แม้กระทั่งในป่าพรุ เช่น ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส โดยมีทั้งหมด 6 ชนิดย่อย กินอาหาร เช่น ผลไม้, แมลง, ไข่นก ปัจจุบัน กระรอกสามสีเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 แต่ก็มีการนิยมซื้อขายและเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเหมือนกระรอกชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกสามสี · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกสีสวย

กระรอกสีสวย (Beautiful squirrels) เป็นสกุลของสัตว์ฟันแทะ จำพวกกระรอก ในสกุล Callosciurus (/คาล-โล-ซิ-อู-รัส/) มีลักษณะโดยทั่วไป คือ หัวกลม ใบหูกลม ตาโต ขนหางฟูเป็นพวง มีความยาวโดยเฉลี่ยส่วนหัวและลำตัว 13-27 เซนติเมตร (5.1-11 นิ้ว) ความยาวหางประมาณ 13-27 เซนติเมตร (5.1-11 นิ้ว) เช่นกัน ส่วนใหญ่มีสีเขียวมะกอกหรือสีเทา มีลายขีดหรือลายแถบสีคล้ำบริเวณด้านข้างลำตัว ส่วนท้องเป็นสีขาวหรือสีเหลืองนวล แต่ส่วนใหญ่มักจะมีสีสันที่หลากหลายมาก เช่น อาจจะมีสีขาว, สีแดงสด หรือสีน้ำตาล บริเวณด้านข้างลำตัวได้ หรืออาจจะเป็นสีขาวล้วนทั้งตัวก็ได้ เป็นกระรอกที่แพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย, เอเชียอาคเนย์ จนถึงตอนใต้ของจีน และเกาะไต้หวัน แพร่กระจายพันธุ์ไปในหลายภูมิประเทศตั้งแต่ป่าดิบทึบ จนถึงสวนสาธารณะในชุมชนเมือง ส่วนใหญ่จะหากินตามลำพังเพียงตัวเดียว หากินบนต้นไม้ในเวลากลางวันเป็นหลัก กินผลไม้, ลูกไม้, ยอดอ่อนของต้นไม้ หรือใบไม้ต่าง ๆ เป็นหลัก และอาจกินแมลง, หนอน, สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก หรือขโมยไข่นกเป็นอาหารได้ด้วย สร้างรังบนต้นไม้ ออกลูกครั้งละ 1-5 ตัว ตัวเมียมีเต้านม 2-3 คู่ แบ่งออกได้เป็น 15 ชนิด และหลากหลายมากมายชนิดย่อยและสีสัน โดยมีกระรอกสามสี เป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุด และกระรอกหลากสี มีความหลากหลายทางสีสันจึงแบ่งเป็นชนิดย่อยมากที.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกสีสวย · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกหลากสี

กระรอกหลากสี (อังกฤษ: Finlayson's squirrel, Variable squirrel) สัตว์ฟันแทะชนิดหนึ่ง เป็นกระรอกชนิดหนึ่ง ที่สามารถพบได้ทั่วไปในภูมิภาคอินโดจีนจนถึงสิงคโปร์ สามารถพบได้ทั่วไปทั้งในตัวเมืองและในป่าเขาต่าง ๆ มีความหลากหลายทางสีสันเป็นอย่างยิ่ง โดยมากจะเป็นสีขาวครีมปนเหลืองอ่อน จนถึงสีแดงหรือสีดำทั้งตัว หรือบางตัวอาจมีหลายสีในตัวเดียวกัน จัดเป็นกระรอกขนาดกลาง มีขนาดความยาวตั้งแต่หัวจรดโคนหาง 21-22 เซนติเมตร ความยาวหาง 22.5-24 เซนติเมตร ออกหากินในเวลาเช้าตรู่และพลบค่ำ นอนหลับพักผ่อนตามพุ่มใบไม้ ทำรังคล้ายรังนกด้วยกิ่งไม้เล็ก ๆ รูปทรงยาวอยู่ตามปลายกิ่งไม้ ตัวเมียมีเต้านม 2 คู่ ออกลูกครั้งละ 2 ตัว ด้วยความหลากหลายทางสีสันและความกว้างขวางในพื้นที่กระจายพันธุ์ ทำให้มีชนิดย่อยถึง 16 ชนิด เช่น C. f. floweri ที่สามารถพบได้ในพื้นที่กรุงเทพมหานครตามสวนหรือสวนสาธารณะ, C. f. bocourti ที่มีสีขาวตลอดทั้งตัว พบมากในป่าสะแกราช จังหวัดนครราชสีมา และ C. f. boonsongi พบมากตามป่าแถบภาคอีสาน ซึ่งตั้งชื่อชนิดย่อยเพื่อเป็นเกียรติแด่ นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล สถานะการอนุรักษ์ในประเทศไทย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 แต่ก็มีการนิยมซื้อขายและเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงด้วยเช่นกัน.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกหลากสี · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกหน้ากระแต

กระรอกหน้ากระแต (อังกฤษ: Shrew-faced squirrel, Shrew-faced ground squirrel) เป็นกระรอกชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhinosciurus laticaudatus จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Rhinosciurus กระรอกหน้ากระแต เป็นกระรอกที่มีลักษณะเด่นชัดแตกต่างไปจากกระรอกชนิดอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด คือ ใบหน้าบริเวณจมูกจะแหลมยาวยื่นออกมาคล้ายสัตว์จำพวกกระแต ซึ่งเป็นสัตว์ในอันดับสัตว์กินแมลง มากกว่าจะเหมือนกระรอกที่เป็นสัตว์ในอันดับสัตว์ฟันแทะ จัดเป็นกระรอกดินชนิดหนึ่ง มักอาศัยตามลำพังและหากินตามพื้นดิน โดยใช้ลิ้นที่ยาวตวัดกินอาหารได้แก่ แมลงชนิดต่าง ๆ, ไส้เดือนดิน และผลไม้บางชนิด มีหางที่สั้นและเป็นพวงเหมือนขนแปรงขัดขวด ลำตัวสีน้ำตาลเข้ม ใต้ท้องสีขาว มีสีเหลืองแซมบริเวณขอบด้านข้างโดยรอบ ความยาวลำตัว 23 เซนติเมตร ความยาวหางประมาณ 17 เซนติเมตร อาศัยทำรังอยู่ตามโพรงไม้ ตกลูกปีละครั้งเดียว ครั้งละประมาณ 1-2 ตัว พบกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะป่าดิบชื้นในคาบสมุทรมลายูเท่านั้น โดยเฉพาะในบริเวณที่ต่ำโดยเฉพาะในหุบเขาที่มีลำธารน้ำไหล โดยพบตั้งแต่ภาคใต้ของไทยแถบจังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป, มาเลเซีย, สิงคโปร์, บรูไน จนถึงเกาะบอร์เนียว กระรอกหน้ากระแตเป็นกระรอกที่มีข้อมูลทางวิชาการน้อยมาก ด้วยความที่เป็นกระรอกที่หาได้ยากมากที่สุดชนิดหนึ่ง ในประเทศไทย ถูกขึ้นชื่อเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 แต่ไม่พบการซื้อขายหรือเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเหมือนกระรอกชนิดอื่นแต่อย่างใ.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกหน้ากระแต · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกอิรวดี

ระวังสับสนกับ: กระรอกสวน กระรอกอิรวดี หรือ กระรอกท้องแดง (อังกฤษ: Belly-banded squirrel, Irrawaddy squirrel; ชื่อวิทยาศาสตร์: Callosciurus pygerythrus) เป็นกระรอกชนิดหนึ่ง จัดเป็นกระรอกขนาดกลาง มีความยาวลำตัวประมาณ 21 เซนติเมตร ความยาวหางประมาณ 18 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 280 กรัม มีสีลำตัวและหางสีน้ำตาล หลังมีแถบสีดำ ส่วนท้องเป็นสีแดง มีการกระจายพันธุ์ที่ค่อนข้างกว้างขวาง คือ พบตั้งแต่ภูมิภาคเอเชียใต้, ตอนใต้ของจีน, พม่า, ไทย, ลาว, เวียดนามจนถึงคาบสมุทรมลายู มีชนิดย่อย 7 ชนิดด้วยกัน (ดูในเนื้อหา) เป็นกระรอกที่สามารถพบได้ทั่วไปตามพื้นที่สวนหรือสวนสาธารณะในเขตตัวเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์พบได้ทุกประเทศ ไม่ได้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 แต่อย่างใด มีการนิยมซื้อขายและเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเหมือนกระรอกชนิดอื่น ๆ ทั่วไป.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกอิรวดี · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกข้างลายท้องแดง

กระรอกข้างลายท้องแดง (Plantain squirrel) สัตว์ฟันแทะชนิดหนึ่ง จำพวกกระรอก กระรอกข้างลายท้องแดงที่พบในสิงคโปร์ เป็นกระรอกขนาดกลาง มีความยาวประมาณ 17-30 เซนติเมตร (7.9-12 นิ้ว) ส่วนหางยาว 16-23 เซนติเมตร (6-8 นิ้ว) มีลำตัวสีเทาหรือน้ำตาล มีจุดเด่น คือ ด้านข้างลำตัวมีแถบสีคล้ำและสีขาวตัดกันเห็นชัดเจน ที่มีขนสีเหลืองส้มหรือสีน้ำตาลส้ม หางมีจุดด่างสีดำและเขียวไพร ปลายหางมีสีแดง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนเมื่อมองจากด้านล่าง กระจายพันธุ์ทั่วไปตั้งแต่คาบสมุทรมลายูลงไป จนถึงอินโดนีเซีย ในประเทศไทยพบได้ในภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป พบในป่าดิบชื้น มักชอบอยู่ตามชายป่าหรือตามป่ารุ่น ไม่ค่อยพบในป่าที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังพบได้ในป่าชายเลน, สวนป่า และสวนผลไม้ เป็นกระรอกอีกชนิดหนึ่งที่พบบ่อยได้บ่อย หากินในเวลากลางวัน มีกิจกรรมมากในช่วงเช้ามืดและช่วงบ่ายแก่ ๆ อาศัยอยู่บนต้นไม้ในเรือนยอดระดับต่ำ ไม่จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองหรือสัตว์ป่าสงวนในประเทศไทยแต่อย่างใ.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกข้างลายท้องแดง · ดูเพิ่มเติม »

กระรอกดินเคป

กระรอกดินเคป (Cape ground squirrel) สัตว์ฟันแทะจำพวกกระรอก จัดเป็นกระรอกดินชนิดหนึ่ง โดยชื่อกระรอกดินเคปนี้อาจทำให้สับสนกับกระรอกต้นไม้ เช่น กระรอกสีเทาตะวันออก ที่พบได้ทั่วไปในเคปทาวน์ ซึ่งนำเข้ามาจากยุโรป โดย เซซิล จอห์น โรดส์ กระรอกดินเคป อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงหรือครอบครัวเล็ก ๆ พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคแอฟริกาใต้ ตั้งแต่แอฟริกาใต้ตลอดจนถึงบอตสวานา และนามิเบีย และพบได้ในทะเลทรายคาลาฮารี โดยพฤติกรรมในทะเลทรายคาลาฮารี มักจะอาศัยอยู่ใกล้กับฝูงเมียร์แคท จนบางครั้งทำให้สับสนกันว่าเป็นสัตว์ชนิดเดียวกัน เนื่องจากมีรูปร่าง ลักษณะ จนถึงพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน มีหางยาวเป็นพวงเหมือนกระรอกทั่วไป โดยใช้ประโยชน์ของหางที่มียาวกว่าความยาวลำตัวนี้ในการปรับอุณหภูมิของร่างกาย โดยใช้หางห่อหุ้มลำตัวบังแดด กระรอกดินเคปจะลดความร้อนด้วยการนอนราบกับพื้นและเหยียดขาทั้งสี่ข้างออก และใช้พลังงานในการดำรงชีวิตได้ถึงร้อยละ 5 ซึ่งถ้าหากอากาศร้อนเกินไป จะหลบหรือขุดหลุมเข้าไปหลบร้อน และเมื่ออากาศหนาวก็จะเข้าไปอยู่ในหลุม กินอาหารจำพวกเมล็ดพืชและดอกไม้ โดยที่ชื่นชอบคือ พืชที่มีความอ่อนนุ่ม เช่น เมลอน หรือแตงโม หลุมหรือโพรงของกระรอกดินเคป มีความยาวถึง 20 เมตร ใช้เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงดูลูก และหลบภัย ซึ่งบางครั้งจะมีสัตว์ชนิดอื่นเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และกระรอกดินเคป · ดูเพิ่มเติม »

กระสุนพระอินทร์

กระสุนพระอินทร์ (Glomerida) เป็นอันดับของกิ้งกือกระสุน พบได้ส่วนใหญ่ในซีกโลกเหนือ พวกมันมีลักษณะคล้ายคลึงกับตัวกะปิมาก และสามารถม้วนตัวเป็นก้อนกลมๆ ได้ พวกมันมี 12 ปล้องลำตัว ขา 17–19 คู่ อันดับนี้ประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิต 30 สกุล และ 280 ชนิดเป็นอย่างน้อย รวมทั้ง Glomeris marginata กิ้งกือกระสุนที่พบได้ทั่วไปในทวีปยุโรป หมวดหมู่:กิ้งกือ.

ใหม่!!: สัตว์และกระสุนพระอินทร์ · ดูเพิ่มเติม »

กระจง

กระจง หรือ ไก้ (Mouse-deer, Chevrotain) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกเคี้ยวเอื้องขนาดเล็กสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Tragulus (/ทรา-กู-ลัส/) ในวงศ์ Tragulidae โดยคำว่า Tragulus มาจากคำว่า Tragos หมายถึง "แพะ" ในภาษากรีก ขณะที่ ulus ในภาษาละตินหมายถึง "เล็ก" มีน้ำหนักตัวประมาณ 0.7–8.0 กิโลกรัม (1.5–17.6 ปอนด์) มีความยาวประมาณ 40–75 เซนติเมตร (16–30 นิ้ว) จัดเป็นสัตว์กีบคู่ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก แต่ชนิดที่เล็กที่สุดของกระจงก็ยังมีขนาดใหญ่กว่าแอนทีโลปในสกุล Neotragus ในทวีปแอฟริกาNowak, R. M. (eds) (1999).

ใหม่!!: สัตว์และกระจง · ดูเพิ่มเติม »

กระจงชวา

กระจงชวา (Java mouse-deer) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกเคี้ยวเอื้องขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ Tragulidae รูปร่างหน้าตาคล้ายกระจงชนิดอื่นทั่วไป ขนตามลำตัวสีน้ำตาลแดงบริเวณหน้าอก และใต้ท้องมีแถบสีขาว 3 เส้นขนานไปกับลำตัว ไม่มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่จะมีเขี้ยวงอกมาจากริมฝีปาก โดยเขี้ยวของตัวผู้จะยาวกว่าตัวเมีย มีความยาวลำตัวและหัว 40–48 เซนติเมตร ความยาวหาง 65–80 เซนติเมตร น้ำหนัก 0.7–2 กิโลกรัม มีพฤติกรรมหากินตามลำพัง สามารถปรับตัวให้อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่หลากหลายได้ มักอาศัยและหากินในบริเวณป่าที่รกชัฏ ในฤดูผสมพันธุ์หรือมีลูกอ่อนอาจจะอาศัยเป็นคู่ ออกหากินทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน โดยมีทางเดินหาอาหารของตัวเอง ซึ่งเรียกว่า "ด่าน" ซึ่งด่านเป็นเพียงทางเดินเล็ก ๆ ปกคลุมด้วยไม้พื้นล่างที่รกทึบ มีนิสัยขี้อายและตื่นตกใจง่าย เมื่อพบศัตรูจะกระโดดหนีไปด้วยความรวดเร็ว มีฤดูผสมพันธุ์ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม ก่อนผสมพันธุ์ตัวเมียจะใช้ขาหลังเคาะที่พื้นราว 8 ที ในเวลา 3 วินาที เมื่อตัวผู้ได้ยินเสียงจะเข้ามาหา ใช้เวลาในการตั้งท้องประมาณ 140 วัน ปกติออกลูกครั้งละ 1 ตัว ในช่วงปลายฤดูฝนที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ พบกระจายพันธุ์บนเกาะชวา และเป็นไปได้ว่าอาจมีที่เกาะบาหลีด้วย หมายเหตุ: เดิมทีกระจงชวาเคยถูกรวมเป็นชนิดเดียวกับ กระจงเล็ก (T. kanchil) ที่พบได้ในประเทศไทย, แหลมมลายู, เกาะบอร์เนียว และสุมาตรา แต่ปัจจุบันได้ถูกแยกออกจากกันMeijaard, I., and C. P. Groves (2004).

ใหม่!!: สัตว์และกระจงชวา · ดูเพิ่มเติม »

กระจงควาย

กระจงควาย หรือ กระจงใหญ่ (Greater mouse-deer, Napu) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tragulus napu อยู่ในวงศ์ Tragulidae มีขาเล็กเรียว ซึ่งมีนิ้วเท้าข้างละ 4 นิ้ว ทั้งตัวผู้และตัวเมียไม่มีเขา แต่ตัวผู้จะมีเขี้ยวบนยาวเลยริมฝีปากบนลงมา เมื่อโตเต็มวัยมีน้ำหนักตัวประมาณ 5 กิโลกรัม ขนบนตัวสีน้ำตาลออกเทา มีจุดสีเข้มกว่ากระจายอยู่ทั่วไป ที่ใต้คอและบนหน้าอกมีลายพาดตามยาวสีขาว 5 ลาย ด้านใต้ท้องสีขาว หางค่อนข้างสั้นสีน้ำตาลอ่อนด้านบนและสีขาวด้านล่าง ปกติชอบอยู่โดดเดี่ยว นอกจากในฤดูผสมพันธุ์จึงจะอยู่เป็นคู่ ออกหากินในเวลากลางคืน กินอาหารได้แก่ หญ้าอ่อน ๆ, ผลไม้, ยอดไม้ และใบไม้อ่อน ในเวลากลางวันจะหลบพักนอนตามหลืบหินและโพรงไม้ ออกลูกครั้งละ 1 ตัว แต่บางครั้งก็พบออกลูกแฝด ระยะตั้งท้องนานประมาณ 5-6 เดือน พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศพม่า, เทือกเขาตะนาวศรี ไปจนถึงแหลมมลายู, เกาะสุมาตรา และเกาะบอร์เนียว นอกจากนี้แล้วยังพบได้ที่ภาคตะวันออกของไทยไปจนถึงตอนใต้ของกัมพูชาและเวียดนาม จัดเป็นกระจงอีกชนิดหนึ่ง ที่สามารถพบได้ในประเทศไทยนอกจาก กระจงเล็ก (T. kanchil) ที่มีขนาดตัวเล็กกว่า โดยมักอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ บางครั้งยังอาจพบได้ที่พื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ป่าพรุหรือป่าชายเลนได้อีกด้วย จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 2 ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และกระจงควาย · ดูเพิ่มเติม »

กระจงเล็ก

กระจงเล็ก หรือ กระจงหนู (Lesser mouse-deer, Lesser Malay chevrotain; มลายู: Kanchil) เป็นสัตว์จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับสัตว์กีบคู่ จัดเป็นสัตว์กีบคู่ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก รูปร่างหน้าตาคล้ายเก้งหรือกวาง เป็นกระจงอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย มีขนาดเล็กกว่ากระจงควาย (T. napu) มีความสูงจากกีบเท้าถึงหัวไหล่ 20-23 เซนติเมตร มีลักษณะเด่น คือ ลายแถบสีขาวที่หน้าอกมีแถบเดียว ในขณะที่กระจงควายมี 2 แถบ ในประเทศไทยพบได้ตามแนวป่าตะวันตก, แนวเขาหินปูนภาคกลาง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ในต่างประเทศพบได้ในลาว, พม่า, ตอนใต้ของจีน, เวียดนาม, บรูไน, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย หมายเหตุ: เดิมทีกระจงเล็กเคยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tragulus javanicus แต่ปัจจุบันชื่อนี้ได้ถูกจำแนกออกไปเป็น กระจงชวา พบในเกาะชวา และบาหลีแทน Meijaard, E., & Groves, C. P. (2004).

ใหม่!!: สัตว์และกระจงเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

กระจ้อน

กระจ้อน หรือ กระรอกดินข้างลาย (Indochinese ground squirrel, Berdmore's ground squirrel; ชื่อวิทยาศาสตร์: Menetes berdmorei) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับสัตว์ฟันแทะ เป็นกระรอกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง พบเห็นได้ทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย และทุกสภาพภูมิประเทศ แม้แต่ในสวนใจกลางเมือง ไม่ชอบอยู่อาศัยในป่าดิบทึบ ชอบหากินอยู่ตามพื้นดิน มีลำตัวสีน้ำตาลมีแถบสีดำสลับสีอ่อนอยู่ด้านข้างลำตัว จัดเป็นกระรอกดินชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Menetes พบได้ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความยาวเต็มที่รวมหาง ประมาณ 15-20 เซนติเมตร นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และกระจ้อน · ดูเพิ่มเติม »

กระทิง

กระทิง หรือ เมย เป็นวัวป่าชนิด Bos gaurus ในวงศ์ Bovidae.

ใหม่!!: สัตว์และกระทิง · ดูเพิ่มเติม »

กระทิงวัว

กระทิงวัว (Khting vor) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมีใครได้พบเห็นตัวจริง ๆ ขณะยังมีชีวิตอยู่ และแม้แต่ซากจะพบก็เพียงเขาที่ไร้หัวกะโหลกวางขายในตลาดขายของป่าตามชายแดนไทย-กัมพูชา, ไทย-ลาว, ลาว-กัมพูชา และเวียดนามเท่านั้น ซึ่งเขานั้นมีลักษณะบิดเป็นเกลียวยาวประมาณ 20 นิ้ว จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Pseudonovibos โดยอาจจะเป็นชื่อพ้องรองของสกุล Bos หรือสกุลของวัวทั่วไป อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์จัดให้เป็นสัตว์จำพวกเดียวกับกระทิงและวัวป่า พ่อค้าสัตว์ป่าบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รายงานให้ทราบว่ากระทิงวัวได้สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้นานแล้ว แต่มีรายงานว่าเคยมีชาวลาวล่าสัตว์ชนิดนี้ได้ทางภาคใต้ของแขวงอัตตะปือในประเทศลาวเมื่อปี ค.ศ. 1964 อย่างไรก็ตาม สถานะของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ หรือ IUCN ได้จัดอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ (Endangerous).

ใหม่!!: สัตว์และกระทิงวัว · ดูเพิ่มเติม »

กระต่ายยุโรป

กระต่ายยุโรป หรือ กระต่ายบ้าน (European rabbit, Common rabbit; ชื่อวิทยาศาสตร์: Oryctolagus cuniculus) เป็นกระต่ายพื้นเมืองของแถบยุโรป (สเปน และ โปรตุเกส) และตะวันตกเฉียงเหนือของแอฟริกา (โมรอคโค และ แอลจีเรีย) เป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Oryctolagus แบ่งออกได้เป็นชนิดย่อยต่าง ๆ ได้ 6 ชนิด (ดูในตาราง).

ใหม่!!: สัตว์และกระต่ายยุโรป · ดูเพิ่มเติม »

กระต่ายลายเสือ

กระต่ายลายเสือ หรือ กระต่ายป่าลายเสือ (Striped rabbit) เป็นกระต่ายสกุล Nesolagus (/นี-โซ-ลา-กัส/) กระต่ายลายเสือ จัดเป็นกระต่ายที่มีขนาดเล็ก มีใบหูที่เล็กกว่ากระต่ายสกุลอื่น ๆ มีลักษณะเด่น คือ ขนตามลำตัวมีสีน้ำตาลเหลือง หรือน้ำตาลแกมส้ม มีลายสีดำพาดขวางตามลำตัว เป็นลวดลายแลดูคล้ายลายของเสือโคร่ง อันเป็นที่มาของชื่อ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด กระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ คือ.

ใหม่!!: สัตว์และกระต่ายลายเสือ · ดูเพิ่มเติม »

กระต่ายสโนว์ชู

กระต่ายป่าสโนว์ชู (Snowshoe HareHoffman, Robert S.; Smith, Andrew T. (16 November 2005).. In Wilson, Don E., and Reeder, DeeAnn M., eds. (3rd ed.). Baltimore: Johns Hopkins University Press, 2 vols. (2142 pp.). pp. 195. ISBN 978-0-8018-8221-0. OCLC.) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับกระต่าย กระต่ายป่าสโนว์ชูมีถิ่นกำเนิดจากทวีปยุโรป อาศัยอยู่ในป่าสน มีขนสีน้ำตาล เมื่อถึงฤดูหนาว ขนของมันก็จะเปลี่ยนเป็นสีขาว เพื่อพรางตัวให้เหมือนกับหิมะ ซ่อนตัวจากสัตว์นักล่า เช่น หมาป่า และ นกเค้าแมว.

ใหม่!!: สัตว์และกระต่ายสโนว์ชู · ดูเพิ่มเติม »

กระต่ายอาร์กติก

กระต่ายอาร์กติก (Arctic HareHoffman, Robert S.; Smith, Andrew T. (16 November 2005).) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อาศัยอยู่ตอนเหนือของไซบีเรีย และ ขั้วโลกเหนือ.

ใหม่!!: สัตว์และกระต่ายอาร์กติก · ดูเพิ่มเติม »

กระต่ายป่า

กระต่ายป่า (Burmese hare, Siamese hare) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ Leporidae ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเด่นคือ มีหูยาว สามารถมองเห็นได้แต่ไกล มีขนขึ้นบริเวณกระพุ้งแก้มและมีฟันหน้าของขากรรไกรบน 4 ซี่ เรียงซ้อนกัน 2 คู่ ฟันคู่หลังเล็กกว่าคู่หน้า ขาคู่หลังยาวกว่าขาคู่หน้า เท้าหน้ามี 5 นิ้ว เท้าหลังมี 4 นิ้ว ใต้ผ่าเท้ามีขนปกคลุมหนาแน่นช่วยให้เคลื่อนไหวได้โดยไม่มีเสียง หางสั้นเป็นกระจุก ขนบริเวณหลังเป็นสีน้ำตาลปนเทา ปลายขนมีสีน้ำตาลเข้ม มีความยาวลำตัวและหัว 44-50 เซนติเมตร ความยาวหาง 6.5-8.5 เซนติเมตร น้ำหนัก 1.35-7 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ในพม่า, ไทย, เวียดนาม, ลาว, กัมพูชา ชอบอาศัยในป่าโปร่ง, ป่าเต็งรัง, ป่าเบญจพรรณ ออกหากินในเวลากลางคืนตามพงหญ้าที่รกชัฏ ออกหากินตามลำพังในอาณาบริเวณของตัวเอง มี หญ้า เป็นอาหารหลัก ยอดไม้ หรือผลไม้ที่ร่วงจากต้นเป็นอาหารเสริม ในบางครั้งอาจแทะเขากวางที่ผลัดทิ้งเพื่อเพิ่มแคลเซียมด้วย กระต่ายป่าตัวผู้มักต่อสู้เพื่อแย่งชิงตัวเมียในฤดูผสมพันธุ์ด้วยการกระโดดถีบหรือกัดด้วยความรุนแรง กระต่ายป่าตัวเมียใช้เวลาตั้งท้อง 35-40 วัน ออกลูกครั้งละ 1-7 ตัว โดยการขุดโพรงใต้ดินอยู่ ลูกกระต่ายป่าที่เกิดใหม่จะขนปกคลุมตัว และลืมตาได้เล.

ใหม่!!: สัตว์และกระต่ายป่า · ดูเพิ่มเติม »

กระต่ายแจ็ก

ำหรับ Lepus ในความหมายอื่น ดูที่: กลุ่มดาวกระต่ายป่า กระต่ายแจ็ก หรือ กระต่ายป่า (Jackrabbit, Jacklope, Hare) เป็นสกุลของกระต่ายสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Lepus (/ลี-ปัส/) กระต่ายสกุลนี้ เป็นกระต่ายป่า กระจายพันธุ์ไปในทุกภูมิภาคทั่วโลก ยกเว้นทวีปออสเตรเลีย มีทั้งหมด 32 ชนิด โดยปกติจะมีขนสีน้ำตาลหรือเทา หูยาวมีขนาดใหญ่ และขาหลังที่ใหญ่และทรงพลัง มีความคล่องแคล่วปราดเปรียวมาก ใต้ฝ่าเท้ามีขนอ่อนนุ่มรองรับไว้เพื่อรองรับการกระโดด ในประเทศไทย พบเพียงชนิดเดียว คือ กระต่ายป่า (L. peguensis) กระต่ายแจ็ก หรือ กระต่ายป่านั้นเป็นสัตว์ที่มีความปราดเปรียวว่องไวมาก วิ่งและกระโดดได้เร็ว เมื่อคิดเป็นสถิติแล้วยังสามารถวิ่งได้เร็วกว่านักกรีฑาเหรียญทองโอลิมปิกถึง 2 เท.

ใหม่!!: สัตว์และกระต่ายแจ็ก · ดูเพิ่มเติม »

กระซู่

กระซู่, แรดสุมาตรา หรือ แรดขน (Sumatran RhinocerosWilson, D. E., and Reeder, D. M. (eds), ed (2005).; ชื่อวิทยาศาสตร์: Dicerorhinus sumatrensis) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคี่จำพวกแรด กระซู่เป็นแรดที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก และเป็นแรดเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Dicerorhinus มีลักษณะเด่นคือมี นอ 2 นอ เหมือนแรดแอฟริกา โดยนอจะไม่ตั้งยาวขึ้นมาเหมือนแรดชวา นอหน้าใหญ่กว่านอหลัง โดยทั่วไปยาว 15-25 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และกระซู่ · ดูเพิ่มเติม »

กระแตหางขนนก

กระแตหางขนนก (pen-tailed treeshrew) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในอันดับกระแต (Scandentia) นับเป็นกระแตเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในวงศ์ Ptilocercidae และสกุล Ptilocercus แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) กระแตหางขนนก มีตัวยาวประมาณ 13-14 เซนติเมตร หางยาว 16-19 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 40-62 กรัม หางมีสีได้หลากหลาย ตั้งแต่สีเทาจนถึงน้ำตาลอ่อน ท้องสีขาวหรือสีครีม ปลายหางตั้งแต่ระยะ 3 ใน 5 ของหางจนถึงปลายหาง ขนมีลักษณะคล้ายขนนกหรือพู่กัน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของกระแตชนิดนี้ ทำให้แยกออกมาเป็นวงศ์และสกุลต่างหาก กระจายพันธุ์อยู่ในคาบสมุทรมลายู จนถึงเกาะสุมาตรา, ทางเหนือของเกาะบอร์เนียว และเกาะข้างเคียง ในประเทศไทยพบทางป่าชายแดนภาคใต้ตอนล่าง พบในป่าดั้งเดิมและป่าชั้นสอง, สวนยาง หรือแม้แต่ในหมู่บ้านที่อยู่ชายป่า มักพบอยู่ในที่ที่มีต้นปาล์มชนิด จากเขา (Eugeissona tristis) ทำรังบนต้นไม้ รังอยู่สูงจากพื้น 12-20 เมตร ปูพื้นด้วยใบไม้แห้ง กิ่งไม้และเยื่อไม้ เส้นผ่านศูนย์กลางรังประมาณ 3 นิ้ว และยาวประมาณ 18 นิ้ว ออกหากินในเวลากลางคืน เวลากลางวันจะค่อนข้างเฉื่อยชา หากถูกรบกวนในเวลากลางวัน มักจะหันหลังให้ อ้าปากกว้างและส่งเสียงดังข่มขู่ บางครั้งก็ถ่ายมูลหรือปัสสาวะใส่ด้วย แต่หากถูกรบกวนตอนกลางคืน จะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว กินอาหารได้หากหลายทั้งพืชและสัตว์เช่นเดียวกับกระแตส่วนใหญ่ เช่น กล้วย, องุ่น, จิ้งหรีด, ตั๊กแตน, มด, แมลงสาบ, จักจั่น, แมลงปีกแข็ง และสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กจำพวกตุ๊กแก ทำรังอยู่ร่วมกันเป็นฝูงใหญ่ ฝูงหนึ่งมีรัง 2-7 รัง สามารถไต่กิ่งไม้ทางด้านใต้กิ่งได้ มีประสาทสัมผัสที่หางไวมาก เมื่อแสดงอาการก้าวร้าวจะแกว่งหางไปมาแบบลูกตุ้ม แต่ถ้าตื่นเต้นจะชูหางขึ้นชี้ด้านบน มีระยะเวลาตั้งท้องนานประมาณ 45-55 วัน คาดว่าออกลูกครั้งละ 1-4 ตัว ลูกแรกเกิดหนักประมาณ 10 กรัม ตัวเมียมีเต้านม 4 เต้.

ใหม่!!: สัตว์และกระแตหางขนนก · ดูเพิ่มเติม »

กระแตใต้

กระแตใต้ หรือ กระแตธรรมดา (common treeshrew, southern treeshrew) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในอันดับกระแต (Scandentia) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับกระรอก มีขนสีน้ำตาลแกมเขียว ส่วนใบหน้าแหลมยาว มีนิ้วที่เท้าหน้า 5 นิ้ว หางเรียวยาวเป็นพู่ มีเส้นขีดที่ไหล่ ลำตัวยาวประมาณ 17-24 เซนติเมตร หางยาว 17-24 เซนติเมตร ตัวเมียมีเต้านม 4 เต้า กระแตใต้ เป็นหนึ่งในกระแตที่พบได้ในประเทศไทย พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่คอคอดกระลงไปตลอดแหลมมลายู จนถึงอินโดนีเซีย เป็นสัตว์ที่กินอาหารได้หลากหลายทั้งพืช, เมล็ดพืช, ผลไม้ และแมลงชนิดต่าง ๆ หากินได้ทั้งบนพื้นดิน, โคนต้นไม้ และบนต้นไม้ พบได้ในภูมิประเทศที่หลากหลายทั้งป่าดิบทึบ และสวนสาธารณะหรือสวนผลไม้ในชุมชนของมนุษ.

ใหม่!!: สัตว์และกระแตใต้ · ดูเพิ่มเติม »

กระแตเล็ก

กระแตเล็ก (pygmy treeshrew, lesser treeshrew) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในอันดับกระแต (Scandentia) มีลักษณะคล้ายกับกระแตใต้หรือกระแตธรรมดาทั่วไป (T. glis) แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก โดยมีความยาวจากปลายจมูกถึงรูทวารเพียง 11-14 เซนติเมตรเท่านั้น พบกระจายพันธุ์ในคาบสมุทรมลายูจนถึงบอร์เนียวและเกาะสุมาตรา ในประเทศไทยพบได้ในภาคใต้ตอนล่างเท่านั้น มีทั้งหมด 4 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) มีระยะเวลาการตั้งท้องนาน 45-55 วัน มีพฤติกรรมชอบกินผลไม้จำพวกมะเดื่อฝรั่งมากที.

ใหม่!!: สัตว์และกระแตเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

กระแตเหนือ

กระแตเหนือ (Northern treeshrew) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในอันดับกระแต (Scandentia) ในวงศ์ Tupaiidae จัดเป็นกระแต 1 ใน 2 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย นอกเหนือจากกระแตใต้ หรือกระแตธรรมดา (T. glis) มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่กระแตเหนือมีขนสีน้ำตาลเทา ในขณะที่กระแตใต้จะมีขนสีออกน้ำตาลแดง กระแตใต้ตัวเมียมีเต้านม 6 เต้า ขณะที่กระแตเหนือมีเต้านม 4 เต้า มีความยาวตั้งแต่ปลายจมูกจนถึงรูทวาร 13.5-20.5 เซนติเมตร มีอายุยืนเต็มที่ประมาณ 11 ปี พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศอินเดีย, พม่า, จีนตอนใต้ และกลุ่มประเทศอินโดจีน ในประเทศไทยพบทั่วทุกภาค ยกเว้นภาคใต้จะพบได้เฉพาะบริเวณเหนือคอคอดกระขึ้นไปเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และกระแตเหนือ · ดูเพิ่มเติม »

กระเล็น

กระเล็น หรือ กระถิก หรือ กระถึก เป็นสกุลหนึ่งของสัตว์ฟันแทะ จำพวกกระรอก ใช้ชื่อสกุลว่า Tamiops กระเล็นจัดว่าเป็นกระรอกขนาดเล็กที่สุดที่พบได้ในประเทศไทย ขนาดโดยเฉลี่ยรวมความยาวทั้งลำตัว, หัว และหางแล้วประมาณ 20 เซนติเมตร มีลักษณะเด่น คือ ลำตัวสีน้ำตาล มีลายสีขาวดำพาดขนานตามยาวของลำตัวเห็นเด่นชัด ตั้งแต่จมูกถึงโคนหาง คล้ายกับลายของชิพมังค์ (Tamias spp.) ซึ่งเป็นกระรอกขนาดเล็กเช่นกัน แต่พบในทวีปอเมริกาเหนือ ส่วนหางของกระเล็นจะไม่เป็นพวงฟูเหมือนกระรอกทั่วไป ตัวเมียมีเต้านมทั้งหมด 6 เต้า กระเล็นหากินในเวลากลางวัน หากินบนต้นไม้สูง ๆ เป็นหลัก กินอาหารได้หลากหลายเหมือนกระรอกทั่วไป พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียใต้, ตอนใต้ของจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบทั้งหมด 4 ชนิด ในประเทศไทยพบได้ 2 ชนิด พบได้ทั่วไปทั้งในป่าทึบหรือในชุมชนเมือง โดยที่ไม่จัดว่าเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองหรือสัตว์ป่าสงวนแต่ประการใ.

ใหม่!!: สัตว์และกระเล็น · ดูเพิ่มเติม »

กระเล็นขนปลายหูสั้น

กระเล็นขนปลายหูสั้น หรือ กระถิกขนปลายหูสั้น (Himalayan striped squirrel, Burmese striped squirrel) เป็นกระรอกขนาดเล็ก ความยาวหัวและลำตัวประมาณ 11-12 เซนติเมตร หางยาวประมาณ 11-13 เซนติเมตร ขนหางสั้นและเรียบติดหนังไม่ฟูเป็นพวงอย่างกระรอกทั่วไป ปลายหูสีขาว ลำตัวสีน้ำตาลอมเทา หลังมีลายแถบขนานกันไปตามแนวสันหลังสีเหลืองหรือสีครีมสลับดำ แถบสีครีมด้านนอกสุดพาดยาวตั้งแต่จมูกไปจนจรดโคนหาง แถบนอกสุดนี้จะกว้างและสีสดกว่าแถบใน และกว้างกว่าของกระเล็นขนปลายหูยาว (T. rodolphii) ส่วนท้องสีเหลืองอ่อน ตัวเมียมีเต้านม 6 เต้า กระเล็นขนปลายหูสั้นอาศัยได้ทั้งในป่าดิบทึบและป่าโปร่ง รวมถึงตามสวนสาธารณะหรือสวนหลังบ้านในบ้านเรือนของมนุษย์หรือชุมชนเมือง พบได้ทั่วแนวเทือกเขาหิมาลัยมาจนถึงพม่า, จีนตอนใต้ ทางใต้สุดแพร่ไปถึงคาบสมุทรมลายู ในประเทศไทยพบได้ในทางภาคตะวันตกตั้งแต่ใต้สุดจนถึงเหนือสุดของประเทศ รวมถึงภาคกลางตอนบน มีพฤติกรรมมักหากินตัวเดียว หรืออาจเป็นกลุ่มที่เป็นครอบครัวเดียวกัน หากินในเวลากลางวัน กินผลไม้, เมล็ดพืช, ใบไม้ และแมลงเป็นอาหาร กระโดดและวิ่งไปมาบนกิ่งไม้อย่างคล่องแคล่ว เสียงร้องมีสองแบบ แบบหนึ่งคือ จี้ด ๆ สั้น ๆ คล้ายนก แต่แหลมดังบาดหู และอีกแบบหนึ่งคือเสียงแหลมยาวสั่นระรัวที่ค่อย ๆ ผ่อนเสียงลง ไม่ได้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองหรือสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 แต่อย่างใด และนิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และกระเล็นขนปลายหูสั้น · ดูเพิ่มเติม »

กราวเขียว

กราวเขียว หรือ ตะพาบหัวกบ (Asian giant softshell turtles) เป็นสกุลของตะพาบจำพวกหนึ่ง พบกระจายพันธุ์อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pelochelys มีด้วยกันทั้งสิ้น 3 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และกราวเขียว · ดูเพิ่มเติม »

กรีนวิงค์ มาคอว์

กรีนวิงค์ มาคอว์ เป็นนกแก้วมาคอว์ที่มีขนาดใหญ่ น่ารักเสียงดังคับป่า ชอบเล่นน้ำ กัดแทะ กินดินโปร่ง และผลไม้ทุกชนิด ลำตัวมีสีแดงสด ปีกมีสีเขียวและสีฟ้า หางมีสีแดงและสีฟ้า ลำตัวมีขนาดประมาณ 36 นิ้ว กรีนวิงมาคอร์ มีแหล่งกำเนิดอยู่ที่ทวีปอเมริกาใต้ บริเวณประเทศ บราซิล โบลิเวีย ปานามา เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และกรีนวิงค์ มาคอว์ · ดูเพิ่มเติม »

กรดฟอร์มิก

กรดฟอร์มิก หรือกรดมด (Formic acid) เป็นกรดคาร์บอกซิลิกชนิดหนึ่งที่โครงสร้างไม่ซับซ้อน มีสูตรโมเลกุลว่า CH2O2 และเรียกตามระบบ IUPAC ว่า กรดเมทาโนอิก (Methanoic acid), พบตามธรรมชาติในสัตว์จำพวกมดและผึ้ง ซึ่งมีไว้สำหรับป้องกันตัวจากศัตรู, โดยคำว่า "formic" ได้มาจากคำในภาษาละตินว่า formica ซึ่งแปลว่ามดนั่นเอง.

ใหม่!!: สัตว์และกรดฟอร์มิก · ดูเพิ่มเติม »

กวาง

กวางเรนเดียร์ หรือกวางแคริบู (''Rangifer tarandus'') ซึ่งเป็นกวางที่มีขนาดใหญ่พบกระจายพันธุ์ในซีกโลกทางเหนือ กวาง เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่ (อันดับย่อยสัตว์เคี้ยวเอื้อง) ที่จัดอยู่ในวงศ์ Cervidae มีลักษณะขนยาวหยาบสีน้ำตาล ตัวผู้มีเขาเป็นแขนง ผลัดเขาปีละครั้ง ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าและไม่มีเขา ลักษณะเขาตัน ไม่กลวง เป็นเกลียว บางชนิดอาจแตกแขนงได้มากเหมือนกิ่งไม้ ไม่มีถุงน้ำดี ชอบอยู่ตามลำพังตัวเดียวยกเว้นฤดูผสมพันธุ์ กินใบไม้อ่อน หญ้าอ่อน.

ใหม่!!: สัตว์และกวาง · ดูเพิ่มเติม »

กวางชะมดป่า

กวางชะมดป่า หรือ กวางชะมดแคระ หรือ กวางชะมดจีน (Dwarf musk deer, Chinese forest musk deer, 林麝, พินอิน: Lín shè) เป็นกวางชะมด (Moschidae) ชนิดหนึ่ง มีความยาวหัวและลำตัวประมาณ 80-100 เซนติเมตร ความยาวหางประมาณ 3.8-6 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 8-10 กิโลกรัม ขนตามลำตัวสีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลเทา ขนบริเวณหน้าอกเป็นสีน้ำตาลเหลือง มีเขี้ยวงอกมาจากริมฝีปากยาวประมาณ 7.5 เซนติเมตร ไม่มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย ตัวผู้มีต่อมผลิตกลิ่นที่ใต้ท้องเพื่อใช้ในการประกาศอาณาเขตและสื่อสารกับตัวเมียคล้ายกับกลิ่นของชะมด (Viverridae) อาศัยอยู่ในที่ราบสูงประมาณ 2,600-3,600 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในตอนใต้ของจีนต่อกับภาคเหนือของเวียดนาม ในที่ ๆ มีอากาศหนาวเย็น มีความสามารถในการปีนป่ายต้นไม้ที่มีความลาดเอียงหรือหน้าผาที่มีความสูงไม่มากนักได้เป็นอย่างดี สำหรับกวางชะมดป่า ในประเทศไทยมีการเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจเพื่อเอาสารที่ตัวผู้ผลิตออกม.

ใหม่!!: สัตว์และกวางชะมดป่า · ดูเพิ่มเติม »

กวางชะมดไซบีเรีย

กวางชะมดไซบีเรีย (Siberian musk deer, Кабарга, 原麝, 사향노루) เป็นกวางชะมด (Moschidae) ชนิดหนึ่ง มีตัวสั้นป้อม ขนตามลำตัวมีสีน้ำตาลแดง หูตั้ง หางสั้น มีแถบยาวสีขาว 2 แถบ ขนานกันตามความยาวของลำคอ ที่ตะโพกและหลังช่วงท้ายมีจุดสีขาว ไม่มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย ตัวผู้มีเขี้ยวบนยาวประมาณ 7 เซนติเมตร โผล่ออกมาจากปากเห็นได้ชัดเจน มีต่อมผลิตกลิ่นอยู่ที่ใต้ท้องระหว่างสะดือกับอวัยวะเพศ พบกระจายพันธุ์ในเอเชียเหนือ ในป่าไทกาทางตอนใต้ของไซบีเรีย และพบในบางส่วนของมองโกเลีย, มองโกเลียใน, แมนจูเรีย และคาบสมุทรเกาหลี ออกหากินตามลำพังเวลาเช้ามืดหรือพลบค่ำ.

ใหม่!!: สัตว์และกวางชะมดไซบีเรีย · ดูเพิ่มเติม »

กวางบึง

กวางบึง หรือ บาราซิงก้าGrubb, Peter (16 November 2005).

ใหม่!!: สัตว์และกวางบึง · ดูเพิ่มเติม »

กวางรูซา

กวางรูซา (Rusa) เป็นสกุลของกวางในสกุล Rusa พบกระจายพันธฺุ์ในทางตอนใต้ของทวีปเอเชีย มักจะได้รับการจัดให้อยู่ในสกุล Cervus แต่จากการศึกษาทางพันธุกรรมพบว่า สมควรจัดให้อยู่ในสกุลนี้ แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด โดย 3 ชนิดมีการกระจายค่อนข้างแคบในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย แต่จะมีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นทางด้านอินเดียตะวันออกและทางตอนใต้ของจีนและทิศใต้ของหมู่เกาะซุนดา ทั้งหมดกำลังถูกคุกคามจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยและการล่าสัตว.

ใหม่!!: สัตว์และกวางรูซา · ดูเพิ่มเติม »

กวางรูซาชวา

กวางรูซาชวา หรือเรียกสั้น ๆ ว่า กวางรูซา (Javan rusa) เป็นกวางชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดที่เกาะชวาของอินโดนีเซีย ลักษณะโดยทั่วไป คือเป็นกวางขนาดกลาง ลำตัวมีสีน้ำตาลเหลือง-น้ำตาลเทา บริเวณใต้คอและใต้ท้องมีสีน้ำตาลอ่อน เพศเมียจะมีสีอ่อนกว่าเพศผู้ น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ของตัวผู้ประมาณ 120-160 กิโลกรัม ตัวเมีย 65-90 กิโลกรัม ความยาวรอบตัว 1.3-2.5 เมตร ความยาวหาง 10-30 เซนติเมตร เมื่อโตเต็มที่ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะมีความสูงเท่ากับ 110 เซนติเมตรและ 90 เซนติเมตรตามลำดับ การจำแนกแบ่งออกได้เป็น 6 ชนิดย่อย ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และกวางรูซาชวา · ดูเพิ่มเติม »

กวางผา

กวางผา (Gorals) เป็นสกุลของสัตว์กีบคู่จำพวกแอนทีโลปสกุลหนึ่ง ในวงศ์ Bovidae ใช้ชื่อสกุลว่า Naemorhedus.

ใหม่!!: สัตว์และกวางผา · ดูเพิ่มเติม »

กวางผาจีน

กวางผาจีน หรือ กวางผาจีนถิ่นใต้ (Chinese goral, South China goral) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกสัตว์กีบคู่ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Naemorhaedus griseus อยู่ในวงศ์ Bovidae.

ใหม่!!: สัตว์และกวางผาจีน · ดูเพิ่มเติม »

กวางดาว

กวางดาว หรือ กวางทอง (Chital, Cheetal, Spotted deer, Axis deer)Grubb, Peter (16 November 2005).

ใหม่!!: สัตว์และกวางดาว · ดูเพิ่มเติม »

กวางคุณพ่อดาวีด

กวางคุณพ่อดาวีด หรือ กวางปักกิ่ง (Père David's deer) เป็นกวางชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Elaphurus กวางคุณพ่อดาวีด เป็นกวางชนิดที่พบได้เฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น โดยกระจายพันธุ์อยู่ทางตอนกลางและตอนใต้ของลุ่มน้ำแยงซี ได้ชื่อว่า "ดาวีด" มาจากชื่อของบาทหลวงชาวฝรั่งเศส อาร์ม็อง ดาวีด ซึ่งเป็นชาวตะวันตกคนแรกที่พบเห็นและรู้จักกวางชนิดนี้ ชาวจีนมองว่า กวางคุณพ่อดาวีดเป็นสัตว์ที่แปลก โดยมีลักษณะ 4 ประการที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกับสัตว์ชนิดต่าง ๆ ผสมผสานกัน (ญี่ปุ่น: shifuzō) คือ มีส่วนหัวเหมือนม้า, มีตีนเหมือนวัว, มีหางเหมือนลา และมีเขาเหมือนกวางแต่งองุ้มไปข้างหลัง กวางคุณพ่อดาวีดตัวเมีย กวางคุณพ่อดาวีด เป็นกวางที่หากินในที่ราบลุ่มที่น้ำท่วมขังหรือสภาพพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น หนอง, บึง โดยกินหญ้าและตะไคร่น้ำเป็นอาหาร ในฤดูผสมพันธุ์ เมื่อเป็นสัด กวางตัวผู้จะตกแต่งเขาตัวเองด้วยใบไม้ต่าง ๆ ห้อยย้อยลงมา กวางตัวผู้จะต่อสู้กันด้วยความดุเดือดเพื่อแย่งชิงตัวเมีย ขณะที่กวางตัวเมียจะไม่มีเขา กวางคุณพ่อดาวีดจะผสมพันธุ์กันปีต่อปี ในขณะที่ลูกกวางที่เกิดขึ้นจากการผสมพันธุ์เมื่อปีที่แล้วยังไม่หย่านม แต่จะอยู่รวมกันเป็นฝูงในหมู่ลูกกวางด้วยกัน จึงทำให้หลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับกวางตัวผู้ที่ก้าวร้าว ปัจจุบัน สถานะของกวางคุณพ่อดาวีดได้สูญพันธุ์ไปแล้วจากธรรมชาติ ในจีนคาดว่ามีจำนวนประชากรราว 2,500 ตัว ในเขตอนุรักษ์ การที่ยังมีกวางคุณพ่อดาวีดหลงเหลืออยู่นั้นเกิดจากในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กวางในธรรมชาติได้สูญพันธุ์ลงแล้ว แต่ยังมีการนำไปเลี้ยงและได้ขยายพันธุ์ในโบสถ์ของประเทศอังกฤษ ในทวีปยุโรป และได้นำส่งกลับมายังจีนจำนวน 40 ตัว ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และกวางคุณพ่อดาวีด · ดูเพิ่มเติม »

กวางซีกา

กวางซีกา (Sika deer, Spotted deer, Japanese deer) เป็นกวางที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกและถูกนำเข้าไปเป็นสัตว์เลี้ยงในหลายพื้นที่บนโลก อดีตพบในตอนใต้ทางภาคเหนือของประเทศเวียดนามไปจนถึงทางเหนือของรัสเซียตะวันออกไกล ปัจจุบันเกือบจะสูญพันธุ์แล้วในทุกพื้นที่ ยกเว้นในประเทศญี่ปุ่นที่มีประชากรหนาแน่น โดยชื่อ "ซีกา" มาจากภาษา แปลว่า "กวาง" กวางซีกาเป็นกวางขนาดกลางมีความสูงจรดหัวไหล่ 50-95 เซนติเมตร หนัก 30-70 กิโลกรัม เพศผู้มีขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย มีขนตามลำตัวสีน้ำตาลส้ม มีจุดสีขาวกระจายอยู่ทั่วไป หางสั้นมีสีน้ำตาลอ่อน ก้นมีสีขาว สีขนบริเวณด้านบนและด้านข้าง ลำตัวอาจมีสีที่เข้มกว่าสีขนบริเวณท้องและด้านในของขา มีเขาเฉพาะเพศผู้ เขามีกิ่งก้านแผ่อแอกมาเพียงข้างละ 4 ก้าน มักอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ในป่าเบญจพรรณ หรือทุ่งหญ้า ในฝูงมักประกอบไปด้วยเพศเมียเป็นส่วนใหญ่ กวางเพศผู้มีการผลัดเขาทิ้งทุกปี กวางซีกา เป็นสัตว์ที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นสัตว์ที่รับใช้เทพเจ้า ในจังหวัดนะระ โดยเฉพาะใกล้ ๆ วัดโทได กวางซีกาที่อาศัยอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตอย่างเสรี โดยปะปนกับผู้คนทั่วไปโดยไม่มีผู้ใดทำอันตร.

ใหม่!!: สัตว์และกวางซีกา · ดูเพิ่มเติม »

กวางป่า

กวางป่า หรือ กวางม้า หรือ กวางแซมบาร์ (Sambar deer; หรือ Cervus unicolor) เป็นกวางขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ในประเทศศรีลังกา, อินเดีย, พม่า, ไทย, จีน, ไต้หวัน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สุมาตรา, บอร์เนียว และหมู่เกาะซีลี.

ใหม่!!: สัตว์และกวางป่า · ดูเพิ่มเติม »

กวางแฟลโลว์

กวางแฟลโลว์ (fallow deer) เป็นกวางขนาดเล็ก มีความสูงที่ไหล่ประมาณ 1 เมตร ลักษณะเด่นที่แตกต่างจากกวางชนิดอื่นๆ คือ ปลายลำเขาแบนจนมีลักษณะเป็นแผ่นคล้ายกับกวางมูส ซึ่งมีแผ่นแบนกว้าง ขนตามลำตัวสีน้ำตาลแต้มด้วยจุดสีขาว แต่จุดเหล่านี้จะหายไปช่วงฤดูหนาว เดิมทีกวางชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในป่าบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่ได้ถูกนำไปเลี้ยงในยุโรปและอเมริกา ในที่สุดกวางในถิ่นอาศัยดั้งเดิมก็สูญพันธุ์ คงเหลือแต่กวางที่เปลี่ยนถิ่นฐานไปแล้ว จนบางตัวมีสีเผือก เนื่องจากผสมพันธุ์ในสายเลือดเดียวกันจนเกิดข้อด้อยดังกล่าว.

ใหม่!!: สัตว์และกวางแฟลโลว์ · ดูเพิ่มเติม »

กวางแดง

กวางแดง (Red Deer) เป็นกวางขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ตามอนุกรมวิธาน กวางแดงมีถิ่นอาศัยในทวีปยุโรป เทือกเขาคอเคซัส เอเชียน้อย บางส่วนทางตะวันตกของเอเชีย และเอเชียกลาง สามารถพบในเทือกเขาแอตลาสระหว่างประเทศโมร็อกโกและประเทศตูนิเซียทางตะวันตกเฉียงเหนือของแอฟริกา เป็นกวางเพียงชนิดเดียวที่อาศัยอยู่ในแอฟริกา มีการนำกวางแดงไปยังพื้นที่ส่วนอื่นบนโลก ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย, ประเทศนิวซีแลนด์ และ ประเทศอาร์เจนตินา ในหลายส่วนของโลกกินเนื้อของกวางแดงเป็นอาหาร กวางแดงเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง มีกระเพาะ 4 ห้อง กีบเท้าคู่ ตัวผู้สูง 175 - 230 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และกวางแดง · ดูเพิ่มเติม »

กวางไอริช

กวางไอริช หรือ กวางยักษ์ (Megaloceros giganteus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สูญพันธ์เมื่อประมาณ 11,700 ปีก่อน ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในแถบทวีปยุโรป และทวีปเอเชีย (จากการขุดพบซากฟอสซิล) ลำตัวสูง 2 เมตร ความกว้างของเขา 4 เมตร อาศัยอยู่กันเป็นฝูง.

ใหม่!!: สัตว์และกวางไอริช · ดูเพิ่มเติม »

กวางเรนเดียร์

กวางเรนเดียร์ หรือ กวางแคริบู (Reindeer, Caribou) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่จำพวกกวาง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Rangifer มีนิสัยดุร้าย มีลักษณะคล้ายคลึงกับกวางเอลก์ จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใหญ่ที่สุดของแคนาเดียนทุนดรา ตัวเมียมีน้ำหนักประมาณ 60–170 กิโลกรัม ส่วนสูงประมาณ 162– 205 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่า มีน้ำหนักประมาณ 100–318 กิโลกรัม ส่วนสูงประมาณ 180–214 เซนติเมตร หางยาวประมาณ 14– 20 เซนติเมตร ตัวผู้ที่มีอายุมากจะผลิเขาในเดือนธันวาคม ตัวผู้ที่อายุน้อยจะผลิเขาในฤดูใบไม้ผลิ ส่วนตัวเมียจะผลิเขาในฤดูร้อน เขาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ เขาที่อยู่สูงกว่า และเขาที่อยู่ต่ำกว่า เขากวางเรนเดียร์ตัวผู้ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากกวางมูส คือ กว้างประมาณ 100 เซนติเมตร ยาวประมาณ 135 เซนติเมตร ถือเป็นกวางที่มีขนาดเขาใหญ่ที่สุดในโลก ขนตามลำตัวยามปกติจะมีสีน้ำตาล แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ขนจะเปลี่ยนไปเป็นสีอ่อนขึ้น หรือสีขาว กวางเรนเดียร์ มีกีบเท้าที่แยกออกเป็น 2 ง่ามชัดเจน ใช้สำหรับว่ายน้ำ โดยว่ายได้เร็วถึง 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเมื่อเดินกระดูกตรงข้อเท้าและเส้นเอ็นจะทำให้เกิดเสียงไปตลอด สันนิษฐานว่ามีไว้เพื่อติดต่อกับระหว่างฝูงในยามที่อยู่ในที่ ๆ ภาวะวิสัยมองเห็นไม่ชัด เช่น ยามเมื่อหิมะตกหนัก เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงชนิดเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นรังสีอัลตราไวโอเลตได้TUNDRA, "Wildest Arctic".

ใหม่!!: สัตว์และกวางเรนเดียร์ · ดูเพิ่มเติม »

กวางเอลก์

กวางเอลก์ (elk) เป็นกวางขนาดใหญ่ หัวยาว คอและหางสั้น ขายาว เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง มีเขาเฉพาะตัวผู้ กวางเอลก์โตเต็มที่เขาจะมีแขนงข้างละประมาณ 10-12 กิ่ง ขนลำตัวหยาบสีน้ำตาล หางสั้น ลำตัวจากปลายปากถึงโคนหางยาวประมาณ 2.5 เมตร หางยาวประมาณ 20 เซนติเมตร สูงช่วงไหล่ประมาณ 1.5 เมตร น้ำหนักตัวประมาณ 250-450 กิโลกรัม มีนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินอพยพไปเรื่อย ๆ ชอบอยู่ในทุ่งโล่ง ๆ ตัวผู้จะดุเมื่อเขาแก่ขวิดแย่งตัวเมีย ว่ายน้ำเก่ง.

ใหม่!!: สัตว์และกวางเอลก์ · ดูเพิ่มเติม »

กอมโฟทีเรียม

กอมโฟทีเรียม (Gomphotherium) บางคนเรียกในชื่อ ไตรโลโฟดอน เป็นตระกูลสัตว์งวงที่มีลักษณะค่อนข้างโบราณ ขากรรไกรล่างบางชนิดยาวถึง 2 เมตร มีงา 2 คู่ที่ค่อนข้างสั้น งอกจากขากรรไกรบนและล่าง ฟันกราม 2 ซี่แรก (M1, M2) ทั้งด้านบนและด้านล่างจะมีสันในแนวขวางจำนวนเท่ากัน คือ 3 สัน แต่ฟันกรามซี่สุดท้ายจะเพิ่มอีกหนึ่งสัน จำนวนของสันฟันอาจจะเพิ่มขึ้นได้ในบางตัวซึ่งเป็นกรณีข้อยกเว้น สันฟันดังกล่าวนี้เกิดจากการเรียงตัวของปุ่มฟัน (cusp) ในแนวขวาง แต่แนวสันฟันไม่ค่อยชัดเจนเหมือนในสกุล มาสโตดอน ถิ่นที่อยู่ กอมโฟทีเรียม มีชีวิตอยู่ในสมัยไมโอซีนช่วงกลาง (16 -11 ล้านปีก่อน) อาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำทะเลสาบในเขตป่าที่ค่อนข้างแห้งแล้ง แต่บางชนิดอาศัยอยู่ตามที่ลุ่มชื้นแฉะคล้ายพวกสมเสร็จ โครงกระดูกที่สมบูรณ์ของกอมโฟทีเรียม พบใกล้เมือง Sansan ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งสามารถดูได้ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในกรุงปารีส การกระจาย ส่วนใหญ่พบในยุโรปตะวันตก แหล่งพบอื่น ๆ ได้แก่ ทวีปแอฟริกา อเมริกาเหนือ และเอเชีย โดยแหล่งล่าสุด เมื่อ..

ใหม่!!: สัตว์และกอมโฟทีเรียม · ดูเพิ่มเติม »

กอริลลา

ัวน้อย กอริลลาเพศเมียที่มีชื่อเสียงแห่งสวนสัตว์พาต้า กอริลลา (Gorilla) เป็นเอปที่อยู่ในเผ่า Gorillini และสกุล Gorilla ในวงศ์ Hominidae นับเป็นไพรเมตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน กอริลลา จัดเป็นเอปจำพวกหนึ่งในบรรดาเอปทั้งหมดที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน และจัดเป็นเอปและไพรเมตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีถิ่นกำเนิดอยู่ในตอนกลางของทวีปแอฟริกา ทั้งที่เป็นที่ราบต่ำ และเป็นภูเขาสูงแถบเทือกเขาวีรูงกาที่มีระดับความสูงจากน้ำทะเลถึง 2,200–4,300 เมตร (7,200–14,100 ฟุต) ในคองโก และรวันดา กอริลลา นับได้ว่าเป็นเอปที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุดรองจากชิมแปนซีและโบโนโบ โดยมีดีเอ็นเอที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ถึงร้อยละ 95–99.

ใหม่!!: สัตว์และกอริลลา · ดูเพิ่มเติม »

กอริลลาภูเขา

กอริลลาภูเขา (Mountain gorilla) เป็นชนิดย่อยของกอริลลาตะวันออก (G. ฺberingei) ชนิดหนึ่ง กอริลลาภูเขาเป็นสัตว์เฉพาะถิ่นพบกระจายพันธุ์อยู่ในเขตเทือกเขาวีรูงกาในเขตแดน 3 ประเทศเท่านั้น คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, รวันดา และอูกันดา โดยแบ่งออกได้เป็นฝูงทั้งหมด 3 ฝูง ฝูงแรกมีชื่อเรียกว่า "วีรูงกา" มีจำนวนประมาณ 480 ตัว อาศัยอยู่ในเทือกเขาวีรูงกาและภูเขาไฟในอุทยานแห่งชาติทางตอนเหนือของรวันดา ในป่ามงตาน ซึ่งเป็นป่าไผ่ ในระดับความสูงจากน้ำทะเล 2,500–4,000 เมตร, ฝูงที่สองมีชื่อเรียกว่า "มจาฮิงจา" พบทางตอนใต้ของอูกันดา และ "บวินดี" พบในอุทยานแห่งชาติบวินดี ในอูกันดา อาศัยอยู่ในเทือกเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 1,500–2,300 เมตร มีประมาณ 400 ตัว โดยถือเป็นสถานที่ ๆ มีชื่อเสียงที่พบได้มากที่สุดอีกด้วย โดยจำนวนกอริลลาภูเขาในปัจจุบันในธรรมชาติมีประมาณ 880 ตัว กอริลลาภูเขา มีพฤติกรรมเหมือนกับกอริลลาชนิดอื่น ๆ คือ อาศัยอยู่เป็นครอบครัว ประกอบด้วยตัวผู้จ่าฝูงที่มีหลังขนหลังสีหงอกเทาหรือสีเงิน หรือที่เรียกว่า "หลังเงิน" (Silverback) ตัวเมียและลูก ๆ จัดเป็นกอริลลาที่มีขนาดใหญ่มากอีกชนิดหนึ่ง โดยเป็นกอริลลาที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากกอริลลาที่ลุ่มตะวันออก (G. b. graueri) ซึ่งถือเป็นกอรริลาตะวันออกอีกชนิดหนึ่งเท่านั้น ตัวผู้ที่โตเต็มที่หนักได้ถึง 195 กิโลกรัม (430 ปอนด์) และสูงเมื่อยืนด้วยสองขาหลังประมาณ 150 เซนติเมตร (59 นิ้ว) และน้ำหนักในตัวเมีย 100 กิโลกรัม (220 ปอนด์) และสูงประมาณ 130 เซนติเมตร (51 นิ้ว)ช่วงแขนที่วัดจากปลายนิ้วข้างหนึ่งถึงอีกข้างหนึ่งอาจยาวถึง 2 เมตร อาศัยอยู่ในป่าดิบทึบและป่าเมฆที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,200–4,300 เมตร (7,200–14,100 ฟุต) ในพื้นที่ ๆ อุณหภูมิมีความหนาวเย็นประมาณ 10 องศาเซลเซียสและชื้นแฉะ กอริลลาภูเขา เป็นสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหารหลัก โดยมีชนิดพืชที่กินได้หลากหลาย เมื่อกินแล้วจะถ่ายมูลซึ่งมีลักษณะคล้ายกับอุจจาระของมนุษย์ตามสุมทุมพุ่มไม้ต่าง ๆ หรีอบางครั้งอาจถ่ายทิ้งไว้ที่ระหว่างทาง มีพฤติกรรมย้ายที่หากินไปเรื่อย ๆ ไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน ตัวผู้ในวัยโตเต็มที่จะกินอาหารมากถึงวันละ 30 กิโลกรัม ขณะที่ในตัวเมีย 18 กิโลกรัม ในฝูง ๆ หนึ่งประกอบไปด้วยตัวผู้ที่เป็นจ่าฝูง โดยมีตัวเมียประมาณ 3 ตัว และมีกอริลลาที่ยังไม่โตเต็มวัยซึ่งเป็นลูก ๆ อีกราว 3 ตัว ซึ่งแต่ละฝูงจะมีอาณาเขตเป็นของตัวเองชัดเจน โดยตัวผู้จ่าฝูงจะทำหน้าที่ปกป้องดูแลอาณาเขตของตัวเอง อีกทั้งยังมีพฤติกรรมคล้ายกับมนุษย์มาก กล่าวคือ จับคู่เพียงตัวเดียวตลอดชีวิต, มีการแข่งขันกันเองในหมู่พี่น้อง, ลูกตัวผู้มีการต่อสู้กับพ่อ หรือการที่จ่าฝูงที่อายุมากแล้วส่งมอบการเป็นจ่าฝูงให้แก่ตัวที่แข็งแรงกว่าตัวใหม่ขึ้นเป็นจ่าฝูงแทน เป็นต้นหน้า 7 จุดประกาย, Mountain Gorilla ออกเดินทางตามหากอริลลาภู.

ใหม่!!: สัตว์และกอริลลาภูเขา · ดูเพิ่มเติม »

กองทะเบียนประวัติอาชญากร

กองทะเบียนประวัติอาชญากร (Criminal Records Division) หรือ ทว.

ใหม่!!: สัตว์และกองทะเบียนประวัติอาชญากร · ดูเพิ่มเติม »

กะพรุนน้ำจืด

กะพรุนน้ำจืด หรือ แมงกะพรุนน้ำจืด (Freshwater jellyfish) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในพวกแมงกะพรุนที่อยู่ในชั้นไฮโดรซัว ต่างจากแมงกะพรุนที่พบในทะเลที่ส่วนมากจะอยู่ในชั้นไซโฟซัว ใช้ชื่อสกุลว่า Craspedacusta (/คราส-พี-ดา-คัส-ต้า/).

ใหม่!!: สัตว์และกะพรุนน้ำจืด · ดูเพิ่มเติม »

กะละปังหา

กะละปังหา หรือ กัลปังหา (ยืมมาจากภาษามลายูคำว่า "kalam pangha") เป็นสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลัง แต่ละตัวมีขนาดเล็กมาก รูปร่างคล้ายทรงกระบอกหรือรูปถ้วย จัดอยู่ในพวกเดียวกับปะการัง กะละปังหาประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ตัวกะละปังหา (โพลิป) ตัวของกะละปังหานี้มีลักษณะคล้ายดอกไม้ทะเลขนาดเล็ก มีเนื้อเยื่ออ่อนนุ่ม และมีหนวดรอบปากจำนวนแปดเส้น ฝังและกระจายตัวอยู่ตามโครงสร้างกะละปังหา และอีกส่วนเป็นส่วนโครงสร้างที่เป็นกิ่งแตกกิ่งก้านคล้ายพัดและซี่หวี แล้วแต่ชนิดกิ่งโครงสร้างนี้ตัวกะละปังหาสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับตัวเองและเป็นสารเขาจำพวกสัตว.

ใหม่!!: สัตว์และกะละปังหา · ดูเพิ่มเติม »

กะท่าง

กะท่าง (Himalayan newt) เป็นสิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก เป็นสัตว์จำพวกนิวต์ หรือ ซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ เพียงชนิดเดียวที่พบได้ในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และกะท่าง · ดูเพิ่มเติม »

กะแท้

กะแท้ จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมอาร์โธรพอด เป็นแมลงจำพวกมวนมีหลายชนิด ส่วนใหญ่อยู่ในวงศ์ Cydnidae และ Podopidae เป็นมวนขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายโล่ ตัวยาว ๘-๑๒ มิลลิเมตร ขาทั้งสามคู่มีหนามปกคลุมเต็มไปหมด สีน้ำตาลแก่อมดำหรือสีเกือบดำ เมื่อจับต้องตัวจะปล่อยกลิ่นฉุนเหม็นเขียว บางทีคล้ายกลิ่นอุจจาระของคน โดยต่อมกลิ่นมีช่องเปิดอยู่บริเวณหลังส่วนท้องที่ติดกับอก กะแท้เดิมอยู่ในวงศ์ Cydnidae แต่นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มแยกออกเป็นวงศ์ Podopidae อีกวงศ์หนึ่ง โดยพวกที่มีแผ่นแข็งเป็นสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมที่สันหลังใหญ่กว่าแผ่นแข็งของปีกอยู่ในวงศ์ Podopidae ถ้าแผ่นแข็งที่หลังรูปสามเหลี่ยมสั้นกว่าอยู่ในวงศ์ Cydnidae กะแท้มักอาศัยอยู่รวมกัน เป็นกลุ่มบริเวณโคนต้นไม้ และกองปุ๋ยหมักใต้แผ่นไม้ แผ่นหิน หรือมูลสัตว์ ออกมาเล่นไฟในช่วงอากาศร้อนหรือฝนตกใหม่ ๆ ไม่ได้ทำลายพืชเศรษฐกิจให้เสียหาย โดยมาก อาศัยดูดน้ำเลี้ยงจากวัชพืชเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และกะแท้ · ดูเพิ่มเติม »

กั้ง

กั้ง (Mantis shrimps, Stomatopods) คือสัตว์น้ำจำพวกหนึ่ง อาศัยอยู่ในทะเล ในไฟลัมครัสตาเซียน ในอันดับสโตมาโตโพดา (Stomatopoda) ซึ่งมีอยู่หลากหลายสกุลและหลากหลายชนิด กั้ง โดยทั่วไปมีรูปร่างคล้ายกุ้งผสมกับตั๊กแตนตำข้าว ลำตัวยาวคล้ายตะขาบ หายใจด้วยเหงือกเช่นเดียวกับกุ้ง ลำตัวมีรูปร่างแบนหรือกลม แบ่งเป็นปล้อง ๆ เปลือกที่หุ้มท่อนหัวและอกคลุมมาถึงอกปล้องที่ 5 แต่ไม่ถึงปล้องที่ 8 กรีมีลักษณะแบนราบ มีขาทั้งหมด 3 คู่ เป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกตั้งแต่ 400 ล้านปีก่อน มักอาศัยอยู่ในทะเลโคลน หรือ บริเวณปากแม่น้ำ หรือตามแนวปะการัง และพบได้ถึงระดับความลึกกว่า 1,500 เมตร กั้งเป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดในโลกนี้มาก่อนกุ้ง มีจุดเด่น คือ มีดวงตาขนาดใหญ่ สามารถใช้สแกนมองภาพได้ดี โดยสามารถมองเห็นภาพชัดลึกได้ดี ตาแต่ละข้างของกั้งสามารถมองเห็นได้ 3 ตา และตาแต่ละดวงมองเห็นภาพได้ 3 ภาพ และสามารถกะระยะได้ดีมากเพื่อใช้ในการล่าเหยื่อ กั้งมีแก้วตาหลายพันชิ้น และสามารถมองเห็นสีได้ในระดับที่ซับซ้อน โดยถือว่าเป็นสัตว์จำพวกหนึ่งที่มีระบบการมองเห็นภาพดีที่สุดในอาณาจักรสัตว์โลก ไม่มีก้ามหนีบ แต่มีระยางค์ส่วนอกคู่ที่ 2 มีลักษณะเป็นก้ามสับขนาดใหญ่พับได้คล้ายมีดโกน และมีซี่ฟันแหลมคมเรียงกันเป็นแถวคล้ายหวี ใช้สำหรับฆ่าเหยื่อหรือป้องกันตัว ซึ่งสามารถใช้สับน้ำให้เกิดเป็นแรงขนาดมากได้ จนอาจถึงทำร้ายสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น มนุษย์ให้ได้รับบาดเจ็บได้ กั้งถูกค้นพบแล้วกว่า 450 ชนิด ในประเทศไทยมีรายงานพบแล้วอย่างน้อย 61 ชนิด กั้งนิยมนำมารับประทานเป็นอาหารเช่นเดียวกับกุ้ง โดยปกติแล้วจะมีราคาสูงกว่ากุ้งธรรมดาหรือปู ในบางชนิดนิยมนำมาแช่กับน้ำปลารับประทานกับข้าวต้ม.

ใหม่!!: สัตว์และกั้ง · ดูเพิ่มเติม »

กั้งกระดาน

กั้งกระดาน หรือ กุ้งกระดาน (Flathead lobster, Lobster Moreton Bay bug, Oriental flathead lobster) เป็นกุ้งชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายกั้ง จึงนิยมเรียกกันว่ากั้ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Thenus orientalis จัดเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Thenus และวงศ์ย่อย Theninae มีส่วนหัวและอกอยู่รวมกัน แต่ไม่มีกรีแหลมที่หัวลำตัวแบนและสั้นกว่ากุ้งทั่วไป ส่วนหัวแผ่ออกเป็นแผ่นใหญ่ ผิวขรุขระ เบ้าตาบุ๋มลงในขอบหน้าส่วนของหัว นัยน์ตามีขนาดเล็กอยู่บนก้านตา นัยน์ตาสามารถเคลื่อนไหวได้คล้ายกับตาของปู หนวดสั้น มีข้อต่อกันคล้ายใบสน แนวกลางหัวและลำตัวเป็นสันแข็ง มีขาเดิน 5 คู่ ปลายแหลมและมีขนสั้น ๆ อยู่บนขา ขาเดินคู่ที่ 5 ของตัวเมียเล็กกว่าตัวผู้มาก ลำตัวแบ่งออกเป็นปล้อง แต่ละปล้องมีขาว่ายน้ำอยู่หนึ่งคู่ หางมีลักษณะเป็นแผ่นแบนประกอบด้วยรยางค์ 5 อัน อันกลางมีขนาดใหญ่และแข็งแรง ใช้ในการดีดตัวหลบหนีศัตรู หัว ลำตัว และหางเป็นสีน้ำตาล มีตุ่มเล็กเรียงเป็นแถวบนลำตัว นัยน์ตาสีดำ อาศัยอยู่บริเวณหน้าดิน แถบที่เป็นพื้นโคลนปนทราย มีความยาวประมาณ 15-25 เซนติเมตร หากินสัตว์น้ำขนาดเล็กตามหน้าดินเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในแถบอินโด-แปซิฟิก, ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก, ทะเลแดง, ทะเลอันดามัน, ตอนใต้ของญี่ปุ่น, จีน จนถึงอ่าวมอร์ตัน ในออสเตรเลีย นิยมรับประทานเป็นอาหาร มีรสชาติดีแต่เหนียวกว่ากุ้ง จึงนิยมแช่แข็งส่งออกขายต่างประเทศ เป็นที่นิยมกันมากที่สิงคโปร.

ใหม่!!: สัตว์และกั้งกระดาน · ดูเพิ่มเติม »

กั้งตั๊กแตนเจ็ดสี

กั้งตั๊กแตนเจ็ดสี (Peacock mantis shrimp, Harlequin mantis shrimp, Painted mantis shrimp) เป็นครัสเตเชียนชนิดหนึ่ง จำพวกกั้ง จัดอยู่ในวงศ์ Odontodactylidae เป็นกั้งที่มีสีสวย มักอยู่ตามพื้นทราย นอกเขตแนวปะการัง บางครั้งอาจพบได้ในเขตน้ำตื้น ส่วนใหญ่หลบซ่อนอยู่ในรูที่มีทางออกหลายทาง แต่บางครั้งอาจเดินอยู่บนพื้นเพื่อหาอาหาร ได้แก่ หอยฝาเดียว, กุ้ง, ปู หรือปลาขนาดเล็ก ตามีการพัฒนาสูงสุด จนถือได้ว่าเป็นสัตว์ที่มีระบบการมองเห็นที่ดีที่สุดในบรรดาอาณาจักรสัตว์โลก โดยดวงตากลมโตทั้งสองข้างนั้นสามารถกลอกกลิ้งไปมาได้อย่างเป็นอิสระ มีเซลล์รับแสงมากถึง 12 สี เมื่อเทียบกับตามนุษย์ที่มีเซลล์รับแสงเพียงแค่ 3 สีเท่านั้น นอกจากจะมองเห็นสีสันได้มากมายหลายเฉดสีแล้ว ยังสามารถรับรู้แสงโพลาไรซ์ได้อีกด้วย และสามารถสแกนภาพได้ โดยใช้เส้นขนานกลางตาเพื่อเล็งเหยื่อ ก่อนใช้ขาคู่หน้าที่คล้ายกับกำปั้นหรือสันหมัดของมนุษย์ดีดไปอย่างแรง ลักษณะคล้ายตั๊กแตนตำข้าวจับเหยื่อ อาจใช้ดีดจนกระดองปูหรือเปลือกหอยแตกได้ หรือดีดเพื่อเกี่ยวกลับเข้ามา ซึ่งแรงดีดนี้รุนแรงมาก แม้แต่จะทำให้มนุษย์บาดเจ็บได้ หรือแม้กระทั่งกระจกตู้ปลาอาจแตกด้วยแรงดีดเพียงครั้งเดียว เพราะเป็นสัตว์ที่มีแรงในการดีดหนักกว่าน้ำหนักของตัวเองมากกว่า 1,000 เท่า ในอัตราความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (เร็วกว่ากระสุนขนาด.22 มิลลิเมตร) และยังสามารถดีดได้มากถึง 50,000 ครั้งโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด เนื่องจากโครงสร้างภายในของขาคู่หน้านั้นมีลักษณะเป็นชั้น ๆ ที่ซับซ้อน บริเวณที่รับแรงกระแทกโดยตรง ประกอบด้วยไฮดรอกซิลอะพาไทต์แบบผลึกที่พบมากในกระดูกและฟันของมนุษย์ จึงทำให้ผิวชั้นนี้มีสมบัติทนทานต่อแรงกดอัดได้ดี อีกทั้งที่อยู่ด้านในมีลักษณะซ้ำ ๆ ของชั้นเส้นใยไคตินที่มีสมบัติด้านความแข็งตึง (ความสามารถในการรักษารูปร่าง) ต่ำ ซึ่งพบมากในโครงสร้างภายนอกของสัตว์ครัสเตเชียน มีการจัดเรียงตัวในลักษณะวนเป็นเกลียวและเติมเต็มด้วยสารอนินทรีย์ชนิดอสัณฐานที่โครงสร้างของสสารไม่เป็นผลึกอยู่ระหว่างกลาง ทำหน้าที่เป็นตัวดูดซับแรงกระแทกที่เกิดจากการจู่โจม ส่วนชั้นที่มีลักษณะเป็นลายริ้ว ๆ เป็นเส้นใยไคตินมีหน้าที่ห่อหุ้มขาคู่หน้าทั้งหมดเพื่ออัดองค์ประกอบอนินทรีย์ต่าง ๆ ให้อยู่ภายในระยางค์เพื่อป้องกันการบาดเจ็บได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งลักษณะทางกายภาคที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เป็นต้นแบบให้นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาแคลิฟอร์เนีย, ริเวอร์ไซด์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย และมหาวิทยาลัยเพอร์ดู ของสหรัฐอเมริกาใช้ศึกษาเพื่อพัฒนาการสร้างวัสดุที่มีความแข็งแกร่งสูงแต่น้ำหนักเบา โดยเลียนแบบจากโครงสร้างอันนี้ มีพฤติกรรมหลบซ่อนอยู่ในรู โดยโผล่มาแต่เฉพาะส่วนหัว เมื่อภัยอันตรายเข้ามาใกล้ จะหดหัวเข้าไป ก่อนจะโผล่หัวออกมาดูอีกครั้งภายในเวลา 2–3 นาที แต่ถ้าเดินหากินอยู่ไกลโพรง เมื่อพบเจอกับศัตรู บางครั้งจะชูตัวยกขึ้นแล้วชูขาหน้าเพื่อขู่ศัตรู หากไม่ได้ผล จะงอตัวกลิ้งกับพื้น หากจวนตัวจะดีดตัวอย่างรวดเร็วพุ่งหายไป มีขนาดความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร พบในความลึกไม่เกิน 20 เมตร พบกระจายพันธุ์ในเขตอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่เกาะกวมจนถึงแอฟริกาตะวันออก ในน่านน้ำไทยพบได้น้อยทางฝั่งอ่าวไทย แต่จะพบได้มากกว่าทางฝั่งทะเลอันดามัน เป็นกั้งที่ไม่ได้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ เพราะมีเนื้อน้อย แต่มีการเลี้ยงเป็นสัตว์น้ำสวยงาม โดยผู้เลี้ยงอาจหาท่อพีวีซีใส่ในตู้ เพื่อให้เป็นที่หลบซ่อน.

ใหม่!!: สัตว์และกั้งตั๊กแตนเจ็ดสี · ดูเพิ่มเติม »

กายวิภาคศาสตร์

หัวใจและปอดของมนุษย์ ภาพจากหนังสือ ''Gray's Anatomy'' กายวิภาคศาสตร์ (anatomia, มาจาก ἀνατέμνειν ana: การแยก และ temnein: การตัดเปิด) เป็นแขนงหนึ่งของวิชาชีววิทยา ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต คำนี้หมายรวมถึงกายวิภาคศาสตร์มนุษย์ (human anatomy), กายวิภาคศาสตร์สัตว์ (animal anatomy หรือ zootomy) และกายวิภาคศาสตร์พืช (plant anatomy หรือ phytotomy) ในบางแง่มุมกายวิภาคศาสตร์ก็มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับวิชาคัพภวิทยา (embryology), กายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบ (comparative anatomy) และคัพภวิทยาเปรียบเทียบ (phylogenetics หรือ comparative embryology) โดยมีรากฐานเดียวกันคือวิวัฒนาการ (evolution) กายวิภาคศาสตร์สามารถแบ่งออกได้เป็นมหกายวิภาคศาสตร์ (gross anatomy หรือ macroscopic anatomy) และจุลกายวิภาคศาสตร์ (microscopic anatomy) มหกายวิภาคศาสตร์ เป็นการศึกษาโครงสร้างทางกายวิภาคที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จุลกายวิภาคศาสตร์เป็นการศึกษาโครงสร้างทางกายวิภาคขนาดเล็กซึ่งต้องอาศัยกล้องจุลทรรศน์ ได้แก่ มิญชวิทยา (histology) ซึ่งเป็นการศึกษาโครงสร้างของเนื้อเยื่อ และวิทยาเซลล์ (cytology) ซึ่งเป็นการศึกษาเซลล์ กายวิภาคศาสตร์มีประวัติศาสตร์เป็นเวลายาวนาน มีการพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ของอวัยวะและโครงสร้างต่างๆ ของร่างกายอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับวิธีการศึกษาที่พัฒนาอย่างรวดเร็วตั้งแต่การศึกษาจากสัตว์ไปจนถึงการชำแหละ (dissect) ศพมนุษย์ จนกระทั่งพัฒนาเทคนิคที่อาศัยเทคโนโลยีที่ซับซ้อนในศตวรรษที่ 20 วิชากายวิภาคศาสตร์นั้นต่างจากพยาธิกายวิภาค (anatomical pathology หรือ morbid anatomy) หรือจุลพยาธิวิทยา (histopathology) ซึ่งเป็นการศึกษาลักษณะทางมหภาคและจุลภาคของอวัยวะที่เป็นโร.

ใหม่!!: สัตว์และกายวิภาคศาสตร์ · ดูเพิ่มเติม »

การชันสูตรพลิกศพ

การชันสูตรพลิกศพ (Autopsy) คือการตรวจพิสูจน์เพื่อดูสภาพศพแต่เพียงภายนอก ค้นหาสาเหตุและพฤติการณ์ที่ตายว่าผู้ตายคือใคร ตายเมื่อใด ถ้าตายโดยคนทำร้าย สงสัยว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดที่ทำให้เกิดการตายตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 129 ความว่า "ให้ทำการสอบสวนรวมทั้งการชันสูตรพลิกศพในกรณีที่ความตายเป็นผลแห่งการกระทำผิดอาญาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการชันสูตรพลิกศพ ถ้าการชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ ห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาล" ซึ่งตามกฎหมายมีความมุ่งหมายให้แพทย์และพนักงานสอบสวนดำเนินการตรวจสอบในสถานที่พบศพ ยกเว้นแต่ว่าการชันสูตรพลิกศพ เพื่อตรวจดูสภาพศพในสถานที่เกิดเหตุนั้น อาจเป็นเหตุทำให้การจราจรติดขัดมาก อาจกลายเป็นสถานที่อุดจาตาจากสภาพศพ หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนทั่วไป แพทย์และพนักงานสอบสวนย่อมมีสิทธิ์ที่จะสามารถเคลื่อนย้ายศพ เพื่อนำไปทำการชันสูตรพลิกศพยังสถานที่อื่นที่เหมาะสมได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 148 ความว่า "เมื่อปรากฏแน่ชัดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลใดตายโดยผิดธรรมชาติ หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานให้มีการชันสูตรพลิกศพ เว้นแต่ตายโดยการประหารชีวิตตามกฎหมาย"มาตรา 148 การชันสูตรพลิกศพ, ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา, ร..ต.อ หญิง นัยนา เกิดวิชัย, สำนักพิมพ์นิตินัย, 2550 อาจเห็นได้ว่าสภาพการจราจรในปัจจุบันก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางด้านจราจรเป็นจำนวนมาก เกือบทุกรายที่ประสบอุบัติเหตุจะเสียชีวิต จึงจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนย้ายศพจากสถานที่เกิดเหตุเพื่อไปทำการชันสูตรพลิกศพและตรวจสอบสาเหตุการตายในสถานที่อื่นเช่น สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งก็มักจะเป็นสถานที่ที่ใช้ในการผ่าศพนั่นเอง.

ใหม่!!: สัตว์และการชันสูตรพลิกศพ · ดูเพิ่มเติม »

การกำหนดเพศ

รโมโซมเพศของแมลงหวี่ โครโมโซมเพศในระบบ XO การกำหนดเพศด้วยชุดโครโมโซม การกำหนดเพศ (Sex determination system)เป็นระบบกำหนดเพศของสิ่งมีชีวิตทางพันธุกรรม พบในสิ่งมีชีวิตชั้นสูง โดยเฉพาะในอาณาจักรสัตว์ สิ่งมีชีวิตนั้นจะมีการแบ่งแยกเพศอย่างชัดเจน เป็นเพศผู้กับเพศเมียหรือเพศชายกับเพศหญิง การกำหนดเพศของสิ่งมีชีวิตขึ้นกับลักษณะทางพันธุกรรม ซึ่งการกำหนดเพศในสิ่งมีชีวิตต่างๆนั้น มีหลายแบบ ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และการกำหนดเพศ · ดูเพิ่มเติม »

การย่อยสลายทางชีวภาพ

ราเมือกสีเหลืองเจริญเติบโตในถังขยะกระดาษเปียก การย่อยสลายทางชีวภาพ (biodegradation) หรือการสลายตัวทางชีวภาพ คือสารเคมีที่สลายตัวของวัสดุจากเชื้อแบคทีเรียหรือทางชีวภาพอื่นๆ โดยมีความสัมพันธ์กับระบบนิเวศ การจัดการขยะ ชีวการแพทย์ และสภาพแวดล้อมทางชีวภาพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถย่อยสลายกลับไปเป็นธาตุตามธรรมชาติ สารอินทรีย์จะถูกย่อยสลายด้วยออกซิเจน หรือไม่ใช้ออกซิเจน การย่อยสลายทางชีวภาพคือกระบวนการที่นำสารอินทรีย์มาทำปฏิกิริยากับสารอนินทรีย์ ทำให้ย่อยสลายได้ ซึ่งอินทรียวัตถุจะเปลี่ยนเป็นแร่ธาตุ สารลดแรงตึงผิวซึ่งจะหลั่งออกมายังผิวด้านนอกโดยการทำงานของเซลล์จุลินทรีย์ เพื่อเพิ่มกระบวนการย่อยสลายทางชีวภาพ นวัตกรรมวิธีการที่สำคัญในการย่อยสลายของจุลินทรีย์ได้เปิดเผยรายละเอียดด้านข้อมูลทางพันธุกรรม การศึกษาสารพันธุกรรมทั้งหมดของจุลินทรีย์ การศึกษาด้านโปรตีนทั้งหมดที่มีในรหัสพันธุกรรม ชีวสารสนเทศ การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมของจุลินทรีย์ระดับสูง เพื่อนำไปสู่กระบวนการย่อยสลายทางชีวภาพ และความสามารถของจุลินทรีย์เพื่อปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ผลิตภัณฑ์ที่มีสารย่อยสลายชีวภาพได้ และสารย่อยสลายทางชีวภาพไม่ได้ ในการตลาดมักบอกว่าสลายได้ทางชีวภาพได้.

ใหม่!!: สัตว์และการย่อยสลายทางชีวภาพ · ดูเพิ่มเติม »

การรับรู้รส

ตุ่มรับรส (Taste bud) รส หรือ รสชาติ (Taste, gustatory perception, gustation) เป็นเรื่องเกี่ยวกับประสาทสัมผัสหนึ่งในห้า (นับตามโบราณ) โดยเป็นความรู้สึกที่ได้จากระบบรู้รส (gustatory system) รสเป็นความรู้สึกที่ได้เมื่อสารในปากก่อปฏิกิริยาเคมีกับเซลล์รับรส (taste receptor cell) ที่อยู่ในตุ่มรับรส (taste bud) ในช่องปากโดยมากที่ลิ้น รสพร้อม ๆ กับกลิ่น และการกระตุ้นที่ประสาทไทรเจมินัล (ซึ่งทำให้รู้เนื้ออาหาร ความเจ็บปวด และอุณหภูมิ) จะเป็นตัวกำหนดความอร่อยของอาหารหรือสารอื่น ๆ กล่าวอีกอย่างก็คือ ระบบรู้รสจะตรวจจับโมเลกุลอาหารและเครื่องดื่มเป็นต้น โดยมากที่ละลายในน้ำหรือไขมันได้ ซึ่งเมื่อรวมกับข้อมูลจากระบบรู้กลิ่นและระบบรับความรู้สึกทางกาย จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพของสารอาหาร ปริมาณ และความปลอดภัยของสิ่งที่เข้ามาในปาก มีรสชาติหลัก ๆ 5 อย่างคือ หวาน เปรี้ยว เค็ม ขม และอุมะมิ ซึ่งรู้ผ่านวิถีประสาทที่แยกจากกัน ส่วนการรับรู้รสแบบผสมอาจเกิดขึ้นที่เปลือกสมองส่วนการรู้รสโดยประมวลข้อมูลที่ได้ในเบื้องต้นจากหน่วยรับรสหลัก ๆ การรับรู้รสจะเริ่มตั้งแต่สารที่มีรสทำปฏิกิริยากับน้ำลายซึ่งท่วมตุ่มรับรสที่อยู่บนโครงสร้างต่าง ๆ เช่นปุ่มลิ้น ทำให้โมเลกุลรสมีโอกาสทำปฏิกิริยากับหน่วยรับรสที่อยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์รับรสซึ่งอยู่รวมตัวกันที่ตุ่มรับรส รสหวาน อุมะมิ และขม จะเริ่มจากการจับกันของโมเลกุลกับ G protein-coupled receptors ที่เยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์รับรส ส่วนความเค็มและความหวานจะรู้ได้เมื่อโลหะแอลคาไลหรือไอออนไฮโดรเจน (ตามลำดับ) ไหลเข้าไปในเซลล์รับรส ในที่สุดเซลล์รับรสก็จะลดขั้วแล้วส่งสัญญาณกลิ่นผ่านใยประสาทรับความรู้สึกไปยังระบบประสาทกลาง สมองก็จะประมวลผลข้อมูลรสซึ่งในที่สุดก็ทำให้รู้รส รสพื้นฐานจะมีส่วนต่อความรู้สึกอร่อยของอาหารในปาก ปัจจัยอื่น ๆ รวมทั้งกลิ่น ที่ตรวจจับโดยเยื่อบุผิวรับกลิ่นในจมูก, เนื้ออาหาร ที่ตรวจจับโดยตัวรับแรงกล และประสาทกล้ามเนื้อต่าง ๆ เป็นต้น, อุณหภูมิที่ตรวจจับโดยปลายประสาทรับร้อน, ความเย็น (เช่นที่ได้จากเมนทอล) กับรสเผ็สที่ได้จากตัวรับรู้สารเคมี, รูปลักษณ์ที่ปรากฏของอาหาร ที่เห็นได้ผ่านเซลล์รับแสงในจอตา, และสภาพทางจิตใจเอง เพราะเรารู้ทั้งรสที่เป็นอันตรายและมีประโยชน์ รสพื้นฐานทั้งหมดสามารถจัดเป็นไม่น่าพอใจ (aversive) หรือทำให้อยากอาหาร (appetitive) ความขมช่วยเตือนว่าอาจมีพิษ ในขณะที่ความหวานช่วยระบุอาหารที่สมบูรณ์ด้วยพลังงาน สำหรับมนุษย์ การรู้รสจะเริ่มลดลงราว ๆ อายุ 50 ปี เพราะการเสียปุ่มลิ้นและการผลิตน้ำลายที่น้อยลง ทำให้ผู้สูงอายุมักทานรสจัดขึ้นเทียบกับเด็ก เช่น ต้องเติมเกลือ เติมพริกเป็นต้น ซึ่งอาจเป็นปัญหาต่อผู้มีความดันโลหิตสูงหรือมีปัญหาธำรงดุลอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย มนุษย์สามารถรู้รสแบบผิดปกติเพราะเป็นโรค dysgeusia สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมดไม่ได้รู้รสได้เหมือน ๆ กัน สัตว์ฟันแทะบางชนิดสามารถรู้รสแป้ง (ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถ) แมวไม่สามารถรู้รสหวาน และสัตว์กินเนื้อหลายอย่างรวมทั้งหมาไฮยีน่า ปลาโลมา และสิงโตทะเลต่างก็ได้เสียการรู้รสชาติอาจถึง 4 อย่างจาก 5 อย่างที่บรรพบุรุษของพวกมันรู้.

ใหม่!!: สัตว์และการรับรู้รส · ดูเพิ่มเติม »

การรับรู้ความใกล้ไกล

ลักษณะต่าง ๆ รวมทั้งทัศนมิติแบบต่าง ๆ ขนาดโดยเปรียบเทียบ วัตถุที่บังกัน และอื่น ๆ ล้วนมีส่วนทำให้เห็นภาพถ่ายสองมิตินี้เป็น 3 มิติได้ การรับรู้ความใกล้ไกล เป็นสมรรถภาพทางการเห็นในการมองโลกเป็น 3 มิติ และการเห็นว่าวัตถุหนึ่งอยู่ใกล้ไกลแค่ไหน แม้เราจะรู้ว่าสัตว์ก็สามารถรู้สึกถึงความใกล้ไกลของวัตถุ (เพราะสามารถเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำหรืออย่างสมควรตามความใกล้ไกล) แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่รู้ว่า สัตว์รับรู้ความใกล้ไกลทางอัตวิสัยเหมือนกันมนุษย์หรือไม่ ความใกล้ไกลจะรู้ได้จากตัวช่วย (cue) คือสิ่งที่มองเห็นต่าง ๆ ซึ่งปกติจะจัดเป็น.

ใหม่!!: สัตว์และการรับรู้ความใกล้ไกล · ดูเพิ่มเติม »

การละเล่นพื้นเมือง

การละเล่นพื้นเมือง คือ การละเล่นที่แสดงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นที่มีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย โดยสามารถแบ่งตามการละเล่นแต่ละภาค ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และการละเล่นพื้นเมือง · ดูเพิ่มเติม »

การสร้างกลูโคส

การสร้างกลูโคส (gluconeogenesis, ย่อ: GNG) เป็นวิถีเมแทบอลิซึมที่เป็นการสร้างกลูโคสจากสารคาร์บอนที่มิใช่คาร์โบไฮเดรต เช่น แลกเตต กลีเซอรอล และกรดอะมิโนกลูโคจีนิก (glucogenic amino acid) การสร้างกลูโคสเป็นหนึ่งในสองกลไกหลักที่มนุษย์และสัตว์อื่นหลายชนิดใช้ควบคุมระดับกลูโคสในเลือดมิให้ต่ำเกินไป (hypoglycemia) อีกวิธีหนึ่ง คือ การสลายไกลโคเจน (glycogenolysis) การสร้างกลูโคสเป็นขบวนการที่พบทั่วไป ทั้งในพืช สัตว์ ฟังไจ แบคทีเรียและจุลินทรีย์อื่น ๆ ในสัตว์กินพืช การสร้างกลูโคสเกิดในตับเป็นหลัก และไตส่วนนอก (cortex) รองลงมา ในสัตว์เคี้ยวเอื้อง การสร้างกลูโคสดูจะเป็นขบวนการที่เกิดต่อเนื่อง ในสัตว์อื่นหลายชนิด ขบวนการดังกล่าวเกิดในช่วงการอดอาหาร การอดอยาก การกินอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ หรือการออกกำลังกายหักโหม ขบวนการดังกล่าวเป็นแบบดูดพลังงานอย่างมากกระทั่ง ATP หรือ GTP ถูกนำมาใช้ ทำให้ขบวนการดังกล่าวเป็นแบบคายพลังงาน ตัวอย่างเช่น วิถีซึ่งนำจากไพรูเวตเป็นกลูโคส-6-ฟอสเฟตอาศัย ATP 4 โมเลกุล และ GTP 2 โมเลกุล การสร้างกลูโคสมักเกี่ยวข้องกับคีโตซิส (ketosis) การสร้างกลูโคสยังเป็นเป้าหมายของการบำบัดเบาหวานชนิดที่ 2 เช่น เมทฟอร์มิน ซึ่งยับยั้งการสร้างกลูโคสและกระตุ้นให้เซลล์รับกลูโคสเข้าไป ในสัตว์เคี้ยวเอื้อง เพราะคาร์โบไฮเดรตจากอาหารที่เกิดเมแทบอลิซึมได้มีแนวโน้มจะเกิดเมแทบอลิซึมโดยอวัยวะรูเมน การสร้างกลูโคสจึงเกิดขึ้นได้แม้จะไม่อดอาหาร กินอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ ออกกำลังกาย ฯลฯBeitz, D. C. 2004.

ใหม่!!: สัตว์และการสร้างกลูโคส · ดูเพิ่มเติม »

การสะสมแสตมป์

ร้านขายแสตมป์ในงานแสดงตราไปรษณียากรแห่งชาติ การสะสมแสตมป์ คือ การเก็บสะสมและรวบรวมแสตมป์ ตลอดจนสิ่งสะสมอื่น ๆ เช่น ซองจดหมาย ถือเป็นงานอดิเรกที่นิยมมาก.

ใหม่!!: สัตว์และการสะสมแสตมป์ · ดูเพิ่มเติม »

การสืบเชื้อสายร่วมกัน

ในสาขาชีววิทยาวิวัฒนาการ การสืบเชื้อสายร่วมกัน หรือ การสืบสกุลร่วมกัน (Common descent) เป็นทฤษฎีที่อธิบายว่ากลุ่มสิ่งมีชีวิตหนึ่ง ๆ ได้มีบรรพบุรุษร่วมกันใกล้สุด (most recent common ancestor, MRCA) อย่างไร มีหลักฐานว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกัน และในปี 2559 นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ระบุยีน 355 ตัวจากบรรพบุรุษร่วมกันของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก สิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กันจะมีบรรพบุรุษร่วมกันในช่วงการเกิดสปีชีส์ ที่สปีชีส์ต่าง ๆ จะกำเนิดจากกลุ่มบรรพบุรุษเดียวกัน โดยกลุ่มที่มีบรรพบุรุษร่วมกันใกล้กันกว่า ก็จะเป็นญาติใกล้ชิดกันมากกว่า และสิ่งมีชีวิตที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหมดก็ได้มีบรรพบุรุษร่วมกันที่เรียกว่า บรรพบุรุษร่วมที่ใกล้กันที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก (LUCA) ซึ่งมีชีวิตประมาณ 3,900 ล้านปีก่อน (โดยโลกเกิดเมื่อ 4,450 ล้านปี ± 1% ก่อน) หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของสิ่งมีชีวิตบนโลก 2 ชิ้นก็คือ.

ใหม่!!: สัตว์และการสืบเชื้อสายร่วมกัน · ดูเพิ่มเติม »

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ หรือ การจำแนกชั้นทางชีววิทยา (Systematics) หมายถึงการจัดกลุ่มและหมวดหมู่สปีชีส์ของสิ่งมีชีวิต ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่สูญพันธุ์ไปแล้ว การจำแนกในยุคปัจจุบันอาศัยรากฐานจากระบบการจำแนกของ คาโรลัส ลินเนียส นักพฤกษศาสตร์ผู้จัดกลุ่มสปีชีส์ต่าง ๆ โดยดูจากลักษณะเฉพาะทางกายภาพ การจัดกลุ่มแบบนี้ได้มีการปรับปรุงอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับหลักดาร์วิน ส่วนมากเป็นผลมาจากการศึกษาอนุกรมวิธานระดับโมเลกุลด้วยการวิเคราะห์จีโนม ในการแบ่งอย่างกว้างๆจะแบ่งได้ 2 ระดับ คือ ลำดับขั้นสูง และ ลำดับขั้นต่ำ.

ใหม่!!: สัตว์และการจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ · ดูเพิ่มเติม »

การดูแลและหาเพื่อน

การดูแลและหาเพื่อน (Tend-and-befriend) เป็นพฤติกรรมของสัตว์บางชนิดรวมทั้งมนุษย์ เพื่อตอบสนองต่อภัยโดยป้องกันหรือดูแลเลี้ยงลูก (tend) และโดยหาพวกหรือกลุ่มสังคมเพื่อช่วยป้องกันให้กันและกัน (befriend) มีสมมติฐานว่าพฤติกรรมนี้เป็นการตอบสนองปกติของหญิงต่อความเครียด เหมือนกับที่การตอบสนองหลักของชายเป็นแบบสู้หรือหนี เป็นแบบจำลองทางทฤษฎีที่ตั้งขึ้นโดย ดร.

ใหม่!!: สัตว์และการดูแลและหาเพื่อน · ดูเพิ่มเติม »

การตอบสนองโดยสู้หรือหนี

ู้หรือหนีดี การตอบสนองโดยสู้หรือหนี หรือ การตอบสนองแบบสู้หรือหนี (fight-or-flight response, hyperarousal, acute stress response) เป็นปฏิกิริยาทางสรีรภาพที่เกิดตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าเป็นอันตราย เสี่ยงต่อถูกทำร้าย หรือเสี่ยงต่อชีวิต โดยมี.

ใหม่!!: สัตว์และการตอบสนองโดยสู้หรือหนี · ดูเพิ่มเติม »

การปรับตัว (นิเวศวิทยา)

ในสาขานิเวศวิทยาเชิงพฤติกรรม (behavioral ecology) พฤติกรรมปรับตัว (adaptive behavior) หรือ การปรับตัว เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการรอดชีวิตหรือความสำเร็จในการสืบพันธุ์ของสัตว์ และดังนั้นจึงอยู่ใต้อิทธิพลของการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น การมีความลำเอียงต่อญาติพี่น้องในพฤติกรรมเพื่อประโยน์ผู้อื่น (altruistic behavior), การเลือกสัตว์ตัวผู้ที่เหมาะ (fit) ที่สุดโดยสัตว์ตัวเมียซึ่งเป็นการคัดเลือกทางเพศ (sexual selection), การป้องกันอาณาเขต (territory), หรือการป้องกันกลุ่มสัตว์ตัวเมีย (harem) ของตน ในนัยตรงกันข้าม พฤติกรรมไม่ปรับตัว (non-adaptive behavior) เป็นพฤติกรรมหรือลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ที่มีผลร้ายต่อการอยู่รอดหรือความสำเร็จในการสืบพันธุ์ของสัตว์ ซึ่งอาจจะรวมทั้งพฤติกรรมเพื่อประโยน์ผู้อื่นที่ไม่มีความลำเอียงเพื่อญาติพี่น้อง การรับลูกของผู้ไม่ใช่ญาติมาเลี้ยง และความเป็นรองในสังคมที่มีการจัดความเป็นใหญ่ความเป็นรอง (dominance hierarchy) โดยสามัญ การปรับตัว (Adaptation) หมายถึงคำตอบหรือการแก้ปัญหาทางวิวัฒนาการ ต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีต่อการรอดชีวิตและการสืบพันธ์ ซึ่งเป็นปัญหาที่หมุนเวียนมาใหม่ไม่จบสิ้น ความแตกต่างในระหว่างบุคคลเกิดจากทั้งพฤติกรรมปรับตัวที่สืบทอดทางพันธุกรรมได้และสืบทอดไม่ได้ มีหลักฐานว่า พฤติกรรมทั้งสองมีอิทธิพลต่อวิวัฒนาการของพฤติกรรมปรับตัวของสปีชีส์ แม้ว่า จะมีประเด็นต่าง ๆ รวมทั้ง.

ใหม่!!: สัตว์และการปรับตัว (นิเวศวิทยา) · ดูเพิ่มเติม »

การปรับตัวเป็นสัตว์เลี้ยง

การปรับตัวเป็นสัตว์เลี้ยง (หรือ การทำให้เชื่อง) หรือ การปรับตัวเป็นไม้เลี้ยง (domestication, domesticus) เป็นทฤษฎีวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันระหว่างพืชหรือสัตว์ กับมนุษย์ผู้มีอิทธิพลในการดูแลรักษาและการสืบพันธุ์ของพวกมัน เป็นกระบวนการที่ประชากรสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมผ่านรุ่นโดยการคัดเลือกพันธุ์ (selective breeding) เพื่อเน้นลักษณะสืบสายพันธุ์ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ โดยมีผลพลอยได้เป็นความเคยชินของสิ่งมีชีวิตต่อการพึ่งมนุษย์ ทำให้พวกมันสูญเสียความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ ชาลส์ ดาร์วินเข้าใจถึงลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) จำนวนไม่มากจำนวนหนึ่ง ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตที่นำมาเลี้ยงต่างจากบรรพบุรุษพันธุ์ป่า เขายังเป็นบุคคลแรกที่เข้าใจความแตกต่างระหว่างการคัดเลือกพันธุ์แบบตั้งใจ ที่มนุษย์เลือกลักษณะสืบสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตโดยตรงเพื่อจะได้ลักษณะตามที่ต้องการ กับการคัดเลือกที่ไม่ได้ตั้งใจ ที่ลักษณะมีวิวัฒนาการไปตามการคัดเลือกโดยธรรมชาติ หรือตามการคัดเลือกอื่น ๆ สิ่งมีชีวิตที่นำมาเลี้ยงจะต่างจากสิ่งมีชีวิตพันธุ์ป่าทางพันธุกรรม และในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่นำมาเลี้ยง ก็ยังมีความแตกต่างกันระหว่างลักษณะสืบสายพันธุ์ที่นักวิจัยเชื่อว่า จำเป็นในระยะต้น ๆ ของกระบวนการปรับนำมาเลี้ยง (domestication trait) และลักษณะที่พัฒนาขึ้นต่อ ๆ มาหลังจากที่สิ่งมีชีวิตพันธุ์ป่าและพันธุ์เลี้ยงได้แยกออกจากกันแล้ว (improvement trait) คือลักษณะที่จำเป็นโดยทั่วไปมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตที่นำมาเลี้ยงทั้งหมด และเป็นลักษณะที่คัดเลือกในระยะต้น ๆ ของกระบวนการ ในขณะที่ลักษณะที่พัฒนาต่อ ๆ มาจะมีอยู่ในบางพวกของสิ่งมีชีวิตที่นำมาเลี้ยง ถึงแม้ว่าอาจจะมีแน่นอนในพันธุ์ (breed) ใดพันธุ์หนึ่งโดยเฉพาะ หรือในกลุ่มประชากรในพื้นที่โดยเฉพาะ การปรับตัวเป็นสัตว์เลี้ยง (domestication) ไม่ควรสับสนกับการทำสัตว์ให้เชื่อง (taming) เพราะว่า การทำให้เชื่องเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมของสัตว์ป่า ให้กลัวมนุษย์น้อยลงและยอมรับการมีมนุษย์อยู่ใกล้ ๆ ได้ แต่ว่าการปรับตัวเป็นสัตว์เลี้ยง เป็นการเปลี่ยนพันธุกรรมของสัตว์พันธุ์ที่นำมาเลี้ยงอย่างถาวร เป็นการเปลี่ยนความรู้สึกของสัตว์ต่อมนุษย์โดยกรรมพันธุ์ สุนัขเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่ปรับนำมาเลี้ยง และแพร่หลายไปทั่วทวีปยูเรเชียก่อนการสิ้นสุดสมัยไพลสโตซีน ก่อนการเกิดขึ้นของเกษตรกรรม และก่อนการนำสัตว์อื่น ๆ ต่อ ๆ มามาเลี้ยง ข้อมูลทั้งทางโบราณคดีและทางพันธุกรรมแสดงนัยว่า การแลกเปลี่ยนยีน (gene flow) ที่เป็นไปทั้งสองทางระหว่างสิ่งมีชีวิตที่นำมาเลี้ยงกับพันธุ์ป่า เช่น ลา ม้า อูฐทั้งพันธุ์โลกเก่าและโลกใหม่ แพะ แกะ และหมู เป็นเรื่องสามัญ และเพราะความสำคัญของการนำสิ่งมีชีวิตมาเลี้ยงต่อมนุษย์ และคุณค่าของมันโดยเป็นแบบจำลองของกระบวนการวิวัฒนาการและของการเปลี่ยนแปลงทางประชากร การศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ จึงดึงดูดความสนใจของนักวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ รวมทั้งโบราณคดี บรรพชีวินวิทยา มานุษยวิทยา พฤกษศาสตร์ สัตววิทยา พันธุศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมสาขาต่าง ๆ สุนัขและแกะเป็นสิ่งมีชีวิตพันธุ์แรก ๆ ที่มนุษย์ปรับนำมาเลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และการปรับตัวเป็นสัตว์เลี้ยง · ดูเพิ่มเติม »

การเรียน

การเรียนรู้ หมายถึง การได้รับความรู้ พฤติกรรม ทักษะ คุณค่า หรือความพึงใจ ที่เป็นสิ่งแปลกใหม่หรือปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ และอาจเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์สารสนเทศชนิดต่าง ๆ ผู้ประมวลทักษะของการเรียนรู้เป็นได้ทั้งมนุษย์ สัตว์ และเครื่องจักรบางชนิด ความก้าวหน้าในการเรียนรู้เมื่อเทียบกับเวลามีแนวโน้มเป็นเส้นโค้งแห่งการเรียนรู้ (learning curve) การเรียนรู้ของมนุษย์อาจเกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งของการศึกษา การพัฒนาส่วนบุคคล การเรียนการสอน หรือการฝึกฝน การเรียนรู้อาจมีการยึดเป้าหมายและอาจมีความจูงใจเป็นตัวช่วย การศึกษาว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้อย่างไรเป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิชาประสาทจิตวิทยา (neuropsychology) จิตวิทยาการศึกษา (educational psychology) ทฤษฎีการเรียนรู้ (learning theory) และศึกษาศาสตร์ (pedagogy) การเรียนรู้อาจทำให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ (habituation) หรือการวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิม (classical conditioning) ซึ่งพบในสัตว์หลายชนิด หรือทำให้เกิดกิจกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้นอย่างเช่นการเล่น ซึ่งพบได้เฉพาะในสัตว์ที่มีเชาวน์ปัญญา การเรียนรู้อาจก่อให้เกิดความตระหนักอย่างมีสำนึกหรือไม่มีสำนึกก็ได้.

ใหม่!!: สัตว์และการเรียน · ดูเพิ่มเติม »

การเห็นเป็น 3 มิติ

การเห็นเป็น 3 มิติ (Stereopsis มาจากภาษากรีกโบราณคำว่า στερεο- คือ stereo- แปลว่า "แข็ง/มี 3 มิติ" และ ὄψις คือ opsis แปลว่า "การปรากฏ การมองเห็น") เป็นคำที่ใช้บ่อยที่สุดโดยหมายถึงการรับรู้ความใกล้ไกลและการรับรู้โครงสร้างและวัตถุที่มี 3 มิติ โดยอาศัยข้อมูลจากตาทั้งสองของบุคคลผู้มีพัฒนาการทางการเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาที่เป็นปกติ " เพราะตาของมนุษย์และของสัตว์มากมายอื่น ๆ อยู่ในตำแหน่งตามแนวนอนที่ต่างกันบนศีรษะ การเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาจะเป็นผลจากภาพสองภาพซึ่งต่างกันเล็กน้อยที่ฉายตกลงที่จอตาทั้งสอง และภาพจะแตกต่างโดยหลักเป็นตำแหน่งที่ต่างกันของวัตถุต่าง ๆ ตามแนวนอน ความแตกต่างเช่นนี้เรียกในภาษาอังกฤษว่า horizontal disparities (ความต่างตามแนวนอน) หรือโดยคำที่กว้างกว่าคือ binocular disparities (ความต่างที่สองตา) โดยเปลือกสมองส่วนการเห็นจะแปลความต่างเช่นนี้ให้เป็นการรับรู้ความใกล้ไกล (depth perception) แม้ความต่างที่เห็นด้วยสองตาจะมีอยู่ตามธรรมชาติเมื่อมองทัศนียภาพด้วยสองตา แต่ก็สามารถสร้างขึ้นโดยแสดงภาพ 2 มิติที่ต่างกันสองภาพต่อแต่ละตาต่างหาก ๆ โดยเทคนิคที่เรียกว่า stereoscopy (ภาพ 3 มิติ) ความใกล้ไกลที่รับรู้จากเทคนิคเช่นนี้เรียกในภาษาอังกฤษว่า stereoscopic depth (ความใกล้ไกลจากภาพ 3 มิติ) แต่การรับรู้ความใกล้ไกลและโครงสร้างวัตถุ 3 มิติ ก็เป็นไปได้ด้วยข้อมูลจากแค่ตาเดียว เช่น ขนาดของวัตถุที่ต่างกัน และพารัลแลกซ์เนื่องกับการเคลื่อนไหว (motion parallax) ซึ่งเป็นความแตกต่างของวัตถุหนึ่ง ๆ เมื่อเวลาผ่านไปถ้าผู้มองกำลังเคลื่อนที่อยู่" แม้ความรู้สึกใกล้ไกลในกรณีเช่นนี้ จะไม่ชัดเท่ากับที่ได้จากความต่างที่เห็นด้วยสองตา" ดังนั้น คำภาษาอังกฤษว่า stereopsis หรือ stereoscopic depth บางครั้งจึงหมายถึงการรับรู้ความใกล้ไกลด้วยการเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาโดยเฉพาะ ๆ คือหมายถึงเมื่อเรา "เห็นเป็น 3 มิติ" -->.

ใหม่!!: สัตว์และการเห็นเป็น 3 มิติ · ดูเพิ่มเติม »

การเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตา

quote.

ใหม่!!: สัตว์และการเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตา · ดูเพิ่มเติม »

การเข้ารหัสทางประสาท

การยิงศักยะงานเป็นขบวนหรือเป็นลำดับ ๆ ของเซลล์ประสาท การเข้ารหัสทางประสาท (Neural coding) เป็นการศึกษาทางประสาทวิทยาศาสตร์ เพื่อกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองของเซลล์ประสาทเดี่ยว ๆ หรือของกลุ่มเซลล์ประสาท และความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานทางไฟฟ้าของเซลล์ประสาทในกลุ่ม โดยอาศัยทฤษฎีว่า การทำงานของเครือข่ายเซลล์ประสาทในสมองจะเป็นตัวแทนข้อมูลทางประสาทสัมผัสและข้อมูลอื่น ๆ นักวิชาการจึงเชื่อว่า เซลล์ประสาทสามารถเข้ารหัสข้อมูลเป็นทั้งแบบดิจิตัลและแบบแอนะล็อก.

ใหม่!!: สัตว์และการเข้ารหัสทางประสาท · ดูเพิ่มเติม »

การเดินป่า ล่าสัตว์ แกะรอยในเพชรพระอุมา

การเดินป่า ล่าสัตว์ แกะรอยในเพชรพระอุมา เป็นการรวบรวมรายละเอียดและทักษะในการล่าสัตว์และการแกะรอยในเพชรพระอุมา นำมาจากทักษะและประสบการณ์ในการเดินป่าของพนมเทียน เช่นศิลปะในการดำรงชีพ ศิลปะในการล่าสัตว์ รวมทั้งศิลปะในการแกะรอยสัตว์ในเชิงพราน นำมาผูกเสริมเติมแต่งให้แก่ตัวละครในเพชรพระอุมา ให้มีทักษะความสามารถและประสบการณ์ในการเดินป่า รวมทั้งการล่าสัตว์เพื่อใช้เป็นอาหาร ซึ่งการล่าสัตว์แกะรอยนั้นเป็นศิลปะเก่าแก่สืบทอดกันมาในหมู่พรานป่าและพรานพื้นเมือง เช่นเคล็ดลับในการสะกดรอยสัตว์ การตามสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ การดูทางด่านของสัตว์ การนั่งห้างและการส่องสัตว์ การสังเกตทิศทางในการเดินป่าโดยใช้ต้นไม้และกิ่งไม้เป็นตำหนิป้องกันการหลงทาง การสังเกตท้องฟ้าและดวงดาว ฯลฯ โดยการล่าสัตว์แกะรอยในเพชรพระอุมา มีดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และการเดินป่า ล่าสัตว์ แกะรอยในเพชรพระอุมา · ดูเพิ่มเติม »

การเปลี่ยนสัณฐาน

แมลงปอ มีการลอกคราบครั้งสุดท้าย เพื่อเปลี่ยนสัณฐานจากตัวโม่ง ไปเป็นตัวเต็มวัย การเปลี่ยนสัณฐาน หรือ เมตามอร์โฟซิส (อ. Metamorphosis) เป็นกระบวนการในการเจริญเติบโตของสัตว์รูปแบบหนึ่ง ที่เกิดหลังจากการคลอดหรือฟักออกจากไข่ โดยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือรูปแบบร่างกายที่ก้าวกระโดดและเด่นชัด ซึ่งเป็นผลจากการเจริญเติบโตของเซลล์และการเปลี่ยนแปลงจำเพาะของเซลล์ โดยส่วนใหญ่ ในหลายขั้นตอนของการเปลี่ยนสัณฐาน จะเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนถิ่นที่อยู่และพฤติกรรมไปด้วย การเจริญเติบโตแบบเปลี่ยนสัณฐานเกิดขึ้นในสัตว์บางชนิดในกลุ่ม สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์ขาปล้อง (เช่น แมลงบางชนิด และครัสตาเซีย) มอลลัสก์ ไนดาเรีย เอไคโนดอร์มาทา และ เพรียงหัวหอม เป็นคำศัพท์เฉพาะทางในสาขาวิทยาศาสตร์เท่านั้น ความหมายไม่ครอบคลุมถึง การเจริญเติบโตของเซลล์ที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป หรือการเร่งการเจริญเติบโต และยังไม่สามารถนำไปอ้างกับการเจริญเติบโตในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้อย่างชัดเจนและเป็นเพียงหัวข้อถกเถียง.

ใหม่!!: สัตว์และการเปลี่ยนสัณฐาน · ดูเพิ่มเติม »

กาลานุกรมวิวัฒนาการมนุษย์

แสดงต้นไม้บรรพชีวินวิทยาของสัตว์มีกระดูกสันหลังทำใน ปี ค.ศ. 1879 (ของ Ernst Haeckel) ประวัติวิวัฒนาการของสปีชีส์ต่าง ๆ ได้รับการพรรณนาว่าเป็นต้นไม้วิวัฒนาการชาติพันธุ์ โดยมีสาขาต่าง ๆ มากมายแยกออกจากลำต้นต้นเดียว แม้ว่าข้อมูลที่ใช้สร้างต้นไม้นี้จะล้าสมัยแล้ว แต่ก็ยังแสดงหลักการบางอย่างที่ต้นไม้ที่ทำขึ้นในปัจจุบันอาจจะทำให้เห็นได้ไม่ชัดเจน "พุ่มไม้" ด้านบนขวาสุดเป็นพวกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรวมทั้งมนุษย์ กาลานุกรมวิวัฒนาการมนุษย์ (timeline of human evolution) แสดงเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์และของบรรพบุรุษมนุษย์ ซึ่งรวมคำอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับสัตว์บางประเภท บางสปีชีส์ หรือบางสกุล ซึ่งอาจจะเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ บทความไม่มุ่งจะแสดงกำเนิดของชีวิตซึ่งกล่าวไว้ในบทความกำเนิดชีวิตจากสิ่งไร้ชีวิต แต่มุ่งจะแสดงสายพันธุ์ที่เป็นไปได้สายหนึ่งที่ดำเนินมาเป็นมนุษย์ ข้อมูลของบทความมาจากการศึกษาในบรรพชีวินวิทยา ชีววิทยาพัฒนาการ (developmental biology) สัณฐานวิทยา และจากข้อมูลทางกายวิภาคและพันธุศาสตร์ การศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์เป็นส่วนสำคัญของมานุษยวิท.

ใหม่!!: สัตว์และกาลานุกรมวิวัฒนาการมนุษย์ · ดูเพิ่มเติม »

กาลาโกแคระแองโกลา

กาลาโกแคระแองโกลา (Angolan dwarf galago) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับไพรเมต หรือวานรขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกกาลาโกแคระหรือบุชเบบี เป็นสัตว์ที่เพิ่งถูกค้นพบและประกาศให้เป็นชนิดใหม่เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และกาลาโกแคระแองโกลา · ดูเพิ่มเติม »

กาเลโก

กาเลโก (galago) หรือ กาลาโก เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก จัดอยู่ในอันดับไพรเมตหรือลิง เป็นสัตว์หากินกลางคืนที่พบในทวีปแอฟริก.

ใหม่!!: สัตว์และกาเลโก · ดูเพิ่มเติม »

กาเซลล์

กาเซลล์ (Gazelle) เป็นสัตว์กีบคู่ขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Eudorcas อยู่ในวงศ์ Antilopinae ในวงศ์ใหญ่ Bovidae ลักษณะโดยรวมของกาเซลล์ คือ มีความสูงที่ไหล่ราว 70-100 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 20-35 กิโลกรัม มีลักษณะปราดเปรียวว่องไว เวลาเดินหรืออยู่เฉย ๆ หางจะปัดตลอดเวลา ลำตัวสีน้ำตาลแดง มีแถบดำใหญ่พาดขวางลำตัว ท้องสีขาว อาศัยอยู่เป็นฝูง พบกระจายพันธุ์ทั้งในทวีปแอฟริกาและเอเชีย คำว่า "กาเซลล์" นั้นมาจากภาษาอาหรับคำว่า غزال‎ (ġazāl).

ใหม่!!: สัตว์และกาเซลล์ · ดูเพิ่มเติม »

กำเนิดประสาท

กำเนิดประสาท (Neurogenesis) เป็นกระบวนการที่เซลล์ประสาท (หรือนิวรอน) เกิดจากเซลล์ประสาทต้นกำเนิด (neural stem cell) และ progenitor cell กลไกทางพันธุกรรมที่เฉพาะเจาะจงจะเป็นตัวกำหนดชะตาของเซลล์ โดยทั้งนิวรอนแบบเร้าและแบบยับยั้งมากมายหลายประเภท ก็จะเกิดจากเซลล์ประสาทต้นกำเนิดที่ต่าง ๆ กัน กำเนิดประสาทจะเกิดในช่วงการเกิดเอ็มบริโอในสัตว์ทั้งหมด และเป็นกระบวนการสร้างนิวรอนทั้งหมดในสัตว์ โดยก่อนช่วงกำเนิดประสาท เซลล์ประสาทต้นกำเนิดจะแบ่งตัวจนมีจำนวน progenitor cell ที่พอเพียง ยกตัวอย่างเช่น เซลล์ประสาทต้นกำเนิดหลักของสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่เรียกว่า radial glial cell จะอยู่ในเขตเริ่มก่อตัวที่เรียกว่า ventricular zone ซึ่งอยู่ข้างโพรงสมองที่กำลังพัฒนาขึ้น เซลล์ต้นกำเนิดจะแบ่งตัวจนกระทั่งกลายเป็นนิวรอนลูก (daughter neuron) ที่ไม่แบ่งตัวอีก และดังนั้น นิวรอนทั้งหมดจะอยู่ในสภาพ post-mitotic (คือจะไม่แบ่งตัวอีก) และนิวรอนในระบบประสาทกลางมนุษย์โดยมากจะดำรงอยู่ตลอดชีวิตของบุคคล ปัจจัยระดับโมเลกุลและทางพันธุกรรมมีอิทธิพลต่อกำเนิดประสาท ที่เด่น ๆ รวมวิถีการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ที่เรียกว่า Notch pathway จึงมียีนเป็นจำนวนมากที่สัมพันธ์กับการควบคุมวิถีการส่งสัญญาณนี้ ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กำเนิดประสาทในผู้ใหญ่ (adult neurogenesis) พบว่าเกิดในเขตหลัก ๆ 3 เขตในสมอง คือ dentate gyrus ของฮิปโปแคมปัส, subventricular zone ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ผนังด้านข้างตลอดโพรงสมองข้าง, และ olfactory bulb ซึ่งเป็นโครงสร้างประสาทเกี่ยวกับการได้กลิ่น แต่ในสัตว์มีกระดูกสันหลังบางอย่าง กำเนิดประสาทเพื่อทดแทนเซลล์เก่าก็เกิดได้ด้วยเหมือนกัน และโดยนัยเดียวกัน ยาแก้ซึมเศร้าหลายอย่างพบว่าเพิ่มอัตรากำเนิดประสาทในฮิปโปแคมปั.

ใหม่!!: สัตว์และกำเนิดประสาท · ดูเพิ่มเติม »

กิล่ามอนสเตอร์

กิล่ามอนสเตอร์ (Gila monster) เป็นกิ้งก่ามีพิษชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heloderma suspectum พบในเขตทะเลทรายอริโซน่าทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา กิล่ามอนสเตอร์มีความยาวถึงสองฟุต จัดเป็นกิ้งก่าขนาดใหญ่ที่สุดที่พบในประเทศสหรัฐอเมริกา ลำตัวมีลายดำ ชมพู ส้ม และเหลือง อุปนิสัยเชื่องช้า มักหลบในโพรงเป็นส่วนใหญ่ ล่าสัตว์จำพวกหนู นก และไข่ต่าง ๆ เป็นอาหาร กิล่ามอนสเตอร์สามารถผลิตพิษที่มีผลต่อระบบประสาทของเหยื่อ โดยพิษจะส่งเข้าสู่เหยื่อผ่านทางฟันทางกรามล่าง แต่พิษนี้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตต่อมนุษย์ กิล่ามอนสเตอร์เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีการคุ้มครองโดยกฎหมาย ทั้งในท้องถิ่นคือกฎหมายรัฐอริโซน่า และในระดับประเทศคือกฎหมายประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเม็กซิโก ส่วนในระดับนานาชาติกิล่ามอนสเตอร์เป็นสัตว์ในบัญชีหมายเลข ๒ ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ (CITES) โดยห้ามส่งออกหรือนำเข้าโดยปราศจากใบอนุญาต ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำหรับในประเทศไทยมีการจัดแสดงในสวนสัตว์ดุสิตในช่วงปลายปี พ.ศ. 2554 ถึงต้นปี พ.ศ. 2555.

ใหม่!!: สัตว์และกิล่ามอนสเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

กินรี

รูปหล่อโลหะของ กินร และ กินรี ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กินรี (ตัวเมีย) และ กินนร (ตัวผู้) เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ ร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นนก มีปีกบินได้ ตามตำนานเล่าว่าอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เชิงเขาไกรลาศ นับเป็นสัตว์ที่มีปรากฏในงานศิลปะของไทยมาก ส่วนในวรรณคดีไทยก็มีการอ้างถึงกินรีด้วยเช่นกัน.

ใหม่!!: สัตว์และกินรี · ดูเพิ่มเติม »

กินรีไมมัส

กินรีไมมัส (Kinnareemimus) เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาอย่างไม่เป็นทางการของไดโนเสาร์สกุลหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการบรรยายลักษณะ (โนเมน นูดัม) ของไดโนเสาร์เทอร์โรพอดพบในหินทรายหมวดหินเสาขัวยุคครีเทเชียส จากหลุมขุดค้นที่ 5 อุทยานแห่งชาติภูเวียง อำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น ลักษณะกระดูกที่ได้มีความละม้ายคล้ายคลึงกับไดโนเสาร์พวกออร์นิโธมิโมซอเรียน หลักฐานที่พบเป็นเพียงกระดูกอุ้งตีนข้อที่สามที่มีสภาพที่ไม่สมบูรณ์แต่มีลักษณะของพินชิ่งด้านข้างที่เด่นชัดซึ่งพบได้ใน ออร์นิโถมิโมซอร์ ไทรันโนซอรอยด์ ทรูดอนติดส์ และ ครีแนกนาธิดส์ หากมีอายุยุคครีเทเชียสตอนต้นจริง จะถือว่าเป็นออร์นิโถมิโมซอร์รุ่นแรกๆที่มีความเก่าแก่กว่าที่เคยพบเห็นมา ชื่อกินรีไมมัส ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกโดย ริวอิชิ คาเนโกะ (Ryuichi Kaneko) ด้วยชื่อว่า "Ginnareemimus" ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และกินรีไมมัส · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งกือ

กิ้งกือ (อังกฤษ: millipede; ภาษาไทยถิ่นเหนือ: แมงแสนตี๋น) เป็นชื่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลายวงศ์ มีเปลือกตัวแข็ง ลำตัวยาวแบ่งเป็นปล้อง ไม่แบ่งอกหรือท้องให้เห็น ปล้องตามลำตัวจับกันเป็นคู่ตามยาวยืดหดเข้าหากันได้ ทำให้สามารถขดตัวเป็นวงกลมได้เมื่อถูกรบกวน ปล้องแต่ละคู่จะมีขาสองคู่ ยกเว้นปล้องแรกไม่มีขา ปล้องที่สองถึงสี่มีขาเพียงคู่เดียว จำนวนขาอาจมีได้ถึงสองร้อยสี่สิบคู่ ชนิดตัวโตที่พบบ่อย ๆ อยู่ในสกุล Graphidostreptus ส่วนตัวขนาดย่อมอยู่ในสกุล Cylindroiulus ทั้งสองสกุลอยู่ในวงศ์ Julidae กิ้งกือจัดอยู่ในไฟลัมอาร์โทรโปดา (Phylum Arthropoda) ชั้นดิพโพลโปดา (Class Diplopoda) ที่มีมากถึง 10,000 สปีชีส์ทั่วโลก และคาดว่าน่าจะมีมากถึง 80,000 สปีชีส์ โดยมีประวัติยาวนานกว่า 400 ล้านปี กิ้งกือทุกชนิดมีประโยชน์ต่อระบบนิเวศ ต้นไม้ในป่าเขตร้อนอาจไม่สามารถยืนต้นได้หากไม่มีกิ้งกือ ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายเศษซากพืช ใบไม้ ลูกไม้ ให้กลายเป็นแร่ธาตุอาหารกลับคืนสู่ธรรมชาติโดยมีจุลินทรีย์คอยช่วยเหลือ กิ้งกือทำหน้าที่นี้มายาวนานหลายล้านปี ซากพืชที่กิ้งกือกินเข้าไป ก็จะถูกถ่ายออกมาเป็นมูลก้อนเล็ก ๆ คล้ายยาลูกกลอน ที่มีทั้งจุลินทรีย์และสารอินทรีย์ที่ช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดิน เช่นเดียวกับมูลของไส้เดือนและหอยทาก พายัพเรียก แมงแสนตีน และชื่อสามัญในภาษาอังกฤษเรียก millipede แปลว่า พันเท้.

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งกือ · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งกือกระสุน

กิ้งกือกระสุน (Pill millipede) เป็นสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่อยู่ในสามอันดับของกิ้งกือ ซึ่งมักจะถูกจัดให้อยู่ในอันดับใหญ่ Oniscomorpha ชื่อของอันดับใหญ่ หมายถึงกิ้งกือที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับตัวกะปิ แต่ในความเป็นจริงตัวกะปิกับกิ้งกือกระสุนไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกันเลย และถูกจัดให้อยู่ในไฟลัมย่อยกุ้ง-กั้ง-ปูและไมเรียโพดา ตามลำดับ กื้งกือกระสุนมีลักษณะอ้วนป้อม เมื่อตกใจขดตัวจะเป็นก้อนกลมเหมือนกระสุน จึงได้ชื่อว่า "กิ้งกือกระสุน" และยังมีชื่อภาษาถิ่นอื่นอีกเช่น "แมงมดชิด" พวกมันชอบอาศัยตามที่ชื้นแฉะ หรือป่าดิบชื้น กินเศษพืชที่เน่าเปื่อยเป็นอาหาร กิ้งกือกระสุนแต่ละชนิดมีสีเปลือกที่แตกต่างกัน เพื่อใช้ในการหลบซ่อน หรือพรางตัวจากศัตรูและผู้ล่า สิ่งแวดล้อมหรือถิ่นที่อยู่อาศัยที่ต่างกัน มีผลทำให้มีสีเปลือกที่แตกต่างกันไป ซึ่งสีของเปลือกของกิ้งกือกระสุนมีความแตกต่างกัน เช่น ในแถบภาคเหนือมักพบกิ้งกือกระสุนดำ ส่วนกิ้งกือกระสุนสีน้ำตาลมักพบอย่างกว้างขวางทั่วไป.

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งกือกระสุน · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งกือมังกรสีชมพู

กิ้งกือมังกรสีชมพู (Shocking pink millipede) เป็นกิ้งกือมังกรที่พบในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในโลก ค้นพบโดยนักสำรวจสมัครเล่น กลุ่ม siamensis.org ซึ่งต่อมาได้แจ้งให้.ดร.สมศักดิ์ ปัญหา และคณะทราบ เมื่อเดือน พฤษภาคม..

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งกือมังกรสีชมพู · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งก่า

กิ้งก่า (Lizard, Iguana, Gecko, Skink; ภาษาไทยถิ่นเหนือ: จั๊กก่า; ภาษาไทยถิ่นอีสาน: กะปอม) เป็นสัตว์เลื้อยคลานในอันดับย่อย Lacertilia หรือ Sauria ในอันดับใหญ่ Squamata หรือ อันดับกิ้งก่าและงู โดยสัตว์ในอันดับนี้รวมถึงงูที่อยู่ในอันดับย่อย Serpentes ด้วย เหตุที่จัดอยู่ในอันดับเดียวกันเพราะมีลักษณะร่วมบางประการมากถึง 70 อย่าง คำว่า "Lacertilia" มาจากภาษาละตินคำว่า "lacerta" ในความหมายเดียวกัน โดยทั่วไปแล้วกิ้งก่ามี 4 ขา มีเกล็ดปกคลุมลำตัว แต่บางสกุลหรือบางชนิดก็ไม่มีขาหรือมีแต่ก็เล็กมากจนสังเกตได้ยาก เช่น จิ้งเหลนด้วง ในวงศ์จิ้งเหลน (Scincidae) หรือในวงศ์ Amphisbaenidae กิ้งก่าโดยมากแล้วเป็นสัตว์กินเนื้อ โดยจะกินแมลงและสัตว์ขาปล้องเป็นหลัก แต่สำหรับในวงศ์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น วงศ์เหี้ย (Varanidae) จะกินสัตว์มีกระดูกสันหลังด้วย แต่ขณะที่บางชนิด เช่น อีกัวน่าเขียว (Iguana iguana) ที่พบในอเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้ กินพืชและผักเป็นอาหารหลัก กิ้งก่าพบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วทุกมุมโลก ยกเว้นในบริเวณอาร์กติก แถบขั้วโลกเหนือและทวีปแอนตาร์กติกา แถบขั้วโลกใต้ มีขนาดแตกต่างกันมากตั้งแต่เพียงไม่กี่เซนติเมตร จนถึงเกือบ 3 เมตร ในมังกรโคโมโด (Varanus komodoensis) ที่หนักได้ถึงเกือบ 100 กิโลกรัม ซึ่งนับเป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุดในอันดับย่อยนี้ ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานไว้แล้วกว่า 19 วงศ์ ประมาณ 555 สกุล รวมทั้งหมดราว 4,184 ชนิด ซึ่งจำนวนนี้ไม่แน่นอน เพราะมีการสำรวจค้นพบชนิดใหม่ ๆ ขึ้นทุกปี โดยวงศ์ที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด คือ Scincidae ที่มีประมาณ 1,000 ชนิด รองลงไป คือ Gekkonidae หรือ ตุ๊กแกกับจิ้งจก มีประมาณ 900 ชนิด ส่วนในวงศ์ Agamidae ก็มีประมาณเกือบ 500 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งก่า · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งก่าบาซิลิสก์

ำหรับสัตว์ประหลาดในเทพปกรณัมกรีก ดูที่: บาซิลิสก์ สำหรับจักรพรรดิโรมัน ดูที่: บาซิลิสคัส กิ้งก่าบาซิลิสก์ หรือ กิ้งก่าพระเยซู (Basilisk lizard, Jesus lizard) เป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภทกิ้งก่าสกุลหนึ่ง อยู่ในสกุล Basiliscus อยู่ในวงศ์ Corytophanidae (บางข้อมูลจัดให้อยู่ในวงศ์ย่อย Corytophaninae ในวงศ์ใหญ่ Iguanidaeวีรยุทธ์ เลาหะจินดา, วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก. หน้า 375-376. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ธันวาคม พ.ศ. 2552 ISBN 978-616-556-016-0) กิ้งก่าบาซิลิสก์ โดยรวมจะมีเกล็ดสีเขียว, ขาว และดำ มีครีบบนหลังขนาดใหญ่เหมือนปลา สำหรับตัวผู้จะมีหงอนขนาดใหญ่แลดูเด่นด้วย มีความยาวเฉลี่ยประมาณ 70-75 มิลลิเมตร (2.8–3.0 นิ้ว) และมีน้ำหนักประมาณ 80 กรัม (3.2 ออนซ์) และยาวได้เต็มที่ถึง 80 เซนติเมตร กิ้งก่าบาซิลิสก์ จะอาศัยและหากินบนพื้นดินใกล้ริมน้ำ จะขึ้นต้นไม้เพื่อหลบเลี่ยงศัตรู และมีความสามารถพิเศษคือ มีความว่องไวมากจนสามารถวิ่งได้บนผิวน้ำ โดยใช้ขาคู่หลัง โดยจังหวะเปลี่ยนก้าวของกิ้งก่าบาซิลิสก์ใช้เวลาเพียงแค่ 0.052 วินาที ซึ่งการเคลื่อนที่อันรวดเร็วนี้ อุ้งเท้าของกิ้งก่าบาซิลิสก์จะสร้างฟองอากาศลงไปในน้ำด้วย จากการวิเคราะห์จากภาพถ่ายสรุปได้ว่ามีพลังงาน 3 อย่างที่ช่วยพยุงตัวไม่ให้กิ้งก่าบาซิลลิสก์จมน้ำ คือ แรงบาซิลิสก์ ซึ่งเกิดจากเท้ากระทุ้งผิวน้ำทำให้เกิดแรงพยุงตัว แรงต้านทานและแรงลอยตัวจากอากาศที่ช่วยพยุงตัวไว้ไม่ให้จม โดยจะจุ่มเท้าอีกข้างก่อนที่แรงจะหมด คิดคำนวณแล้ว พบว่ากิ้งก่าบาซิลิสก์สามารถเคลื่อนที่บนผิวน้ำได้ถึง 5 ก้าว ภายในเวลาเพียง 0.25 วินาที อันเป็นความเร็วที่แม้แต่กล้องความเร็วสูงก็ไม่อาจจับภาพได้ทัน หากเปรียบเป็นมนุษย์ ที่มีน้ำหนัก 80 กิโลกรัมต้องไปวิ่งบนผิวน้ำด้วยความเร็ว 106 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้แล้ว กิ้งก่าบาซิลิสก์ยังสามารถดำน้ำและซ่อนตัวในน้ำได้ด้วยชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อหลบหลีกศัตรู จากความสามารถพิเศษอันนี้ กอรปกับลักษณะของร่างกายที่ดูโดดเด่น ทำให้ได้ชื่อสามัญว่า "กิ้งก่าบาซิลิสก์" เหมือนกับ บาซิลิสก์ สัตว์ประหลาดคล้ายมังกรผสมไก่ตามเทพปกรณัมกรีก และ "กิ้งก่าพระเยซู" ที่เหมือนพระเยซูที่แสดงปาฏิหารย์เดินบนผิวน้ำได้ตามพระคัมภีร์ไบเบิล ในบทแมทธิวที่ 14:22-34 กิ้งก่าบาซิลิสก์ กระจายพันธุ์ตามป่าร้อนชื้นของภูมิภาคอเมริกากลาง เป็นกิ้งก่าที่ไม่ดูแลไข่และตัวอ่อน ซึ่งกิ้งก่าบาซิลิสก์วัยอ่อนก็สามารถวิ่งบนผิวน้ำได้แล้ว จำแนกออกได้เป็น 4 ชนิด (บางข้อมูลให้มี 2 ชนิด) ได้แก่ ภาพกิ้งก่าบาซิลิสก์วิ่งบนผิวน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งก่าบาซิลิสก์ · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งก่าบิน

ำหรับ Draco ที่หมายถึงกลุ่มดาว ดูที่: กลุ่มดาวมังกร กิ้งก่าบิน (Flying dragon, Flying lizard) หรือ กะปอมปีก ในภาษาอีสานและลาว เป็นสกุลของกิ้งก่าในวงศ์ Agaminae ในวงศ์ใหญ่ Agamidae ใช้ชื่อสกุลว่า Draco กิ้งก่าบินจัดได้ว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีประสิทธิภาพในการร่อนมากที่สุด ด้วยมีแผ่นหนังขนาดใหญ่อยู่ทางด้านข้างลำตัวและได้รับการค้ำจุนด้วยกระดูกซี่โครง 5-7 ซี่ โดยมีกล้ามเนื้ออิลิโอคอสทาลิสทำหน้าที่ดึงกระดูกซี่โครง 2 ซี่แรกไปทางด้านหน้า แต่กระดูกซี่โครงชิ้นอื่นได้เชื่อมต่อกับกระดูกซี่โครงสองซี่แรกด้วยเส้นเอ็น สามารถทำให้แผ่นหนังทั้งหมดกางออกได้ เมื่อเริ่มร่อน ตัวของกิ้งก่าในระยะแรกจะทำมุม 80° ช่วงนี้กิ้งก่าจะยกหางขึ้น ต่อมาจึงลดหางลงและแผ่กางแผ่นหนังด้านข้างลำตัวและทำมุมที่ลงสู่พื้นเหลือ 15° เมื่อลงสู่พื้นหรือเกาะบนต้นไม้ จะยกหางขึ้นอีกครั้งและหมุนตัว กิ้งก่าบินที่ทิ้งตัวจากต้นไม้สูง 10 เมตร สามารถร่อนได้เป็นระยะทางไกลกว่า 60 เมตร และลงเกาะบนต้นไม้หรือพื้นที่ที่อยู่ต่ำลงได้จากเดิมได้ 2 เมตร กิ้งก่าบินจัดได้ว่าเป็นกิ้งก่าขนาดเล็ก มีความยาวลำตัวส่วนมากไม่เกิน 20 เซนติเมตร แต่หางจะมีความยาวมากกว่าลำตัว พบกระจายพันธุ์ในป่าของเอเชียใต้ และเอเชียอาคเนย์ เช่น ภาคอีสานในประเทศไทย และพบได้ชุกชุมในป่าดิบของแหลมมลายู มีทั้งหมด 31 ชนิด พบได้ในประเทศไทยหลายชนิด อาทิ กิ้งก่าบินปีกส้ม (D. maculatus), กิ้งก่าบินคอแดง (D. blanfordii), กิ้งก่าบินสีฟ้า (D. volans) โดยคำว่า Draco นั้น มาจากคำว่า "มังกร" ในภาษาละติน ผู้ที่อนุกรมวิธาน คือ คาโรลัส ลินเนี.

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งก่าบิน · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งก่าบินคอแดง

กิ้งก่าบินคอแดง หรือ กะปอมปีกคอแดง ในภาษาอีสาน (Blanford's flying lizard, Orange winged flying lizard, Banded winged flying lizard; 裸耳飞蜥) จัดเป็นกิ้งก่าบินชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Draco blanfordii อยู่ในวงศ์กิ้งก่า (Agamidae) มีเหนียงสีเหลืองอ่อน มีประสีดำบนพื้นสีแดงสด ปีกมีลายบั้งสีเข้มสลับกับสีส้มเหลือง อันเป็นที่มาของชื่อ ลำตัวสีเขียวปนเทา กินปลวกต้นไม้, หนอนขนาดเล็ก และมดไม้ยักษ์ เป็นอาหาร ตัวเมียวางไข่ในพื้นทราย หรือจอมปลวกบนต้นไม้ หรือโพรงไม้ ครั้งละ 5-6 ฟอง พบมากที่สุด คือ 10 ฟอง แพร่กระจายพันธุ์ได้กว้างไกลตั้งแต่อนุทวีปอินเดียจนถึงภูมิภาคอินโดจีน และประเทศจีนตอนล่าง เช่น มณฑลยูนนาน สำหรับในประเทศไทย พบได้ทางภาคเหนือลงมาจนถึงภาคใต้ตอนล่าง และมาเลเซีย จัดเป็นกิ้งก่าบินที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ มีความยาวตั้งแต่ปลายหัวจรดโคนหาง 4.75 นิ้ว และหางมีความยาว 9นิ้ว มักพบในป่าดิบชื้นที่ราบ หรือ ป่าดิบเขาระดับกลาง และป่าเบญจพรรณ กิ้งก่าบินคอแดง จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ตามกฎหมายในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งก่าบินคอแดง · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งก่าบินปีกจุด

กิ้งก่าบินปีกจุด หรือ กิ้งก่าบินปีกส้ม (Spotted flying dragon, Orange-winged flying lizard) เป็นกิ้งก่าบินชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Draco maculatus อยู่ในวงศ์กิ้งก่า (Agamidae) เป็นกิ้งก่าบินขนาดเล็ก ใต้คางมีเหนียงคู่หนึ่งรูปร่างกลมมน ซึ่งกึ่งกลางเหนียงตรงนี้สามารถยกขึ้นลงได้ ในตัวผู้จะมีขนาดโตเห็นชัดเจน ข้างลำตัวระหว่างขาคู่หน้าและขู่หลัง มีแผ่นหนังขนาดใหญ่ที่ใช้ในการร่อน ลำตัวมีสีน้ำตาลแดง มีลายประสีเหมือนลายไม้ จึงสามารถพรางได้เป็นอย่างดีบนต้นไม้ แผ่นหนังด้านข้างนี้ออกสีส้ม มีลายพาดตามยาวสีจาง ใต้ท้องมีสีน้ำตาลอ่อนกว่า ใต้แผ่นหนังข้างลำตัวจะมีจุดสีดำ 2-3 จุด อันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีความยาวจากหัวจรดโคนหาง 60-65 มิลลิเมตร ส่วนหางมีความยาวกว่าคือ 93-110 มิลลิเมตร พบแพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่รัฐอัสสัมของอินเดีย จนถึงเกาะไหหลำในจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงตอนเหนือของมาเลเซีย พบได้ในป่าหลากหลายประเภท รวมถึงบ้านเรือนของมนุษย์ที่ปลูกใกล้ชายป่าด้วย หากินในเวลากลางวันจนถึงพลบค่ำ โดยมากจะหากินและอยู่ตามลำพังตัวเดียว ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่โดยตัวเมียวางไข่ไว้ในหลุมดินที่ขุดไว้ ในที่ ๆ มีแสงแดดส่องถึง ครั้งละ 3-5 ฟอง วางไข่ในฤดูฝน จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535.

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งก่าบินปีกจุด · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งก่ามอนิเตอร์

กิ้งก่ามอนิเตอร์ (Monitor lizard) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับกิ้งก่าและงู (Squamata) สกุลหนึ่ง ในวงศ์เหี้ย (Varanidae) ในวงศ์ย่อย Varaninae โดยใช้ชื่อสกุลว่า Varanus (/วา-รา-นัส/) ซึ่งคำ ๆ นี้มีที่มาจากภาษาอาหรับคำว่า "วารัล" (ورل) ซึ่งแปลงเป็นภาษาอังกฤษได้หมายถึง "เหี้ย" หรือ "ตะกวด" จัดเป็นเพียงสกุลเดียวในวงศ์นี้ที่ยังสืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากสกุลอื่น ๆ ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว โดยกำเนิดมาตั้งแต่ยุคครีเตเชียสมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสัตว์เลื้อยคลานยุคก่อนประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่อย่างโมซาซอร์และงู มีลักษณะโดยรวมคือ กระดูกพอเทอรีกอยด์ไม่มีฟัน มีกระดูกอยู่ในถุงอัณฑะ และมีตาที่สาม มีขนาดความยาวแตกต่างหลากหลายกันไป ตั้งแต่มีความยาวเพียง 12 เซนติเมตร คือ ตะกวดหางสั้น (V. brevicauda) ที่พบในพื้นที่ทะเลทรายของประเทศออสเตรเลีย และใหญ่ที่สุด คือ มังกรโคโมโด (V. komodoensis) ที่พบได้เฉพาะหมู่เกาะโคโมโด ในประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น ที่มีความยาวได้ถึง 3.1 เมตร และจัดเป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุดของวงศ์นี้และอันดับกิ้งก่าและงู โดยชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ เมกะลาเนีย (V. priscus) ที่มีความยาวถึง 6 เมตร แต่ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ปัจจุบันพบได้เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่ออสเตรเลีย มีส่วนหัวเรียวยาว คอยาว ลำตัวยาวและหางเรียวยาว ส่วนใหญ่อาศัยบนพื้นดิน แต่มีบางชนิดมีพฤติกรรมที่อาศัยอยู่บนต้นไม้มากกว่า หลายชนิดดำรงชีวิตแบบสะเทินน้ำสะเทินบกและมีหางแบนข้างมากสำหรับใช้ในการว่ายน้ำ ส่วนมากเป็นสัตว์หากินในเวลากลางวัน เป็นสัตว์กินเนื้อที่ล่าเหยื่อด้วยฟันที่ยาวโค้งแหลมคมและมีขากรรไกรแข็งแรง กินอาหารได้หลากหลายทั้งสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและสัตว์มีกระดูกสันหลัง รวมถึงซากสัตว์ด้วย โดยในทางชีววิทยาจัดเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญเนื่องเป็นผู้สิ่งปฏิกูล กำจัดซากสิ่งแวดล้อม ทุกชนิดสืบพันธุ์ด้วยการวางไข่ พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ทั้งซับสะฮารา, จีน, เอเชีย และคาบสมุทรอินโดออสเตรเลียนไปจนถึงออสเตรเลี.

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งก่ามอนิเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งก่าลูกปัด

กิ้งก่าลูกปัด หรือ กิ้งก่าลูกปัดเม็กซิกัน (accessdate, Mexican beaded lizard) เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง จำพวกกิ้งก่า จัดเป็นกิ้งก่าที่มีพิษร้ายแรงมากชนิดหนึ่ง กิ้งก่าลูกปัด มีลักษณะคล้ายกับกิล่ามอนสเตอร์ (H. suspectum) ซึ่งเป็นกิ้งก่าในวงศ์และสกุลเดียวกัน กิ้งก่าลูกปัดและกิล่ามอนสเตอร์ต่างกับสัตว์เลื้อยคลานมีพิษอย่างอื่น เช่น งู ที่มีต่อมพิษที่บริเวณขากรรไกรบนเพื่อที่จะฉีดพิษออกมาใส่ศัตรูหรือเหยื่อด้วยการกัด แต่กิ้งก่าลูกปัดมีต่อมพิษอยู่ที่ด้านล่างของขากรรไกรล่างและไม่สามารถฉีดพิษออกมาได้ จึงต้องฉีดพิษด้วยการเคี้ยวเหยื่อแทน ซึ่งพิษนั้นไม่ร้ายแรงพอที่จะฆ่ามนุษย์ได้ แต่ก็ทำให้เจ็บปวดได้มาก ส่วนหัว ผิวหนัง มีความยาวและใหญ่กว่ากิล่ามอนสเตอร์ มีขนาดโดยเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 57–91 เซนติเมตร (22–36 นิ้ว) น้ำหนักเต็มที่ 4,000 กรัม (8.8 ปอนด์) ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างเพศ พบกระจายพันธุ์ในทะเลทรายแห้งแล้งของเม็กซิโก เช่น ทะเลทรายโซโนรัน จนถึงกัวเตมาลา ออกหากินในเวลากลางวันทั้งบนพื้นดินและในโพรงดินโดยใช้การรับภาพและฟังเสียงด้วยการเสาะหาเหยื่อ มีนิสัยหากินตามลำพัง ด้วยการกินไข่นกและสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กเท่านั้น ซึ่งต่างจากกิล่ามอนสเตอร์ ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ ปีนป่ายโขดหินหรือต้นไม้ได้เก่ง เดิมถูกแบ่งออกเป็น 4 ชนิดย่อย แต่ปัจจุบันได้ถูกแบ่งออกเป็นชนิดต่างหากเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งก่าลูกปัด · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งก่าสวน

กิ้งก่าสวน หรือ กิ้งก่าบ้านหัวน้ำเงิน หรือ กิ้งก่าหัวสีฟ้า (Oriental garden lizard, Eastern garden lizard, Changeable lizard) เป็นกิ้งก่าที่อยู่ในวงศ์กิ้งก่า (Agamidae) ชนิดหนึ่ง มีลักษณะลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ดสันชี้มาด้านหลังในลักษณะเฉียงขึ้น มีหนามหลังตา 1 อัน หนามบริเวณเหนือเยื่อหู 2 อัน เยื่อหูปรากฏชัด ด้านหน้าของไหล่มีรอยพับของผิวหนังซึ่งภายในปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำ ขนาดของเกล็ดลำตัวเท่ากัน ลำตัวสีเขียวถึงน้ำตาลเทา หัวด้านบนสีน้ำตาล มีแถบดำพาดตั้งแต่บริเวณจมูกมาถึงท้ายทอยเหนือเยื่อหู ริมฝีปากบนสีขาว คางและเหนียงสีเทาดำ หลังมีแถบสีน้ำตาล 6 แถบพาดขวางลำตัว หางมีแถบสีเทาสลับกับดำพาดขวาง พบกระจายพันธุ์กว้างตั้งแต่อัฟกานิสถาน, ปากีสถาน, เนปาล, อินเดีย, มัลดีฟส์, จีนตอนกลางและตอนล่าง, ฮ่องกง, ตลอดจนทั่วทุกภูมิภาคในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ทั้งที่เป็นแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะ จัดเป็นกิ้งก่าชนิดที่พบได้บ่อยและง่ายที่สุด มีการขยายพันธุ์ที่ง่าย ลูกวัยอ่อนมักอาศัยเลี้ยงตัวเองในพุ่มไม้เตี้ย ตัวเต็มวัยมักอยู่ตามเรือนยอด หรือโคนต้น อาศัยเกาะหากินตามต้นไม้ที่ไม่ใหญ่มากนัก หรือมีลักษณะเป็นพุ่ม พบได้หลากหลายพื้นที่อาศัย เช่น ป่าทุ่งหญ้า, ทุ่งหญ้าน้ำขัง และสวนใกล้บ้าน หรือตามสวนสาธารณะ กินแมลงต่าง ๆ เป็นอาหาร และก็เป็นอาหารของคนในบางพื้นที่ ในต้นปี พ.ศ. 2551 มีข่าวปรากฏว่ามีการค้นพบกิ้งก่าชนิดใหม่ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน โดยมีส่วนคอสีม่วงออกแกมน้ำเงิน แท้จริงแล้วเมื่อได้รับการตรวจสอบ พบว่าเป็นกิ้งก่าชนิดนี้นั่นเอง จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมายในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งก่าสวน · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งก่าหนาม

ำหรับกิ้งก่าหนามชนิดที่พบในทะเลทรายของออสเตรเลีย ดูที่: กิ้งก่าปีศาจหนาม กิ้งก่าหนาม (Horned lizards) เป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภทกิ้งก่าจำพวกหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Phrynosoma ในวงศ์กิ้งก่าหนามอเมริกาเหนือ (Phrynosomatidae) (บางข้อมูลจัดให้อยู่ในวงศ์อีกัวนา (Iguanidae) โดยถือเป็นวงศ์ย่อยออกมา) มีรูปร่างตัวอ้วนป้อม ลำตัวสั้น หางสั้น แลดูคล้ายกบหรือคางคก มีลักษณะเด่น คือ มีหนามสั้น ๆ อยู่รอบลำตัวและส่วนหัว ซึ่งพัฒนามาจากเกล็ด ในส่วนที่เป็นเขาจริง ๆ เป็นกระดูกแข็งมีอยู่ส่วนหัว กระจายพันธุ์อยู่ในพื้นที่แห้งแล้งที่เป็นทะเลทรายทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาต่อกับภาคเหนือของเม็กซิโก เช่น เท็กซัส และนิวเม็กซิโก มีพฤติกรรมที่อยู่เฉย ๆ นิ่ง ๆ กับพื้น เมื่อเคลื่อนที่ก็ช้ากว่ากิ้งก่าทั่วไป หากินแมลงเล็ก ๆ เช่น มด ด้วยการนิ่งอยู่เฉย ๆ แล้วตวัดกินเอา กิ้งก่าหนามมีวิธีการป้องกันตัวที่นับได้ว่าหลากหลายและแปลกประหลาดมากอย่างหนึ่ง ในอาณาจักรสัตว์โลกทั้งหมด เมื่อถูกคุกคาม สามารถที่จะพองตัวขึ้นมาเพื่อให้หนามเล็ก ๆ บนตัวทิ่มแทงผู้รุกรานได้ รวมถึงการเปลี่ยนสีเพื่อพรางตัวกลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นพื้นกรวดทรายหรือพุ่มไม้เตี้ย ๆ ได้อย่างดีเยี่ยมและรวดเร็ว อีกทั้งยังมีเส้นขีดสีขาว 2 เส้น บนหลังที่ดูคล้ายกับกิ่งไม้หรือหญ้าแห้ง ๆ อีกด้วย และการป้องกันตัวที่พิเศษที่สุด คือ การสามารถพ่นเลือดออกจากตาเพื่อไล่ผู้รุกรานให้หนีไปได้ด้วย ในเลือดนั้นมีสารเคมีบางอย่างที่ยังไม่มีการศึกษาไปถึงว่าเป็นอะไร แต่เป็นสารเคมีที่มีกลิ่นฉุน มีรสชาติที่ไม่พิศมัย สร้างความรำคาญแก่สัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ เช่น หมาจิ้งจอก, หมาโคโยตี้ ที่จับกินเป็นอาหาร ที่เมื่อโดนเลือดนี้พ่นเข้าใส่ จะปล่อยตัวกิ้งก่าทันที และเอาหัวถูไถไปกับวัสดุต่าง ๆ เพื่อลบกลิ่นและเลือดให้ออก กิ้งก่าหนามพ่นเลือดได้จากการบีบของกล้ามเนื้อในเปลือกตาให้พ่นออกมาเข้าปากของผู้ที่มารุกราน ซึ่งกิ้งก่าหนามจะใช้วิธีนี้ต่อเมื่อถูกคาบอยู่ในปากหรืออยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ปากแล้วเท่านั้น โดยเลือดที่ถูกบีบพุ่งออกมานั้น เกิดจากเส้นเลือดดำที่ปิดตัวเอง ทำให้เกิดความดันขึ้นในโพรงกะโหลก จนตาทั้ง 2 ข้างพองออก เลือดแดงจะรวมตัวกันเป็นจำนวนมากในเส้นเลือดฝอยจนมากพอในปริมาณที่จะปล่อยพุ่งออกมาได้ จากการศึกษาพบว่าสามารถพ่นได้มากถึง 54 ครั้ง ภายในเวลาไม่ถึง 2 นาที แม้จะดูว่าเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก แต่กิ้งก่าหนามจะไม่เป็นอะไรเลย และร่างกายสามารถผลิตเลือดใหม่ขึ้นทดแทนได้ในเวลาไม่นานBLOOD SQUIRTING LIZARD, "Nick Baker's Weird Creatures" สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต.

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งก่าหนาม · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งก่าจระเข้

ระวังสับสนกับ จิ้งเหลนจระเข้ กิ้งก่าจระเข้(Chinese crocodile lizard; 中国鳄蜥; พินอิน: zhōngguó è xī) สัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่าชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Shinisaurus crocodilurus จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์ Shinisauridae และสกุล Shinisaurus (บางข้อมูลจัดให้อยู่ในวงศ์ Xenosauridae ที่พบในเม็กซิโกและกัวเตมาลา) เป็นกิ้งก่าที่มีรูปร่างลักษณะรวมถึงเกล็ดคล้ายคลึงกับจระเข้ มีเกล็ดเป็นตุ่มนูนไปจนถึงหาง ตัวผู้ตามบริเวณข้างลำตัวและใต้ท้องจะมีสีแดงปรากฏขึ้นมากกว่าตัวเมีย ในขณะที่ตัวเมียจะมีสีขึ้นประปราย มีความเต็มที่จรดปลายหาง 40-46 เซนติเมตร จะพบได้เฉพาะในป่าดิบที่มีอุณหภูมิต่ำ ตั้งแต่ -2 องศาเซลเซียส จนถึง 35 องศาเซลเซียส ในช่วงฤดูร้อน เฉพาะเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง, หูหนาน, กุ้ยโจว ในประเทศจีนเท่านั้น โดยอาศัยในแหล่งน้ำในป่า โดยปรกติจะอยู่นิ่ง ๆ ในน้ำ แต่ก็สามารถปีนขึ้นมาอาบแดดได้บนต้นไม้ที่มีความสูงประมาณ 1 เมตร กินอาหารจำพวก ปลา, ลูกอ๊อด, หนอน และตัวอ่อนของแมลงปอ รวมถึงสัตว์บก เช่น หนูขนาดเล็กได้ ออกหากินในเวลากลางวัน หน้า 395, วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก โดย วีรยุทธ์ เลาหะจินดา (พ.ศ. 2552) ISBN 978-616-556-016-0 สามารถที่จะผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นช่วงฤดูหนาวจนถึงต้นฤดูฝนของอีกปี โดยตัวผู้หลายตัวจะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตัวเมีย ตั้งท้องนานถึง 8-12 เดือน ออกลูกเป็นตัวครั้งละ 5-20 ตัว เป็นสัตว์ที่ถือเป็นสัตว์เฉพาะถิ่น และอยู่ในสถานะใกล้สูญพัน.

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งก่าจระเข้ · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งก่าดงคอสีฟ้า

กิ้งก่าดงคอสีฟ้า (Blue-crested Lizard,Indo-Chinese Forest Lizard,Indo-Chinese Bloodsucker) เป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภทกิ้งก่า ในวงศ์กิ้งก่า (Agamidae) ชนิดหนึ่ง จัดเป็นกิ้งก่าขนาดใหญ่ คล้ายคลึงกับกิ้งก่าหัวแดง แต่บริเวณท้ายทอยมีหนามเล็กๆยื่นออกมา 2 คู่ ในตัวเต็มวัย มีสีสันสวยงามมาก พื้นลำตัวสีน้ำตาลเข้มไล่ลงมาอ่อน ตัดกับจุดกลมสีครีม 3 จุด บริเวณข้างลำตัว ตั้งแต่หัวไล่ลงมาจนหลังมีสีฟ้าเข้มแกมเขียว หน้ามีคาดสีขาว เป็นสัตว์ที่มีอาณาเขต ต้นไม้หนึ่งต้นที่พบ อาจพบมีมากกว่า 1 ตัว โดยจะมีตัวผู้ ปกครอง อยู่เสมอ ถิ่นอาศัยค่อนข้างแตกต่างกับกิ้งก่าคอแดง กิ้งก่าวัยอ่อนมักอาศัยอยู่ตามโคนต้นไม้เล็กๆ หรือตามพุ่มไม้ ตัวเต็มวัยมักเกาะหากินตามลำต้นไม้ขนาดใหญ่ หรือ ระดับเรือนยอด โดยวิ่งกินแมลงขนาดใหญ่ตามเปลือกไม้ หรือ พื้น ได้ดี เช่น มด ด้วง แมลงสาบ กิ้งก่าวัยอ่อนชอบกิน ตัวอ่อนด้วง และ แมลงสาบป่า ขนาดเล็ก ช่วงฤดูผสมพันธุ์ตัวผู้จะปกป้องอาณาเขตต้นไม้และตัวเมียอย่างดุร้าย ขุดหลุมวางไข่ครั้งละ 7-8 ฟอง มักพบในป่าที่ค่อนข้างแห้ง หรือ ตามต้นไม้ริมถนน พบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ตอนล่าง พบได้มากในป่าฮาลา-บาล.

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งก่าดงคอสีฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งก่าคาเมเลี่ยนแจ็คสัน

กิ้งก่าคาเมเลี่ยนแจ็คสัน หรือ กิ้งก่าคาเมเลี่ยนสามเขา (Jackson's chameleon, Three-horned chameleon) เป็นกิ้งก่าคาเมเลี่ยนชนิดหนึ่ง มีความยาวลำตัวจรดหางประมาณ 10 นิ้ว มีลักษณะเด่น คือ มีสันแข็งคล้ายเขา 3 เขาอยู่บริเวณด้านหน้าของส่วนหัว ยกเว้นในเพศเมียไม่มีเขา หรือมีแต่เฉพาะส่วนจมูกเท่านั้น ผิวหนังมีหยาบและขรุขระ และสีลำตัวมักเปลี่ยนได้ตามสภาพแวดล้อม ตามอุณหภูมิหรืออารมณ์ บางครั้งเพื่อพรางตัวจากผู้คุกคามหรือพรางตัวเพื่อเป็นผู้ล่าเสียเอง กิ้งก่าคาเมเลี่ยนแจ็คสัน มีถิ่นกระจายพันธุ์แถบเคนยา และแทนซาเนีย ในแอฟริกาตะวันออก สามารถพบได้ในระดับที่สูงมากกว่า 3,000 เมตร นับเป็นกิ้งก่าคาเมเลี่ยนที่พบได้ไม่ง่ายนักในธรรมชาติ และถูกนำเข้าไปในฮาวาย ในช่วงทศวรรษที่ 70 เพื่อเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งสามารถปรับตัวให้กับสภาพแวดล้อมสามารถแพร่ขยายพันธุ์เอง ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นการเกียรติแก่ เฟดเดอริก จอห์น แจ็คสัน นักปักษีวิทยาและนักสำรวจธรรมชาติชาวอังกฤษ โดย จอร์จ อัลเบิร์ต บุนเลเยอร์ นักสัตววิทยาชาวเบลเยี่ยม ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งก่าคาเมเลี่ยนแจ็คสัน · ดูเพิ่มเติม »

กิ้งก่าแผงคอ

กิ้งก่าแผงคอ (Frill-necked lizard, Frilled lizard, Frilled dragon) สัตว์เลื้อยคลานประเภทกิ้งก่าชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chlamydosaurus kingii เป็นกิ้งก่าเพียงชนิดเดียวในสกุล Chlamydosaurus.

ใหม่!!: สัตว์และกิ้งก่าแผงคอ · ดูเพิ่มเติม »

กุย

กุย หรือ ไซกา (Saiga antelope, Saiga; 高鼻羚羊; เกาปี่ หลิงหยาง) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Antilopinae ในวงศ์ใหญ่ Bovidae จัดเป็นสัตว์ที่มีความใกล้เคียงกับแอนทีโลป จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Saiga กุย มีความสูงประมาณ 0.6–0.8 เมตร โดยวัดจากไหล่ มีความยาวลำตัว 108–146 เซนติเมตร หางยาว 6–13 เซนติเมตร น้ำหนัก 36–63 กิโลกรัม ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียและมีเขาซึ่งยาว 20–25 เซนติเมตร กุยมีลักษณะเด่นที่สังเกตได้ง่าย คือ จมูกที่มีขนาดใหญ่และยืดหยุ่นได้ มีรูปร่างแปลกเหมือนจมูกของสมเสร็จซึ่งมีหน้าที่ในการอุ่นอากาศหายใจในฤดูหนาวและกรองฝุ่นออกในฤดูร้อน ในฤดูร้อน ขนของกุยจะบางและมีสีเหลืองเหมือนสีอบเชย มีความยาว 18–30 มิลลิเมตร ส่วนในฤดูหนาวจะเปลี่ยนสีเป็นสีขาว ความยาว 40–70 มิลลิเมตร พบกระจายพันธุ์ในเอเชียกลาง ได้แก่ ไซบีเรียตอนใต้, มองโกเลียตะวันตก และจีนตะวันตกเฉียงเหนือ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) กุยเป็นสัตว์ที่ตื่นตัวตลอดเวลา กินพืชได้หลายชนิดรวมทั้งพืชที่มีพิษ ว่ายน้ำเก่ง และยังสามารถวิ่งได้ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในวันหนึ่งสามารถเดินทางได้ไกล 80–100 กิโลเมตร จะอพยพทุก ๆ ปีในช่วงฤดูใบไม้ผลิขึ้นเหนือเพื่อไปพื้นที่เล็มหญ้าในช่วงฤดูร้อน ลักษณะจมูก มีอายุขัยประมาณ 6–10 ปี ตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 8 เดือนและตัวผู้เมื่ออายุ 20 เดือน ฤดูผสมพันธุ์ของกุยนั้นเริ่มในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งพวกตัวผู้นั้นจะต่อสู้กันจนตาย เพื่อครอบครองเหล่าตัวเมียที่อยู่ในกลุ่มประมาณ 5–50 ตัว หลังจากหมดฤดูผสมพันธุ์ในปลายเดือนเมษายน กุยตัวผู้ที่เหลือรอดนั้นจะมาร่วมกลุ่มกัน 10–2,000 ตัวเพื่อการอพยพในช่วงฤดูใบไม้ผลิขึ้นเหนือ ส่วนตัวเมียนั้นจะอยู่ที่เดิมและพากันไปหาที่ให้กำเนิดลูก โดยมีระยะเวลาตั้งท้องนาน 140 วัน และในฤดูใบไม้ผลิประมาณปลายเดือนมีนาคม–ต้นเดือนเมษายน จะคลอดลูกครั้งละ 1–2 ตัว ลูกที่เกิดใหม่เริ่มกินใบไม้ได้เมื่ออายุ 4 วัน และจะหย่านมเมื่ออายุได้ 3–4 เดือน กุยในอดีตถูกล่าเอาเขา ซึ่งเชื่อว่าปรุงเป็นยาจีนได้ และมีราคาซื้อขายที่แพงมากเหมือนนอแรด ในเดือนพฤษภาคม..

ใหม่!!: สัตว์และกุย · ดูเพิ่มเติม »

กุ้ง

กุ้ง จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ชั้น Crustacea อันดับ Decapoda มีด้วยกันหลายวงศ์ กุ้งเป็นสัตว์น้ำ หายใจด้วยเหงือก ลำตัวยาว แบนหรือกลม แบ่งเป็นปล้องๆ เปลือกที่หุ้มท่อนหัวและอกคลุมมาถึงอกปล้องที่ 8 ส่วนใหญ่กรีมีลักษณะแบนข้าง ก้ามและขาอยู่ที่ส่วนหัวและอก มี 10 ขา มีทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม โดยปกติชอบหลบซ่อนตัวอยูเงียบ ๆ ตามพื้นน้ำหรือในซอกมืด ๆ จะออกหากินในเวลากลางคืน กุ้งกินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร เช่น กิน กุ้งด้วยกันเอง ลูกปลา ไส้เดือน สัตว์หน้าดินขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ ข้าว เนื้อมะพร้าวตลอดจนซากสัตว์ สามารถแบ่งออกได้หลายชนิด เช่น กุ้งกุลาดำ กุ้งก้ามกราม กุ้งนาง กุ้งหลวง กุ้งก้ามเกลี้ยง กุ้งตะกาด กุ้งตะเข็บ กุ้งฝอย กุ้งหัวแข็ง กุ้งหัวโขน กุ้งขาว กุ้งรู กุ้งหิน กุ้งดีดขัน กุ้งแชบ๊วย กุ้งเครย์ฟิช ส่วนประกอบของเปลือกกุ้งส่วนใหญ่เป็นไคติน รองลงมาก็เป็นจำพวกแร่ธาตุ โปรตีน ส่วนของไขมัน เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้ง · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งพิงก์ฟลอยด์

กุ้งพิงก์ฟลอยด์ (doi-access) กุ้งทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์กุ้งดีดขัน หรือกุ้งกระเตาะ (Alpheidae) เป็นกุ้งที่เพิ่งค้นพบและได้รับการบรรยายเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งพิงก์ฟลอยด์ · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งการ์ตูน

กุ้งการ์ตูน หรือ กุ้งตัวตลก (Harlequin shrimp, Painted shrimp, Clown shrimp, Dancing shrimp) เป็นกุ้งทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีลวดลายและสีสันสวยงาม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hymenocera picta จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Hymenocera (ในกรณีนี้ในหลายข้อมูลมีการแบ่งออกเป็น 2 ชนิด โดยอีกชนิดหนึ่งนั้นคือ H. elegans ซึ่งจำแนกจากสีสันและแหล่งที่อยู่อาศัย แต่ทว่าก็มีความเป็นไปได้ว่าเป็นชนิดเดียวกัน ซึ่งความแตกต่างของสีสันเกิดจากสีของกุ้งที่เปลี่ยนไป) มีลักษณะลำตัวมีเปลือกแข็งสีขาว แต้มด้วยลายจุดสีฟ้า สีน้ำตาลตัวผู้มีเปลือกสีขาวค่อนไปทางเหลือง แต่ไม่มีจุดสีน้ำเงิน ส่วนตัวเมียจะมีสีจุดน้ำเงินชัดเจน มีขนาดลำตัวยาวเต็มที่ประมาณ 10-15 เซนติเมตร กินอาหารจำพวก ดาวทะเล, ปลิงทะเล และเม่นทะเล ในบางครั้งจะช่วยกันยกดาวทะเลไปไว้ในที่อาศัยเพื่อที่จะเก็บไว้กินได้ในหลายวัน พบอาศัยอยู่ตามแนวปะการังหรือโพรงหินตั้งแต่ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก, ทะเลแดง, อินโด-แปซิฟิก, ตอนเหนือของออสเตรเลีย จนถึงหมู่เกาะกาลาปากอส ในน่านน้ำไทยจะพบมากบริเวณหมู่เกาะพีพี ในเขตทะเลอันดามัน กุ้งการ์ตูนวัยเจริญพันธุ์สามารถผสมพันธุ์และมีลูกกุ้งได้ คือวัย 7 เดือน ถึง 1 ปี ขึ้นไป โดยสามารถให้ลูกได้ตั้งแต่ 700-2,000 ตัว บางครั้งอาจให้ลูกถึง 3,000 ตัว ขึ้นอยู่กับช่วงวัย หากเป็นกุ้งที่มีอายุมาก จำนวนลูกก็จะยิ่งมาก ในลูกกุ้งวัยอ่อนจะกินแพลงก์ตอนทั้งแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ ด้วยความที่มีขนาดเล็ก และสวยงาม จึงทำให้นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงามในตู้กระจก ซึ่งในปัจจุบัน กุ้งการ์ตูนสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งการ์ตูน · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งกุลาดำ

กุ้งกุลาดำ หรือ กุ้งม้าลาย (Tiger prawn) เป็นกุ้งทะเล ขนาดประมาณ 18 - 25 เซนติเมตร มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์ Penaeidae อาศัยอยู่ในเขตร้อน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์แตกต่างกันหลายชื่อตามนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบ แต่ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป คือ Penaeus monodon Frabricius และมีชื่อภาษาอังกฤษที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ใช้อยู่คือ Giant Tiger Prawn ชอบอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำลึก ห่างออกจากฝั่งและชอบพื้นทะเลที่เป็นดินทราย สามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทนอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิสูงและความเค็มต่ำ เช่น บริเวณป่าชายเลนได้ดี และหาอาหารจำพวกแพลงก์ตอน, หนอน, แมลงน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งกุลาดำ · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งก้ามกราม

กุ้งก้ามกราม หรือ กุ้งก้ามคราม กุ้งน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Palaemonidae มีเปลือกสีเขียวอมฟ้าหรือม่วง ก้ามยาวมีสีครามหรือม่วงเข้ม ตลอดทั้งก้ามมีปุ่มตะปุ่มตะป่ำ โดยธรรมชาติจะอยู่ในแม่น้ำลำคลอง แทบทุกจังหวัดในภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทย ในต่างประเทศพบได้ในทุกประเทศของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก จนถึงตอนเหนือของออสเตรเลียและฟิลิปปินส์ โดยพบทั้งในน้ำจืดและน้ำกร่อย วางไข่ในน้ำกร่อยที่เค็มจัด อาหารได้แก่ ไส้เดือน, ตัวอ่อนของลูกน้ำ, ลูกไร, ลูกปลาขนาดเล็ก, ซากของสัตว์ต่าง ๆ และในบางโอกาสก็กินพวกเดียวกันเอง พบชุกชุมทำให้จับง่าย โดยเฉพาะในฤดูหนาว ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทำให้ปริมาณในธรรมชาติลดน้อยลง ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในจังหวัดต่าง ๆ แถบภาคกลางของไทย เช่น สุพรรณบุรี, นครปฐม, ฉะเชิงเทรา และต่างประเทศด้วย เช่น ที่สหรัฐอเมริกา เป็นต้น โดยที่กุ้งก้ามกรามชนิดที่พบในประเทศไทย ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า M. dacqueti ส่วนชนิดที่ใช้ชื่อว่า M. rosenbergii เป็นชนิดที่พบในภูมิภาคปาปัวนิวกินี แต่ปัจจุบันถือว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือเป็นชื่อพ้อง กุ้งก้ามกรามมีความยาวประมาณ 13 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 1 ฟุต น้ำหนักราว 1 กิโลกรัม เป็นกุ้งที่ถูกใช้ปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น ต้มยำ, เผา หรือทอด เป็นต้น เพราะเนื้อมีมาก เนื้อแน่น มัน อร่อย ทำให้มีราคาที่ขายสูง ปัจจุบันยังนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์น้ำสวยงามด้วย กุ้งก้ามกรามมีชื่อเรียกที่ต่างออกไปมากมาย เช่น "กุ้งแม่น้ำ", "กุ้งหลวง" ขณะที่กุ้งตัวเมียที่มีขนาดลำตัวเล็กกว่า เรียก "กุ้งนาง" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งก้ามกราม · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งมังกร

วนหางของกุ้งมังกรแช่น้ำแข็ง พร้อมบริโภค ระวังสับสนกับ: ล็อบสเตอร์ สำหรับกุ้งมังกรที่พบในน้ำจืด ดูที่: เครย์ฟิช กุ้งมังกร หรือ กุ้งหัวโขน หรือ กุ้งหนามใหญ่ เป็นครัสเตเชียนทะเลจำพวกหนึ่ง เป็นกุ้งที่อยู่ในวงศ์ Palinuridae.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งมังกร · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งมังกรญี่ปุ่น

กุ้งมังกรญี่ปุ่น (Japanese spiny lobster; イセエビ(伊勢蝦/伊勢海老); อิเสะ-อิบิ) เป็นครัสเตเชียนชนิดหนึ่ง จำพวกกุ้งมังกร (Palinuridae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panulirus japonicus เป็นกุ้งมังกรที่มีเปลือกและส่วนหัวเป็นสีส้มเข้มหรือสีแดง ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้มากกว่า 30 เซนติเมตร หรือหนึ่งฟุต อาศัยอยู่ตามโขดหินในทะเลรอบ ๆ ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลี และไต้หวัน เป็นกุ้งที่ออกหากินในเวลากลางคืน ที่ญี่ปุ่น สถานที่ ๆ ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีกุ้งมังกรญี่ปุ่นชุกชุมและขึ้นชื่อมากที่สุด คือ อ่าววะกุ ในเขตเมืองชิมะ จังหวัดมิเอะ ทางตอนใต้ของประเทศ โดยชาวประมงจะวางลอบดักกุ้งในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่กุ้งออกหากิน และกลับมาดึงอวนในเวลาเช้าตรู่ ในการวางอวนแต่ละครั้งจะวางประมาณ 10 จุด ในแต่ละจุดจะมีกุ้งมังกรญี่ปุ่นติดมาประมาณ 100 ตัว กุ้งมังกรญี่ปุ่นซาชิมิ กุ้งมังกรญี่ปุ่น จัดเป็นอาหารทะเลที่รสชาติอร่อย เนื้อขาวมีรสหวาน และมีราคาซื้อขายที่แพงมาก สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารต่าง ๆ ได้มากมาย โดยการรับประทานในแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม คือ การรับประทานสด ๆ แบบซาชิมิ โดยตัดส่วนหัวของกุ้งแยกออกจากลำตัว เมื่อรับประทานเนื้อสด ๆ ต้องรับประทานร่วมกับมันกุ้งที่แคะออกจากส่วนหัวด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ และการใช้ไม้แหลมเสียบทะลุตัวกุ้งจากส่วนท้าย แล้วนำไปย่างสด ๆ โรยเกลือทั้งที่กุ้งยังเป็น ๆ อยู่ เพื่อรับประทานเป็นกุ้งมังกรญี่ปุ่นโรยเกลือ.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งมังกรญี่ปุ่น · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งมังกรประขาว

กุ้งมังกรประขาว หรือ กุ้งหัวโขนประขาว หรือ กุ้งมังกรแดง (Longlegged spiny lobster, Purplish brown spiny lobster) เป็นกุ้งมังกรชนิดหนึ่ง จัดเป็นกุ้งมังกรที่มีขนาดใหญ่ มีสีสันสวยงาม สีบริเวณลำตัวมีสีเทาหม่นอมน้ำตาล มีแถบขาวขวางตามปล้องลำตัวและขาเดิน หนวดคู่ยาวจะมีความยาวเป็น 2 เท่าของลำตัว บริเวณหัวจะมีหนามแหลม ๆ เต็มไปหมด หนามคู่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอยู่หลังตา ในน่านน้ำไทยพบอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งจะอาศัยอยู่ที่พื้นหน้าดินเป็นโคลน หรือโคลนปนเปลือกหอย มักจะชอบซ่อนตัวตามซอกหินกินอาหารพวกสัตว์น้ำเล็ก ๆ เกาะอยู่ตามตะไคร่น้ำ มีความยาวประมาณ 18-30 เซนติเมตร แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย เป็นกุ้งมังกรอีกชนิดหนึ่งที่นิยมรับประทานกัน ในประเทศไทยมีราคาซื้อขายจากชาวประมงที่ลงอวนจับกิโลกรัมละ 1,500 บาท นอกจากนี้แล้วยังเลี้ยงเป็นสัตว์สวยงามและสตั๊ฟฟ์แขวนทำเป็นเครื่องประดับได้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งมังกรประขาว · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งมังกรประเหลือง

กุ้งมังกรประเหลือง หรือ กุ้งหัวโขนประเหลือง หรือ กุ้งมังกรยักษ์ (Yellow-ring spiny lobster, Ornate spiny lobster) เป็นกุ้งมังกรชนิดหนึ่ง มีลำตัวสีน้ำทะเล มีจุดสีส้มประปราย บริเวณเปลือกหัวมีลักษณะแข็งมาก ขาเดินจะมีแถบสีเหลืองคาดขวางลำตัว มีขีดสีเหลืองสั้น 2 ขีด อยู่ด้านข้างของปล้องลำตัว อาศัยอยู่ตามโพรงหิน, โพรงปะการัง แต่อยู่ในระดับน้ำลึกและกระแสน้ำค่อนข้างเชี่ยว พบทั่วไปตามบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียหรืออินโด-แปซิกฟิก ตั้งแต่ทะเลแดงและแอฟริกาใต้ จนถึงฝั่งตะวันตกของทะเลญี่ปุ่นและฟิจิ กินอาหารพวกหอยและสัตว์น้ำที่อยู่ตามพื้นทะเล มีความยาวตั้งแต่ 20-40 เซนติเมตร เป็นกุ้งมังกรอีกชนิดหนึ่งที่นิยมรับประทานกัน มีราคาซื้อขายจากชาวประมงที่ลงอวนจับมาจากธรรมชาติกิโลกรัมละ 1,500 บาท นอกจากนี้แล้วยังสามารถนำไปสตั๊ฟฟ์ทำเป็นเครื่องประดับได้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งมังกรประเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งมังกรเจ็ดสี

กุ้งมังกรเจ็ดสี หรือ กุ้งมังกรหัวเขียว หรือ กุ้งหัวโขนเขียว (Painted spiny lobster) เป็นกุ้งมังกรชนิดหนึ่ง ส่วนของกระดองมีลวดลายสีเขียว, สีขาวและสีน้ำเงิน ลำตัวเป็นสีน้ำเงินหรือสีเขียว มีแถบสีขาวและสีดำพาดขวางลำตัว ขาเดินมีเส้นสีขาวพาดตามยาว ส่วนต้นของหนวดคู่ที่ 2 เป็นสีชมพู อาศัยอยู่ตามแนวโขดหิน ที่ระดับความลึกไม่เกิน 16 เมตร ในกระแสน้ำค่อนข้างเชี่ยว ในเวลากลางวันจะหลบอยู่ตามซอกหินหรือที่กำบังโผล่มาเฉพาะส่วนหนวดและตา ในเวลากลางคืนถึงจะออกจากที่กำบังมาหากิน มีความยาวประมาณ 20–30 เซนติเมตร และพบยาวที่สุดถึง 40 เซนติเมตร กุ้งมังกรเจ็ดสี พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในกระแสน้ำอุ่นของมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ตั้งแต่ทะเลแดง, อ่าวเปอร์เซีย, แอฟริกาตะวันออก, ทะเลอาหรับ, อินเดีย, พม่า, ไทย จนถึงอินโดนีเซีย, ทะเลญี่ปุ่น, ไมโครนีเซีย, โพลีนีเซีย และออสเตรเลีย กุ้งมังกรเจ็ดสี เป็นกุ้งมังกรอีกชนิดหนึ่งที่นิยมรับประทานกัน ในประเทศไทยมีราคาซื้อขายจากชาวประมงที่ลงอวนจับกิโลกรัมละ 1,500 บาท และยังเลี้ยงเป็นสัตว์น้ำสวยงามได้อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งมังกรเจ็ดสี · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งมดแดง

กุ้งมดแดง (Dancing shrimp, Hinge-beak shrimp, Camel shrimp) เป็นกุ้งขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์กุ้งมดแดง (Rhynchocinetidae) เป็นกุ้งขนาดเล็กที่มีสีสันสวยงาม โดยมีสีแดงสลับสีขาวเป็นตารางทั้งลำตัว หลังมีสันนูนไม่โค้งมน ส่วนหัวและอกรวมมีปล้องหนึ่งคู่ สันกรีสูงและปลายคม ส่วนของกรีมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมมีสีแดงอยู่ด้านล่าง ด้านบนเป็นสีขาวมีหนวดสองคู่ หนวดคู่แรกมีขนาดเล็กอยู่บนสันกรี หนวดคู่ที่สองมีความยาวประมาณสองเท่าของลำตัว ส่วนระยางค์อก แม็กซิลลิเพด เปลี่ยนเป็นลักษณะแหลมยาวเรียว ขาเดินมีสีขาวสลับแดงห้าคู่ ขาเดินคู่แรกเปลี่ยนไปเป็นก้ามเพื่อใช้สำหรับหยิบจับอาหาร ลำตัวมีขาสำหับว่ายน้ำห้าคู่ มีทั้งหมดหกปล้อง หางมีหนึ่งปล้อง ปลายหางเรียว แพนหางมีสี่ใบ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 1.4 นิ้ว เป็นกุ้งที่พบได้ง่ายในแนวปะการังของเขตร้อนทั่วโลก พฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง หลบซ่อนอยู่ตามโพรงหินหรือปะการัง หากินในเวลากลางคืน โดยกินแพลงก์ตอนพืชและสัตว์ สัตว์น้ำขนาดเล็ก รวมถึงตัวอ่อนของปะการังบางชนิดเป็นอาหาร และซากพืชซากสัตว์ต่าง ๆ ด้วย กุ้งมดแดงหากตกใจ สีจะซีดลง ตัวผู้เมื่อโตเต็มวัยจะมีลักษณะลำตัวที่ผอมเพรียวกว่าตัวเมีย หัวเชิดขึ้นเล็กน้อย โคนหางและระยางค์ที่หางเล็กกว่า ขณะที่ตัวเมียจะมีลำตัวที่อวบกว่าเพื่อใช้ในการเก็บไข่บริเวณท้อง จัดเป็นกุ้งชนิดหนึ่งที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของคุณน้ำเป็นอย่างมาก เพื่อแหล่งน้ำที่อยู่อาศัยเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวลง กุ้งจะย้ายที่อยู่หรือปรับตัวให้เข้ากับสภาพที่เปลี่ยนไป ซึ่งหากปรับตัวไม่สำเร็จก็จะตาย กุ้งมดแดง ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วโดยหน่วยงานของกรมประมง และด้วยความที่เป็นกุ้งที่มีสีสันสวยงาม มีขนาดเล็ก เลี้ยงง่าย จึงเป็นที่นิยมเลี้ยงกันในตู้ปลา โดยเฉพาะตู้ที่มีการเลี้ยงปะการัง.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งมดแดง · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งม้าลาย

กุ้งม้าลาย หรือ กุ้งซีบร้า (Zebra crayfish) เป็นครัสเตเชียนน้ำจืดจำพวกเครย์ฟิชชนิดหนึ่ง เป็นกุ้งที่มีลักษณะเด่น คือ มีจุดเด่นบริเวณปล้องจะมีขีดสีขาวคล้ายม้าลายอันเป็นที่มาของชื่อเรียก และมีลายพาดตามลำตัวสีส้มเหมือนลายเสือ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 15–20 เซนติเมตร (6–8 นิ้ว) เป็นกุ้งพื้นเมืองของแถบอีเรียนจายาและปาปัวนิวกินี เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่อมีขนาด 2 นิ้วขึ้นไป โดยตัวเมียจะใช้เวลาฟักไข่จนออกเป็นตัวประมาณ 30 วัน นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์น้ำสวยงามเหมือนเครย์ฟิชชนิดอื่น ๆ โดยในประเทศไทยถือว่าเป็นกุ้งสาย C หรือกุ้งในสกุล Cherax ชนิดแรก ๆ ที่ถูกนำเข้า โดยมากจะนำเข้ามาจากอินโดนีเซีย โดยการเพาะขยายพันธุ์ยังทำได้น้อ.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งม้าลาย · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งยับบี้น้ำจืด

กุ้งยับบี้น้ำจืด (Yabby, Maroon) เป็นสกุลของกุ้งน้ำจืดจำพวกเครย์ฟิชสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Cherax ในวงศ์เครย์ฟิชออสเตรเลีย (Parastacidae) กระจายพันธุ์ในประเทศออสเตรเลีย และบางส่วนในปาปัวนิวกินี มีรูปร่างโดยรวม คือ ตัวผู้มีก้ามขนาดใหญ่ แต่เรียวยาวไม่ใหญ่โตเหมือนเครย์ฟิชในวงศ์ Astacoidea และไม่มีหนามที่ก้าม ใต้ท้องตัวผู้จะมีอวัยวะเป็นรูปวงรีบริเวณโคนขาคู่ที่ 3 ซึ่งตัวเมียไม่มีและในวงศ์ Astacoidea ไม่มี ซึ่งอวัยวะส่วนนี้จะใช้สำหรับการผสมพันธุ์ และถ่ายสเปิร์มไปยังตัวเมีย โดยใช้เวลาผสมพันธุ์เพียงแค่ 1-2 นาทีเท่านั้น ตัวเมียวางไข่ได้ครั้งละ 300 ฟอง อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำต่าง ๆ ทั้ง คลอง, ลำธาร, แม่น้ำตลอดจนทะเลสาบ มีสีสันแตกต่างหลากหลายกันไป บางชนิดสามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้ในช่วงฤดูแล้ง ด้วยการฝังตัวเองลงใต้โคลน เพื่อจนฝนตกลงมาอีกครั้งจึงค่อยโผล่ออกมา เป็นกุ้งที่ใช้ในการบริโภค มีการเพาะขยายพันธุ์ในฟาร์มของเอกชนอย่างกว้างขวาง และมีการเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงามแบบปลาสวยงามด้วย ซึ่งในบางชนิดก็มีการหลุดรอดออกสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ กลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นCrayfish คืออะไร???? หน้า 82-90 โดย นณณ์ ผาณิตวงศ์ นิตยสาร AQUA ฉบับเดือนกันยายน..

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งยับบี้น้ำจืด · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งอิเล็กทริกบลู

กุ้งอิเล็กทริกบลู (Hairy marron, Margaret river marron) กุ้งน้ำจืดจำพวกเครย์ฟิชชนิดหนึ่ง ในวงศ์เครย์ฟิชออสเตรเลีย (Parastacidae) กุ้งเครย์ฟิชออสเตรเลียมีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย เป็นกุ้งที่มีสีสันสวยงามมาก โดยจะมี 2 สีหลักด้วยกัน คือ สีน้ำตาลและสีน้ำเงินเข้มอมม่วง เป็นกุ้งที่ใช้เพาะเลี้ยงเพื่อการบริโภค และเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม โดยเฉพาะในชนิดสีน้ำเงินม่วง ในชื่อ "อิเล็กทริกบลู" จัดเป็นกุ้งที่มีราคาแพง และเลี้ยงให้รอดได้ยาก เพราะอาศัยอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิค่อนข้างเย็น คือ 21-25 องศาเซลเซี.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งอิเล็กทริกบลู · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งขาว

กุ้งขาว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Litopenaeus vannamei) มีลำตัวขาวใส ขามีสีขาว หางสีแดง โดยเฉพาะบริเวณปลายหางจะมีสีแดงเข้ม กรีจะมีแนวตรงปลายงุ้มลงเล็กน้อย เมื่อโตขึ้นฟันกรีด้านบนจะมี 8 ฟัน และด้านล่าง 2 ฟัน ความยาวของกรี จะยาวกว่าลูกตาไม่มาก ที่สังเกตเห็นเด่นชัดที่สุดคือลำไส้ของกุ้งชนิดนี้จะโตเห็นได้ชัด และตัวเมียจะใหญ่กว่าตัวผู้ กุ้งขาวแปซิฟิก (Litopenaeus Vannamei) หรือ Pacific white Shrimp หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า White Leg Shrimp เป็นกุ้งพื้นเมืองในทวีปอเมริกาใต้ พบอยู่ทั่วไปในบริเวณชายฝั่งของมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก จากตอนเหนือของประเทศเม็กซิโกจนถึงตอนเหนือของประเทศเปรู กุ้งชนิดนี้มีการเลี้ยงกันมากในประเทศเอกวาดอร์ เม็กซิโก เปรู ปานามา ฮอนดูรัส โคลัมเบีย และประเทศบราซิล ซึ่งประเทศบราซิลเป็นประเทศที่เริ่มเลี้ยงกุ้งขาวไม่กี่ปีมานี้ แต่มีผลผลิตเป็นจำนวนมาก เนื่องจากรัฐบาลประเทศบราซิลให้การสนับสนุนการเลี้ยงกุ้งขาวแปซิฟิกอย่างจริงจัง ทำให้ผลผลิตของประเทศบราซิลเพิ่มอย่างรวดเร็วจนเป็นอันดับ 1 ของประเทศในทวีปอเมริกาใต้ในขณะนี้.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งขาว · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งดีดขัน

กุ้งดีดขัน หรือ กุ้งกระเตาะ (Snapping shrimps) เป็นครัสเตเชียนจำพวกหนึ่งในวงศ์ Alpheidae จัดเป็นกุ้งขนาดเล็ก ลำตัวใส ส่วนหัวมีขนาดใหญ่เรียวเล็กลงไปถึงหาง นัยน์ตาเล็กและมีหนวดยาว มีก้ามใหญ่โต โดยเฉพาะข้างหนึ่งจะใหญ่กว่าอีกข้างหนึ่ง มีความสามารถงับก้ามทำให้เกิดเสียงดัง "แป๋ง ๆ " โดยเฉพาะเมื่อกระทบขันน้ำโลหะเสียงจะดังยิ่งขึ้น จึงได้ชื่อว่า "กุ้งดีดขัน" ซึ่งการที่ทำแบบนี้ได้ก็เพื่อทำให้ศัตรูตกใจ จากนั้นจะใช้ก้ามอีกข้างหนึ่งที่เล็กกว่าบีบน้ำใส่หน้าของศัตรูแล้วหนีไป มีพฤติกรรมชอบหลบซ่อนอยู่ตามซอกวัสดุต่าง ๆ ริมฝั่งทั้งในน้ำเค็มและน้ำกร่อย และในน้ำจืดบางชนิด ซึ่งบางครั้งพบได้ในท้องร่องสวนบางที่ หรือตามลำห้วยที่ไหลมาจากน้ำตกได้อีกด้วย แรงดันของน้ำที่เกิดจากก้ามของกุ้งดีดขันมีมากได้ถึง 80 kPa ในรัศมี 4 เซนติเมตร ซึ่งมีความรุนแรงที่ทำให้ปลาตัวเล็ก ๆ ช็อกตายได้ และเสียงจากการกระทำดังนี้มีความดังถึง 218 dB/µPa/m (เดซิเบล/ไมโครปาสคาล/เมตร) เมื่อเทียบกับเสียงของน้ำตกไนแองการาซึ่งดังเพียง 90 dB เสียงในโรงงานอุตสาหกรรมดังเพียง 80 dB เสียงพูดคุยปกติธรรมดา 30 dB นับว่ากุ้งดีดขันสามารถทำเสียงได้ดังกว่า มีทั้งหมด 45 สกุล ชนิดที่พบเจอบ่อย ๆ ได้แก่ Alpheus microrhynchus ซึ่งพบในน้ำจืด และ A. digitalis เป็นต้น เฉพาะสกุล Alpheus นั้นพบในประเทศไทยทั้งหมด 35 ชนิด โดยพบในอ่าวไทย 8 ชนิด ทะเลอันดามัน 5 ชนิด และพบทั้งสองฟากทะเล 22 ชนิด กุ้งดีดขันมีความสำคัญในแง่ของการประมง ที่บังกลาเทศ, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลียตอนเหนือ นิยมนำมารับประทาน และยังนิยมทำเป็นเหยื่อตกปลาอีกด้วย นอกจากนี้แล้วจากความสามารถที่ทำเสียงดังได้ ทำให้กุ้งดีดขันมักถูกจับมาขายเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม ซึ่งชนิดที่มักถูกจับมาขายเป็นสัตว์เลี้ยง คือ A. cyanoteles ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้ในน้ำจืดสนิทหน้า 88-91.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งดีดขัน · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งตะกาด

กุ้งตะกาด (ชื่อวิทยาศาสตร์: Metapenaeus affinis) อยู่ในวงศ์ Penaeidae เป็นกุ้งขนาดกลาง กรียาวตรง มีฟันด้านบน 8-9 อัน ด้านล่างไม่มีฟัน สันท้ายกรียาวประมาณร้อยละ 75 ของเปลือกหัว สันที่ปล้องท้องตั้งแต่ปล้องที่ 4-6 ส่วนกลางของอวัยวะเพศเมียรูปวงรี ด้านข้างโค้งและยกตัวสูงขึ้นสี น้ำตาลอ่อน กรีและรยางค์ต่าง ๆ สีน้ำตาลแดง บางตัวมีสีแดงบริเวณด้านล่างของส่วนหัว ระยางค์และแพนหางสีแดงคล้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งตะกาด · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งแชบ๊วย

กุ้งแชบ๊วย (Banana shrimp; อดีตใช้ Penaeus merguiensis) เป็นกุ้งธรรมชาติ ที่เติบโตในทะเล แต่สามารถกักเก็บได้ตามริมชายฝั่ง เราเรียกว่า วังกุ้ง บริเวณ มหาชัย แม่กลอง สมุทรปราการ เป็นต้น กินแพลงตอนเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งแชบ๊วย · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งแดง

กุ้งแดง หรือ กุ้งญี่ปุ่น (Red swamp crawfish, Louisiana crayfish) เป็นกุ้งน้ำจืดจำพวกเครย์ฟิชชนิดหนึ่ง มีรูปร่างบึกบึน ก้ามใหญ่โตแข็งแรง มีหนามเป็นตุ่มทั้งที่ก้ามทั้ง 2 ข้าง และบริเวณส่วนหัว มีขนาดยาวเต็มที่ได้ถึง 5.5–12 เซนติเมตร (2.2–4.7 นิ้ว) น้ำหนัก 50 กรัม เป็นกุ้งน้ำจืดที่กระจายพันธุ์อยู่ในแหล่งน้ำจืดต่าง ๆ ของรัฐลุยเซียนา ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา มีสีดั้งเดิมเป็นสีแดงเข้มทั้งตัว ใต้ท้องจะเป็นสีเหลืองอ่อน เดิมใช้เป็นกุ้งเพื่อการบริโภคในท้องถิ่น และได้รับความนิยมแพร่หลายออกไปในหลายพื้นที่ รวมถึงนอกสหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในฐานะที่เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่น เช่น ประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่นิยมในการเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในตู้ปลา ซึ่งมีการเพาะเลี้ยงกันมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปีแล้ว โดยการขยายพันธุ์ทำได้ง่าย กุ้งจะเริ่มผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่มีขนาด 2 นิ้วขึ้นไป แต่ละครั้งจะวางไข่ได้ 300 ฟอง โดยตัวเมียจะใช้เวลาฟักไข่จนออกเป็นตัวประมาณ 30 วัน ลูกกุ้งวัยอ่อนมีขนาดประมาณ 2–3 มิลลิเมตร ซึ่งในปัจจุบันได้มีการกลายพันธุ์ออกเป็นกุ้งสีสันต่าง ๆ สวยงามกว่าสีดั้งเดิมในธรรมชาติ เช่น สีฟ้า, สีส้มสด, สีขาวปลอด โดยมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันออกไปในเชิงการค้า เช่น "White spot", "Blue spot" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งแดง · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งไวต์สปอต

กุ้งไวต์สปอต (white spot shrimp) หรือชื่อสากลว่า กุ้งคาร์ดินัล (cardinal shrimp) เป็นกุ้งน้ำจืดชนิด Caridina sp.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งไวต์สปอต · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งเรดบี

กุ้งเรดบี (Redbee shrimp) เป็นครัสเตเชียนในกลุ่มกุ้ง จัดอยู่ในสกุล Caridina เป็นกุ้งแคระในตระกูลกุ้งบี เป็นสัตว์น้ำจืด (ไม่มีในแหล่งน้ำธรรมชาติถูกพัฒนาสายพันธุ์โดยมนุษย์) หายใจด้วยเหงือก ลำตัวยาว เปลือกแบ่งเป็นปล้อง ๆ เปลือกที่หุ้มท่อนหัวและอกคลุมมาถึงหางนั้นมี 8 ปล้อง กรีมีลักษณะแหลมชี้ไปข้างหน้า ก้ามและขาอยู่ที่ส่วนหัวและอก มี 10 ขา สามารถแบ่งขากุ้งเรดบีออกเป็น 2 ส่วน คือ ขาที่ใช้ในการเดินจะมีทั้งหมด 5 คู่ แต่ขาคู่แรกนั้นเป็นก้ามที่ใช้ในการหยิบจับอาหารและ ส่วนของครีบว่ายน้ำ จะมีลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ ซึ่งจะค่อยโบกเอาน้ำที่มีออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อหายใจและเพื่อประโยชน์ในการพัดอ๊อกซิเจนไปใช้ในการฟักไข่ที่อยู่ใต้ท้อง รวมทั้งที่ใต้ครีบว่ายน้ำนั้นยังใช้เป็นที่อุ้มไข่ที่ถูกรับการปฏิสนธิแล้วเพื่อรอเวลาในการฟักเป็นลูกกุ้งตัวน้อยส่วนเหงือกของกุ้งเรดบีนั้นลักษณะคล้ายขนนกอยู่ใกล้บริเวณปากเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการระบบหายใจกล่าวคือเป็นทางผ่านของน้ำเพื่อให้น้ำไหลผ่านเข้าช่องเหงือก อุปนิสัยโดยปกติกุ้งเรดบีชอบหลบซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ ตามพื้นน้ำหรือซอกหลืบในมุมมืด ๆ มักจะออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนในธรรมชาตินั้น กุ้งเรดบี (กุ้งบี) กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร เช่น ซากพืช ซากสัตว์ ลูกปลาขนาดเล็กที่พึ่งเกิดอ่อนแอ ไส้เดือนน้ำและกุ้งด้วยกันเอง รวมไปถึงสัตว์หน้าดินขนาดเล็กชนิดอื่น ๆ และซากสัตว์ที่เน่าเปื่อ.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งเรดบี · ดูเพิ่มเติม »

กุ้งเรนโบว์

กุ้งเรนโบว์ หรือ กุ้งก้ามแดง (Australian red claw crayfish, Queensland red claw, Redclaw, Tropical blue crayfish, Freshwater blueclaw crayfish) เป็นกุ้งน้ำจืดจำพวกเครย์ฟิชชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์เครย์ฟิชออสเตรเลีย (Parastacidae) กุ้งเรนโบว์มีสีสันค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่สีฟ้า, น้ำเงิน, น้ำเงินอมเขียว, น้ำตาลอมเขียว, สีเขียวหยก, น้ำตาลเข้ม มีลักษณะเด่น คือ มีก้ามที่เรียวยาว ไม่มีหนาม และมีแถบสีแดงที่ก้าม มีความยาวเต็มที่ตั้งแต่ประมาณ 8-12 นิ้ว ไม่นับก้าม โดยขณะที่ยังไม่โตเต็มวัยก้ามจะเป็นสีน้ำเงิน แพร่กระจายพันธุ์ทางตอนใต้ของรัฐควีนส์แลนด์ และทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ในประเทศออสเตรเลีย โดยจะหลบซ่อนอยู่ตามโขดหิน, ขอนไม้ หรือวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำ ในแหล่งน้ำจืดทั่วไป เป็นกุ้งที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในการเลี้ยงเพาะขยายพันธุ์ในการที่ใช้บริโภคเป็นอาหารทั้งในประเทศออสเตรเลีย และประเทศจีน ต่อมาได้มีการเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในตู้ปลาเหมือนปลาสวยงามอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันได้มีการเพาะขยายพันธุ์จนมีสีสันต่าง ๆ สวยงามกว่าสีดั้งเดิมในธรรมชาติ เช่น สีน้ำเงินเข้ม เป็นต้น ซึ่งในหลายประเทศได้กลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีการรุกรานสิ่งแวดล้อมทางน้ำของประเทศนั้น ๆ ด้วย ในประเทศไทยมีการนำเข้ากุ้งชนิดนี้เข้ามาจากออสเตรเลียตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ด้วยการเลี้ยงเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยง เมื่อมีขนาดได้ 2 นิ้ว จึงย้ายไปเลี้ยงต่อในนาข้าวที่โครงการหลวง ดอยอินทนนท์ เพื่อนำเข้าส่งขายตามภัตตาคารต่าง ๆ ในปัจจุบันมีแหล่งเลี้ยงใหญ่ที่สุดอยู่ที่หมู่ 6 บ้านระเบาะหูกวาง ตำบลช่องกุ่ม อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว โดยเลี้ยงในบ่อและแปลงนาธรรมชาติและเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ แต่การเพาะเลี้ยงต้องขึ้นทะเบียนได้รับอนุญาตจากกรมประมงเสียก่อน เนื่องจากเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่อาจสร้างความเสียหายให้แก่ธรรมชาติได้หากหลุดไปในแหล่งน้ำธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และกุ้งเรนโบว์ · ดูเพิ่มเติม »

กูปรี

กูปรี หรือ โคไพร (គោព្រៃ ถอดรูปได้ โคไพร แต่อ่านว่า โกเปร็ย หรือ กูปรี แปลว่า วัวป่า) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bos sauveli เป็นสัตว์จำพวกกระทิงและวัวป่า เป็นสัตว์กีบคู่ ตัวโต โคนขาใหญ่ ปลายหางเป็นพู่ขน.

ใหม่!!: สัตว์และกูปรี · ดูเพิ่มเติม »

กีเยร์โม มอร์ดีโย

กีเยร์โม มอร์ดีโย (Guillermo Mordillo) หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ มอร์ดีโย (Mordillo) ผู้สร้างการ์ตูนและแอนิเมชันชาวอาร์เจนตินา เป็นนักวาดการ์ตูนที่ผลงานได้รับการตีพิมพ์แพร่หลายมากที่สุดคนหนึ่งในช่วงทศวรรษ 1970 ผลงานของเขามักมีเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก กีฬาฟุตบอล กีฬากอล์ฟ หรือเกี่ยวกับชีวิตสัตว์ มีเอกลักษณ์คือมีสีสันฉูดฉาด ไม่ใช้คำอธิบาย และมีอารมณ์ขัน การ์ตูนของเขาถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์สั้นแอนิเมชันโดย Miki Muster ผู้สร้างชาวสโลวีเนียในช่วงปี 1976 ถึง 1981 ใช้ชื่อว่า "Mordillo" จำนวนกว่า 400 ตอน ได้รับการเผยแพร่ทางโทรทัศน์ในกว่า 30 ประเทศ นอกจากนั้นผลงานของเขายังได้รับการตีพิมพ์จำหน่ายในรูปของโปสเตอร์ติดผนัง และจิ๊กซอพัซเซิล ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในกลุ่มนักสะสม.

ใหม่!!: สัตว์และกีเยร์โม มอร์ดีโย · ดูเพิ่มเติม »

ฝูหนิวเล่อเล่อ

ตุ๊กตาสัตว์นำโชคประจำพาราลิมปิก 2008 ฝูหนิวเล่อเล่อ ฝูหนิวเล่อเล่อ คือ มาสคอตประจำมหกรรมกีฬาพาราลิมปิกฤดูร้อน 2008 เป็นสัญลักษณ์ของความมานะอุตสาหะ ความแข็งแรง อดทน ไม่ย่อท้อ เป็นตัวแทนทางจิตวิญญาณที่จะเสริมสร้างกำลังใจให้กับเหล่าคนพิการ ที่ถึงแม้ร่างกายจะไม่สมบูรณ์ ก็จะไม่ย่อท้อ ไม่ยอมแพ้ ต่อสู้อย่างเต็มความสามารถเท่าที่พวกเขาเหล่านั้นจะทำได้ ฝูหนิวเล่อเล่อ ได้รับการออกแบบให้เป็นรูปวัว สัตว์ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมนุษย์ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมทางการเกษตรแห่งอารยธรรมจีนโบราณ.

ใหม่!!: สัตว์และฝูหนิวเล่อเล่อ · ดูเพิ่มเติม »

ภาวะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็ก

วะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็ก.

ใหม่!!: สัตว์และภาวะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็ก · ดูเพิ่มเติม »

ภูมิศาสตร์

แผนที่โลก ภูมิศาสตร์ (geography) เป็นสาขาวิชาหนึ่งที่ทำการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับคุณลักษณะเฉพาะ ของสถานที่ที่ปรากฏอยู่บนพื้นผิวโลก ภูมิศาสตร์จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดวางสิ่งต่าง ๆ และความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่แบ่งแยกสิ่งหนึ่งออกจากสิ่งอื่น ๆ โดยภูมิศาสตร์พยายามค้นหาเพื่อที่จะตีความให้กระจ่างถึงความสำคัญ ของสิ่งที่เหมือนและแตกต่างกันระหว่างพื้นที่ในรูปของสาเหตุและความเกี่ยวเนื่อง ปัจจุบันการศึกษาด้านภูมิศาสตร์ จะมุ่งเน้นความเข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดเบื้องต้นที่เกี่ยวกับพื้นที่มากกว่าที่จะศึกษาลักษณะเฉพาะและสถานที่ต่าง ๆ ของโลกอย่างคร่าว ๆ อย่างที่เคยปฏิบัติขึ้นมาในระยะแรก ๆ ภูมิศาสตร์ได้เปลี่ยนแนวทางมาสู่การศึกษารายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้น ๆ โดยเฉพาะ ซึ่งจะใช้การศึกษานี้พิจารณาว่า "มีสิ่งใดบ้างที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้น และแต่ละสิ่งมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร" โดยถือรูปแบบและวิธีการดังกล่าวว่า เป็นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ ปฏิสัมพันธ์เชิงภูมิศาสตร์ ภายใต้สภาวะต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดลักษณะเฉพาะหรือเกิดปรากฏการณ์พิเศษในพื้นที่นั้น ๆ ขึ้น และถือว่าเป็น ปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์ ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีหลายลักษณะ เช่น ปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะทางธรณีวิทยาของโลก ลักษณะทางสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น โดยจะมีความเกี่ยวเนื่องและมีความสัมพันธ์ระหว่างกันในแต่ละลักษณะที่กล่าวถึง.

ใหม่!!: สัตว์และภูมิศาสตร์ · ดูเพิ่มเติม »

ภูมิทัศน์

ูมิทัศน์ โดยทั่วไปคำว่า "ภูมิทัศน์" หมายถึง ภาพรวมของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ที่มนุษย์ รับรู้ทางสายตาในระยะห่าง อาจเป็นพื้นที่ธรรมชาติที่ประกอบด้วยรูปทรงของแผ่นดิน น้ำ ต้นไม้ สัตว์และสรรพสิ่งมนุษย์สร้างในสภาพอากาศหนึ่งและช่วงเวลาหนึ่งที่เรียกว่าภูมิทัศน์ธรรมชาติ หรือภาพรวมของเมืองหรือส่วนของเมือง เรียกว่าภูมิทัศน์เมืองนอกจากนี้ยังมีการใช้คำ “ภูมิทัศน์” กับพื้นที่ที่มีลักษณะเฉพาะเด่นชัด เช่น ภูมิทัศน์ทะเล ภูมิทัศน์ภูเขา ภูมิทัศน์ทะเลทราย หรือ ภูมิทัศน์พระจันทร์ ซึ่งหมายถึงภาพรวมของพื้นที่บนผิวดวงจันทร์ที่มนุษย์อวกาศไปเยือน ภูมิทัศน์ ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Landscape มีผู้บัญญัติคำนี้ใช้แทนการทับศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรกเมื่อ..

ใหม่!!: สัตว์และภูมิทัศน์ · ดูเพิ่มเติม »

ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน

ูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน หมายความว่า "สัตว์เลื้อยคลานยักษ์แห่งภูเวียง" เป็นชื่อสกุลของไดโนเสาร์ที่พบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ในหมวดหินเสาขัว อายุราวยุคครีเตเชียสตอนต้น ประมาณ 130 ล้านปีมาแล้ว เป็นไดโนเสาร์ซอโรพอด (sauropod - ไดโนเสาร์กินพืชคอยาว) ชนิดแรกที่บรรยายลักษณะจากประเทศไทย จัดอยู่ในกลุ่ม Titanosaur ซึ่งเป็นซอโรพอดขนาดกลาง ความยาวประมาณ 15-20 เมตร โดยตัวอย่างต้นแบบ (type specimens) พบที่ภูเวียง อำเภอภูเวียง (อำเภอเวียงเก่า ในปัจจุบัน) จังหวัดขอนแก่น เมื่อปี พ.ศ. 2525 และได้รับการบรรยายลักษณะเมื่อปี พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) พบกระดูกภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน จากหลายแหล่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะแหล่ง วัดสักกะวัน ภูกุ้มข้าว อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สิรินธร ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว) ซึ่งพบโครงกระดูกอย่างน้อย 6 ตัว จำนวนมากกว่า 800 ชิ้น และแหล่งภูเวียง อำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น สถานที่พบเป็นครั้งแรก (type locality) พบกระดูกของพวกวัยเยาว์ ขนาดประมาณ 2 เมตร สูง 0.5 เมตรรวมอยู่ด้วย กรมทรัพยากรธรณีขอพระราชทานชื่อชนิดจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่านที่สนพระทัยงานในด้านธรณีวิทยา และบรรพชีวินวิทยาในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน · ดูเพิ่มเติม »

มวน

มวน ถือเป็นชื่อของแมงชนิดหนึ่งซึ่งประกอบ 50,000 ถึง 80,000 ชนิดเช่นกลุ่มของจักจั่น โดยมักมีขนาดตั้งแต่ 1 มิลลิเมตร (0.04 นิ้ว) ถึง 15 เซนติเมตร (6 นิ้ว) และมีปากที่สามารถดูดของเหลวได้และชื่อของมวลยังเอาไวเรียกกลุ่มของหน่วยย่อย Heteroptera ด้วย โดยปกติคนเราจะเรียกว่าพวกแมลง, แมง, ด้วง, มวน รวมกันเป็นแมลงอย่างเดี่ยวเช่นการเรียกเต่าทองที่อยู่กลุ่มเดียวกับด้วงว่าเป็นแมลง โดยปกติพวกมันจะกินอาหารโดยใช้ปากดูดของเหลวจากต้นไม้หรือสัตว์และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก มวลนั้นไม่ได้อาศัยอยู่บนบกอย่างเดียวแต่พวกมันก็อาศัยอยู่ในน้ำด้วย มนุษย์มีปฏิสัมพันธุ์กับพวกมันมานานเพราะพวกมันหลายชนิดเป็นศัตรูพืชที่สำคัญโดยพวกมันจะทำลายพืชผลทางการเกษตรโดยการดูดน้ำเลี้ยงของต้นไม้และพวกมันยังเป็นพาหะของโรคร้ายแรงและไวรัสอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และมวน · ดูเพิ่มเติม »

มหายุคนีโอโพรเทอโรโซอิก

มหายุคนีโอโพรเทอโรโซอิก(Neoproterozoic)ต่อจากมหายุคมีโซโพรเทอโรโซอิกและก่อนหน้ามหายุคพาลีโอโซอิกอยู่ในบรมยุคโพรเทอโรโซอิกยุคนี้อยู่ระหว่าง1,000ล้านปีมาแล้วถึง542ล้านปีมาแล้ว ในมหายุคนี้ประกอบด้วย 3 ยุค คือ ยุคโทเนียน,ยุคไครโอจีเนียน,ยุคอีดีแอคารัน สิ่งมีชีวิตอยู่ในทะเล เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์และสัตว์ยุคแรกสุด ซึ่งต้นมหายุคนี้มีสัตว์หลายเซลล์,โพรทิสตา,โครมาลวีโอตา พวกนี้เป็นส่วนมาก กลางมหายุคมีนำแข็งปกคลุมทั่วโลก ซึ่งเราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ปรากฏการณ์โลกบอลหิมะ(Snowball earth).

ใหม่!!: สัตว์และมหายุคนีโอโพรเทอโรโซอิก · ดูเพิ่มเติม »

มหาสีลวชาดก

มหาสีลวชาดก เป็นเรื่องที่ว่าด้วยการปรารภความเพียร ในครั้งที่พระโคตมพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็น พระมหาสีลวร.

ใหม่!!: สัตว์และมหาสีลวชาดก · ดูเพิ่มเติม »

มอลลัสกา

มอลลัสกา (ไฟลัม: Mollusca, เสียงอ่าน) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง คือสัตว์ที่มีลำตัวนิ่ม ส่วนใหญ่มีเปลือกแข็งหุ้มอยู่ภายนอก พบทั้งบนบก น้ำจืด น้ำเค็ม น้ำกร่อย ดำรงชีวิตเป็นอิสระ มีต่อมเมือกตามผิวลำตัว ระบบอวัยวะมีความซับซ้อน ลำตัวสั้น ด้านหน้าเป็นส่วนหัว ด้านล้างเป็นแผ่นเท้าสำหรับเคลื่อนที่และว่ายน้ำ ด้าบบนมีแมนเทิลที่ทำหน้าที่สร้างเปลือกแข็ง ภายในช่องปากมีแรดูลา ยกเว้นในหอยสองฝา ช่วยในการกินอาหาร มีต่อมน้ำลายและตับช่วยสร้างน้ำย่อย ระบบหมุนเวียนเลือดประกอบด้วยหัวใจอยู่ด้านบนและเส้นเลือดไปตามส่วนต่างๆ ระบบขับถ่ายมีเนฟริเดียม ระบบหายใจประกอบด้วยเหงือกหรือถุงหายใจที่คล้ายปอด ระบบประสาทมีปมประสาทสามคู่และมีเส้นประสาทยึดระหว่างปม มีอวัยวะสำหรับรับภาพ กลิ่นและการทรงตัว ระบบสืบพันธุ์ส่วนใหญ่แยกเพศ มีบางพวกไม่แยกเพศและเปลี่ยนเพศได้ มีการปฏิสนธิทั้งแบบภายในและภายนอก สัตว์ในไฟลัมมอลลัสกาเรียกโดยรวมว่า มอลลัสก์ (mollusc, mollusk).

ใหม่!!: สัตว์และมอลลัสกา · ดูเพิ่มเติม »

มอดแป้ง

มอดแป้ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tribolium castaneum เป็นแมลงศัตรูทางการเกษตรที่สำคัญ โดยปนเปื้อนในโกดังเก็บผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าวสาร กาแฟ ข้าวโพด เผือก ถั่ว รวมถึงผลผลิตแปรรูป เช่น แป้ง บิสกิต พาสต้า เป็นต้น โดยตัวอ่อน และตัวเต็มวัย กินผลผลิตเป็นอาหารและเพิ่มจำนวนมาก มีการสร้างสารเคมีประเภทควิโนน ที่มีกลิ่นเหม็น สร้างความเสียหายกับผลผลิตเป็นอย่างมาก มอดแป้งมีการแพร่กระจายในโกดังเก็บผลผลิตของมนุษย์ทั่วโลก มูลค่าความเสียหายจากมอดแป้ง(และแมลงปีกแข็งชนิดอื่น)เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา มากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี Richards S, Gibbs RA, Weinstock GM et al.

ใหม่!!: สัตว์และมอดแป้ง · ดูเพิ่มเติม »

มองโกเลียนเจอร์บิล

มองโกเลียนเจอร์บิล (Mongolian Gerbil) เป็นสายพันธุ์หนึ่งของหนูเจอร์บิลหรือหนูทะเลทราย เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่มีความทนทานและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่แห้งแล้งได้ดีมาก มีอนุวงศ์รวมแล้วประมาณ 110 ชนิด จะพบมากในทะเลทรายของแถบ แอฟริกัน, อินเดีย และ เอเชีย ด้วยความที่เป็นสัตว์อ่อนโยนและทนทาน จึงกลายเป็นที่นิยมในเวลาไม่นาน.

ใหม่!!: สัตว์และมองโกเลียนเจอร์บิล · ดูเพิ่มเติม »

มอโนโลโฟซอรัส

มอโนโลโฟซอรัส (อังกฤษ:Monolophosaurus) เป็นเทอโรพอดจากยุคจูราสสิคเมื่อประมาณ 170 ล้านปีก่อน มีขนาดยาว 5 เมตร (16ฟุต) พื้นที่ที่ขุดพบมอโนโลโฟซอรัส มีการพบสัญญาณของน้ำจึงเป็นไปได้ว่าไดโนเสาร์ชนิดนี้อาศัยอยู่บนชายฝั่งของทะเลสาบหรือมหาสมุทร มอโนโลโฟซอรัส น่าจะพัฒนามาจากเมกะโลซอรัส มอโนโลโฟซอรัสถูกจัดให้อยู่ในตระกูลอัลโลซอร์ แต่ในปี2009 ชาล์ เอ็ทอัล กล่าวคุณสมบัติพื้นฐานต่าง ๆ ของโครงกระดูกโดยบอกว่า มอโนโลโฟซอรัส เป็นหนึ่งในไดโนเสาร์ในตระกูล เทตันนูรี.

ใหม่!!: สัตว์และมอโนโลโฟซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

มังกรทะเล

มังกรทะเล (Sea dragon) ปลากระดูกแข็งในสกุล Phyllopteryx ในวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ (Syngnathidae) จัดเป็นปลาเฉพาะถิ่นที่พบได้ในท้องทะเลในประเทศออสเตรเลียเท่านั้น โดยจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับปลาจิ้มฟันจระเข้ (Syngnathinae) เดิมเคยเชื่อว่ามีเพียงชนิดเดียว แต่ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และมังกรทะเล · ดูเพิ่มเติม »

มังกรทะเลทับทิม

มังกรทะเลทับทิม (Ruby seadragon) ปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ (Syngnathidae) นับเป็นปลาที่เพิ่งค้นพบใหม่ ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และมังกรทะเลทับทิม · ดูเพิ่มเติม »

มังกรทะเลใบหญ้า

มังกรทะเลใบหญ้า (Common seadragon, Weedy seadragon) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ (Syngnathidae) เดิมเคยจัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Phyllopteryx แต่ในปัจจุบันได้มีการจำแนกออกเป็นชนิดใหม่ มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับมังกรทะเลใบไม้ ซึ่งเป็นปลาชนิดที่ใกล้เคียงมากที่สุด เพียงแต่มังกรทะเลใบหญ้ามีระยางค์ต่าง ๆ น้อยกว่า มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 45 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยทั่วไปประมาณ 30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์เฉพาะตอนใต้ของออสเตรเลียเท่านั้น และเกาะทัสมาเนีย เหมือนกับมังกรทะเลใบไม้ โดยอาศัยอยู่ตามกองหินและแนวปะการัง หรือกอสาหร่าย พบได้ในระดับความลึกถึง 50 เมตร เป็นปลาที่มีพฤติกรรมการขยายพันธุ์เช่นเดียวกับปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน คือ ตัวผู้เป็นฝ่ายอุ้มท้อง ตัวเมียจะวางไข่ได้ครั้งละประมาณ 1,200 ฟอง ในหน้าท้องของตัวผู้ ไข่ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนถึงจะฟักเป็นตัว ตัวอ่อนเมื่อฟักออกมาแล้วจะกินอาหารได้เลยทันทีและว่ายน้ำเป็นอิสระได้เอง ปัจจุบันมีการเลี้ยงแสดงไว้ตามพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ทั่วโลกประมาณ 50 แห่ง เช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจอร์เจีย ซึ่งมีความพยายามในการเพาะขยายพันธุ์อยู.

ใหม่!!: สัตว์และมังกรทะเลใบหญ้า · ดูเพิ่มเติม »

มังกรทะเลใบไม้

มังกรทะเลใบไม้ (Leafy seadragon) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phycodurus eques อยู่ในวงศ์ Syngnathidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกันกับม้าน้ำ โดยถือเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Phycodurus พบทางตอนใต้และตะวันตกของทวีปออสเตรเลีย ถือเป็นปลาเฉพาะถิ่น มักอาศัยอยู่ในกระแสน้ำอุ่นในความลึกตั้งแต่ 3-50 เมตร มีจุดเด่นตรงที่มีครีบต่าง ๆ ลักษณะคล้ายใบไม้หรือสาหร่ายทะเล ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นปลาที่มีความสวยงามที่สุดในโลก ซึ่งครีบเหล่านี้ไม่ได้มีไว้ว่ายน้ำแต่ใช้สำหรับอำพรางตัวจากศัตรูและยังใช้หาอาหารอีกด้วย มังกรทะเลใบไม้ใช้ครีบอกในการว่ายน้ำ ซึ่งครีบอกนั้นมีลักษณะใสโปร่งแสง และมองเห็นได้ยากมากเมื่อเวลาปลาเคลื่อนไหว ทำให้มังกรทะเลใบไม้ดูแลยากเมื่อแฝงตัวไปในหมู่สาหร่ายทะเล มีปากที่เหมือนท่อยื่นยาวออกมา ตอนปลายมีที่เปิด กินอาหารจำพวกแพลงก์ตอน, กุ้งและครัสเทเชียนขนาดเล็ก ๆ มีความยาวเต็มที่ได้ประมาณ 35 เซนติเมตร การผสมพันธุ์และวางไข่ เนื่องจากมังกรทะเลใบไม้ไม่มีถุงหน้าท้องเหมือนม้าน้ำ แต่ตัวเมียมีไข่ติดอยู่กับใกล้ส่วนหางซึ่งเต็มไปด้วยเส้นเลือดที่มีอยู่มากมายซึ่งพัฒนาขึ้นมาเฉพาะตัวผู้ในช่วงผสมพันธุ์เท่านั้น เมื่อผสมพันธุ์กันตัวเมียจะวางไข่บริเวณหางของตัวผู้ซึ่งจะม้วนงอเข้า ปริมาณไข่ราว 100-200 ฟอง หรือเต็มที่ 250 ฟอง ซึ่งช่วงการผสมพันธุ์วางไข่นั้นจะอยู่ระหว่างเดือนสิงหาคม-มีนาคม ของปีถัดไป ไข่ที่ยึดติดกับส่วนหางของตัวผู้จะได้รับออกซิเจนจากเส้นเลือดของหาง โดยใช้เวลาฟักเป็นตัวราว 4-6 สัปดาห์ เมื่อฟักออกเป็นตัวแล้วปลาตัวผู้จะไม่ดูแลไข่ โดยตัวอ่อนจะใช้เวลาประมาณหนึ่งปีที่จะโตเต็มจนถึงขนาด 20 เซนติเมตร และใช้เวลา 2 ปี ที่จะโตเต็มที่ เมื่อยังเป็นวัยอ่อนลำตัวจะใส ไม่มีสี มีอายุขัยประมาณ 6 ปี แต่ก็มีบางตัวที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาพบว่ามีอายุมากถึง 9 ปี นอกจากนี้แล้วผู้ที่ศึกษามังกรทะเลใบไม้พบว่าตำหนิหรือสีแต้มต่าง ๆ ของแต่ละตัวจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสิ่งเหล่านี้ส่งผ่านกันได้ตามพันธุกรรมWeird Creatures with Nick Baker: Leafy Seadragon, สารคดีทางแอนนิมอลแพลนเนต ทางทรูวิชันส์: วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม..

ใหม่!!: สัตว์และมังกรทะเลใบไม้ · ดูเพิ่มเติม »

มังกรน้ำ

มังกรน้ำ (Water dragons) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่าสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Physignathus (เป็นภาษากรีกมีความหมายว่า "ขากรรไกรที่ยกขึ้น") ในวงศ์กิ้งก่า (Agamidae) พบทั้งสิ้น 2 ชนิด เป็นกิ้งก่าขนาดใหญ่ที่มีพฤติกรรมชอบอาศัยในที่ชื้นใกล้แหล่งน้ำ สามารถว่ายน้ำและดำน้ำได้เก่ง พบกระจายพันธุ์เฉพาะในทวีปเอเชียและออสเตรเลีย นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และมังกรน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

มังกรโกโมโด

มังกรโกโมโด (Komodo dragon; ชื่อวิทยาศาสตร์: Varanus komodoensis) เป็นสัตว์เลื้อยคลานในอันดับกิ้งก่าชนิดหนึ่ง มีถิ่นอาศัยอยู่บนเกาะโกโมโด, รินจา, ฟลอเรส และกีลีโมตังในประเทศอินโดนีเซีย อยู่ในวงศ์และสกุลเดียวกับเหี้ย (Varanidae) จัดเป็นตะกวดชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันนี้ ตัวโตเต็มวัยมีขนาดความยาวโดยเฉลี่ย 2-3 เมตร (6.6 ถึง 9.8 ฟุต) และมีน้ำหนักประมาณ 90 กิโลกรัม (150 ปอนด์) มังกรโกโมโดมีรูปร่างหน้าตาเหมือนตัวเงินตัวทองชนิดอื่นทั่วไป แต่ทว่ามีลำตัวใหญ่และยาวกว่ามาก มีลำตัวสีเทาออกดำกว.

ใหม่!!: สัตว์และมังกรโกโมโด · ดูเพิ่มเติม »

มาพูซอรัส

มาพูซอรัส (Mapusaurus) เป็นไดโนเสาร์ในสกุลคาร์โนซอร์ (carnosaurian) ขนาดใหญ่ จากต้น ยุคครีเตเชียส อาศัยอยู่ที่ประเทศอาร์เจนตินา มันมีลักษณะคล้ายญาติของมันที่ชื่อ กิก้าโนโตซอรัส ตัวอย่างที่ใหญ่ที่สุดของ มาพูซอรัส ยาว 12.2 เมตร (40ฟุต) น้ำหนักเกิน 3 ตัน มีรูปร่างผอมเพรียวและว่องไว แต่แข็งแรง ชื่อ มาพูซอรัส (Mapusaurus) มาจาก มาพูเช (Mapuche) มาพู เป็นคำใน ภาษากรีก แปลว่า "ตุ๊กแก" ขนาดของมาพูซอรัสเมื่อเทียบกันไดโนเสาร์กินเนื้ออื่น (สีเขียว).

ใหม่!!: สัตว์และมาพูซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

มาร์มอต

มาร์มอต (Marmot) เป็นกระรอกขนาดใหญ่ที่อยู่ในสกุล Marmota โดยมีสมาชิกอยู่ทั้งหมด 15 ชนิด (สปีชีส์).

ใหม่!!: สัตว์และมาร์มอต · ดูเพิ่มเติม »

มาร์เทิน

มาร์เทิน หรือ หมาไม้ (marten) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) อันเป็นวงศ์เดียวกับนาก, เพียงพอน, หมาหริ่ง และวุลเวอรีน ใช้ชื่อสกุลว่า Martes มาร์เทิน มีรูปร่างโดยรวม คือ มีลำตัวเพรียวยาว ส่วนใบหน้าคลายกับสุนัข ใบหูมีขนาดกลมเล็ก หางยาวเป็นพวง มีอุ้งเท้าที่หนาและมีกรงเล็บที่แหลมคม ขนหนานุ่มมีสีขนที่หลากหลาย ตั้งแต่สีเหลืองจนถึงสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ แตกต่างไปกันตามชนิดและแต่ละภูมิภาคที่อาศัย มีขนาดลำตัวและน้ำหนักพอ ๆ กับแมว ปกติเป็นสัตว์ที่หากินและอาศัยเพียงลำพัง ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์ มาร์เทิน เป็นสัตว์ที่คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว ส่วนมากมักหากินในเวลากลางคืน สามารถกินได้ทั้งพืชและสัตว์ ปีนต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว สามารถหากินได้ทั้งบนต้นไม้และพื้นดิน พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทวีปอเมริกาเหนือ, ยุโรป, เอเชียเหนือ, ไซบีเรีย, เอเชียตะวันออก, ตอนใต้ของอินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถปรับตัวให้เข้ากับภูมิประเทศที่หลากหลายได้ทั้งป่าดิบ, ป่าละเมาะ จนถึงชุมชนของมนุษย์ใกล้กับชายป.

ใหม่!!: สัตว์และมาร์เทิน · ดูเพิ่มเติม »

มาดากัสการ์ (แฟรนไชส์)

250px มาดากัสการ์ (Madagascar) เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันซีรีส์ ผลิตโดยดรีมเวิร์กสแอนิเมชัน ให้เสียงพากย์โดย เบน สติลเลอร์, คริส ร็อค, เดวิด สวิมเมอร์, จาดา พินเกท สมิท (ภาพยนตร์หลัก) เป็นเรื่องราวการผจญภัยของสัตว์จากสวนสัตว์เซ็นทรัลพาร.

ใหม่!!: สัตว์และมาดากัสการ์ (แฟรนไชส์) · ดูเพิ่มเติม »

มาคอว์

มาคอว์ (Macaw) เป็นสัตว์ปีกอยู่ในวงศ์ Psittacidae มาคอว์จัดเป็นนกในตระกูลปากขอที่มีขนาดใหญ่ นิยมเลี้ยงกันมากเนื่องจากมีสีสันที่สวยงาม เชื่อง และสามารถพูดเลียนเสียงคนได้ มาคอว์ถือเป็นนกแก้วที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกและอเมริกาใต้ มีสีสันสวยงาม มีเสียงร้องที่ดังมากจะงอยปากจะใหญ่เป็นพิเศษ เหนือปากด้านบนจะมีสีขาวเส้นเล็กๆ คาดระหว่างปากกับหัว บนหัวมีขนสีเขียวสดและสีฟ้า ดวงตามีขนเป็นลายเส้นดำ 4-5 เส้น ขนบริเวณคอจนถึงหน้าอกเป็นสีเหลืองเข้มและขนหางมีสีแดงสด ขาสั้นใหญ่ แข็งแรง ขนที่ปีกบางทีก็เป็นสีฟ้าและสีเหลืองหรือสีเขียวเหลือง ขนาดของนกแก้วมาคอว์มีขนาดตั้งแต่ 32-35 นิ้ว อาหารของมาคอว์คือ ผลไม้และเมล็ดธัญพืช ชอบอยู่กันเป็นฝูงขนาดใหญ่ ในฤดูผสมพันธุ์จะจับคู่กันแบบคู่ใครคู่มัน และไปสร้างรังตามต้นไม้ใหญ่เพื่อวางไข่ วางไข่ครั้งละ 3-4 ฟอง ใช้เวลาฟักไข่ 30-35 วัน ขนของลูกนกจะขึ้นหลังจาก 3 สัปดาห์และขึ้นจนเต็มตัวและมีสีสันสวยงาม ลูกนกจะแข็งแรงเต็มที่เมื่ออายุสามเดือน ในระหว่างที่ยังเล็กต้องอาศัยอาหารจากแม่นกที่นำมาป้อน โดยจะใช้ปากจิกกินอาหารจากปากแม่ของมันจนกระทั่งลูกนกสามารถช่วยตนเองได้ และในที่สุดมันก็จะบินและหาอาหารเองโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่อีกต่อไป สืบค้นวันที่ 11 มิถุนายน..

ใหม่!!: สัตว์และมาคอว์ · ดูเพิ่มเติม »

มานุษยรูปนิยม

มานุษยรูปนิยม (Anthropomorphism) หรือ บุคคลวัต หรือ บุคลาธิษฐาน (personification) คือ การเอาลักษณะของมนุษย์ไปใช้กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น สัตว์ สิ่งไม่มีชีวิต ปรากฏการณ์ องค์การ รวมถึงวิญญาณและเทวดา คำภาษาอังกฤษบัญญัติขึ้นช่วง..

ใหม่!!: สัตว์และมานุษยรูปนิยม · ดูเพิ่มเติม »

มาโมเสท

มาโมเสท (Marmoset) เป็นลิงในกลุ่มลิงโลกใหม่ มีถิ่นอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ มีหางยาว หากินกลางวัน กินผลไม้ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นสัตว์ตระกูล Callithricidae และเป็นลิงขนาดเล็กที่สุดในโลก ลิงมาโมเส็จเป็นลิงที่น้ำหนักประมาณ5-7ขี.

ใหม่!!: สัตว์และมาโมเสท · ดูเพิ่มเติม »

มาเมนชีซอรัส

มาเมนชีซอรัส (Mamenchisaurus) เป็นไดโนเสาร์กินพืชที่คอยาวที่สุด ซึ่งเป็นความสูงครึ่งหนึ่งของความสูงทั้งหมด สปีชีส์ส่วนใหญ่อาศัยบนโลกในช่วง 145 - 150 ล้านปีมาแล้ว ในช่วง Tithonian ช่วงปลายของยุคจูแรสซิก.

ใหม่!!: สัตว์และมาเมนชีซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

มิญชวิทยา

A stained histologic specimen, sandwiched between a glass microscope slide and coverslip, mounted on the stage of a light microscope. ภาพเนื้อเยื่อปอดย้อมด้วยสีฮีมาทอกซีลิน (Hematoxylin) และอีโอซิน (Eosin) ผู้ป่วยรายนี้มีอาการของโรคถุงลมโป่งพอง (emphysema) มิญชวิท.

ใหม่!!: สัตว์และมิญชวิทยา · ดูเพิ่มเติม »

มิยาโนะ ชิโฮะ

มิยาโนะ ชิโฮะ (ญี่ปุ่น: 宮野志保 Miyano Shiho ) เป็นตัวละครจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน เดิมชิโฮะเป็นหนึ่งในอดีตสมาชิกขององค์กรชุดดำ ที่มี โค้ดเนม ว่า เชอรี่ (Sherry) และเป็นผู้พัฒนายา APTX4869 ที่ทำให้ คุโด้ ชินอิจิ และตัวเธอเองตัวหดเล็กลง แต่ต่อมาเธอก็ได้ทรยศองค์กรและหนีออกมาอาศัยร่วมอยู่กับ อากาสะ ฮิโรชิ เพราะเป็นคนที่รู้จักกับคุโด้ ชินอิจิ ผู้ที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับเธอ ซึ่งภายหลังกลายร่างเป็น เอโดงาวะ โคนัน เนื่องจากยาพิษ APTX4869 ที่เธอทำขึ้น เพื่อที่จำให้เธอทำยาแก้พิษขึ้น จนถึงขณะนี้องค์กรชุดดำก็ยังคงตามล่าเธอที่หนีออกมาได้เพื่อกำจัดเธอ ในขณะเดียวกันเธอก็ช่วยโคนันไขคดีพร้อมกับพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องยาถอนพิษ APTX4869 อยู่ โดยใช้ชื่อ ไฮบาระ ไอ.

ใหม่!!: สัตว์และมิยาโนะ ชิโฮะ · ดูเพิ่มเติม »

มินิตซาลาแมนเดอร์

มินิตซาลาแมนเดอร์ หรือ ปิกมีซาลาแมนเดอร์ หรือ เม็กซิกันปิกมีซาลาแมนเดอร์ (Minute salamanders, Pigmy salamanders, Mexican pigmy salamanders) เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกจิ้งจกน้ำหรือซาลาแมนเดอร์ จัดอยู่ในสกุล Thorius (/ทอ-ริ-อุส/) จัดอยู่ในวงศ์ Plethodontidae หรือซาลาแมนเดอร์ไม่มีปอด เป็นซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็ก จัดได้ว่าเป็นซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็กที่สุดในโลก เนื่องจากเมื่อโตเต็มที่มีขนาดไม่เกินไม้ขีดไฟ และถือได้ว่าเป็นสัตว์สี่เท้ามีหางที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกด้วย ซึ่งถือว่าผิดปกติสำหรับสัตว์ประเภทนี้ ซาลาแมนเดอร์ในสกุลนี้มีถิ่นกำเนิดเฉพาะในเม็กซิโกที่เดียวในโลกเท่านั้น โดยพบในรัฐเบรากรุซ, รัฐปวยบลา, รัฐเกร์เรโร และรัฐวาฮากา ที่อยู่ตอนใต้ของประเทศ โดยถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่ 19 โดยถูกเข้าใจแต่ทีแรกว่าเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวนานถึง 75 ปี จนกระทั่งมีการแยกออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้อีก 9 ชนิด ระหว่างปี..

ใหม่!!: สัตว์และมินิตซาลาแมนเดอร์ · ดูเพิ่มเติม »

มูลปริยายสูตร

มูลปริยายสูตร คือ พระสูตรว่าด้วยเรื่องราวอันเป็นมูลแห่งธรรมทั้งปวง เป็นพระสูตรแรกในหมวดย่อย หรือวรรคที่ชื่อมูลปริยายวรรค หมวดใหญ่มูลปัณณาสก์ ของมัชฌิมนิกาย ในสุตตันตปิฎก ทั้งนี้ อรรถกถา หรือคัมภีร์ที่อธิบายเนื้อความของมูลปริยายสูตร คือคัมภีร์ปปัญจสูทนี ของพระพุท.

ใหม่!!: สัตว์และมูลปริยายสูตร · ดูเพิ่มเติม »

มีมาโทมอร์ฟา

นีมาโทมอร์ฟา (Nematomorpha) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง.

ใหม่!!: สัตว์และมีมาโทมอร์ฟา · ดูเพิ่มเติม »

มด

มด เป็นมดในมด Formicidae อันดับ Hymenoptera มดมีการสร้างรังเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ บางรังมีจำนวนประชากรมากถึงล้านตัว มีการแบ่งวรรณะกันทำหน้าที่คือ วรรณะมดงาน เป็นมดเพศเมียเป็นหมัน ทำหน้าที่หาอาหาร สร้างและซ่อมแซมรัง ปกป้องรังจากศัตรู ดูแลตัวอ่อน และงานอื่น ๆ ทั่วไป เป็นวรรณะที่พบได้มากที่สุด วรรณะสืบพันธุ์ เป็นมดเพศผู้ และราชินี เพศเมีย มีหน้าที่สืบพันธุ์ เนื่องจากมดเป็นสัตว์ในวงศ์ Formicidae จึงสามารถผลิตกรดมดหรือกรดฟอร์มิกได้เป็นลักษณะเฉพาะของสัตว์ในวงศ์นี้.

ใหม่!!: สัตว์และมด · ดูเพิ่มเติม »

มดสีเงินสะฮารา

มดสีเงินสะฮารา หรือ มดสีเงิน (Saharan silver ant, Silver ant) เป็นมดชนิดหนึ่ง อาศัยและแพร่กระจายพันธุ์อยู่เฉพาะในทะเลทรายสะฮารา ในทวีปแอฟริกา มดสีเงินสะฮารา มีจุดเด่นคือ มีลำตัวสะท้อนแสงสีเงินแวววาว อาศัยทำรังโดยขุดโพรงอยู่ใต้พื้นทรายของทะเลทรายสะฮารา เป็นมดนักล่าหาอาหารเช่นเดียวกับมดชนิดอื่น ๆ หรือ กินแมลงที่ตายจากความร้อน แต่ก็ตกเป็นอาหารของสัตว์อื่นที่ใหญ่กว่าด้วย เช่น กิ้งก่า มดสีเงินสะฮารามีความสามารถพิเศษ คือ สามารถทนความร้อนในช่วงเวลากลางวันของทะเลทรายสะฮาราได้สูงถึง 53 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ไม่มีสัตว์ชนิดใดจะทนทานได้ แต่กระนั้นก็สามารถที่จะทนได้นานเพียง 10 นาทีเท่านั้น อีกทั้งยังมีความสามารถในการวิ่งที่เร็วมากอีกด้วย โดยทำความเร็วได้ถึงวินาทีละครึ่งเมตร หากเปรียบเทียบสัดส่วนกับมนุษย์แล้วจะเท่ากับว่า มดสีเงินสะฮาราวิ่งได้เร็วถึง 280 ไมล์/ชั่วโมง นับว่าเป็นสัตว์ที่มีความเร็วที่สุดในโลก.

ใหม่!!: สัตว์และมดสีเงินสะฮารา · ดูเพิ่มเติม »

มดหนามกระทิงอกแดง

มดหนามกระทิงอกแดง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Polyrhachis rufipes Smith, 1858) เป็นมดป่า ขนาดประมาณ 10-12 มม.

ใหม่!!: สัตว์และมดหนามกระทิงอกแดง · ดูเพิ่มเติม »

มดทหารศรีลังกา

มดทหารศรีลังกา เป็น มดทหาร สีน้ำตาลแดง พบในตอนใต้ของ อินเดีย, ศรีลังกา, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลีย ไม่มีตา ขนาดยาวประมาณ 3 mm หากินใต้ชั้น ใบไม้ถับถม ในป่าและบริเวณที่มีต้นไม้หนาแน่น หนวด มี 10 ปล้อง เหมือนกับ สกุลมดทหาร หลายชนิด ฐานหนวด ยาวมากเกินหัว หัวเรียบมัน สามารถมองเห็นช่องว่างระหว่างกรามทั้งสองและขอบด้านหน้าของริมฝีปากบนชัดเจน อก และหัวสีน้ำตาลเข้ม propodeum มีลักษณะเป็นมุมแหลม เอวปล้องที่1 และ 2 ใหญ่ รูปกรวย มันเงา ท้อง รี สีอ่อนกึ่งโปร่งแสง อกด้านหน้ากว้างและแคบด้านท้าย พบใน ป่าดิบชื้น และ ป่าเบญจพรรณ สร้างรังชั่วคราวบนพื้นดิน และในท่อนไม้ผุ มักเดินเป็นแถวยาวในป่า กินมดชนิดอื่น ต่อ และสัตว์ข้อปล้องอื่นเป็นอาหาร เหมือนกับมดทหารชนิดอื่นๆ ในประเทศไทย พบในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก.

ใหม่!!: สัตว์และมดทหารศรีลังกา · ดูเพิ่มเติม »

มดคันไฟอิวิคต้า

มดคันไฟอิวิคต้า (Red imported fire ant) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Solenopsis invicta; invicta เป็นภาษาละตินแปลว่า "ไม่อาจเอาชนะได้"อยู่ในวงศ์ Formicidae มดคันไฟอิวิคต้า ถูกตีพิมพ์โดยบูเรน(Buren) ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และมดคันไฟอิวิคต้า · ดูเพิ่มเติม »

มนุษยศาสตร์

นักปรัชญาเพลโต มนุษยศาสตร์ (humanities) เป็นกลุ่มของสาขาวิชาที่เกี่ยวกับการศึกษาสภาวะแห่งมนุษย์โดยส่วนใหญ่ใช้กรรมวิธีเชิงวิเคราะห์, วิจารณญาณ หรือการคาดการณ์ซึ่งแตกต่างจากการเข้าสู่ปัญหาด้วยกรรมวิธีเชิงประจักษ์ด้วยธรรมชาติ, สังคมศาสตร์ โดยธรรมเนียมทั่วไปมนุษยศาสตร์รวมถึงสาขาวิชาภาษาศาสตร์โบราณและภาษาศาสตร์สมัยใหม่, วรรณคดี ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ศาสนา ทัศนศิลป์ ศิลปะการแสดง และดนตรี บางครั้งมีการรวมเอาสาขาวิชาอื่นเพิ่มเข้าไปด้วย ได้แก่ มานุษยวิทยา ภูมิภาคศึกษา การสื่อสารและวัฒนธรรมศึกษา แม้ว่าสาขาวิชาเหล่านี้มักถูกจัดไว้ในสาขาสังคมศาสตร์ นักวิชาการที่อยู่ในสายของสาขาวิชานี้ บางครั้งอาจเรียกตนเองว่าเป็น "นักมนุษยนิยม" อย่างไรก็ตามคำดังกล่าวก็ได้ใช้เรียกนักปรัชญาสาขามนุษยนิยมแต่ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรั.

ใหม่!!: สัตว์และมนุษยศาสตร์ · ดูเพิ่มเติม »

มนุษย์

มนุษย์ (ภาษาละตินแปลว่า "คนฉลาด" หรือ "ผู้รู้") เป็นสปีชีส์เดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ในสกุล Homo ในทางกายวิภาค มนุษย์สมัยใหม่ถือกำเนิดขึ้นในทวีปแอฟริการาว 200,000 ปีที่แล้ว และบรรลุความนำสมัยทางพฤติกรรม (behavioral modernity) อย่างสมบูรณ์เมื่อราว 50,000 ปีที่แล้ว เชื้อสายมนุษย์แยกออกจากบรรพบุรุษร่วมสุดท้ายกับชิมแพนซี สิ่งมีชีวิตที่ใกล้ชิดที่สุด เมื่อราว 5 ล้านปีที่แล้วในแอฟริกา ก่อนจะวิวัฒนาการไปเป็นออสตราโลพิเธซีน (Australopithecines) และสุดท้ายเป็นสกุล Homo สปีชีส์ โฮโม แรก ๆ ที่อพยพออกจากแอฟริกา คือ Homo erectus, Homo ergaster ร่วมกับ Homo heidelbergensis ซึ่งถูกมองว่าเป็นบรรพบุรุษสายตรงของมนุษย์สมัยใหม่ Homo sapiens ยังเดินหน้าตั้งถิ่นฐานในทวีปต่าง ๆ โดยมาถึงยูเรเซียระหว่าง 125,000-60,000 ปีที่แล้ว ทวีปออสเตรเลียราว 40,000 ปีที่แล้ว ทวีปอเมริการาว 15,000 ปีที่แล้ว และเกาะห่างไกล เช่น ฮาวาย เกาะอีสเตอร์ มาดากัสการ์และนิวซีแลนด์ระหว่าง..

ใหม่!!: สัตว์และมนุษย์ · ดูเพิ่มเติม »

มนุษย์ปักกิ่ง

มนุษย์ปักกิ่ง มีลักษณะเตี้ย หน้าสั้น หน้าผากต่ำ แบน คิ้วหนายื่นออก ปากยื่น คางสั้น จมูกแบน มนุษย์ปักกิ่งจะเสียชีวิตก่อนอายุ 14 ปี การเลี้ยงชีพของมนุษย์ปักกิ่งคือ การล่าสัตว์ การออกหาอาหารกันเป็นกลุ่มๆ หมวดหมู่:ยุคก่อนประวัติศาสตร์ หมวดหมู่:มนุษย์.

ใหม่!!: สัตว์และมนุษย์ปักกิ่ง · ดูเพิ่มเติม »

มนุษย์นกฮูก

มิวนาน สถานที่พบเห็น มนุษย์นกฮูก (Owlman) เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีผู้อ้างว่าพบเห็นในประเทศอังกฤษ ในยุคทศวรรษที่ 70 ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ผสมกับนกฮูกหรือนกเค้าแมวขนาดใหญ่ คล้ายกับมอธแมน ในเวสต์เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา บางครั้ง มนุษย์นกฮูก ยังมีชื่อเรียกอื่นอีก เช่น มนุษย์นกฮูกคอร์นิช (Cornish Owlman) หรือ มนุษย์นกฮูกแห่งมิวนาน (Owlman of Mawnan).

ใหม่!!: สัตว์และมนุษย์นกฮูก · ดูเพิ่มเติม »

ม้า

ม้า เป็นชนิดย่อยหนึ่งในสองชนิดของ Equus ferus หรือม้าป่าที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบัน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมกีบคี่ในวงศ์ Equidae ม้ามีวิวัฒนาการมากว่า 45 ถึง 55 ล้านปีจากสิ่งมีชีวิตหลายกีบเท้าขนาดเล็กสู่สัตว์กีบคี่ขนาดใหญ่ในปัจจุบัน มนุษย์เริ่มนำม้ามาเลี้ยงเมื่อราว 4,000 ปีก่อนคริสตกาล และเชื่อว่าการเลี้ยงแพร่หลายเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ม้าชนิดย่อย caballus เป็นม้าบ้านแม้ว่าจะมีประชากรม้าบ้านบางส่วนจะอาศัยอยู่ในป่า เช่น ม้าเถื่อน (feral horses) ม้าเถื่อนไม่ใช่ม้าป่าที่แท้จริง ดังเช่นม้าป่ามองโกเลียซึ่งถูกแบ่งแยกออกมาเป็นชนิดย่อยและเป็นชนิดเดียวที่เหลืออยู่ของม้าป่าที่แท้จริง คำว่าม้าเถื่อนใช้เพื่อแสดงว่าม้านี้ไม่ใช่ม้าบ้าน มีคำศัพท์เฉพาะมากมายที่ใช้อธิบายแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับม้า ครอบคลุมจากกายวิภาคถึงช่วงชีวิต ขนาด สี สัญลักษณ์ การเพาะพันธุ์ การเคลื่อนไหว และพฤติกรรม กายวิภาคของม้าช่วยให้ม้าใช้ความเร็วในการหนีนักล่า และม้ายังพัฒนาความสมดุลได้อย่างยอดเยี่ยมและสัญชาตญาณสู้หรือถอยที่แข็งแกร่ง ม้ายังมีลักษณะพิเศษเพื่อใช้สำหรับหลบหลีกนักล่า คือ ม้าสามารถยืนหลับหรือล้มตัวลงนอนหลับก็ได้ ม้าตัวเมียจะอุ้มท้องประมาณ 11 เดือน ลูกม้าจะยืนและวิ่งได้ในเวลาไม่นานหลังกำเนิด ม้าบ้านจำนวนมากจะเริ่มฝึกภายใต้อานม้าหรือบังเหียนระหว่างอายุสองถึงสี่ปี ม้าจะโตเต็มที่เมื่ออายุห้าปี และมีช่วงอายุประมาณ 25 ถึง 30 ปี สายพันธุ์ม้าแบ่งคร่าว ๆ ออกเป็น 3 ประเภทตามลักษณะนิสัย พวก "เลือดร้อน (hot blood) " ที่เร็ว ทนทาน "เลือดเย็น (cold blood) " เช่น ม้าแคระ และม้าพันธุ์เล็กบางพันธุ์ ที่ช้าแต่มั่นคง ทำงานหนัก และ "เลือดอุ่น (warmblood) " ที่พัฒนามาจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างเลือดร้อนและเลือดเย็น เป็นการเพาะพันธุ์เพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานพิเศษบางประการ โดยเฉพาะในยุโรป ม้าบ้านมีมากกว่า 300 พันธุ์ในปัจจุบัน เป็นการพัฒนาเพื่อการใช้งานที่ต่างกันไป ม้าและมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างหลากหลายทั้งในการแข่งขันกีฬาและงานที่ไม่ใช่กิจกรรมสันทนาการ เช่น งานตำรวจ การเกษตร การบันเทิง และการบำบัดรักษา ในอดีต มีการนำม้ามาใช้งานในสงคราม ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการพัฒนาเทคนิคการขับขี่ที่หลากหลาย โดยใช้ลักษณะที่แตกต่างของอุปกรณ์และวิธีการของการควบคุม มีผลิตภัณฑ์หลายอย่างได้จากม้า ประกอบด้วย เนื้อ นม หนัง ขน กระดูก และยาที่สกัดมาจากน้ำปัสสาวะของม้าตัวเมียที่ตั้งครรภ์ เทพนิยายเกี่ยวกับม้า เพกาซัสเกิดมาจากนางกอร์กอน เมดูซ่า ถูกวีรบุรุษเพอร์ซีอุสฟันคอขาดตาย ในขณะที่นางสิ้นใจตายนั้น เพกาซัสก็กระโจนออกมาจากลำคอของนาง ไม่มีใครสามารถปราบเพกาซัสได้เลยซักคน ตอนที่มันเกิดมาใหม่ ๆ และออกวิ่งอย่างคึกคะนองนั้น น้ำที่กระเซ็นจากรอยเท้าที่มันวิ่งก่อให้เกิดน้ำพุสวยงาม คือน้ำพุพีเรเนียน (Pyrenean spring).

ใหม่!!: สัตว์และม้า · ดูเพิ่มเติม »

ม้าลาย

thumb ม้าลาย เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกีบคี่ จัดอยู่ในสกุลม้า (Eguus) และจัดอยู่ในสกุลย่อย Hippotigris (แปลว่า ม้าลายเสือ) และDolichohippus แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด (ดูในตาราง) thumb.

ใหม่!!: สัตว์และม้าลาย · ดูเพิ่มเติม »

ม้าลายภูเขา

ม้าลายภูเขา (Mountain zebra) เป็นม้าลายชนิดหนึ่งที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ มีถิ่นอาศัยอยู่ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของ ประเทศแองโกลา, ประเทศนามิเบีย และ ประเทศแอฟริกาใต้ มีสองสปีชีส์ย่อย คือม้าลายภูเขาเคป (Cape Mountain Zebra, E. z. zebra) และ ม้าลายภูเขาฮาร์นมันน์ (Hartmann's Mountain Zebra, E. z. hartmannae) ถึงแม้จะมีการเสนอให้ยกเป็นสปีชีส์ก็ตาม.

ใหม่!!: สัตว์และม้าลายภูเขา · ดูเพิ่มเติม »

ม้าลายธรรมดา

ม้าลายธรรมดา หรือ ม้าลายทุ่งหญ้า (Plains zebra, Common zebra) เป็นม้าลายชนิดหนึ่ง ที่พบกระจายพันธุ์มากที่สุดในบรรดาม้าลายทั้งหมด ม้าลายธรรมดา มีความสูงจากกีบเท้าจนถึงหัวไหล่ประมาณ 1.2–1.4 เมตร มีความยาวลำตัว 1.9–2.4 เมตร ความยาวหาง 45–55 เซนติเมตร น้ำหนักในตัวผู้ประมาณ 230–330 กิโลกรัม และตัวเมียราว 200–300 กิโลกรัม อายุขัยโดยเฉลี่ย 15–20 ปี ม้าลายธรรมดา มีลายแตกต่างจากม้าลายชนิดอื่น ๆ ตรงที่มีลายขนาดใหญ่สีดำพาดยาวสลับกับลายสีขาวจากหลังลงไปทั้งสองข้างของลำตัวจนถึงใต้ท้อง เป็นม้าลายที่มีปฏิสัมพันธ์กันในระหว่างสมาชิกในฝูง มีการตกแต่งร่างกายและทำความสะอาดเนื้อตัวให้กันและกัน ม้าลายธรรมดา จะอยู่รวมฝูงกันทั้งในทุ่งหญ้าที่เป็นที่ราบหรือป่าละเมาะ บางครั้งจะรวมฝูงกันเป็นฝูงใหญ่ที่มีจำนวนสมาชิกฝูงถึงหมื่นตัว ในราวกลางปีของทุกปี ม้าลายธรรมดาประมาณ 500,000 ตัว จะร่วมกันเดินทางอพยพกับฝูงวิลเดอบีสต์อีก 1.8–2 ล้านตัว ตามเส้นทางอพยพระหว่างอุทยานแห่งชาติเซเรงเกติในแทนซาเนียกับเขตอนุรักษ์แห่งชาติมาไซมาราในเคนยา เพื่อแสวงหาแหล่งอาหาร อันได้แก่ ทุ่งหญ้าใหม่ ๆ และแหล่งน้ำ และจะเดินทางอพยพกลับพร้อมฝูงวิลเดอบีสต์ในราวเดือนกันยายน ซึ่งในระหว่างการเดินทางทั้งไปและกลับจะมีม้าลายธรรมดารวมถึงวิลเดอบีสต์ตกเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อต่าง ๆ เช่น จระเข้, สิงโต, เสือดาว หรือไฮยีน่า เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และม้าลายธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

ม้าลายแชพแมน

ม้าลายแชพแมน (Chapman's zebra) เป็นม้าลายชนิดหนึ่ง ที่เป็นชนิดย่อยหรือสปีชีส์ย่อยของม้าลายธรรมดา (E. quagga) ม้าลายแชพแมน มีลักษณะทั่วไปเหมือนกับม้าลาลธรรมดาหรือม้าลายทั่วไป แต่มีลักษณะแตกต่างกันก็คือ เป็นม้าลายเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่มีแถบสีเทาคั่นกลางระหว่างแถบสีขาวและแถบสีดำ ซึ่งเรียกว่า "เงา" และลายไม่คลุมตามขาลงไปถึงกีบ ม้าลายแชพแมน กระจายพันธุ์เฉพาะทวีปแอฟริกาทางตอนใต้ เช่น บอตสวานา, นามิเบีย และแองโกลา ภาพขยายที่ให้เห็นลายแถบสีเทาที่คั่นกลางระหว่างแถบสีดำและสีขาว ม้าลายแชพแมน มีจ่าฝูงเป็นตัวผู้ที่แข็งแรง และไม่มีพฤติกรรมอพยพย้ายที่อยู่อาศัยเหมือนม้าลายชนิดอื่นเป็นม้าลายที่ยังมีจำนวนประชากรมากอยู่ในธรรมชาติ แต่ทว่าด้วยภาวะโลกร้อนที่ทำให้สภาพภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้สัตว์หลายชนิดต้องเปลี่ยนวิถีการหากินแบบดั่งเดิมที่เคยเป็นอยู่ ในอนาคตข้างหน้า ม้าลายแชพแมนอาจเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่เข้าสู่ภาวะใกล้สูญพันธุ์ก็เป็นไปได้.

ใหม่!!: สัตว์และม้าลายแชพแมน · ดูเพิ่มเติม »

ม้าลายเบอร์เชลล์

ม้าลายเบอร์เชลล์ (Burchell's zebra) เป็นม้าลายชนิดย่อยหรือสปีชีส์ย่อยของม้าลายธรรมดา (E. quagga) ชนิดหนึ่ง ม้าลายเบอร์เชลล์ เป็นม้าลายที่แพร่กระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกาตอนใต้ เช่น บอตสวานา, สวาซิแลนด์, แอฟริกาใต้ เป็นต้น เป็นม้าลายที่มีลายขนาดใหญ่สีดำพาดยาวสลับกับลายสีขาวจากหลังลงไปทั้งสองข้างของลำตัวจนถึงใต้ท้อง มีพฤติกรรมและลักษณะนิสัยคล้ายกับม้าลายธรรมดาทั่วไป ม้าลายเบอร์เชลล์ ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ วิลเลียม จอห์น เบอร์เชลล์ วิศวกรและนักสำรวจธรรมชาติชาวอังกฤษ จัดเป็นม้าลายอีกชนิดหนึ่งที่ใกล้สูญพันธุ์แล้ว โดยฝีมือของมนุษย์ เพื่อล่าเอาเนื้อเพื่อการบริโภคและหนังทำเครื่องประดับและเครื่องแต่งกาย นอกจากนี้ยังถูกบุกรุกถิ่นที่อยู่อาศัย ทำให้ปัจจุบันม้าลายเบอร์เชลล์หลงเหลืออยู่ตามธรรมชาติน้อยลงทุกที ม้าลายเบอร์เชลล์มักจะอาศัยอยู่รวมเป็นฝูงกับวิลเดอบีสต์ เพื่อคอยระวังภัยให้แก่กัน เนื่องจากม้าลายเบอร์เชลล์เป็นสัตว์ที่ประสาทตาไม่ดี แต่ประสาทหูดีเยี่ยม ขณะที่วิลเดอบีสต์เป็นสัตว์ที่ประสาทตาดี แต่ประสาทหูไม่ดี และเป็นม้าลายที่อพยพครั้งใหญ่ตามฝูงวิลเดอบีสต์ข้ามแม่น้ำที่มีอันตรายไปเป็นประจำทุกปีจากอุทยานแห่งชาติเซเรงเกติไปยังอุทยานแห่งชาติมาไซมารา มีปริมาณม้าลายเบอร์เชลล์ในการอพยพแต่ละครั้งประมาณ 500,000 ตัว และในเดือนตุลาคมจะอพยพกลับ จัดเป็นม้าลายที่มีฝูงขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาม้าลายทั้งหมด โดยมีตัวผู้ที่แข็งแรงที่สุดเป็นจ่าฝูง และอาศัยอยู่ร่วมหากินกับสัตว์กีบหรือสัตว์กินพืชชนิดอื่นได้อย่างดี.

ใหม่!!: สัตว์และม้าลายเบอร์เชลล์ · ดูเพิ่มเติม »

ม้าลายเกรวี

ม้าลายเกรวี หรือ ม้าลายอิมพีเรียล (Grévy's zebra, Imperial zebra) เป็นม้าลายที่มีขนาดใหญ่ที่สุด สามารถพบได้ในป่าของประเทศเคนยาและประเทศเอธิโอเปีย เมื่อเทียบกับม้าลายชนิดอื่น ม้าลายเกรวีตัวสูงกว่า หูใหญ่กว่า และลายแคบกว่า ม้าลายชนิดนี้ถูกตั้งชื่อเป็นเกียรติแก ชูเลส เกรวี ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยรัฐบาลของแอบบินซินเนีย ในพื้นที่ตอนกลางของประเทศเคนยาม้าลายเกรวีจะอาศัยอยู่ร่วมกันกับม้าลายธรรม.

ใหม่!!: สัตว์และม้าลายเกรวี · ดูเพิ่มเติม »

ม้าน้ำ

ม้าน้ำ เป็นปลากระดูกแข็งที่อาศัยอยู่ในทะเลจำพวกหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Hippocampinae (ซึ่งมีอยู่ 2 สกุล คือหนึ่งสกุลนั้นคือ ปลาจิ้มฟันจระเข้สัน ที่อยู่ในสกุล Histiogamphelus มีรูปร่างคล้ายปลาจิ้มฟันจระเข้ผสมกับม้าน้ำ) ในวงศ์ Syngnathidae อันเป็นวงศ์เดียวกับปลาจิ้มฟันจระเข้และมังกรทะเล ในอันดับ Syngnathiformes.

ใหม่!!: สัตว์และม้าน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

ม้าน้ำสามจุด

ม้าน้ำสามจุด (Three spot seahorse) เป็นปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่งจำพวกม้าน้ำ โดยบริเวณส่วนบนของลำตัวม้าน้ำสามจุดนี้จะปรากฏเป็นจุดดำ ประมาณ 3 จุด อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ โดยลวดลายคล้ายกับม้าน้ำชนิด H. zebra และลักษณะลำตัวคล้ายกับม้าน้ำชนิด H. erectus มีขนาดยาวประมาณ 3–6 นิ้ว ในประเทศไทยพบตามเขตชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของอ่าวไทย ในฤดูหนาวจะอพยพเข้ามาบริเวณชายฝั่งและมักจะติดอวนปู อวนกุ้งของชาวประมงเป็นจำนวนมาก ประกอบกับเป็นช่วงที่ม้าน้ำอยู่ในระยะผสมพันธุ์ และวางไข่ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของการลดจำนวนประชากรของม้าน้ำสามจุดลงอย่างรวดเร็ว.

ใหม่!!: สัตว์และม้าน้ำสามจุด · ดูเพิ่มเติม »

ม้าน้ำหนามขอ

ม้าน้ำหนามขอ หรือ ม้าน้ำหนามยาว (Thorny seahorse, Spiny seahorse) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกม้าน้ำ มีปากที่ยาวกว่าม้าน้ำชนิดอื่น ๆ มีส่วนของหนามยาว ปลายแหลมและคมกว่าม้าน้ำชนิดอื่น ๆ ปลายหนามโค้งเล็กน้อยและมักจะมีสีเข้มหรือดำ มีสีผิวลำตัวแตกต่างกันไป เช่น สีเหลือง, สีเขียว, สีส้ม, สีชมพู มีความยาวเต็มที่ประมาณ 7.9-13.5 เซนติเมตร มีรายงานความยาวสูงสุด 17 เซนติเมตร พบในเขตร้อน แถบทะเลแดง, มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิคตอนกลางและตะวันตก สำหรับในน่านน้ำไทยพบทั้งในฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ในแนวปะการัง หรือซากเรือจม.

ใหม่!!: สัตว์และม้าน้ำหนามขอ · ดูเพิ่มเติม »

ม้าน้ำดำ

ม้าน้ำดำ หรือ ม้าน้ำคูด้า หรือ ม้าน้ำธรรมดา (Common seahorse, Spot seahorse) เป็นม้าน้ำชนิดหนึ่ง มีสีพื้นผิวลำตัวหลากหลายทั้ง ดำ, เหลือง, ม่วง หรือน้ำตาลแดง โดยสามารถเปลี่ยนสีลำตัวได้ตามสภาพแวดล้อม มีขนาดความยาว 25-30 เซนติเมตร พบได้ในทะเลทั่วไปแถบอินโด-แปซิฟิกจนถึงฮาวาย ในน่านน้ำไทยถือว่าเป็นม้าน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นม้าน้ำที่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว แต่ทว่าอัตราการรอดมีน้อย จึงเพาะพันธุ์เป็นจำนวนมากไม่ได้ ต้องใช้ม้าน้ำจากธรรมชาติที่ท้องแล้ว แต่ในปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในหลายที่ และมีอัตราการรอดสูง โดยเลี้ยงให้ผสมพันธุ์กันเองในที่เลี้ยง ในเดือนพฤศจิกายน..

ใหม่!!: สัตว์และม้าน้ำดำ · ดูเพิ่มเติม »

ม้าน้ำแคระ

ม้าน้ำแคระ (Pygmy seahorse, Bargibant's seahorse) เป็นปลากระดูกแข็งในวงศ์ Syngnathidae เป็นม้าน้ำชนิดหนึ่ง พบได้ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลางฝั่งตะวันตก ตั้งแต่ตอนล่างของทะเลญี่ปุ่นจนถึงอินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ในระดับความลึกตั้งแต่ 16-40 เมตร เป็นม้าน้ำที่มีขนาดเล็ก มีความยาวไม่เกิน 2.4 เซนติเมตร ภาพนี้เพื่อค้นหาม้าน้ำแคระ ม้าน้ำแคระเป็นม้าน้ำที่ปรับตัวให้มีสีตามลำตัวเหมือนกับสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ได้ดีมาก โดยจะเกาะอาศัยอยู่กับกัลปังหาสกุล Muricella เท่านั้น เท่าที่ทราบกันมีอยู่ 2 สี คือ สีเทามีตุ่มสีแดง (บนกัลปังหาชนิด Muricella plectana) และสีเหลืองมีตุ่มสีแสด (บนกัลปังหาชนิด M. papraplectana) และค่อย ๆ ปรับตัวจนมีลักษณะคล้ายกับหมู่กัลปังหาที่อาศัยอยู่ โดยตุ่มอยู่รอบ ๆ ตัวและส่วนปากของม้าน้ำชนิดนี้มีสีและรูปร่างที่กลมกลืนกับโพลิปของกัลปังหา ส่วนลำตัวจะมีรูปร่างคล้ายกิ่งก้านของกัลปังหา การพรางตัวเช่นนี้ได้ผลดีมากในการพรางตัวเพื่อหลบซ่อนจากสัตว์ผู้ล่า โดยกินสัตว์ทะเลขนาดเล็ก เช่น แพลงก์ตอน หรือครัสเตเชียนต่าง ๆ เป็นอาหาร Smith, Richard E. ม้าน้ำแคระถูกค้นพบครั้งแรกจากนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษากัลปังหา โดยได้ตัวอย่างต้นแบบแรกจากกัลปังหาที่เก็บขึ้นมาจากทะเล และมีรายงานว่าม้าน้ำแคระจะตายถ้าถูกจับแยกออกจากกัลปังห.

ใหม่!!: สัตว์และม้าน้ำแคระ · ดูเพิ่มเติม »

ม้าน้ำแคระซะโตะมิ

ม้าน้ำแคระซะโตะมิ (Satomi's pygmy seahorse) ปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกม้าน้ำ เป็นม้าน้ำขนาดเล็กที่สุดในโลก มีขนาดความยาวลำตัวเพียง 13.8 มิลลิเมตร (0.54 นิ้ว) และยาวเพียง 11.5 มิลลิเมตร (0.45 นิ้ว) เท่านั้น ถูกค้นพบครั้งแรกในทะเลใกล้หมู่เกาะเดราวัน ในรัฐกาลิมันตัน บนเกาะบอร์เนียว ประเทศอินโดนีเซีย โดย ซะโตะมิ โอะนิชิ ไกด์ดำน้ำชาวญี่ปุ่นที่เก็บตัวอย่างของม้าน้ำชนิดนี้ได้ และได้รับเกียรติให้ตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ ม้าน้ำแคระซะโตะมิเกาะเกี่ยวกับปะการัง การค้นพบม้าน้ำแคระซะโตะมิ ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 อันดับการค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของโลกในปี..

ใหม่!!: สัตว์และม้าน้ำแคระซะโตะมิ · ดูเพิ่มเติม »

ม้าน้ำเหลือง

ม้าน้ำเหลือง (Barbour's seahorse) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกม้าน้ำ ม้าน้ำเหลืองมีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 15 เซนติเมตร เมื่อโตเต็มที่แล้วลำตัวจะมีหนามแต่สั้น และไม่แหลมเหมือนม้าน้ำหนาม (H. spinosissimus) ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีลำตัวสีเหลือง ลักษณะเด่น คือ จะมีลายบริเวณรอบดวงตาจนถึงปลายปาก ไม่พบในน่านน้ำไทย แต่จะพบในทะเลแถบอินโดนีเซีย, ฟิลิปปิน และบางส่วนในประเทศมาเลเซีย เป็นม้าน้ำชนิดหนึ่งที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยง โดยลูกม้าน้ำวัยอ่อนเป็นชนิดที่อนุบาลได้ง่าย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และม้าน้ำเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ยา

thumb ยา เป็นวัตถุที่รับรองไว้ในตำรายาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศ, วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการวินิจฉัย บำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรคหรือความเจ็บป่วยของมนุษย์หรือสัตว์, วัตถุที่เป็นเภสัชเคมีภัณฑ์หรือเภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป หรือวัตถุที่มุ่งหมายสำหรับให้เกิดผลแก่สุขภาพ โครงสร้างหรือการกระทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายของมนุษย์หรือสัตว.

ใหม่!!: สัตว์และยา · ดูเพิ่มเติม »

ยามา (สัตว์)

ำหรับนักบวชในศาสนาพุทธนิกายวัชรยานแบบทิเบต ดูที่ ลามะ ยามา หรือ ลามา (llama,; llama, เสียงอ่าน:; llama) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในตระกูลอูฐ (camelid) ของทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นรู้จักกันอย่างแพร่หลายในวัฒนธรรมของชาวแอนดีสตั้งแต่สมัยก่อนการเข้ามาของชาวสเปน.

ใหม่!!: สัตว์และยามา (สัตว์) · ดูเพิ่มเติม »

ยาปฏิชีวนะ

การดื้อยาปฏิชีวนะในกลุ่มเพนิซิลลินอย่างรุนแรง ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics จากภาษากรีซโบราณ αντιβιοτικά, antiviotika) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterials) เป็นกลุ่มย่อยของยาอีกกลุ่มหนึ่งในกลุ่มยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial drugs) ซึ่งเป็นยาที่ถูกใช้ในการรักษาและป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยอาจออกฤทธิ์ฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสอง ยาปฏิชีวนะบางชนิดอาจมีคุณสมบัติเป็นมีคุณสมบัติเป็นสารต้านโพรโทซัวได้ เช่น เมโทรนิดาโซล ทั้งนี้ ยาปฏิชีวนะไม่มีฤทธิ์ในการต้านไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ เช่น ไข้หวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น โดยยาที่มีฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มยาต้านไวรัส ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยอีกกลุ่มหนึ่งของยาต้านจุลชีพ ในบางครั้ง คำว่า ยาปฏิชีวนะ (ซึ่งหมายถึง "การต่อต้านชีวิต") ถูกนำมาใช้เพื่อสื่อความถึงสารใดๆที่นำมาใช้เพื่อต้านจุลินทรีย์ ซึ่งมีความหมายเดียวกันกับคำว่า ยาต้านจุลชีพ บางแหล่งมีการใช้คำว่า ยาปฏิชีวนะ และ ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในความหมายที่แยกจากกันไป โดยคำว่า ยา (สาร) ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จะสื่อความถึง สบู่ และน้ำยาฆ่าเชื้อ ขณะที่คำว่า ยาปฏิชีวนะ จะหมายถึงยาที่ใช้ในทางการแพทย์เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย การพัฒนายาปฏิชีวนะเริ่มต้นในช่วงศตวรรษที่ 20 พร้อมกับการพัฒนาเรื่องการให้วัคซีนเพื่อป้องกันโรคจากเชื้อจุลชีพต่างๆ การเกิดขึ้นของยาปฏิชีวนะนำมาซึ่งการกำจัดโรคติดเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ออกไปหลายชนิด เช่น กรณีของวัณโรคที่ระบาดในประเทศกำลังพัฒนา อย่างไรก็ตาม ด้วยประสิทธิภาพที่ดีและการเข้าถึงยาที่ง่ายนำไปสู่การใช้ยาปฏิชีวนะในทางที่ผิด พร้อมๆกับการที่แบคทีเรียมีการพัฒนาจนกลายพันธุ์เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ ปัญหาดังข้างต้นได้แพร่กระจายเป็นวงกว้าง จนเป็นปัญหาสำคัญของการสาธารณสุขในทุกประเทศทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ได้ประกาศให้ปัญหาการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียเป็น "ปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่สุดที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลกและทุกคนล้วนจะต้องได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ ไม่ว่าวัยใด หรือประเทศใดก็ตาม".

ใหม่!!: สัตว์และยาปฏิชีวนะ · ดูเพิ่มเติม »

ยานพาหนะ

ักรยานยนต์เป็นยานพาหนะชนิดหนึ่ง ยานลอยตัวเป็นพาหนะชนิดหนึ่ง ยานพาหนะ หมายถึงวัตถุหรือสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายขนส่งไปได้ ยานพาหนะส่วนใหญ่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ อาทิ จักรยาน รถยนต์ จักรยานยนต์ รถไฟ เรือ และเครื่องบิน เป็นต้น หรือไม่ได้สร้างขึ้นโดยมนุษย์แต่สามารถเคลื่อนย้ายขนส่งไปได้ เช่น ภูเขาน้ำแข็งหรือท่อนซุงลอยน้ำ เป็นต้น ยานพาหนะสามารถชักจูงโดยสัตว์ เช่น รถม้าหรือเกวียนเทียมวัว อย่างไรก็ตามตัวสัตว์เองนั้นก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นยานพาหนะ ซึ่งรวมไปถึงมนุษย์ที่เคลื่อนย้ายขนส่งมนุษย์ด้วยกันเอง (คนอุ้มคน) ก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นยานพาหนะ แต่สัตว์และมนุษย์เหล่านั้นจะเรียกว่าเป็น พาหนะ (ไม่มีคำว่ายาน) ยานพาหนะแบ่งตามการเคลื่อนย้ายได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ยานพาหนะส่วนใหญ่ที่เคลื่อนย้ายขนส่งบนพื้นจะมีล้อ เช่น เกวียน, จักรยาน,รถยนต์ และรถไฟ และส่วนยานพาหนะที่ไม่ได้เคลื่อนที่บนพื้นมักถูกเรียกว่า craft เช่น watercraft, sailcraft, aircraft (อากาศยาน), hovercraft (ยานสะเทินน้ำสะเทินบก) และ spacecraft (ยานอวกาศ).

ใหม่!!: สัตว์และยานพาหนะ · ดูเพิ่มเติม »

ยุคสัมฤทธิ์

ำริดคือยุคที่มนุษย์อาศัยอยู่เป็นชุมชนที่ใหญ่ขึ้น ดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูก ปลูกข้าว มีการเลี้ยงสัตว์ ชีวิตความเป็นอยู่ได้ดีขึ้นกว่ายุคหิน รู้จักการทำสำริดเป็นเครื่องประดับ ยุคสำริดสิ้นสุดลงในช่วง 1206-1150 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จักรวรรดิฮิตไทต์ และอาณาจักรไมซีเนียล่มสลาย ยุคต่อมาหลังยุคสัมฤทธิ์ คือ ยุคเหล็ก.

ใหม่!!: สัตว์และยุคสัมฤทธิ์ · ดูเพิ่มเติม »

ยุง

ง เป็นแมลงที่พบได้ทั่วโลกแต่พบมากในเขตร้อนและเขตอบอุ่น โดยปกติ ตัวเมียมักจะกินเลือดเป็นอาหาร ส่วนตัวผู้มักจะกินน้ำหวานในดอกไม้ ยุงยังเป็นแมลงที่เป็นพาหะแพร่เชื้อโรคอีกด้วย เช่น ไข้เลือดออก ยุงทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 3,450 ชนิด แต่พบในประเทศไทยประมาณ 412 ชนิด แต่ที่คุ้นเคยกันดี คือ ยุงก้นปล่อง (Anopheles) และยุงลาย (Aedes).

ใหม่!!: สัตว์และยุง · ดูเพิ่มเติม »

ยุงยักษ์

Antennas in good detail ยุงยักษ์ (phantom midges) อยู่ในวงศ์ Chaoboridae อันดับ Diptera พบได้ทั่วไปในหลายพื้นที่ทั่วโลก มีลักษณะใกล้เคียงกับริ้นน้ำจืดในวงศ์ Chironomidae แต่งต่างกันที่ลักษณะเส้นปีก ตัวเต็มวัยกินน้ำหวานเป็นอาหาร ตัวอ่อนอาศัยในน้ำ มีวิธีกินอาหารเฉพาะ หนวดของตัวอ่อนยุงยักษ์ถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นอวัยวะจับเหยื่อ เช่น ตัวอ่อนของแมลงขนาดเล็กชนิดอื่นหรือสัตว์ในคลาสครัสเตเชียน เช่น ไรน้ำ Daphnia และลูกน้ำ ยุง เป็นต้น ตัวอ่อนใช้หนวดจะแทงหรือบี้เหยื่อแล้วนำเข้าปาก เมื่อเป็นตัวเต็มวัยบางครั้งจะบินขึ้นจากแหล่งน้ำเป็นฝูงขนาดใหญ.

ใหม่!!: สัตว์และยุงยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ยุงลาย

Aedes หรือยุงลาย เป็นสกุลของยุงที่เดิมพบในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน แต่ปัจจุบันพบได้ทุกทวีปยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกา กิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุทำให้ยุงลายบางสปีชีส์แพร่กระจาย Meigen อธิบายและตั้งชื่อเป็นครั้งแรกในปี..

ใหม่!!: สัตว์และยุงลาย · ดูเพิ่มเติม »

ยุงลายบ้าน

งลายบ้าน หรือยุงไข้เหลือง เป็นยุงที่สามารถแพร่ไวรัสไข้เด็งกี ชิคุนกุนยาและไข้เหลือง ตลอดจนโรคอื่น ๆ ได้ ยุงลายบ้านสามารถสังเกตได้จากรอยสีขาวที่ขาและเครื่องหมายรูปพิณโบราณ (lyre) บนอก ยุงลายบ้านมีกำเนิดในทวีปแอฟริกา แต่ปัจจุบันพบได้ในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก.

ใหม่!!: สัตว์และยุงลายบ้าน · ดูเพิ่มเติม »

ยูอินตาเทอเรียม

ูอินตาเทอเรียม (อังกฤษ:Uintatherium) ตัวใหญ่เท่าแรด กินพืชเป็นอาหาร อาศัยอยู่ในยุคเทอเชียรีเมื่อประมาณ 40 ล้านปีมาแล้ว ฟอสซิลของมันค้นพบที่แม่น้ำยูอินทา รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ทำให้มันได้ชื่อว่ายูอินตาเทอเรียม ยาวประมาณ 3.5 เมตร และสูงประมาณ 3 เมตร รูปร่างของมันเหมือนแรด แต่ที่จริงแล้วมันเป็นญาติห่างๆของม้.

ใหม่!!: สัตว์และยูอินตาเทอเรียม · ดูเพิ่มเติม »

ยูทาห์แรปเตอร์

ูทาห์แรปเตอร์ (Utahraptor) เป็นไดโนเสาร์เทอโรพอดครอบครัว โดรมีโอซอร์ หรือ แรพเตอร์ ชนิดหนึ่ง เป็นหนึ่งในไดโนเสาร์ครอบครัวโดรมีโอซอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด นอกจากนั้นมันยังมีขนาด 7 เมตร ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในครอบครัวนี้ ฟอสซิลของมันพบที่รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา (เพิ่มเติม:ก่อนที่ยูทาห์แรปเตอร์ จะเป็นโดรมีโอซอร์ที่ใหญ่ที่สุด ในอดีตเมก้าแรพเตอร์ยาว 9 เมตร เคยใหญ่ที่สุดมาก่อน แต่ปัจจุบันมันจัดอยู่ในครอบครัว เมกะโลซอร์) ยูทาห์แรปเตอร์เคยได้เป็นตัวละครไดโนเสาร์ ตัวเอกในสารคดีของบีบีซี ชุด ไดโนเสาร์อาณาจักรอัศจรร.

ใหม่!!: สัตว์และยูทาห์แรปเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ยูดิมอร์โฟดอน

ูดิมอร์โฟดอน (Eudimorphodon) เป็นเทอโรซอร์ชนิดหนึ่ง ถูกค้นพบในปี 1973 โดย Mario Pandolfi ที่เมืองเบอร์กาตา ประเทศอิตาลี และอธิบายในปีเดียวกันโดย Rocco Zambelli โครงกระดูกที่สมบูรณ์ครั้งแรกของมัน ถูกดึงมาจากหินดินดานฝากในช่วงยุคไทรแอสสิค ทำให้ ยูดิมอร์โฟดอนกลายเป็นเทอโรซอร์ที่เก่าแก่ที.

ใหม่!!: สัตว์และยูดิมอร์โฟดอน · ดูเพิ่มเติม »

ยูคลาโดเซรอส

วาดของยูคลาโดเซรอส ยูคลาโดเซรอส (Eucladoceros) เป็นสกุลของกวางขนาดใหญ่ ชื่อมีความหมายว่า เขาแยกเป็นหลายกิ่ง ค้นพบฟอสซิลที่ตะวันออกกลาง ยุโรป และเอเชีย ยูคลาโดเซรอส มีขนาดใหญ่ถึง 2.5 เมตร(8.2 ฟุต) ความยาวของลำตัวตอนยืนยาว 1.8 เมตร(5.9 ฟุต) ถือว่าเล็กกว่ากวางมูสในปัจจุบันเล็กน้อย มันมีเขาขนาดใหญ่ ซึ่งแตกกิ่งมากมาย รวมกันได้ 12 กิ่ง หมวดหมู่:สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมยุคก่อนประวัติศาสตร์ในทวีปเอเชีย หมวดหมู่:สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมยุคก่อนประวัติศาสตร์ในทวีปยุโรป หมวดหมู่:กวางยุคก่อนประวัติศาสตร์.

ใหม่!!: สัตว์และยูคลาโดเซรอส · ดูเพิ่มเติม »

ยูแคริโอต

ูแคริโอต (eukaryote) คือ สิ่งมีชีวิตที่เซลล์มีนิวเคลียสและโครงสร้างอื่น (ออร์แกเนลล์) อยู่ภายในเยื่อหุ้มเซลล์ ยูแคริโอตเป็นหน่วยอนุกรมวิธาน ยูคาร์ยาหรือยูแคริโอตา อย่างเป็นทางการ เยื่อหุ้มนิวเคลียสเป็นโครงสร้างที่นิยามเซลล์ยูแคริโอตแยกจากเซลล์โปรแคริโอต โดยภายในเยื่อหุ้มนิวเคลียสมีสารพันธุกรรม การมีนิวเคลียสเป็นที่มาของชื่อยูแคริโอต ซึ่งมาจากภาษากรีก ευ (eu, "ดี") และ κάρυον (karyon, "ผลมีเมล็ดเดียว" หรือ "เมล็ด") เซลล์ยูแคริโอตส่วนใหญ่ยังมีออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้มอื่นด้วย เช่น ไมโทคอนเดรียหรือกอลจิแอพพาราตัส นอกเหนือจากนี้ พืชและสาหร่ายยังมีคลอโรพลาสต์ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวหลายชนิดเป็นยูแคริโอต เช่น โปรโตซัว แต่สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ทุกชนิดเป็นยูแคริโอต ซึ่งได้แก่ สัตว์ พืชและเห็ดรา การแบ่งเซลล์ในยูแคริโอตแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีนิวเคลียส (โปรแคริโอต) มีกระบวนการแบ่งตัวสองประเภท คือ ไมโทซิสและไมโอซิส ไมโทซิสเป็นการที่เซลล์หนึ่งแบ่งตัวได้เซลล์ที่มีพันธุกรรมเหมือนกันสองเซลล์ ในไมโอซิสซึ่งจำเป็นในการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เซลล์ดิพลอยด์หนึ่ง (ซึ่งมีโครโมโซมสองชุด ชุดหนึ่งมาจากพ่อ อีกชุดหนึ่งมาจากแม่) มีการจับคู่โครโมโซมจากพ่อแม่แต่ละคู่ใหม่ แล้วผ่านการแบ่งเซลล์อีกสองขั้นตอน จนได้เซลล์แฮพลอยด์สี่เซลล์ (เซลล์สืบพันธุ์) เซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์มีโครโมโซมชุดเดียว ซึ่งเป็นการผสมโครโมโซมจากพ่อแม่คู่เดียวกัน โดเมนยูแคริโอตาดูเหมือนมาจากชาติพันธุ์เดียว (monophyletic) จึงเป็นหนึ่งในสามโดเมนของสิ่งมีชีวิต อีกสองโดเมน ได้แก่ แบคทีเรียและอาร์เคีย เป็นโปรแคริโอตและไม่มีคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้น ยูแคริโอตเป็นสิ่งมีชีวิตส่วนน้อยมาก อย่างไรก็ดี เนื่องจากยูแคริโอตมีขนาดใหญ่กว่ามาก มวลชีวภาพรวมทั่วโลกจึงประมาณว่าเท่ากับมวลชีวภาพของโปรแคริโอตWhitman, Coleman, and Wiebe,, Proc.

ใหม่!!: สัตว์และยูแคริโอต · ดูเพิ่มเติม »

ยูโรคอร์ดาตา

ูโรคอร์ดาตา มีชื่อสามัญว่า Tunicate เป็นสัตว์มีแกนสันหลังที่เป็นสัตว์น้ำเค็ม ไม่มีกะโหลกศีรษะ ไม่มีขากรรไกร มักแตกหน่อแล้วอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม บางชนิดอยู่โดดเดี่ยว มีการสร้างสารคลุมตัว เป็นสารประกอบพวกเซลลูโลส ที่เรียกว่าทูนิซินเพื่อให้คงรูปร่างอยู่ได้ ซีลอมไม่ชัดเจนเนื่องจากมีอวัยวะภายในบรรจุอยู่เต็ม ระบบหมุนเวียนเลือดเป็นแบบเปิด ไม่แยกเพศ การเจริญมีตัวอ่อนมีหางยาวใช้ว่ายน้ำ มีโนโตคอร์ดไขสันหลังบริเวณหาง เมื่อเจริญเป็นตัวเต็มวัยหางจะค่อยๆสลายไปจนไม่มีหาง เหลือโนโตคอร์ดและไขสันหลังบริเวณลำตัวบ้างเท่านั้น เช่น เพรียงลอย เพรียงสาย เพรียงหัวหอม แบ่งย่อยได้เป็น 3 คลาส คือ.

ใหม่!!: สัตว์และยูโรคอร์ดาตา · ดูเพิ่มเติม »

ยูโอโพลเซอฟารัส

ูโอโพลเซอฟารัส (Euoplocephalus) เป็นไดโนเสาร์แองคีลอซอร์หรือไดโนเสาร์ฟุ้มเกราะชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนปลาย ร่างกายของมันหุ้มเกราะ ขนาดของมันประมาณ 6 เมตร มีลูกตุ้มอยู่ที่หาง ลูกตุ้มนั้นหนักถึง 29 กิโลกรัม ดังนั้นยูโอโพลเซอฟาลัสจึงกลายเป็นรถถังแห่งยุคครีเทเชี.

ใหม่!!: สัตว์และยูโอโพลเซอฟารัส · ดูเพิ่มเติม »

ยูเธอเรีย

ยูเธอเรีย (Infarclass Eutheria) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง เป็นชั้นฐานของเธอเรีย หมวดหมู่:สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม.

ใหม่!!: สัตว์และยูเธอเรีย · ดูเพิ่มเติม »

ยีราฟ (สกุล)

thumb ยีราฟ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Giraffa) เป็นสกุลหนึ่งของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ Giraffidae เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง มีลักษณะเด่น คือ เป็นสัตว์ที่ตัวสูง ขายาว ลำคอยาว มีเขา 1 คู่ ตัวมีสีเหลืองและสีน้ำตาลเข้มเป็นลาย มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา ตัวผู้มีความสูง 4.8 ถึง 5.5 เมตร (16-18 ฟุต) และมีน้ำหนักถึง 900 กิโลกรัม (2,000 ปอนด์) ตัวเมียมีขนาดและความสูงน้อยกว่าเล็กน้อย จัดเป็นสัตว์บกที่มีความสูงที่สุดในโลก ยีราฟ มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย ไม่ผลัดเขา ที่เขามีขนปกคลุมอยู่ เขาของยีราฟเป็นสิ่งแสดงถึงความแตกต่างระหว่างเพศ เขาของยีราฟตัวผู้ด้านบนมีลักษณะตัดราบเรียบและมีความใหญ่อวบกว่า ขณะที่ของตัวเมียจะมีขนสีดำปกคลุมเห็นเป็นพุ่มชัดเจน มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมเป็นฝูงราว 15-20 ตัว หรือมากกว่านั้น ในทุ่งโล่งร่วมกับสัตว์กินพืชชนิดอื่น ๆ เช่น แอนทิโลป, ม้าลาย หรือนกกระจอกเทศ เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 3 ปีครึ่ง ตั้งท้องนาน 420-461 วัน ลูกยีราฟหย่านมเมื่ออายุได้ 10 เดือน เมื่อคลอดออกมาแล้วจะสามารถยืนและเดินได้ภายในเวลาไม่นานเหมือนสัตว์กีบคู่ทั่วไป และวิ่งได้ภายในเวลา 2-3 วัน ตัวเมียมีเต้านมทั้งหมด 4 เต้า ยีราฟจะเป็นสัดทุก ๆ 14 วัน แต่ละครั้งเป็นอยู่ราว 24 ชั่วโมง มีอายุขัยเฉลี่ย 20-30 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และยีราฟ (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ยีราฟมาไซ

ีราฟมาไซ (Masai giraffe, Maasai giraffe) เป็นสปีซีส์ของยีราฟ (Giraffa) ชนิดหนึ่ง ยีราฟมาไซ พบกระจายพันธุ์มากที่สุดทางตอนใต้ของประเทศเคนยาและในประเทศแทนซาเนีย มีลักษณะเด่น คือ มีลายเป็นแผ่นเล็ก ขอบเป็นหยักขึ้นลงไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ซึ่งแตกต่างไปจากยีราฟชนิดอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด และตั้งแต่หัวเข่าลงไปจนถึงข้อเท้าจะเป็นสีขาว ไม่มีลาย ยีราฟมาไซ ในตัวผู้มีน้ำหนักตั้งแต่ 1,100–1,900 กิโลกรัม ตัวเมีย 700 กิโลกรัม ตัวผู้มีความสูงประมาณ 5.5 เมตรหรือสูงกว่า ในขณะที่ตัวเมียประมาณ 4.9 เมตร ความยาวลำตัวประมาณ 2.5–3.7 เมตร ความยางหาง 75–130 เซนติเมตร อายุโดยเฉลี่ย 20–28 ปี ลายของยีราฟมาไซ.

ใหม่!!: สัตว์และยีราฟมาไซ · ดูเพิ่มเติม »

ยีราฟรอทส์ไชลด์

ีราฟรอทส์ไชลด์ (Rothschild's giraffe) เป็นชนิดย่อยของยีราฟ (G. camelopardalis) ชนิดหนึ่ง ยีราฟรอทส์ไชลด์ มีลักษณะและพฤติกรรมทั่วไปเหมือนยีราฟชนิดอื่น ๆ ต่างกันตรงที่บริเวณข้อเท้าจนถึงหัวเข่าจะมีสีขาวคล้ายสวมถุงเท้า โดยชื่อสามัญและชื่อวิทยาศาสตร์นั้นตั้งมาจากชื่อของลอร์ด วอลเตอร์ รอทส์ไชลด์ นักสัตววิทยาชาวอังกฤษที่เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการสำรวจแอฟริกาเมื่อกว่า 100 ปีก่อน ปัจจุบันยีราฟรอทส์ไชลด์ถือเป็นยีราฟชนิดหนึ่งที่หายากที่สุดในโลก โดยเหลืออยู่ไม่เกิน 670 ตัวในโลกเท่านั้น ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเคนยาและยูกันดา ในอดีตถือเป็นสัตว์เฉพาะถิ่นของเคนยา แต่ใกล้สูญพันธุ์เพราะการล่าจากมนุษย์และสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ต่อมาได้มีสวนสัตว์เอกชนได้เพาะขยายพันธุ์จนถึงมีปริมาณมากขึ้นและนำปล่อยสู่ธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และยีราฟรอทส์ไชลด์ · ดูเพิ่มเติม »

ยีราฟลายร่างแห

ีราฟลายร่างแห หรือ ยีราฟโซมาลี (Reticulated giraffe, Somali giraffe) เป็นสปีชีส์ของยีราฟ (Giraffa) ชนิดหนึ่ง ยีราฟลายร่างแห มีลักษณะและพฤติกรรมเหมือนกับยีราฟชนิดอื่นทั่วไป มีความแตกต่างที่ลวดลายมีขนาดใหญ่ และมีเส้นสีขาวตัดเส้นอยู่รอบ ๆ เห็นชัดเจน บางลายจะปรากฏเป็นสีแดงเข้ม และลวดลายนี้พบได้จนถึงช่วงขา ยีราฟลายร่างแห เป็นหนึ่งในยีราฟที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด และพบได้ตามสวนสัตว์ทั่วไปเหมือนกับยีราฟรอทส์ไชลด์ (G. c. rothschildi) พบกระจายพันธุ์ในโซมาลี, ตอนเหนือของเคนยา และตอนใต้ของเอธิโอเปีย ในเขตอนุรักษ์แห่งชาติแซมบูรู ในเคนยา ยีราฟลายร่างแห ถือเป็นไฮไลต์หรือจุดสนใจในบรรดาสัตว์ป่า 5 ชนิด ที่พบได้ในนั้น ซึ่งประกอบไปด้วย ยีราฟลายร่างแห, เจเรนุค, นกกระจอกเทศโซมาลี, ม้าลายเกรวี และไบซาออริคส์ ปัจจุบัน ยีราฟลายร่างแหเหลือเพียงประมาณ 500 ตัวเท่านั้นในโลก ในประเทศไทย ในเดือนมกราคม..

ใหม่!!: สัตว์และยีราฟลายร่างแห · ดูเพิ่มเติม »

ยีราฟใต้

ีราฟใต้ หรือ ยีราฟแอฟริกาใต้ (Southern giraffe, South African giraffe) เป็นสปีซีส์ของยีราฟ (Giraffa) ชนิดหนึ่ง ยีราฟใต้ กระจายพันธุ์อยู่ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา เช่น บอตสวานา, แอฟริกาใต้, นามิเบีย อันเป็นที่มาของชื่อ มีลักษณะและพฤติกรรมทั่วไปคล้ายกับยีราฟชนิดอื่น ต่างกันตรงที่ ยีราฟใต้มีลวดลายใหญ่เหมือนแผ่นกระเบื้องสีน้ำตาลส้มหรือสีส้มขนาดใหญ่กว่า และกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ จนถึงข้อเท้.

ใหม่!!: สัตว์และยีราฟใต้ · ดูเพิ่มเติม »

ราชสีมาซอรัส

ราชสีมาซอรัส สุรนารีเอ (Ratchasimasaurus suranareae) เป็นไดโนเสาร์ประเภทกินพืช จัดอยู่ในกลุ่มที่มีสะโพกแบบนก (ออร์นิโธพอด) กลุ่มเดียวกับอิกัวโนดอน พบกรามล่างซ้าย ในชั้นหินกรวดมนปนปูน หมวดหินโคกกรวด ซึ่งอยู่ในสมัยแอปเทียน (Aptian) ยุคครีเทเชียสตอนต้น หรืออายุประมาณ 100 ล้านปีก่อน แหล่งที่พบคือบริเวณสระน้ำของหมู่บ้านโป่งแมลงวัน ตำบลโคกกรวด อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา การค้นพบนี้ เป็นผลงานวิจัยร่วมกันของนักวิจัยจากสถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินฯ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ฟูกูอิ ประเทศญี่ปุ่น คณะผู้วิจัยได้ให้ชื่อสกุลของไดโนเสาร์นี้ว่า "ราชสีมาซอรัส" ตามชื่อแบบสั้นของจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นแหล่งค้นพบ และให้ชื่อเฉพาะชนิดพันธุ์ว่า "สุรนารีเอ" ตามชื่อของท้าวสุรนารี วีรสตรีของจังหวัดนครราชสีมา แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ไดโนเสาร์นี้ ไม่ได้วิจัยโดย นักไดโนเสาร์ (Dinosaurologist) โดยตรง.

ใหม่!!: สัตว์และราชสีมาซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

รายการสัตว์

รายชื่อสัตว์ เป็นการรวบรวมรายชื่อของสัตว์ทุกไฟลัมและสปีชีส์ไว้ เพื่อเป็นการสะดวกต่อค้นหา การศึกษา ค้นคว้าเกี่ยวกับสัตว์ ได้แก่ สัตว์บก • สัตว์น้ำ • สัตว์ปีก • สัตว์เลื้อยคลาน • สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก เรียงตามลำดับตัวอักษร สำหรับผู้ที่จะเพิ่มเติมรายชื่อสัตว์ ขอให้เรียงลำดับตามตัวอักษร เพื่อให้ง่ายต่อการเพิ่มเติมรายชื่อ ในส่วนของรายชื่อสัตว์ที่มีคนเริ่มเขียนบทความแล้วดูได้ที่ หมวดหมู่ รายชื่อสัตว์ และ สัตว์ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ หมวดหมู่:สัตว์.

ใหม่!!: สัตว์และรายการสัตว์ · ดูเพิ่มเติม »

รายการหมู่ระบบทศนิยมดิวอี้

การจัดหมู่ระบบทศนิยมดิวอี้เป็นระบบการจำแนกห้องสมุดประกอบด้วย 10 หมวดใหญ่ (class) แต่ละหมวดใหญ่แบ่งเป็นสิบหมวดย่อย (division) แต่ละหมวดย่อยมีสิบหมู่ย่อย (section) ตัวอย่างเช่น หมวดใหญ่ 600 ("เทคโนโลยี") มีหมวดย่อย 630 ("เกษตรกรรมและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง") ซึ่งมีหมู่ย่อย 636 ("การเลี้ยงสัตว์") ในทางปฏิบัติ มีทั้งหมด 99 จาก 100 หมวดย่อยและ 908 จาก 1000 หมู่ย่อย เนื่องจากบางส่วนเลิกใช้แล้วหรือยังไม่กำหน.

ใหม่!!: สัตว์และรายการหมู่ระบบทศนิยมดิวอี้ · ดูเพิ่มเติม »

รายการความเข้าใจผิดที่พบบ่อย

รายการความเข้าใจผิดที่พบบ่อย นี้แก้ความเชื่อและความเข้าใจผิด ๆ ที่แพร่หลายในปัจจุบัน ในประเด็นต่าง ๆ ที่น่าสนใจ โดยมีแหล่งอ้างอิงที่ได้กำหนดความเข้าใจผิดคู่กับความจริงแต่ละอย่างแล้ว ให้สังเกตว่า แต่ละรายการเขียนโดยเป็นการแก้ไข และอาจไม่ได้กล่าวถึงความเข้าใจผิดเองตรง.

ใหม่!!: สัตว์และรายการความเข้าใจผิดที่พบบ่อย · ดูเพิ่มเติม »

ริ้นน้ำจืด

ริ้นน้ำจืด (chironomids หรือ non-biting midges) อยู่ในวงศ์ Chironomidae อับดับ Diptera พบได้ทั่วโลก มีลักษณะใกล้เคียงกับริ้นน้ำเค็มในวงศ์ Ceratopogonidae ริ้นดำ ในวงศ์ Simuliidae หลายชนิดคล้ายกับ ยุง มาก แตกต่างที่ไม่มีเกล็ดที่ปีกและปากที่ยาว มีขนาดยาว 1-9 มิลลิเมตร จำแนกชนิดแล้วมากกว่า 5,000 ชนิด ตัวผู้มีหนวดแบบพู่ขน ตัวเต็มวัยบางครั้งเรียกว่า "lake flies" ในประเทศ แคนาดา "sand flies", "muckleheads", or "muffleheads" ในหลายภูมิภาคในประเทศสหรัฐอเมริกา "blind mosquitoes" or "chizzywinks" ในรัฐ ฟลอริดา USA.

ใหม่!!: สัตว์และริ้นน้ำจืด · ดูเพิ่มเติม »

ริ้นน้ำตก

ริ้นน้ำตก อยู่ในวงศ์ Blephariceridae อันดับย่อย Nematocera อันดับ Diptera ตัวเต็มวัยคล้าย แมลงวันแมงมุม ยกเว้นที่ลักษณะปีกและรูปร่างหัว อกปล้องกลางไม่มีรูปตัว V มีหลายสิบสกุล และมากกว่า 200 ชนิดทั่วโลก พบใกล้ลำธารที่ไหลเร็ว หรือน้ำตก ซึ่ง ตัวอ่อน อาศัยอยู่ ตัวอ่อนเป็นพวกกรองกินอาหาร มีอวัยวะดูดที่แผ่นแข็งด้านล่างทของส่วนท้องใช้เพื่อเกาะยึดกับหินในน้ำเชี่ยวที่พวกมันอาศัยอยู่ อวัยวะดูดบางครั้งเรียกว่า creeping welts.

ใหม่!!: สัตว์และริ้นน้ำตก · ดูเพิ่มเติม »

ริ้นน้ำเค็ม

ริ้นน้ำเค็ม (biting midges, no-see-ums, midgies, sandflies, punkies) อยู่ในวงศ์ Ceratopogonidae อันดับ Diptera มีประมาณ 4,000 ชนืด ขนาดเล็ก (ยาว 1-5 มิลลิเมตรแต่ส่วนมากประมาณ 3 มิลลิเมตร) พบในน้ำหรือบริเวณใกล้ๆน้ำ ทั่วโลก ตัวเมียของหลาย ชนิด กิน เลือด จากสัตว์ สกุล Culicoides Forcipomyia (Lasiohelea) และ Leptoconops กิน เลือด สัตว์มีกระดูกสันหลัง บางชนิดของสกุล Atrichopogon และ Forcipomyia เป็น ปรสิตภายนอก ของแมลงขนาดใหญ่ สกุล Dasyhelea กินน้ำหวาน สกุล อื่นๆเป็น ตัวห้ำ ของแมลงขนาดเล็กๆ ตัวอ่อน พบในสถานที่ชื้น เช่น ใต้ เปลือกไม้ ไม้ผุ ส่วนผสมของปุ๋ย โคลน ขอบลำธาร โพรงต้นไม้ หรือในพืชที่อุ้มน้ำ (เช่น phytotelmata) หลาย ชนิด ของกลุ่ม hematophagic (กินเลือด) เป็นแมลงรบกวนที่ ชายหาด หรือ ภูเขา บางชนิด เป็น แมลงผสมเกสร ที่สำคัญของ พืชไร่ ในเขตร้อน เช่น โกโก้ ชนิดที่ดูดเลือดอาจเป็น พาหะนำโรค ของ โรค ที่เกิดจาก ไวรัส โปรโตซัว และ หนอนฟิลาเรียล การกัดของสกุล Culicoides เป็นสาเหตุให้เกิดอาการแพ้ใน สัตว์กลุ่มม้า (equine) มีชื่อโรคว่า sweet itch และทำให้มนุษย์เกิดการคันมาก เป็นแนวแดงเป็นสัปดาห์ การแพ้เกิดจากปฏิกิริยาของโปรตีนในน้ำลาย ชนิดที่มีขนาดเล็กมากสามารถลอดผ่านช่องตะแกรงของ มุ้งลวดหน้าต่าง ธรรมดา ช่องของ เต๊นท์ พวกนี้ถูกดักจับได้ด้วยตาข่ายพิเศษที่ถี่กว่าปกต.

ใหม่!!: สัตว์และริ้นน้ำเค็ม · ดูเพิ่มเติม »

รูปหลายเหลี่ยม

ในทางเรขาคณิต รูปหลายเหลี่ยม (อังกฤษ: polygon) ตามความหมายดั้งเดิม หมายถึงรูปร่างอย่างหนึ่งที่เป็นรูปปิดหรือรูปครบวงจรบนระนาบ ซึ่งประกอบขึ้นจากลำดับของส่วนของเส้นตรงที่มีจำนวนจำกัด ส่วนของเส้นตรงเหล่านั้นเรียกว่า ขอบ หรือ ด้าน และจุดที่ขอบสองข้างบรรจบกันเรียกว่า จุดยอด หรือ เหลี่ยม (corner) ภายในรูปหลายเหลี่ยมบางครั้งก็เรียกว่า เนื้อที่ (body) รูปหลายเหลี่ยมเป็นวัตถุในสองมิติ ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งของพอลิโทป (polytope) ที่อยู่ใน n มิติ ด้านสองด้านที่บรรจบกันเป็นเหลี่ยม เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเกิดมุมที่ไม่เป็นมุมตรง (180°) ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ส่วนของเส้นตรงทั้งสองจะถูกพิจารณาว่าเป็นด้านเดียวกัน ความคิดทางเรขาคณิตพื้นฐานได้ถูกดัดแปลงไปในหลากหลายทาง เพื่อที่จะทำให้เข้ากับจุดประสงค์เฉพาะ ตัวอย่างเช่นในสาขาวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ คำว่า รูปหลายเหลี่ยม ถูกนำไปใช้และมีการเปลี่ยนแปลงความหมายไปโดยเล็กน้อย ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการบันทึกและจัดการรูปร่างภายในคอมพิวเตอร์มากขึ้น รูปหลายเหลี่ยม หลายชน.

ใหม่!!: สัตว์และรูปหลายเหลี่ยม · ดูเพิ่มเติม »

รีดบัก

รีดบัก (Reedbuck) เป็นแอนทิโลปขนาดกลาง ในวงศ์ย่อย Reduncinae หรือแอนทิโลปบึง มีความสูงประมาณ 60 ถึง 90 เซนติเมตร สีขนน้ำตาลแดง พบในแอฟริกาตะวันออก เช่น โมซักบิก, บอตสวานา, โซมาเลีย และบางส่วนของแทนซาเนีย รีดบัก มีลักษณะเด่น คือ มีต่อมกลิ่นที่แผ่นหนังสีดำใต้ใบหูทั้งสองข้างเห็นได้ชัดเจน ตัวผู้มีเขาที่โง้งไปด้านหน้า ตัวเมีนไม่มีเขา อาศัยอยู่ตามบริเวณที่เป็นดงกก หรือดงอ้อ รวมถึงพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ เช่น หนอง, บึง และแม่น้ำที่อยู่ติดกับทุ่งหญ้า เป็นสัตว์ที่ดื่มน้ำโดยการสะสมความชื้นที่ได้จากพืชที่กินเข้าไปก็จะสามารถอดน้ำได้เป็นเวลานาน.

ใหม่!!: สัตว์และรีดบัก · ดูเพิ่มเติม »

รีดบักโบฮอร์

รีดบักโบฮอร์ (Bohor reedbuck) เป็นแอนทิโลปขนาดกลาง ที่พบได้ในแอฟริกากลาง ตัวผู้มีน้ำหนักตัวประมาณ 45–60 กิโลกรัม ตัวเมีย 35–45 กิโลกรัม ความสูงตั้งแต่กีบเท้าจนถึงหัวไหล่ 75–85 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 1.2–1.4 เมตร อายุโดยเฉลี่ย 10 ปี มีเขาเฉพาะตัวผู้ที่โง้งงุ้มไปทางด้านหน้าของส่วนหัว ตัวเมียไม่มีเขา มีจุดเด่น คือ มีต่อมกลิ่นเป็นแผ่นหนังสีดำที่ใต้หูทั้งสองข้างเห็นได้ชัดเจน อาศัยอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ดงกก, ดงอ้อ, ริมหนองหรือบึง หรือแม่น้ำที่ติดกับทุ่งหญ้า กินใบไม้, หญ้า รวมถึงดอกไม้ตูมในฤดูแล้ง เมื่อสะสมความชื้นจากพืชที่กินเข้าไปแล้วก็จะสามารถอดน้ำได้เป็นเวลานาน รีดบักโบฮอร์ ที่โตเต็มวัยแล้วมักตกเป็นเหยื่อของสิงโตและฝูงไฮยีนา ส่วนในวัยที่ยังไม่โตเต็มที่ก็จะถูกเสือดาว, เสือชีตาห์, ไฮยีนา, แมวป่า, อินทรีขนาดใหญ่ และงูเหลือมล่าเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในป่าแอฟริกาตอนกลางจนถึงแอฟริกาตะวันออกไปจนถึงตะวันตก แบ่งออกเป็นชนิดย่อยได้ 5 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และรีดบักโบฮอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ลอริส

ลอริส (Loris) เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานรหรืออันดับไพรเมตวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lorisinae จัดอยู่ในวงศ์ใหญ่ Lorisidae หรือลิงลม สมาชิกในวงศ์ย่อยนี้ล้วนแต่เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน พบกระจายพันธุ์ในป่าดิบและป่าประเภทอื่น ๆ รวมถึงป่าเสื่อมโทรมหรือชายป่าใกล้กับชุมชนของมนุษย์ในภูมิภาคเอเชียใต้ เช่น อินเดีย, ศรีลังกา, ปากีสถาน, เนปาล จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในส่วนที่เป็นผื่นแผ่นดินใหญ่ และส่วนที่เป็นหมู่เกาะต่าง ๆ เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน โดยใช้ชีวิตและหากินบนต้นไม้เป็นหลัก มีความสามารถปีนป่ายต้นไม้ในส่วนต่าง ๆ ได้เก่ง มีการทรงตัวที่ดีเยี่ยม มีลักษณะเด่นคือ มีดวงตาที่กลมโตขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน ใช้สำหรับการมองในเวลากลางคืน เป็นสัตว์ที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ แต่จะกินสัตว์เล็ก ๆ เช่น แมงหรือแมลงต่าง ๆ, สัตว์เลื้อยคลาน, ไข่นกหรือลูกนก หรือกระทั่งนกขนาดเล็กที่โตเต็มตัวหรือค้างคาว หรือแม้กระทั่งทาก เป็นอาหารหลัก และจะกินพืช เช่น ยางไม้, ลูกไม้, ผลไม้, ใบไม้ เป็นอาหารรองลงไป ลิงลมตัวเมียบางครั้งจะทิ้งลูกอ่อนไว้ในรังเมื่อออกไปหากิน สามารถผลิตพิษได้จากสารเคมีที่คล้ายน้ำมันที่หลั่งมาจากนิ้วมือและข้อศอกผสมกับน้ำลาย พิษนี้มีฤทธิ์ในการทำลายเนื้อเยื่อ แม้แต่ลิงลมวัยอ่อนหรือขนาดเล็กก็มีพิษนี้แล้ว แม้ปัจจุบันจะยังไม่ทราบเป็นที่แน่ชัดว่ามีไวส้เพื่ออะไร แต่ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายทั้งเป็นการกำจัดปรสิตที่มาเกาะตามขน หรือป้องกันตัวจากสัตว์ใหญ่กว่า เช่น หมี หรืออุรังอุตังที่กินลิงลมเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และลอริส · ดูเพิ่มเติม »

ลอริซิเฟอรา

ลอริซิเฟอรา เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:ไฟลัม.

ใหม่!!: สัตว์และลอริซิเฟอรา · ดูเพิ่มเติม »

ละองละมั่ง

thumb thumb ละองละมั่ง (Eld's deer, Thamin, Brow-antlered deer; Pitraa, Fickela, Meijaard, Groves (2004). Evolution and phylogeny of old world deer. Molecular Phylogenetics and Evolution 33: 880–895.) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่ชนิดหนึ่ง เป็นกวางขนาดกลาง ขนตามลำตัวสีน้ำตาลแดง แต่สีขนจะอ่อนลงเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน ขนหยาบและยาว ในฤดูหนาวขนจะยาวมาก แต่จะร่วงหล่นจนดูสั้นลงมากในช่วงฤดูร้อน ในตัวผู้จะเรียกว่า ละอง ตัวเมียซึ่งไม่มีเขาจะเรียกว่า ละมั่ง แต่จะนิยมเรียกคู่กัน สันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากภาษาเขมรคำว่า "ลำเมียง" (រេបីស) ละองตัวที่ยังโตไม่เต็มวัยจะมีขนแผงคอที่ยาว ลูกแรกเกิดจะมีจุดสีขาวกระจายอยู่รอบตัว และจุดนี้จะจางหายเมื่ออายุมากขึ้น ขอบตาและริมฝีปากล่างมีสีขาว มีความยาวลำตัวและหัว 150–170 เซนติเมตร ความยาวหาง 220–250 เซนติเมตร น้ำหนัก 95–150 กิโลกรัม ถูกแบ่งออกเป็น 3 ชนิดย่อย ในประเทศไทยพบ 2 ชนิดได้แก่ ละองละมั่งพันธุ์ไทยที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ละองละมั่งพันธุ์พม่า ซันไก.

ใหม่!!: สัตว์และละองละมั่ง · ดูเพิ่มเติม »

ละคร

ละคร หมายถึงการแสดงรำที่เป็นเรื่องเป็นราว ดำเนินเรื่องไปโดยลำดับ มีตัวเอกของเรื่อง ฝ่ายชายเรียกว่าตัวพระ เพราะสมัยโบราณแสดงแต่เรื่องจักรๆวงศ์ๆ เป็นเรื่องของกษัตริย์ มีชื่อว่าพระต่างๆ เช่น พระอนิรุทธิ์ พระไชยเชษฐ์ พระอภัยมณี ฝ่ายหญิงเรียกว่า ตัวนาง เพราะในเรื่องที่แสดงมักชื่อว่านางต่างๆ เช่น นางสีดา นางบุษบา นางทิพย์เกสร ยังไม่มีการแบ่งเป็นนางสาวและนางที่มีสามีแล้ว และตัวประกอบอื่นๆแล้วแต่ในเรื่องจะมีละครมีหลายแบบ แต่ละวฝฝใมีการแสดงและความมุ่งหมายแตกต่างกัน เช่น ละครโนรา ละครนอก ละครใน ละครถาม😴😴😴😴😴 และละครดึกดำบรรพ์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีการจดบันทึกโดย ซิมง เดอ ลาลูแบร์ ราชฑูตแห่งราชอาณาจักรฝรั่งเศส ใน ปี..

ใหม่!!: สัตว์และละคร · ดูเพิ่มเติม »

ลา

ลา (donkey หรือ ass) เป็นสัตว์สี่เท้าชนิดที่มีกีบเท้าเดียวชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Equidae บรรพบุรุษที่เป็นสัตว์ป่าของลาคือลาป่าแอฟริกา (E. africanus) ถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสต์ศักราชRossel S, Marshall F et al.

ใหม่!!: สัตว์และลา · ดูเพิ่มเติม »

ลาป่าทิเบต

ลาป่าทิเบต (kiang) เป็นลาป่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีถิ่นกำเนิดในที่ราบสูงทิเบตซึ่งมีอาศัยแบบทุ่งหญ้าเทือกเขาสูง สูงจากระดับน้ำทะเล 4000-7000 ม. มีการกระจายพันธุ์ถึงลาดัคห์ในประเทศอินเดีย, ในราบของที่ราบสูงทิเบตและตอนเหนือของประเทศเนปาลต่อไปยังชายแดนเขตปกครองตนเองทิเบตด้วย ชื่อสามัญอื่นๆของลาป่าทิเบตก็มี: Tibetan wild ass, khyang, และ gorkhar.

ใหม่!!: สัตว์และลาป่าทิเบต · ดูเพิ่มเติม »

ลาป่าแอฟริกา

ลาป่าแอฟริกา (African Wild Ass) เป็นลาป่าที่อยู่ในวงศ์ Equidae เชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษของลาบ้านซึ่งปกติจัดไว้อยู่ในสปีชีส์เดียวกัน อาศัยอยู่ในทะเลทรายและพื้นที่แห้งแล้งอื่นๆทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ในประเทศเอริเทรีย, ประเทศเอธิโอเปียและประเทศโซมาเลีย ก่อนหน้านี้ลาป่าแอฟริกามีการกระจายพันธุ์กว้างจากทางเหนือถึงตะวันตก ในประเทศซูดาน, ประเทศอียิปต์ และ ประเทศลิเบีย ปัจจุบันเหลือประมาณ 570 ตัวในป.

ใหม่!!: สัตว์และลาป่าแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

ลำดับสงวน

accessdate.

ใหม่!!: สัตว์และลำดับสงวน · ดูเพิ่มเติม »

ลิสแซมฟิเบีย

ลิสแซมฟิเบีย (ชั้นย่อย: Lissamphibia) เป็นชั้นย่อยของสัตว์มีกระดูกสันหลังในชั้นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ (Amphibia) โดยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lissamphibia จากการศึกษาทางด้ายภายวิภาคศาสตร์และระดับโมเลกุลพบว่า ลิสแซมฟิเบียเป็นวิวัฒนาการเดี่ยวแยกจากสัตว์สี่เท้ากลุ่มอื่นที่ดำรงชีวิตและสืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนปัจจุบัน กล่าวคือ เมื่อระยะเวลาราว 30 ล้านปีมาแล้ว ที่ได้มีสัตว์สี่เท้าถือกำเนิดขึ้นมา เป็นช่วงปลายยุคคาร์บอนิเฟอรัส ซึ่งช่วงนี้มีความสำคัญมากกับวิวัฒนาการของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำกลุ่มแรก รวมทั้งวิวัฒนาการของสัตว์กลุ่มแอมนิโอต เนื่องจากในช่วงนี้หลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์สี่ขาหลายกลุ่มปะปนกัน เช่น เทมโนสปอนเดิล, แอนธราโคซอร์, แอมนิโอตกลุ่มแรก เป็นต้น ปัจจุบัน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำทั้งหมดที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน ต่างก็เป็นลิสแซมฟิเบียทั้งหมด คือ Anura, Caudata และGymnophiona และเชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในยุคพาลีโอโซอิกตอนปลายอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และลิสแซมฟิเบีย · ดูเพิ่มเติม »

ลิงบาบูน

ลิงบาบูน (Baboons; بابون) เป็นสกุลของลิง ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Papio ลิงบาบูนเป็นลิงที่จัดได้ว่ามีขนาดใหญ่ แขนและขายาวเท่ากัน ทำให้สามารถเดินด้วยขาทั้ง 4 ข้างได้เป็นอย่างดี ขณะที่ส่วนหางที่สั้น และร่างกายที่กำยำแข็งแรง ทำให้วิ่งได้รวดเร็วพอ ๆ กับม้า ลิงบาบูนส่วนมากจะหากินและอาศัยบนพื้นดินมากกว่าขึ้นต้นไม้ ตามแถบที่โล่งกว้างมากกว่าที่รกชัฏ โดยจะขึ้นต้นไม้เฉพาะตอนนอนเท่านั้น หากินในเวลากลางวัน มีลักษณะเด่น คือ มีใบหน้ายาวเหมือนสุนัข และมีฟันเขี้ยวที่แข็งแรงและยาวโง้ง มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง อาจถึง 200-300 ตัว มีตัวผู้ขนาดใหญ่เป็นจ่าฝูง หากินผลไม้ เมล็ดพืช ตลอดจนสัตว์ขนาดเล็กอย่างแมงป่องและแมงมุมโดยการพลิกก้อนหินหา หรือแม้กระทั่งล้มสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น ไก่ฟ้า หมูป่า หรือแอนทิโลปที่เป็นตัวลูกหรือตัวขนาดเล็กกินเป็นอาหารได้ ลิงบาบูนขึ้นชื่อว่าเป็นลิงที่มีอุปนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว เนื่องจากเป็นลิงที่กินเนื้อเป็นอาหารหลัก โดยอาจโจมตีทำร้ายมนุษย์ได้ด้วย แต่กระนั้นก็ยังมีผู้นำมาฝึกให้เล่นละครลิงหรือละครสัตว์ได้ นอกจากนี้แล้ว ลิงบาบูนยังเป็นลิงที่สามารถออกเสียงได้เหมือนกับเสียงสระในภาษาอังกฤษได้อีกด้วย เนื่องจากมีกล้ามเนื้อลิ้นที่สร้างความแตกต่างในการออกเสียงแต่ละสระได้เหมือนกับมนุษย์ และถึงแม้ว่าจะมีกล่องเสียงสูง ซึ่งต่างจากมนุษย์ที่ออกเสียงด้วยการใช้กล่องเสียงต่ำ แต่ลิงบาบูนก็ไม่สามารถที่จะพูดได้จริง.

ใหม่!!: สัตว์และลิงบาบูน · ดูเพิ่มเติม »

ลิงบาบูนชัคม่า

ลิงบาบูนชัคม่า หรือ ลิงบาบูนเคป (Chacma baboon, Cape baboon) เป็นลิงบาบูนชนิดหนึ่ง ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) ลิงบาบูนชัคม่า เป็นลิงบาบูนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และนับเป็นลิงอีกชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีขนตามตัวสีน้ำตาล ขนค่อนข้างหยาบ หน้าดำ หูมีขนน้อย แต่ตัวผู้ขนตรงรอบคอและไหล่ยาว และมีขนปรกที่ปาก ส่งเสียงร้องได้ดัง วิ่งได้เร็วมากและทรงพลัง มีลักษณะการวิ่งเหมือนม้าควบ ว่ายน้ำเก่ง มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ฝูงหนึ่งมีจำนวนเป็นร้อยอาจถึง 200-300 ตัว มีหัวหน้าเป็นตัวผู้ ซึ่งเป็นผู้ควบคุมสังคมของตัวให้เป็นระเบียบ ในขณะในหมู่ลิงตัวเมียจะมีการจัดลำดับสังคมตามอาวุโส ในเวลากลางคืนจะนอนพักผ่อนในถ้ำ หรือซอกหิน หรือบนกิ่งไม้ใหญ่ เพื่อหลบหลีกศัตรู เนื่องจากลิงบาบูนชัคม่าเองก็ตกเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่กว่าด้วย เช่น เสือดาว, เสือชีตาห์ โดยอาจจะโดนล่าได้ถึงบนต้นไม้ และลูกลิงก็ตกเป็นเหยื่อของนกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ เช่น นกเหยี่ยว, นกอินทรี เป็นต้น ส่วนในหมู่ลิงตัวผู้่จะมีการสลับสับเปลี่ยนกันเรื่อย เนื่องจากการแย่งชิงกันเป็นจ่าฝูง และหากมีลิงจากที่อื่นจะขอเข้าเป็นสมาชิกฝูง ก็ต้องได้รับการอนุญาตจากลิงตัวอื่นในฝูง ลิงบาบูนชัคม่าไม่ค่อยพบในป่าทึบ ชอบอยู่ตามเขาที่เป็นหินมีต้นไม้น้อย เนื่องจากว่าลิงบาบูนชัคม่าขึ้นต้นไม้ไม่เก่ง ในเวลาเช้ามักลงมาจากต้นไม้เพื่อลงมาอาบแดด และแยกย้ายกันหากิน Botswana ตอนที่ 5, "สุดหล้าฟ้าเขียว".

ใหม่!!: สัตว์และลิงบาบูนชัคม่า · ดูเพิ่มเติม »

ลิงบาบูนเหลือง

ลิงบาบูนเหลือง (Yellow baboon) เป็นลิงจำพวกลิงบาบูนชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับลิงบาบูนทั่วไป แต่มีรูปร่างเล็กและบอบบางกว่าลิงบาบูนชัคม่า (P. ursinus) และลิงบาบูนสีมะกอก (P. anubis) และมีัส่วนปากที่ไม่ยื่นยาวออกมาเหมือน 2 ชนิดแรก ลิงบาบูนเหลืองมีขนตามลำตัวสั้นสีเทาอมเหลืองอันเป็นที่มาของชื่อ มีน้ำหนักในตัวผู้ประมาณ 27–40 กิโลกรัม ตัวเมียประมาณ 14–17 กิโลกรัม ความสูงจากพื้นถึงหัวไหล่ 60–80 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 60–70 เซนติเมตร และอาจยาวได้ถึง 84 เซนติเมตร ความยาวหาง 40–48 เซนติเมตร อา่ยุโดยเฉลี่ย 10–20 ปี และอาจมีชีวิตอยู่ีได้นานถึง 30 ปี พบกระจายพันธุ์ในแอฟริกาตะวันออก เช่น เคนยา, แทนซาเนีย, ซิมบับเว และบอตสวานา มีพฤติกรรมและอุปนิสัยคล้ายกับลิงบาบูนชนิดอื่น ๆ คือ อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ในทุ่งหญ้าสะวันนา และป่าโปร่ง กินอาหารได้หลากหลายทั้งพืชและเนื้อสัตว์ เช่น รากไม้, เมล็ดพืช, ใบไม้, หญ้า, ผลไม้ และสัตว์ขนาดเล็ก.

ใหม่!!: สัตว์และลิงบาบูนเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ลิงบาร์บารี

ลิงบาร์บารี หรือ บาร์บารีเอป หรือ มาก็อต (Barbary macaque, Barbary ape, Magot) เป็นลิงชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) จัดเป็นลิงประเภทลิงแม็กแคกชนิดหนึ่ง จัดเป็นลิงเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่พบกระจายพันธฺุ์อยู่ทางตอนเหนือของทะเลทรายสะฮารา บริเวณยิบรอลตา, โมร็อกโก และในพื้นที่อนุรักษ์ของลิเบีย รวมถึงอาจพบได้ในทวีปยุโรปทางตอนใต้ที่กับช่องแคบยิบรอลตาได้ด้วย ซึ่งก็จัดได้อีกว่าเป็นลิงเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่พบได้ในทวีปยุโรป ซึ่งตามปกติแล้ว ทวีปยุโรปจะไม่มีลิง สันนิษฐานว่า เกิดจากการนำเข้ามาในฐานะของสัตว์เลี้ยงหรือเพื่อการละเล่นละครสัตว์ ลิงบาร์บารี มีลักษณะเหมือนลิงแม็กแคกชนิดอื่น ๆ มีขนตามลำตัวเป็นสีส้มฟูหนา เป็นลิงที่ไม่มีหาง อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง และสามารถปรับตัวให้อยู่ได้ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถพบได้ทั้งในทะเลทรายที่ร้อนระอุ รวมถึงสถานที่ ๆ อากาศเหน็บหนาวอุณหภูมิติดลบ มีหิมะและน้ำแข็งได้ด้วย กินอาหารได้หลากหลายทั้งพืช, เนืิ้อสัตว์ และสัตว์ขนาดเล็กต่าง ๆ แต่ลิงบาร์บารี มีพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากลิงแม็กแคกชนิดอื่น ๆ คือ ตัวผู้มักจะกระเตงลูกไปไหนมาไหนด้วย และจะปกป้องดูแลลูกลิงเป็นอย่างดี จากการศึกษาพบว่า เป็นไปเพื่อการปฏิสัมพันธ์กับลิงตัวผู้ตัวอื่น ๆ โดยใช้ลูกลิงเป็นตัวเชื่อม บางครั้งจะพบลิงตัวผู้ตกแต่งขนให้กัน รวมทั้งดูแลลูกลิงซึ่งกันและกันด้วย ลิงบาร์บารี นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง โดยกลุ่มลักลอบค้าสัตว์ป่าจะจับลูกลิงประมาณ 300 ตัวจากป่าในโมร็อกโกเพื่อส่งไปขายยังตลาดสัตว์เลี้ยงในยุโรปที่เติบโตขึ้น ส่งผลเสียต่อความยั่งยืนของจำนวนประชากร ปัจจุบันมีจำนวนประชากรอยู่เพียง 6,000 ตัว ในจำนวนนี้ 4,000-5,000 ตัวอยู่ในโมร็อกโก โดยหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า ลิงบาร์รารีถูกเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงมานานนับพันปีมาแล้ว เพราะมีการพบโครงกระดูกของลิงชนิดนี้ใต้เถ้าถ่านของเมืองปอมเปอี, ลึกลงไปในสุสานใต้ดินของอียิปต์ รวมทั้งถูกฝังใต้ยอดเขาในไอร์แลนด์ที่ซึ่งกษัตริย์อัลส์เตอร์ในยุคสำริดเคยครองบัลลังก์อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และลิงบาร์บารี · ดูเพิ่มเติม »

ลิงกังญี่ปุ่น

ลิงกังญี่ปุ่น หรือ ลิงหิมะญี่ปุ่น (Japanese macaque, Snow japanese monkey; ニホンザル) เป็นลิงชนิดหนึ่ง ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) เป็นลิงพื้นเมืองของหมู่เกาะญี่ปุ่น พบได้ตามภูมิภาคต่าง ๆ ของญี่ปุ่น ในที่มีอากาศหนาวเย็น มีหิมะและน้ำแข็ง มีขนสีน้ำตาลเทาหรือเหลืองอ่อน ตัวผู้มีน้ำหนักเต็มที่ประมาณ 11-13 กิโลกรัม ขณะที่ตัวเมียมีขนาดตัวที่เล็กและน้ำหนักเบากว่า คือประมาณ 8 กิโลกรัม มีขนหนาตลอดทั้งลำตัว ยกเว้นใบหน้าที่มีสีแดง ส่วนหางสั้น มี 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง ลิงตัวเมียที่มีอาวุโสสูงสุดจะเป็นจ่าฝูง หากินได้ทั้งบนพื้นดินและต้นไม้ โดยลิงตัวเมียจะใช้เวลาในการหาอาหารมากกว่าตัวผู้ สามารถว่ายน้ำได้เป็นอย่างดี มีรายงานว่าสามารถว่ายน้ำได้ไกลกว่าครึ่งกิโลเมตร และยังสามารถอาศัยอยู่ในที่ ๆ มีอุณหภูมิต่ำถึง -20 องศาเซลเซียสได้อีกด้วย เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 6 ปี แต่ลิงตัวเมียจะเข้าสู่เร็วกว่า มีอายุยืนประมาณ 28 ปีในตัวผู้ ขณะที่ตัวเมีย 32 ปี ลิงตัวเมียจะเลี้ยงลูกนานเป็นเวลา 2 ปี เมื่ออายุได้ 4 ปี ลูกลิงตัวผู้ก็จะจากฝูงไปเพื่อเข้าร่วมกับฝูงใหม่ สร้างครอบครัวต่อไป ส่วนลิงตัวเมียจะอาศัยอยู่กับฝูงไปชั่วชีวิต ลิงกังญี่ปุ่นจะมีลูกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ นอกจากนี้แล้วยังพบว่าลิงกังญี่ปุ่นตัวผู้บางตัวยังมีพฤติกรรมพยายามที่จะผสมพันธุ์กับกวางซีกา ซึ่งเป็นกวางพื้นเมืองของญี่ปุ่นด้วย โดยเป็นลิงตัวผู้ที่อาศัยอยู่บนเกาะยะกุ ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น เชื่อว่าคงเป็นเพราะลิงตัวนี้เป็นลิงที่มีอายุน้อย หรือไม่ก็หาคู่ตัวเมียผสมพันธุ์ด้วยไม่ได้ ลิงกังญี่ปุ่น ถือว่าเป็นไพรเมตที่อาศัยอยู่ห่างไกลเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดที่ไม่ใช่มนุษย์ หลักฐานทางดีเอ็นเอและซากฟอสซิลพบว่า บรรพบุรุษของลิงกังญี่ปุ่นเดินทางมาจากแผ่นดินใหญ่เอเชียเมื่อกว่า 500,000 ปีที่แล้ว และได้ปรับตัววิวัฒนาการให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะญี่ปุ่น โดยบรรพบุรุษของลิงกังญี่ปุ่นมีความใกล้เคียงกับลิงวอกและลิงกังไต้หวัน ที่มีหาง เมื่อใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นแล้ว ลิงกังญี่ปุ่นได้วิวัฒนาการให้ตัวเองมีรูปร่างที่ใหญ่กว่าลิงกังที่พบในแผ่นดินใหญ่ของเอเชีย มีขนหนา 2 ชั้นเพื่อรักษาความอบอุ่น หางหดสั้นลงเพื่อรักษาความอบอุ่นและป้องกันการโดนหิมะกัด ในฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นและหิมะทับถมหนาได้ถึง 6 ฟุต โดยเฉพาะบนเกาะฮนชู ลิงกังญี่ปุ่นจะเริ่มกินอาหารจำนวนมากถึงร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวเพื่อที่จะสะสมพลังงานและไขมันในตัวก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะตัวเมียเพื่อที่จะผลิตน้ำนมเลี้ยงลูก และยามเมื่อถึงฤดูหนาวแล้ว ยังสามารถที่จะกัดเปลือกไม้บางชนิด เพื่อกินเนื้อไม้ที่อ่อนนุ่ม และอุดมด้วยสารอาหารในนั้น รวมทั้งรู้จักที่จะล้วงเก็บลูกสนที่ถูกหิมะทับไว้อย่างหนาแน่นได้อีกด้วย แต่ในช่วงนี้จะมีลูกลิงบางส่วนที่ต้องตายไป เพราะไม่อาจทนทานต่อสภาพอากาศได้ ในอดีตจากการศึกษาทางดีเอ็นเอ พบว่า ในยุคน้ำแข็งยุคสุดท้าย ลิงกังญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือเมื่อถึงฤดูหนาวจะอพยพลงใต้ที่ ๆ จากฮนชู ไปคิวชู และกระจายไปที่อื่น ๆ อันเป็นที่สภาพอากาศอบอุ่นกว่า แต่ก็ยังคงมีประชากรบางส่วนที่ยังอาศัยอยู่ยังที่เดิม พบกระจายพันธุ์อยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วญี่ปุ่น เช่น ฮนชู, คิวชู และชิโกกุ ลิงกังญี่ปุ่นยังมีพฤติกรรมที่แตกไปจากลิงชนิดอื่น ๆ คือ ชอบที่จะแช่น้ำร้อนตามบ่อน้ำพุร้อนต่าง ๆ โดยเฉพาะที่อุทยานลิงจิโกะกุดะนิ ในจังหวัดนะงะโนะ ลิงที่นี่ชอบที่จะแช่น้ำร้อนมากกว่าลิงชนิดเดียวกันที่อื่น ๆ บางครั้งอาจเผลอหลับไปในขณะที่แช่ได้เลย จึงเป็นที่ชื่นชอบอย่างยิ่งของนักท่องเที่ยว และชอบที่จะปั้นหิมะเป็นลูกบอลเขวี้ยงเล่นเพื่อความสนุกสนาน อีกทั้งก่อนที่จะกินอาหารยังชอบที่นำไปล้างน้ำทะเลก่อนด้วย ส่วนในบ่อน้ำร้อน จะมีพฤติกรรมดำน้ำลงไปก้นบ่อเก็บกินข้าวสาลีที่มีผู้โยนมาให้เป็นอาหารกิน ลิงที่อาศัยแถบแม่น้ำซุซุกิ มีพฤติกรรมพลิกก้อนหินหาแมลงน้ำและตัวอ่อนแมลงน้ำที่หลบซ่อนตัวจากลำธารกินได้ และลิงที่อาศัยอยู่แถบชายทะเลยังรู้จักที่จะเก็บสาหร่ายทะเลกินเป็นอาหารได้อีกด้วย พฤติกรรมการหากินและการปรับตัวเหล่านี้ เชื่อว่า เป็นผลมาจากการเรียนรู้ของลิงตัวเมียที่สืบทอดกันมาจากรุ่นเป็นรุ่นเป็นเวลาราว 3 รุ่น และเป็นการเรียนรู้กันเฉพาะกลุ่มJapan, "Mutant Planet".

ใหม่!!: สัตว์และลิงกังญี่ปุ่น · ดูเพิ่มเติม »

ลิงกังดำ

ลิงกังดำ หรือ ลิงกังหงอนดำ (Black macaque, Crested black macaque) เป็นลิงโลกเก่าชนิดหนึ่ง จำพวกลิงกัง ลิงกังดำ มีขนสีดำตลอดทั่วทั้งตัวรวมถึงใบหน้าที่ไม่มีขน มีจุดเด่นคือ กลางกระหม่อมมีขนเป็นแผงเหมือนหงอน ซึ่งจะตั้งขึ้นได้เมื่อขู่ศัตรู และที่ก้นจะมีแผ่นหนังสีขาวดูเด่นใช้สำหรับรองนั่ง นอกจากนี้แล้วยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการแสดงออกทางเพศ โดยเฉพาะในตัวผู้ มีหางขนาดสั้นยาวเพียง 2 เซนติเมตรเท่านั้น (1 นิ้ว) ทำให้แลดูคล้ายลิงไม่มีหาง ลำตัวมีความยาวประมาณ 44 เซนติเมตร (17 นิ้ว) จนถึง 60 เซนติเมตร (24 นิ้ว) น้ำหนักประมาณ 3.6 ถึง 10.4 กิโลกรัม นับเป็นลิงประเภทลิงกังที่มีขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 20 ปี อาศัยอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ราว 5-25 ตัว กระจายพันธุ์เฉพาะบนเกาะสุลาเวสี ในประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น เป็นลิงที่กินส่วนต่าง ๆ ของพืชต่าง ๆ เป็นอาหารหลัก เป็นลิงที่ชาวพื้นเมืองบนเกาะสุลาเวสีใช้รับประทานเป็นอาหารเช่นเดียวกับทาร์เซีย ปัจจุบันมีจำนวนประชากรเหลือประมาณ 6,000 ตัวเท่านั้นThe Real Gremlin, "Nick Baker's Weird Creatures".

ใหม่!!: สัตว์และลิงกังดำ · ดูเพิ่มเติม »

ลิงกังใต้

ลิงกังใต้ หรือ ลิงกะบุด (Southern pig-tailed macaque) เป็นลิงชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) มีรูปร่างอ้วนสั้น ขนสั้นสีเทาหรือสีน้ำตาล หน้าค่อนข้างยาว ขนบนหัวสั้นมีสีเทาหรือสีน้ำตาล และขึ้นวนเป็นก้นหอย ขนตรงส่วนใต้ท้องมีสีจางจนเกือบขาว ขนบริเวณหลังเป็นสีน้ำตาลไหม้หรือดำ หางค่อนข้างสั้น ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า และมีขนปรกหน้าผากน้อยกว่าลิงตัวผู้ อาศัยอยู่ตามป่าดิบบริเวณเชิงเขา ชอบเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อย ไม่ค่อยอยู่เป็นที่ บางตัวออกหากินตัวเดียว ไม่รวมฝูง ชอบลงมาอยู่ตามพื้นดินมากกว่าอยู่บนต้นไม้ แต่เวลานอนขึ้นไปนอนบนต้นไม้ ชอบส่งเสียงร้องและมักร้องรับกันทั้งฝูง เริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุ 3-4 ปี ผสมพันธุ์ได้ทุกฤดู ระยะตั้งท้องประมาณ 5-7 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว และมีอายุยืนราว 25 ปี ตัวผู้หรือแต่ละตัวอาจผสมพันธุ์กับตัวอื่นได้หลายตัว และไม่อยู่เป็นคู่แน่นอน จัดเป็นลิงที่มีสมาชิกในฝูงน้อยกว่าลิงชนิดอื่น ๆ คือ มีไม่เกิน 40-45 ตัว กินอาหารจำพวกผลไม้, เมล็ดพืช และแมลงขนาดเล็ก เวลากินอาหารมักชอบเก็บไว้ข้างแก้มแล้วค่อย ๆ เอามือดันอาหารที่เก็บไว้ออกมากินทีละน้อย เดิมลิงกังใต้เคยถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยของลิงกังเหนือ (M. leonina) แต่ปัจจุบันได้ถูกแยกให้เป็นชนิดต่างหาก พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่คอคอดกระในประเทศไทยลงไปจนถึงแหลมมลายู, เกาะสุมาตรา, เกาะบอร์เนียว, เกาะบังกา ในประเทศไทย ลิงกังใต้ เป็นลิงที่คนไทยรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะมักจะถูกจับมาเลี้ยงและฝึกให้แสดงต่าง ๆ ตามคำสั่ง เช่น ละครลิง หรือปีนต้นมะพร้าวเก็บลูกมะพร้าว ที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นรู้จักกันอย่างดีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นต้น ลิงกังใต้เผือกที่พบที่อำเภอรามัน สำหรับการฝึกให้เก็บมะพร้าว จะใช้ลิงตัวผู้เนื่องจากมีตัวใหญ่ เรี่ยวแรงมากกว่าลิงตัวเมีย ลิงที่จะใช้ฝึกเป็นอย่างดีอยู่ในช่วงอายุไม่เกิน 3-5 เดือน และต้องเป็นลิงนิสัยดี เชื่อฟังต่อผู้เลี้ยง มีขนเป็นมัน สุขภาพแข็งแรง ฟันไม่มีความผิดปกติ เพราะจะมีผลต่อการกัดขั้วมะพร้าว ซึ่งลิงบางตัวใช้เวลาฝึกเพียง 3 เดือนก็ใช้เก็บมะพร้าวได้แล้ว โดยการฝึกจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นตอน ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 มีชาวบ้านที่อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ได้พบลิงกังใต้เผือกตัวหนึ่ง ในป่าสวนยางแถบเทือกเขาบูโด โดยพฤติกรรมของลิงตัวนี้แปลกกว่าลิงกังใต้ป่าโดยทั่วไป กล่าวคือ ไม่ดุร้ายก้าวร้าวต่อมนุษย์ และไม่มีอาการตื่นกลัวด้วย ซึ่งผู้ที่พบได้นำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สถานะในกฎหมายปัจจุบัน เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และลิงกังใต้ · ดูเพิ่มเติม »

ลิงกังเหนือ

ลิงกังเหนือ (Northern pig-tailed macaque) ลิงชนิดหนึ่ง ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) เดิมเคยถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยของลิงกังใต้ (M. nemestrina) มีลักษณะทั่วไปเหมือนกับลิงกังใต้ซึ่งเคยถูกจัดให้เป็นชนิดเดียวกัน คือ รูปร่างป้อมสั้น หางสั้น มีขนสีน้ำตาลอมเทา ต่างจากลิงกังใต้ตรงที่ขนบริเวณหลังเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเทา ซึ่งอ่อนกว่าลิงกังใต้ พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศอินเดีย, บังกลาเทศ, ภูฏาน, ภาคใต้ของจีน, เมียนมาร์, ลาว, เวียดนาม, กัมพูชา และไทย ในประเทศไทยพบทั่วทุกภาคยกเว้นภาคกลางและภาคใต้ตั้งแต่คอคอดกระ ที่อินเดียจะพบได้ในตอนใต้ของแม่น้ำพรหมบุตร ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ พฤติกรรมและนิเวศวิทยาเหมือนกับลิงกังใต้ทุกประการ.

ใหม่!!: สัตว์และลิงกังเหนือ · ดูเพิ่มเติม »

ลิงลม

ลิงลม หรือ นางอาย หรือ ลิงจุ่น (Slow lorises, Lorises; อินโดนีเซีย: Kukang) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสกุลหนึ่ง ในวงศ์ Lorisidae ในอันดับไพรเมต (Primates) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nycticebus (/นิค-ติ-ซี-บัส/).

ใหม่!!: สัตว์และลิงลม · ดูเพิ่มเติม »

ลิงลมชวา

ลิงลมชวา (Java slow loris) เป็นไพรเมตจำพวกลิงลมชนิดหนึ่ง เดิมเคยถือเป็นชนิดย่อยของลิงลมใต้ (N. coucang) เป็นเวลาหลายปี โดยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า N. coucang javanicus จนการประเมินอีกครั้งของสัณฐานวิทยาและพันธุศาสตร์ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และลิงลมชวา · ดูเพิ่มเติม »

ลิงลมแคระ

ลิงลมแคระ หรือ นางอายแคระ (Pygmy slow loris, Lesser slow loris) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานรชนิดหนึ่ง ที่มีขนาดเล็ก อยู่ในวงศ์ลิงลม (Lorisidae) มีรูปร่างหน้าตาคล้ายลิงลมชนิดอื่น ๆ แต่มีขนาดและน้ำหนักน้อยกว่ามาก ขนตามลำตัวสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลเข้ม และแตกต่างออกไปตามแต่ละตัว การกระจายพันธุ์อยู่ตามชายแดนประเทศลาวและเวียดนาม ออกหากินในเวลากลางคืน และนอนหลับพักผ่อนในบริเวณที่ปลอดภัยในเวลากลางวัน โดยอาหารหลักได้แก่ แมลง และสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก มีผลไม้ เป็นอาหารเสริม อาศัยอยู่ในป่าทุกประเภท แม้แต่กระทั่งป่าที่เสื่อมโทรมจากการถูกแผ้วถางแล้ว สถานภาพในธรรมชาติ ปัจจุบัน ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากถูกจับเป็นสัตว์เลี้ยงและล่าเพื่อปรุงสมุนไพรจีน คงเหลืออยู่เพียงในป่าลึกที่เข้าไม่ถึง ไม่สามารถเห็นพบได้ง่ายเหมือนอดีต.

ใหม่!!: สัตว์และลิงลมแคระ · ดูเพิ่มเติม »

ลิงลมใต้

ลิงลมใต้ หรือ นางอายใต้ (Sunda slow loris, Southern loris) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานร (Primates) ขนาดเล็ก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nycticebus coucang.

ใหม่!!: สัตว์และลิงลมใต้ · ดูเพิ่มเติม »

ลิงลมเหนือ

ลิงลมเหนือ หรือ ลิงลมเบงกอล (Bengal slow loris, Northern slow loris) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ในอันดับวานร (Primates) ในวงศ์ลิงลม (Lorisidae) จัดเป็นลิงลมชนิดหนึ่ง ที่เป็นลิงลมที่พบได้ในประเทศไทยทั่วทุกภาค นอกจากลิงลมใต้ (N. coucang) ซึ่งลิงลมเหนือนับเป็นลิงลมที่เพิ่งมีการจำแนกออกเป็นชนิดใหม่ เป็นลิงลมที่มีขนาดใหญ่ มีน้ำหนักตัว 900-1,400 กรัม ความยาวลำตัวจากหัวและลำตัว 325-360 มิลลิเมตร ใบหูมองเห็นได้ชัดเจน โดยจะจมหายไปกับขนบนหัว สีขนมีความแตกต่างหากหลายกันไปตามสภาพพื้นที่ ตั้งแต่ สีเทาอมครีม, สีครีม, สีน้ำตาลอ่อน, สีส้มหม่น มีเส้นพาดกลางหลังสีน้ำตาลจรดหาง บนใบหน้าไม่ปรากฏเส้นพาดสีดำไปยังหูทั้ง 2 ข้าง และไปยังดวงตา 2 ข้าง เป็นลักษณะรูปคล้ายช้อนส้อม หรือถ้าปรากฏก็จะจาง ๆ ขนรอบดวงตาเป็นสีเข้ม ผิวหนังที่ขาทั้ง 4 ข้าง เป็นสีซีด พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่เอเชียใต้จนถึงภูมิภาคอินโดจีน แต่ตามกฎหมายในประเทศไทย ยังไม่จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหม.

ใหม่!!: สัตว์และลิงลมเหนือ · ดูเพิ่มเติม »

ลิงวอก

ลิงวอก (Rhesus macaque, Rhesus monkey) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานร (Primates) เป็นลิงที่มีร่างกายอ้วนสั้น บริเวณหลัง หัวไหล่ และตะโพกมีสีน้ำตาลปนเทา ส่วนบริเวณใต้ท้องและสีข้างมีสีอ่อนกว่า หางยาวประมาณครึ่งหนึ่งของความยาวลำตัว ขนหางค่อนข้างยาวและฟู มีการผลัดขนประมาณช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมของทุกปี โดยจะเริ่มที่บริเวณปากก่อน หลังจากนั้นจึงจะเริ่มผลัดขนที่หลัง ตัวเมียอาจมีขนสีแดงในฤดูผสมพันธุ์ ขนที่หัวของลิงวอกจะชี้ตรงไปด้านหลัง ลิงตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย มีความยาวลำตัวและหัว 47 – 58.5 เซนติเมตร ความยาวหาง 20.5 – 28 เซนติเมตร น้ำหนัก 3 – 6 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ อัฟกานิสถาน, ภาคเหนือของอินเดีย, เนปาล, พม่า, ภาคใต้ของจีน, ลาว, เวียดนาม และภาคตะวันตกของไทย โดยในประเทศ ปัจจุบันเชื่อว่า เหลืออยู่เพียงฝูงสุดท้ายแล้วที่ วัดถ้ำผาหมากฮ่อ ในพื้นที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ตั้งแต่ 50 ตัวขึ้นไป สมาชิกส่วนใหญ่ในฝูงประกอบไปด้วยลิงตัวเมียและลูก ๆ ตัวเมียในฝูงจะมีบาทบาทสำคัญมากกว่าตัวผู้ แต่ลิงตัวผู้จะมีบทบาทในการปกป้องฝูง ลิงวอกเริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุ 3 – 4 ปี ระยะตั้งท้องนาน 5 – 7 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลิงตัวเมียจะอยู่กับฝูงไปจนตาย แต่ตัวผู้เมื่อโตขึ้น มักจะถูกขับไล่ให้ออกจากฝูง จากการศึกษาพบว่า ลิงวอกมีความสัมพันธ์กับชุมชนมนุษย์มาเป็นเวลานาน แต่การที่ลิงวอกมักเข้ามาอาศัยและใช้ประโยชน์ในพื้นที่เกษตรกรรม จึงทำให้ไม่กลัวคน ในบางครั้งจึงถูกจับฆ่าเพื่อนำมาทำเป็นอาหารและฆ่าเพื่อลดความรำคาญ ปัจจุบัน เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป..

ใหม่!!: สัตว์และลิงวอก · ดูเพิ่มเติม »

ลิงอ้ายเงียะ

ลิงอ้ายเงียะ, ลิงอัสสัม หรือ ลิงภูเขา (Assam macaque) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่อยู่ในอันดับวานร (ไพรเมต) มีรูปร่างอ้วนเทอะทะ แขนและขาสั้น ขนตามลำตัวมีสีเหลืองปนเทา บางตัวอาจมีสีเข้มมากจนดูคล้ายสีน้ำตาลดำ ส่วนหัวไหล่ ศีรษะ และแขนจะมีสีอ่อนกว่าสีขนบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย ขนบริเวณหัวและหางมักมีสีเทา ขนที่ไหล่มีความยาวมากกว่า 8.5 เซนติเมตร ในบางฤดูกาลผิวหนังใต้ขนจะเปลี่ยนเป็นสีเทาอมฟ้า มีความยาวลำตัวและหางรวม 51-63.5 เซนติเมตร ความยาวหาง 20-38 เซนติเมตร น้ำหนัก 5-10 กิโลกรัม มักอาศัยในป่าบนภูเขาสูงหรือตามที่ราบสูงซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 500-3,500 เมตร ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนต้นไม้ซึ่งมีเรือนยอดไม้สูงจากพื้นดินประมาณ 10-15 เมตร จากการศึกษาพบว่ามักอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ โดยฝูงหนึ่งมีสมาชิกประมาณ 40- 60 ตัว ในระหว่างการหากินจะมีสมาชิกบางตัวทำหน้าที่ระวังภัยให้ฝูง โดยจะนั่งสังเกตการณ์อยู่บนต้นไม้ซึ่งสูงที่สุด และหากมีอันตรายเข้ามาใกล้จะส่งเสียงร้องเตือนให้หลบหนี โดยจะร้องเสียงดัง "ปิ้ว" ลิงอ้ายเงียะจัดเป็นลิงนิสัยดุร้าย สามารถกระดิกหางได้เหมือนสุนัข เริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุ 3-4 ปี ระยะตั้งท้องนาน 5-6 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ในระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน กินอาหารประกอบไปด้วย ผลไม้ ยอดไม้อ่อน แมลง และสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่า เป็นต้น มีการกระจายพันธุ์พบในเนปาล ภูฏาน สิกขิมและรัฐอัสสัมของอินเดีย ภาคใต้ของจีน ภาคเหนือของพม่า ภาคเหนือของเวียดนาม ภาคตะวันตกและภาคอีสานของไทย แบ่งเป็นชนิดย่อย 2 ชนิดได้แก่ ลิงอ้ายเงียะตะวันออก (M. a. assamensis) และลิงอ้ายเงียะตะวันตก (M. a. pelops) ซึ่งแบ่งตามสองฝั่งของแม่น้ำพรหมบุตร ลิงอ้ายเงียะในประเทศไทย ปัจจุบันนี้พบได้เพียง 9 แห่งเท่านั้น ได้แก่ วัดถ้ำปลา และวัดถ้ำผาแลนิภาราม.เชียงราย, บ้านป่าไม้.เชียงใหม่, เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาท่าพล.พิษณุโลก, อุทยานแห่งชาติน้ำตกคลองลาน.กำแพงเพชร, เขตรักษาพันธ์ป่าอุ้มผาง.ตาก, อุทยานแห่งชาติภูเขียว.ชัยภูมิ, เขื่อนเขาแหลม และ อุทยานแห่งชาติน้ำตกเอราวัณ.กาญจนบุรี ซึ่งถือว่าน้อยมาก ปัจจุบัน เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535.

ใหม่!!: สัตว์และลิงอ้ายเงียะ · ดูเพิ่มเติม »

ลิงจมูกยาว

ลิงจมูกยาว หรือ ลิงจมูกงวง เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับวานรชนิดหนึ่ง ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล NasalisWilson, D. E. & Reeder, D. M. (eds.) (2005).

ใหม่!!: สัตว์และลิงจมูกยาว · ดูเพิ่มเติม »

ลิงจมูกเชิด

ลิงจมูกเชิด หรือ ค่างจมูกเชิด (Snub-nosed monkey; 金丝猴) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสกุลหนึ่ง ในอันดับวานร (Primates) ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Rhinopithecus จัดเป็นค่าง (Colobinae) สกุลหนึ่ง กระจายพันธุ์ในป่าทึบบนภูเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเลหลายพันเมตร ในแถบตอนเหนือของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน จนถึงตอนล่างของจีนที่ติดต่อกับพรมแดนประเทศอื่น ๆ เช่น รัฐคะฉิ่นของพม่า และเวียดนาม ลิงจมูกเชิด มีลักษณะเด่นโดยทั่วไป คือ ไม่มีกระดูกดั้งจมูก และรูจมูกเชิดขึ้นด้านบน อันเป็นที่มาของชื่อเรียก จัดเป็นลิงที่มีขนาดใหญ่พอสมควร เพราะโตเต็มที่ อาจมีขนาดใหญ่ได้ถึง 51-83 เซนติเมตร ความยาวหาง 55-97 เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก แต่ตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่ากันถึงครึ่งเท่าตัว มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ กินใบไม้และดอกไม้ต่าง ๆ เป็นอาหาร โดยสามารถที่จะกินพืชชนิดต่าง ๆ ได้ถึง 60 ชนิด ลูกลิงขนาดเล็ก จะมีสีขนที่อ่อนไม่เหมือนตัวเต็มวัย โดยจะอาศัยอยู่กับแม่จนกว่าจะโต เมื่ออายุได้ราว 6-7 ปี มีระยะเวลาการตั้งท้องนาน 200 วัน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ปัจจุบัน พบทั้งหมด 5 ชนิด โดยชนิดที่พบล่าสุด พบในประเทศพม่า ทุกชนิดเป็นสัตว์ที่อยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์และใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤต โดยเฉพาะชนิดที่พบในประเทศจีน มีจำนวนประชากรในธรรมชาติไม่เกิน 2,000 ตัว.

ใหม่!!: สัตว์และลิงจมูกเชิด · ดูเพิ่มเติม »

ลิงจมูกเชิดพม่า

ลิงจมูกเชิดพม่า หรือ ค่างจมูกเชิดพม่า (Myanmar Snub-nosed Monkey; Rhinopithecus strykeri) เป็นลิงจำพวกค่างในวงศ์ลิงโลกเก่า ที่พบทางตอนเหนือของประเทศพม่า บริเวณรัฐกะฉิ่น รอยต่อกับประเทศจีน เป็นลิงชนิดที่ 5 ในสกุลลิงจมูกเชิด (Rhinopithecus) โดยชนิดอื่น ๆ พบในจีน และเวียดนาม ลักษณะเด่น คือ มีจมูกสั้นมาก ดูคล้ายช่องกลวงเปิดสู่ช่องปาก ขนบริเวณใบหู วงหน้า และวงก้นมีสีขาว ขณะที่ขนลำตัวมีสีดำ ยังไม่มีภาพของลิงชนิดนี้ขณะมีชีวิต คาดว่าประชากรของลิงชนิดนี้มีไม่เกิน 350 ตัว มีสายสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการใกล้เคียงกับ ลิงจมูกสั้นพันธุ์ยูนนาน (R. bieti) มากที่สุด เชื่อว่าทั้ง 2 ชนิดแยกจากกันเพราะมี แม่น้ำโขง และแม่น้ำสาละวินกั้น บริเวณแหล่งมรดกโลกเขตสามแม่น้ำไหลเคียง ในมณฑลยูนนาน ลิงชนิดนี้มีชื่อในภาษาถิ่นว่า mey nwoah (ลิงที่มีหัวหันขึ้น) ฝนมักจะทำให้มันจามเนื่องจากกล้ามเนื้อจมูกสั้น ๆ รอบรูจมูกของมัน คนในท้องถิ่นระบุว่ามันนั่งโดยห้อยหัวลงตรง ๆ และซ่อนใบหน้าไว้ระหว่างหัวเข่าระหว่างเกิดฝนตก.

ใหม่!!: สัตว์และลิงจมูกเชิดพม่า · ดูเพิ่มเติม »

ลิงจมูกเชิดสีทอง

ลิงจมูกเชิดสีทอง หรือ ค่างจมูกเชิดสีทอง (golden snub-nosed monkey; 川金丝猴) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทไพรเมต จำพวกค่างชนิดหนึ่ง เป็นลิงจมูกเชิดที่เป็นต้นแบบของลิงจมูกเชิดทั้งหมด จัดเป็นค่างหรือลิงโลกเก่าขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีขนยาว สีขนมีหลากหลายสี ทั้งสีทอง และสีแดง แตกต่างกันไปตามถิ่นที่อยู่อาศัยและชนิดย่อย (มี 3 ชนิด ดูได้ที่ตางราง) มีความยาวลำตัวประมาณ 51-83 เซนติเมตร ส่วนหางยาวถึง 55-97 เซนติเมตร ตัวผู้มีลักษณะเหมือนกับตัวเมีย แต่มีขนาดใหญ่กว่ามากถึงครึ่งหนึ่ง มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ กินใบไม้และดอกไม้ต่าง ๆ เป็นอาหาร รวมถึงไลเคนและเปลือกไม้ด้วยยามถึงฤดูกาลที่อาหารขาดแคลน โดยสามารถที่จะกินพืชชนิดต่าง ๆ ได้ถึง 60 ชนิดUntamed China with Nigel Marven, สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต ลูกลิงขนาดเล็ก จะมีสีขนที่อ่อนไม่เหมือนตัวเต็มวัย โดยจะอาศัยอยู่กับแม่จนกว่าจะโต เมื่ออายุได้ราว 6-7 ปี มีระยะเวลาการตั้งท้องนาน 200 วัน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ลิงตัวเมียที่มีลูกจะมีสถานะทางสังคมมากกว่าลิงที่ไม่มีลูก ขณะที่ตัวผู้ที่มีคู่ก็จะได้เลื่อนสถานะ และแสดงออกถึงความเป็นผู้นำด้วยการ เป็นผู้นำฝูงในการต่อสู้ปกป้องอาณาเขต หากมีลิงฝูงอื่นเข้ามา มีลักษณะเด่น คือ ไม่มีกระดูกดั้งจมูก โดยรูจมูกจะอยู่เชิดขึ้นไปทำให้แลดูเหมือนว่าจมูกเชิด สันนิษฐานว่าเป็นการวิวัฒนาการเพื่อให้จมูกหดสั้นเล็กลงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกความหนาวเย็นกัด อันเป็นสภาพอากาศของถิ่นที่อยู่อาศัย เนื่องจากสันนิษฐานว่าเป็นลิงที่หลงรอดมาจากยุคน้ำแข็งยุคสุดท้าย และทำให้มีถิ่นกระจายพันธุ์จำกัดเฉพาะป่าดิบทึบบนภูเขาสูงกว่า 3,000 เมตรและห่างไกล ในตอนกลางและตอนใต้ของประเทศจีน เช่น มณฑลยูนนาน, เสฉวน, ฉ่านซี, กานซู และหูเป่ย์ จะอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ ซึ่งอาจมีจำนวนสมาชิกมากกว่า 400 ตัว ปัจจุบันมีลิงจมูกเชิดสีทองเหลืออยู่ในโลกประมาณ 20,000 ตัว ราว 4,000 ตัวอาศัยอยู่ในแถบภูเขาซึ่งทางการจีนจัดตั้งเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ เนื่องจากอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์จากการถูกล่าเพื่อเอาหนัง กระดูก และเนื้อเพื่อการบริโภค รวมถึงการรุกรานถิ่นที่อยู่อาศัยจากมนุษย์ด้วยการตัดไม้ทำลายป่าด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และลิงจมูกเชิดสีทอง · ดูเพิ่มเติม »

ลิงขนทอง

ลิงขนทอง (Cercopithecus kandti) เป็นสปีชีส์หนึ่งของลิงโลกเก่า พบในเทือกเขาวีรูงกาในแอฟริกากลาง รวมทั้งอุทยานแห่งชาติ 4 แห่งในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เขตที่อยู่ของมันจำกัดอยู่บริเวณป่าบนที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใกล้กับบริเวณที่มีต้นไผ่ขึ้น ลิงขนทองเคยถูกจัดให้เป็นสปีชีส์ย่อยของลิงสีน้ำเงิน (Cercopithecus mitis) ลิงทั้งสองชนิดนี้มีลักษณะโดยทั่วไปเหมือนกัน แต่ลิงขนทองจะมีปื้นสีส้มทองบริเวณสีข้างด้านบนและหลัง ลิงขนทองอาศัยอยู่ในพื้นที่ขนาดเล็กซึ่งทับซ้อนกับถิิ่นของกอริลลาภูเขากลุ่มหนึ่ง พฤติกรรมของลิงขนทองยังไม่เป็นที่ทราบกันดีนัก มันอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มซึ่งอาจมีลิงมากถึง 30 ตัว อาหารของมันส่วนใหญ่เป็นใบไม้และผลไม้ และยังคาดกันว่ามันอาจจะกินแมลงด้วย เนื่องจากการทำลายพื้นที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องและเหตุสงครามปัจจุบันในเขตถิ่นที่อยู่อันจำกัด ทำให้ลิงขนทองถูกจัดให้เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และลิงขนทอง · ดูเพิ่มเติม »

ลิงคีปูนจี

ลิงคีปูนจี หรือ ลิงมังกาเบย์ที่ราบสูง (Kipunji, Highland mangabey) เป็นลิงชนิดหนึ่งจำพวกลิงโลกเก่าที่พบในทวีปแอฟริกา จัดเป็นลิงชนิดใหม่ของโลกที่เพิ่งถูกค้นพบเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และลิงคีปูนจี · ดูเพิ่มเติม »

ลิงซ์ยูเรเชีย

ลิงซ์ยูเรเชีย (Eurasian lynx) แมวป่าชนิดหนึ่ง จำพวกลิงซ์ จัดอยู่ในวงศ์เสือและสิงโต (Felidae) ลิงซ์ยูเรเชีย นับเป็นลิงซ์ชนิดที่ใหญ่ที่สุด และพบได้กว้างขวาง แพร่กระจายพันธุ์ที่สุด ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย ขนาดเมื่อโตเต็มที่ตัวผู้อาจมีความสูงจากปลายเท้าจรดหัวไหล่ 50 เซนติเมตร และมีน้ำหนักได้ถึง 17 กิโลกรัม มีรายงานว่าตัวที่มีนำหนักมากที่สุดอยู่ที่ไซบีเรีย ซึ่งหนักถึง 38 กิโลกรัม หรือบางรายงานกล่าวว่าหนักถึง 45 กิโลกรัม ลิงซ์ยูเรเชีย มีจุดเด่น คือ ขนปลายหูสีดำที่เป็นติ่งแหลมชี้ขึ้นด้านบน ใช้สำหรับประสิทธิภาพในการรับฟังเสียง ทำให้ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของเหยื่อที่อยู่ใต้ดินไกลถึง 50 เมตร หางสั้น และมีข้อเท้าและอุ้งเท้าที่แข็งแกร่ง ทรงพลัง และจะประกาศอาณาเขตของตนด้วยการสร้างรอยข่วนด้วยเล็บทิ้งไว้ตามต้นไม้หรือซากไม้ล้มในป่า ซึ่งเห็นได้ชัดเจน มีถิ่นกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่สแกนดิเนเวีย, ยุโรปกลางจรดจนถึงเอเชียเหนือ, เอเชียตะวันออก, เอเชียกลาง และบางส่วนในจีน เช่น ทะเลสาบคานาส ในแถบเทือกเขาอัลไต เชื่อว่าลิงซ์ยูเรเชียตัวผู้มีถิ่นหากินกว้างไกลได้ถึง 100 ตารางกิโลเมตร และบางครั้งจะล่วงล้ำเข้าไปในถิ่นหากินของตัวเมียอยู่บ่อย ๆ ออกหาอาหารในเวลากลางคืน อาหารได้แก่ สัตว์ขนาดเล็กหลายอย่าง รวมถึง เป็ด, ไก่ หรือนกกระทา อันเป็นสัตว์เลี้ยงหรือปศุสัตว์ของมนุษย์อีกด้วย รวมถึงสามารถล่าสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น กวางเรนเดียร์ ได้อีกด้วย และยังกินซากสัตว์ที่ตายแล้ว บ่อยครั้งที่ลิงซ์ยูเรเชียจะออกหาอาหารในแหล่งที่ใกล้กับบ้านเรือนของชุมชนของมนุษย์ตามชายป่า นอกจากนี้แล้วลิงซ์ยูเรเชียยังเป็นแมวป่าที่ไม่กลัวน้ำ ตรงกันข้ามกลับชอบที่จะเล่นน้ำ และว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว รอยเท้าของลิงซ์ยูเรเชียในหิมะ ลิงซ์สแกนดิเนเวีย (''Lynx lynx lynx'') ลิงซ์ยูเรเชีย เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ราว 2-2.5 ปี ลูกลิงซ์ยูเรเชียจะอาศัยอยู่กับแม่จนถึงอายุวัยช่วงนั้น ก่อนที่จะแยกตัวออกไปหากินตามลำพัง ลิงซ์ยูเรเชียเป็นสัตว์สันโดษ ตามปกติแล้วจะอาศัยอยู่ตามลำพัง มีบางครั้งที่ลูกลิงซ์ยูเรเชียที่เกิดมาเป็นพี่น้องในครอกเดียวกัน จะอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นคู่ และมีความผูกพันกันมาก จนถึงช่วงวัยที่เติบโตพอที่จะแยกไปอาศัยอยู่ตามลำพังThe Lynx Liaison, "มิติโลกหลังเที่ยงคืน".

ใหม่!!: สัตว์และลิงซ์ยูเรเชีย · ดูเพิ่มเติม »

ลิงซ์สเปน

ลิงซ์สเปน (Iberian lynx) เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ถึงขั้นวิกฤต มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรไอบีเรียในยุโรปใต้ เป็นหนึ่งในสัตว์จำพวกแมวที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากที่สุดในโลก เดิมจัดเป็นชนิดย่อยของลิงซ์ยุโรป (Lynx lynx) แต่ปัจจุบันถูกแยกออกมาเป็นชนิดต่างหาก เชื่อว่าวิวัฒนาการมาจาก Lynx issiodorensis ลิงซ์สเปนมีน้ำหนัก 15-25 กิโลกรัม ตัวผู้มีน้ำหนักเฉลี่ย 12.8 กิโลกรัม ตัวเมีย 9.3 กิโลกรัม ซึ่งหนักใกล้เคียงกับลิงซ์แคนาดาและบอบแคตในทวีปอเมริก.

ใหม่!!: สัตว์และลิงซ์สเปน · ดูเพิ่มเติม »

ลิงซ์แคนาดา

ลิงซ์แคนาดา (Canada lynx, Canadian lynx) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ Felidae เป็นญาติใกล้ชิดกับลิงซ์ยุโรป มีขนหนาสีเงิน-น้ำตาล มีแผงขนที่หน้าและกระจุกขนที่หู มีขนาดพอๆ กับลิงซ์ชนิดอื่นในสกุล มีขนาดเป็นสองเท่าของแมวบ้าน พบในประเทศแคนาดาและรัฐอะแลสกา รวมทั้งบางส่วนทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริก.

ใหม่!!: สัตว์และลิงซ์แคนาดา · ดูเพิ่มเติม »

ลิงแม็กแคก

ลิงแม็กแคก (Macaques) เป็นสกุลของวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Macaca (/แม็ก-คา-คา/) ลิงในสกุลนี้ มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทวีปแอฟริกาตอนเหนือจนถึงเอเชีย เป็นลิงที่พบได้อย่างกว้างขวาง มีนิ้วมือที่วิวัฒนาการใช้หยิบจับสิ่งต่าง ๆ ได้ดี มีกระพุ้งแก้มที่สามารถใช้เก็บอาหารได้ กินอาหารได้หลากหลาย ทั้งเนื้อสัตว์และพืช บางชนิดมีหางยาว ขณะที่บางชนิดมีหางขนาดสั้น มีพฤติกรรมทางสังคมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง มีโครงสร้างทางสังคมที่สลับซับซ้อนและมีลำดับอาวุโส โดยปกติแล้ว ลิงตัวผู้ที่มีอาวุโสที่สุดหรือมีขนาดตัวใหญ่ที่สุดในฝูงจะเป็นจ่าฝูง ลิงตัวใดที่มีลำดับอาวุโสน้อยกว่าถ้าได้กินอาหารก่อนลิงที่มีอาวุโสมากกว่า ลิงที่อาวุโสมากกว่าอาจแย่งอาหารจากลิงที่อาวุโสน้อยกว่าขณะกำลังจะหยิบเข้าปากได้เลย ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานไว้ทั้งสิ้น 23 ชนิด (บางข้อมูลจำแนกไว้ 16) โดยมี 6 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นลิงทั้งหมดที่พบได้ในประเทศไทย คือ ลิงแสม (M. fascicularis), ลิงกังใต้ (M. nemestrina), ลิงกังเหนือ (M. leonina), ลิงวอก (M. mulatta), ลิงอ้ายเงียะ (M. assamensis) และลิงเสน (M. arctoides) และยังมีอีก 4 ชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้วอีก คือ M. anderssoni, M. liangchuanensis, M. libyca, M. majori.

ใหม่!!: สัตว์และลิงแม็กแคก · ดูเพิ่มเติม »

ลิงแสม

ลิงแสม (Long-tailed macaque, Crab-eating macaque) เป็นลิงชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macaca fascicularis จัดอยู่ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae).

ใหม่!!: สัตว์และลิงแสม · ดูเพิ่มเติม »

ลิงโลกใหม่

ลิงโลกใหม่ (New world monkey) เป็นอันดับย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับไพรเมต (Primates) หรือ อันดับวานร จำนวนมากหนึ่ง ใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Platyrrhini ลิงที่อยู่ในวงศ์ใหญ่นี้ มีลักษณะโดยรวม คือ มีขนาดลำตัวที่เล็กกว่าลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) มีฟันกราม 3 ซี่ มีหางยาว ใช้ในการเกาะเกี่ยวต้นไม้ได้เป็นอย่างดี และมีรูจมูกชิดกัน ลักษณะของจมูกแบน ซึ่งคำว่า "rhinth" นั้นเป็นภาษาละตินแปลว่า "จมูก" อันเนื่องจากลักษณะของลิงโลกใหม่จะมีโพรงจมูก และรูจมูกจะอยู่ออกไปทางด้านข้าง พบกระจายพันธุ์ในซีกโลกที่เรียกว่า "โลกใหม่" คือ ทวีปที่เพิ่งถูกค้นพบ ได้แก่ อเมริกาเหนือ, อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ลิงโลกใหม่ นับได้ว่ามีสายวิวัฒนาการเป็นของตัวเอง ซึ่งแยกไปจากลิงโลกเก่าและไพรเมตจำพวกอื่น ๆ มีพฤติกรรมหากินและอาศัยอยู่บนต้นไม้เป็นหลัก ในหลายชนิด อาจมีรูปร่างไม่คล้ายลิงที่คุ้นเคย แต่คล้ายกับสัตว์อย่างอื่นมากกว่า เช่น กระรอก ลิงที่อยู่ในวงศ์ลิงโลกใหม่นั้น อาทิ ลิงสไปเดอร์, ลิงมาโมเซท, ลิงฮาวเลอร์, ลิงไลออนทามาริน เป็นต้น ซึ่งลิงโลกใหม่ ยังสามารถแยกออกเป็นวงศ์ต่าง ๆ ได้อีก 5 วงศ คือ.

ใหม่!!: สัตว์และลิงโลกใหม่ · ดูเพิ่มเติม »

ลิงโคโลบัส

ลิงโคโลบัส (pages, Colobi) เป็นไพรเมตจำพวกลิงโลกเก่าที่อยู่ในสกุล Colobus จัดเป็นลิงที่อยู่ในกลุ่มค่าง คำว่า "โคโลบัส" (Colobus) มาจากภาษากรีก คำว่า κολοβό (kolobos) ซึ่งแปลว่า "เชื่อมต่อ" เนื่องจากลิงสกุลนี้มีหัวแม่มือที่สั้นมากเหมือนนิ้วด้วนหรือไม่มีหัวแม่มือ มีความใกล้เคียงกับลิงโคโลบัสสีน้ำตาล ที่อยู่ในสกุล Piliocolobus ลิงโคโลบัส เป็นลิงที่กระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา มีลักษณะเด่นคือ มีขนเพียง 2 สี คือ สีดำและขาวตลอดทั้งลำตัวและส่วนหาง บางชนิดมีขนและหางที่ยาวแลดูสวยงาม และเหมือนกับค่างสกุลอื่น ๆ คือ กินพืชเป็นอาหาร ซึ่งสามารถกินได้หลากหลายทั้ง ใบไม้, ดอกไม้, ผลไม้, กิ่งไม้, เมล็ดพืช ลิงโคโลบัสจะอาศัยอยู่กันเป็นฝูงประมาณ 9 ตัว ในป่าหลากหลายประเภททั้งป่าที่สมบูรณ์และป่าเสื่อมโทรม รวมถึงป่าทุ่งหญ้าและป่าริมแม่น้ำ และจะพบได้มากขึ้นในที่ ๆ ราบสูง มีระบบย่อยอาหารที่สามารถย่อยชิ้นส่วนต่าง ๆ ของพืชได้เป็นอย่างดีที่ลิงสกุลอื่นไม่สามารถทำได้ ภายในฝูงจะประกอบไปด้วยสมาชิกที่มีความหลากหลายทั้งลิงตัวเมีย และลูกลิง ลิงโคโลบัสเมื่อแรกเกิดจะมีขนสีขาว นอกจากนี้แล้วยังมีพฤติกรรมที่จะเลี้ยงลูกลิงตัวอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ลูกของตัวหรือสมาชิกในฝูงอีกด้วย ลิงโคโลบัส มีพฤติกรรมการกินอาหารที่ตะกละมูมมาม มักกินอาหารอย่างกระจัดกระจาย เป็นลิงที่ถูกล่าจากมนุษย์เพื่อเอาเนื้อบริโภคเป็นอาหาร กอรปกับป่าไม้ซึ่งเป็นสถานที่อยู่อาศัยอยู่ทำลาย อีกทั้งในธรรมชาติยังตกเป็นอาหารของชิมแปนซี ซึ่งเป็นไพรเมตเช่นเดียวกันล่ากินเป็นอาหารเพื่อความต้องการสารอาหารประเภทโปรตีนอีกด้วย Mutant Planet: African Rift Valley Lakes, "Mutant Planet".

ใหม่!!: สัตว์และลิงโคโลบัส · ดูเพิ่มเติม »

ลิงไลออนทามาริน

ลิงไลออนทามาริน (Lion tamarin) เป็นลิงโลกใหม่สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Leontopithecus ในวงศ์ Callitrichidae เป็นลิงขนาดเล็ก มีน้ำหนักประมาณ 900 กรัม (2 กรัม) และความยาวลำตัวประมาณ 30 เซนติเมตร (12 นิ้ว) ยาวหางประมาณ 45 เซนติเมตร (17 นิ้ว) มีจุดเด่นคือ มีขนยาวฟูตลอดทั้งตัวและหาง โดยเฉพาะส่วนหัวทำให้แลดูคล้ายสิงโต ทั้งหมดเป็นลิงที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นครอบครัว โดยที่ลิงตัวผู้จะเป็นผู้ดูแลลูกลิงขนาดเล็ก ทั้งที่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง ลิงตัวเมียจะคอยดูแลลูกลิงวัยอ่อนวันละประมาณ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นลิงตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลโดยให้เกาะไปมาบนหลัง ลิงที่อายุยังน้อยมีแนวโน้มสูงที่จะได้ลูกแฝด มีพฤติกรรมอาศัยในป่าดิบชื้น พบเฉพาะทางฝั่งตะวันออกของบราซิลติดมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นลิงที่หากินในเวลากลางวัน กลางคืนจะนอนหลับในโพรงไม้ กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ มีการใช้นิ้วและเล็บแกะเปลือกไม้เพื่อหาแมลงกิน ในช่วงเวลากลางวันที่มีอุณหภูมิสูงจะหลบซ่อนในที่ร่มเพื่อหลบร้อน.

ใหม่!!: สัตว์และลิงไลออนทามาริน · ดูเพิ่มเติม »

ลิงไลออนทามารินสีทอง

ลิงไลออนทามารินสีทอง หรือ ลิงมาโมเสทสีทอง (Golden lion tamarin, Golden marmoset) เป็นลิงขนาดเล็กอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นในทวีปอเมริกาใต้ มีลักษณะเด่นคือ มีขนยาวฟูสีทองตลอดทั้งตัว โดยเฉพาะส่วนหัวทำให้แลดูเหมือนสิงโตตัวผู้ จัดเป็นลิงที่ีมีความสวยที่สุดในบรรดาลิงไลออนทามารินทั้ง 4 ชนิด มีหางที่ยาวไว้ใช้เกาะเกี่ยวต้นไม้ มีอุปนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ เป็นลิงขนาดเล็กมีขนาดความยาวตั้งแต่ส่วนหัวและลำตัวประมาณ 7.5-8.75 นิ้ว (19-22 เซนติเมตร) ความยาวหาง 10.25-13.5 นิ้ว (26-34 เซนติเมตร) น้ำหนัก 14-29 ออนซ์ (400-800 กรัม) ลิงไลออนทามารินสีทอง เป็นลิงที่อาศัยอยู่กันเป็นฝูงและเป็นสังคมแบบครอบครัว ลิงตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลลูกลิงขนาดเล็ก โดยการให้ลูกลิงเกาะขึ้นหลัง และหาอาหารให้ด้วย ขณะที่ลิงที่ยังมีอายุน้อยมักจะให้กำเนิดลูกแฝด มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 15 ปี พฤติกรรมตามปกติอาศัยอยู่บนต้นไม้ นอนในโพรงในเวลากลางคืนและออกหาอาหารในเวลากลางวัน โดยมีพฤติกรรมไต่ตามกิ่งไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง มีนิ้วที่ยาวช่วยให้สามารถเกาะเกี่ยวและปีนป่ายต้นไม้่ได้สูง กินอาหารได้หลากหลายทั้งพืชและสัตว์ เช่น ดอกไม้, ผลไม้, ยางไม้, แมลง หรือลูกนกตัวเล็ก ๆ แพร่กระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้นของบราซิลทางฝั่งตะวันออกติดมหาสมุทรแอตแลนติก ปัจจุบันเป็นสัตว์ที่อยู่ในสถา่นะใกล้สูญพันธุ์เพราะถิ่นที่อยู่ถูกทำลายไปจากการนำไปเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรม และถูกจับขายเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีทั้งถูกกฏหมายและผิดกฏหม.

ใหม่!!: สัตว์และลิงไลออนทามารินสีทอง · ดูเพิ่มเติม »

ลิงเลซูลา

ลิงเลซูลา (Lesula) ลิงโลกเก่าชนิดหนึ่ง ที่เพิ่งถูกอนุกรมวิธานในปี..

ใหม่!!: สัตว์และลิงเลซูลา · ดูเพิ่มเติม »

ลิงเสน

ลิงเสน หรือ ลิงหมี (Stump-tailed macaque, Bear macaque) เป็นลิงชนิดหนึ่ง ที่สามารถพบได้ในประเทศไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macaca arctoides จัดอยู่ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae).

ใหม่!!: สัตว์และลิงเสน · ดูเพิ่มเติม »

ลิ่นยักษ์

ลิ่นยักษ์ (giant pangolin) เป็นลิ่นชนิดหนึ่ง มีถิ่นอาศัยในทวีปแอฟริกา กระจายพันธุ์ตามแนวเส้นศูนย์สูตรจากแอฟริกาตะวันตกถึงประเทศยูกันดา เป็นลิ่นขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์ลิ่น กินมดและปลวกเป็นอาหาร จัดจำแนกโดยโยฮันน์ คาร์ล วิลเฮล์ม อินลินเกอร์ (Johann Karl Wilhelm Illiger) ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และลิ่นยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ลิ่นจีน

ลิ่นจีน (อังกฤษ: Chinese pangolin; 中華穿山甲; ชื่อวิทยาศาสตร์: Manis pentadactyla) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง จำพวกลิ่น.

ใหม่!!: สัตว์และลิ่นจีน · ดูเพิ่มเติม »

ลิ่นต้นไม้

ลิ่นต้นไม้ (Tree Pangolin) เป็นลิ่นหนึ่งในแปดชนิดที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน มีถิ่นกำเนิดในแถบเส้นศูนย์สูตรในทวีปแอฟริกา รู้จักกันในชื่ออื่นว่า White-bellied Pangolin หรือ Three-cusped Pangolin.

ใหม่!!: สัตว์และลิ่นต้นไม้ · ดูเพิ่มเติม »

ลิ่นซุนดา

ลิ่นซุนดา หรือ ลิ่นมลายู หรือ ลิ่นชวา (อังกฤษ: Sunda pangolin, Malayan pangolin, Javan pangolin) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกลิ่น มีรูปร่างเหมือนลิ่นจีน (M. pentadactyla) แต่ลิ่นซุนดามีหางที่ยาวกว่าและปกคลุมด้วยเกล็ดประมาณ 30 เกล็ด และสีลำตัวจะอ่อนกว่า โดยมีสีน้ำตาลเหลืองหรือน้ำตาลเข้มและมีขนบาง ๆ ขึ้นแทรกอยู่เล็กน้อย อีกทั้งมีขนาดลำตัวและน้ำหนักมากกว่า กล่าวคือ มีความยาวลำตัวและหัวประมาณ 42.5-55 เซนติเมตร มีความยาวหาง 34-47 เซนติเมตร และความสูงจากพื้นดินถึงหัวไหล่ประมาณ 7.5-9 เซนติเมตร น้ำนักตัวประมาณ 5-7 กิโลกรัม มีการแพร่กระจายพันธุ์ในภูมิภาคอินโดจีนเรื่อยจนถึงแหลมมลายูจนถึงภูมิภาคซุนดา และยังพบในหมู่เกาะฟิลิปปินส์อีกด้วย สามารถหากินได้ทั้งบนต้นไม้, พื้นดิน และใต้ดิน เนื่องจากมีเล็บและหางที่แข็งแรงสามารถใช้เกาะเกี่ยวต้นไม้ได้ดี โดยอาหารส่วนใหญ่คือ มดและปลวก ลูกลิ่นที่เกิดใหม่จะเกาะติดแม่ โดยการใช้เล็บเกาะเกี่ยวโคนหางของแม่ไว้ จะหย่านมเมื่ออายุได้ 3 เดือน โดยปกติจะอาศัยหลับนอนอยู่ตามโพรงในเวลากลางวัน โดยใช้ดินมาปิดไว้บริเวณปากโพรง เพื่อช่วยอำพรางโพรงที่มีความลึกประมาณ 3-4 เมตร เมื่อถูกรบกวนจากศัตรูหรือตกใจจะนอนขดตัวเป็นลูกกลม ๆ คล้ายลูกฟุตบอล โดยไม่มีการต่อสู้แต่อย่างใด สำหรับในประเทศไทยพบได้ทุกภูมิภาค และลิ่นซุนดาถือเป็นลิ่น 1 ใน 2 ชนิดเท่านั้นที่สามารถพบได้ (อีกชนิดหนึ่งนั่นคือ ลิ่นจีน) และเป็นสัตว์ที่นิยมค้าขายเป็นของผิดกฎหมาย โดยมักปรากฏเป็นข่าวอยู่เสมอ ๆ ว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับผู้ลักลอบได้ทีละมาก ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อนำขายต่อให้ภัตตาคารหรือผู้ที่นิยมรับประทานสัตว์ป่า ทั้งนี้ลิ่นซุนดามีสถานภาพเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 พร้อมกับลิ่นจีน.

ใหม่!!: สัตว์และลิ่นซุนดา · ดูเพิ่มเติม »

ลู่ตูง

ลู่ตูง (Lutung) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับวานร (Primates) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Trachypithecus จัดอยู่ในจำพวกค่าง ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) โดยชื่อสามัญคำว่า "Lutung" มาจากภาษามลายู เนื่องจากมีความแตกต่างจากค่างสกุลที่พบในอนุทวีปอินเดี.

ใหม่!!: สัตว์และลู่ตูง · ดูเพิ่มเติม »

ลู่เฟิงโกซอรัส

ลู่เฟิงโกซอรัส (Lufengosaurus) ค้นพบเมื่อปี 1941 ในประเทศจีน ชื่อของมันมีความหมายว่ากิ้งก่าแห่งลู่เฟิง เพราะว่า ฟอสซิลขอลของมันค้นพบที่อำเภอลู่เฟิง เป็นไดโนเสาร์กินพืชคล้ายกับออร์นิโทไมมัส แต่มีขนาดใหญ่กว่า ยาวประมาณ 6 เมตร อาศัยอยู่ในยุคจูราสสิคตอนต้นเมื่อประมาณ 205 ล้านปีก่อน.

ใหม่!!: สัตว์และลู่เฟิงโกซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ลีดส์อิชธีส์

ลีดส์อิชธีส์ (Leedsichthys) เป็นชื่อปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว ลีดส์อิชธีส์มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Leedsichthys problematicus อยู่ในวงศ์ Pachycormidae อาศัยอยู่ในทะเลในกลางยุคจูราสสิค (185-155 ล้านปีก่อน) พบฟอสซิลในชั้นหินในยุคนี้ โดยที่ชื่อ Leedsichthys ตั้งตามผู้ค้นพบคือ อัลเฟรด นิโคลสัน ลีดส์ นักสะสมซากดึกดำบรรพ์ชาวอังกฤษ มีความหมายว่า "ปลาของลีดส์" โดยพบในพื้นที่ใกล้เขตเมืองปีเตอร์โบโรห์เมื่อปี ค.ศ. 1886 ในสภาพเป็นเศษกระดูกจนยากจะคาดเดาว่าเป็นปลาชนิดใด หลังจากนั้นมีผู้ค้นพบในอีกหลายพื้นที่เช่น ในเมืองคอลโลเวียน ของอังกฤษ ทางภาคเหนือของเยอรมนีและฝรั่งเศส เมืองออกซ์ฟอร์เดียนของชิลีและเมืองคิมเอริดเกียน ของฝรั่งเศส โดยรวมแล้วพบประมาณ 70 ตัว แต่ไม่สามารถบอกขนาดตัวได้ จนอาร์เธอร์ สมิธ วูดวาร์ดพบตัวอย่างใน ค.ศ. 1889 ประเมินว่ามีขนาดตัวยาว 30 ฟุต หรือราว 9 เมตร โดยเปรียบเทียบหางของลีดส์อิชธีส์กับปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกันคือฮิพโซคอร์มัส ต่อมาการประเมินจากเอกสารการค้นพบในระยะหลัง รวมถึงตัวอย่างที่สมบูรณ์ในพื้นที่สตาร์ พิท ใกล้เขตวิทเทิลซีย์ เมืองปีเตอร์โบโร ได้ค่าใกล้เคียงกับของวูดวาร์ด ซึ่งอยู่ที่ 30-33 ฟุต และเป็นไปว่าตอนอายุ6-12ลำตัวยาวได้มากกว่า 54 ฟุต หรือ 16 เมตร แต่ถ้าโตเต็มวัยยาวได้ถึง 24.2-26 เมตรและอาจยาวได้สูงสุดคือ 28 เมตร จึงเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา นอกจากนี้ลีดส์อิชธีส์เป็นปลาใหญ่ที่สุดในประวัติศาตร์และครองตำแหน่งปลายักษ์มาแล้วมากกว่า 125 ปี ลีดส์อิชธีส์มีตาขนาดเล็กและด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตทำให้ว่ายน้ำช้า ใช้ชีวิตคล้ายคลึงกับปลาใหญ่ในยุคปัจจุบันอย่างปลาฉลามวาฬหรือปลาฉลามอาบแดด โดยใช้ฟันซี่เรียวกว่า 40,000 ซี่กรองกินสัตว์เล็กสัตว์น้อยและแพลงก์ตอนเป็นอาหาร แม้ว่ามันจะมีลำตัขนาดใหญ่มาก แต่เชื่อว่าลีดส์อิชธีส์ก็ยังตกเป็นเหยื่อของปลากินเนื้อขนาดใหญ่รวมถึงสัตว์เลื้อยคลานทะเลยุคเดียวกันด้วย เช่น ไลโอพลัวเรอดอน เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และลีดส์อิชธีส์ · ดูเพิ่มเติม »

ลีเมอร์

ลีเมอร์ (Lemur) เป็นอันดับฐานของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับไพรเมตหรือลิง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lemuriformes ลักษณะโดยรวมของลีเมอร์ คือ มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับลิง แต่ทว่ามีส่วนหัวคล้ายหมาจิ้งจอก คือ มีจมูกและปากแหลมยาว มีดวงตากลมโต ขนหนาฟู มีหางยาวเป็นพวงเหมือนกระรอก โดยลีเมอร์เป็นไพรเมตที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Prosimian ซึ่งรวมถึงลิงลม, กาเลโก และทาร์เซีย เพราะมีสายวิวัฒนาการที่ใกล้เคียงกัน จากการศึกษาทางดีเอ็นเอ ซึ่งคำว่า "Prosimian" นั้น มีความหมายว่า "ก่อนลิง" คำว่า "ลีเมอร์" แปลงมาจากคำว่า Lemures ในเทพปกรณัมโรมันหมายถึง "ดวงวิญญาณ, ผี หรือปีศาจ" ขนาดโดยทั่วไปโดยเฉลี่ยของลีเมอร์ขนาดเท่าแมว น้ำหนักตัวประมาณ 9 กิโลกรัม โดยที่ชนิดที่มีขนาดเล็กมีรูปร่างใกล้เคียงกับหนู มีการกระจายพันธุ์เฉพาะบนเกาะมาดากัสการ์ทางชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกที่เดียวเท่านั้น เหตุเพราะสันนิษฐานว่า ที่เกาะแห่งนี้ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ ทำให้สัตว์หลายชนิดมีการวิวัฒนาการเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ และไม่มีสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่คอยคุกคาม โดยอาศัยอยู่ในป่าดิบ บนต้นไม้ใหญ่ หากินในเวลากลางวัน และนอนหลับในเวลากลางคืน โดยที่สันนิษฐานอีกว่า บรรพบุรุษของลีเมอร์ เดินทางมายังเกาะมาดากัสการ์ด้วยกอพรรณพืชหรือต้นไม้เมื่อ 60 ล้านปีก่อน โดยลีเมอร์ได้วิวัฒนาการตัวเองแยกมาเป็นชนิดต่าง ๆ จากถิ่นที่อยู่ที่แตกต่างกัน เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง อันเป็นผลจากการที่น้ำท่วมเกาะ ก่อให้เกิดเป็นเกาะแก่งต่าง ๆ มากมาย และลีเมอร์ชนิดต่าง ๆ ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและถูกจำกัดในเรื่องอาหาร จากพายุไซโคลนที่พัดถล่มในมหาสมุทรอินเดีย โดยเฉพาะชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก โดยเชื่อว่าบรรพบุรุษของลีเมอร์นั้นแรกเริ่มมีขนาดเล็ก และอาจเกาะกับต้นไม้ลอยน้ำมาในรูปแบบของการจำศีลMadagascar, "Mutant Planet" สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต.

ใหม่!!: สัตว์และลีเมอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ลีเมอร์หนู

ลีเมอร์หนู (Mouse lemur) เป็นไพรเมตขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในกลุ่มลีเมอร์ จัดอยู่ในสกุล Microcebus จัดเป็นลีเมอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุด และถือเป็นไพรเมตที่มีขนาดเล็กที่สุดจำพวกหนึ่ง ลีเมอร์หนู มีรูปร่างลักษณะแตกต่างไปจากลีเมอร์ทั่วไป โดยจะเหมือนลิงลมหรือกาเลโกมากกว่า จากการศึกษาทางพันธุกรรม โดยศึกษาจากดีเอ็นเอพบว่า ลีเมอร์หนูเป็นลีเมอร์ที่มีความเก่าแก่ที่สุด โดยเชื่อว่าเป็นลีเมอร์ชนิดแรกที่เดินทางผืนแผ่นดินใหญ่แอฟริกามายังเกาะมาดากัสการ์เมื่อแรกกำเนิดเกาะเมื่อกว่า 80-60 ล้านปีก่อน โดยอาศัยเกาะมากับวัสดุหรือท่อนไม้ลอยน้ำมา ในรูปแบบของการจำศีล เพราะระยะทางห่างไกล เชื่อว่ามีลีเมอร์มาถึงเกาะมาดากัสการ์ครั้งแรกเพียง 12 ตัว และมีปริมาณตัวเมียเพียง 2 ตัวเท่านั้น ก่อนที่จะวิวัฒนาการให้มีความหลากหลายในเวลาต่อมา ซึ่งลีเมอร์หนูแทบจะไม่ได้เปลี่ยนรูปร่างไปเลยจากเมื่อ 80 ล้านปีก่อน โดยมีขนาดลำตัวรวมทั้งส่วนหางยาวน้อยกว่า 27 เซนติเมตร (11 นิ้ว) ซึ่งสามารถเอามาวางไว้บนฝ่ามือมนุษย์ได้ มีใบหูและดวงตากลมโตขนาดใหญ่เหมือนกาเลโก เป็นลีเมอร์เพียงไม่กี่ชนิดที่หากินในเวลากลางคืน โดยกินอาหารขนาดเล็ก ๆ เช่น แมลง, แมง รวมถึงส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ดอกไม้, ผลไม้ และรวมถึงน้ำต้อย และยางไม้ของต้นไม้ใหญ่ด้วย นับได้ว่าลีเมอร์หนูเป็นสัตว์อีกจำพวกหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการผสมเกสรของพืช นอกจากนี้แล้ว ลีเมอร์หนูยังถือได้ว่าเป็นไพรเมตเพียงจำพวกเดียวที่มีการจำศีล โดยจะจำศีลตรงกับช่วงฤดูร้อนของเกาะมาดากัสการ์ ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศแห้งแล้ง ฝนไม่ตก ซึ่งตรงกับช่วงกลางปีของทุกปี ก่อนจะถึงฤดูการจำศีล คือ ตอนปลายของฤดูฝน ลีเมอร์หนูจะเร่งกินอาหารเพื่อสะสมพลังงานไว้ในร่างกาย ตามขาและหาง ก่อนที่จะจำศีลในโพรงไม้นานถึง 3-4 เดือน ด้วยการอยู่นิ่ง ๆ เคลื่อนไหวน้อยที่สุดเพื่อสงวนพลังงาน ระดับแมตาบอลิสซึมลดต่ำ อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำ ซึ่งเรียกว่า ทอร์พอร์ ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงปลายปี ซึ่งตรงกับปลายเดือนพฤศจิกายน และจะเร่งเพิ่มน้ำหนักเพื่อชดเชยพลังงานที่สูญเสีย ก่อนที่ในเดือนธันวาคม ลีเมอร์หนูจะผสมพันธุ์และออกลูก ด้วยการส่งเสียงร้องในรูปแบบคลื่นเสียงความถี่สูงที่หูมนุษย์ไม่ได้ยิน แบบเดียวกับค้างคาว ในการเรียกหาคู่ ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีเสียงที่แตกต่างกันออกไป ลีเมอร์หนูตัวเมียจะให้กำเนิดลูกในช่วงนี้ ลูกลีเมอร์หนูจะพึ่งพาแม่เป็นระยะเวลานาน 8 สัปดาห์ ก่อนที่จะเติบโตพอที่จะแยกตัวออกไป เดิมลีเมอร์ถูกจัดให้มีเพียงแค่ชนิดเดียวหรือ 2 ชนิด เพราะมีรูปลักษณ์แทบไม่ต่างกันในแต่ละชนิด เนื่องจากเป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน ที่ทัศนวิสัยไม่อาจมองอะไรได้ชัด จึงไม่มีความจำเป็นในเรื่องความแตกต่างของรูปร่างภายนอก แต่ปัจจุบันจากการศึกษาในระดับดีเอ็นเอพบว่ามีมากถึง 19 ชนิด หรืออาจมากกว่า Madagascar, "Mutant Planet" สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต.

ใหม่!!: สัตว์และลีเมอร์หนู · ดูเพิ่มเติม »

ลีเมอร์ซิฟากา

ลีเมอร์ซิฟากา (Sifaka) เป็นไพรเมตจำพวกลีเมอร์ที่อยู่ในสกุล Propithecus ในวงศ์ Indriidae ลีเมอร์ซิฟากา นับเป็นลีเมอร์ขนาดใหญ่ มีขนตามลำตัวสีขาว และมีใบหน้ารวมถึงใบหูสีดำ เป็นลีเมอร์ที่ออกหากินในเวลากลางวัน มีเสียงร้องที่ดังมาก โดยกินใบไม้ชนิดต่าง ๆ รวมถึงผลไม้, ลูกไม้ และสามารถกินดอกไม้ของต้นไม้ที่มีหนามแหลมตลอดทั้งต้นได้ด้วย โดยใช้ฝ่าเท้าทั้ง 4 ข้างยึดจับหนามแหลมเหล่านั้นโดยไม่กลัวเจ็บ ในบางชนิดมีฟันหน้าที่มีลักษณะคล้ายหวี จึงสามารถดึงดอกไม้ออกมากินได้สะดวก ลีเมอร์ซิฟากา เป็นลีเมอร์ที่กระโดดได้ไกลมากจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง โดยการใช้แรงส่งจากขาหลัง และเมื่อลงมาพื้นดิน และใช้ขาหลังเพียงข้างเดียวส่งตัวกระโดดไปกับพื้น โดยหันข้างเหมือนการสไลด์ แต่หากเจอศัตรูหรือภัยอันตรายก็สามารถกระโดดพร้อมกันด้วยขาหลังทั้งคู่และกระโดดไปข้างหน้าก็ได้ ลีเมอร์ซิฟากา เชื่อกันว่าในอดีตดั้งเดิมเคยเป็นลีเมอร์ที่หากินในพื้นที่ ๆ มีอุดมสมบูรณ์อย่าง ป่าฝนเมืองร้อนมาก่อน แต่ด้วยสาเหตุที่ยังไม่แน่ชัด อาจเป็นไปได้ว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการแย่งชิงอาหารระหว่างลีเมอร์ด้วยกันเอง จึงอพยพย้ายถิ่นเข้ามาอาศัยในเขตป่าที่แห้งแล้งของเกาะมาดากัสการ์ ที่หาอาหารได้ยากกว่า นอกจากนี้แล้ว ในความเชื่อของชนพื้นเมืองชาวมาดากัสการ์ มีนิทานปรำปราเล่าว่า เดิมลีเมอร์ซิฟากาเคยเป็นเด็กผู้ชายมาก่อน วันหนึ่งได้พยายามขโมยอาหารกินด้วยความหิว จึงถูกแม่เลี้ยงทุบตีและป้ายเข้าที่หน้าด้วยช้อนตักขี้เถ้า จึงหนีเข้าป่าและกลายเป็นลีเมอร์ไป ลีเมอร์ซิฟากาจึงมีใบหน้ามีดำ และด้วยเหตุนี้ชนพื้นเมืองของมาดากัสการ์จึงไม่ล่าลีเมอร์ซิฟาก.

ใหม่!!: สัตว์และลีเมอร์ซิฟากา · ดูเพิ่มเติม »

ลีเมอร์ไผ่สีทอง

ลีเมอร์ไผ่สีทอง (Golden bamboo lemur; มาลากาซี: bokombolomena) เป็นลีเมอร์ จำพวกลีเมอร์ไผ่ชนิดหนึ่ง ลีเมอร์ไผ่สีทองมีความยาวลำตัวและส่วนหัวประมาณ 28–45 เซนติเมตร และหางยาว 24–40 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 1.6 กิโลกรัม ตัวเมียออกลูก 1 ตัว ปีละครั้ง มีระยะเวลาการตั้งท้องนานประมาณ 138 วัน ลีเมอร์ไผ่สีทอง กินเนื้อเยื่อของต้นไผ่เป็นอาหาร โดยกินมากถึง 500 กรัมต่อวัน และมีความสามารถพิเศษที่แตกต่างไปจากลีเมอร์ไผ่ชนิดอื่น ๆ คือ สามารถกินไผ่ที่มีฤทธิ์เป็นไซยาไนด์อยู่ในนั้นได้โดยที่ไม่เป็นอะไร โดยเฉพาะไผ่ชนิด Cathariostachys madagascariensis หรือ volohosy ในภาษามาลากาซี ที่มีฤทธิ์เพียงพอที่จะฆ่ามนุษย์ให้ตายได้ถึง 8 คน ทั้งนี้เป็นเพราะผลมาจากการวิวัฒนาการให้อยู่รอดจากการอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่จำกัดด้วยเรื่องของอาหาร ซึ่งในปัจจุบัน ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะทราบถึงกลไกของร่างกายลีเมอร์ไผ่สีทองว่าทำไมถึงกินไซยาไนด์เข้าไปได้โดยที่ไม่มีอันตรายได้อย่างไร.

ใหม่!!: สัตว์และลีเมอร์ไผ่สีทอง · ดูเพิ่มเติม »

ล่อ

ล่อ (Mule) เดิมเรียกว่า ฬ่อ เป็นสัตว์พันธุ์ผสมระหว่าง ลาตัวผู้และม้าตัวเมีย ม้าและลาเป็นสัตว์คนละสปีชีส์ที่มีจำนวนโครโมโซมแตกต่างกัน โดยเมื่อมีการผสมออกมาแล้ว ล่อตัวผู้ทั้งหมดและล่อตัวเมียส่วนใหญ่จะเป็นหมัน สำหรับสัตว์ผสมระหว่างม้าตัวผู้และลาตัวเมีย จะถูกเรียกว่า ฮินนี ล่อถูกนิยมนำมาใช้ในการเป็นพาหนะสำหรับขนของ โดยขนาดและปริมาณของที่สามารถบรรทุกได้จะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และน้ำหนักตัวของล่อเอง คุณสมบัติเด่นของล่อจะมี ความอดทน เท้าที่มั่นคง และมีชีวิตยืนยาวกว่าม้า ขณะเดียวกันมีความฉลาด เชื่อง และเดินทางรวดเร็วกว่าลา ล่อตัวเมียสามารถตั้งครรภ์ได้เนื่องจากมีรังไข่แม้ว่าโอกาสจะต่ำก็ตาม.

ใหม่!!: สัตว์และล่อ · ดูเพิ่มเติม »

ล็อบสเตอร์

ระวังสับสนกับ: กุ้งมังกร สำหรับล็อบสเตอร์ที่พบในน้ำจืด ดูที่: เครย์ฟิช ล็อบสเตอร์ (Lobster) เป็นสัตว์ทะเลน้ำเค็มขนาดใหญ่ ลักษณะลำตัวจะมีสีดำปนแดง ชื่อของกุ้งชนิดนี้มาจากคำในภาษาอังกฤษสมัยโบราณว่า Loppestre เป็นคำสมาสของคำภาษาละตินว่า Locusta แปลว่า ตั๊กแตน และ Loppe ในภาษาอังกฤษ ที่แปลว่า แมงมุม ล็อบสเตอร์เป็นสัตว์ขาปล้อง สายพันธุ์ที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคือล็อบสเตอร์ยุโรปกับล็อบสเตอร์อเมริกา เจริญเติบโตด้วยการลอกคราบ เนื่องจากฟันที่ใช้บดอาหารในกระเพาะอาหาร เป็นส่วนหนึ่งของโครงกระดูกภายนอก จึงจำเป็นต้องดึงเอาเนื้อเยื่อของลำคอ กระเพาะ และทวารหนักออกมาด้วย แต่ไม่ใช่ทุกตัวที่จะรอดชีวิตจากกระบวนการลอกคราบนี้ นอกจากนี้แล้ว ล็อบสเตอร์ยังถือว่าได้ว่าเป็นครัสเตเชียนที่มีอายุยืนยาวที่สุดด้วย มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 100 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และล็อบสเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

วอมแบต

วอมแบต (wombat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง ในวงศ์ Vombatidae มีทั้งหมด 3 ชนิด ใน 2 สกุล มีรูปร่างโดยรวม อ้วนป้อม มีขนนุ่มละเอียด มีสีน้ำตาลอ่อนหรือเทาหรือดำ หางสั้น มีส่วนขาที่สั้น ขาหน้าที่มีเล็บแหลมคมและข้อขาที่แข็งแรง ใช้สำหรับขุดโพรงเพื่ออยู่อาศัย ซึ่งโพรงมีทางยาวและมีหลายห้องหลายทาง เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน ในยามปกติตัวผู้และตัวเมียจะแยกกันอยู่ จะอยู่ด้วยกันเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น ขนาดโตเต็มที่โดยเฉลี่ยยาวประมาณ 1 เมตร น้ำหนักเกือบ 40 กิโลกรัม กินพืชเป็นอาหาร โดยเฉพาะหญ้าที่เป็นอาหารหลัก มีฟันที่แหลมคม ที่เขียนเป็นสูตรได้ดังนี้ วอมแบตเป็นสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้องคว่ำ เพื่อป้องกันลูกตกลงมา ให้ลูกครั้งละ 1 ตัวเท่านั้น ใช้เวลาตั้งท้องนาน 22 วัน มีทั้งหมด 3 ชนิด 2 สกุล พบในประเทศออสเตรเลียทางตอนใต้และเกาะแทสเมเนียเท่านั้น ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวอมแบต · ดูเพิ่มเติม »

วอลรัส

วอลรัส (walrus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวในวงศ์ Odobenidae และสกุล Odobenus อาศัยอยู่แถบขั้วโลกเหนือ รูปร่างคล้ายสิงโตทะเล แต่ตัวใหญ่กว่ามากและมีเขี้ยวยาว วอลรัสเพศผู้โตเต็มวัยอาจมีน้ำหนักได้มากถึง 2,000 กิโลกรัม และมีอายุยืนถึง 20-30 ปี วอลรัสมีความสำคัญต่อชนพื้นเมืองที่อาศัยในเขตอาร์กติก การล่าวอลรัสในช่วงศตวรรษที่ 19-20 ส่งผลให้จำนวนวอลรัสลดลง.

ใหม่!!: สัตว์และวอลรัส · ดูเพิ่มเติม »

วัว

วัว หรือ โค (ภาษาไทยถิ่นเหนือ: งัว) เป็นสัตว์มีกีบเท้าที่เป็นสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ชนิดที่สามัญที่สุด เป็นสมาชิกสมัยใหม่ที่โดดเด่นในวงศ์ย่อย Bovinae เป็นชนิดที่แพร่หลายที่สุดในสกุล Bos และถูกจำแนกเป็นกลุ่มอย่างกว้างขวางที่สุดว่า Bos primigenius วัวถูกเลี้ยงเป็นปศุสัตว์เพื่อเอาเนื้อ เพื่อเอานมและผลิตภัณฑ์นมอื่น ๆ และเป็นสัตว์ลากเทียม ผลิตภัณฑ์อื่นจากวัวมีหนังและมูลเพื่อใช้เป็นปุ๋ยคอกหรือเชื้อเพลิง ในบางประเทศ เช่น อินเดีย วัวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ จากบรรพบุรุษวัวที่เป็นสัตว์เลี้ยงเพียง 80 ตัว ในทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกีเมื่อราว 10,500 ปีก่อนBollongino, Ruth & al.

ใหม่!!: สัตว์และวัว · ดูเพิ่มเติม »

วัวทะเลชเตลเลอร์

วัวทะเลชเตลเลอร์ (Steller's sea cow, Great northern sea cow) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในอันดับพะยูน (Sirenia) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Hydrodamalis วัวทะเลชเตลเลอร์จัดเป็นพะยูนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่เคยปรากฏมา มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 8 เมตร น้ำหนักมากถึง 3 ตัน นับได้ว่ามีขนาดพอ ๆ กับวาฬเพชฌฆาต อาศัยอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ในเขตอาร์กติกและช่องแคบเบริง ซึ่งอยู่ระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต เมื่อกลางปี..

ใหม่!!: สัตว์และวัวทะเลชเตลเลอร์ · ดูเพิ่มเติม »

วัวแดง

วัวแดง เป็นวัวป่าชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bos javanicus รูปร่างคล้ายวัวบ้าน (B. taurus) ทั่วไป แต่มีลักษณะสำคัญที่ต่างไปจากวัวบ้านและกระทิง (B. gaurus) คือ มีวงก้นขาวทั้งในตัวผู้และตัวเมีย มีเส้นขาวรอบจมูก ขาทั้ง 4 ข้างมีสีขาวตั้งแต่หัวเข่าจนถึงกีบเท้า ระหว่างโคนขาของตัวผู้ไม่มีขน แต่เป็นหนังตกกระแข็ง ๆ เรียกว่า "กระบังหน้า" ความยาวลำตัวและหัวประมาณ 190–255 เซนติเมตร หางยาว 65–70 เซนติเมตร สูงประมาณ 155–165 เซนติเมตร และมีน้ำหนักราว 600–800 กิโลกรัม พบในพม่า, ไทย, อินโดจีน, ชวา, บอร์เนียว, เกาะบาหลี, ซาราวะก์, เซเลบีส สำหรับประเทศไทยเคยพบได้ทุกภาค วัวแดงกินหญ้าอ่อน ๆ ใบไผ่อ่อน หน่อไม้อ่อน ลูกไม้ป่าบางชนิด ใบไม้ ยอดอ่อนของพืช และดอกไม้ป่าบางชนิด ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดย่อย ได้ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และวัวแดง · ดูเพิ่มเติม »

วัดเส้าหลิน

วัดเส้าหลินหรือสำนักเส้าหลิน (เส้าหลินซื่อ; แต้จิ๋ว: เสี้ยวลิ้มยี่; ฮกเกี้ยน: เชี้ยวหลิมซี; คำแปล: วัดป่าบนเขาเส้าซื่อ) เป็นวัดทางพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่มีความเก่าแก่อายุมากกว่า 1,500 ปี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน หนึ่งในจำนวนห้ายอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวจีน เป็นเทือกเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดทั้งในด้านของประวัติศาสตร์และในแวดวงยุทธภพ ประกอบด้วยยอดเขาน้อยใหญ่จำนวน 72 ยอด แบ่งเป็นสองกลุ่มคือในกลุ่มของเขาไท่ซื่อ จำนวน 36 ยอด และกลุ่มของเขาเส้าซื่อ จำนวน 36 ยอด ในอำเภอเติงเฟิง เมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองเจิ้งโจวและเมืองลั่วหยาง บริเวณรอบ ๆ วัดเส้าหลินเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ใช้สำหรับฝึกวิทยายุทธของหลวงจีน รายล้อมด้วยป่าเจดีย์หรือถ่าหลิน ซึ่งเป็นสุสานของอดีตเจ้าอาวาสและหลวงจีน ซึ่งมีมาตั้งแต่ในยุคสมัยของราชวงศ์ถัง วัดเส้าหลินมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในประเทศจีนและในต่างประเทศ ได้รับการกล่าวขานในเรื่องของกระบวนท่าวิทยายุทธ เพลงหมัดมวย พลังลมปราณและกังฟูเส้าหลินเป็นอย่างมาก เป็นแหล่งวิชาการต่อสู้และศิลปะการป้องกันตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน ปรากฏชื่อในนิยายกำลังภายในหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแต่กล่าวถึงวิชาเพลงหมัดมวย พลังลมปราณและกังฟูเส้าหลินอยู่เสมอ โดยเฉพาะนิยายกำลังภายในของกิมย้งเช่น มังกรหยก, จอมใจจอมยุทธ์, จิ้งจอกภูเขาหิมะ เป็นต้น ปัจจุบันมีหลวงจีนที่บวชเพื่อศึกษาธรรมะและกังฟูจำนวน 180 รูป มีหลวงจีน ซือ หย่งซิน ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งในประเทศจีน ที่ทางรัฐบาลจีนได้ร้องขอต่อองค์กรยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก และได้รับการพิจารณาให้เป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ร่วมกับโบราณสถานอีก 5 แห่ง.

ใหม่!!: สัตว์และวัดเส้าหลิน · ดูเพิ่มเติม »

วัดเขาสมโภชน์

วัดเขาสมโภชน์ เป็นวัดในตำบลบัวชุม อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี.

ใหม่!!: สัตว์และวัดเขาสมโภชน์ · ดูเพิ่มเติม »

วาฬ

การพ่นน้ำของวาฬเพชฌฆาต (''Orcinus orca'') ครีบหางของวาฬหลังค่อม ซึ่งวาฬแต่ละตัวและมีลักษณะของครีบและหางแตกต่างกันออก ใช้เป็นสิ่งสำคัญในการจำแนก ตัวอย่างเสียงร้องของวาฬ วาฬ หรือที่นิยมเรียกกันติดปากว่า "ปลาวาฬ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่อาศัยอยู่แต่เฉพาะในทะเลหรือมหาสมุทร เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายปลา คือ รูปร่างเพรียวยาว มีครีบและมีหางเหมือนปลา แต่หางของวาฬจะเป็นไปในลักษณะแนวนอน มิใช่แนวตั้งเหมือนปลา วาฬมิใช่ปลา แต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีสายรก ที่จัดอยู่ในอันดับวาฬและโลมา (Cetacea) บรรพบุรุษของวาฬ เป็นสัตว์กินเนื้อบนบกมี 4 ขา ในยุคพาลีโอจีน เมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน มีชื่อว่า "มีโซนิก" จากนั้นก็วิวัฒนาการเริ่มใช้ชีวิตแบบสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำภายในเวลาเพียง 10 ล้านปีต่อมาในยุคอีโอซีน หรือเมื่อประมาณ 55 ล้านปีก่อน โดยจากสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจากนั้นขาหลังก็ค่อยหดและเล็กลงจนต่อมาเมื่อประมาณ 24-26 ล้านปี ก่อนกระดูกและข้อต่อก็หดเล็กลงจนไม่มีโผล่ออกมาให้เห็น แต่ในปัจจุบันกระดูกส่วนของขาหลังก็ยังคงมีอยู่โดยเป็นอวัยวะภายในที่มีขนาดเล็ก และทำหน้าที่เพียงเป็นที่ยึดติดของอวัยวะสืบพันธุ์เท่านั้น วาฬ เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ นับเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แม้จะอาศัยอยู่แต่เฉพาะในทะเล มีรูปร่างคล้ายปลา แต่มิใช่ปลา ด้วยเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แม้จะไม่มีขนปกคลุมลำตัวเหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันดับอื่น ๆ แต่วาฬจะรักษาความอบอุ่นในร่างกายด้วยไขมันในชั้นใต้ผิวหนัง วาฬ เป็นสัตว์ที่หายใจด้วยปอด เหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันดับอื่น ๆ วาฬสามารถกลั้นหายใจใต้น้ำได้นานนับชั่วโมง (โดยเฉลี่ยประมาณ 20 นาที) ด้วยการเก็บออกซิเจนปริมาณมากไว้ในปอด เมื่อใช้ออกซิเจนหมด วาฬจะขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำเพื่อปล่อยลมหายใจออก ซึ่งขณะที่ปล่อยลมหายใจออกนั้นจะมีไอน้ำและฝอยน้ำพ่นออกมาจากอวัยวะพิเศษที่อยู่ตรงส่วนหัวเป็นรูกลม ๆ เหมือนน้ำพุด้วย เพราะวาฬมีกล้ามเนื้อพิเศษปิดรูจมูกไว้แน่นเพื่อกันไม่ให้น้ำเข้าไปจมูกซึ่งเป็นอวัยวะที่ติดต่อกับปอดโดยตรง ส่วนปากนั้นไม่มีทางติดต่อกับปอดและจมูกเลย ทั้งนี้เพื่อจะกันไม่ให้น้ำเข้าสู่ปอดในขณะที่ดำน้ำ ในวาฬขนาดใหญ่อย่าง วาฬสีน้ำเงิน สามารถพ่นน้ำได้สูงถึง 9 เมตร วาฬ อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกของวาฬจะกินนมจากเต้านมของแม่เหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป เต้านมของวาฬมี 1 คู่ อยู่ในร่องท้องของวาฬตัวเมีย ขณะที่กินนมลูกวาฬจะว่ายน้ำเคียงข้างไปพร้อมกับแม่ จึงจำเป็นต้องใช้เวลาให้น้อยที่สุด โดยเพียงแค่จ่อปากที่หัวนม แม่วาฬจะปล่อยน้ำนมเข้าปากลูก เป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น เมื่อลูกวาฬคลอดออกมาใหม่ ๆ จะพุ่งตัวขึ้นผิวน้ำเพื่อหายใจทันที แม่วาฬจะช่วยดันลูกขึ้นสู่ผิวน้ำด้วยส่วนหัว และขณะที่แม่วาฬคลอดลูกนั้น วาฬตัวอื่น ๆ ในฝูง โดยเฉพาะวาฬตัวเมียจะช่วยกันปกป้องแม่และลูกวาฬมิให้ได้รับอันตราย ลูกวาฬเมื่อแรกเกิดจะมีลำตัวประมาณร้อยละ 40 ของแม่วาฬ และในบางชนิดจะมีขนติดตัวมาด้วยในช่วงแนวปากบนเมื่อแรกเกิด และจะหายไปเมื่อโตขึ้น วาฬ เป็นสัตว์ที่มีนัยน์ตาขนาดเล็ก จึงไม่ได้ใช้ประสาทการมองเห็นเท่าใดนัก อีกทั้งระบบประสาทการรับกลิ่นก็ไม่มีประสิทธิภาพที่ดีด้วย หากแต่วาฬจะใช้ระบบการรับฟังเสียงเป็นประสาทสัมผัสเป็นหลัก คล้ายกับระบบโซนาร์ หรือเอคโคโลเคชั่น ที่ส่งคลื่นเสียงไปกระทบกับวัตถุต่าง ๆ แล้วสะท้อนกลับมาสู่ประสาทหูของวาฬเพื่อคำนวณระยะทางและขนาดของวัตถุ นอกจากนี้แล้ววาฬยังใช้เสียงต่าง ๆ ในการติดต่อสื่อสารกันในฝูงและในกลุ่มเดียวกัน สามารถร้องได้ด้วยเสียงต่าง ๆ กันมากมาย มีการศึกษาจากนักวิชาการพบว่า วาฬหลังค่อมสามารถส่งเสียงต่าง ๆ ได้มากถึง 34 ประเภท เหมือนกับการร้องเพลง และก้องกังวาลไปไกลนับเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร และอยู่ได้นานถึงชั่วโมง และในการศึกษาวาฬนั้น ผู้ศึกษาจะสังเกตจากครีบหางและรอยแผลต่าง ๆ บนลำตัวซึ่งจะแตกต่างกันออกไปเป็นลักษณะเฉพาะ วาฬ เป็นสัตว์ที่มนุษย์รู้จักและผูกพันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในอดีตเคยมีความเชื่อว่าวาฬเป็นปลา เช่น นักปราชญ์อย่างอริสโตเติล แต่ในปี ค.ศ. 1693 จอห์น เรย์ นักชีววิทยาชาวอังกฤษเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ตระหนักว่าวาฬเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มิใช่ปลา ด้วยมีการคลอดลูกเป็นตัว และมีระยะเวลาตั้งท้องนานกว่าปี เหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ทั่วไป วาฬเป็นสัตว์ที่มนุษย์นิยมล่าเพื่อนำเนื้อ, หนัง, บาลีน, ฟัน, กระดูก รวมทั้งน้ำมันและไขมันในชั้นผิวหนังในการอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ จนกระทั่งถึงในปี ค.ศ. 1966 ประชากรวาฬลดลงเหลือเพียง 12,000 ตัวเท่านั้น จึงมีกฎหมายและการอนุรักษ์วาฬขึ้นมาอย่างจริงจัง.

ใหม่!!: สัตว์และวาฬ · ดูเพิ่มเติม »

วาฬบรูด้า

วาฬบรูด้า หรือ วาฬแกลบ (Bryde's whale, Eden's whale; ชื่อวิทยาศาสตร์: Balaenoptera edeni) เป็นวาฬขนาดใหญ่ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จัดอยู่ในวงศ์ Balaenopteridae โดยชื่อ วาฬบรูด้า เป็นการตั้งเพื่อให้เป็นเกียรติ แก่กงสุลชาวนอร์เวย์ ในประเทศแอฟริกาใต้ ที่ชื่อโยฮัน บรูด้.

ใหม่!!: สัตว์และวาฬบรูด้า · ดูเพิ่มเติม »

วาฬบาลีน

ลีน การกินอาหารของวาฬหลังค่อม ซึ่งเห็นบาลีนสีเขียวอยู่ในปาก วาฬบาลีน หรือ วาฬกรองกิน หรือ วาฬไม่มีฟัน (Baleen whales, Toothless whales) เป็นกลุ่มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ในทะเล ในอันดับวาฬและโลมา (Cetacea) อันได้แก่ วาฬ และโลมา ซึ่งวาฬบาลีนถูกจัดอยู่ในอันดับย่อย Mysticeti (/มิส-ติ-เซ-เตส/) วาฬ ที่อยู่ในกลุ่มวาฬบาลีน มีลักษณะเด่น คือ เป็นวาฬที่มีขนาดใหญ่ ในปากจะไม่มีฟันเป็นซี่ ๆ เหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันดับอื่น ๆ แต่จะมีมีฟันเหมือนขนแปรงสีฟันหรือซี่หวี่ขนาดใหญ่ ซึ่งห้อยลงมาจากขากรรไกรด้านบน ขนแปรงนี้จะเติบโตด้วยกันเป็นกลุ่มที่เรียกว่า "บาลีน" ใช้สำหรับกรองอาหารจากน้ำทะเล จึงกินได้แต่เฉพาะสัตว์ทะเลขนาดเล็ก ๆ เช่น แพลงก์ตอนชนิดต่าง ๆ, เคย และปลาขนาดเล็ก เช่น ปลาแฮร์ริ่ง, ปลากะตัก, ปลาซาร์ดีน เป็นต้น ดังนั้นการกินอาหารของวาฬบาลีน จะใช้วิธีกลืนน้ำทะเลเข้าไปในปากเป็นจำนวนมาก แล้วจะหุบปากแล้วยกลิ้นขึ้นเป็นการบังคับให้น้ำออกมาจากปาก โดยผ่านบาลีน ที่ทำหน้าที่เหมือนหวี่กรองปล่อยให้น้ำออกไป แต่อาหารยังติดอยู่ในปากของวาฬ แล้ววาฬจะกลืนอาหารลงไป โดยวัน ๆ หนึ่งจะกินอาหารได้เป็นจำนวนมาก คิดเป็นน้ำหนักเป็นตัน เช่น วาฬสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นวาฬบาลีนชนิดหนึ่ง และเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วย จะกินแพลงก์ตอนมากถึง 4,000 กิโลกรัม (8,800 ปอนด์) ต่อวัน (คิดเป็นน้ำหนักเท่ากับพิซซาจำนวน 12,000 ชิ้น) วาฬบาลีน เป็นวาฬที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง เมื่อเวลาหากินจะช่วยกันหาอาหาร โดยรวมตัวกันด้วยการทำให้ผิวน้ำเป็นฟองเพื่อไล่ต้อนอาหาร ซึ่งเป็นฝูงปลาเล็ก ๆ ให้สับสน อีกทั้งยังเป็นนักเดินทางในท้องทะเลและมหาสมุทร ส่วนใหญ่อพยพเป็นระยะทางไกล ๆ ทุกปี จากทะเลที่มีอุณหภูมิอบอุ่นซึ่งเป็นที่ ๆ ผสมพันธุ์และคลอดลูกไปยังทะเลที่เย็นกว่า ซึ่งเป็นที่ ๆ จะหาอาหาร โดยวาฬสีเทานับเป็นวาฬที่อพยพเป็นระยะทางไกลที่สุด จากประเทศเม็กซิโกถึงอาร์กติกแถบขั้วโลกเหนือ รวมระยะทางไปกลับประมาณ 20,000 กิโลเมตร (12, 500 ไมล์) วาฬบาลีน ในปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งหมด 4 วงศ์ 15 ชนิด แต่ก็มีหลายชนิดและหลายสกุลที่สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (ที่สูญพันธุ์แล้วจะใส่เครื่องหมาย † ไว้ข้างหน้า) แต่จากการศึกษาจากซากดึกดำบรรพ์ พบว่าบรรพบุรุษของวาฬบาลีนเป็นวาฬมีฟันที่มีชื่อว่า Janjucetus มีอายุอยู่ในราว 25 ล้านปีก่อน และเชื่อว่าอาจจะเป็นสัตว์ดุร้ายและทรงพลังมากในการล่าเหยื่อและกินอาหารด้วย เนื่องจากลักษณะของฟันมีความแหลมคม ไม่เหมือนกับของแมวน้ำรวมถึงไม่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกอื่นในยุคสมัยเดียวกัน แต่มีลักษณะคล้ายกับฟันของสิงโตในยุคปัจจุบันมากกว.

ใหม่!!: สัตว์และวาฬบาลีน · ดูเพิ่มเติม »

วาฬฟิน

วาฬฟิน (fin whale, finback whale, common rorqual) เป็นวาฬขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในวงศ์วาฬอกร่อง (Balaenopteridae) วาฬฟินจัดเป็นวาฬขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองมาจากวาฬสีน้ำเงิน (B. musculus) ที่อยู่ในสกุลและวงศ์เดียวกัน มีขนาดโตเต็มที่ยาวถึง 27 เมตร น้ำหนักมากกว่า 75 ตัน ขนาดลูกแรกเกิดยาว 6-6.5 เมตร มีลักษณะเด่น คือ สีด้านหลังสีดำ ด้านท้องสีขาวตัดกันชัดเจน มีซี่กรองอาหารจำนวน 240-480 แผง บนขากรรไกรบนแต่ละข้าง ร่องใต้คางมีจำนวน 50-100 ร่อง วาฬฟินพบได้ในทะเลเปิดและมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง และมีหลักฐานที่พบเพียงตัวอย่างเดียว เป็นซากโครงกระดูกขุดพบเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม..

ใหม่!!: สัตว์และวาฬฟิน · ดูเพิ่มเติม »

วาฬมีฟัน

ฟันของวาฬสเปิร์ม ซึ่งเป็นวาฬมีฟันที่มีขนาดใหญ่ที่สุด วาฬมีฟัน (Toothed whales) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในน้ำทั้งทะเล, น้ำกร่อย และน้ำจืดบ้างบางส่วน เป็นอันดับย่อยของอันดับวาฬและโลมา (Cetacea) ใช้ชื่ออันดับย่อยว่า Odonceti (/โอ-ดอน-โต-เซ-เตส/) วาฬมีฟันนั้นประกอบไปด้วยวาฬและโลมา เป็นสัตว์กินเนื้อ ด้วยการไล่ล่าสัตว์น้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร เช่น ปลา รวมถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลบางจำพวก เช่น สิงโตทะเล หรือแมวน้ำ ได้ในบางชนิด ขณะที่บางชนิดกินสัตว์มีเปลือกแข็งอย่าง หอย หรือครัสเตเชียน ได้ด้วย มีขนาดลำตัวเล็กกว่าวาฬไม่มีฟันมาก วาฬมีฟัน บางชนิดมีฟันเพียง 2-3 ซี่ แต่ส่วนมากจะมีฟันแข็งแรงเรียงเป็นแถวทั้งขากรรไกรบนและล่าง โดยวาฬมีฟันที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ วาฬสเปิร์ม ที่มีความยาวได้ถึง 60 ฟุต มีรูปร่างคล้ายลูกอ๊อดขนาดใหญ่ มีหัวเป็นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มากที่ภายในมีไขมันและน้ำมันอยู่เป็นจำนวนมาก วาฬสเปิร์มสามารถดำน้ำได้ลึกและกินหมึกเป็นอาหาร โดยเฉพาะอย่างหมึกยักษ์ ขณะที่วาฬมีฟันที่มีขนาดเล็กที่สุด คือ โลมาลาพลาตา อาศัยอยู่ตามแถบชายฝั่ง, ปากแม่น้ำ ของทวีปอเมริกาใต้ฝั่งแอตแลนติก ที่มีความยาวเต็มที่ไม่ถึง 2 เมตร นับเป็นสัตว์ในอันดับนี้ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกด้วย วาฬเพชฌฆาต หรือวาฬออร์กา นับเป็นวาฬมีฟันที่มีลำตัวยาวประมาณ 30 ฟุต เป็นวาฬที่มีศักยภาพในการไล่ล่าสูง โดยจะทำการล่าเป็นฝูงและสามัคคีกัน ซึ่งวาฬเพชฌฆาตนอกจากจะล่าปลาขนาดเล็กกินเป็นอาหารด้วยแล้ว ยังอาจจะกินปลาขนาดใหญ่และเป็นอันตรายอย่าง ปลาฉลามขาว รวมถึงสัตว์เลือดอุ่นทะเล เช่น นกทะเล, นกเพนกวิน, แมวน้ำ, สิงโตทะเล หรือแม้แต่วาฬหรือโลมาด้วยกันเป็นอาหารได้ด้วยวาฬและโลมา หน้า 37-42, "สัตว์สวยป่างาม" (ชมรมนิเวศวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล, สิงหาคม 2518) วาฬีมีฟันชนิดหนึ่ง คือ นาร์วาล เป็นวาฬที่อาศัยอยู่เป็นฝูงเฉพาะมหาสมุทรอาร์กติกในแถบขั้วโลกเหนือ มีลักษณะเฉพาะ คือ มีฟันที่แปลก วาฬนาร์วาลจะมีฟัน 2 ซี่เมื่อแรกเกิด แต่นาร์วาลตัวผู้เมื่อเจริญเติบโตขึ้นฟันข้างซ้ายจะยาวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่แหลมยาวเหมือนงาช้างหรือเขาสัตว์ ลักษณะม้วนเป็นเกลียวที่ยาวได้ถึง 3 เมตร (10 ฟุต) เหมือนยูนิคอร์น ในเทพปกรณัมกรีก ซึ่งนาร์วาลจะใช้เขาแหลมนี้ในการเจาะเซาะน้ำแข็งในการว่ายน้ำ รวมถึงใช้ต่อสู้ป้องกันตัวและแย่งชิงตัวเมียด้วย ซึ่งตัวเมียจะมีเขานี้เพียงสั้น ๆ รวมถึงใช้ขุดหาอาหารตามพื้นน้ำเป็นอาหาร ส่วนใหญ่ได้แก่ ปลาลิ้นหมา และครัสเตเชียน และหอยต่าง ๆ มนุษย์จะใช้ประโยชน์จากวาฬมีฟันด้วยการใช้ฟันและเขี้ยวแกะสลักมาแต่โบราณ นับเป็นของหายาก ล้ำค่า ขณะที่เขาของนาร์วาล ในอดีตมีความเชื่อว่าเป็นเขาของยูนิคอร์นจริง ๆ ถือเป็นของล้ำค่าและเป็นเครื่องประดับที่มีร.

ใหม่!!: สัตว์และวาฬมีฟัน · ดูเพิ่มเติม »

วาฬสีน้ำเงิน

วาฬสีน้ำเงิน (Blue whale; ชื่อวิทยาศาสตร์: Balaenoptera musculus) เป็นวาฬบาลีน (Balaenopteridae) และถือเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก วาฬสีน้ำเงินในขนาดปกติโดยทั่วไปจะยาวประมาณ 26-29 เมตร แต่ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมีความยาว 31.2 เมตร น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ ประมาณ 100-200 ตัน เฉพาะลิ้นก็มีน้ำหนักเกือบเท่าช้างหนึ่งตัว หัวใจมีขนาดเท่ารถยนต์คันหนึ่ง และเส้นเลือดบางเส้นกว้างขนาดที่มนุษย์พอจะลงไปว่ายน้ำได้ และครีบหางก็มีขนาดกว้างกว่าปีกของเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก จัดเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา มีขนาดใหญ่กว่าไดโนเสาร์ชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก อาศัยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้, แอตแลนติกและมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงในมหาสมุทรแอนตาร์กติกด้วย และแม้จะมีขนาดร่างกายใหญ่โต แต่วาฬสีน้ำเงินก็มีรูปร่างเพรียวยาวเหมาะแก่การว่ายน้ำ จึงสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 20 นอตต่อชั่วโมง ลูกวาฬจะกินเฉพาะนมแม่ที่มีไขมันสูงถึงร้อยละ 40 มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นชั่วโมงละ 4 กิโลกรัม กินเคยและแพลงก์ตอนเป็นอาหาร แต่ก็อาจจะกินสัตว์น้ำขนาดเล็กเช่น ปลาขนาดเล็กเข้าไปด้วย สามารถดำน้ำลงไปหาอาหารได้ลึกถึง 100 เมตร และปกติจะดำน้ำนาน 20 นาที แต่มีบันทึกสูงสุดว่าดำได้นานถึง 40 นาที และพ่นน้ำได้สูงถึง 9 เมตร ทั้งนี้ วาฬสีน้ำเงินที่โตเต็มวัยกินเคยวันหนึ่งได้มากถึง 4 ตัน วาฬสีน้ำเงินถูกล่าอย่างหนักเพื่อต้องการไขมันและน้ำมัน โดยเฉพาะในช่วง 70 ปีแรกของศตวรรษที่ 20 คาดว่ามีวาฬสีน้ำเงินราว 500,000 ตัวถูกฆ่าตาย ประชากรวาฬรอบเกาะเซาท์จอร์เจียในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ถูกฆ่าแบบล้างบาง รวมทั้งพวกที่เคยหากินอยู่นอกชายฝั่งญี่ปุ่นด้วย ประชากรวาฬสีน้ำเงินบางกลุ่มลดจำนวนลงถึงร้อยละ 93 จนเข้าสู่สภาพของการเป็นสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ กระทั่งถึงช่วงกลางทศวรรษ 1950 จึงได้มีการอนุรักษ์ขึ้นมาอย่างจริงจัง นอกจากนี้แล้ว วาฬสีน้ำเงินยังเป็นสัตว์ที่ส่งเสียงร้องได้กว้างไกลที่สุดในโลกอีกด้วย โดยสามารถส่งได้ได้ดังถึง 1,500 กิโลเมตร ในลักษณะของคลื่นเสียงที่มีความหลากหลาย ซึ่งเชื่อกันว่าไม่ได้เป็นไปในการสื่อสารเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังใช้การนำทางอีกด้วย ปัจจุบัน มีปริมาณวาฬสีน้ำเงินในซีกโลกใต้อยู่ประมาณ 1,350 ตัว อีกทั้งมีหลักฐานว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ต่อปี แต่ยังไม่มีการประมาณจำนวนวาฬชนิดนี้ที่ดีพอในบริเวณอื่นของโลก.

ใหม่!!: สัตว์และวาฬสีน้ำเงิน · ดูเพิ่มเติม »

วาฬสเปิร์ม

วาฬสเปิร์ม หรือ วาฬหัวทุย (Sperm whale) เป็นวาฬขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จัดเป็นวาฬมีฟัน (Odontoceti) ชนิดที่ใหญ่ที่สุด วาฬสเปิร์มมีลักษณะเด่น คือ มีส่วนหัวใหญ่และยาวมากเกือบร้อยละ 40 ของลำตัว ลำตัวสีเทาดำผิวหนังเป็นรอยย่นตลอดลำตัว ส่วนหน้าผากตั้งฉากตรงขึ้นจากปลายปากบน และเป็นแนวหักลาดไปทางส่วนหลัง ท่อหายใจรูเดียว อยู่ส่วนบนเยื้องไปด้านซ้ายของหัวครีบหลัง มีลักษณะเป็นสันนูนขึ้นมาตั้งอยู่ค่อนไปทางท้ายลำตัว และมีสันเป็นลอน ๆ ไปจนเกือบถึงโคนหาง ครีบข้างค่อนข้างเล็กปลายมนเหมือนใบพาย ไม่มีครีบหลัง ขากรรไกรล่างแคบยาวและเล็กมากเมื่อเทียบกับส่วนหัว ฟันเป็นเขี้ยวจำนวน 16-30 คู่ บนขากรรไกรล่าง ขากรรไกรบนไม่มีฟัน แต่จะมีช่องสำหรับรองรับฟันล่างเวลาหุบปากเท่านั้น อย่างไรก็ตามอาจพบฟัน 10-16 คู่ ในกระดูกขากรรไกรบนของวาฬที่มีอายุมาก ๆ นอกจากนี้แล้วบริเวณรอบ ๆ ปากจะเป็นสีขาว ซึ่งเชื่อกันว่าในที่ ๆ น้ำลึกสีขาวนี้จะเรืองแสงในความมืด ใช้เป็นเครื่องล่อเหยื่อต่าง ๆ ของวาฬสเปิร์ม มีขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 15-20 เมตร ลูกแรกเกิดยาว 3.5-4.5 เมตร แม่วาฬใช้เวลาตั้งท้องนาน 16-17 เดือน ลูกจะอาศัยอยู่กับแม่เป็นเวลาประมาณ 13 เดือนจึงแยกออกหากินอิสระ ขนาดโตเต็มที่ยาว 12-18 เมตร น้ำหนักมากถึง 28 ตัน วาฬสเปิร์ม เป็นวาฬที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง และเป็นวาฬชนิดที่ดำน้ำได้ลึกที่สุด มีรายงานว่าสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 1,000 เมตร โดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที มีรายงานจากการติดตามวาฬที่ติดเครื่องหมายด้วยระบบโซน่า พบว่าสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 2,800-3,000 เมตร โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง จากการสูดหายใจเพียงครั้งเดียวที่ผิวน้ำที่มีแรงกดดันเท่ากับที่มนุษย์หายใจ ซึ่งในระดับความลึกกว่า 1,000 เมตร แรงกดของอากาศมากกว่าที่ผิวน้ำ 100 เท่า บีบอัดปอดของวาฬให้เหลือเพียงร้อยละ 1 ของปริมาตรทั้งหมด แต่ขณะที่ยังเป็นวาฬวัยอ่อนอยู่ จะยังไม่สามารถดำน้ำลึกได้เหมือนตัวที่โตเต็มวัย นอกจากนี้แล้ววาฬสเปิร์มยังเป็นวาฬชนิดที่ชอบกินหมึกเป็นอาหารมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมึกมหึมา (Mesonychoteuthis hamiltoni) ซึ่งเป็นหมึกชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีความยาวได้ถึง 14 เมตร ในระดับความลึกระดับ 1,000 เมตร หรือหมึกกล้วยยักษ์ (Architeuthis dux) ที่มีขนาดรองลงมา โดยอาจยาวได้ถึง 12 เมตร โดยมีการพบซากจะงอยปากของหมึกในกระเพาะของวาฬสเปิร์ม ซึ่งวาฬบางตัวจะมีผิวหนังที่เป็นรอยแผลจากปุ่มดูดของหนวดหมึกปรากฏอยู่ รอยแผลเป็นบนผิวหนังวาฬสเปิร์มจากปุ่มดูดของหมึกมหึมา วาฬสเปิร์ม เป็นวาฬที่พบได้ในทะเลและมหาสมุทรทั่วโลก ในน่านน้ำไทยพบรายงานเพียง 3 จังหวัด คือ พังงา, ภูเก็ต และสตูล และถูกจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมาย วาฬสเปิร์ม นับเป็นวาฬอีกชนิดหนึ่งที่ถูกล่าจากมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ ด้วยการนำเขี้ยวและฟันมาเป็นทำเครื่องประดับ ไขมันในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เนื้อสำหรับรับประทาน นอกจากนี้แล้วอาเจียนหรือมูลของวาฬสเปิร์มยังมีลักษณะแข็งเหมือนอำพัน และมีกลิ่นหอมเป็นลักษณะพิเศษ เป็นของหายาก ราคาแพง ใช้เป็นส่วนสำคัญในการผลิตหัวน้ำหอมและยาไทยได้ด้วย เรียกว่า "อำพันขี้ปลา" หรือ "อำพันทะเล" หรือ "ขี้ปลาวาฬ" และที่ส่วนหัวยังมีสารพิเศษคล้ายไขมันหรือขี้ผึ้ง เรียกว่า "ไขปลาวาฬ" ซึ่งใช้ในการผลิตโลชั่น และเวชภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ ซึ่งวาฬสเปิร์มได้ถูกอ้างอิงถึงในวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก คือ "โมบิดิก" ของเฮอร์มัน เมลวิลล์ ในปี ค.ศ. 1855 ที่เป็นเรื่องราวของการล่าวาฬสเปิร์มเผือกตัวหนึ่งที่มีนิสัยดุร้าย ชื่อ โมบิดิก หรือในวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง "พินอคคิโอ" ที่ตอนท้ายเรื่องพินอคคิโอผจญภัยเข้าไปอยู่ในท้องของวาฬ ซึ่งก็คือ วาฬสเปิร์ม เป็นต้น ในปัจจุบัน มีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า วาฬสเปิร์มรวมถึงวาฬชนิดอื่น ๆ มีขนาดลำตัวที่เล็กลงจากอดีต บ่งบอกว่าเป็นสัตว์ที่อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ โดยเฉพาะวาฬสเปิร์มนั้นในปี..

ใหม่!!: สัตว์และวาฬสเปิร์ม · ดูเพิ่มเติม »

วาฬสเปิร์มแคระ

วาฬสเปิร์มแคระ หรือ วาฬหัวทุยแคระ (Dwarf sperm whale) เป็นวาฬขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จัดเป็น 1 ใน 2 ชนิดเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์วาฬสเปิร์มเล็ก (Kogiidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายวาฬสเปิร์มเล็ก (K. breviceps) ที่อยู่ในวงศ์และสกุลเดียวกัน แต่มีจำนวนฟันน้อยกว่าและมีครีบหลังสูงกว่าเล็กน้อย (ประมาณร้อยละ 5 ของความยาวลำตัว) ลำตัวสีเทาดำท้องขาว ปากขนาดเล็กด้านอยู่ล่าง ลักษณะแคบ มีฟันเป็นเขี้ยวแหลมโค้งจำนวน 7-11 คู่บนขากรรไกรล่าง ขากรรไกรบนไม่เห็นฟันออกมา แต่ในบางตัวที่มีอายุมาก ๆ จะมีฟันซ่อนอยู่ใต้เหงือก ลูกแรกเกิดยาวประมาณ 1 เมตร ขนาดโตเต็มที่ยาวเพียง 2.7 เมตร น้ำหนักประมาณ 210 กิโลกรัม จัดเป็นวาฬขนาดเล็กชนิดหนึ่ง กินอาหารได้แก่ กุ้ง, หมึก และปลา พบกระจายพันธุ์ในทะเลและมหาสมุทรทั่วโลก ปกติจะอาศัยอยู่เป็นฝูงในทะเลเปิด จะเข้าใกล้ชายฝั่งเมื่อเวลาป่วยหรือใกล้ตายเท่านั้น ในน่านน้ำไทยพบรายงานเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น คือ ที่จังหวัดภูเก็ต ในปี พ.ศ. 2530, จังหวัดสตูล ในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเกยตื้นเป็นคู่แม่ลูก, ในเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2551 ที่หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต เป็นซากตัวเมียเกยตื้น อายุราว 2 ปี หลังจากผ่าพิสูจน์การตายในช่องท้องแล้วพบว่า กินถุงพลาสติกและเศษขยะเข้าไปเป็นจำนวนมาก และในปลายปี พ.ศ. 2557 ที่อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เป็นซากตัวเมียเกยตื้น มีความยาว 2.12 เมตร น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม เมื่อผ่าพิสูจน์ซากแล้ว พบว่ามีทรายทะเลอุดอยู่ในหลอดอาหาร และที่ช่องกล้ามเนื้อด้านขวา และส่วนหัวมีตัวพยาธิอยู่จำนวนหนึ่ง โดยพยาธิแต่ละตัวมีลักษณะคล้ายหลอดน้ำแข็ง มีความยาวเฉลี่ยตัวละ 40-48 เซนติเมตร จึงสันนิษฐานว่า วาฬตัวดังกล่าวมีความอ่อนแอและป่วยอยู่แล้วจากพยาธิ เมื่อเข้ามาเกยตื้นจึงตาย เมื่อทรายที่ชายหาด ซัดเข้าไปในปากอุดหลอดอาหารจนตาย จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และวาฬสเปิร์มแคระ · ดูเพิ่มเติม »

วาฬสเปิร์มเล็ก

วาฬสเปิร์มเล็ก หรือ วาฬหัวทุยเล็ก (Pygmy sperm whale) เป็นวาฬขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์วาฬสเปิร์มเล็ก (Kogiidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายวาฬสเปิร์ม (Physeter macrocephalus) แต่ตัวมีขนาดเล็กกว่ามาก ครีบหลังเป็นกระโดงขนาดเล็กเมื่อเทียบกับความยาวลำตัวแล้วน้อยกว่าร้อยละ 5 ส่วนหลังสีน้ำเงินดำหัวกลม ส่วนท้องสีขาวบางครั้งอมชมพูช่อง หายใจอยู่ด้านบนเยื้องทางซ้ายนิดหน่อย ขากรรไกรล่างเล็กแคบมีลักษณะคล้ายปากฉลาม คือ เป็นรูปสามเหลี่ยม ฟันลักษณะแหลมโค้งจำนวน 12-16 คู่ บนขากรรไกรล่างส่วนขากรรไกรบนจะไม่เห็นฟันงอกออกมา แต่จะมีร่องรับพอดีกับฟันล่างเวลาหุบปาก ส่วนหัวด้านข้างมีแนวสีเข้มเป็นรูปโค้งคล้ายแก้มปิดเหงือกของปลา ซึ่งเรียกแนวนี้ว่า "เหงือกปลอม" (False gill) ซึ่งมีเฉพาะวาฬในวงศ์นี้เท่านั้น ขนาดโตเต็มที่ยาวได้ 3.4 เมตร น้ำหนักมากถึง 400 กิโลกรัม ลูกแรกเกิดยาวประมาณ 1.2 เมตร ตั้งท้องประมาณ 11 เดือน พบในทะเลเปิดและมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก ในประเทศไทยพบมีรายงานเพียง 5 จังหวัด คือ จังหวัดชุมพร, พังงา, ภูเก็ต, ระยอง และสงขลา จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมาย วาฬสเปิร์มเล็ก ในอดีตเคยเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นชนิดเดียวกันกับวาฬสเปิร์มหรือไม่ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1966 สถาบันสมิธโซเนียนแห่งสหรัฐอเมริกาได้ข้อยุติว่าเป็นคนละชนิดกัน โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์ของวาฬสเปิร์มเล็กถูกตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1838 โดย อองรี มารี ดูโครแตร์ เดอ แบลงวิลล์ นักสัตววิทยาชาวฝรั่ง.

ใหม่!!: สัตว์และวาฬสเปิร์มเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

วาฬหลังค่อม

วาฬหลังค่อม หรือ วาฬฮัมแบ็ก (Humpback whale) เป็นวาฬขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในประเภทวาฬบาลีน ในวงศ์วาฬอกร่อง (Balaenopteridae) และจัดเป็นวาฬเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Megaptera (มีที่มาจากภาษากรีกคำว่า μεγα-"mega" หมายถึง "ใหญ่" และ πτερα-"ptera" หมายถึง "ปีก").

ใหม่!!: สัตว์และวาฬหลังค่อม · ดูเพิ่มเติม »

วาฬหัวคันศร

วาฬหัวคันศร หรือ วาฬโบว์เฮด (bowhead whale) เป็นสัตว์เลี้ยงด้วยนมในทะเลขนาดใหญ่ จำพวกวาฬชนิดหนึ่ง จัดเป็นวาฬไม่มีฟัน หรือวาฬบาลีนชนิดหนึ่ง วาฬหัวคันศร จัดเป็นวาฬที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่ง ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่มีความยาวได้ถึง 20 เมตร น้ำหนักกว่า 100 ตัน วาฬหัวคันศรมีจุดเด่น คือ มีส่วนหัวที่ใหญ่ ใต้คางหรือกรามเป็นสีขาว มีปากกว้างใหญ่คล้ายหัวคันธนู มีรูจมูกขนาดใหญ่อยู่ด้านบนหัว ส่วนหัวที่ใหญ่นี้สามารถใช้กระแทกน้ำแข็งที่หนาเป็นเมตรให้แตกแยกออกจากกันได้ ซึ่งต้องใช้แรงมากถึง 30 ตัน เพราะเป็นวาฬที่อาศัยอยู่แถบอาร์กติก ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ หนาวเย็นและห่างไกลมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นอกจากนี้แล้ววาฬหัวคันศรยังถือเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีอายุยืนที่สุดในโลกอีกด้วย โดยตัวที่มีอายุมากที่สุดมีบันทึกว่ามากถึง 211 ปี ลูกวาฬหัวคันศร เมื่อแรกเกิดจะมีผิวหนังที่ย่นและมีสีอ่อนกว่าตัวเต็มวัย มีน้ำหนักราว 3-4 ตัน ลูกวาฬจะดูดกินนมแม่ภายในขวบปีแรก โดยหัวนมแม่จะอยู่ใกล้กับหาง แม่วาฬและลูกวาฬจะมีสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น ลูกวาฬบางครั้งจะกลัวแผ่นน้ำแข็งซึ่งที่จริงแล้วใช้เป็นแหล่งกำบังตัวจากศัตรูได้ดีที่สุด แม่วาฬจะว่ายนำลูก เพื่อให้ลูกวาฬหายกลัว ภายใน 1 ปี ลูกวาฬจะมีความยาวเพิ่มขึ้น 2 เท่า (ราว 10 เมตร) จากแรกเกิด และเข้าวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 25 ปี วาฬหัวคันศร กินแพลงก์ตอนสัตว์ เช่น ไรทะเล หรือเคย เป็นอาหาร โดยกินได้เป็นปริมาณมากถึง 30 ตันภายในเวลา 1-2 เดือน และจะกินเช่นนี้ไปตลอดทั้งปี สามารถดำน้ำได้ลึกถึง 500 เมตร และกลั้นหายใจได้นานถึง 50 นาที วาฬหัวศร เป็นวาฬที่มีพฤติกรรมว่ายอพยพไปมาระหว่างทะเลและมหาสมุทรต่าง ๆ ตามแต่ละฤดูกาล ปริมาณของวาฬหัวคันศรในช่วงฤดูหนาวในอ่าวฮัดสัน มีจำนวนนับพัน และจะว่ายน้ำออกสู่มหาสมุทรเปิดไปยังน่านน้ำแคนาดาเพื่อหาอาหาร เช่น อ่าวแลงคาสเตอร์ซาวด์ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะว่ายลงใต้เพื่อหาอาหารในช่วงฤดูหนาว รวมระยะทางราว 4,000-5,000 กิโลเมตร สามารถว่ายน้ำได้นับพันกิโลเมตรภายในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ โดยพักเป็นระยะ ๆ โดยลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ เหมือนว่าหลับ ในฤดูใบไม้ผลิเมื่อน้ำแข็งแตกออก จะว่ายข้ามอ่าวดิสโค เพื่อไปใช้ชีวิตในช่วงฤดูร้อนที่น่านน้ำแคนาดา อาจจะมีจำนวนประชากรวาฬที่มาจากอ่าวอลาสกาเข้ามาผสมรวมอยู่กับวาฬที่อาศัยอยู่บริเวณอาร์กติกด้วย ทำให้เหมือนมีปริมาณวาฬที่มากขึ้น คาดการว่ามีประชากรวาฬหัวคันศรนอกอลาสกาประมาณ 12,000 ตัว วาฬหัวคันศร เมื่อโตเต็มที่บางครั้งจะมีพฤติกรรมรวมตัวกันเป็นกลุ่มอย่างมีแบบแผน โผขึ้นเหนือผิวน้ำ รวมถึงสะบัดครีบหาง ดำผุดดำว่ายเช่นนั้นเหมือนเล่นหรือเกี้ยวพาราสีกัน แม้กระทั่งพ่นลมจากรูบนหัว วาฬหัวคันศรเป็นวาฬที่สื่อสารกันเองและนำทางโดยใช้เสียง สามารถที่รับฟังเสียงของวาฬชนิดอื่นรวมถึงพวกเดียวกันเองได้ไกลนับหลายร้อยหรือพันกิโลเมตร เนื่องจากเสียงสามารถเดินทางไปได้ไกลกว่าในอากาศ จากการศึกษาพบว่าวาฬหัวคันศรสามารถส่งเสียงร้องได้มากถึง 2 เสียงในเวลาเดียวกัน และยังสามารถเลียนเสียงวาฬชนิดอื่น เช่น วาฬเบลูกา ได้อีกด้วย รวมถึงเปลี่ยนเสียงร้องไปในทุก ๆ ปี แต่ก็เป็นวาฬที่มีพฤติกรรมการระแวดระวังภัยสูง แม้ได้ยินเสียงน้ำกระเพื่อมเพียงเล็กน้อยก็จะหลบหนีไปจากบริเวณนั้นเพื่อความปลอดภัย จึงทำให้มนุษย์เข้าใกล้ได้ยากมาก วาฬหัวคันศร ลักษณะของกรามที่เป็นสีขาว วาฬหัวคันศร ถือเป็นวาฬชนิดหนึ่งที่มีการล่าเป็นอย่างหนัก โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 19 แม้จะมีรูปร่างที่ใหญ่โตและมีพละกำลังมหาศาล แต่วาฬหัวคันศรเมื่อถูกล่าจะหนีเพียงอย่างเดียว โดยนักล่าจะใช้ฉมวกยิงพุ่งไปยังหลังวาฬเพื่อให้มันลากเรือไป จนกระทั่งหมดแรงและลอยน้ำอยู่นิ่ง ๆ หรือกระทั่งถูกยิงอย่างรุนแรง ก็สามารถทำให้ส่วนหัวตกลงกระแทกกับพื้นทะเลทำให้กรามหักและตายลงได้ โดยนักล่าวาฬจะดักรอวาฬที่ว่ายอพยพไปมาในทะเลแถบอาร์กติก ซึ่งวาฬหัวคันศรสามารถให้ไขมันและน้ำมันเพื่อการบริโภคและนำไปทำเป็นสบู่หรือเนยเทียม รวมถึงไขวาฬต่าง ๆ โดยวาฬหัวคันศรถือเป็นวาฬชนิดที่มีไขมันมากที่สุด เป็นวาฬที่มีรูปร่างอ้วนที่สุด มีชั้นไขมันที่หนามาก น้ำหนักตัวกว่าร้อยละ 50 เป็นไขมัน ในเดือนสิงหาคม..

ใหม่!!: สัตว์และวาฬหัวคันศร · ดูเพิ่มเติม »

วาฬนาร์วาล

นาร์วาล (narwhal; ชื่อวิทยาศาสตร์: Monodon monoceros) เป็นวาฬมีฟันขนาดกลาง ซึ่งใช้ชีวิตตลอดทั้งปีที่บริเวณอาร์กติก เป็นหนึ่งในสองของสปีชีส์วาฬวงศ์โมโนดอนติแด เช่นเดียวกับวาฬเบลูกา นาร์วาลเพศผู้มีลักษณะที่โดดเด่นคือ มีงาที่ยาว, ตรง, เป็นเกลียวที่ยื่นมาจากกรามบนด้านซ้ายของพวกมัน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคือ ฟันเพียงซี่เดียวของพวกมันที่อาจยาวได้ถึง 3 เมตร สำหรับตัวผู้บางตัวอาจมีได้ถึงสองซี่ ขณะที่ตัวเมียเองก็อาจมีได้เหมือนกันแต่ทว่าไม่ยาวและไม่โดดเด่นเท่า ปัจจุบันยังไม่ทราบเป็นที่แน่ชัดว่ามีไว้สำหรับทำอะไร เพราะนาร์วาลไม่ได้ใช้งาตรงนี้ในการขุดเจาะหาอาหารหรือต่อสู้กันเอง ในยุคกลางงาของนาร์วาลถูกขายในราคาที่สูงให้แก่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง และถูกมองว่าเป็นยูนิคอร์นแห่งท้องทะเล นาร์วาลส่วนใหญ่พบในบริเวณอาร์กติกของแคนาดาและเขตทะเลของกรีนแลนด์ หาได้ยากในบริเวณละติจูด 65°เหนือ นาร์วาลเป็นนักล่าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเขตอาร์กติก มันกินเหยื่อบริเวณพื้นใต้น้ำเป็นอาหาร โดยเป็นปลาซีกเดียวเป็นส่วนใหญ่ ที่ระดับความลึกถึง 1,500 เมตรใต้ก้อนน้ำแข็งหนา มีการล่านาร์วาลมากว่าหนึ่งพันปีโดยชาวอินูอิตในภาคเหนือของแคนาดาและกรีนแลนด์สำหรับเนื้อและงา รวมถึงล่าเพื่อการยังชีพแบบควบคุมยังคงดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้ ในขณะที่ประชากรต่างถือว่าพวกมันตกอยู่ในความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีช่วงที่แคบและอดอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และวาฬนาร์วาล · ดูเพิ่มเติม »

วาฬแกลบ

วาฬแกลบ เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในทะเลจำพวกวาฬสกุลหนึ่ง จัดเป็นวาฬบาลีนในสกุล Balaenoptera (มาจากภาษาละตินคำว่า balaena (วาฬ) และ pteron (ครีบ)) เป็นวาฬที่อยู่ในวงศ์ Balaenopteridae ซึ่งครั้งหนึ่ง วาฬหลังค่อม (Megaptera novaeangliae) ก็เคยจัดอยู่ในสกุลนี้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวาฬแกลบ · ดูเพิ่มเติม »

วาฬเบลูกา

วาฬเบลูกา หรือ วาฬขาว (Beluga whale, White whale) เป็นวาฬที่จัดอยู่ในวงศ์ Monodontidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับนาร์วาฬ และนับเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Delphinapterus โดยถือเป็น 2 ชนิดเท่านั้นในวงศ์นี้ที่ยังคงสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน จัดอยู่ในประเภทวาฬมีฟัน กินสัตว์น้ำเป็นอาหาร เช่น กุ้ง, หอยและปลา เป็นต้น ตัวผู้จะมีความยาวลำตัวมากกว่าเมื่อเทียบกับตัวเมีย โดยตัวผู้ตัวเต็มวัยจะมีความยาวลำตัวเฉลี่ย 3.5–5.5 เมตร ส่วนตัวเมียมีความยาวลำตัวเฉลี่ย 3–4.1 เมตร น้ำหนักกว่า 1 ตัน สำหรับลูกวาฬแรกเกิดจะมีสีเทา และสีเทาจะค่อย ๆ จางลงจนกลายเป็นสีขาวในตัวเต็มวัย และมีอายุเฉลี่ยประมาณ 10 ปี สูงสุดถึง 70 ปี พบกระจายพันธุ์ตามชายฝั่งทะเลและมหาสมุทรของซีกโลกทางเหนือ เช่น มหาสมุทรอาร์กติก, ทวีปอเมริกาเหนือ, อ่าวฮัดสัน, เกาะกรีนแลนด์, รัสเซีย, ทะเลสาบอิลลิมนา และปากแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์ ในแคนาดา อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง สามารถว่ายน้ำเดินทางไปในใต้น้ำที่ดำมืดได้ โดยใช้ระบบโซนาร์ในการนำทาง ที่ผลิตมาจากก้อนไขมันบนส่วนหัว และกลั้นหายใจได้นานถึง 20 นาที ตัวผู้สามารถดำน้ำได้ลึกถึง 500 เมตร เพื่อหาอาหาร ขณะที่ตัวเมียและลูกวาฬที่มีขนาดเล็กกว่าดำได้ลึกเพียง 350 เมตร วาฬเบลูกาไม่มีครีบหลัง เพื่อลดการสูญเสียความร้อนและปรับตัวให้สามารถว่ายน้ำภายใต้แผ่นน้ำแข็งFriedman, W.R. 2006.

ใหม่!!: สัตว์และวาฬเบลูกา · ดูเพิ่มเติม »

วาฬเพชฌฆาต

วาฬเพชฌฆาต หรือ วาฬออร์กา (Killer whale, Orca) เป็นสปีชี่ส์ที่ใหญ่ที่สุดในในวงศ์โลมามหาสมุทร (Delphinidae) สามารถพบเห็นได้ในมหาสมุทรทั่วโลก ตั้งแต่แถบอาร์กติกและแอนตาร์กติกา จนถึงทะเลในแถบเขตร้อน จนอาจเรียกได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สามารถพบเห็นได้ทั่วโลกมากที่สุดนอกเหนือจากมนุษ.

ใหม่!!: สัตว์และวาฬเพชฌฆาต · ดูเพิ่มเติม »

วาฬเพชฌฆาตแปลง

วาฬเพชฌฆาตแปลง หรือ วาฬเพชฌฆาตเทียม หรือ วาฬเพชฌฆาตดำ หรือ โลมาเพชฌฆาตแปลง (False killer whale) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์โลมามหาสมุทร (Delphindae) เป็นวาฬมีฟัน หรือโลมาขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Pseudorca มีลักษณะลำตัวยาวสีดำคล้ายกันมากกับวาฬนำร่องครีบสั้น (Globicephala macrorhynchus) ต่างกันที่ลักษณะครีบหลังตั้งอยู่กึ่งกลางลำตัว (วาฬนำร่องครีบสั้นจะตั้งเยื้องมาทางส่วนหัว) และส่วนหัวไม่โหนกมากปลาวาฬนำร่องครีบสั้นสีดำทั้งตัว ส่วนท้องจะเทาจางเล็กน้อยครีบข้างโค้งหักข้อศอกเรียวยาวค่อนข้างแหลม หน้าผากกลมมนไม่มีจะงอยปาก มีจำนวนฟันทั้งหมด 7-12 คู่ ในปาก มีขนาดโตเต็มที่ยาวถึง 6 เมตร ลูกแรกเกิดยาว 1.5-2 เมตร การตั้งท้องใช้เวลา 12-14 เดือน นอกจากนี้แล้วในธรรมชาติยังพบมีการผสมข้ามพันธุ์กับโลมาปากขวด (Tursiops truncatus) ด้วย โดยลูกที่ได้เรียกว่า "วูลฟิน" เป็นโลมาที่พบกระจายพันธุ์ทั่วทั้งโลก โดยมากจะอยู่รวมเป็นฝูงในทะเลใกล้ชายฝั่ง ในประเทศไทยมีรายงานพบในหลายจังหวัดทั้งในอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน และจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1.

ใหม่!!: สัตว์และวาฬเพชฌฆาตแปลง · ดูเพิ่มเติม »

วิลอซิแรปเตอร์

วิลอซิแรปเตอร์ (velociraptor) เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อที่ฉลาดและว่องไว อยู่ในวงศ์โดรเมโอซอร์ (Dromaeosauridae) มีการออกล่าเหยื่อเป็นกลุ่มเหมือนหมาป่า อาวุธคือเล็บเท้าแหลมคมเหมือนใบมีดที่พับเก็บได้และฟันที่คมกริบ เป็นไดโนเสาร์ที่มีชีวิตอยู่บนโลกช่วงประมาณ 83-70 ล้านปีก่อนในยุคครีเทเชียสตอนปลาย มีหลักฐานพบเป็นฟอสซิลในบริเวณเอเชียกลาง (เคยมีการค้นพบฟอสซิลว่าต่อสู้กับโปรโตเซอราทอปส์ด้วย)มันยังถูกเข้าใจว่าคือ ไดโนนีคัส ของเอเชีย จึงแยกประเภทใหม่เพราะมันมีรูปร่างคล้ายกันและไดโนนีคัส ยังถูกเข้าใจผิดว่าคือ วิลอซิแรปเตอร์ ของอเมริกา วิลอซิแรปเตอร์มีไดโนเสาร์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน คือ ยูทาห์แรปเตอร์, ไดโนนีคัส และโดรมีโอซอรัส ขนาดของวิลอซิแรปเตอร์เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์ หุ่นจำลองวิลอซิแรปเตอร์ วิลอซิแรปเตอร์ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในภาพยนตร์ไซไฟฮอลลีวุดเรื่อง Jurassic Park ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และวิลอซิแรปเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

วิลเดอบีสต์

วิลเดอบีสต์ (wilderbeast, wildebeest) หรือ นู (gnu) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทหนึ่ง จำพวกแอนทีโลป ในวงศ์ Bovidae จัดอยู่ในสกุล Connochaetes.

ใหม่!!: สัตว์และวิลเดอบีสต์ · ดูเพิ่มเติม »

วิลเดอบีสต์เคราขาว

วิลเดอบีสต์เคราขาว หรือ วิลเดอบีสต์ธรรมดา หรือ วิลเดอบีสต์สีน้ำเงิน หรือ กนู (White-bearded wildebeest, Common wildebeest, Blue wildebeest, Gnu) เป็นสัตว์กีบคู่จำพวกแอนทีโลปชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ Alcelaphinae.

ใหม่!!: สัตว์และวิลเดอบีสต์เคราขาว · ดูเพิ่มเติม »

วิวัฒนาการ

ในด้านชีววิทยา วิวัฒนาการ (Evolution) คือการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในประชากรของสิ่งมีชีวิต จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง วิวัฒนาการเกิดจากกระบวนการหลัก 3 กระบวนการ ได้แก่ ความแปรผัน การสืบพันธุ์ และการคัดเลือก โดยอาศัยยีนเป็นตัวกลางในการส่งผ่านลักษณะทางพันธุกรรม อันเป็นพื้นฐานของการเกิดวิวัฒนาการ ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นในประชากรเพื่อให้เกิดความแปรผันทางพันธุกรรมเมื่อสิ่งมีชีวิตให้กำเนิดลูกหลานย่อมเกิดลักษณะใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงลักษณะเดิม โดยลักษณะใหม่ที่เกิดขึ้นนี้มีสาเหตุสำคัญ 2 ประการ ประการหนึ่ง เกิดจากกระบวนการกลายพันธุ์ของยีน และอีกประการหนึ่ง เกิดจากการแลกเปลี่ยนยีนระหว่างประชากร และระหว่างสปีชีส์ ในสิ่งมีชีวิตที่มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ สิ่งมีชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นจะผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนยีน อันก่อให้เกิดความแปรผันทางพันธุกรรมที่หลากหลายในสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการเกิดขึ้นเมื่อความแตกต่างทางพันธุกรรมเกิดขึ้น จนเกิดความแตกต่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นลักษณะที่แตกต่างกัน กลไกในการเกิดวิวัฒนาการแบ่งได้ 2 กลไก กลไกหนึ่งคือการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) อันเป็นกระบวนการคัดเลือกสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะสมที่จะอยู่รอด และสืบพันธุ์จนได้ลักษณะที่เหมาะสมที่สุด และลักษณะที่ไม่เหมาะสมจะเหลือน้อยลง กลไกนี้เกิดขึ้นเพื่อคัดเลือกลักษณะของประชากรที่เกิดประโยชน์ในการสืบพันธุ์สูงสุด เมื่อสิ่งมีชีวิตหลายรุ่นได้ผ่านพ้นไป ก็จะเกิดกระบวนการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต เพื่อให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม กลไกที่สองในการขับเคลื่อนกระบวนการวิวัฒนาการคือการแปรผันทางพันธุกรรม (genetic drift) อันเป็นกระบวนการอิสระจากการคัดเลือกความถี่ของยีนประชากรแบบสุ่ม การแปรผันทางพันธุกรรมเป็นผลมาจากการอยู่รอด และการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต แม้ว่าการแปรผันทางพันธุกรรมในแต่ละรุ่นนั้นจะเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่ลักษณะเหล่านี้จะสะสมจากรุ่นสู่รุ่น เกิดการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยในสิ่งมีชีวิต จนกระทั่งเวลาผ่านไปเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในลักษณะของสิ่งมีชีวิต กระบวนการดังกล่าวเมื่อถึงจุดสูงสุดจะทำให้กำเนิดสปีชีส์ชนิดใหม่ แม้กระนั้น ความคล้ายคลึงกันระหว่างสิ่งมีชีวิตมีข้อเสนอที่เป็นที่รู้จักกันดีคือการสืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษ (หรือยีนพูลของบรรพบุรุษ) เมื่อผ่านกระบวนการนี้จะก่อให้เกิดความหลากหลายมากขึ้นทีละเล็กละน้อย เอกสารหลักฐานทางชีววิทยาวิวัฒนาการชี้ให้เห็นว่ากระบวนการวิวิฒนาการเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ทฤษฎีอยู่ในช่วงของการทดลอง และพัฒนาในสาเหตดังกล่าว การศึกษาซากฟอสซิล และความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตทำให้นักวิทยาศาสตร์ช่วงกลางคริสศตวรรษที่ 19 ส่วนใหญ่เชื่อว่าสปีชีส์มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดในระยะเวลาที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กระบวนการที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นปริศนาต่อนักวิทยาศาสตร์ทั่วไป จนกระทั่งปี พ.ศ. 2402 ชาร์ล ดาวิน ตีพิมพ์หนังสือ กำเนิดสปีชีส์ ซึ่งได้อธิบายทฤษฎีวิวัฒนาการโดยกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และวิวัฒนาการ · ดูเพิ่มเติม »

วิวัฒนาการของการเห็นสี

การเห็นสี (Color vision) หรือการเห็นเป็นสี เป็นการปรับตัวเพื่อรับรู้สิ่งเร้าทางตา เพื่อให้สามารถแยกแยะแสงโดยขึ้นกับองค์ประกอบทางความยาวคลื่นของมัน การเห็นสีจำเป็นต้องมีโปรตีนอ็อปซิน (opsin) ต่างหาก ๆ ที่ดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่นแสงต่าง ๆ กัน โดยสัตว์ในแต่ละกลุ่ม ๆ จะมีอ็อปซินต่างหาก ๆ จำนวนไม่เท่ากัน เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมโดยมากรวมทั้งสุนัขจะเห็นภาพสีด้วยเซลล์ 2 ชนิด (dichromacy) แต่ไพรเมตจำนวนหนึ่งรวมทั้งมนุษย์ ก็สามารถเห็นภาพสีด้วยเซลล์ 3 ชนิด (trichromacy) จึงทำให้สัตว์กลุ่มต่าง ๆ มองเห็นเป็นสีได้ดีไม่เท่ากัน.

ใหม่!!: สัตว์และวิวัฒนาการของการเห็นสี · ดูเพิ่มเติม »

วิวัฒนาการของคอเคลีย

ำว่า คอเคลีย มาจากคำภาษาละตินที่แปลว่า "หอยโข่ง/หอยทาก, เปลือก, หรือเกลียว" ซึ่งก็มาจากคำกรีก คือ kohlias ส่วนคำปัจจุบันที่หมายถึง หูชั้นในรูปหอยโข่ง พึ่งเริ่มใช้ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 คอเคลียของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีอวัยวะของคอร์ติ ซึ่งมีเซลล์ขนที่แปลแรงสั่นที่วิ่งไปในน้ำที่ล้อมรอบ ให้เป็นกระแสไฟฟ้าที่ส่งไปยังสมองเพื่อประมวลเสียง ส่วนอวัยวะที่มีรูปเป็นหอยโข่งประมาณว่าเกิดในต้นยุคครีเทเชียสราว ๆ 120 ล้านปีก่อน นอกจากนั้นแล้ว เส้นประสาทที่วิ่งไปยังคอเคลียก็เกิดในยุคครีเทเชียสเหมือนกัน วิวัฒนาการของคอเคลียในมนุษย์เป็นเรื่องสำคัญทางวิทยาศาสตร์เพราะว่าดำรงเป็นหลักฐานได้ดีในซากดึกดำบรรพ์ ในศตวรรษที่ผ่านมา ทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาเชิงวิวัฒนาการ และนักบรรพชีวินวิทยา ได้พยายามพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อข้ามอุปสรรคในการทำงานกับวัตถุโบราณที่บอบบาง ในอดีต นักวิทยาศาสตร์จำกัดมากในการตรวจดูตัวอย่างโดยไม่ทำให้เสียหาย แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น การถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์ระดับไมโคร (micro-CT scanning) ช่วยให้สามารถแยกแยะซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์จากซากตกตะกอนอื่น ๆ และเทคโนโลยีรังสีเอกซ์ ก็ช่วยให้ตรวจสมรรถภาพการได้ยินของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วได้ และช่วยสร้างความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับทั้งบรรพบุรุษมนุษย์และสัตว์อื่น ๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน.

ใหม่!!: สัตว์และวิวัฒนาการของคอเคลีย · ดูเพิ่มเติม »

วิวัฒนาการของตา

วิวัฒนาการของตา (evolution of the eye) เป็นประเด็นการศึกษาที่ดึงดูดความสนใจ เพราะเป็นตัวอย่างพิเศษที่แสดงวิวัฒนาการเบนเข้าของอวัยวะที่สัตว์กลุ่มต่าง ๆ มากมายมี คือตาที่ซับซ้อนและทำให้สามารถมองเห็นได้วิวัฒนาการเกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระกว่า 50-100 ครั้ง ตาที่ซับซ้อนดูเหมือนจะวิวัฒนาการขึ้นภายในไม่กี่ล้านปีในช่วง Cambrian explosion (เหตุการณ์ระเบิดสิ่งมีชีวิตยุคแคมเบรียน) ที่สิ่งมีชีวิตได้เกิดวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว หลักฐานว่าตาได้วิวัฒนาการขึ้นก่อนยุคแคมเบรียนยังไม่มี แต่มีอย่างหลากหลายในชั้นหิน/สิ่งทับถม Burgess shale (ในเทือกเขาร็อกกีของประเทศแคนาดา) ในกลางยุคแคมเบรียน และในหมวดหิน Emu Bay Shale ในออสเตรเลียซึ่งเก่าแก่กว่าเล็กน้อย ตาได้ปรับตัวอย่างหลายหลากตามความจำเป็นของสัตว์ ความต่างกันรวมทั้งความชัด (visual acuity) พิสัยความยาวคลื่นแสงที่สามารถเห็น ความไวในแสงสลัว ๆ สมรรถภาพในการตรวจจับการเคลื่อนไหวหรือการแยกแยะวัตถุ และการเห็นเป็นสี.

ใหม่!!: สัตว์และวิวัฒนาการของตา · ดูเพิ่มเติม »

วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม

วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental science) หมายถึง การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของสิ่งแวดล้อมต่อมนุษย์ และมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อม ในเรื่องของชนิด ปริมาณ และสัดส่วนของการอยู่ร่วมกันภายในระบบสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ที่มีบทบาท และความสำคัญต่อมนุษย์เป็นหลักสำคัญ โดยจะเน้นถึงปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ใช้หลักการประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์ มาเพื่อการศึกษาสิ่งแวดล้อมอย่างมีขั้นตอนและมีเงื่อนไข สำหรับการค้นคว้าหาความจริงต่างๆ ซึ่งขั้นตอนเหล่านั้นได้แก่ การสังเกต, การบันทึก, การทดลอง และขบวนการให้เหตุผล แต่ยังคงพิจารณาถึง ชนิด ปริมาณ และสัดส่วนของสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ในสภาพธรรมชาติที่ไม่มีมนุษย์ยุ่งเกี่ยวโดยตรงด้วย หรืออยู่เป็นระบบที่จะมีบทบาทโดยตรง หรือต่อมนุษย์ไม่มีทางใดก็ทางหนึ่ง สามารถรวมถึง พืช สัตว์ ทะเล น้ำ ดิน อากาศได้ เป็นต้น จนสามารถนำความรู้ไปใช้ในการกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมได้ และสามารถนำไปปฏิบัติได้กับแบบฉบับของชีวิต หรือนำไปปรับปรุงสิ่งแวดล้อมที่ตนเองอาศัยอยู่ให้เหมาะต่อคุณภาพชีวิตที่ดีได้.

ใหม่!!: สัตว์และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม · ดูเพิ่มเติม »

วิทยาศาสตร์สุขภาพ

วิทยาศาสตร์สุขภาพ คือ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ วิทยาศาสตร์สุขภาพสามารถแบ่งออกได้ 2 ส่วน ส่วนแรก คือ การศึกษา วิจัย และความรู้ที่เกี่ยวกับสุขภาพ ส่วนที่ 2 คือ การนำความรู้ดังกล่าวมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาสุขภาพ, รักษาโรค และทำความเข้าใจการทำงานของร่างกายมนุษย์และสัตว์ งานวิจัยด้านนี้วางอยู่บนฐานของชีววิทยา, เคมี และฟิสิกส์ รวมไปถึงความรู้ด้านสังคมศาสตร์ เช่น สังคมวิทยาการแพท.

ใหม่!!: สัตว์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ · ดูเพิ่มเติม »

วิตามินบี12

วงแหวง corrin ที่เป็นโครงสร้างประกอบของวิตามิน methylcobalamin (ดังที่แสดง) เป็นรูปแบบของวิตามินบี12 อย่างหนึ่ง แต่ก็ยังคล้ายกับรูปแบบอื่น ๆ ของวิตามิน ปรากฏเป็นผลึกสีแดงซึ่งละลายน้ำเป็นสีแดงเข้ม วิตามินบี12 (12, cobalamin) เป็นวิตามินละลายน้ำได้ที่เป็นกุญแจสำคัญในการทำงานเป็นปกติของสมองกับระบบประสาท และการสร้างเม็ดเลือดแดง เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 8 อย่าง ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเมแทบอลิซึมในเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายมนุษย์ โดยมีผลเฉพาะต่อการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ เมแทบอลิซึมของกรดไขมันและกรดอะมิโน ไม่มีเห็ดรา พืช หรือสัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) ที่สามารถสร้างวิตามินบี12ได้ มีแต่สิ่งมีชีวิตประเภทแบคทีเรียและอาร์เคียที่มีเอนไซม์เพื่อสังเคราะห์มันได้ แหล่งของวิตามินที่ได้พิสูจน์แล้วเป็นผลิตภัณฑ์สัตว์รวมทั้งเนื้อ ปลา ผลิตภัณฑ์นม และอาหารเสริม แต่ก็มีงานวิจัยที่แสดงว่า ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่มาจากสัตว์บางอย่างอาจเป็นแหล่งธรรมชาติของวิตามินได้ เพราะอยู่ร่วมกับแบคทีเรีย (bacterial symbiosis) วิตามินบี12 เป็นวิตามินที่ใหญ่ที่สุด มีโครงสร้างซับซ้อนที่สุด และสามารถสังเคราะห์โดยหมักแบคทีเรีย (bacterial fermentation-synthesis) แล้วใช้เสริมอาหารและเป็นวิตามินเสริม วิตามินบี12 เป็นกลุ่มสารประกอบที่มีโครงสร้างเคมีเกี่ยวข้องกัน (หรือที่เรียกว่า vitamer) ซึ่งมีฤทธิ์ทางชีวภาพ และมีธาตุโคบอลต์ (Co) ที่ไม่สามัญทางเคมี-ชีวภาพ อยู่ตรงกลางวงแหวนเชิงระนาบแบบ tetra-pyrrole ที่เรียกว่าวงแหวน corrin (ดูรูป) ซึ่งสามารถผลิตได้โดยแบคทีเรีย hydroxocobalamin แต่ร่างกายสามารถแปรรูปแบบวิตามินไปในแบบต่าง ๆ ได้ วิตามินค้นพบโดยความสัมพันธ์ของมันกับโรคภาวะเลือดจางเหตุขาดวิตามินบี12 (pernicious anemia) ซึ่งเป็นโรคภูมิต้านตนเอง และมีผลทำลายเซลล์ผนัง (parietal cell) ที่มีหน้าที่หลั่งไกลโคโปรตีน คือ intrinsic factor ในกระเพาะอาหาร เซลล์เหล่านี้ยังมีหน้าที่หลั่งกรดย่อยอาหารในกระเพาะอีกด้วย เพราะว่า intrinsic factor จำเป็นต่อการดูดซึมวิตามินตามปกติ การขาดโปรตีนนี้เพราะโรค จึงทำให้ขาดวิตามินบี12 ยังมีรูปแบบการขาดวิตามินแบบเบากว่าอื่น ๆ ที่ผลติดตามทางชีวเคมีก็ปรากฏชัดแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวิตามินบี12 · ดูเพิ่มเติม »

วุลเวอรีน

ำหรับตัวละครในมาร์เวลคอมิกส์ ดูที่ วูล์ฟเวอรีน (ตัวละคร) วุลเวอรีน (wolverine)Wozencraft, W. C. (16 November 2005).

ใหม่!!: สัตว์และวุลเวอรีน · ดูเพิ่มเติม »

วีเวรียอา

วีเวรียอา ไดโนเสาร์คอยาวชนิดหนึ่ง ถูกค้นพบในสถานที่ ๆ เป็นประเทศฝรั่งเศสในยุคปัจจุบัน มีอายุอยู่ราวยุคจูแรสซิกตอนปลาย มีชนิดต้นแบบ คือ Vouivria damparisensis วีเวรียอา ถูกค้นพบเป็นซากดึกดำบรรพ์ตั้งแต่เดือนเมษายน..

ใหม่!!: สัตว์และวีเวรียอา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ชะมดและอีเห็น

มดและอีเห็น เป็นสัตว์จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันดับสัตว์กินเนื้อจำพวกหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ชะมดและอีเห็น · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์พังพอน

ระวังสับสนกับ: วงศ์เพียงพอน วงศ์พังพอน (mongoose; ไทยถิ่นเหนือ: จ่อน) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Herpestidae เดิมเคยถูกรวมเป็นวงศ์เดียวกับ วงศ์ Viverridae หรือ วงศ์ชะมดและอีเห็น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์พังพอน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กบมีหาง

กบมีหาง (Tailed frogs) เป็นวงศ์ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในอันดับกบ (Anura) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ascaphidae กบในวงศ์นี้ มีลักษณะสำคัญคือ ตัวผู้มีอวัยวะถ่ายอสุจิรูปร่างคล้ายหาง อยู่ทางด้านท้ายของห้องทวารร่วม อวัยวะส่วนนี้ได้รับการค้ำจุนด้วยแท่งกระดูกอ่อนที่เจริญมาจากกระดูกเชิงกราน ภายในมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก ขณะที่ตัวผู้กอดรัดตัวเมียจะงอหางไปข้างหน้าและสอดเข้าไปในช่องทวารร่วมของตัวเมียเพื่อถ่ายอสุจิ การงอหางเกิดจากการหดตัวของอสุจิ นอกจากนี้แล้วยังมีกระดูกสันหลังหน้ากระดูกก้นกบจำนวน 9 ปล้อง ซึ่งนับว่ามีมากกว่ากบวงศ์อื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีกระดูกอิพิพิวบิสอยู่ด้านหน้ากระดูกพิวบิส ลูกอ๊อดมีช่องปากมีจะงอยปากและมีตุ่มฟัน กระดูกสันหลังมีเซนทรัมเป็นแบบอย่างของแอมฟิซีลัส กระดูกหัวไหล่เป็นแบบอย่างของอาร์กซิฟเอรัล กระดูกแอสทรากาลัสและกระดูกแคลลาเนียมเชื่อมรวมกันเฉพาะส่วนต้นและส่วนปลาย ไม่มีกระดูกแทรกระหว่างระหว่างกระดูกนิ้ว 2 ชิ้นสุดท้าย ช่องเปิดของห้องเหงือกมีช่องเดียวอยู่ในแนวตรงกลางลำตัว จึงเป็นข้อสันนิษฐานว่า กบในวงศ์นี้เป็นบรรพบุรุษของกบวงศ์อื่น ๆ ทั้งหมด มีขนาดลำตัวขนาดเล็กประมาณ 3.5-5 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในน้ำตลอดเวลาในลำธารที่มีกระแสน้ำแรงและเย็นจัด ตัวผู้ไม่มีแผ่นเยื่อแก้วหูและไม่ส่งเสียงร้องแต่ใช้ตารับภาพเพื่อเสาะหาตัวเมีย การผสมพันธุ์เกิดขึ้นในน้ำโดยตัวผู้กอดรัดตัวเมียในบริเวณเอว กบตัวเมียจะเก็บอสุจิไว้ในท่อนำไข่นาน 9 เดือน ต่อจากนั้นจึงวางไข่จำนวน 40-80 ฟองติดไว้ในก้อนหินใต้ลำธาร ไข่มีขนาดใหญ่และเอ็มบริโอเจริญอยู่ภายในไข่เป็นระยะเวลานาน ลูกอ๊อดมีอวัยวะใช้ยึดเกาะก้อนหินเจริญขึ้นมาบริเวณปาก และลดรูปครีบหางซึ่งปรับตัวเพื่ออาศัยในลำธารกระแสน้ำไหลแรง และลูกอ๊อดใช้ระยะเวลานานถึง 2-3 ปี จึงเจริญเป็นตัวเต็มวัย กบในวงศ์กบมีหางนี้ มีเพียงสกุลเดียว คือ Ascaphus มีเพียง 2 ชนิด แพร่กระจายพันทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา อาศัยอยู่บริเวณแนวฝั่งลำธารที่น้ำใสและเย็นจัดบนภูเขาที่มีความสูงกว่า 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กบมีหาง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กบลิ้นส้อม

วงศ์กบลิ้นส้อม (Fork-tongued frogs) เป็นวงศ์ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกกบ จัดอยู่ในวงศ์ Dicroglossidae กบในวงศ์นี้มีกระดูกนาซัลเป็นชิ้นกว้างและอยู่ชิดกับกระดูกฟรอนโทพาไรทัล กระดูกหน้าอกมีด้านท้ายแยกจากกันเป็นสองแฉก อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความแตกต่างกันมาก ทั้งพื้นดิน, ใกล้แหล่งน้ำ และบนต้นไม้ วางไข่ในน้ำ ตัวอ่อนเจริญเติบโตภายในไข่และลูกอ๊อดออกจากไข่มีรูปร่างเหมือนตัวเต็มวัย จัดเป็นกบที่มีขนาดลำตัวเล็กหรือปานกลาง พบกระจายพันธุ์อยู่ในทวีปแอฟริกา, เอเชีย และบางส่วนของยุโรป เดิมเคยจัดอยู่รวมเป็นวงศ์เดียวกับ วงศ์กบแท้ (Ranidae) โดยจัดเป็นวงศ์ย่อย ใช้ชื่อว่า Dicroglossinae.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กบลิ้นส้อม · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กบลื่น

วงศ์กบลื่น (accessdate) เป็นวงศ์ของกบที่มีขนาดใหญ่ ใช้ชื่อวงศ์ว่า Conrauidae และมีเพียงสกุลเดียวคือ Conraua ซึ่งในบางข้อมูลจัดให้อยู่ในวงศ์ Petropedetidae (ซึ่งบางข้อมูลวงศ์ Petropedetidae นี้ถูกเรียกว่า Petropedetinae จัดเป็นวงศ์ย่อยของวงศ์ Ranidae หรือกบแท้อีกที) เป็นกบที่มีขนาดใหญ่ พบกระจายพันธุ์เฉพาะในทวีปแอฟริกา ตั้งแต่แถบใต้สะฮารา โดยมีสมาชิกในวงศ์คือ กบโกไลแอท เป็นกบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีความยาวถึง 32 เซนติเมตร (13 นิ้ว) ตั้งแต่ปลายจมูกจรดก้นกบ และมีน้ำหนักมากถึง 3.3 กิโลกรัม (7.3 ปอนด์) พบทั้งหมด 6 ชนิด โดยที่มี 4 ชนิดกำลังถูกคุกคาม โดยที่ชื่อวงศ์และสกุลตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ กุสตาฟ คอนรู พ่อค้าและนายหน้าแรงงานชาวเยอรมัน เป็นผู้ที่สะสมต้นแบบแรกของกบในวงศ์นี้จนกระทั่งได้รับการอนุกรมวิธาน คือ Conraua robusta.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กบลื่น · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กบลูกศรพิษ

กบลูกศรพิษ (Poison dart frogs, Dart-poison frogs, Poison frogs, Poison arrow frogs) เป็นวงศ์ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง ในอันดับกบ (Anura) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dendrobatidae.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กบลูกศรพิษ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กบนา

วงศ์กบนา หรือ วงศ์กบแท้ (True frogs) เป็นวงศ์ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในอันดับกบ (Anura) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ranidae (/รา-นิ-ดี/) กบในวงศ์นี้มีลักษณะโดยรวม คือ มีกระดูกสันหลังหน้ากระดูกก้นกบ 8 ปล้อง กระดูกสันหลังมีเซนทรัมเป็นแบบอย่างของโพรซีลัสหรือเป็นแบบอย่างของไดพลาสิโอซีลัส กระดูกหัวไหล่เป็นแบบอย่างของเฟอร์มิสเทอร์นัล กระดูกแอสทรากาลัสและกระดูกแลคาเนียมเชื่อมรวมกันเฉพาะส่วนต้นและส่วนปลาย ไม่มีกระดูกแทรกระหว่างกระดูกนิ้ว 2 ชิ้นสุดท้าย กระดูกนิ้วชิ้นสุดท้ายมีส่วนปลายนิ้วเรียวยาวหรือเป็นรูปตัว T ลูกอ๊อดมีช่องจะงอยปากและมีฟัน ช่องเปิดของเหงือกมีช่องเดียวอยู่ทางด้านข้างของด้านซ้ายลำตัว มีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันมาก โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้คือ กบโกไลแอท (Conraua goliath) ที่พบในทวีปแอฟริกาที่มีความยาวเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร ขณะที่บางชนิด บางสกุลมีลำตัวอ้วนป้อมและอาศัยอยู่ในโพรงดิน บางชนิดอาศัยอยู่ในลำธารที่กระแสน้ำไหลแรงและว่ายน้ำได้ดีมาก ก็มีด้วยกันหลายชนิด ในหลายสกุล.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กบนา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กบเล็บ

วงศ์กบเล็บ หรือ วงศ์กบไม่มีลิ้น (Clawed frog, Tongueless frog, Aquatic frog) เป็นวงศ์ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำวงศ์หนึ่ง ในอันดับกบ (Anura) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Papidae (/ปา-ปิ-ดี/) มีลักษณะพิเศษ คือ เมื่อเป็นตัวเต็มวัยแล้วไม่มีลิ้น กระดูกสันหลังปล้องที่ 2-4 ของตัวเต็มวัยมีกระดูกซี่โครงและเชื่อมรวมกัน บางสกุลและบางชนิดไม่มีฟันที่กระดูกพรีแมคซิลลาและที่กระดูกแมคซิลลา มีกระดูกสันหลังหน้ากระดูกก้นกบ 6-8 ปล้อง กระดูกสันหลังมีเซนทรัมเป็นแบบอย่างของโอพิสโธซีลัส กระดูกหัวไหล่เป็นแบบอย่างของอาร์กซิเฟอรัลหรือแบบอย่างดัดแปรของเฟอร์มิสเทอร์นัล กระดูกแอสทรากาลัสและกระดูกแคลลาเนียมเชื่อมรวมกันเฉพาะส่วนต้นและส่วนปลาย ไม่มีชิ้นกระดูกแทรกระหว่างกระดูกนิ้ว 2 ชิ้นสุดท้าย ลูกอ๊อดมีช่องปากยาวและแคบ ไม่มีจะงอยปากและไม่มีตุ่มฟันบริเวณปาก ช่องเปิดห้องเหงือกมี 2 ช่องอยู่ทางด้านข้างของลำตัว กินอาหารด้วยการกรองเข้าปาก มีความยาวลำตัวประมาณ 4-17 เซนติเมตร มีลำตัวแบนราบมาก และมีขายื่นไปทางด้านข้างลำตัว อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำได้หลากหลายประเภท รวมทั้งแหล่งน้ำขังชั่วคราวบนท้องถนน เนื่องจากอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำ เส้นข้างลำตัวจึงเจริญ ยกเว้นบางสกุลที่ไม่มี ขาหลังใหญ่และมีแผ่นหนังระหว่างนิ้วตีนใหญ่มาก ขาหน้ามีนิ้วตีนยาวแต่ไม่มีแผ่นหนังระหว่างนิ้ว ยกเว้นบางสกุลเท่านั้นที่มี นิ้วตีนมีเล็บยาว แบ่งออกได้เป็น 5 สกุล 32 ชนิด แพร่กระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้ บางชนิดนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง ขณะที่ในบางสกุลนิยมใช้เพื่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ เช่น ชีววิทยาการเจริญ, ชีววิทยาโมเลกุล, ชีววิทยาประสาท, พันธุกรรมศาสตร์ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กบเล็บ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กระจง

วงศ์กระจง (Chevrotain, Mouse-deer, Napu; อีสาน: ไก้) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง ในอันดับสัตว์กีบคู่ (Artiodactyla) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tragulidae กระจงถือเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง มีรูปร่างลักษณะทั่วไปคล้ายกับกวาง (Cervidae) มีกระเพาะอาหารแบ่งออกเป็น 4 ส่วน มีการหมักอาหารที่กระเพาะอาหาร แต่กระเพาะห้องที่สามจะลดขนาดลง เหลือไว้เพียงร่องรอยเท่านั้น มีส่วนหัวค่อนข้างเล็ก ไม่มีเขา จะงอยหน้าแหลมและแคบ จมูกไม่มีขน ไม่มีทั้งต่อมที่ใบหน้าและต่อมกับ ขายาวเรียวและเล็ก ตัวผู้ที่โตเต็มวัยมีเขี้ยวงอกจากขากรรไกรบนยาวยื่นออกมาใช้สำหรับป้องกันตัว ส่วนตัวเมียมีเขี้ยวเหมือนกับตัวผู้ แต่มีขนาดเล็กมาก ไม่มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย มีระยะเวลาตั้งท้องนานราว 120–180 วัน ตัวเมียสามารถกลับมาเป็นสัดได้ ใน 7 วันหลังจากออกลูก ออกลูกโดยปกติครั้งละ 1 ตัว ถือได้ว่าเป็นสัตว์กีบที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ด้วยว่ามีขนาดพอ ๆ กับกระต่ายตัวหนึ่งเท่านั้นเอง พบกระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกาและเอเชีย ในอนุทวีปอินเดีย และเอเชียอาคเนย์ แบ่งออกได้เป็น 3 สกุล 10 ชนิด และสูญพันธุ์ไปแล้วอีก 6 สกุล (ดูในตาราง) สำหรับในประเทศไทย พบ 2 ชนิด คือ กระจงควาย หรือ กระจงใหญ่ (Tragulus napu) และกระจงเล็ก หรือ กระจงหนู (T. kanchil) ซึ่งถือได้เป็นสัตว์กีบที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กระจง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กระต่าย

วงศ์กระต่าย (Hare, Rabbit) เป็นวงศ์ของสัตว์ที่จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับกระต่าย (Lagomorpha) ในวงศ์ Leporidae สัตว์ที่อยู่ในวงศ์นี้แม้จะมีฟันแทะเหมือนกับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) แต่ถูกจัดออกมาเป็นอันดับต่างหาก เนื่องมีจำนวนฟันที่ไม่เท่ากัน เพราะกระต่ายมีฟันแทะที่ขากรรไกรบน 2 แถว เรียงซ้อนกันแถวละ 2 ซี่ ฟันกรามบนข้างละ 6 ซี่ และฟันกรามล่างข้างละ 5 ซี่ เมื่อเวลาเคี้ยวอาหาร กระต่ายจะใช้ฟันทั้ง 2 ด้านเคี้ยวสลับกันไป ต่างจากสัตว์ฟันแทะโดยทั่วไปที่เคี้ยวเคลื่อนหน้าเคลื่อนหลัง ซึ่งสามารถเขียนเป็นสูตรได้ว่า (1\tfrac,C\tfrac,P\tfrac,M\tfrac) X 2.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กระต่าย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กระแต

วงศ์กระแต (Treeshrew) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ในอันดับกระแต (Scandentia) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tupaiidae มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับกระรอก ซึ่งอยู่ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) ซึ่งเป็นสัตว์ต่างอันดับกัน แต่ไม่มีฟันเป็นฟันแทะเหมือนกระรอก มีส่วนหน้าและจมูกยื่นแหลมยาวกว่า นิ้วเท้าหน้ามีทั้งหมด 5 นิ้ว และมีลักษณะคล้ายกับนิ้วของไพรเมต (Primate) หรือลิงมากกว่ากระรอก ใช้ประโยชน์ในการหยิบจับได้ดีกว่า มีพฤติกรรมการเลี้ยงลูกที่แปลก คือ หลังจากออกลูกแล้ว กระแตตัวแม่จะให้นมลูกอ่อนจนตัวด้วยเป่งไปน้ำนม ซึ่งมากถึงร้อยละ 50 ของน้ำหนักตัว หลังจากนั้นก็จะทิ้งลูกไปนานถึง 48 ชั่วโมงก่อนที่จะวกกลับมาให้นมจนเป่งแบบเดิมอีก นมของกระแตมีสัดส่วนไขมันสูงเป็นพิเศษ (ราวร้อยละ 26) ซึ่งทำให้ลูกกระแตรักษาอุณหภูมิร่างกายไว้ได้ที่ 37 องศาเซลเซียส โดยไม่ต้องพึ่งความอบอุ่นจากแม่ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนมากถึงร้อยละ 10 ลูกกระแตสามารถออกจากรังได้ขณะที่มีอายุเพียง 4 สัปดาห์ มีการกระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากินทั้งพืชและสัตว์ขนาดเล็ก พบได้ทั้งในป่าดิบ, ชุมชนของมนุษย์ พื้นที่เกษตรกรรม เช่น สวนผลไม้ หรือสวนสาธารณะ ปัจจุบันมีการแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 สกุล (ดูในตาราง) พบทั้งหมด 19 ชนิด ในประเทศไทยพบได้ 4 ชนิด คือ กระแตเหนือ (Tupaia belangeri), กระแตเล็ก (T. minor), กระแตใต้ (T. glis) และกระแตหางหนู (Dendrogale murina).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กระแต · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กวางชะมด

กวางชะมด (Musk deer) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกสัตว์เคี้ยวเอื้องในวงศ์ Moschidae และสกุล Moschus.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กวางชะมด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กิล่ามอนสเตอร์

วงศ์กิล่ามอนสเตอร์ (Gila monster, Venomous lizard) เป็นสัตว์เลื้อยคลานวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Helodermatidae อยู่ในอันดับย่อยกิ้งก่า รูปร่างโดยรวมของสัตว์ในวงศ์นี้ คือ มีลำตัวป้อม หางป้อมและส่วนปลายมนกลม ซึ่งเป็นอวัยวะเก็บสำรองไขมัน มีต่อมน้ำพิษอยู่ในเนื้อเยื่อตามความยาวของขากรรไกรล่าง ผิวหนังลำตัวหนา เกล็ดปกคลุมลำตัวด้านหลังและด้านข้างเป็นตุ่มกลมและไม่มีกระดูกในชั้นหนังรองรับ แต่เกล็ดด้านท้องเป็นรูปเหลี่ยมและมีขนาดใหญ่กว่าเกล็ดด้านหลังรวมทั้งมีกระดูกในชั้นหนังรองรับ กระดูกหัวไหล่มีกระดูกอินเตอร์คลาวิเคิลเป็นรูปตัวอักษรที (T) ในภาษาอังกฤษ หรือเป็นรูปโค้งและกระดูกไหปลาร้าเป็นรูปหักมุม ปล่อยหางหลุดจากลำตัวไม่ได้ พื้นผิวด้านบนของลิ้นเป็นตุ่มยาว ฟันที่ขากรรไกรเกาะติดกับร่องที่ขอบด้านในของกระดูกขากรรไกร กระดูกพเทอรีกอยด์มีฟัน มีลำตัวขนาดใหญ่ มีความยาวของลำตัวประมาณ 30-50 เซนติเมตร มีอยู่เพียงสกุลเดียว คือ Heloderma โดยมีความหมายว่า "ผิวที่เป็นปุ่ม" อันหมายถึงลักษณะผิวหนังของกิ่งก่าในวงศ์นี้ มีที่มาจากภาษากรีกโบราณคำว่า "hêlos" (ἧλος) หมายถึง "หัว" หรือ "เล็บ" หรือ "ปุ่ม" และ "Derma" (δέρμα) หมายถึง "ผิว" เดิมถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ กิล่ามอนสเตอร์ (H. suspectum) และกิ้งก่าลูกปัด (H. horridum) แพร่กระจายพันธุ์ในทะเลทรายที่แห้งแล้งของสหรัฐอเมริกาจนถึงเม็กซิโกและกัวเตมาลา อาศัยอยู่บนพื้นดินโดยการขุดโพรง แต่สามารถปีนป่ายต้นไม้หรือโขดหินได้เป็นอย่างดี หากินในเวลากลางวันโดยอาศัยการฟังเสียงและรับภาพ มีอุปนิสัยหากินตามลำพัง โดยที่ กิล่ามอนสเตอร์จะกินสัตว์ขนาดใหญ่อย่าง กระต่ายหรือสัตว์ฟันแทะขนาดเล็กด้วย ส่วนกิ้งก่าลูกปัดจะหากินเพียงไข่นกและกิ้งก่าเท่านั้น ทั้ง 2 ชนิดขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ แต่ปัจจุบันได้แบ่งออกอีกเป็น 3 ชนิด รวมเป็น 5 ชนิด คือ กิ้งก่าลูกปัดเชียปัน (H. alvarezi), กิ้งก่าลูกปัดริโอเฟอเต (H. exasperatum) และกิ้งก่าลูกปัดกัวเตมาลัน (H. charlesbogerti).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กิล่ามอนสเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กิ้งก่า

วงศ์กิ้งก่า (Dragon lizards, Old Wolrd lizards, ชื่อวิทยาศาสตร์: Agamidae) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับย่อยกิ้งก่า วงศ์หนึ่ง ที่มีจำนวนสมาชิกมากและมีความหลากหลายมาก ประมาณเกือบ 500 ชนิด จนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ย่อย (ดูในตาราง) มีลักษณะโดยรวม คือ มีขา 4 ข้างเห็นชัดเจน มีเกล็ดปกคลุมด้านหลังและด้านท้องของลำตัว เกล็ดมีขนาดเล็กเรียงตัวซ้อนเหลื่อมกันหรือต่อเนื่องกัน ไม่มีกระดูกในชั้นหนัง กระดูกหัวไหล่มีกระดูกอินเตอร์คลาวิเคิลเป็นรูปตัวอักษรที และกระดูกไหปลาร้ามีรูปร่างโค้ง มีหางยาว แต่โดยทั่วไปน้อยกว่า 1.4 เท่าของความยาวจากปลายจมูกถึงรูก้น ไม่สามารถสะบัดหางให้หลุดจากลำตัวได้ ยกเว้นในสกุล Uromystax พื้นผิวด้านบนของลิ้นมีตุ่ม ฟันที่ขากรรไกรเกาะติดกับพื้นผิวกระดูกโดยตรง กระดูกพเทอรีกอยด์ไม่มีฟัน พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในทวีปเอเชีย, แอฟริกา, ออสเตรเลีย ส่วนใหญ่ออกลูกเป็นไข่ มีเพียงบางสกุลเท่านั้นที่ตกลูกเป็นตัว สำหรับในประเทศไทย มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด อาทิ ตะกอง (Physignathus cocincinus) ซึ่งเป็นกิ้งก่าขนาดใหญ่ พบได้ในป่าดิบชื้นใกล้แหล่งน้ำในป่า เช่น น้ำตก ในภูมิภาคอินโดจีน, กิ้งก่าบินคอแดง (Draco blanfordii), กิ้งก่าสวน (Calotes mystaceus), หรือ แย้เส้น (Leiolepis belliana) ที่พบได้ทั่วไปตามพื้นดินภาคอีสาน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กิ้งก่า · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กิ้งก่าบาซิลิสก์

วงศ์กิ้งก่าบาซิลิสก์ (Helmet lizard) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานประเภทกิ้งก่าวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Corytophanidae (ในขณะที่บางข้อมูลใช้เป็นวงศ์ย่อย Corytophaninae อยู่ในวงศ์ใหญ่ Iguanidae) ลักษณะทั่วไปของกิ้งก่าในวงศ์นี้ คือ มีช่องเปิดบริเวณที่แอ่งเบ้าตาไม่ใหญ่ กระดูกจูกัลและสควาโมซัลเชื่อมต่อกันเป็นพื้นที่กว้าง ช่องเปิดพาไรทัลอยู่ที่กระดูกฟรอนทัล กระดูกพาลาทีนไม่มีฟันแต่กระดูกพเทอรีกอยด์มีฟัน ตัวผู้ไม่มีต่อมทางด้านในของต้นขาหลัง มีรูปร่างเรียวยาวและมีระยางค์ขาทั้ง 4 ข้างยาว หางยาว ที่สำคัญมีสันบนหัวในตัวผู้ ใช้สำหรับจำแนกเพศและป้องกันตัว มีความยาวประมาณ 9-20 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในป่าโปร่ง-ป่าดิบชื้น ในตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ จนถึงอเมริกากลาง มีทั้งหากินบนพื้นดินและบนต้นไม้ เป็นกิ้งก่าที่ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ มีเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ออกลูกเป็นตัว โดยสมาชิกที่เป็นรู้จักกันเป็นอย่างดี คือ กิ้งก่าบาซิลิสก์ ที่สามารถวิ่งบนผิวน้ำได้ด้วยความรวดเร็ววีรยุทธ์ เลาหะจินดา, หน้า 376.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กิ้งก่าบาซิลิสก์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์กิ้งก่าคาเมเลี่ยน

วงศ์กิ้งก่าคาเมเลี่ยน (Chameleon) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่า ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์กิ้งก่าคาเมเลี่ยน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ม้า

วงศ์ม้า เป็นวงศ์ของม้าและสัตว์ที่เกี่ยวข้องในระบบอนุกรมวิธาน ใช้ชื่อวงศ์ว่า Equidae ในวงศ์นี้ประกอบไปด้วยม้า, ลา และม้าลาย ส่วนสปีชีส์ที่เหลือเป็นซากดึกดำบรรพ์ สปีชีส์ที่ยังมีอยู่ในปัจจุบันล้วนอยู่ในสกุล Equus วงศ์ม้าจัดอยู่ในอันดับ Perissodactyla ร่วมกับสมเสร็จและแร.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ม้า · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยชะมด

วงศ์ย่อยชะมด เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์กินเนื้อ ในวงศ์ชะมดและอีเห็น (Viverridae) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Viverrinae นับเป็นวงศ์ย่อยที่มีสมาชิกที่หลากหลายและมากที่สุดในวงศ์นี้ แบ่งออกได้เป็น 22 ชนิด พบกระจายพันธุ์ทั้งในทวีปแอฟริกาและเอเชีย ขนาดความยาวสูงสุดได้ถึง 84 เซนติเมตร (33 นิ้ว) น้ำหนัก 18 กิโลกรัม (40 กรัม) พบในแอฟริกา เป็นสัตว์ที่มีฟันแหลม สามารถเขียนเป็นสูตรได้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยชะมด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยกวาง

วงศ์ย่อยกวาง หรือ วงศ์ย่อยกวางโลกเก่า (Old World deer, Plesiometacarpal deer) เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกีบคู่ ในวงศ์ Cervidae หรือ กวาง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cervinae โดยกวางในวงศ์ย่อยนี้ จะเป็นกวางชนิดที่พบในซีกโลกที่เรียกว่าโลกเก่า คือ ทวีปเอเชีย, แอฟริกา, ยุโรป โดยเป็นสัตว์ที่อาศัยและปรับตัวอยู่ได้ในหลายภูมิประเทศ เช่น ทุ่งหญ้า, ทะเลทราย, ที่ราบต่ำ หรือแม้แต่พื้นที่ชุ่มน้ำ สมาชิกในวงศ์ย่อยนี้ แบ่งออกได้เป็น 2 เผ่าใหญ่ ๆ คือ Cervini หรือ กวางแท้ และ Muntiacini หรือ เก้ง.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยกวาง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยกาเซลล์

วงศ์ย่อยกาเซลล์ (Gazelle, True Antelope, วงศ์: Antilopinae) เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่ (Artiodactyla) ในวงศ์ใหญ่ Bovidae ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Antilopinae ลักษณะโดยรวมของสัตว์ในอันดับนี้ คือ มีขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง มีลักษณะคอและขายาวปราดเปรียว เขามีทั้งกลุ่มที่พบในเพศผู้และพบได้ทั้ง 2 เพศ โดยอาจจะเรียกได้ว่าเป็น "แอนทีโลปแท้" ซึ่งสัตว์ที่อยู่ในวงศ์ย่อยนี้ ได้แก่ กาเซลล์, สปริงบ็อก, แบล็คบัค, เยเรนุค, ไซกา เป็นต้น กระจายพันธุ์ทั้งในทวีปแอฟริกาจนถึงทวีปเอเชีย ในแถบภูมิภาคเอเชียกลางและเอเชียตะวันออก แบ่งออกได้เป็น 14 สกุล ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยกาเซลล์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยกิ้งก่า

วงศ์ย่อยกิ้งก่า (Agamid lizards, Old world arboreal lizards; ชื่อวิทยาศาสตร์: Agaminae) เป็นวงศ์ย่อยของกิ้งก่าในวงศ์ Agamidae เป็นวงศ์ย่อยที่มีจำนวนสมาชิกหลากหลายที่สุดของวงศ์นี้ มีประมาณ 52 สกุล 421 ชนิด มีลักษณะโดยรวม คือ มีช่องเปิดบริเวณแอ่งเบ้าตาใหญ่ และมีช่องเปิดบริเวณกล่องหูใหญ่ มีความยาวของลำตัวแตกต่างกันมากตั้งแต่เพียงไม่กี่เซนติเมตรจนถึง 1.1 เมตร บางชนิดก็มีส่วนหางที่ยาวมาก รูปร่างมีแตกต่างกันตั้งแต่อ้วนป้อมและขาสั้นในสกุล Moloch และเรียวยาวและขายาวในสกุล Sitana เกล็ดปกคลุมลำตัวในหลายชนิดเปลี่ยนสภาพเป็นโครงสร้างอื่น เช่น กิ้งก่าแผงคอ (Chlamydosaurus kingii) ที่เป็นแผงคอที่สามารถกางแผ่ออกได้เมื่อตกใจหรือขู่ศัตรูให้กลัว หรือเป็นหนามในสกุล Moloch และ Acanthosaura โครงสร้างเหล่านี้เป็นลักษณะแตกต่างระหว่างเพศของหลายชนิด ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนพื้นดินหรือบนต้นไม้หรือแม้แต่ใช้ชีวิตแบบครึ่งบกครึ่งน้ำ อย่าง ตะกอง (Physignathus cocincinus) ที่มีพฤติกรรมอาศัยในป่าดิบชื้นที่ใกล้แหล่งน้ำในป่า เช่น ลำธารหรือน้ำตก ว่ายน้ำเก่งมาก แต่ไม่มีชนิดใดที่อาศัยอยู่ในโพรงดิน ในสกุล Draco ที่พบในป่าดิบในแหลมมลายู ที่มีแผ่นหนังข้างลำตัวกางออกเพื่อร่อนได้ในอากาศ ส่วนใหญ่หากินในเวลากลางวัน และเปลี่ยนอุณหภูมิในร่างกายให้อบอุ่นขึ้นด้วยการนอนผึ่งแดด บางสกุล เช่น Agama มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นสังคม และมีการจัดลำดับในสังคมด้วย กินอาหารโดยเฉพาะสัตว์ขาปล้องเป็นอาหาร โดยรอให้เหยื่อเข้ามาหาเอง ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ในโพรงดินหรือทราย แต่ในสกุล Phrynocephalus ตกลูกเป็นตัว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยกิ้งก่า · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยม้าน้ำ

วงศ์ย่อยม้าน้ำ เป็นวงศ์ย่อยของปลา่ทะเลกระดูกแข็งจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hippocampinae จัดเป็นวงศ์ย่อยของวงศ์ Syngnathidae ซึ่งปลาในวงศ์นี้ได้แก่ ม้าน้ำ และปลาจิ้มฟันจระเข้แคระ หรือม้าน้ำอย่างเดียวN.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยม้าน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยลิงโลกเก่า

วงศ์ย่อยลิงโลกเก่า (Old world monkey) เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานร (Primates) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Cercopithecinae จัดอยู่ในวงศ์ใหญ่ Cercopithecidae หรือ ลิงโลกเก่า ลิงที่อยู่ในวงศ์ย่อยนี้ั มีประมาณ 71 ชนิด 12 สกุล โดยจะปรับตัวให้อาศัยในแต่ละภูมิประเทศ ภูมิอากาศ บางชนิดมีหางยาวเหมาะกับการอาศัยบนต้นไม้ บางชนิดมีหางสั้นหรือกระทั่งไม่มีหางเลย แต่ทุกชนิดมีหัวแม่มือที่วิวัฒนาการมาเพื่อใช้สำหรับหยิบจับของต่าง ๆ และปีนป่าย รวมถึงบางชนิดสามารถเปลี่ยนสีตัวเองให้เข้มหรือสวยขึ้นได้ด้วยในฤดูผสมพันธุ์ อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง และมีลำดับชั้นในฝูงตามลำดับอาวุโส อาศัยอยู่ในหลายภูมิประเทศ หลายภูมิอากาศ ทั้งป่าดิบ, ป่าฝน, สะวันนา, ภูเขาสูง หรือกระทั่งพื้นที่เป็นหิมะหรือน้ำแข็งอันหนาวเย็นในประเทศญี่ปุ่น ส่วนใหญ่กินอาหารได้หลากหลายทั้ง ผลไม้, ใบไม้, เมล็ดพืช, เห็ด, แมลง ตลอดจนแมงมุมขนาดเล็กและสัตว์ขนาดเล็ก ทุกชนิดมีถุงที่ข้างแก้มใช้เก็บอาหาร ระยะเวลาตั้งท้องเป็นเวลาประมาณ 6-7 เดือน หย่านมเมื่ออายุได้ 3-12 เดือน และโตเต็มที่ภายใน 3-5 ปี อายุขัยโดยเฉลี่ยบางชนิดอาจสูงได้ถึง 50 ปี Groves, C. (2005).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยลิงโลกเก่า · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยวัวและควาย

วงศ์ย่อยวัวและควาย เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ ในอันดับสัตว์กีบคู่ (Artiodactyla) ในวงศ์ใหญ่ Bovidae ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bovinae สัตว์ในวงศ์นี้มีลักษณะโดยรวม เป็นสัตว์ที่มนุษย์รู้จักเป็นอย่างดี คือ วัวและควาย ซึ่งใช้เลี้ยงเป็นปศุสัตว์และใช้แรงงานในการเกษตรกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เป็นสัตว์ที่มีกล้ามเนื้อบึกบึนกำยำล่ำสัน เต็มไปด้วยพละกำลัง เขามีความโค้งและเรียวแหลมที่ปลาย มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่บางกลุ่มที่มีลักษณะที่แตกต่างออกไป คือ คอยาว ขายาว มีลายขวางตามลำตัว อาจมีลายบนใบหน้า มีเขาบิดเป็นเกลียว ซึ่งมักพบเฉพาะในตัวผู้ แต่บางชนิดพบได้ทั้งตัวผู้และตัวเมีย พบกระจายพันธุ์ไปในทุกทวีปทั่วโลก ยกเว้นทวีปอเมริกาใต้และโอเชียเนีย แบ่งออกได้เป็น 10 สกุล ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยวัวและควาย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยวิลเดอบีสต์

วงศ์ย่อยวิลเดอบีสต์ (Alcelaphin) เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จำพวกกีบคู่วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Alcelaphinae ในวงศ์ใหญ่ Bovidae ลักษณะของสัตว์ที่อยู่ในวงศ์ย่อย คือ เป็นแอนทีโลปขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ขาคู่หน้าจะยาวกว่าขาคู่หลัง ทำให้แผ่นหลังมีลักษณะลาดลง ขายาวใบหน้าแคบและยาว ทำให้เป็นแอนทีโลปที่ดูคล้ายวัวมากที่สุด มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย มักอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ โดยสัตว์ที่อยู่ในวงศ์นี้ เช่น วิลเดอบีสต์ หรือกนู และฮาร์ตเตบีสต.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยวิลเดอบีสต์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยหอยมือเสือ

วงศ์ย่อยหอยมือเสือ (Giant clam; วงศ์ย่อย: Tridacninae) เป็นวงศ์ย่อยของหอยสองฝา ในวงศ์ใหญ่ Cardiidae ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tridacninae เป็นหอยสองฝาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แบ่งออกได้เป็น 2 สกุล 9 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยหอยมือเสือ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยหนู

วงศ์ย่อยหนู (Old World rats and mice, วงศ์ย่อย: Murinae) เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์ฟันแทะในวงศ์หนู (Muridae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Murinae มีจำนวนสมาชิกในวงศ์นี้กว่า 519 ชนิด ถือว่าเป็นวงศ์ของสัตวฟันแทะที่มีความหลากหลายมากที่สุดวงศ์หนึ่ง และถือได้ว่ามีจำนวนสมาชิกพอ ๆ กับค้างคาวซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมด้วยกัน หากแต่ค้างคาวมิใช่สัตว์ในอันดับสัตว์ฟันแทะ พบกระจายพันธุ์ในซีกโลกที่ได้ชื่อว่าเป็นโลกเก่า คือ แอฟริกา, เอเชีย, ยุโรป ตลอดจนโอเชียเนียด้วย โดยมีสกุลกว่า 129 สกุล โดยที่บางสกุลก็ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว โดยที่สกุลที่เป็นที่รู้จักกันคือ Rattus ซึ่งเป็นสกุลที่มีขนาดใหญ่ และพบได้ทั่วไปตามบ้านเรือนของมนุษย์ ได้แก่ หนูบ้าน (R. norvegicus) และหนูท้องขาว (R. rattus) เป็นต้น ส่วนที่พบได้ในประเทศไทย พบทั้งสิ้น 34 ชนิด นอกจาก 2 ชนิดดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมี หนูหริ่งบ้าน (Mus musculus), หนูหริ่งใหญ่ (M. cookii), หนูขนเสี้ยนเขาหินปูน (Niviventer hinpoon), หนูพุกใหญ่ (Bandicota indica), หนูหวาย (Leopoldamys sabanus) ซึ่งล้วนแต่อยู่ในวงศ์ย่อยนี้ทั้งสิ้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยหนู · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยอึ่งอ่าง

วงศ์ย่อยอึ่งอ่าง เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกกบในวงศ์ใหญ่ Microhylidae ใช้ชื่อวงศ์ว่า Microhylinae กะโหลกมีกระดูกเอธมอยด์หนึ่งคู่และมีกระดูกพรีโวเมอร์ขนาดเล็กหนึ่งชิ้น ไม่มีฟันที่กระดูกแมกซิลลา กระดูกสันหลังมีเซนทรัมเป็นแบบอย่างของโพรซีลัสและแบบไดพลาสิโอซีลัส กระดูกหัวไหล่มีกระดูกไหปลาร้าและกระดูกโพรโคราคอยด์ซึ่งมีขนาดแตกต่างกันตั้งแต่เล็ก-ใหญ่ ส่วนใหญ่อาศัยบนพื้นดินตั้งแต่พื้นที่แห้งแล้งของป่าหญ้า-ป่าดิบชื้นแต่ปีนป่ายต้นไม้ได้ดี ลูกอ๊อดส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำ ยกเว้นสกุล Myersiella ที่เอมบริโอเจริญภายในไข่และลูกอ๊อดออกจากไข่เป็นรูปร่างเหมือนตัวเต็มวัย และลูกอ๊อดของชนิด Synecope antenori ไม่กินอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยอึ่งอ่าง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยอีเห็น

วงศ์ย่อยอีเห็น เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์กินเนื้อ ในวงศ์ชะมดและอีเห็น (Viverridae) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Paradoxurinae การจำแนก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยอีเห็น · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยอีเห็นลายเสือโคร่ง

วงศ์ย่อยอีเห็นลายเสือโคร่ง เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์กินเนื้อขนาดเล็ก ในวงศ์ชะมดและอีเห็น (Viverridae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemigalinae สามารถจำแนกได้ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยอีเห็นลายเสือโคร่ง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยอ้น

วงศ์ย่อยอ้น (Bamboo rat, Root rat, Mole-rat) เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกฟันแทะวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhizomyinae (เดิมใช้ชื่อว่า Rhizomyidae) เป็นวงศ์ย่อยอยู่ในวงศ์ใหญ่ Spalacidae เป็นวงศ์ที่มีความใกล้ชิดกับวงศ์ย่อย Spalacinae ซึ่งเป็นสัตว์ฟันแทะที่พบในทวีปแอฟริกาและภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยรวมสมาชิกทั้งหมดในวงศ์นี้ เป็นสัตว์ที่มีลำตัวอ้วนป้อม เคลื่อนที่ได้ช้า มีใบหูและดวงตาขนาดเล็ก ในสกุล Rhizomys จัดเป็นสกุลที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีความยาวตั้งแต่ 150-480 มิลลิเมตร (เฉพาะส่วนหัวและลำตัว) กับความยาวหางตั้งแต่ 50-200 มิลลิเมตร และน้ำหนักตั้งแต่ 150 กรัมถึง 4 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับชนิด ส่วนใหญ่กินลำต้นหรือส่วนหัวของพืชที่อยู่ใต้ดินเป็นอาหาร โดยขึ้นจากโพรงมาหาอาหาร มักไม่ค่อยออกจากโพรงหากไม่ใช่เป็นการหาอาหาร ระยะเวลาในการออกหากินในช่วงโพล้เพล้หรือกลางคืน ขนาดของโพรงกว้างขวางและแบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ ได้หลายห้อง มีความคล้ายคลึงกับโกเฟอร์กระเป๋า แต่ไม่มีกระพุ้งแก้มใช้สำหรับเก็บอาหาร ทั้งหมดถือเป็นศัตรูพืชทางการเกษตร โดยจะกัดกินทำลายพืชผลทางการเกษตรจึงถูกตามล่าและถูกจับเพื่อรับประทานเป็นอาหาร โดยมีความเชื่อว่าช่วยในการบำรุงกำลัง ในขณะที่หนังของชนิดที่พบในทวีปแอฟริกันจะถูกใช้เป็นเครื่องราง.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยอ้น · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยจิ้งจกและตุ๊กแก

วงศ์ย่อยจิ้งจกและตุ๊กแก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Gekkoninae; House gecko, Tokay) เป็นวงศ์ย่อยของวงศ์ Gekkonidae นับเป็นวงศ์ย่อยที่มีความหลากหลายและประสบความสำเร็จสูงสุดในการดำรงชีวิตมากที่สุดของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับย่อยกิ้งก่า (Lacertilia) มีลักษณะโดยทั่วไป คือ มีกระดูกพรีแมคซิลลาและกระดูกพาไรทัลเป็นชิ้นเดี่ยว มีแว่นตาคลุมตา ลำตัวสั้น ขาทั้ง 4 ข้างมีขนาดใหญ่ ลำตัวปกคลุมด้วยผิวหนังที่อ่อนนุ่มและมีเกล็ดปกคลุมลำตัวเรียงตัวต่อเนื่องกัน มีขนาดแตกต่างกันหลากหลายทั้งเพียงไม่กี่เซนติเมตร จนถึงขนาดหนึ่งฟุต ส่วนใหญ่หากินบนต้นไม้และใต้ฝ่าเท้ามีเซต้าหรือขนที่แตกแขนงและมีความเล็กละเอียดมากใช้สำหรับยึดเกาะผนังในแนวตั้งฉากได้เป็นอย่างดีที่สุดในบรรดาวงศ์ย่อยทั้งหมดของวงศ์ Gekkonidae ซึ่งการเรียงตัวและลักษณะของเส้นขนนี้ใช้เป็นตัวในการอนุกรมวิธานแยกประเภท ในหลายสกุลได้ลดรูปแผ่นหนังใต้นิ้วและใช้เป็นโครงสร้างอื่นทดแทนในการอาศัยอยู่บนต้นไม้ เช่น Cnemaspis และ Cyrtodactylus ที่อาศัยบนต้นไม้หรือผนังหินปูนในถ้ำ โดยใช้เล็บในการเกาะเกี่ยวแทน ในบางสกุล เช่น Dixonius และ Gehyra อาศัยอยู่พื้นดินแทน หากินในเวลากลางคืนเป็นส่วนใหญ่ ตามปกติแล้วจะวางไข่เพียงครั้งละ 2 ฟอง โดยเปลือกไข่มีลักษณะแข็งและไม่เปลี่ยนรูป แต่สำหรับบางสกุลที่มีขนาดเล็ก เช่น Coleodactylus วางไข่เพียงฟองเดียว โดยการวางไข่ขึ้นอยู่กับขนาดของลำตัว แต่ก็มีบางชนิดที่สามารถเกิดได้โดยไม่ต้องผ่านการปฏิสนธิ ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานแล้วทั้งสิ้น 80 สกุล ประมาณ 800 ชนิด โดยมีสกุลที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี อาทิ Gekko, Hemidactylus และPtychozoon เป็นต้น พบกระจายพันธุ์ในเขตร้อนและเขตอบอุ่นของยูเรเชีย ในประเทศไทยพบประมาณ 46-50 ชนิด อาทิ ตุ๊กแกบ้าน (Gekko gecko), ตุ๊กแกตาเขียว (G. siamensis), ตุ๊กแกบินหางเฟิน (Ptychozoon lionotum) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยจิ้งจกและตุ๊กแก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยงูหางกระดิ่ง

วงศ์ย่อยงูหางกระดิ่ง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Crotalinae, Rattlesnake, Pit viper) เป็นวงศ์ย่อยของวงศ์ Viperidae ที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดและพบกระจายพันธุ์ได้กว้างขวางที่สุด มีลักษณะโดยรวม คือ มีแอ่งรับรู้คลื่นอินฟราเรดระหว่างช่องเปิดจมูกกับตา กระดูกพาลาทีนมีก้านกระดูกโคเอนัลชิ้นเล็ก กระดูกพรีฟรอนทัลไม่มีก้านกระดูกออร์ไบทัล มีขนาดความยาวตั้งแต่ 30 เซนติเมตรจนถึงร่วม 3.7 เมตร กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในหลายพื้นที่ของโลก ตั้งแต่ยุโรปจนถึงทวีปเอเชีย และทวีปอเมริกาเหนือจนถึงอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ในหลากหลายภูมิประเทศ ตั้งแต่ทะเลทรายที่ร้อนและแห้งแล้ง ไปจนถึงที่ราบสูงหรือที่ราบต่ำในป่าดิบหรือบนภูเขาสูงที่ชุ่มชื้น โดยมากจะอาศัยและหากินบนพื้นดิน แต่บางชนิดก็ดำรงชีวิตอยู่บนต้นไม้หรือใช้ชีวิตแบบครึ่งบกครึ่งน้ำ หากินในเวลากลางคืน โดยใช้แอ่งรับรู้คลื่นอินฟราเรดตรงระหว่างตากับจมูกจับความร้อนที่ออกจากร่างกายของเหยื่อ ซึ่งได้แก่ นกหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น สัตว์ฟันแทะชนิดต่าง ๆ ในชนิดที่ดำรงชีวิตแบบครึ่งบกครึ่งน้ำก็จับปลาหรือกบกินเป็นอาหาร แพร่พันธุ์ด้วยการออกลูกเป็นตัว ยกเว้นสกุล Calloselasma หรือ งูกะปะ, Lachesis และบางชนิดของสกุล Trimeresurus ที่วางไข่ มีทั้งหมด 18 สกุล ประมาณ 155 ชนิด โดยสกุลที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ งูหางกระดิ่งที่อยู่ในสกุล Crotalus และSistrurus ที่มีจุดเด่น คือ ปลายหางเป็นปล้องของสารประกอบเคอราติน เรียงตัวต่อเนื่องกันซึ่งเป็นส่วนของผิวหนังลำตัวที่ยังหลงเหลืออยู่จากการลอกคราบแต่ละครั้ง เมื่อสั่นหางส่วนนี้แล้วจะทำให้เกิดเสียงจากการปล้องแต่ละปล้องนั้นเสียดสีกระทบกัน เพื่อใช้เป็นสัญญาณเตือนและข่มขู่สัตว์ที่ใหญ่กว่าที่คุกคาม สำหรับในประเทศไทย มีงูในวงศ์ย่อยนี้ 16 ชนิด ได้แก่ งูกะปะ (Calloselasma rhodostoma) ที่พบมากในสวนยางและสวนปาล์มน้ำมันทางภาคใต้, งูหางแฮ่มกาญจน์ (Trimeresurus kanburiensis), งูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง (T. trigonocephalus), งูหางแฮ่มภูเขา (Ovophis monticola) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยงูหางกระดิ่ง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยงูแมวเซา

วงศ์ย่อยงูแมวเซา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Viperinae; Pitless viper, True viper, Old World viper, True adder) เป็นวงศ์ย่อยของงูในวงศ์ Viperidae มีรูปร่างโดยรวม คือ ไม่มีแอ่งรับรู้ถึงคลื่นอินฟราเรดเหมือนงูในวงศ์ย่อย Crotalinae กระดูกพาลาทีนไม่มีก้านกระดูกโคเอนัล กระดูกพรีฟอนทัลไม่มีก้านกระดูกออร์ไบทัล มีขนาดลำตัวปานกลาง โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 30 เซนติเมตร โดยในชนิด Bitis gabonica เป็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ยาวได้มากกว่า 2 เมตร พบอาศัยในพื้นที่มีสภาพนิเวศกว้างขวางมากตั้งแต่ในป่าดิบชื้นจนถึงทะเลทราย แพร่กระจายพันธุ์ในพื้นที่ที่เป็นเส้นศูนย์สูตรจนถึงขั้วโลก ออกหากินทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน โดยช่วงเวลาที่หากินสัมพันธ์กับสภาวะอากาศและระดับอุณหภูมิในแต่ละพื้นที่ เช่น สกุล Vipera ที่พบในทวีปยุโรปออกหากินในเวลากลางวัน แต่สกุล Cerastes ที่พบในทะเลทรายออกหากินในเวลากลางคืน โดยมีพฤติกรรมทั้งหากินในระดับพื้นดินและบนต้นไม้ในระดับต่ำ เช่น สกุล Atheris เป็นต้น กินอาหารซึ่งได้แก่ สัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก ขยายพันธุ์ได้ทั้งแบบวางไข่และออกลูกเป็นตัว มีทั้งสิ้น 12 สกุล 65 ชนิด กระจายไปในทวีปยุโรป, แอฟริกา, เอเชีย สำหรับในประเทศไทยพบเพียงชนิดเดียว คือ งูแมวเซา (Daboia russellii) ซึ่งเป็นงูที่มีพิษร้ายแรงมากในการทำลายระบบโลหิต และจัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Daboia.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยงูแมวเซา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยงูโบอา

วงศ์ย่อยงูโบอา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Boinae; Boa, Anaconda) เป็นวงศ์ย่อยของงูไม่มีพิษในวงศ์ Boidae มีลักษณะโดยรวม คือ กระดูกพรีฟรอนทัลชิ้นซ้ายและขวามีขอบด้านในอยู่ชิดกันหรือแตะกัน มีแอ่งรับคลื่นความร้อนอินฟราเรดกระจายอยู่รอบขอบปากบนและล่าง เป็นงูที่มีขนาดใหญ่ ขนาดเล็กที่สุด คือ ชนิด Candoia aspera ที่มีขนาดความยาว 60-90 เซนติเมตร และใหญ่ที่สุด คือ Eunectes murinus หรืองูอนาคอนดาเขียว ที่ยาวได้ถึง 11.5 เมตร น้ำหนักกว่า 250 กิโลกรัม แต่ว่าในยุคก่อนประวัติศาสตร์มีงูในวงศ์ย่อยนี้อยู่ชนิดหนึ่ง คือ ไททันโอโบอา แซร์อาโฮนเอนซิส (Titanoboa cerrejonensis) ซึ่งได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว มีความยาวได้ถึง 13 หรือ 15 เมตร และอาจมีน้ำหนักได้มากถึง 2 ตัน ซึ่งนับว่าใหญ่และหนักกว่างูอนาคอนดาที่พบได้ในยุคปัจจุบันนี้มาก ค้นพบครั้งแรกเป็นซากดึกดำบรรพ์ในประเทศโคลอมเบีย เมื่อปี ค.ศ. 2007 มีทั้งหมด 28 ชนิด 5 สกุล โดยแพร่ขยายพันธุ์ด้วยการออกลูกเป็นตัวทั้งสิ้น จำนวนลูกที่คลอดแต่ละครั้งจะแตกต่างออกไปตามแต่ละสกุลและชนิด โดยสกุล Cadoia ซึ่งเป็นสกุลที่มีขนาดเล็กจะตกลูกครั้งละ 5-6 ตัว แต่ในขณะที่สกุล Eunectes หรือที่รู้จักดีในชื่อ งูอนาคอนดา ซึ่งมีขนาดใหญ่จะตกลูกได้ถึงครั้งละ 40 ตัวหรือมากกว่านั้น หรือสกุล Boa ที่ตกลูกได้ถึงครั้งละ 60-70 ตัว เป็นงูที่ล่าเหยื่อได้แก่ นกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมด้วยการใช้การรับรู้จากอินฟราเรดจากตัวเหยื่อด้วยการเข้ารัดเหมือนงูในวงศ์ Pythonidae พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทวีปอเมริกาใต้, เกาะมาดากัสการ์ และหมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยงูโบอา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยงูเขียว

ำหรับงูเขียวจำพวกอื่น ดูที่: งูเขียวหางไหม้ วงศ์ย่อยงูเขียว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Colubrinae) เป็นวงศ์ย่อยของงูในวงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง (Colubridae) ซึ่งนับเป็นวงศ์ใหญ่ที่มีจำนวนของงูในโลกนี้ประมาณร้อยละ 70 โดยในวงศ์ย่อยงูเขียวนี้ ก็ถือเป็นวงศ์ที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในวงศ์งูพิษเขี้ยวหลังอีกเช่นกัน มีความหลากหลายและความต้องการทางนิเวศวิทยาและพฤติกรรมหลากหลายที่สุด อีกทั้งไม่มีลักษณะจำเฉพาะที่จะใช้ระบุได้ โดยมีสกุลประมาณ 100 สกุล (ดูในตาราง) ประมาณ 650 ชนิด แพร่กระจายอยู่ทั่วโลก ยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกาและเกาะบางเกาะในมหาสมุทรเท่านั้นที่ไม่มีงูในวงศ์ย่อยนี้ โดยชนิดที่ตัวเล็กที่สุด คือ Tantilla reticta ที่มีความยาวลำตัวประมาณ 16-19 เซนติเมตร และใหญ่ที่สุดคือ Ptyas carinatus ที่มีความยาว 3.7 เมตร ส่วนมากขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ มีน้อยมากที่ออกลูกเป็นตัว มีหลายชนิดที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเนื่องจากมีสีสันที่สวยงามและอุปนิสัยไม่ดุร้าย รวมทั้งมีพิษอ่อนหรือไม่มีพิษเลย อาทิ งูคิงเสน็ก (Lampropeltis spp.) หรืองูคอนสเน็ก (Pantherophis guttatus) ที่พบในทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกากลาง เป็นต้น ส่วนในประเทศไทย งูในวงศ์ย่อยนี้ โดยมากจะถูกเรียกชื่อสามัญว่างูเขียว (ยกเว้น งูเขียวหางไหม้ ซึ่งอยู่ในวงศ์ Viperidae) มีอยู่ประมาณ 74 ชนิด อาทิ งูเขียวปากแหนบ (Ahaetulla nasuta), งูเขียวปากจิ้งจก (A. prasina), งูเขียวปากจิ้งจกมลายู (A. mycterizans), งูเขียวดอกหมาก (Chrysopelea ornata), งูแม่ตะงาว (Boiga multimaculata), งูปล้องทอง (B. dendrophila), งูพงอ้อท้องเหลือง (Calamaria pavimentata) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยงูเขียว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยตะพาบ

วงศ์ย่อยตะพาบ (Soft-shelled turtle) เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับเต่า ในวงศ์ใหญ่ Trionychidae หรือ ตะพาบ ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trionychinae ลักษณะโดยรวมของตะพาบในวงศ์ย่อยนี้ คือ กระดูกฮัยโปพลาสทรอนไม่เชื่อมรวมกับกระดองท้อง และกระดองท้องไม่มีแผ่นกระดูกบริเวณต้นขา มีขนาดตั้งแต่ความยาวกระดองประมาณ 20-25 เซนติเมตร ไปจนถึง 1.5 เมตร หรือเกือบ ๆ 2 เมตร น้ำหนักนับร้อยกิโลกรัม มีพฤติกรรมหากินและอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นท้องน้ำ ว่ายน้ำเพื่อแสวงหาอาหาร เนื่องจากมีลำตัวแบนราบจึงว่ายน้ำได้ดี หรืออาจใช้วิธีการฝังตัวอยู่ใต้โคลนหรือทรายใต้พื้นน้ำเพื่อรอเหยื่อเข้ามาใกล้ บางครั้งอาจฝังตัวในแหล่งน้ำตื้นแล้วโผล่มาแค่ส่วนปลายหัวเพื่อหายใจรวมทั้งใช้ผิวหนังแลกเปลี่ยนแก๊สได้ อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น แม่น้ำ, ทะเลสาบ, คลอง มีเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่พบอาศัยอยู่ในลำธารบนภูเขาด้วย แพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่ทวีปอเมริกาเหนือ, แอฟริกากลางไปจนถึงแอฟริกาตะวันตก, ทางใต้ของเอเชียไปจนถึงญี่ปุ่น และเกาะนิวกินี มีประมาณ 20 ชนิด ใน 10 สกุล ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยตะพาบ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยตะพาบหับ

วงศ์ย่อยตะพาบหับ (Flap-shelled turtle) เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับเต่า ในวงศ์ Trionychidae หรือตะพาบ ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cyclanorbinae ลักษณะโดยรวมของตะพาบในวงศ์ย่อยนี้คือ กระดูกฮัยโปพลาสทรอนเชื่อมรวมกับกระดองท้อง และกระดองท้องมีแผ่นกระดูกบริเวณต้นขา มีขนาดกระดองตั้งแต่ 30-60 เซนติเมตร จึงจัดเป็นตะพาบขนาดเล็ก อาศัยอยู่ในน้ำจืดและหากินตามพื้นล่างของแหล่งน้ำ ว่ายน้ำเพื่อเสาะแสวงหาอาหารหรือฝังตัวอยู่ในโคลนเพื่อรอเหยื่อให้เข้ามาใกล้ กินได้ทั้งสัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น กุ้ง, ปู หรือหอย พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่แถบซาฮาราและแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ และอนุทวีปอินเดีย สำหรับในประเทศไทยมีตะพาบในวงศ์ย่อยนี้เพียงชนิดเดียว คือ ตะพาบหับพม่า แบ่งออกได้เป็น 6 ชนิด ใน 3 สกุล ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยตะพาบหับ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลาพีค็อกแบส

วงศ์ย่อยปลาพีค็อกแบส (Peacock bass) เป็นวงศ์ย่อยของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cichlinae (/ซิค-ลิค-เน่/) เป็นปลากินเนื้อ ที่มีขนาดแตกต่างออกไปตั้งแต่ 1 เมตร จนถึงขนาดเพียงไม่กี่เซนติเมตร มีลำตัวเรียวยาว กรามแข็งแรง กระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้ แบ่งออกเป็นสกุลต่าง ๆ ได้ 3 สกุล ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลาพีค็อกแบส · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลากระดี่

วงศ์ย่อยปลากระดี่ เป็นวงศ์ย่อยของปลาน้ำจืดในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Luciocephalinae สมาชิกในวงศ์ย่อยนี้ ประกอบไปด้วยสกุลต่าง ๆ ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลากระดี่ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลากะรัง

วงศ์ย่อยปลากะรัง หรือ วงศ์ย่อยปลาเก๋า (Groupers) เป็นวงศ์ย่อยของปลากระดูกแข็งทะเลในวงศ์ Serranidae หรือ ปลากะรัง หรือปลาเก๋า ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Epinephelinae ลักษณะโดยทั่วไปมีลำตัวสั้นและแบนทางด้านข้าง เกล็ดขนาดเล็ก ปากกว้างและมักมีฟันเขี้ยวตรงปลายปาก ขนาดโดยทั่วไป 30-60 เซนติเมตร ยกเว้นบางชนิดที่มีขนาดใหญ่ได้ถึง 3 เมตร พื้นลำตัวอาจมีจุด บั้ง ลายเส้นตามยาวบ้าง ตามขวางบ้างแตกต่างกันไป สีส่วนใหญ่มีสีน้ำตาล และบางชนิดมีสีสันสะดุดตาเป็นสีแดง ครีบหลังเริ่มต้นด้วยครีบแข็ง ตามด้วยครีบอ่อนเป็นรูปมนมาจรดโคนหาง และรับกับครีบทวารด้านล่าง ส่วนครีบหางมักเป็นรูปพัดโค้งหรือรูปตัด การดำรงชีวิตส่วนใหญ่ของปลากะรัง อาศัยอยู่ใกล้พื้นทะเลที่อาจเป็นดินโคน ดินทราย และมักหลบซ่อนอยู่ตามกองวัสดุใต้น้ำและซอกปะการัง อย่างไรก็ตามในสภาพธรรมชาติสามารถเปลี่ยนสีของลำตัวให้เข้มหรือจางได้ เพื่อให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ นอกจากนี้ในแต่ละระยะของการเจริญเติบโต สีและลวดลายบนตัวปลาอาจเปลี่ยนแปลงไปตามวัย เช่น ในวัยระยะรุ่นอาจมีคาดตามขวางเด่นชัด แต่เมื่อโตเต็มวัยคาดตามขวางจะค่อย ๆ เลื่อนหายไป เป็นต้น เป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยนิยมนำมาบริโภคเป็นปลาเศรษฐกิจ ที่มาของชื่อ "ปลากะรัง" เชื่อว่า มาจากสภาพแวดล้อมที่อาศัยตามแนวปะการังหรือกะรัง นั่นเอง ส่วนคำว่า "grouper" มาจากภาษาโปรตุเกสคำว่า garoupa จากอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลากะรัง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลากะรังจิ๋ว

วงศ์ย่อยปลากะรังจิ๋วหรือ วงศ์ย่อยปลาทองทะเล (Basslet, Anthias) เป็นวงศ์ย่อยของปลากระดูกแข็งทะเลในวงศ์ Serranidae หรือ วงศ์ปลากะรัง หรือปลาเก๋า ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anthiinae เป็นปลาที่มีขนาดเล็กที่สุดในวงศ์ มีสีสันสดใส มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ยไม่เกิน 15 เซนติเมตร อาศัยอยู่เป็นฝูงในแนวปะการัง โดยมีตัวผู้เป็นจ่าฝูง เป็นปลาที่ไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ แต่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลากะรังจิ๋ว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลากัด

วงศ์ย่อยปลากัด (Fighting fish & Paradise fish) เป็นวงศ์ย่อยของปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ที่มีอวัยวะหายใจลักษณะคล้ายเขาวงกต ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macropodusinae เป็นปลาขนาดเล็ก เมื่อโตเต็มที่แล้วไม่เกินนิ้วมือของมนุษย์ จัดเป็นวงศ์ย่อยที่มีความหลากหลายที่สุดของวงศ์ใหญ่นี้ เป็นปลาที่มีสีสันสวยงาม โดยเฉพาะตัวผู้ จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยสมาชิกที่เป็นที่รู้จักกันดีของวงศ์ย่อยนี้ คือ ปลากัด มีพฤติกรรมการวางไข่ทั้งก่อหวอดและอมไข่ พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์และเอเชียตะวันออก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลากัด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลาสอด

วงศ์ย่อยปลาสอด (Livebearer) เป็นวงศ์ย่อยของปลาน้ำจืด ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliidae) ในอันดับปลาออกลูกเป็นตัว หรืออันดับปลาหัวตะกั่ว (Cyprinodontiformes) ใช้ชื่อวงศ์ย่อยว่า Poeciliinae ปลาในวงศ์ย่อยนี้ ล้วนแต่เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัวทั้งหมด ยกเว้นในสกุล Tomeurus เท่านั้นที่เป็นปลากึ่งวางไข่ ทั้งหมดแพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่ตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกา, อเมริกากลาง, แคริบเบียน และทวีปอเมริกาใต้ สามารถอาศัยได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำกร่อ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลาสอด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลาหมอสี

วงศ์ย่อยปลาหมอสี เป็นวงศ์ย่อยของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cichlasomatinae ปลาที่ถูกจัดให้อยู่ในวงศ์ย่อยนี้ เป็นปลาที่พบแพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่รัฐเท็กซัส ในตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา, หมู่เกาะแคริบเบียน, อเมริกากลาง จนถึงอเมริกาใต้ โดยแบ่งได้ทั้งหมด 37 สกุล.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลาหมอสี · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลาหมอสีแอฟริกา

วงศ์ย่อยปลาหมอสีแอฟริกา (African cichlid) เป็นวงศ์ย่อยของปลาน้ำจืดและปลาน้ำกร่อยกระดูกแข็งในวงศ์ Cichlidae หรือปลาหมอสี ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseudocrenilabrinae เป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ภูมิภาคตะวันออกกลางจนถึงแอฟริกากลาง สามารถแบ่งออกได้เป็นเผ่าต่าง ๆ หลายเผ่า และหลายสกุล โดยแหล่งที่พบที่ใหญ่ที่สุด คือ ทะเลสาบมาลาวี และทะเลสาบแทนกันยีกา รวมถึงทะเลสาบวิกตอเรีย ซึ่งเป็นปลาที่ใช้รับประทานเป็นอาหารในท้องถิ่น และส่งออกไปจำหน่ายเป็นปลาเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ซึ่งปลาในวงศ์นี้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ปลาไจแอนท์แทนกันยีกา (Boulengerochromis microlepis) ที่มีความยาวได้ถึง 90 เซนติเมตร ก็อยู่รวมในวงศ์ย่อยนี้ด้วย ปลาที่อยู่ในวงศ์ย่อยนี้มีความหลากหลายมากมายทั้งสกุล และชนิด (คาดว่ามีประมาณ 1,900 ชนิด และ 400 ชนิด กินสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ และสาหร่ายหรือตะไคร่น้ำเป็นอาหาร) มีพฤติกรรมความเป็นอยู่แตกต่างกันออกไป หลายสกุล หลายชนิดวางไข่ไว้ในเปลือกหอยฝาเดียว บางชนิดก็แทะเล็มตะไคร่น้ำและสาหร่ายตามโขดหินเป็นอาหาร ด้วยฟันขนาดเล็ก ๆ แหลมคมหลายชุด ที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งทำให้มีการกินอาหารแตกต่างกันไป เช่น กัด, ขูด, ดูด และกลืน บางชนิดก็ล่าปลาขนาดเล็กและปลาหมอสีด้วยกันเป็นอาหาร ด้วยการอยู่นิ่ง ๆ กับที่ หรือฝังตัวอยู่ใต้ทราย หรือแม้กระทั่งแกล้งทำเป็นตาย ด้วยการหยุดการทำงานของช่องเหงือกเพื่อหายใจ บางชนิดก็กินเกล็ดปลาอื่นเป็นอาหาร ขณะที่หลายชนิดมีพฤติกรรมฟักลูกปลาไว้ในปาก แต่ก็ต้องเลี้ยงลูกจำพวกอื่นไปด้วย เช่น ปลาหนังขนาดใหญ่บางชนิด โดยเฉพาะในวงศ์ปลากดคัดคู (Mochokidae) โดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นไม่ใช่ลูกของตัว และลูกปลาหนังนั้นก็จะกินลูกปลาหมอสีขณะที่อยู่ในปากด้วยMutant Planet: African Rift Valley Lakes, "Mutant Planet".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลาหมอสีแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลาหมอจำปะ

วงศ์ย่อยปลาหมอจำปะ (Combtail gourami) เป็นวงศ์ย่อยของปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง มีชื่อวงศ์ว่า Belontiinae ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) ซึ่งมีอยู่เพียงสกุลเดียวเท่านั้น คือ Belontia (/เบ-ลอน-เทีย-อา/) โดยมาจากชื่อหมู่บ้านเบลออนท์จา (Belontja) ซึ่งเป็นหมู่บ้านในเมืองปาเลมบังในประเทศอินโดนีเซีย มีรูปร่างโดยรวมเหมือนปลากัดผสมกับปลาหมอ แต่มีลำตัวแบนข้างและกว้างมากกว่า ครีบหางมนกลม ครีบท้องเล็ก ครีบหลังใหญ่และแหลม ครีบอกมีก้านครีบเดี่ยวยื่นออกมาเป็นเส้นยาว ปลายของครีบหลังและครีบก้นยื่นออกมาเป็นเส้นเดี่ยว ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยว 16-20 ก้าน และก้านครีบแขนง 9-13 แขนง ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยว 13-17 ก้าน และก้านครีบแขนง 10-13 ก้าน ลำตัวจะมีสีน้ำตาลเหลืองคล้ำหรือน้ำตาลแดง มีขนาดความยาวตั้งแต่ 5 นิ้ว จนถึง 20 เซนติเมตร ทำรังโดยตัวผู้ก่อหวอดเหมือนปลากัดหรือปลากระดี่ ตัวมีขนาดใหญ่และสีสดกว่าตัวเมีย พบเพียง 2 ชนิดเท่านั้น คือ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลาหมอจำปะ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลาหมอเอิร์ธอีเตอร์

วงศ์ย่อยปลาหมอเอิร์ธอีเตอร์ (Eath-eater) เป็นวงศ์ย่อยของวงศ์ปลาหมอสี (Cichilidae) ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Geophaginae ปลาที่อยู่ในวงศ์ย่อยนี้ มีลักษณะโดยรวม คือ เป็นปลาที่กระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้ มีส่วนหัวและปากที่โค้งงอลงด้านล่าง เพื่อใช้ปากสำหรับคุ้ยเขี่ยหาอาหารตามพื้นท้องน้ำ และรวมถึงปลาหมอแคระในหลายสกุลด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลาหมอเอิร์ธอีเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลาออสการ์

วงศ์ย่อยปลาออสการ์ เป็นวงศ์ย่อยของปลาน้ำจืดขนาดกลาง ค่อนไปทางใหญ่วงศ์ย่อยหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ใช้ชื่อวงศ์ย่อยว่า Astronotinae เป็นปลากินเนื้อเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้ เป็นปลาที่ชนพื้นเมืองใช้รับประทานเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลาออสการ์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลาผีเสื้อติดหิน

วงศ์ย่อยปลาผีเสื้อติดหิน หรือ วงศ์ย่อยปลาซัคเกอร์ผีเสื้อ (Flat loach) เป็นวงศ์ย่อยของปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ใช้ชื่อวงศ์ว่า Balitorinae (/บา-ลิ-ทอร์-นิ-นี่/) ในวงศ์ Balitoridae ซึ่งมีจำนวนสมาชิกอยู่ด้วยกันหลากหลายมากมาย หลายร้อยชนิด สำหรับปลาในวงศ์ย่อยนี้ จะพบกระจายพันธุ์ในดินแดนที่เป็นหมู่เกาะ เช่น บอร์เนียว เป็นต้น มีจำนวนสกุลในวงศ์นี้ ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลาผีเสื้อติดหิน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลาค้อ

วงศ์ย่อยปลาค้อ (Hillstream loach) เป็นวงศ์ย่อยของปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nemacheilinae (/นี-มา-ไคล-ลิ-นี่/) ในวงศ์ Balitoridae ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 วงศ์ย่อย และมีจำนวนสมาชิกมากมายหลายร้อยชนิด สำหรับปลาที่อยู่ในวงศ์ย่อยนี้ จะแตกต่างไปจากวงศ์ย่อย Balitorinae กล่าว คือ จะพบได้ในดินแดนส่วนที่เป็นแผ่นดินใหญ่ เช่น ประเทศไทย มากกว่า สำหรับสกุลในวงศ์นี้ ก็มีมากกว่า ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลาค้อ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลาซิว

วงศ์ย่อยปลาซิว (Danionin) เป็นวงศ์ย่อยของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ซึ่งถือเป็นวงศ์ใหญ่ มีสมาชิกต่าง ๆ ในวงศ์นี้ทั่วโลกมากกว่า 2,000 ชนิด ใช้ชื่อวงศ์ว่า Danioninae ปลาในวงศ์ย่อยนี้ มักมีขนาดเล็ก โดยเรียกในชื่อสามัญว่า ปลาซิว หรือ ปลาแปบ มีลักษณะโดยทั่วไป คือ ส่วนใหญ่ลำตัวมีสีเงิน สันท้องกลมไม่เป็นสัน หรือบางชนิดสันท้องคม ส่วนหัวมักอยู่ในแนวเฉียงกับลำตัว ส่วนใหญ่มีปมที่ปลายของขากรรไกรล่าง หรือบางชนิดไม่มี ปากเฉียงขึ้นหรืออยู่ในตำแหน่งตรง มีฟันในหลอดคอ 1-3 แถว ก้านครีบเดี่ยวของครีบหลังไม่แข็ง ปกติมีจำนวนก้านครีบที่แตกปลาย 7 ก้าน มักอยู่ในตำแหน่งทางด้านท้ายของลำตัวหรือหลังจุดเริ่มต้นของครีบท้อง บางชนิดไม่มีหนวด บางชนิดมีหนวด มีซอกเกล็ดเฉพาะที่ฐานของครีบท้อง เส้นข้างลำตัวสมบูรณ์โค้งลงทางด้านล่างและสิ้นสุดต่ำกว่ากึ่งกลางคอดหาง ตามข้อมูลของมหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดให้ปลาที่อยู่ในวงศ์ย่อยนี้มีทั้งหมด 30 สกุล (ดูในตาราง) แต่ตามข้อมูลของผู้ช่วยศาสตราจารย์ อภินันท์ สุวรรณรักษ์ แห่งคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้จัดให้มีสกุลเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ซึ่งเป็นปลาที่สามารถพบได้ในประเทศไทย ได้แก่ Aaptosyax, Aspidoparia, Boraras, Brachydanio, Leptobarbus, Macrochirichthys, Opsariichthys, Oxygaster และThryssocypris ทั้งนี้เนื่องจากจำนวนวงศ์ย่อยของปลาในวงศ์ปลาตะเพียนนี้ ยังไม่มีข้อยุติแน่นอน โดยนักมีนวิทยาและนักอนุกรมวิธานในแต่ละท่าน ก็จะจัดแตกต่างกันออกไป เช่น วอลเตอร์ เรนโบธ ได้แบ่งวงศ์ย่อยออกเป็นทั้งสิ้น 4 วงศ์ย่อย เมื่อปี ค.ศ. 1996 ได้แก่ Alburninnae, Danioninae, Leuciscinae และCyprininae เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลาซิว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลาแรด

วงศ์ย่อยปลาแรด (Giant gouramis) เป็นวงศ์ย่อยของปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ Osphroneminae ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 1 สกุล 4 ชนิด (ดูในตาราง) มีลักษณะร่วมกันคือ ลำตัวป้อมและแบนข้าง เกล็ดสากมือเป็นรูปหยัก มีก้านครีบท้องคู่แรกเป็นเส้นเรียวยาวคล้ายหนวด ใช้สำหรับสัมผัส ปลายหางมนกลม ปากแหลม ริมฝีปากหนา ภายในปากมีฟันซี่เล็ก ๆ แหลมคมเรียงอยู่ภายใน ส่วนหัวเล็กและป้าน เมื่อโตขึ้นมาโดยเฉพาะในปลาตัวผู้จะมีโหนกนูนขึ้นมาเรื่อย ๆ จนดูคล้ายนอแรด อันเป็นที่มาของชื่อ โคนหางมีจุดสีดำคล้ำอยู่ทั้ง 2 ข้าง เมื่อโตขึ้นจุดดังกล่าวจะหายไป เป็นปลาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ แต่จะกินพืชเป็นอาหารหลัก นิสัยก้าวร้าวพอสมควร และเป็นปลาที่มีความสามารถพิเศษคือ สามารถฮุบอากาศจากผิวน้ำได้โดยตรง เนื่องจากมีอวัยวะพิเศษที่อยู่ในช่องเหงือกช่วยในการหายใจ อีกทั้งยังสามารถเก็บความชื้นไว้ได้เมื่อถูกจับพ้นน้ำ มีขนาดโตเต็มที่ราว 90 เซนติเมตร ในชนิด Osphronemus goramy ซึ่งนับว่าเป็นปลาในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) ที่ใหญ่ที่สุด พบกระจายอยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในส่วนที่เป็นแผ่นดินใหญ่ และที่เป็นหมู่เกาะ ชอบอาศัยในแหล่งน้ำนิ่งและน้ำไหลเอื่อย ๆ มีพืชน้ำขึ้นรก มีทั้งหมด 4 ชนิด (ดูในตาราง).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลาแรด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลาเลียหิน

วงศ์ย่อยปลาเลียหิน (Algae eater, Stone lapping) เป็นวงศ์ย่อยของวงศ์ Cyprinidae หรือวงศ์ปลาตะเพียน ซึ่งเป็นวงศ์ใหญ่ ในอันดับปลากินพืช (Cypriniformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Labeoninae (/ลา-เบ-โอ-นี-เน/) โดยรวมแล้ว ปลาในวงศ์ย่อยนี้ มีรูปร่างเรียวยาว ลำตัวทรงกระบอก ครีบหลังยกสูงและไม่มีก้านครีบแข็ง ลักษณะสำคัญ คือ ปากจะงุ้มลงด้านล่าง มีริมฝีปากบนหนาและแข็ง ในบางสกุลจะมีตุ่มเล็ก ๆ คล้ายสิวกระจายอยู่บนนั้น ในหลายชนิดมีหนวดอยู่ 1 คู่ โดยเป็นปลาที่ใช้ปากในการดูดกินตะไคร่น้ำ, สาหร่าย และแพลงก์ตอนสัตว์ขนาดเล็ก บริเวณพื้นน้ำหรือโขดหิน, ตอไม้ ใต้น้ำ เป็นอาหาร มักพบกระจายพันธุ์ทั้งในลำธารน้ำเชี่ยว และแหล่งน้ำขนาดใหญ่ มักอาศัยอยู่รวมเป็นฝูง ขนาดแตกต่างกันออกไปตั้งแต่เพียงไม่เกิน 10 เซนติเมตร จนถึงเกือบ 1 เมตร กระจายพันธุ์ทั่วไปทั้งทวีปเอเชียและแอฟริก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลาเลียหิน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยปลาเขือ

วงศ์ย่อยปลาเขือ หรือ วงศ์ย่อยปลาบู่เขือ (Worm goby, Eel goby) เป็นวงศ์ย่อยของวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Amblyopinae ปลาในวงศ์ย่อยนี้ มีรูปร่างโดยรวมคือ มีลำตัวเรียวยาวคล้ายงูหรือปลาไหลมากกว่าปลาบู่ อาศัยอยู่ในโคลน ครีบหลังสองตอนเชื่อมต่อกันโดยโครสร้างเนื้อเยื่อ ตาลดรูปลงจนมีขนาดเล็ก เนื่องจากไม่ได้ใช้ประโยชน์ มีลำตัวสีชมพู, สีแดง หรือสีม่วง แบ่งออกได้เป็น 23 ชนิด ใน 12 สกุล.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยปลาเขือ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยนกคอพัน

นกคอพัน (Wrynecks) เป็นวงศ์ย่อยของนกจำพวกหนึ่ง ในวงศ์นกหัวขวาน (Picidae) ใช้ชื่อวงศ์ย่อยว่า Jynginae มีอยู่เพียงสกุลเดียว คือ Jynx นกคอพัน เป็นนกหัวขวานที่ไม่สามารถที่จะเกาะต้นไม้ในแบบแนวตั้งได้เหมือนนกหัวขวานจำพวกอื่น เนื่องจากไม่มีขนหางที่แข็งใช้ในการทรงตัวได้เหมือนนกหัวขวานอื่น ๆ อีกทั้งยังมีจะงอยปากที่สั้นไม่สามารถที่จะใช้เจาะต้นไม้ได้ด้วย แต่ก็มีลิ้นที่ยาวและมีน้ำลายที่เหนียวใช้ตวัดกินแมลงต่าง ๆ ได้เหมือนนกหัวขวานทั่วไป แต่นกคอพันมีพฤติกรรมชอบหากินตามพื้นดินมากกว่า โดยแมลงชนิดที่ชอบกิน คือ มด ซึ่งเป็นแมลงที่อยู่ตามพื้นดิน จึงมักลงมาหากินตามพื้นดินด้วยการกระโดดไปเป็นจังหวะ ๆ และหยุดดูมดตามร่องของพื้นดิน เหตุที่ได้ชื่อสกุลว่า Jynx เนื่องจากสามารถที่จะบิดลำคอไปข้าง ๆ ได้เหมือนงู ได้เกือบ 180 องศา เหมือนกับมีเวทมนตร์หรือเป็นผู้วิเศษ นกคอพัน จัดเป็นนกขนาดเล็ก กระจายพันธุ์อยู่ในแถบยูเรเชีย, ทวีปยุโรป และเอเชียตะวันออก เป็นนกที่อพยพหนีหนาวมาบ้างในประเทศไทย ในช่วงฤดูหนาว แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ ภาพเคลื่อนไหวการบิดคอของนกคอพัน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยนกคอพัน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยนกเดินดง

วงศ์ย่อยนกเดินดง (Chat & Thrush) เป็นวงศ์ย่อยของนกเกาะคอน ในวงศ์นกจับแมลงและนกเขน (Muscicapidae) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Saxicolinae (เดิมเคยถูกอยู่ในวงศ์ Turdidae หรือ Turdinae) เป็นนกที่มีขนาดเล็กมากจนถึงขนาดเล็ก (13-30 เซนติเมตร) ขอบปลายจะงอยปากเปนรอยบากเล็กนอย รูจมูกเปนรูปไขและมักไมมีขนปกคลุม มุมปากมีขนแข็ง หางสั้นกวาปกแตบางชนิดยาวเทากัน แขงยาวและแข็งแรง นิ้วในเปนอิสระ นิ้วนอกและนิ้วกลางเชื่อมติดกันเล็กนอย ที่บริเวณโคนนิ้ว อาหารไดแก แมลง, สัตวไมมีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก, สัตวเลื้อยคลาน และผลไม บางชนิดลงมาหาอาหารตามพื้นดิน ทํารังเปนรูปถวย โดยใชกิ่งไม ใบไมและใบหญาเปนวัสดุ สวนใหญจะทํารังตามงามไม ลูกนกแรกเกิดชวยเหลือตัวเองไมไดเลย ไมมีขนดาวนปกคลุมตัว ยังไมลืมตาและขาไมแข็งแรง ในระยะแรกพอแมยังตองกกและหาอาหารมาปอนให นกในวงศ์นี้แบ่งออกได้ทั้งสิ้นประมาณ 30 สกุล Del Hoyo, J.; Elliot, A. & Christie D. (editors).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยนกเดินดง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยนกเป็ดน้ำ

วงศ์ย่อยนกเป็ดน้ำ (Teal, Dabbling duck) เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์ปีกจำพวกเป็ด หรือนกเป็ดน้ำวงศ์หนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ใหญ่ Anatidae ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anatinae หรือจัดอยู่ในเผ่า Anatini เป็ดที่อยู่ในวงศ์ย่อยนี้มีลักษณะไม่ต่างอะไรกับสมาชิกที่อยู่ในวงศ์ใหญ่ คือ มีจะงอยปากแบนและตรงปลายปากงุม ตีนมีพังผืด นิ้วเรียว นิ้วหลังคอนขางเล็กและเปนนิ้วตางระดับ บินไดเกง สวนใหญเปนนกอพยพยายถิ่น นอกจากนี้แล้วยังสามารถที่จะว่ายน้ำหรือดำน้ำได้อีกด้วยตีนที่เป็นพังผื.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยนกเป็ดน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยแกะและแพะ

วงศ์ย่อยแกะและแพะ เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่ (Artiodactyla) ในวงศ์ใหญ่ Bovidae ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Caprinae ลักษณะที่สำคัญของวงศ์นี้ คือจะมีเขาในทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่ตัวผู้จะมีเขาที่ใหญ่และตันกว่า ใช้สำหรับต่อสู้กันเพื่อแย่งตัวเมียในฤดูผสมพันธุ์ และป้องกันตัว ลักษณะของเขา เช่นความคมและความโค้งของเขา จะแตกต่างกันไปในแต่ละชนิด ตัวผู้มักมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียราวร้อยละ 20-30 ตัวเมียจะมีเต้านม 2 หรือ 4 เต้า และจะมีขนที่หนานุ่มตลอดทั้งลำตัว ลักษณะกีบเท้าจะมีการพัฒนาให้มีลักษณะพิเศษ คือ มีแผ่นกีบที่มีความหนา และมีความชื้นมาก เพื่อสะดวกในการป่ายปีนที่สูง เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีนิเวศวิทยาอยู่รวมกันเป็นฝูงและอาศัยอยู่บนภูเขา, หน้าผา หรือที่ราบสูง สามารถแบ่งออกได้เป็นสกุล 12 สกุล ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยแกะและแพะ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยแมว

วงศ์ย่อยแมว หรือ วงศ์ย่อยเสือเล็ก (Cats) เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อ ในวงศ์แมว (Felidae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Felinae ลักษณะโดยรวมของสัตว์ในวงศ์ย่อยนี้ คือ เป็นเสือขนาดเล็กหรือชื่อสามัญนิยมเรียกว่า "แมว" มีลักษณะเด่น คือ ตีนมีซองหุ้มเล็บ แต่กระดูกกล่องเสียงไม่มีแถบเส้นเสียง จึงคำรามไม่ได้ จึงร้องได้แต่เป็นเสียงธรรมดา โดยขนาดใหญ่ที่สุด คือ เสือชีตาห์ ที่พบในทวีปแอฟริกา (บางข้อมูลก็จัดให้แยกเป็นวงศ์ย่อยออกไป) และสิงโตภูเขา ที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ สัตว์ในวงศ์ย่อยนี้ที่เก่าที่สุดที่มีการบันทึกไว้ได้ คือ Felis attica ที่สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคไมโอซีนยุคสุดท้าย (9 ล้านปีก่อน) ในแถบยูเรเชียตะวันตก เป็นวงศ์ย่อยที่แยกออกมาจากวงศ์ Pantherinae หรือเสือใหญ่ หรือเสือที่คำรามได้ เมื่อ 11.5 ล้านปีก่อน กระโดดขึ้น ↑.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยแมว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยแอลลิเกเตอร์

วงศ์ย่อยแอลลิเกเตอร์ (วงศ์: Alligatorinae) เป็นวงศ์ย่อยของวงศ์ Alligatoridae ซึ่งเป็นวงศ์ใหญ่ของอันดับจระเข้ (Crocodylia) มีลักษณะเฉพาะคือ มีกระดูกฮัยออยด์เป็นชิ้นเรียวแคบ ช่องเปิดจมูกเป็นช่องคู่ เดิมเคยมีจำนวนสมาชิกที่หลากหลาย แต่ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ในปัจจุบันเหลือเพียงแค่ 2 ชนิดเท่านั้น และอยู่ในสกุลเดียว คือ Alligator คือ แอลลิเกเตอร์อเมริกัน (A. mississippiensis) และแอลลิเกเตอร์จีน (A. sinensis) แอลลิเกเตอร์อเมริกัน จัดเป็นแอลลิเกเตอร์ขนาดใหญ่ ที่เมื่อโตเต็มที่แล้วยาวได้ถึง 4 เมตร โดยมีขนาดเฉลี่ย 2.1 เมตร พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปตามแหล่งน้ำต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา เช่น หนอง, บึง หรือลุ่มแม่น้ำต่าง ๆ ส่วนแอลลิเกเตอร์จีนเป็นขนาดเล็กกว่ามาก ปัจจุบันอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์มากแล้ว พบได้เฉพาะในลุ่มแม่น้ำแยงซีของจีนแผ่นดินใหญ่ในภาคตะวันออกเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยแอลลิเกเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยเพียงพอน

วงศ์ย่อยเพียงพอน หรือ วงศ์ย่อยวีเซล เป็นวงศ์ย่อยของวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Mustelinae เป็นวงศ์ที่แยกออกมาจากวงศ์ Lutrinae หรือ นาก สมาชิกในวงศ์ย่อยนี้เหมือนกับวงศ์เพียงพอน ได้แก่ วีเซล, มาร์เทิน, วูล์ฟเวอรีน หรือมิงค์ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยเพียงพอน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยเสือใหญ่

วงศ์ย่อยเสือใหญ่ หรือ วงศ์ย่อยเสือ (Panther, Big cat) เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อ ในวงศ์เสือและแมว (Felidae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pantherinae ลักษณะโดยรวมของสัตว์ในวงศ์ย่อยนี้ คือ เป็นเสือขนาดใหญ่ ที่อุ้งตีนมีซองหุ้มเล็บได้ทั้งหมด ในลำคอมีกระดูกกล่องเสียงชิ้นกลางดัดแปลง มีลักษณะเป็นแถบเส้นเอ็นสั่นไหวได้ดี จึงสามารถใช้ส่งเสียงร้องดัง ๆ ได้ ที่เรียกว่า คำราม จากการศึกษาพบว่า วงศ์ย่อยนี้แยกออกมาจากวงศ์ย่อย Felinae เมื่อ 60 ล้านปีก่อน และจากการวิเคราะห์ดีเอ็นเอพบว่า เสือดาวหิมะ เป็นรากฐานของเสือในวงศ์ย่อยนี้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีจีโนมที่แตกต่างกันของเสือและแมวในวงศ์นี้ โดยเสือที่อยู่ในวงศ์ย่อยนี้ แบ่งออกได้เป็น 3 สกุล 7 ชนิด พบกระจายพันธุ์ทั้งในทวีปเอเชียและแอฟริกา และพบเพียงชนิดเดียวในทวีปอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยเสือใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยเหยี่ยว

วงศ์ย่อยเหยี่ยว เป็นวงศ์ย่อยของนกล่าเหยื่อประเภทเหยี่ยว และอินทรี ใช้ชื่อวงศ์ว่า Accipitrinae อยู่ในวงศ์เหยี่ยวและอินทรี (Accipitridae) มีลักษณะทั่วไปไม่ต่างกับนกที่อยู่ที่วงศ์ใหญ่ ทั่วโลกพบทั้งสิ้น 4 สกุล 55 ชนิด (ในข้อมูลเก่าจำแนกออกเป็น 64 สกุล ในประเทศไทยพบ 21 สกุล).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยเหยี่ยว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ย่อยเป็ดแดง

วงศ์ย่อยเป็ดแดง (Whistling duck, Tree duck) เป็นวงศ์ย่อยของนกจำพวกนกเป็ดน้ำวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Dendrocygninae (หรือ Dendrocygnidae) จัดอยู่ในวงศ์ใหญ่ Anatidae ลักษณะของเป็ดในวงศนี้คือ ปากยาวกวาหัว ไมมีรอยขีดดานบนของปาก รูจมูกอยูเกือบโคนปาก ปลายปกมน ขนปลายปกเสนนอกสุดสั้นกวาเสนที่ 4 เมื่อนับจากดานนอก หางมน ขายาว เวลาบินขา เหยียดพนปลายหาง แขงเปนเกล็ดแบบเกล็ดรางแห นิ้วหลังไมมีพังผืดและมักยาวประมาณ 1 ใน 3 ของแขง มีลำคอยาวกว่าเป็ดในวงศ์อื่น ๆ และมักยืดคออยู่เสมอ ๆ จึงมีลักษณะโดยรวมเหมือนหงส์ แต่ย่อขนาดลงมา และเป็นเป็ดเพียงไม่กี่จำพวกที่ทำรังบนต้นไม้ โดยที่คำว่า Dendro หมายถึง "ต้นไม้" และ cygnus หมายถึง "หงส์".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ย่อยเป็ดแดง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ลิงลม

วงศ์ลิงลม (Lorisid; Kukang) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับไพรเมตวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Lorisidae (หรือ Loridae) สมาชิกในวงศ์นี้ที่เป็นที่รู้จักกันดี ประกอบไปด้วย ลิงลม หรือ นางอาย, ลิงลมเรียว, พอตโต, อังวานต.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ลิงลม · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ลิงใหญ่

ลิงใหญ่ หรือ โฮมินิด (Hominid, Great ape) เป็นวงศ์หนึ่งในทางอนุกรมวิธานของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานร (Primates) จำพวกเอป หรือลิงไม่มีหาง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hominidae ซึ่งในปัจจุบันนี้มีดำรงเผ่าพันธุ์อยู่เพียง 4 สกุล คือ Pan, Gorilla, Homo และPongo ลักษณะสำคัญของวงศ์นี้ คือ มีฟันเขี้ยวขนาดเล็กและอยู่ในระดับเดียวกับฟันอื่น ๆ เดินด้วยขาหลัง 2 ขา เนื่องจากเปลี่ยนวิถีชีวิตจากบนต้นไม้มาสู่พื้นดิน เดิมเคยเชื่อว่าในวงศ์นี้ ประกอบไปด้วยสกุล 3 สกุล คือ Ramapithecus, Australopithecus และ Homo แต่จากการศึกษาเพิ่มเติมพบว่า Ramapithecus มีลักษณะคล้ายลิงอุรังอุตังมากกว่า Australopithecus และHomo จึงจัดให้อยู่ในวงศ์ย่อย Ponginae ของลิงอุรังอุตัง ในวงศ์นี้ ชนิดที่ทราบว่าสูญพันธุ์ไปแล้วจำนวนหนึ่งถูกจัดกลุ่มกับมนุษย์ในวงศ์ย่อย Homininae ส่วนชนิดอื่น ๆ ถูกจัดในวงศ์ย่อย Ponginae กับลิงอุรังอุตัง บรรพบุรุษร่วมกันหลังสุดของลิงใหญ่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 14 ล้านปีก่อน เมื่อบรรพบุรุษของลิงอุรังอุตังวิวัฒนามาจากบรรพบุรุษของอีก 3 ชนิดที่เหลือDawkins R (2004) The Ancestor's Tale.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ลิงใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ลิงโลกเก่า

ลิงโลกเก่า (Old world monkey) คือ ลิงที่อยู่ในวงศ์ Cercopithecidae ในวงศ์ใหญ่ Cercopithecoidea ซึ่งแบ่งออกได้เป็นอีก 2 วงศ์ย่อย ลิงโลกเก่า คือ ลิงที่อยู่ในบริเวณซีกโลกที่เรียกว่า โลกเก่า คือ ทวีปเอเชีย, แอฟริกา และยุโรป ซึ่งลิงกลุ่มนี้มีลักษณะโดยรวม คือ ไม่มีหางยาวสำหรับการยึดเหนี่ยว ขณะเดียวกันกลับมีการพัฒนานิ้วหัวแม่มือให้หันเข้าหากัน สามารถพับหัวแม่มือเข้าหาฝ่ามือได้ เพื่อช่วยในการจับสิ่งของ มีฟันกราม 2 ซี่ เช่นเดียวกับมนุษย์ ปัจจุบันมีความสามารถในการมองเห็นได้ดีมาก สันนิษฐานว่าลิงโลกเก่าอาจเป็นบรรพบุรุษของเอป หรือลิงไม่มีหาง.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ลิงโลกเก่า · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์วัวและควาย

วงศ์วัวและควาย เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในอันดับสัตว์กีบคู่ (Artiodactyla) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bovidae จัดเป็นสัตว์กินพืช ลักษณะเด่นของสัตว์ในวงศ์นี้ จะมีเขาที่ไม่มีการแตกกิ่ง ไม่มีการหลุดหรือเปลี่ยนในตลอดช่วงอายุขัย มีกระเพาะอาหารแบ่งเป็น 4 ห้องหรือ 4 ส่วน และมีการหมักย่อย โดยการหมักของกระเพาะอาหารจะอาศัยแบคทีเรียในท่อทางเดินอาหาร โดยส่วนใหญ่ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ในกระเพาะอาหารจะอยู่ที่ 6.7+0.5 มีถุงน้ำดี นอกจากนั้นสัตว์ในตระกูลนี้สามารถสำรอก อาหารออกมาจากกระเพาะหมัก เพื่อทำการเคี้ยวใหม่ได้ ที่เรียกว่า "เคี้ยวเอื้อง" ลูกที่เกิดใหม่จะใช้เวลาไม่นานในการเดินและวิ่งได้ อันเนื่องจากการวิวัฒนาการเพื่อให้เอาตัวรอดจากสัตว์กินเนื้อที่เป็นผู้ล่าในห่วงโซ่อาหาร สัตว์ที่อยู่ในวงศ์นี้ เป็นสัตว์ที่มนุษย์คุ้นเคยและผูกพันอย่างดีในฐานะเป็นสัตว์เศรษฐกิจและปศุสัตว์ ได้แก่ วัว, ควาย, แพะ, แกะ เป็นต้น สำหรับสัตว์ป่า มีการกระจายพันธุ์ไปในทุกทวีปทั่วโลก ยกเว้นทวีปออสเตรเลีย ในแอฟริกาและบางส่วนของทวีปเอเชีย จะมีบางชนิดที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับกวาง (Cervidae) เช่น อิมพาลาหรือแอนทีโลป แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นสัตว์ในวงศ์นี้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์วัวและควาย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์วาฬแกลบ

วงศ์วาฬแกลบ หรือ วงศ์วาฬอกร่อง (Rorqual; การออกเสียง) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ ในอันดับวาฬและโลมา (Cetacea) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Balaenopteridae จัดเป็นวาฬบาลีน หรือวาฬไม่มีฟันวงศ์หนึ่ง ลักษณะเด่นของวาฬในวงศ์นี้คือ มีครีบหลังรูปสามเหลี่ยมอยู่ส่วนท้ายลำตัวและช่วงท้อง และลักษณะเด่นอีกประการ คือ จากใต้คางลงไปมีลักษณะเป็นร่อง ๆ ถี่ ๆ ยาวไปตามลำตัว 30-100 ร่อง เรียกว่า "Rorqual" เป็นวาฬที่มีขนาดใหญ่ น้ำหนักมีตั้งแต่ 150 ตัน จนถึงขนาดเล็กที่สุด 9 ตัน เป็นวาฬที่มีหวีกรองในปาก คือ บาลีน จึงกินอาหารได้แต่เพียงขนาดเล็ก เช่น แพลงก์ตอน, เคย และปลาขนาดเล็ก เช่น ปลากะตัก, ปลาแฮร์ริ่ง เป็นต้น พบได้ในทะเลเปิดและมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ติดต่อสื่อสารกันด้วยคลื่นเสียงและโซนาร์ ตัวเมียมีระยะเวลาตั้งท้องนานประมาณ 11-12 เดือน เมื่อคลอดลูกอ่อนจะออกมาจากช่องคลอดของแม่ โดยส่วนหางออกมาก่อน เพื่อให้ส่วนของช่องหายใจเป็นส่วนสุดท้ายที่ออกมาสัมผัสน้ำทะเล และสามารถว่ายน้ำได้ทันที โดยโผล่ขึ้นมาสูดอากาศหายใจครั้งแรกในทันทีที่คลอด ลูกแรกเกิดมีขนาดใหญ่ประมาณร้อยละ 40 ของแม่ ซึ่งเป็นตัวเต็มวั.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์วาฬแกลบ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์หมาน้ำ

ำหรับหมาน้ำที่เป็นซาลาแมนเดอร์ชนิดอื่น ดูที่: อะโซล็อต สำหรับหมาน้ำที่เป็นกบและคางคก ดูที่: จงโคร่ง และเขียดว้าก วงศ์หมาน้ำ (Mudpuppy, Waterdog) เป็นวงศ์ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกซาลาแมนเดอร์วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Proteidae ลักษณะโดยรวมของซาลาแมนเดอร์ในวงศ์นี้ คือ มีโครงสร้างรูปร่างที่ยังคงรูปร่างของซาลาแมนเดอร์ขณะยังเป็นวัยอ่อนอยู่เมื่อเจริญเติบโตเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ เช่น ไม่มีเปลือกตา มีเหงือกขนาดใหญ่และมีช่องเปิดเหงือก 2 ช่อง มีแผ่นครีบหาง และมีลักษณะสำคัญที่แตกต่างจากซาลาแมนเดอร์วงศ์อื่น ๆ คือ ไม่มีกระดูกแมคซิลลา เช่นเดียวกับไซเรน (Sirenidae) และมีโครโมโซมจำนวน 38 (2n) แท่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าซาลาแมนเดอร์วงศ์อื่น มีปอดแต่มีขนาดเล็ก โดยทั่วไปมีรูปร่างราวเรียวยาว ความยาวลำตัวประมาณ 20-48 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในน้ำตลอดเวลา โดยจะอาศัยเฉพาะแหล่งน้ำที่ใสสะอ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์หมาน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์หอยหนาม

วงศ์หอยหนาม(Muricidae) เป็นหอยที่มีหลายขนาดตั้งแต่เล็กถึงใหญ่กินหอยด้วยกันเป็นอาหาร โดยทั่วไปอาศัยอยู่ในทะเล และอยู่ในชั้นแกสโทรโพดามีสปีชีส์มากกว่า 1,600สปีชีส์ และยังมีฟอสซิลอีก 1,200ชนิดหอยในวงศ์นี้มีรูปร่างลักษณะเปลือกที่แปลกตาและสวยงามทำให้เป็นที่ชืนชอบในการนำมาเก็บสะสม.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์หอยหนาม · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์หอยจุกพราหมณ์

วงศ์หอยจุกพราหมณ์ หรือ วงศ์หอยสังข์ทะนาน (Volute, วงศ์: Volutidae) เป็นวงศ์ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในไฟลัมมอลลัสคา ชั้นหอยฝาเดี่ยว (Gastopoda) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Volutidae เป็นหอยที่พบในทะเลเท่านั้น มีจุดเด่น คือ ที่ปลายของเปลือกหรือก้นหอย ขมวดเป็นเกลียวกลมคล้ายมวยผมของพราหมณ์ นักบวชในศาสนาฮินดู หอยจุกพราหมณ์ เป็นหอยที่กินหอยจำพวกอื่นเป็นอาหาร มีขนาดของเปลือกยาวตั้งแต่ 9-500 มิลลิเมตร ส่วนใหญ่ไม่มีท่อน้ำออก พบในเขตร้อนและเขตขั้วโลก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์หอยจุกพราหมณ์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์หอยขม

หอยขม หรือภาษาในบางท้องถิ่นเรีอกว่า หอยจุ๊บ หรือหอยดูด เป็นที่รู้จักกันดีและมีขายในตลาดทั่วไป เป็นหอยฝาเดียวที่พบเฉพาะในแหล่งน้ำจืดเท่านั้น นิยมนำมาทำอาหาร เช่น แกงคั่วหอยขม แกงอ่อมหอยขม และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยส่วนมากจะพบจากแหล่งธรรมชาติ โดยชาวบ้านในท้องที่เก็บมาขาย หรือพบบริเวณบ่อเลี้ยงปลา ซึ่งเป็นผลพลอยได้สำหรับเจ้าของบ่อเลี้ยงปลา แต่ในปัจจุบันมีการทำฟาร์มเพื่อการเพาะเลี้ยงหอยขมในกระชังโดยเฉพาะ หอยขมเป็นสัตว์ที่มีความอดทนต่อสภาพแวดล้อม เลี้ยงง่าย เจริญเติบโตเร็ว และขยายพันธุ์เร็ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์หอยขม · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์หนู

วงศ์หนู (Rat, Mice, Mouse; วงศ์: Muridae) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมวงศ์หนึ่ง ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Muridae นับเป็นสัตว์ที่มนุษย์รู้จักกันเป็นอย่างดี และนับเป็นวงศ์ของสัตว์ฟันแทะที่มีความหลากหลายและจำนวนสมาชิกมากที่สุดด้วย ด้วยมีจำนวนสมาชิกมากกว่า 700 ชนิด ตั้งแต่อาร์กติกเซอร์เคิลจนถึงปลายสุดของทวีปอเมริกาใต้ โดยยังแบ่งออกเป็นวงศ์ย่อยได้อีก 5 วงศ์ (ดูในตาราง).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์หนู · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์หนูทุ่ง

วงศ์หนูทุ่ง เป็นวงศ์ของสัตว์ฟันแทะขนาดเล็กจำพวกหนูวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อว่า Cricetidae เป็นวงศ์ที่มีสมาชิกหลากหลายมากมาย อาทิ แฮมสเตอร์, แฮมสเตอร์แคระ, หนูเลมมิ่ง, หนูทุ่ง ซึ่งยังสามารถแยกออกเป็นวงศ์ย่อย ๆ ได้อีก (ในบางข้อมูลจัดให้เป็นวงศ์เดียวกับ Muridae) หนูในวงศ์นี้มีประมาณ 600 ชนิด กระจายพันธุ์ไปในหลายพื้นที่ของโลก โดยเฉพาะในซีกโลกใหม่ และยังพบได้ที่ ยุโรป และเอเชีย เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก โดยขนาดเล็กที่สุด คือ หนูแคระโลกใหม่ มีขนาดยาวประมาณ 5–8 เซนติเมตร (2.0–3.1 นิ้ว) และน้ำหนักประมาณ 7 กรัม (0.25 ออนซ์) จนถึงขนาดใหญ่ที่สุด คือ หนูมัสก์ ที่ยาว 41–62 เซนติเมตร (16–24 นิ้ว) และมีน้ำหนัก 1,100 กรัม (39 ออนซ์) หางมีความเรียวยาวไม่มีขนและมีเกล็ด มีขนาดที่แตกต่างกันออกไป ใช้สำหรับทรงตัวและเกาะเกี่ยวได้โดยเฉพาะหนูที่อาศัยอยู่ในท้องทุ่ง หรือพื้นที่เกษตรกรรม ขนส่วนใหญ่มีสีน้ำตาลและส่วนท้องสีขาว แต่ก็มีสีต่าง ๆ แตกต่างกันไปได้ เช่นเดียวกับหนูในวงศ์ Muridae คือ พบได้แทบทุกภูมิประเทศที่มีความแตกต่างหลากหลาย ตั้งแต่อาร์กติกเซอร์เคิล, ท้องทุ่ง, ทะเลทรายที่แห้งแล้ง, บ้านเรือนของมนุษย์ หรือพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยปกติเป็นสัตว์ที่กินเมล็ดพืชเป็นอาหาร แต่ก็กินอาหารได้หลากหลายมาก เช่น เนื้อสัตว์, ซากสัตว์, อาหารที่กินเหลือ, แมลง เป็นต้น ฟันมีลักษณะเป็นฟันแทะที่งอกใหม่ได้ตลอดเวลา ในอัตราปีละ 5 นิ้ว เป็นฟันที่มีความแข็งแรง ซึ่งทำให้แทะได้แม้แต่สายไฟ หรือฝาผนังปูนซีเมนต์ สามารถเขียนเป็นสูตรฟันได้ว่า เป็นสัตว์ที่มีระบบเผาพลาญพลังงานหรือแมตาบอลิซึมเร็วมาก ในวันหนึ่งหัวใจเต้นได้เร็วมาก ถึงขนาดเมื่อเทียบกับหัวใจของช้างจะเท่ากับหัวใจของช้างเต้นถึง 70 ปี จึงเป็นสัตว์ที่มีความตื่นตัว ว่องไวตลอดเวลา โดยจะกินอาหารแทบทุกชั่วโมง โดยวันหนึ่ง สามารถกินอาหารได้มากถึงร้อยละ 40 ของน้ำหนักตัว เทียบเท่ากับมนุษย์กินซีเรียลมากถึงวันละ 80 กล่อง และเมื่อไปถึงที่ไหนมักจะถ่ายฉี่ไว้ ซึ่งเป็นการปล่อยฟีโรโมน รวมถึงการถ่ายมูลทิ้งไว้ด้วย Mouse: A Secret Life, "Animal Planet Showcase" สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์หนูทุ่ง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์อิกัวนา

วงศ์อิกัวนา (Iguana) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานประเภทกิ้งก่าวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อว่า Iguanidae มีลักษณะเด่น คือ ทุกชนิดมีรยางค์ขา มีเกล็ดปกคลุมด้านหลังและด้านท้องของลำตัว บางชนิดมีเกล็ดขนาดใหญ่และเรียงตัวซ้อนเหลื่อมกันและบางชนิดมีเกล็ดขนาดเล็กและเรียงตัวต่อเนื่องกัน ไม่มีกระดูกในชั้นหนัง กระดูกหัวไหล่มีกระดูกอินเตอร์คลาวิเคิลเป็นรูปตัวที (T) และมีกระดูกไหปลาร้ารูปร่างโค้ง ส่วนใหญ่มีหางยาวและบางชนิดสามารถปล่อยให้หลุดจากลำตัวได้ แต่ตำแหน่งในการปล่อยหางไม่แน่นอน พื้นผิวด้านนอกของลิ้นมีตุ่ม ฟันที่ขากรรไกรเกาะติดกับร่องที่ขอบด้านในของกระดูก กระดูกพเทอรีกอยด์มีฟันหรือไม่มีฟัน วงศ์อิกัวนาแบ่งออกได้เป็น 8 วงศ์ย่อย แบ่งออกได้เป็น 44 สกุล และพบมากกว่า 672 ชนิด โดยชนิดที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ อิกัวนาเขียว (Iguana iguana) ที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง และอิกัวนาทะเล (Amblyrhynchus cristatus) ที่อาศัยอยู่ตามเกาะต่าง ๆ ในหมู่เกาะกาลาปากอ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์อิกัวนา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์อึ่งกราย

วงศ์อึ่งกราย (Asian toads) เป็นวงศ์ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ในอันดับกบ (Anura) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Megophryidae มีลักษณะเด่น คืิอ มีกระดูกสันหลังหน้ากระดูกก้นกบ 8 ปล้อง กระดูกสันหลังมีเซนทรัมเป็นแบบอย่างของแอมฟิซีลัส กระดูกหัวไหล่เป็นแบบอย่างของอาร์กซิฟเอรัล กระดูกแอสทรากาลัสและกระดูกแคลคาเนียมเชื่อมรวมกันเฉพาะส่วนต้นและส่วนปลาย ไม่มีชิ้นกระดูกแทรกระหว่างกระดูกนิ้ว 2 ชิ้นสุดท้าย ผิวหนังลำตัวมีต่อมเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้แล้วหลายชนิดของทั้งตัวผู้และตัวเมียยังมีกลุ่มของต่อมบริเวณขาหนีบและซอกขาหน้า มีขนาดตัวตั้งแต่ 2-12 เซนติเมตร อาศัยอยู่บนพื้นล่างของป่าหรือบริเวณใกล้ลำห้วยหรือลำธาร ส่วนใหญ่มีสีลำตัวกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม วางไข่ในแหล่งน้ำ โดยขณะผสมพันธุ์ตัวผู้จะกอดรัดตัวเมียในตำแหน่งเอว ลูกอ๊อดมีรูปร่างและโครงสร้างของปากแตกต่างกัน บางสกุลมีปากเป็นรูปกรวยและไม่มีจะงอยปาก รวมทั้งไม่มีตุ่มฟัน อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนิ่ง แต่ขณะที่บางสกุลมีคุณสมบัติแตกต่างจากเหล่านี้สิ้นเชิง และอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำเชี่ยว เป็นต้น แพร่กระจายพันธุ์อยู่เฉพาะทวีปเอเชีย เช่น จีน, ปากีสถาน, อินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, หมู่เกาะฟิลิปปิน และเกาะสุมาตรา ในประเทศไทยพบประมาณ 25 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์อึ่งกราย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์อึ่งอ่าง

อึ่งอ่าง หรือ อึ่ง เป็นวงศ์ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในอันดับกบ (Anura) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Microhylidae ลักษณะโดยรวมของสัตว์ในวงศ์นี้ คือ ตัวเต็มวัยจะมีสันพาดตามขวางที่เพดานปาก 2-3 สัน และส่วนต้นของท่อลมยืดยาวขึ้นมาที่พื้นล่างของอุ้งปาก มีกระดูกสันหลังหน้ากระดูกก้นกบมี 8 ปล้อง แต่ในบางชนิดจะมี 7 ปล้อง กระดูกสันหลังมีเซนทรัลเป็นแบบอย่างของโพรซีลัสหรือเป็นแบบอย่างของไดพลาสิโอซีลัส ลูกอ๊อดส่วนใหญ่มีช่องปากเล็กและซับซ้อน ไม่มีจะงอยปากและไม่มีตุ่มฟันในปาก ช่องเหงือกมีช่องเดียวอยู่ทางด้านท้ายตัวและในแนวกลางลำตัว กินอาหารแบบกรองกิน แต่ในบางชนิดจะมีฟันและมีจะงอยปาก มีขนาดลำตัวแตกต่างกันมาก ตั้งแต่ 1 เซนติเมตร จนถึง 10 เซนติเมตร อาศัยทั้งอยู่บนบก, ในน้ำ และบนต้นไม้ ลำตัวมีรูปร่างแตกต่างไปกันหลากหลายตามสภาพแวดล้อมที่อาศัย เช่น ชนิดที่อาศัยบนต้นไม้จะมีส่วนปลายของนิ้วขยายออกเป็นตุ่ม ชนิดที่อาศัยอยู่ในโพรงดินจะมีลำตัวแบนราบและหัวกลมหลิม เป็นต้น มีรูปแบบการผสมพันธุ์ที่หลากหลาย ในบางชนิดมีการอาศัยแบบเกื้อกูลกันกับแมงมุมด้วย โดยอาศัยในโพรงเดียวกัน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์อึ่งอ่าง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์อ้น

วงศ์อ้น หรือ วงศ์หนูตุ่น (Mole rat, Bamboo rat) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์ฟันแทะวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Spalacidae (/สปา-ลา-ซิ-ดี/) จัดเป็นสัตว์ฟันแทะขนาดกลาง มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับหนูตะเภาหรือตุ่น ซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่ต่างอันดับกัน มีการดำรงชีวิตคล้ายกับตุ่น คือ ขุดโพรงอยู่ใต้ดิน ในโพรงมีทางเข้าออกหลายทาง ซึ่งในโพรงนั้นเป็นแบ่งเป็นห้อง ๆ ทั้งที่อยู่อาศัย, เลี้ยงดูลูกอ่อน และเก็บสะสมอาหาร และไม่รวมฝูงกับสัตว์ฟันแทะในวงศ์อื่น กินอาหารจำพวกรากพืชชนิดต่าง ๆ และพืชบางประเภท เช่น ไผ่ ในเวลากลางคืน มีลักษณะโดยรวม คือ มีขาสั้น มีหัวกะโหลกที่กลมสั้น มีกล้ามเนื้อคอที่แข็งแรง ฟันหน้าใหญ่ และดวงตาเรียวเล็ก กรงเล็บหน้าขยายใหญ่โตมากใช้สำหรับขุดดิน หูและหางมีขนาดเล็กมาก หรือบางชนิดไม่มีเลย สัตว์ในวงศ์นี้ มีอายุการตั้งท้องแตกต่างออกไปตามแต่ละชนิด แต่ลูกอ่อนเมื่อเกิดออกมาตาจะยังไม่ลืม และขนจะยังไม่ปกคลุมลำตัว จะยังดูดนมแม่เป็นเวลาหลายเดือน ก่อนจะแยกออกไป แต่ในบางชนิด ก็จะแยกตัวออกไปทันที พบกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย ตั้งแต่ไซบีเรีย, เอเชียกลาง, เอเชียตะวันออก, เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในทวีปแอฟริกา แบ่งออกได้เป็นวงศ์ย่อย ๆ ได้ 3 วงศ์ 6 สกุล (ดูในตาราง) พบประมาณ 37 ชนิดCorbet, Gordon (1984).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์อ้น · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์จิ้งจกและตุ๊กแก

วงศ์จิ้งจกและตุ๊กแก (Gecko) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับย่อยกิ้งก่า (Lacertilia) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Gekkonidae เป็นวงศ์ที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีในชื่อสามัญว่า "จิ้กจก" และ "ตุ๊กแก" มีลักษณะโดยรวม คือ ส่วนมากมีขาเห็นได้ชัดเจน ยกเว้นในวงศ์ย่อยบางวงศ์ในออสเตรเลียที่ไม่มีขา ผิวหนังของลำตัวมีเกล็ดขนาดเล็กปกคลุมและอาจมีตุ่มกระจายอยู่บ้าง ไม่มีกระดูกในชั้นหนังทางด้านหลังของลำตัว แต่บางชนิดอาจจะมีกระดูกในชั้นหนังทางด้านท้องของลำตัว กระดูกหัวไหล่มีกระดูกอินเตอร์คลาวิเคิลเป็นรูปตัวที และกระดูกไหปลาร้าเป็นรูปหักมุม สามารถสะบัดหางให้หลุดจากลำตัวได้เพื่อหลอกศัตรูที่มาคุกคาม โดยตำแหน่งที่ปล่อยหางหลุดนั้นอยู่ทางด้านท้ายของก้านกระดูกทางด้านข้างของกระดูกสันหลังส่วนหางทุกปล้อง พื้นผิวด้านบนมีลิ้นมีตุ่มกลม ฟันที่ขากรรไกรเกาะติดกับร่องที่ขอบด้านในของกระดูกขากรรไกร กระดูกพเทอรีกอยด์ไม่มีฟัน เป็นวงศ์ที่มีขนาดใหญ่ โดยยังแบ่งออกได้เป็นวงศ์ย่อยอีก 4 วงศ์ (ดูในตาราง) มีจำนวนสมาชิกในวงศ์มากมายถึงเกือบ 1,000 ชนิด และ 109 สกุล ซึ่งจำนวนนี้ยังไม่แน่นอน เนื่องจากมีการสำรวจพบเจอชนิดใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ มีเพียงไม่สกุลเท่านั้น เช่น Hoplodacatylus ที่ตกลูกเป็นตัว ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของวงศ์นี้ที่เป็นที่รับรู้อย่างดีของมนุษย์ คือ เสียงร้อง อันเป็นที่มาของชื่อสามัญและชื่อวิทยาศาสตร์ที่ใช้เรียก สัตว์เลื้อยคลานในวงศ์นี้โดดเด่นมากในการส่งเสียงร้อง โดยมีแผ่นเยื่อกำเนิดเสียงและกล่องเสียงจึงทำให้เกิดเสียงได้ และด้วยความซับซ้อนมากกว่าเสียงที่เกิดจากการผลักดันอากาศออกทางจมูกหรือปาก ในตัวผู้ของหลายชนิดใช้เสียงในการประกาศอาณาเขตตลอดจนใช้ดึงดูดตัวเมีย โดยเป็นเสียงร้องที่สั้นและมักร้องซ้ำ ๆ และติดต่อกันหลายครั้ง แม้ว่าส่วนใหญ่เสียงร้องอาจจะคล้ายคลึงกันแต่ชนิดที่ต่างกันแม้อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกันก็มีเสียงที่ต่างกัน โดยทั่วไปตัวผู้จะส่งเสียงร้องไปยังทิศทางที่มีตัวผู้ตัวอื่นหรือมีตัวเมียอยู่ตรงนั้น แต่บางครั้งก็อาจส่งเสียงร้องได้โดยไม่มีทิศทาง ในสกุล Ptenopus ที่พบในแอฟริกา เมื่ออกจากโพรงในช่วงใกล้ค่ำและส่งเสียงร้องประสานกันคล้ายกับเสียงร้องของกบ นอกจากนี้แล้วในบางชนิดจะมีเสียงร้องอย่างจำเพาะระหว่างแสดงพฤติกรรมปกป้องอาณาเขต และเป็นเสียงร้องช่วงยาวมากกว่าเสียงร้องที่ใช้ในเวลาทั่วไป ซึ่งเสียงร้องเตือนนี้นอกจากจะใช้ร้องเตือนสัตว์ประเภทเดียวกันที่มาเข้าใกล้ ยังร้องเตือนสัตว์ที่ใหญ่ รวมถึงมนุษย์ได้ด้วย โดยทั้งตัวผู้และตัวเมียจะส่งเสียงร้องได้เท่ากัน โดยเฉพาะเสียงร้องประกาศอาณาเขตนี้ โดยชนิดที่มีเสียงร้องที่ซับซ้อนและหลากหลายที่สุด คือ ตุ๊กแกบ้าน (Gekko gecko) เพราะมีเสียงที่ขึ้นต้นด้วยพยางค์เดียวที่ร้องถี่ ๆ ติดกันหลายครั้งแล้วตามด้วยเสียงร้องที่เป็น 2 พยางค์ นอกจากนี้แล้วลักษณะพิเศษเฉพาะที่สำคัญอีกประการของสัตว์เลื้อยคลานวงศ์นี้ คือ สามารถเกาะติดกับผนังได้เป็นอย่างดี โดยไม่หล่นลงมา ด้วยหลักของสุญญากาศที่บริเวณใต้ฝ่าเท้าทั้ง 4 ด้าน โดยเป็นแผ่นหนังที่เรียงตัวต่อกัน ซึ่งแผ่นหนังแต่ละแผ่นมีเส้นขนจำนวนมากและแต่ละเส้นนั้นยาวประมาณ 60-90 ไมครอน เรียกว่า "เซต้า" ซึ่งส่วนปลายของขนนั้นแตกแขนงและขยายออกเป็นกลุ่ม การเรียงตัวของแผ่นหนังและรายละเอียดของเส้นขนนี้ใช้ในการอนุกรมวิธานแยกประเภท แต่ในหลายสกุลก็ไม่อาจจะเกาะติดกับผนังได้ วงศ์จิ้งจกและตุ๊กแกนี้กระจายไปอยู่ทุกมุมโลก ยกเว้นในเขตขั้วโลก มีทั้งหากินในเวลากลางวันและกลางคืน เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มนุษย์รู้จักเป็นอย่างดี เพราะสามารถพบเห็นได้ทั่วไปแม้กระทั่งในบ้านเรือน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์จิ้งจกและตุ๊กแก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์จิ้งเหลนน้อยหางยาว

วงศ์จิ้งเหลนน้อยหางยาว หรือ วงศ์สางห่า (Wall lizard, True lizard, Old world runner, Lacertid lizard) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับ Squamata หรืองูและกิ้งก่า ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lacertidae มีลักษณะโดยรวม คือ ทุกชนิดของวงศ์นี้มีขา เกล็ดปกคลุมลำตัวมีขนาดแตกต่างกัน เกล็ดปกคลุมลำตัวด้านหลังและทางด้านข้างแปรผันตั้งแต่มีขนาดใหญ่และเรียบและเรียงซ้อนตัวเหลื่อมกันหรือมีขนาดเล็กเป็นตุ่มและมีสัน เกล็ดด้านท้องเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ และเรียงตัวต่อเนื่องกันหรือเรียงตัวซ้อนเหลื่อมกัน ไม่มีกระดูกในชั้นหนัง กระดูกหัวไหล่มีกระดูกอินเตอร์ควาวิเคิลเป็นรูปโค้งและกระดูกไหปลาร้าเป็นรูปหักมุม หางยาว สามารถปล่อยหางหลุดจากลำตัวได้เพื่อหลบหนีศัตรู พื้นผิวด้านบนของลิ้นเป็นตุ่มยาว ฟันที่ขากรรไกรเกาะติดกับร่องที่ขอบด้านในของกระดูกขากรรไกร กระดูกเทอรีกอยด์มีฟันหรือไม่มีฟัน เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีขนาดเล็ก ตั้งแต่ 4 เซนติเมตรจนถึงมีขนาดใหญ่สุดไม่เกิน 12 เซนติเมตร ส่วนมากอาศัยและหากินบนพื้นดินในเวลากลางวัน หรือไม่ก็อาศัยในไม้พุ่มหรือต้นไม้ในระดับเตี้ย ๆ ส่วนมากกินแมลงเป็นอาหาร บางชนิดกินเมล็ดพืชเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในพื้นที่ ๆ ที่เป็นโลกเก่า คือ ทวีปยุโรป, แอฟริกา และเอเชีย จนถึงอินเดียตะวันออก มีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกับกิ้งก่าในวงศ์ Teiidae ที่พบในโลกใหม่ เนื่องจากมีนิเวศวิทยา, พฤติกรรม ตลอดจนแบบแผนการสืบพันธุ์คล้ายคลึงกัน พบประมาณ 220 ชนิด แบ่งออกได้เป็น 37 สกุล (ขณะที่บางข้อมูลระบุว่า 27 สกุล หรือแม้แต่ 5 สกุล).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์จิ้งเหลนน้อยหางยาว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ทัวทารา

วงศ์ทัวทารา (Tuatara) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับทัวทารา (Rhynchocephalia) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sphenodontidae ลักษณะทั่วไปของสัตว์เลื้อยคลานในวงศ์นี้ คือ มีลำตัวป้อม หัวและหางมีขนาดใหญ่ ฟันมีขนาดค่อนข้างใหญ่และมีรูปร่างแตกต่างกัน โดยมีฟันเขี้ยวอยู่ที่ส่วนนห้าสุดของกระดูกแมคซิลลาและกระดูกเดนทารี นอกจากนั้นยังมีฟันที่กระดูกพาลาทีนอีกด้วย ซึ่งลักษณะเช่นนี้จะไม่พบในกิ้งก่า ตัวฟันเกาะติดกับพื้นผิวกระดูกโดยตรง กะโหลกมีช่องเปิดบริเวณขมับ 2 ช่องแต่ยังคงมีกระดูกเทมเพอรัล ไม่มีกระดูกในชั้นหนัง ไม่มีแผ่นแก้วหู ทางด้านท้ายของช่องทวารร่วมมีถุงขนาดเล็กหนึ่งคู่ซึ่งเป็นโครงสร้างที่จะวิวัฒนาการไปเป็นถุงพีนิสคู่ในสัตว์เลื้อยคลานอันดับ Squamata สามารถปล่อยหางหลุดจากลำตัวได้ เป็นสัตว์ที่ประชากรส่วนใหญ่ในวงศ์สูญพันธุ์หมดไปแล้ว ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันเหลือเพียง 2 ชนิด ใน 1 สกุลเท่านั้น ที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ ซึ่งจะพบได้เฉพาะในนิวซีแลนด์เท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ทัวทารา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ดาซีพร็อกทิแด

วงศ์ดาซีพร็อกทิแด (Dasyproctidae) เป็นวงศ์ของสัตว์ฟันแทะในทวีปอเมริกาใต้ ประกอบด้วย 3 สกุล ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ดาซีพร็อกทิแด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ครึ่งหมา

วงศ์ครึ่งหมา (Hemicyonidae) หรือ วงศ์สัตว์ครึ่งหมา เป็นวงศ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ถิ่นอาศัยเก่าคือยุโรป อเมริกาเหนือ แอฟริกา และ เอเชีย ยุคออลิโกซีนจนกระทั่งยุคไมโอซีน เคยมีชีวิตเป็นเวลา 33.9–5.3 ล้านปี นักวิชาการบางคนจัดวงศ์ครึ่งหมาเป็นวงศ์แยก หรือบางคนจัดเป็นวงศ์ย่อยของหมี.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ครึ่งหมา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์คางคก

วงศ์คางคก (Toads, True toads; อีสาน: คันคาก) เป็นวงศ์ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในอันดับกบ (Anura) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bufonidae (/บู-โฟ-นิ-ดี/) ลักษณะทั่วไปของคางคก คือ ลูกอ๊อดทั้งตัวผู้และตัวเมียตัวเต็มวัยมีอวัยวะบิดเดอร์อยู่ด้านหน้าของอัณฑะ ซึ่งเป็นรังไข่ขนาดเล็กที่เจริญมาจากระยะเอมบริโอและยังคงรูปร่างอยู่ แฟทบอดีส์อยู่ในช่องท้องบริเวณขาหนีบ กระดูกของกะโหลกเชื่อมต่อกันแข็งแรง รวมทั้งเชื่อมกับกระดูกในชั้นหนังที่ปกคลุมหัว ไม่มีฟันทั้งในขากรรไกรบนและล่าง และถือเป็นเพียงวงศ์เดียวเท่านั้นในอันดับกบที่ไม่มีฟัน มีกระดูกสันหลังหน้ากระดูกก้นกบ 5-8 ปล้อง กระดูกสันหลังมีเซนทรัมเป็นแบบอย่างของไพรซีลัส คางคก เป็นสัตว์ที่รู้กันโดยทั่วไปว่า มีพิษ ที่ผิวหนังเป็นปุ่มตะปุ่มตะป่ำตลอดทั้งตัว โดยมีต่อมพิษอยู่ที่เหนือตา เรียกว่า ต่อมพาโรติค เป็นที่เก็บและขับพิษออกมา เรียกว่า ยางคางคก มีลักษณะเป็นเมือกสีขาวคล้ายน้ำนม โดยส่วนประกอบของสารพิษ คือ สารบูโฟท็อกซิน มีผลต่อการกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ทำให้หัวใจบีบตัว และในส่วนอื่น ๆ ของคางคกยังมีพิษอีกทั้งผิวหนัง, เลือด, เครื่องใน และไข่ หากนำไปกินแล้วกรรมวิธีการปรุงไม่ดี จะทำให้ ผู้กินได้รับพิษได้ ทั้งนี้ผู้รับประทานเนื้อคางคกที่มีพิษจะมีอาการแขนขาอ่อนแรง คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หายใจหอบ เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ และหากยางคางคกถูกตาจะทำให้เยื่อบุตาและแก้วตาอักเสบได้ ตาพร่ามัว จนถึงขั้นตาบอดได้ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่กินคางคกมักเชื่อว่ากินแล้วมีกำลังวังชาและรักษาโรคได้ แต่ความจริงแล้วคางคกไม่มีตัวยาแก้หรือรักษาโรคอะไรเลย เมื่อนำไปปรุงเป็นอาหารจะอันตรายเพราะสารพิษจะกระตุ้นการทำงานของหัวใจ โดยเพิ่มอัตราการเต้นและแรงบีบของหัวใจ คางคก แบ่งออกเป็น 37 สกุล พบประมาณ 500 ชนิด พบกระจายพันธุ์ไปทั่วโลก ยกเว้นทวีปออสเตรเลียและทวีปแอนตาร์กติกา ในประเทศไทยพบได้หลายชนิด เช่น จงโคร่ง (Phrynoidis aspera), คางคกบ้าน (Duttaphrynus melanostictus), คางคกห้วยไทย (Ansonia siamensis), คางคกไฟ (Ingerophrynus parvus) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์คางคก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์คางคกหมอตำแย

วงศ์คางคกหมอตำแย หรือ วงศ์กบทาสี (accessdate, Midwife toads) เป็นวงศ์ของกบขนาดเล็ก ใช้ชื่อวงศ์ว่า Alytidae กบในวงศ์นี้มีกระดูกสันหลังหน้ากระดูกก้นกบ 8 ปล้อง กระดูกสันหลังมีเซนทรัมเป็นแบบอย่างของโอพิสโธซีลัส กระดูกหัวไหล่เป็นแบบอย่างของอาร์กซิเฟอรัล กระดูกแอสทรากาลัสและกระดูกแคลคาเนียมเชื่อมรวมกันเฉพาะส่วนตัวและส่วนปลาย ไม่มีชิ้นกระดูกแทรกระหว่างกระดูกนิ้วสองชิ้นสุดท้าย ลูกอ๊อดมีโครงสร้างปากแบบมีจะงอยปากและมีตุ่มฟัน ช่องเปิดของห้องเหงือกมีช่องเดียวอยู่ในแนวตรงกลางระหว่างของลำตัว ส่วนใหญ่เป็นกบที่อาศัยเฉพาะถิ่นในยุโรป แต่ก็มีบางส่วนที่พบได้ในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของแอฟริกา และสูญพันธุ์ไปแล้วที่อิสราเอล เดิมกบในวงศ์นี้ ได้เคยถูกจัดให้อยู่ในวงศ์ที่ใช้ชื่อว่า Discoglossidae แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เห็นว่าชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีการตั้งมาก่อน จึงใช้ชื่อนี้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์คางคกหมอตำแย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ค้างคาวแวมไพร์แปลง

ำหรับค้างคาวแวมไพร์แปลงที่พบในภูมิภาคอเมริกากลาง ดูที่: ค้างคาวสเปกตรัม วงศ์ค้างคาวแวมไพร์แปลง (False vampire bat) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกค้างคาววงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Megadermatidae ค้างคาวในวงศ์นี้ มีถิ่นกำเนิดและกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทวีปแอฟริกาตอนกลาง จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลีย แรกเริ่มมีความเข้าใจว่า ค้างคาวในวงศ์นี้กินเลือดสัตว์อื่นเป็นอาหาร เหมือนค้างคาวแวมไพร์ที่พบในทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลาง แต่หาใช่ความจริงไม่ เมื่อมีการศึกษามากขึ้น พบกว่าค้างคาวในวงศ์นี้กินแมลง รวมถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเป็นอาหาร และรวมถึงค้างคาวด้วยกันเองด้วย แต่พฤติกรรมนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าจริงหรือไม่ แบ่งออกได้เป็น 4 สกุล 5 ชนิด สำหรับในประเทศไทยพบทั้งหมด 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ค้างคาวแวมไพร์แปลง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง

วงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง (Colubrid, Typical snake) เป็นวงศ์ของงูมีพิษวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Colubridae นับเป็นวงศ์ของงูที่มีปริมาณสมาชิกในวงศ์มากที่สุด ด้วยมีมากมายถึงเกือบ 300 สกุล และมีทั้งหมดในปัจจุบัน (ค.ศ. 2014) 1,938 ชนิด และจำแนกออกเป็นวงศ์ย่อย ๆ ได้อีก 12 วงศ์ (ดูในตาราง) โดยใช้ชื่อวงศ์ว่า Colubridae รูปร่างโดยรวมของงูในวงศ์นี้คือ กระดูกพรีแมคซิลลาไม่มีฟัน กระดูกแมคซิลลาเรียงตัวตามยาวและมีฟันชนิดที่ต่างกันไป แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ aplyph, opisthoglyph, proteroglyph ช่องเปิดของตาอยู่ตรงรอยต่อระหว่างกระดูกฟรอนทัล-กระดูกพาไรทัล-กระดูกพาราสฟีนอยด์ ขากรรไกรล่างไม่มีกระดูกโคโรนอยด์และกระดูกเดนทารีมีฟัน ไม่มีกระดูกเชิงกราน ไม่มีปิดข้างซ้ายหรือมีแต่ก็น้อยมาก มีท่อนำไข่ทั้งสองข้างและเจริญเท่ากัน โดยรวมแล้วพิษของงูในวงศ์นี้เมื่อเทียบกับงูพิษวงศ์อื่นแล้ว เช่น วงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) หรือวงศ์งูหางกระดิ่ง (Viperidae) นับว่ามีพิษร้ายแรงน้อยกว่ามาก หรือบางชนิดก็ไม่มีพิษเลย คำว่า "Colubridae" ที่ใช้เป็นชื่อวงศ์นั้น มาจากภาษาละตินว่า "coluber" แปลว่า "งู".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า

วงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (ชื่อวิทยาศาสตร์: Elapidae; Cobra, Sea snake, King cobra, Taipan, Mamba) เป็นวงศ์ของงูวงศ์หนึ่ง ที่มีพิษร้ายแรง สามารถทำให้มนุษย์หรือสัตว์ขนาดใหญ่ต่าง ๆ ตายได้เมื่อถูกพิษเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งคำว่า Elapidae ที่ใช้เป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์นั้นมาจากภาษากรีกคำว่า "éllops" หมายถึง งูทะเล มีลักษณะโดยทั่วไป คือ กระดูกพรีแมคซิลลาไม่มีฟัน กระดูกแมคซิลลาเรียงตัวตามยาวและมีฟันเขี้ยวขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจนอยู่ทางด้านหน้า ช่องเปิดของตาอยู่ตรงรอยต่อระหว่างกระดูกฟรอนทัล-กระดูกพาไรทัล-กระดูกพาราสฟีนอยด์ ขากรรไกรล่างไม่มีกระดูกโคโรนอยด์และกระดูกเดนทารีมีฟัน ไม่มีกระดูกเชิงกราน ไม่มีปอดข้างซ้ายหรือมีแต่ก็เล็กมาก มีท่อนำไข่ทั้งสองข้างและเจริญเท่ากัน เป็นวงศ์ที่มีจำนวนสมาชิกมาก กระจายไปอยู่ทั่วโลก ยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกา จึงแบ่งออกเป็นวงศ์ย่อย ๆ ได้อีก 3 วงศ์ และแบ่งเป็นสกุลทั้งหมด 61 สกุล และแบ่งเป็นชนิดประมาณ 325 ชนิด เป็นวงศ์ของงูที่มีพิษร้ายแรง สมาชิกในวงศ์นี้ที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ งูเห่า (Naja kaouthia), งูจงอาง (Ophiophagus hannah) ซึ่งเป็นงูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ โดยความยาวเต็มที่อาจยาวได้ถึง 5.5 เมตร รวมถึงงูทะเลด้วย ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในวงศ์ย่อย Hydrophiinae ซึ่งเป็นหนึ่งในวงศ์ย่อยของวงศ์นี้เลยทีเดียว โดยลักษณะแต่ละอย่างของวงศ์ย่อยต่าง ๆ แบ่งออกได้เป็นดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์งูก้นขบ

วงศ์งูก้นขบ (Pipe snakes) เป็นวงศ์ของงูไม่มีพิษวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Cylindrophiidae ซึ่งในวงศ์นี้มีเพียงสกุลเดียว คือ Cylindrophis มีรูปร่างโดยรวม คือ กระดูกพรีแมคซิลลาไม่มีฟัน กระดูกแมคซิลลาเรียงตัวตามยาวและมีฟัน ช่องเปิดของตาอยู่ตรงรอยต่อระหว่างกระดูกฟรอนทัลกับกระดูกพาไรทัล ขากรรไกรล่างมีกระดูกโคโรนอยด์และกระดูกเดนทารีมีฟันหรือไม่มีฟัน มีกระดูกของรยางค์ขาคู่หลังที่ยังลดรูปไม่หมดและเป็นแท่งขนาดเล็กที่มองเห็นได้ทางช่องเปิดทวารร่วม มีกระดูกเชิงกรานขนาดเล็กที่ยังลดรูปไม่หมดฝังอยู่ในกล้ามเนื้อลำตัว มีปอดข้างซ้ายแต่มีขนาดเล็ก มีท่อนำไข่ทั้งสองข้างเจริญเท่ากัน มีรูปร่างกลมและลำตัวใหญ่ มีความยาวตั้งแต่ 30-90 เซนติเมตร หางสั้นและปรับปรุงให้ส่วนหางแลดูคล้ายส่วนหัว รวมทั้งมีพฤติกรรมใช้หางเพื่อป้องกันตัวจากผู้คุกคามตลอดจนมีพฤติกรรมแสร้งตาย เมื่อถูกคุกคาม เกล็ดบริเวณใต้หางขยายเป็นแผ่นแข็งใหญ่เหมือนกับเกล็ดใต้หางของูวงศ์ Uropeltidae แต่พื้นผิวของตัวเกล็ดเรียบ มีลักษณะเป็นมันเงาวาว เกล็ดด้านท้องใหญ่กว่าเกล็ดด้านหลังเล็กน้อย อาศัยอยู่ในโพรงดินในพื้นที่ทั่วไปทั้งในป่าและพื้นที่ทำการเกษตรที่มีดินร่วนซุยและชุ่มชื้น หากินในเวลากลางคืนบนพื้นผิวดิน กินทั้งสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ได้แก่ ไส้เดือน และสัตว์มีกระดูกสันหลัง ได้แก่ ปลาไหล และงูด้วยกันชนิดอื่น ออกลูกเป็นตัว ในปัจจุบันจำแนกเป็น 10 ชนิด (ดูในตาราง) พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ศรีลังกาจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะอินดีสตะวันออกและหมู่เกาะฟิลิปปินส์ ในประเทศไทยมีงูในวงศ์นี้เพียงชนิดเดียว คือ งูก้นขบ (C. ruffus).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์งูก้นขบ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์งูดิน

วงศ์งูดิน (Typical blind snake) เป็นวงศ์ของงูจำพวกงูดินวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Typhlopidae ลักษณะของงูดินในวงศ์นี้ คือ กระดูกพรีแมคซิลลาไม่มีฟัน กระดูกแมคซิลลาเรียงตัวตามขวางและไม่มีฟัน ช่องเปิดตาอยู่ที่กระดูกฟรอนทัล ขากรรไกรล่างมีกระดูกโคโรนอยด์และกระดูกเดนทารีไม่มีฟัน ไม่มีกระดูกของระยางค์ขาแต่มีกระดูกเชิงกรานขนาดเล็กที่ยังลดรูปไม่หมดฝังอยู่ในกล้ามเนื้อลำตัว ปอดข้างซ้ายเล็กมากหรือลดรูปไม่หมด ไม่มีท่อนำไข่ข้างซ้าย มาีลำตัวเรียวยาว ชนิดที่มีขนาดเล็กที่สุด คือ Ramphotyphlops braminus ที่มีความยาวประมาณ 14-18 เซนติเมตร และชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ Rhinotyphlops schlegelii ที่ยาว 90 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความแตกต่างกันมากทั้งพื้นที่แห้งแล้งจนถึงป่าดิบชื้น ส่วนมากอาศัยอยู่ในโพรงและในจอมปลวกโดยใช้เส้นทางเดินของปลวกทั้งบนพื้นดินและต้นไม้ กินมดและปลวก รวมถึงสัตว์ขาปล้องที่มีลำตัวนุ่มนิ่มเป็นอาหาร แพร่กระจายพันธุ์ทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วทั้งโลกทั้งที่เป็นพื้นแผ่นดินใหญ่และเกาะกลางมหาสมุทร แบ่งออกได้ทั้งหมด 6 สกุล พบประมาณ 210 ชนิด ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ทั้งหมด แต่ก็มีบางชนิดที่มีการขยายพันธุ์ได้โดยไม่มีการปฏิสนธิ สำหรับในประเทศไทยพบประมาณ 12 ชนิด ล้วนแต่เป็นงูดินในวงศ์นี้ทั้งหม.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์งูดิน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์งูงวงช้าง

วงศ์งูงวงช้าง (File snakes, Elephant trunk snakes, Dogface snakes) เป็นวงศ์ของงูที่ไม่มีพิษวงศ์หนึ่ง ที่มีรูปร่างขนาดใหญ่ ใช้ชื่อวงศ์ว่า Acrochordidae มีรูปร่างโดยรวม คือ มีหัวเล็กแต่มีลำตัวขนาดใหญ่ ผิวหนังไม่ยิดติดกับกล้ามเนื้อลำตัวและพับเป็นรอยย่นมาก เกล็ดตามลำตัวเป็นตุ่มนูนและเรียงตัวต่อเนื่องกัน โดยมีตุ่มหนามเจริญขึ้นมาจากผิวหนังลำตัวระหว่างเกล็ด เป็นงูที่อาศัยและหากินในน้ำเป็นหลัก จึงมีส่วนหางที่แบนเพื่อใช้ในการว่ายน้ำ ไม่มีแผ่นปิดช่องจมูกภายนอกแต่ในอุ้งปากมีแผ่นเนื้อเพื่อใช้ปิดโพรงจมูกด้านใน หากินปลาเป็นอาหารหลัก ด้วยการใช้ลำตัวส่วนท้ายที่เป็นตุ่มหนามยึดและรัดไว้ รอให้ปลาเข้ามาใกล้ เมื่อปลาสัมผัสกับผิวหนังลำตัวจะโบกรอยพับที่ย่นของลำตัวนั้นไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อผลักตัวปลาไปข้างหน้าแล้วใช้ปากงับไว้อย่างรวดเร็ว เป็นงูที่มีขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 80-100 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่เอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงหมู่เกาะฟิลิปปินและออสเตรเลีย มีทั้งหมดเพียง 3 ชนิด และสกุลเดียวเท่านั้นคือ Acrochordus ทุกชนิดออกลูกเป็นตัว โดยในประเทศไทยพบ 2 ชนิด คือ งูงวงช้าง (A. javanicus) และงูผ้าขี้ริ้ว (A. granulatus).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์งูงวงช้าง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์งูน้ำ

วงศ์งูน้ำ เป็นวงศ์ของงูพิษอ่อนวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Homalopsidae เดิมทีเคยจัดเป็นวงศ์ย่อยของงูในวงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง (Colubridae) ใช้ชื่อว่า Homalopsinae มีลักษณะโดยรวม คือ ช่องเปิดจมูกอยู่ทางด้านบนของหัวและมีแผ่นลิ้นปิด ตามีขนาดเล็กและอยู่ทางด้านบนของหัว ช่องเปิดของท่อลมยืดยาวไปในโพรงจมูกได้ ทำให้หายใจได้ตามปกติเมื่อโผล่เฉพาะช่องเปิดจมูกขึ้นเหนือน้ำ บนหัวมีแผ่นเกล็ดนาซัลใหญ่กว่าแผ่นเกล็ดอินเตอร์นาซัล ฟัน 2–3 ซี่อยู่ทางด้านท้ายของขากรรไกรบนขยายใหญ่เป็นฟันเขี้ยวที่มีร่องอยู่ทางด้านหน้า ต่อมน้ำพิษเจริญ งูในวงศ์นี้มีพฤติกรรมที่อาศัยและหากินในแหล่งน้ำเป็นหลัก ทั้งในแหล่งน้ำจืดสนิท, น้ำกร่อย และน้ำเค็ม หรือทะเล โดยทั่วไปจะหากินในน้ำตื้นเพื่อจับเหยื่อ โดยจะอาศัยและหากินในแหล่งน้ำจืดมากที่สุด กินปลาและกบเป็นอาหารหลัก หากินในเวลากลางคืน โดยจะกัดเหยื่อหลายครั้งเพื่อให้น้ำพิษเข้าสู่ตัวเหยื่อมากพอที่จะทำให้เหยื่อสลบได้ โดยมี งูกินปู (Fordonia leucobalia) ที่วิวัฒนาการตัวเองให้อาศัยในน้ำกร่อยและทะเลได้เป็นอย่างดี เพื่อกินปู โดยการใช้ลำตัวรัดปูไว้แล้วกัดปล่อยน้ำพิษ เป็นงูที่ออกลูกเป็นตัวทั้งหมด ครั้งละ 5–15 ตัว ในชนิดที่มีขนาดใหญ่จะให้ลูกได้ถึงครั้งละ 20–30 ตัว พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนใต้ของเอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงทางเหนือของออสเตรเลีย จำแนกออกเป็นสกุลได้ 28 สกุล มากกว่า 50 ชนิด ในประเทศไทยพบราว 14 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์งูน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์งูแมวเซา

วงศ์งูแมวเซา หรือ วงศ์งูหางกระดิ่ง หรือ วงศ์งูพิษเขี้ยวพับ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Viperidae, Viper, Rattlesnake) เป็นวงศ์ของงูวงศ์หนึ่ง ที่มีพิษร้ายแรงมากวงศ์หนึ่ง ที่ทำอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ ให้ตายได้ด้วยน้ำพิษ มีรูปร่างโดยรวม คือ มีลำตัวป้อมและมีหัวค่อนข้างเป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีขนาดใหญ่กว่าส่วนคอมาก เกล็ดบนหัวมีขนาดเล็กยกเว้นสกุล Causus ที่เป็นแผ่นใหญ่ มีแอ่งรับรู้สึกคลื่นความร้อนอินฟราเรดอยู่ระหว่างช่องเปิดจมูกกับตาหรืออยู่ทางด้านล่างของเกล็ดที่ปกคลุมหัว กระดูกพรีแมคซิลลาไม่มีฟัน กระดูกแมคซิลลาหมุนได้ และมีเขี้ยวพิษขนาดใหญ่เพียงซี่เดียวที่เป็นท่อกลวง เขี้ยวเคลื่อนไหวได้จากการปรับปรุงให้รอยต่อระหว่างกระดูกแมคซิลลากับกระดูกพรีฟรอนทัลขยับได้ ฟันเขี้ยวจะยกตั้งขึ้นเมื่ออ้าปากและเอนราบไปกับพื้นล่างของปากเมื่อหุบปาก ช่องเปิดของตาอยู่ตรงรอยต่อระหว่างกระดูกฟรอนทัลกับกระดูกพาไรทัลหรือกระดูกฟรอนทัล-กระดูกพาไรทัล-กระดูกพาราสฟีนอยด์ ขากรรไกรล่างไม่มีกระดูกโคโรนอยด์ ไม่มีกระดูกเชิงกราน ไม่มีปอดข้างซ้ายหรือมีแต่เล็กมาก มีท่อนำไข่ทั้งสองข้างและเจริญเท่ากัน เป็นวงศ์ที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนสมาชิกประมาณ 221 ชนิด ประมาณ 32 สกุล และแบ่งออกเป็นวงศ์ย่อยได้อีก 4 วงศ์ แพร่กระจายไปทุกมุมโลก ยกเว้นบางพื้นที่ เช่น ทวีปอเมริกาใต้, ทวีปออสเตรเลีย, บางส่วนในทวีปเอเชีย และทวีปแอนตาร์กติกา โดยสมาชิกในวงศ์นี้ที่เป็นที่รู้จักดี คือ งูหางกระดิ่ง คือ งูที่อยู่ในวงศ์ย่อย Crotalinae ที่พบได้ในทะเลทรายในทวีปอเมริกาเหนือจนถึงอเมริกากลาง สำหรับในทวีปเอเชีย ชนิด Azemiops feae พบได้ในพม่า, จีนตอนกลาง และเวียดนาม จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์ย่อย Azemiopinae สำหรับในประเทศไทยจัดว่าเป็นงูที่มีพิษร้ายแรง ได้แก่ งูกะปะ หรือ งูปะบุก (Calloselasma rhodostoma) ที่จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Crotalinae และงูแมวเซา (Daboia russellii) ที่อยู่ในวงศ์ย่อย Viperinae เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์งูแมวเซา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์งูแสงอาทิตย์

วงศ์งูแสงอาทิตย์ (Sunbeam snakes) เป็นวงศ์ของงูไม่มีพิษวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Xenopeltidae มีทั้งหมดเพียง 2 ชนิด และสกุลเดียวเท่านั้น คือ Xenopeltis คือ งูแสงอาทิตย์ (X. unicolor) ที่พบได้กว้างไกลในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียอาคเนย์ และ งูแสงอาทิตย์ไหหลำ (X. hainanensis) ที่พบได้บนเกาะไหหลำ และมณฑลที่ใกล้เคียงกันเท่านั้นของจีน ลักษณะโดยรวมของงูในวงศ์นี้ คือ กระดูกแมคซิลลาเรียงตัวตามแนวยาวและมีฟัน ช่องเปิดของตาอยู่ตรงรอยต่อระหว่างกระดูกฟรอนทัลกับกระดูกพาไรทัล ขากรรไกรล่างมีกระดูกโคโรนอยด์และกระดูกเดนทารี มีฟันจำนวนมาก ไม่มีกระดูกเชิงกราน มีปอดข้างซ้ายขนาดใหญ่ มีท่อนำไข่ทั้งสองข้างและเจริญเท่ากัน มีลำตัวกลมยาว มีขนาดยาวได้เต็มที่ถึง 1.3 เมตร แต่โดยเฉลี่ยคือ 80 เซนติเมตร หัวป้านและมีหางสั้น แผ่นเกล็ดบนหัวใหญ่ แต่เกล็ดปกคลุมลำตัวด้านหลังและด้านท้องเล็ก เกล็ดเรียบเป็นมันแวววาว พื้นผิวของเกล็ดเมื่อสะท้อนกับแสงแดดจะเกิดเป็นเหลือบสี อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ มีอุปนิสัยอาศัยอยู่ในโพรง แต่ส่วนมากจะใช้โพรงของสัตว์อื่น อาศัยได้ในพื้นที่ที่ความหลากหลายมาก ตั้งแต่ป่าสมบูรณ์จนถึงพื้นที่เกษตรกรรมของมนุษย์ หากินทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน มักอาศัยอยู่ในที่ ๆ มีน้ำ กินอาหารได้หลากหลายรวมถึงสัตว์มีกระดูกสันหลังทุกกลุ่ม แต่ในวัยอ่อนจะมีฟันที่ดัดแปลงมาเพื่อกินจิ้งเหลนโดยเฉพาะ แพร่ขยายพันธุ์โดยการวางไข่ และวางไข่ได้มากถึง 17 ฟอง.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์งูแสงอาทิตย์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์งูโบอา

วงศ์งูโบอา หรือ วงศ์งูเหลือมโบอา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Boidae; Boa, Anaconda) เป็นวงศ์ของงูที่ไม่มีพิษขนาดใหญ่วงศ์หนึ่ง มีรูปร่างคล้ายกับงูในวงศ์งูเหลือม (Pythonidae) จึงมักสร้างความสับสนให้อยู่เสมอ ๆ มีลักษณะโดยรวม คือ กระดูกพรีแมคซิลลาไม่มีฟัน กระดูกแมคซิลลาเรียงตัวตามยาวและมีฟัน ช่องเปิดตาอยู่ตรงรอยต่อระหว่างกระดูกฟรอนทัลกับกระดูกพาไรทัล กระดูกซูปราออคซิพิทัลมีสันใหญ่ ขากรรไกรล่างมีกระดูกโคโรนอยด์ มีกระดูกระยางค์ขาคู่หลังที่ยังลดรูปไม่หมดและเป็นแท่งขนาดเล็กที่มองเห็นได้ทางช่องเปิดทวารร่วม และมีกระดูกเชิงกรานขาคู่หลังที่ยังลดรูปไม่หมดฝังอยู่ในกล้ามเนื้อ ปอดข้างซ้ายค่อนข้างเจริญ มีท่อนำไข่ทั้งสองข้างเจริญเท่ากัน งูในวงศ์นี้ มีทั้งหมด 8 สกุล แบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ย่อย มีทั้งสิ้น 43 ชนิด กระจายพันธุ์ไปในหลายพื้นที่รอบโลก ทั้ง ทวีปเอเชีย, ทวีปแอฟริกา, ทวีปอเมริกาใต้ ทั้งที่เป็นแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะต่าง ๆ กลางทะเล เช่น ศรีลังกา, เกาะมาดากัสการ์, หมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ เช่น ฟิจิ, หมู่เกาะโซโลมอน, เมลานีเซีย และตองกา เป็นต้น โดยตัวอย่างงูในวงศ์นี้ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ งูอนาคอนดา คือ งูที่อยู่ในสกุล Eunectes ที่อยู่ในวงศ์ย่อย Boinae ซึ่งโตเต็มที่ยาวได้ถึง 11.5 เมตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนิด Eunectes murinus หรือ งูอนาคอนดาเขียว ที่เป็นงูที่มีน้ำหนักตัวมากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยอาจมีน้ำหนักได้ถึง 250 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในป่าดิบชื้นของลุ่มแม่น้ำอเมซอน ทวีปอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์งูโบอา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์งูเส้นด้าย

วงศ์งูเส้นด้าย (Slender blind snake, Thread snake) เป็นวงศ์ของงูจำพวกงูดินวงศ์หนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Leptotyphlopidae ลักษณะเด่นของงูดินวงศ์นี้ คือ กระดูกพรีแมคซิลลาไม่มีฟัน กระดูกแมคซิลลาเรียงตัวตามยาวและไม่มีฟัน ช่องเปิดของตาอยู่ที่กระดูกฟรอนทัล ขากรรไกรล่างมีกระดูกโคโรนอยด์และกระดูกเดนทารีมีฟัน 4-5 ซี่ ไม่มีกระดูกของระยางค์ขาแต่มีกระดูกเชิงกรานขนาดเล็กที่ยังลดรูปไม่้หมดฝังอยู่ในกล้ามเนื้อลำตัว ไม่มีปอดข้างซ้าย ไม่มีท่อนำไข่ข้างซ้าย มีลักษณะลำตัวเรียวยาวมาก มีความยาวของลำตัวตั้งแต่ 15-25 เซนติเมตร แต่บางชนิด เช่น Leptotyphlops macrolepis และ L. occidentalis มีความยาวกว่า 30 เซนติเมตร แต่ในชนิด ''L. carlae กลับมีความยาวเพียง 10 เซนติเมตร นับเป็นงูชนิดที่ีมีขนาดเล็กที่สุดในโลก อาศัยอยู่ในพื้นที่ ๆ มีความแตคกต่้างกันมากทั้งแห้งแล้งและชุ่มชื้น กินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังโดยเฉพาะปลวกเป็นอาหารหลัก สามารถเสาะแสวงหารังปลวกได้จากสารเคมีในตัวปลวก เนื่องจากอาศัยอยู่ในจอมปลวกจึงพบบางชนิด เช่น L. dulcis บนต้นไม้สูงจากพื้นดินโดยเลื้อยไปในภายในรังของปลวกที่อยู่ตามต้นไม้ พบประมาณ 90 ชนิด ทุกชนิดแพร่ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ทั้งหมด แบ่งออกได้เป็น 2 สกุล คือ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์งูเส้นด้าย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์งูเหลือม

วงศ์งูเหลือม (Python) เป็นวงศ์ของงูไม่มีพิษขนาดใหญ่ นับเป็นงูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังคงสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน ใช้ชื่อวงศ์ว่า Pythonidae มีลักษณะโดยรวม คือ มีกระดูกพรีแมคซิลลามีฟันยกเว้นในสกุล Aspidites ที่ไม่มี กระดูกแมคซิลลาเรียงตัวกันตามยาว ช่องเปิดตาอยู่ตรงรอยต่อระหว่างกระดูกฟรอนทัลกับกระดูกพาไรทัล ขากรรไกรมีกระดูกโคโรนอยด์ มีกระดูกของรยางค์ต่อระหว่างกระดูกฟรอนทัลกับกระดูกพาไรทัล ขากรรไกรล่างมีกระดูกโคโรนอยด์ มีกระดูกของรยางค์ขาคู่หลังที่ยังลดรูปไม่หมดและเป็นแท่งขนาดเล็กที่มองเห็นได้ทางช่องเปิดทวารร่วม มีกระดูกเชิงกรานขนาดเล็กที่ยังลดรูปไม่หมดฝังอยู่ในกล้ามเนื้อของลำตัว มีปอดข้างซ้ายใหญ่ มีท่อนำไข่มั้งสองข้างเจริญเท่ากัน มีแอ่งรับคลื่นความร้อนกระจายอยู่บริเวณขอบปากบนและล่าง เป็นงูขนาดใหญ่และไม่มีพิษ จึงมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและเรี่ยวแรงพละกำลังมาก จึงใช้วิธีการรัดเหยื่อจนกระดูกหักและขาดใจตายจึงกลืนกินเข้าไปทั้งตัว ล่าเหยื่อด้วยการรอให้เข้ามาใกล้แล้วจึงเข้ารัด มีการกระจายพันธุ์ในหลายภูมิประเทศทั้งป่าดิบชื้น, ทะเลทราย ไปจนเกาะแก่งต่าง ๆ กลางทะเล หรือในชุมชนเมือง ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ พบตั้งแต่ทะเลทรายซาฮาราในทวีปแอฟริกา, เอเชียใต้, เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงออสเตรเลีย มีขนาดตั้งแต่ 30 เซนติเมตร จนถึงกว่า 10 เมตร แต่มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 1 เมตร หากินทั้งบนบก, ในน้ำ และบนต้นไม้ โดยกินสัตว์เลือดอุ่นจำพวกสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นหลัก ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ ตัวเมียจะเป็นผู้ดูแลไข่ด้วยการกกจนกระทั่งฟักเป็นตัว ปริมาณไข่ขึ้นอยู่กับอายุและความแข็งแรงของตัวเมีย มีทั้งหมด 8 สกุล 26 ชนิด เป็นงูที่มนุษย์รู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี คือ งูหลาม (Python bivittatus) และงูเหลือม (P. reticulatus) ซึ่งเป็นงูที่มีขนาดใหญ่และยาวที่สุดในโลก ในประเทศไทยพบ 3 ชนิด คือ งูหลาม, งูเหลือม และงูหลามปากเป็ด (P. curtus) หลายชนิดนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง และมีราคาแพงอย่างยิ่งในตัวที่มีสีสันหรือลวดลายแปลกไปจากธรรมชาติ ซึ่งสามารถเพาะขยายพันธุ์กันได้ในที่เลี้ยง เช่น งูหลามบอล (P. regius) หลายชนิดใช้เนื้อ, กระดูกและหนังเป็นประโยชน์ได้ เช่น ใช้ทำเครื่องดนตรีบางประเภท หรือทำเป็นอุปกรณ์ใช้งาน เช่น กระเป๋า, รองเท้า, เข็มขัด หรือทำเครื่องรางของขลัง.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์งูเหลือม · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ตะพาบ

วงศ์ตะพาบ (Soft-shelled turtle) เป็นวงศ์ของเต่าจำพวกหนึ่ง ที่ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trionychidae ตะพาบ เป็นเต่าที่มีลักษณะเด่นคือ ลำตัวแบน จมูกแหลม กระดองอ่อนนิ่ม มีกระดองหลังค่อนบ้างเรียบแบน กระดองมีลักษณะเป็นหนังที่ค่อนข้างแข็งเฉพาะในส่วนกลางกระดอง แต่บริเวณขอบจะมีลักษณะนิ่มแผ่นกระดองจะปราศจากแผ่นแข็งหรือรอยต่อ ซึ่งแตกต่างจากกระดองของเต่าอย่างสิ้นเชิง ซึ่งขอบที่อ่อนนิ่มนี้เรียกว่า "เชิง" กระดองส่วนท้องหุ้มด้วยผิวหนังเรียบ มีส่วนที่เป็นกระดูกน้อยมาก กระดองจะมีรูปร่างกลมเมื่อ ยังมีขนาดเล็ก และจะรีขึ้นเล็กน้อยเมื่อโตเต็มวัยตั้งแต่คอส่วนบนไปจรดขอบกระดองจะมีตุ่มแข็งเล็ก ๆ ขึ้นอยู่ ส่วนหัวมีขนาดใหญ่ คอเรียวยาวและสามารถเอี้ยวกลับมาด้านข้าง ๆ ได้ มีจมูกค่อนข้างยาวแต่มีขนาดเล็กและส่วนปลายจมูกอ่อน ตามีขนาดเล็กโปนออกมาจากส่วนหัวอย่างเห็นได้ชัด มีฟัน ขากรรไกรแข็งแรงและคม มีหนังหุ้มกระดูกคล้ายริมฝีปาก ขาทั้งสี่แผ่กว้างที่นิ้วจะมีพังพืดเชือมติดต่อกันแบบใบพายอย่างสมบูรณ์ มีเล็บเพียง 3 นิ้ว และมีหางสั้น มักอาศัยอยู่ในน้ำมากกว่าบนบก โดยตะพาบสามารถกบดานอยู่ใต้น้ำได้นานกว่าเต่า แม้จะหายใจด้วยปอด แต่เมื่ออยู่ในน้ำ ตะพาบจะใช้อวัยวะพิเศษช่วยหายใจเหมือนปลา เรียกว่า "Rasculavpharyngcal capacity" ตะพาบจัดเป็นเต่าน้ำที่จะพบได้ในแหล่งน้ำที่เป็นน้ำจืดและน้ำกร่อยในเขตร้อนทุกทวีปทั่วโลก ทั้ง อเมริกาเหนือ, แอฟริกา และเอเชีย ไปจนถึงโอเชียเนีย เมื่อจะวางไข่ ตะพาบจะคลานขึ้นมาวางไข่ในพื้นทรายริมตลิ่งริมน้ำที่อาศัย โดยขุดหลุมแบบเดียวกับเต่าทะเลและเต่าจำพวกอื่นทั่วไป ตะพาบเป็นสัตว์ที่กินสัตว์มากกว่าจะกินพืช โดยหลายชนิดมีอุปนิสัยที่ดุร้ายกว่าเต่า ตะพาบเป็นเต่าที่มนุษย์นิยมนำมาทำเป็นอาหาร โดยเฉพาะซุปในอาหารจีนและอาหารญี่ปุ่น หรืออาหารเกาหลี โดยเชื่อว่าทั้งเนื้อและกระดองเป็นเครื่องบำรุงกำลังและเสริมสมรรถนะทางเพศ โดยตะพาบชนิดที่นิยมใช้เพื่อการบริโภคนี้คือ ตะพาบไต้หวัน (Pelodiscus sinensis) ซึ่งในหลายประเทศได้มีการเพาะเลี้ยงตะพาบไต้หวันเป็นสัตว์เศรษฐกิจรวมทั้งประเทศไทยด้วย สำหรับตะพาบชนิดที่หายากที่สุดในโลก หลายข้อมูลระบุว่าคือ ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง (Rafetus swinhoei) ซึ่งเป็นตะพาบขนาดใหญ่ เป็นสัตว์พื้นเมืองที่พบได้เฉพาะในประเทศจีนและเวียดนามเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันพบเพียง 5 ตัวใน 2 ที่เท่านั้น คือที่สวนสัตว์ในประเทศจีน 4 ตัว และที่ทะเลสาบคืนดาบที่เมืองฮานอย 1 ตัว แต่ในทัศนะของ กิตติพงษ์ จารุธาณินทร์ นักสำรวจธรรมชาติและผู้เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์น้ำและปลาน้ำจืดชาวไทย ที่มีผลงานค้นพบปลาน้ำจืดชนิดใหม่ของโลกหลายชนิด เห็นว่า ตะพาบชนิดที่หายากที่สุดในโลกน่าจะเป็น "กริวดาว" หรือ "ตะพาบหัวกบลายจุด" ซึ่งเป็นตะพาบที่เคยจัดให้เป็นชนิดเดียวกับตะพาบหัวกบ (Pelochelys cantorii) ซึ่งเป็นตะพาบขนาดใหญ่อีกชนิดหนึ่ง ที่พบได้ในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย แต่ทว่า กริวดาว นั้น มีความแตกต่างจากตะพาบหัวกบ คือ มีจุดสีเหลืองอ่อนเป็นวงกระจายอยู่บริเวณขอบกระดอง โดยที่ไม่แปรเปลี่ยนไปตามวัย เหมือนตะพาบหัวกบ ซึ่งถึงแม้จะเป็นตะพาบขนาดใหญ่แล้ว แต่ลายจุดนี้ยังคงเห็นได้ชัดเจน ซึ่งกิตติพงษ์ได้ระบุไว้ว่า ตะพาบแบบนี้ไม่ได้พบเห็นมานานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 หรือ..

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ตะพาบ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ตะโขง

วงศ์ตะโขง (Gharial, Gavial; วงศ์: Gavialidae) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับจระเข้ (Crocodylia) วงศ์หนึ่ง มีลักษณะที่แตกต่างไปจากจระเข้ในวงศ์อื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด คือ มีส่วนปลายของหัวเรียวยาวและยาวมากที่สุดจนเป็นลักษณะเฉพาะ เมื่อหุบปากแล้วจะยังเห็นฟันครึ่งทางของด้านหน้าของขากรรไกรทั้งด้านบนและด้านล่าง กระดูกเอนโทพเทอรีกอยด์อยู่ชิดกับแถวฟันที่กระดูกแมคซิลลา กระดูกพาลาทีนมีก้านกระดูกชิ้นยาวอยู่ทางด้านหน้าและยื่นเลยเข้าไปในช่องเบ้าตา พื้นผิวด้านบนของลิ้นไม่มีสารเคอราติน ไม่มีต่อมขจัดเกลือบนลิ้นหรือมีก็มีขนาดที่เล็กมาก จากปากที่เรียวยาวและแคบทำให้จระเข้ในวงศ์ตะโขงนี้กินได้เฉพาะสัตว์น้ำอย่าง ปลาเท่านั้น แบ่งออกเป็นได้อีก 3 วงศ์ย่อย (ดูในตาราง) ซึ่งเดิมเคยมีจำนวนสมาชิกที่หลากหลายกว่านี้ แต่ในปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว จึงเหลือเพียงแค่ 2 ชนิด คือ ตะโขงอินเดีย (Gavialis gangeticus) ซึ่งอยู่ในวงศ์ย่อย Galavinae พบได้ในเอเชียใต้ และตะโขงมลายู หรือ ตะโขงปลอม (Tomistoma schlegelii) ที่พบได้ในแหลมมลายู ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์ย่อย Tomistominae แต่ในบางข้อมูลจัดให้อยู่ในวงศ์ Crocodylidae.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ตะโขง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ซาลาแมนเดอร์ยักษ์

วงศ์ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ (Giant salamander;; オオサンショウウオ) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ในวงศ์ Cryptobranchidae.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ซาลาแมนเดอร์แท้

วงศ์ซาลาแมนเดอร์แท้ หรืออาจเรียกได้ว่า นิวต์ (Newts, True salamanders) เป็นวงศ์ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในอันดับซาลาแมนเดอร์ (Caudata) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Salamandridae จัดเป็นซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็ก มีขนาดโตเต็มที่ไม่เกิน 20 เซนติเมตร มีลักษณะโดยรวม คือ ตัวเต็มวัยไม่มีเหงือก และไม่มีช่องเปิดเหงือก ไม่มีร่องในโพรงจมูก มีปอด รูปร่างมีแตกต่างกันตั้แงต่เรียวยาวจนถึงป้อม ขาสั้น ผิวหลังลำตัวมีความแตกต่างกันตั้งแต่ราบเรียบจนถึงหยักย่น สำหรับตัวที่หยักย่นนั้นเนื่องจากมีต่อมน้ำพิษเป็นจำนวนมาก ซึ่งนับได้ว่าเป็นซาลาแมนเดอร์วงศ์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุด นอกจากนี้แล้วยังมีสีสันลำตัวที่สดใสจัดจ้าน โดยเฉพาะด้านข้างลำตัวและหลัง ซึ่งจะใช้พิษและสีเหล่านี้เพื่อใช้ในการเตือนภัยสัตว์ล่าเหยื่อ มีวงจรชีวิตแตกต่างหลากหลายกันออกไปตามแต่สกุล บางสกุลอาศัยอยู่บนบก แต่หลายสกุลอาศัยอยู่ในน้ำและมีส่วนหางเป็นแผ่นแบนคล้ายใบพาย บางชนิดวางไข่บนดิน แต่ส่วนใหญ่จะวางไข่ในน้ำ บางชนิดเปลี่ยนรูปร่างแค่บางส่วนในวัยอ่อนแล้วขึ้นไปอาศัยบนบกตั้งแค่ระยะเวลานาน 1–14 ปี ต่อจากนั้นจึงย้ายกลับไปใช้ชีวิตในน้ำแล้วจึงเปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวเต็มวัยและอาศัยอยู่ในน้ำตลอดไปก็มี มีการกระจายพันธุ์ค่อนข้างกว้างขวางตั้งแต่ทวีปอเมริกาเหนือ, ยุโรป, แอฟริกาตะวันตก, เอเชียตะวันตก และเอเชียตะวันออก สำหรับในประเทศไทย กะท่าง (Tylottriton verrucosus) ซึ่งเป็นซาลาแมนเดอร์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่พบได้ในประเทศไทย พบในดอยสูงทางภาคเหนือที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก ก็จัดอยู่ในวงศ์นี้เช่นกัน และก็มีพิษด้วยเช่นกัน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ซาลาแมนเดอร์แท้ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ซาลาแมนเดอร์เอเชีย

วงศ์ซาลาแมนเดอร์เอเชีย (Asiatic salamander) เป็นวงศ์ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกซาลาแมนเดอร์ ใช้ชื่อวงศ์ว่า Hynobiidae พบกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชียและรัสเซีย พบจนถึงอัฟกานิสถานและอิหร่าน มีความใกล้เคียงกับซาลาแมนเดอร์ยักษ์ (Cryptobranchidae) ซึ่งถือเป็นว่าเป็นซาลาแมนเดอร์ที่ยังมีเค้าโครงมาจากซาลาแมนเดอร์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ จึงจัดอยู่ในอันดับย่อยเดียวกัน คือ Cryptobranchoidea ประมาณครึ่งหนึ่งของสมาชิกในวงศ์นี้ พบในประเทศญี่ปุ่น ซาลาแมนเดอร์วงศ์นี้ มีการปฏิสนธิภายนอกหรือออกลูกเป็นไข่ ซึ่งแตกต่างจากซาลาแมนเดอร์วงศ์อื่นที่ปฏิสนธิภายใน ตัวผู้จะสนใจถุงไข่มากกว่าตัวเมีย ตัวเมียจะวางถุงไข่ครั้งละ 2 ใบ ถุงไข่แต่ละถุงจะมีไข่ได้มากกว่า 70 ใบ จากนั้นตัวอ่อนจะถูกเลี้ยงโดยพ่อแม่ เป็นวงศ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างสมบูรณ์ ตัวเต็มวัยมีเปลือกตาและไม่มีเหงือก ลำตัวป้อม หัวและหางมีขนาดใหญ่ มีขาทั้ง 2 คู่ ส่วนมากมีปอดใหญ่ แต่ในสกุล Ranodon มีปอดเล็กมาก และสกุล Onychodactylus ไม่มีปอด ส่วนใหญ่ซาลาแมนเดอร์วงศ์นี้มีขนาดตัวเล็กและความยาวน้อยกว่า 10 เซนติเมตร ชนิดที่ใหญ่ที่สุดยาว 25 เซนติเมตร ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนบกแต่เคลื่อนย้ายไปยังแหล่งน้ำเพื่อผสมพันธุ์ นอกจากบางชนิดที่อาศัยอยู่ในน้ำและหลายชนิดอาศัยอยู่ในลำธารบนภูเขา หน้า 309, วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก โดย วีรยุทธ์ฺ เลาหะจินดา (พ.ศ. 2552) ISBN 978-616-556-016-0.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ซาลาแมนเดอร์เอเชีย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาบู่

วงศ์ปลาบู่ (Goby) เป็นวงศ์ปลาที่มีจำนวนชนิดมากที่สุดในโลก พบอาศัยอยู่ทั้งในทะเลลึกกว่า 60 เมตร จนถึงลำธารบนภูเขาสูงกว่า 1,000 เมตร พบทั่วโลกในเขตร้อนและเขตอบอุ่นมากกว่า 1,950 ชนิด และพบในประเทศไทยมากกว่า 30 ชนิด ใช้ชื่อวงศ์ว่า Gobiidae (/โก-บิ-ดี้/) มีลักษณะแตกต่างจากปลาอื่น คือ มีลำตัวยาวทรงกระบอก มีส่วนหัวและจะงอยปากมน มีเส้นข้างลำตัวและแถวของเส้นประสาทอยู่บนหัวหลายแถว ครีบหลังแยกเป็น 2 ตอนชัดเจน ครีบหางกลมมน ครีบก้นยาว ครีบอกใหญ่ ครีบท้องส่วนมากจะแยกออกจากกัน แต่ก็มีในบางชนิดที่เชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย เกล็ดมีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ เป็นปลากินเนื้อ กินแมลง, สัตว์น้ำขนาดเล็ก และปลาอื่นเป็นอาหาร วางไข่โดยตัวผู้และตัวเมียช่วยกันดูแล ไข่มีรูปร่างคล้ายผลองุ่นติดกับวัสุดเป็นแพ เมื่อฟักเป็นตัวจะปล่อยให้หากินเอง ส่วนมากมีขนาดเล็กยาวไม่เกิน 20 เซนติเมตร มักอาศัยอยู่ในทะเลและน้ำกร่อย พบในน้ำจืดเพียงไม่กี่ชนิด เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ นิยมบริโภคด้วยการปรุงสด โดยเฉพาะเมนูอาหารจีน เป็นปลาที่มีรสชาติอร่อย ราคาแพง รวมทั้งมีสรรพคุณในการปรุงยา ในปลาชนิดที่มีขนาดเล็กและสีสันสวยงาม นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาบู่ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาบู่ทราย

วงศ์ปลาบู่ทราย (Sleeper, Gudgeon) เป็นวงศ์ปลากระดูกแข็งจำพวกหนึ่งในอันดับปลากะพง (Perciformes) ที่พบได้ในทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล ใช้ชื่อวงศ์ว่า Eleotridae (/เอ็ล-อี-โอ-ทริ-ดี้/) ปลาในวงศ์นี้มีรูปร่างทั่วไปคล้ายปลาในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) คือ มีลำตัวยาวทรงกระบอก ส่วนหัวและจะงอยปากมน มีเส้นข้างลำตัวและแถวของเส้นประสาทอยู่บนหัวหลายแถว ครีบหลังแยกออกเป็น 2 ตอนชัดเจน ครีบหางมนกลม ครีบก้นยาว ครีบอกใหญ่ ซึ่งที่แตกต่างจากปลาในวงศ์ปลาบู่ก็คือ ครีบท้องใหญ่จะแยกจากกัน ซึ่งในวงศ์ปลาบู่จะเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย แยกออกได้ทั้งหมด 35 สกุล 150 ชนิด พบกระจายอยู่ในเขตอบอุ่นทั่วโลก โดยพบทั้งตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกจนถึงอเมริกาใต้ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงนิวซีแลนด์ โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ ปลาบู่ทราย (Oxyeleotris marmorata) ซึ่งสามารถยาวได้ถึง 60-70 เซนติเมตร และเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของไทย และ ปลาบู่สียักษ์ (O. selheimi) พบในออสเตรเลียทางตอนเหนือ ที่ยาวถึง 50.5 เซนติเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาบู่ทราย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาช่อน

วงศ์ปลาช่อน (Snakehead fish) ปลาในวงศ์นี้มีรูปร่างเรียวทรงกระบอก ส่วนหัวโตจะงอยปากยื่น ปากกว้าง ตาโต มีฟันเป็นเขี้ยวบนขากรรไกร หัวด้านบนราบ ถ้าดูจากตอนบนจะโค้งมนคล้ายงู ลำตัวค่อนข้างกลม ครีบหลังและครีบก้นยาว ครีบหางปลายมน ครีบอกใหญ่ ครีบท้องเล็ก เกล็ดมีขนาดใหญ่มีขอบเรียบ ปลาช่อนมีอวัยวะช่วยหายใจเป็นหลืบเนื้อสีแดงอยู่ในคอหอย เรียกว่า Suprabranchia จึงสามารถอยู่ในแหล่งน้ำที่มีออกซิเจนต่ำได้ ใช้ชื่อวงศ์ว่า Channidae (/ชาน-นิ-ดี้/) แพร่พันธุ์โดยการวางไข่โดยตัวผู้และตัวเมียช่วยกันปรับพื้นที่น้ำตื้น ๆ ให้เป็นแปลงกลม แล้ววางไข่ลอยเป็นแพ ตัวผู้เป็นผู้ดูแลไข่จนไข่ฟักเป็นตัวแล้วเลี้ยงลูกปลาจนโต เรียกว่า "ลูกครอก" ซึ่งมีสีแดงหรือส้ม รูปร่างคล้ายพ่อแม่ จากนั้นจึงปล่อยให้หากินเอง พบในเขตร้อนของทวีปแอฟริกาและเอเชีย ปัจจุบันพบทั้งสิ้น 31 ชนิด (และยังมีอีกหลายชนิดที่ยังไม่ได้อนุกรมวิธาน) แบ่งเป็น 2 สกุล คือ Channa 28 ชนิด พบในทวีปเอเชีย และ Parachanna ซึ่งพบในทวีปแอฟริกา 3 ชนิด สำหรับในประเทศไทยพบประมาณ 10 ชนิด ปลาขนาดเล็กสุดคือ ปลาก้าง (C. limbata) ซึ่งมีขนาดโตเต็มที่ไม่เกิน 1 ฟุต และใหญ่ที่สุดคือ ปลาชะโด (C. micropeltes) ที่ใหญ่ได้ถึง 1-1.5 เมตร จัดเป็นวงศ์ปลาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญมาก จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นปลาน้ำจืดที่คนไทยนิยมบริโภคมากเป็นอันดับหนึ่งก็ว่าได้ โดยปลาช่อนชนิดที่นิยมนำมาบริโภคคือ ปลาช่อน (C. straita) ซึ่งพบได้ทุกแหล่งน้ำและทุกภูม.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาช่อน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาฟันสุนัข

วงศ์ปลาฟันสุนัข (อังกฤษ: Dogteeth characin, Saber tooth fish, Vampire characin) เป็นวงศ์ปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ในอันดับปลาคาราซิน (Characiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Cynodontidae (/ไซ-โน-ดอน-ทิ-ดี้/) มีรูปร่างทั่วไป คล้ายกับปลาแปบ ซึ่งอยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ที่พบในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ แต่มีรูปร่างใหญ่กว่ามาก มีส่วนหัวใหญ่และเชิดขึ้นบริเวณปาก ตาโต ลำตัวแบนข้างมาก ส่วนท้องเป็นสันคม เรียวยาว ครีบท้องเรียวยาว ครีบหางแผ่เป็นแผ่นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ปากกว้างและเฉียงลง มีปากมีฟันแหลมคมเป็นซี่ ๆ เห็นชัดเจน โดยเฉพาะฟันคู่ล่างที่เรียวยาวมาก เห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้จะสั้นหรือยาวเพียงใดขึ้นอยู่กับสกุล และชนิด ซึ่งฟันคู่นี้เมื่อหักไปแล้วสามารถงอกขึ้นใหม่ได้ กรามปากทั้งบนและล่างสามารถเก็บฟันที่ยื่นยาวนี้ได้สนิท มีรูปร่างแบนข้างและเพรียวมาก ทำให้สามารถกลับตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ในน้ำ เกล็ดเล็กละเอียดมาก พื้นลำตัวส่วนมากเป็นสีเงินแวววาว พบตามแม่น้ำสายใหญ่ในประเทศต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ ชอบอยู่รวมเป็นฝูง ล่าเหยื่อด้วยการโฉบกินปลาขนาดเล็กกว่าตามผิวน้ำ ว่องไวมากเมื่อล่าเหยื่อ มีทั้งหมด 5 สกุล พบในขณะนี้ราว 14 ชนิด ชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ Hydrolycus armatus ที่เมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 60 เซนติเมตร นิยมตกเป็นเกมกีฬา มีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า "พาราย่า" (Paraya) และนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามด้วย ซึ่งมักมีนิสัยขี้ตกใจเมื่อเลี้ยงในตู้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาฟันสุนัข · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากระบอก

วงศ์ปลากระบอก (วงศ์: Mugilidae (/มู-จิ-ลิ-ดี/)) เป็นปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ที่อยู่ในอันดับ Mugiliformes นับเป็นวงศ์เดียวที่อยู่ในอันดับนี้ ปลากระบอกมีรูปร่างโดยรวมเรียวยาวค่อนข้างกลมเป็นทรงกระบอก ปากเล็ก มีครีบหลัง 2 ตอน เป็นปลาที่พบได้ทั้งในน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล มีตาทรงกลมโต พบทั่วไปในทั้งในทวีปยุโรป, อเมริกาเหนือ และทวีปเอเชีย เช่น อินโด-แปซิฟิก, ฟิลิปปิน และออสเตรเลีย มีพฤติกรรมอยู่รวมเป็นฝูง มีความปราดเปรียวว่องไว เกล็ดโดยมากเป็นสีเงินเหลือบเขียวหรือเทาขนาดใหญ่ ปลากระบอก สามารถแบ่งออกได้เป็นสกุล 17 สกุล ประมาณ 80 ชนิด โดยมีชนิดที่สำคัญ ๆ เป็นที่รู้จักกันดี อาทิ ปลากระบอกท่อนใต้ (Liza vaigiensis), ปลากระบอกดำ (L. parsia), ปลากระบอกขาว (L. seheli) เป็นต้น เป็นปลาที่เป็นที่นิยมในการตกปลา และเป็นปลาเศรษฐกิจ มีการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ในในเชิงการประมง.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากระบอก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากระทิง

วงศ์ปลากระทิง เป็นวงศ์ปลาในอันดับ Synbranchiformes พบในน้ำจืดและน้ำกร่อย มีรูปร่างคล้ายปลาไหล แต่ส่วนหัวและจะงอยปากยื่นแหลม ปากเล็ก จะงอยปากและปลายจมูกเป็นงวงแหลมสั้นปลายแฉก ตาเล็ก ครีบอก ครีบหลัง ครีบก้นและครีบหางเล็ก ด้านหลังมีก้านครีบแข็งสั้นแหลมคมอยู่ตลอดตอนหน้า มีเกล็ดเล็ก ใช้ชื่อวงศ์ว่า Mastacembelidae (/มาส-ทา-เซม-เบล-อิ-ดี้/) อาศัยอยู่ใกล้พื้นท้องน้ำหรืออยู่ในโพรงไม้และรากไม้ หรือฝังตัวอยู่ใต้กรวดหรือพื้นทราย พบทั้งหมดประมาณ 27 ชนิด ใน 3 สกุล (ดูในตาราง) กินอาหารจำพวก กุ้งฝอยและปลาขนาดเล็ก พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทวีปแอฟริกาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และที่เกาะบอร์เนียว พบในประเทศไทยประมาณ 12 ชนิด โดยมีชนิดที่รู้จักกันดี คือ ปลาหลด (Macrognathus siamenis) และ ปลากระทิง (Mastacembelus armatus) นิยมใช้เป็นปลาเพื่อการบริโภค เนื้อมีรสอร่อย และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามและตกเป็นเกมกีฬาด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากระทิง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากระทุงเหว

วงศ์ปลากระทุงเหว หรือ วงศ์ปลาเข็มแม่น้ำ (Needlefish) เป็นวงศ์ปลาในชั้นปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Belonidae (/เบ-ลอน-นิ-ดี/) มีรูปร่างคล้ายปลาในวงศ์ปลาเข็ม (Hemiramphidae) แต่มีขนาดลำตัวใหญ่กว่ามาก ปากแหลมยาวทั้งบนและล่าง และภายในปากมีฟันซี่เล็ก ๆ แหลมคม เกล็ดมีขนาดเล็ก เกล็ดตามแนวเส้นข้างลำตัวมีประมาณ 130-350 แถว ครีบหลังมีก้านครีบแขนงประมาณ 14-23 ก้าน ครีบอกใหญ่แข็งแรง ครีบท้องมีขนาดเล็กมาก เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร โดยไล่ล่าปลาขนาดเล็กกว่ารวมทั้งแมลงและสัตว์น้ำต่าง ๆ กิน นิยมอยู่รวมเป็นฝูง หากินตามผิวน้ำ พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก ส่วนมากจะพบตามบริเวณชายฝั่งทะเลที่ติดกับปากแม่น้ำ จึงจัดเป็นปลาน้ำกร่อยอีกจำพวกหนึ่ง แพร่ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ติดกับวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำ ไข่มักจะมีเส้นใยพันอยู่รอบ ๆ และใช้เวลาประมาณ 6-9 วันถึงจะฟักเป็นตัว นับว่านานกว่าปลาในวงศ์อื่นมาก ลูกปลาในวัยอ่อนส่วนปากจะยังไม่แหลมคมเหมือนปลาวัยโต เป็นปลาที่สามารถกระโดดจากผิวน้ำได้สูงมาก ขนาดใหญ่ที่สุดพบยาวถึง 120 เซนติเมตร นิยมตกกันเป็นเกมกีฬา โดยมีชื่อเรียกเฉพาะในวงการตกปลาว่า "ปลาเต็กเล้ง" บางชนิดมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เช่น ปลากระทุงเหวเมือง (Xenentodon canciloides).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากระทุงเหว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากระโทง

ปลากระโทงร่มอินโด-แปซิฟิก วงศ์ปลากระโทง, วงศ์ปลากระโทงแทง หรือ วงศ์ปลาปากนก ปลากระดูกแข็งขนาดใหญ่จำพวกหนึ่งอาศัยอยู่ในทะเล อยู่ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Istiophoridae โดยคำว่า Istiophoridae ที่ใช้เป็นชื่อวงศ์นั้น มาจากภาษากรีกคำว่า "Ιστίων" (Istion) หมายถึง "ใบเรือ" รวมกับคำว่า "φέρειν" (pherein) หมายถึง "แบกไว้" ปลากระโทง เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่ที่มีความปราดเปรียวและว่องไวมาก จัดเป็นปลาที่สามารถว่ายน้ำได้เร็วที่สุดในโลกด้วยมีกล้ามเนื้อที่ทรงพลัง และกระดูกหลังที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถพุ่งจากน้ำได้เร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง และในฤดูอพยพอาจทำความเร็วได้ 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีลำตัวค่อนข้างกลม ปากกว้าง มีฟันแบบวิลลิฟอร์ม ครีบหลังและครีบก้นมีอย่างละ 2 ครีบ ไม่มีครีบฝอย ครีบท้องมีก้านครีบ 1-3 ก้าน มีสันที่คอดหาง ครีบหางเว้าลึก มีจุดเด่นคือปลายปากด้านบนมีกระดูกยื่นยาวแหลมออกมา ใช้ในการนำทาง ล่าเหยื่อ และป้องกันตัว ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นสิ่งที่เหลืออยู่จากยุคก่อนประวัติศาสตร์ เพื่อป้องกันตัวจากบรรดาปลานักล่าต่าง ๆ ที่มีอยู่ดาษดื่นSuper Fish: fastest predator in the sea, สารคดีทางแอนิมอลพลาเน็ต.ทางทรูวิชั่นส์: เสาร์ที่ 15 มิถุนายน 2556 มีครีบกระโดงหลังมีสูงแหลม ในบางชนิด จะมีกระโดงสูงมากและครอบคลุมเกือบเต็มบริเวณหลัง ดูแลคล้ายใบเรือ มีสีและลวดลายข้างลำตัวแตกต่างออกไปตามแต่ชนิด ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามสภาพอารมณ์ หากตกใจหรือเครียด สีจะซีด และใช้เป็นสิ่งที่แยกของปลาแต่ละตัว โดยมากแล้วมักจะอาศัยหากินอยู่บริเวณผิวน้ำ พบได้ในทะเลเขตอบอุ่นและเขตร้อนทั่วโลก ออกล่าเหยื่อเป็นปลาขนาดเล็กกว่า บางครั้งอาจอยู่รวมเป็นฝูงนับร้อยตัว มักล่าเหยื่อในเวลากลางวัน เนื่องจากเป็นปลาที่ล่าด้วยประสาทสัมผัสทางตาเป็นหลัก สามารถโดดพ้นน้ำได้สูงและมีความสง่างามมาก จึงนิยมตกเป็นเกมกีฬา ได้รับฉายาจากนักตกปลาว่าเป็น "ราชินีแห่งท้องทะล" โดยมักจะออกตกด้วยการล่องเรือไปกลางทะเลและตกด้วยอุปกรณ์ชนิดต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้ด้วยกันเวลาหลายชั่วโมง ด้วยการให้ปลายื้อเบ็ดจนหมดแรงเอง โดยปลากระโทงชนิดที่ใหญ่ที่สุดคือ ปลากระโทงสีน้ำเงิน (Makaira nigricans) เป็นชนิดที่พบที่มหาสมุทรแอตแลนติก ที่สามารถโตเต็มที่ได้ถึง 5 เมตร หนักกว่า 636 กิโลกรัม.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากระโทง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากระเบนหางสั้น

วงศ์ปลากระเบนหางสั้น (Freshwater stingray, River stingray, Short-tail stingray) เป็นปลากระเบนวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Potamotrygonidae โดยคำว่า "Potamotrygon" เป็นภาษากรีก (Ποταμός; potamos) แปลว่า "แม่น้ำ" และภาษากรีกคำว่า "trygon" แปลว่า "ปลากระเบน" พบกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้ มีรูปร่างกลมคล้ายจานข้าวหรือแผ่นซีดี หางมีขนาดสั้นเมื่อเทียบกับปลากระเบนในวงศ์อื่น ๆ พบทั้งหมด 4 สกุล ในหลายชนิด (ดูในเนื้อหาข้างล่าง) บางชนิดหางสั้นมากจนดูขัดกับขนาดลำตัว เช่น ชนิด Paratrygon aiereba มีขนาดแตกต่างออกไปตามชนิด ตั้งแต่มีขนาดไม่เกิน 2 ฟุต เช่น ชนิด Potamotrygon hystrix ไปจนถึงขนาดหนึ่งเมตร เช่น P. motoro มีสีสันด้านบนลำตัวและหางสวยงาม บางชนิดมีสีลำตัวเป็นสีดำ และมีลวดลายเป็นลายจุดสีขาว เช่น P. leopoldi หรือ P. henlei ในบางชนิดมีสีพื้นเป็นสีเหลือง และมีลวดลายสีดำทำให้แลดูคล้ายลายเสือ เช่น P. menchacai ทั้งนี้ลวดลายและสีสันแตกต่างออกไปตามแต่ละตัว ซึ่งในบางครั้งขึ้นอยู่กับถิ่นที่อยู่อาศัยด้วย ทำให้ในชนิดเดียวกัน ยังมีหลายสี หลายลวดลาย อีกด้วย สันนิษฐานว่าเป็นไปเพื่อใช้ในการพรางตัวกับให้กลมกลืนกับสภาพพื้นน้ำ บริเวณโคนหางมีเงี่ยงแข็งอยู่ 2 ชิ้น ใช้สำหรับป้องกันตัว ซึ่งเงี่ยงนี้มีพิษและมีฤทธิ์ในการทำลายเนื้อเยื่อของสิ่งที่ถูกแทง เคยมีมนุษย์เสียชีวิตมาแล้วจากการโดนเงี่ยงนี้แทงโดยไม่ระมัดระวังตัว เพราะเสียเลือดมาก โดยชาวพื้นเมืองในอเมริกาใต้เรียกว่า "Chucho de rio" แปลว่า "สุนัขทะเล" โดยปรกติหากินตามพื้นน้ำ ไม่ค่อยขึ้นมาหากินบนผิวน้ำนัก ในพื้นถิ่นถูกใช้เป็นอาหารและตกเป็นเกมกีฬา จากสีสันที่สวยงามและขนาดของลำตัวที่ไม่ใหญ่และหางที่ไม่ยาวเกินไปนัก จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งพบว่า ปลากระเบนในวงศ์นี้สามารถผสมพันธุ์และออกลูกได้ง่ายกว่าปลากระเบนในวงศ์อื่น สามารถผสมพันธุ์และออกลูกในตู้กระจกได้เลย โดยสามารถให้ลูกครั้งละ 4-5 ตัว ถึง 20 ตัว ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของพ่อแม่ปลาและสายพันธุ์ จึงทำให้ได้รับความนิยมมาก ในบางครั้งมีการผสมข้ามสายพันธุ์เพื่อให้เกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ สีสันและลวดลายใหม่ ที่ไม่สามารถระบุชื่อทางวิทยาศาสตร์ได้ด้วย ซึ่งปลากระเบนในวงศ์นี้เป็นปลาน้ำจืดทั้งหมด แตกต่างไปจากปลากระเบนในวงศ์ปลากระเบนธง ที่พบในน้ำจืดหรือน้ำกร่อยเพียงบางชนิดเท่านั้น และด้วยความที่พบการแพร่กระจายพันธุ์เฉพาะแหล่งน้ำในทวีปอเมริกาใต้เท่านั้น จึงทำให้มีการสันนิษฐานเรื่องธรณีสัณฐานของโลกว่า ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ บริเวณที่เป็นทวีปอเมริกาใต้และแม่น้ำอเมซอนเคยเป็นทะเลมาก่อน ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา และปลากระเบนที่เป็นบรรพบุรุษของวงศ์นี้ก็ได้เข้ามาอยู่อาศัย และวิวัฒนาการจนสามารถอยู่ในน้ำจืดสนิทได้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากระเบนหางสั้น · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากระเบนธง

วงศ์ปลากระเบนธง (Whipray) เป็นวงศ์ของปลากระเบนวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dasyatidae (/แด-ซี-แอท-อิ-ดี้/) พบได้ทั้งน้ำจืดสนิท, น้ำกร่อย และทะเล มีรูปร่างแบนราบ ไม่มีครีบหลัง ส่วนครีบอกแผ่กว้างรอบตัว ปากอยู่ด้านล่าง ตาอยู่ด้านบน มีช่องน้ำเข้า 1 คู่อยู่ด้านหลัง มีขากรรไกรและฟันที่แข็งแรงจำนวนมากเรียงติดต่อกันเป็นแถว ใช้ขบกัดสัตว์เปลือกแข็งซึ่งเป็นอาหารหลักได้ดี ผิวหนังเรียบนิ่มไม่มีเกล็ด ยกเว้นบริเวณกลางหลัง มีส่วนหางที่ยาวเหมือนแส้ ซึ่งคนโบราณนิยมตัดหางมาทำเป็นแส้ เรียกว่า "แส้หางกระเบน" ที่โคนหางมีเงี่ยงแหลมอยู่ 1-2 ชิ้น (พบมากสุดถึง 4 ชิ้น) ที่อาจยาวได้ถึง 31 เซนติเมตร เป็นอาวุธใช้สำหรับป้องกันตัว มีพิษแรง มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 6 และเมื่อหักไปแล้วงอกใหม่ได้ มักมีผู้ถูกแทงบ่อย ๆ เพราะไปแตะถูกเข้าโดยไม่ระวัง เช่น เท้าไปถูกเข้าระหว่างที่ปลาฝังตัวอยู่ใต้ทราย ขณะที่เดินบริเวณหาด เพราะมีพฤติกรรมมักฝังตัวอยู่ใต้พื้นทราย โดยโผล่มาแค่ส่วนตาและเงี่ยงหางเท่านั้น จากการที่มีตาอยู่ด้านบนแต่ปากอยู่ด้านล่างทำให้ไม่สามารถมองเห็นอาหารได้เวลาจะกิน จึงมีอวัยวะรับกลิ่นและอวัยวะรับคลื่นไฟฟ้าในการบอกตำแหน่งของอาหาร แพร่ขยายพันธุ์ด้วยการออกลูกเป็นตัว โดยมีการสืบพันธุ์ในฤดูหนาว ตัวผู้จะว่ายน้ำตามประกบตัวเมียอย่างใกล้ชิดและมักกัดบริเวณขอบลำตัวของตัวเมีย เมื่อจะผสมพันธุ์ตัวผู้จะว่ายไปอยู่ด้านบนแล้วปล่อยน้ำเชื้อเข้าสู่ตัวเมีย โดยส่วนมากจะออกลูกคราวละ 5-10 ตัว ในเลือดของปลาวงศ์นี้มีสารประกอบของยูเรีย จึงมีกลิ่นคล้ายปัสสาว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากระเบนธง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากระเบนนก

วงศ์ปลากระเบนนก (วงศ์: Myliobatidae, Eagle ray) เป็นวงศ์ของปลากระเบนจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Myliobatidae จัดเป็นวงศ์ใหญ่มีวงศ์ย่อยแยกออกไปจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดเป็นปลาที่อาศัยและหากินอยู่ในทะเล โดยมักจะพบรวมตัวกันเป็นฝูง ในบางครั้งอาจเป็นถึงร้อยตัว มีจุดเด่นคือ มีหัวโหนก ครีบด้านข้างแยกออกจากส่วนหัวเห็นได้ชัดเจน และครีบขยายออกด้านข้างเสมือนกับปีกของสัตว์ปีก ปลายแหลม มีซี่กรองเหงือกทั้งหมด 5 ซี่ อยู่ด้านล่างของลำตัว ด้านท้องสีขาว มีส่วนหางเรียวกว่าและเล็กกว่าปลากระเบนในวงศ์ Dasyatidae ด้วยความที่มีครีบแยกออกจากส่วนหัวชัดเจน ทำให้ปลากระเบนในวงศ์นี้สามารถว่ายน้ำไปมาได้อย่างอิสระเหมือนการบินของนก จึงทำให้เป็นที่มาของชื่อเรียก ซึ่งในบางชนิดอาจกระโดดขึ้นเหนือน้ำได้ด้วย โดยมากแล้วมักจะว่ายในระดับผิวน้ำหรือตามแนวปะการัง มีฟันที่หยาบในปาก หากินอาหารได้แก่ ครัสเตเชียน, หอย, หมึก, ปลาขนาดเล็ก รวมทั้งแพลงก์ตอนด้วยในบางสกุล ซึ่งเวลาหากินสัตว์ที่อยู่ตามหน้าดิน จะใช้ปากคุ้ยเขี่ยพื้นทรายเอา บางชนิดอาจว่ายเข้ามาหากินในแหล่งน้ำกร่อยแถบปากแม่น้ำหรือท่าเรือต่าง ๆ ได้ด้วย พบกระจายพันธุ์ในน่านน้ำเขตอบอุ่นทั้ง มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นปลากระเบนขนาดใหญ่ มีขนาดความกว้างโดยเฉลี่ยประมาณ 1.5-2 เมตร ซึ่ง ปลากระเบนแมนตา (Manta spp.) ซึ่งเป็นปลากระเบนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็อยู่ในวงศ์นี้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากระเบนนก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากราย

วงศ์ปลากราย (Featherback fish, Knife fish) เป็นปลากระดูกแข็งน้ำจืดที่อยู่ในอันดับ Osteoglossiformes คือ ปลาที่มีกระดูกแข็งบริเวณส่วนหัวและลิ้น อันเป็นอันดับเดียวกับปลาในวงศ์ปลาตะพัดและปลาไหลผีอะบาอะบา ใช้ชื่อวงศ์ว่า Notopteridae (/โน-ท็อป-เทอ-ริ-เด-อา/; มาจากภาษากรีกคำว่า noton หมายถึง "หลัง" และ pteron หมายถึง "ครีบ") เป็นปลาน้ำจืด มีรูปร่างแบนด้านข้างมาก และเรียวไปทางด้านท้าย ครีบหลังเล็ก ครีบก้นและครีบหางยาวติดกัน จึงใช้ครีบก้นที่ยาวติดกันนี้โบกพริ้วในเวลาว่ายน้ำ ครีบท้องมีขนาดเล็กมาก ปากกว้าง เกล็ดเป็นแบบขอบบางเรียบ และมีขนาดเล็กละเอียด บางครั้งอาจจะขึ้นมาผิวน้ำเพื่อฮุบอากาศโดยไม่ต้องผ่านซี่กรองเหงือกเหมือนเช่นปลาทั่วไปอื่น ๆ เนื่องจากเป็นปลาที่มีอวัยวะพิเศษพัฒนามาจากถุงลมใช้ในการหายใจได้โดยตรง เป็นปลากินเนื้อที่ออกหากินในเวลากลางคืน มีจุดเด่นคือ ครีบก้นที่ต่อกับครีบหาง มีก้านครีบทั้งหมด 85-141 ก้าน เป็นครีบที่ปลาในวงศ์นี้ใช้ในการว่ายน้ำมากที่สุด ไม่ว่าจะเคลื่อนที่ไปทิศทางใด ส่วนที่อยู่เหนือครีบก้นขึ้นไปจะเป็นกล้ามเนื้อหนาทำหน้าที่เช่นเดียวกับครีบก้น ซึ่งส่วนของกล้ามเนื้อตรงนี้ มีชื่อเรียกกันในภาษาพูดว่า "เชิงปลากราย" จัดเป็นส่วนที่มีรสชาติอร่อยมาก พฤติกรรมเมื่อวางไข่ตัวผู้และตัวเมียช่วยกันดูแลไข่ ไข่เป็นก้อนสีขาวทึบ ติดเป็นกลุ่มกับวัสดุใต้น้ำเช่นตอไม้หรือเสาสะพาน เลี้ยงดูลูกจนโต พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทวีปแอฟริกา, เอเชียใต้จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทั้งสิ้น 4 สกุล 10 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากราย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากะพงสลิด

ระวังสับสนกับ ปลาสลิดทะเล วงศ์ปลากะพงสลิด หรือ วงศ์ปลาหางเสือ (Drummer, Sea chub, Rudderfish) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งทะเลวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Kyphosidae ซึ่งมาจากภาษากรีกคำว่า κυφος (kyphos) หมายถึง "โหนก" มีลักษณะโดยรวม คือ เป็นปลาขนาดกลาง ลำตัวป้อม แบนข้าง ครีบหางเว้าตื้น ส่วนหัวมน ปากมีขนาดเล็กคล้ายปลาสลิดทะเล ครีบหลังเชื่อมต่อเป็นครีบเดียว เป็นปลาทะเลทั้งหมด มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง มักหากินอยู่กลางน้ำ ถึงใกล้ผิวน้ำในแนวปะการัง, กองหินใต้น้ำ และวัสดุลอยน้ำต่าง ๆ หลายชนิดพบตามแนวปะทะคลื่น หรือ อ่าวที่มีคลื่นลมรุนแรง กินแพลงก์ตอนสัตว์และเศษอาหารบนผิวน้ำเป็นอาหาร ในแหล่งดำน้ำหลายแห่งมักพบปลาในวงศ์นี้กินขนมปังจากนักท่องเที่ยวเป็นอาหาร สามารถแบ่งออกได้เป็น 42 ชนิด จากทั้งหมด 15 สกุล ซึ่งยังสามารถแบ่งออกได้เป็นวงศ์ย่อยอีก 5 วงศ์ด้วยกัน คือ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากะพงสลิด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากะพงขาว

วงศ์ปลากะพงขาว (Perch) วงศ์ปลาวงศ์หนึ่ง เป็นปลากินเนื้อในอันดับ Perciformes พบได้ทั้งในน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล พบกระจายในภูมิภาคเขตร้อนตั้งแต่ทวีปแอฟริกาจนถึงทวีปเอเชีย ทั้งในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ใช้ชื่อวงศ์ว่า Latidae (/เลท-ที-เด-อา/) มีทั้งหมด 11 ชนิด ใน 3 สกุล ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากะพงขาว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากะพงดำ

วงศ์ปลากะพงดำ (Tripletail) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง ใช้ชื่อว่า Lobotidae ซึ่งคำว่า Lobotidae มาจากภาษากรีกคำว่า "Lobo" หมายถึง ก้านครีบ ลักษณะของปลาในวงศ์นี้ ลักษณะลำตัวแบนค่อนข้างลึก ความยาวหัวจะสั้นกว่าความลึกลำตัว ปากกว้างเฉียงขึ้น มุมปากจะอยู่แนวเดียวกับปุ่มกลางนัยน์ตา ครีบหลังจะเป็นก้านครีบเดี่ยวเป็นซี่ปลายแหลมประมาณ 11-13 ก้าน และก้านครีบแขนง 13-16 ก้าน ส่วนครีบหลัง ครีบก้น ครีบหางขนาดใกล้เคียงกันดูเหมือนจะมีครีบหาง 3 ครีบ อันเป็นที่มาของชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ มีลักษณะเด่นอีกประการ คือ มีสีลำตัวที่ดูเลอะเปรอะเปื้อนเพื่อใช้ในการอำพรางตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม โดยปลาในวงศ์นี้มักจะอยู่ลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ โดยใช้ส่วนหัวทิ่มลงกับพื้น และมักแอบอยู่ตามวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำ เช่น ซากเรือจม, กองหิน หรือ ขอนไม้ และขณะเป็นลูกปลาวัยอ่อนมักจะลอยตัวนิ่ง ๆ ดูเหมือนใบไม้อีกด้วย โดยมักพบตามปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด และมีเพียงสกุลเดียวเท่านั้น ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากะพงดำ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากะพงปากกว้าง

วงศ์ปลากะพงปากกว้าง (Bluegill, Sunfish, Largemouth bass; วงศ์: Centrarchidae) เป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Centrarchidae เป็นปลาน้ำจืดทั้งหมด กระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาเหนือตลอดจนบางส่วนเม็กซิโกส่วนที่ติดกับสหรัฐอเมริกา เป็นปลาที่มีความแตกต่างกันมากในขนาดรูปร่าง ตั้งแต่มีขนาดเพียงไม่กี่เซนติเมตร จนถึง 1 เมตร ในปลากะพงปากกว้าง (Micropterus salmoides) พบประมาณ 27 ชนิด เป็นปลาที่ตัวผู้เป็นฝ่ายดูแลไข่ จนกระทั่งฟักเป็นตัวเป็นลูกปลา จนกระทั่งลูกปลาเริ่มดูแลตัวเองได้ นิยมตกกันเป็นเกมกีฬา มีการนำไปปล่อยตามที่ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่แหล่งกำเน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากะพงปากกว้าง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากะพงแสม

ำหรับปลาข้างตะเภาอีกวงศ์หนึ่ง ดูที่: วงศ์ปลาข้างตะเภา วงศ์ปลากะพงแสม หรือ วงศ์ปลาครืดคราด หรือ วงศ์ปลาข้างตะเภา (Grunt, Sweetlips) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Haemulidae มีลักษณะลำตัวค่อนข้างยาว แบนข้าง มีเกล็ดแบบสาก ส่วนหัวและพรีออร์บิตอลมีเกล็ด ปากค่อนข้างเล็กเป็นแบบเทอร์มินัลเฉียง ริมฝีปากหนา ไม่มีซับออร์คิวลาร์เชลฟ์ กระดูกพรีโอเพอร์เคิลเป็นหยัก ครีบหลังติดกันเป็นครีบเดียว และมีก้านครีบแข็ง 9-15 ก้าน ก้านครีบแข็งของครีบหลังและครีบก้นใหญ่และแข็งแรง ก้านครีบแข็งก้านที่สองของครีบก้นยาวที่สุด ครีบหางกลม ตัดตรงหรือเว้าเล็กน้อยแบบอีมาร์จิเน็ท เป็นปลาที่พบได้ทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ได้ในเขตร้อนและกึ่งร้อนทั่วโลก สามารถแบ่งออกเป็นสกุลต่าง ๆ ได้ 19 สกุล.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากะพงแสม · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากะพงแดง

วงศ์ปลากะพงแดง หรือ วงศ์ปลากะพงข้างปาน (วงศ์: Lutjanidae, Snapper) เป็นวงศ์ปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง อยู่ในอันดับปลากะพง (Perciformes) มีลักษณะคือ มีครีบหลังยาวต่อเนื่องไปจนถึงโคนหาง แบ่งเป็นครีบแข็ง 10-12 ซี่ ครีบอ่อน 10-17 ซี่ ครีบก้นที่เป็นครีบอ่อน 7-11 ซี่ ส่วนหัวใหญ่ ปากมีลักษณะกว้างยาว ยืดหดได้ ฟันมีลักษณะเล็กแหลมคมและมีหลายแถวในขากรรไกร ซึ่งบางชนิดอาจมีฟันเขี้ยวได้เมื่อโตเต็มที่ ริมฝีปากหนา พบทั้งหมด 17 สกุล มีมากกว่า 160 ชนิด โดยมีสกุลใหญ่คือ Lutjanus โดยพบในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่นตั้งแต่มหาสมุทรแอตแลนติก, มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ก็มีบางชนิดที่สามารถปรับตัวให้อาศัยและหากินในน้ำจืดหรือน้ำกร่อยได้ เช่น ปลากะพงแดง (Lutjanus argentimaculatus) หรือ ปลากะพงข้างปาน (L. russellii) เป็นต้น เป็นปลาที่มีความสำคัญต่อมนุษย์เนื่องด้วยเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญจำพวกหนึ่ง และนิยมตกกันเป็นเกมกีฬาด้วย ในน่านน้ำไทยพบประมาณ 25 ชนิด สำหรับชื่อสามัญในภาษาแต้จิ๋วจะเรียกว่า "อังเกย" (紅鱷龜).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากะพงแดง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากะรัง

วงศ์ปลากะรัง หรือ วงศ์ปลาเก๋า (Groupers, Sea basses) วงศ์ปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง จัดเป็นวงศ์ใหญ่ สามารถแบ่งออกเป็นวงศ์ย่อยได้อีกหลายวงศ์ (ดูในเนื้อหา) พบได้ทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Serranidae เป็นปลากินเนื้อเป็นอาหาร มีรูปร่างโดยรวม ลำตัวยาวป้อม แบนข้างเล็กน้อย เกล็ดเล็ก สีตามตัว และครีบเป็นดอกดวง แต้ม หรือบั้ง ฉูดฉาดหรือคล้ำทึบแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดและขนาด ครีบหลังแบ่งเป็น 2 ตอน ตอนแรกเป็นก้านครีบแข็ง ตอนหลังเป็นครีบอ่อนมีลักษณะโปร่งใส มีเกล็ดขนาดเล็กเป็นแบบเรียบและแบบสาก ปากกว้าง มีฟันเล็กบนขากรรไกร เพดานปาก มีฟันเขี้ยวด้านหน้า ครีบท้องมีตำแหน่งอยู่ใต้หรืออยู่หน้าหรืออยู่หลังครีบอก มีขนาดแตกต่างกันมากตั้งแต่มีความยาวเพียงไม่กี่เซนติเมตร จนถึง 2.5 หรือ 3 เมตร หนักถึง 400 กิโลกรัม คือ ปลาหมอทะเล (Epinephelus lanceolatus) ซึ่งเป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุดที่พบในวงศ์นี้ ในบางชนิดสามารถปรับเปลี่ยนเพศได้ตามวัย เช่น ปลากะรังจุดน้ำตาล (E. malabaricus) ในวัยเล็กจะเป็นเพศเมีย แต่เมื่อโตขึ้นน้ำหนักราว 7 กิโลกรัม จะกลายเป็นเพศผู้ สำหรับปลาที่พบในทะเล มักมีพฤติกรรมชอบตามลำพังหรือเป็นคู่เพียงไม่กี่ตัวตามโขดหิน แนวปะการังหรือกองหิน กองซากปรักหักพังใต้น้ำ ออกหากินในเวลากลางคืน สามารถพบได้จนถึงบริเวณปากแม่น้ำ หรือป่าชายเลน มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างมาก โดยหลายชนิดนิยมบริโภคเป็นปลาเศรษฐกิจ เช่น ปลากะรังปากแม่น้ำ (E. tauvina) หรือ ปลาเก๋าเสือ (E. fuscoguttatus) เป็นต้น จึงมีการเพาะเลี้ยงเป็นปลาอาชีพ โดยนิยมเลี้ยงในกระชัง มีชื่อสามัญในภาษาไทยอื่น ๆ เช่น "ปลาเก๋า" หรือ "ปลาตุ๊กแก".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากะรัง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากะแมะ

วงศ์ปลากะแมะ (Chaca, Squarehead catfish, Frogmouth catfish, Angler catfish) เป็นวงศ์ปลาในอันดับปลาหนัง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Chacidae (/ชา-คิ-ดี้/) มีรูปร่างแปลกอย่างเห็นได้ชัด มีส่วนหัวที่แบนราบ ปากกว้าง ตาเล็ก ครีบหลังสั้นมีก้านครีบเดี่ยว 1 ก้าน และก้านครีบแขนง 3-4 ก้าน ครีบท้องใหญ่แล ครีบหางแผ่กว้างปลายหางยกขึ้น เห็นสะดุดตา ครีบก้นสั้นประมาณ 8-10 ครีบ ไม่มีก้านครีบแข็ง ผิวหนังย่นและมีตุ่มขนาดต่างๆ เป็นติ่งหนังอยู่โดยรอบ โดยเฉพาะบริเวณปาก เพื่อหลอกล่อเหยื่อ ตัวมีสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลคล้ำ มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณไม่เกิน 20 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในน้ำที่มีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ประมาณ 6.5-8.0 ในป่าพรุ พบตั้งแต่อินเดียจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักกบดานอยู่นิ่ง ๆ กับพื้น เพื่อดักรออาหารได้แก่ ลูกปลาและลูกกุ้งขนาดเล็ก มีทั้งหมด 1 สกุล คือ Chaca (/ชา-คา/) แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากะแมะ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากัด ปลากระดี่

วงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Labyrinth fishes, Gouramis, Gouramies) เป็นวงศ์ปลาน้ำจืดวงศ์ใหญ่ ใช้ชื่อวงศ์ว่า Osphronemidae (/ออฟ-โฟร-นิ-มิ-ดี้/) พบกระจายอย่างกว้างขวางตั้งแต่ภูมิภาคเอเชียใต้, อนุทวีปอินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงเกาหลี โดยมากปลาที่อยู่ในวงศ์นี้จะมีลักษณะเป็นปลาขนาดเล็ก ลำตัวป้อมแบน เกล็ดสากเป็นแบบทีนอยด์ มีสีสันสวยงาม ตัวผู้มีขนาดใหญ่และสีสดสวยกว่าตัวเมีย ครีบอกคู่แรกเป็นเส้นยาวใช้สำหรับสัมผัส มีความสามารถพิเศษคือ มีอวัยวะช่วยในการหายใจอยู่ในเหงือก เรียกว่า "อวัยวะเขาวงกต" (Labyrinth organ) จึงทำให้สามารถฮุบอากาศจากบนผิวน้ำได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านเหงือกเหมือนปลาทั่วไป จึงสามารถอยู่ในน้ำที่มีออกซิเจนต่ำได้ มักอยู่ในแหล่งน้ำนิ่งขนาดเล็ก เช่น ห้วย, หนอง, บึง, นาข้าว หรือ ร่องสวนมากกว่าแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น คลอง หรือ แม่น้ำ ในบางสกุล ตัวผู้จะใช้น้ำลายผสมกับอากาศเรียกว่า "หวอด" ก่อติดกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อวางไข่ และตัวผู้จะเป็นผู้ดูแลรักษาไข่และตัวอ่อน เป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าว ในบางชนิดตัวผู้เมื่อพบกันจะกัดกันจนตายกันไปข้าง ปลาในวงศ์นี้ส่วนใหญ่มีขนาดไม่เกิน 10 เซนติเมตร และมีสีสันสวยงาม จึงนิยมนำมาเลี้ยงเป็นปลาสวยงามมากกว่าบริโภค เป็นที่รู้จักกันดีเช่น ปลากัด (Betta spendens), ปลากระดี่นางฟ้า (Trichogaster trichopterus) ปลาพาราไดซ์ (Macropodus opercularis) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ปลาบางชนิดเป็นปลาเศรษฐกิจที่นำมาบริโภคได้ เช่น ปลาสลิด (Trichogaster pectoralis) และปลาแรด (Osphronemus goramy) สำหรับปลาแรดซึ่งมีขนาดใหญ่ได้ถึง 90 เซนติเมตร และพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ตลอดไปจนถึงมาเลเซียและอินโดนีเซี.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากังจีรู

ปลากังจีรู หรือ ปลาแคนดีรู (Candiru; Candirú; Parasitic catfish, Pencil catfish) เป็นปลาน้ำจืดวงศ์หนึ่งในกลุ่มปลาไม่มีเกล็ด (Siluriformes) เป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ Trichomycteridae พบได้ในแม่น้ำแอมะซอน และเป็นที่กล่าวกันในหมู่ชนพื้นเมืองว่าเป็นปลาที่น่ากลัวที่สุด มากกว่าปลาปิรันยาเสียอีก ปลาชนิดนี้มีความยาวเมื่อโตเต็มที่เพียงไม่กี่นิ้ว ลำตัวยาวเหมือนปลาไหล และมีลักษณะโปร่งแสง ทำให้มองแทบไม่เห็นเมื่ออยู่ในน้ำ ปลากังจีรูเป็นปรสิต มันจะว่ายเข้าไปในช่องเหงือกของปลาชนิดอื่น และกินเลือดในเหงือกเป็นอาหาร ชนพื้นเมืองกลัวปลากังจีรูเพราะมันไวต่อปัสสาวะและเลือด ถ้ามีคนเปลือยกายอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำ มันจะว่ายเข้าไปทางช่องเปิดของร่างกาย (อาจเป็นทวารหนักหรือช่องคลอด หรือถ้าเป็นปลาที่ตัวเล็กมาก ก็อาจเข้าไปทางอวัยวะเพศชายได้) แล้วก็จะดูดกินเลือดและเนื้อเยื่อในร่างกายมนุษย์เหมือนในช่องเหงือกของปลา การปัสสาวะขณะอาบน้ำก็เป็นการเพิ่มโอกาสให้ปลาจำพวกนี้เข้าสู่ท่อปัสสาวะของมนุษย์ได้ นอกจากนี้แล้วจากรายงานทางการแพทย์ของบราซิล พบว่า ปลาจำพวกนี้สามารถเจาะชอนไชเข้าไปในร่างกายของมนุษย์ได้ด้วย และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ในบางกรณีพบว่ามีปลาจำนานมากนับเป็นร้อยตัว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากังจีรู · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากุเรา

วงศ์ปลากุเรา (Threadfins) เป็นวงศ์ปลาในอันดับ Perciformes ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Polynemidae (/โพ-ลี-นี-มิ-ดี/) มีรูปร่างทั่วไปเป็นทรงกระบอก ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย หัวและจะงอยปากทู่ ปากกว้างอยู่ด้านล่างของจะงอยปาก ตาเล็กอยู่ตอนปลายของหัวและมีเยื่อไขมันบาง ๆ คลุม ครีบหลังแบ่งเป็น 2 ตอนอยู่ห่างกัน ตอนแรกเป็นก้านแข็งสั้น ตอนท้ายเป็นก้านอ่อน ครีบหางเว้าลึก ครีบอกแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนบนเป็นครีบยาวแหลม ส่วนล่างเป็นเส้นยาวแยกออกเป็นเส้นตั้งแต่ 4 - 14 เส้น มีความยาวแล้วแต่ชนิด เกล็ดเป็นแบบสากมีขนาดเล็กละเอียด เป็นปลากินเนื้อ โดยกินกุ้ง, ปลา หาเหยื่อและสัมผัสได้ด้วยครีบอกที่เป็นเส้น มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ พบในเขตอบอุ่นทั่วโลก โดยมากเป็นปลาทะเล พบในน้ำกร่อยและน้ำจืดเพียงไม่กี่ชนิด มีทั้งหมด 8 สกุล 38 ชนิด มีขนาดใหญ่สุดได้ถึง 2 เมตร คือ ปลากุเราแอฟริกา (Polydactylus quadrifilis) พบในประเทศไทยประมาณ 10 ชนิด เช่น ปลากุเรา 4 หนวด (Eleutheronema tetradactylum) เป็นต้น แต่มีเพียง 3 ชนิดเท่านั้นที่พบในน้ำจืด คือ ปลาหนวดพราหมณ์หนวด 7 เส้น (Polynemus paradiseus), ปลาหนวดพราหมณ์ทอง (P. melanochir) และ ปลาหนวดพราหมณ์หนวด 14 เส้น (P. multifilis) นอกจากนี้แล้วยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย สำหรับปลาที่พบในน้ำจื.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากุเรา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากด

วงศ์ปลากด (Naked catfishes, Bagrid catfishes) เป็นปลาหนังไม่มีเกล็ด ในวงศ์ Bagridae (/บา-กริ-ดี้/) มีส่วนหัวค่อนข้างแบนราบ แต่ลำตัวแบนข้างไปทางด้านท้าย ปากกว้างอยู่ที่ปลายสุดของจะงอยปาก มีฟันซี่เล็กแหลมขึ้นเป็นแถวบนขากรรไกรและเพดาน มีหนวด 4 คู่ โดยคู่ที่อยู่ตรงริมฝีปากยาวที่สุด ครีบหลังและครีบอกเป็นก้านแข็ง หรือเรียกว่า เงี่ยง ครีบไขมันค่อนข้างยาว ครีบหางเว้าลึก ในตัวผู้มักมีติ่งเล็กๆ ที่ช่องก้น มีการกระจายพันธุ์ตามแหล่งน้ำจืดไปจนถึงน้ำกร่อยตั้งแต่ทวีปแอฟริกา, อนุทวีปอินเดีย, เอเชียอาคเนย์ ไปจนถึงหมู่เกาะซุนดา พบประมาณ 200 ชนิด สำหรับในประเทศไทย จัดเป็นปลาหนังวงศ์ที่พบมากชนิดที่สุดของไทย โดยพบมากกว่า 25 ชนิด เป็นปลากินเนื้อ มีนิสัยดุร้ายก้าวร้าว มีพฤติกรรมมักกบดานอยู่กับพื้นนิ่ง ๆ ถ้าไม่พบอาหารหรือล่าเหยื่อจะไม่เคลื่อนไหว กินอาหารได้หลากหลาย ตั้งแต่แมลง, ปลา, กุ้ง, ซากพืชซากสัตว์เน่าเปื่อย เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ นิยมนำมาบริโภคบ่อย ปลาในวงศ์นี้ มีชื่อสามัญในภาษาไทยมักเรียกรวม ๆ กันว่า "ปลากด" ในปลาขนาดใหญ่ และ "ปลาแขยง" (ปลาลูกแหยง ในภาษาใต้) หรือ "ปลามังกง" ในปลาขนาดเล็ก โดยมีสกุลที่ใหญ่ที่สุดคือสกุล Rita ที่พบได้ในประเทศอินเดียและแม่น้ำสาละวินที่เมื่อโตเต็มที่อาจใหญ่ได้ถึง 2 เมตร.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากดอเมริกัน

วงศ์ปลากดอเมริกัน หรือ วงศ์ปลากดหลวง (Bullhead catfish, North American freshwater catfish) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งน้ำจืด ในอันดับปลาหนัง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Ictaluridae (/อิค-ทา-ลู-ริ-ดี้/; มาจากภาษากรีก ιχθυς หมายถึง "ปลา" และ αιλουρος หมายถึง "แมว" หรือ"ปลาหนัง") มีหนวด 4 คู่ ผิวไม่มีเกล็ด ครีบอกมักจะมีก้านครีบแข็ง ครีบหลังมักจะมีก้านครีบอ่อน 6 ก้าน มีฟันในเพดานปาก ยกเว้นในสกุล Astephus ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว ก้านครีบแข็งมีพิษ พบทั้งหมด 7 สกุล (ดูในตาราง) 45 ชนิด เป็นปลาขนาดใหญ่ ชนิดที่ใหญ่ที่สุดคือ ปลากดอเมริกันสีน้ำเงิน (Ictalurus furcatus) มีบันทึกว่ามีน้ำหนักมากกว่า 50 กิโลกรัม (110 ปอนด์) ความยาวสูงสุดคือ 160 เซนติเมตร (5.2 ฟุต) ขณะที่ชนิดเล็กเมื่อโตเต็มที่ก็จะมีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม (1 ปอนด์) ในขณะที่บางชนิดไม่มีตา เป็นปลาที่กระจายพันธุ์ตั้งแต่ทวีปอเมริกาเหนือจนถึงกัวเตมาลา Nelson, Joseph S. (2006).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากดอเมริกัน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากดอเมริกาใต้

วงศ์ปลากดอเมริกาใต้ หรือ วงศ์ปลากดหนวดยาว (Long-whiskered catfish) เป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดกระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pimelodidae (/พาย-มิ-โล-ดิ-ดี้/) ปลาในวงศ์นี้จะลักษณะเด่นตรงที่มีหนวด 3 คู่ มีครีบไขมัน ขณะที่ก้านครีบแข็งที่ครีบอกอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ ปากกว้าง ภายในปากไม่มีฟันแหลมคม แต่จะเป็นตุ่มสาก ๆ สีแดงเหมือนฟองน้ำ หลายชนิดมีพฤติกรรมการกินอาหาร โดยการเขมือบฮุบกินไปทั้งชิ้นหรือทั้งตัว โดยที่ไม่มีการกัดหรือเคี้ยว พบกระจายพันธุ์อยู่ในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ ขนาดลำตัวมีตั้งแต่เพียงไม่กี่เซนติเมตร แต่ส่วนมากเป็นปลาขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ ปลาพิไรบ้า (Brachyplatystoma filamentosum) ที่มีความยาวกว่า 3 เมตร จัดเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ และถือเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันเป็นปกติในท้องถิ่น และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยแบ่งออกได้เป็น 32 สกุล ประมาณ 90 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากดอเมริกาใต้ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลากดทะเล

วงศ์ปลากดทะเล หรือ วงศ์ปลาอุก (Sea catfishes, Crucifix catfishes, Fork-tailed catfishes) จัดอยู่ในกลุ่มปลาที่มีก้านครีบ ในอันดับปลาหนัง ซึ่งเป็นปลาที่หากินตามพื้นน้ำ โดยมากจะไม่มีเกล็ด มีครีบแข็งที่ก้านครีบอก มีหนวด โดยมากเป็นปลากินซาก ทั้งซากพืช ซากสัตว์ พบทั้งน้ำจืด, น้ำเค็ม และน้ำกร่อย ทั่วเขตอบอุ่นของโลก ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ariidae (/อา-รี-อาย-ดี้/) สำหรับปลาในวงศ์นี้ เป็นปลาที่อาศัยในบริเวณน้ำกร่อย เช่น ปากแม่น้ำ และในทะเล ส่วนมากมีรูปร่างคล้ายปลาสวายแต่มีส่วนหัวที่โตกว่าและแบนราบเล็กน้อย ครีบหลังยกสูงมีก้านแข็งคมเช่นเดียวกับครีบอก ครีบไขมันใหญ่ ครีบก้นสั้น ครีบหางเว้าลึก มีหนวด 1-3 คู่รอบปาก บนเพดานมีฟันเป็นแถบแข็งรูปกลมรี โดยการแพร่พันธุ์ ตัวผู้จะอมไข่ไว้ในปาก รอจนกว่าไข่จะฟักเป็นตัว โดยหลังจากการผสมพันธุ์ภายนอกแล้วตัวเมียจะใช้ครีบก้นที่มีขนาดใหญ่และหนากว่าตัวผู้อุ้มไข่ไว้แล้วให้ตัวผู้มารับไป ไข่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 0.5-1 เซนติเมตร แล้วแต่ชนิด กระจายพันธุ์ทั่วเขตร้อนของโลก พบในประเทศไทยประมาณ 20 ชนิด เช่น ปลาริวกิว หรือปลาลู่ทู (Arius thalassinus) และพบในน้ำจืดราว 10 ชนิด เช่น ปลากดหัวโต (Ketengus typus), ปลาอุก (Cephalocassis borneensis), ปลาอุกจุดดำ (Arius maculatus), ปลาอุกหัวกบ (Batrachocephalus mino) และ ปลากดหัวผาน (Hemiarius verrucosus) เป็นต้น จินตภาพของกะโหลกปลากดทะเล (ขวา) ที่มองเห็นเป็นรูปพระเยซูตรึงกางเขน (ซ้าย) โดยมากปลาในวงศ์นี้ จะถูกเรียกรวมกันว่า "อุก" เนื่องจากเมื่อถูกจับพ้นน้ำได้แล้วจะส่งเสียงร้องได้ โดยส่งเสียงว่า "อุก อุก" นอกจากนี้แล้ว ในมุมมองของชาวตะวันตก เมื่อมองกะโหลกของปลาในวงศ์นี้ซึ่งเป็นกระดูกแข็ง ก่อให้เกิดเป็นจินตภาพเห็นภาพมีคนหรือพระเยซูตรึงกางเขนอยู่ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญในภาษาอังกฤษที่ว่า "Crucifix catfish".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลากดทะเล · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลามังกรน้อย

วงศ์ปลามังกรน้อย (Dragonet, Scotter blenny, ชื่อวิทยาศาสตร์: Callionymidae) เป็นวงศ์ปลาทะเลขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง อยู่ในอันดับปลากะพง (Perciformes) มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) ซึ่งอยู่ในอันดับเดียวกัน แต่วงศ์ปลามังกรน้อยไม่จัดอยู่ในวงศ์ปลาบู่ แต่กลับมีความใกล้เคียงกับปลาในวงศ์ปลามังกรน้อยลาด (Draconettidae) มากกว่า โดยคำว่า "Callionymidae" ที่ใช้เป็นชื่อวงศ์นั้นมาจากภาษากรีกคำว่า "Kallis" ซึ่งแปลว่า "สวย" และ "onyma" แปลว่า "ชื่อ" เป็นปลาขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ราว 10 เซนติเมตร โดยชนิดที่มีความยาวที่สุด 17 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในเขตร้อนและเขตอบอุ่นของอินโด-แปซิฟิก หากินโดยใช้ปากที่มีขนาดเล็กคุ้ยเขี่ยพื้นทรายหากินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร โดยจะหากินในเวลากลางคืนเริ่มตั้งแต่พลบค่ำ ตามแนวปะการังหรือกองหินใต้น้ำ มีรูปร่างโดยรวม คือ มีส่วนหัวขนาดโต ดวงตากลมมีขนาดใหญ่ มีครีบต่าง ๆ ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะครีบหางและครีบท้อง ซึ่งแข็งแรงมาก มีพฤติกรรมใช้ครีบท้องนี้คืบคลานหาอาหารตามพื้นทรายมากกว่าจะว่ายน้ำ โดยมีครีบหางเป็นเครื่องบังคับทิศทาง มีเงี่ยงครีบหลัง 4 ก้าน มีก้านครีบอ่อน 6-11 ก้าน ก้านครีบก้น 4-10 ก้าน มีเส้นข้างลำตัว มีกระดูกเรเดียส 3 ชิ้น ตัวผู้และตัวเมียมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือ ตัวผู้มีกระโดงครีบหลังชี้ยาวออกมาเห็นเป็นจุดเด่น ขณะที่ตัวเมียไม่มี โดยมากแล้วมีสีสันและลวดลายสดใสสวยงามมาก มีพฤติกรรมการวางไข่ โดยตัวผู้จะว่ายน้ำไปรอบ ๆ ตัวเมีย พร้อมเบ่งสีและครีบต่าง ๆ เพื่อเกี้ยวพา เมื่อตัวเมียปล่อยไข่ออกมาแล้ว ตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าผสมทันที ไข่จะลอยไปตามกระแสน้ำ ตัวอ่อนใช้ชีวิตเบื้องต้นเป็นเหมือนแพลงก์ตอน ในบางชนิดมีรายงานว่ามีพิษด้วย ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานแล้ว 18 สกุล (ดูในตาราง) ราว 130 ชนิด และเนื่องจากเป็นปลาสวยงาม จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามในตู้ปะการัง ซึ่งบางชนิดสามารถเพาะเลี้ยงในที่เลี้ยงได้แล้ว อาทิ ปลาแมนดาริน (Synchiropus splendidus), ปลาแมนดารินจุด (S. picturatus) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลามังกรน้อย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลายอดม่วง

วงศ์ปลายอดม่วง (Tonguefishes) ปลาในวงศ์นี้เป็นปลาที่อยู่ในอันดับ Pleuronectiformes ใช้ชื่อวงศ์ว่า Cynoglossidae (/ไซ-โน-กลอส-ซิ-ดี้/) มีรูปร่างแปลกอย่างเห็นได้เด่นชัดจากปลาในอันดับเดียวกัน เพราะมีลำตัวที่แบนราบ เรียวยาวส่วนท้ายแหลมดูคล้ายใบของมะม่วง ตามีขนาดเล็กอยู่ชิดกันที่ด้านเดียวกัน เมื่อยังเล็กตาจะอยู่ด้านละข้าง แต่เมื่อโตขึ้นกะโหลกจะบิด จึงทำให้รูปร่างศีรษะบิดตาม ตาจึงเปลี่ยนมาอยู่ข้างเดียวกัน จะงอยปากงุ้มและเบี้ยว ปลายริมฝีปากบนเป็นติ่งแหลมโค้ง ปากค่อนข้างกว้าง ส่วนหัวหันไปทางซ้ายได้โดยที่ซีกขวาอยู่ด้านบน ซึ่งจะแตกต่างไปจากวงศ์ปลาลิ้นหมา (Soleidae) อาศัยอยู่บริเวณพื้นท้องน้ำ ว่ายน้ำโดยขนานกับพื้นดินและพริ้วตัวตามแนวขึ้นลง สามารถมุดลงใต้ทรายได้เร็วเวลาตกใจ อาหารได้แก่สัตว์หน้าดินขนาดเล็ก เช่น ลูกกุ้ง, ลูกปลาและอินทรียสารต่าง ๆ มีทั้งสิ้น 3 สกุล ประมาณ 110 ชนิด มีขนาดแตกต่างกันไปตามชนิด เล็กสุดเพียง 5 เซนติเมตร ใหญ่สุดถึง 60 เซนติเมตร ส่วนมากเป็นปลาทะเล ที่พบในทะเลเช่น ปลายอดม่วงหงอนยาว (Cynoglossus lingua), ปลายอดม่วงเกล็ดใหญ่ (C. macrolepidotus) พบในน้ำจืดไม่กี่ชนิด พบในประเทศไทยมากกว่า 20 ชนิด พบในน้ำจืดเพียง 2 ชนิด ได้แก่ ปลายอดม่วงเกล็ดถี่ (C. microlepis) และปลายอดม่วงลาย (C. fledmanni) เป็นปลาที่ใช้บริโภคเป็นปลาเศรษฐกิจเช่นเดียวกับปลาในวงศ์ปลาลิ้นหมา และมักจะถูกเรียกซ้ำซ้อนกับปลาในวงศ์ปลาลิ้นหมาด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลายอดม่วง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลายอดจาก

วงศ์ปลายอดจาก (Pike congers, False congers) วงศ์ของปลากระดูกแข็งทะเลวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Muraenesocidae จัดเป็นปลาไหลแท้อีกจำพวกหนึ่ง เป็นปลาไหลขนาดใหญ่ มีลักษณะเด่น คือ ลําตัวยาวทรงกระบอก ส่วนหางแบนข้าง ไม่มีเกล็ด ปากกว้าง จะงอยปากบนยาวลํ้ากรามล่าง ฟันแหลมคมแข็งแรง ครีบอกใหญ่ พื้นลําตัวและครีบสีนํ้าตาลอ่อนปนเหลืองหรือคลํ้า ด้านท้องสีขาว ขอบครีบหลัง, ครีบก้น และครีบหางสีดํา ตากลมโตมีขนาดใหญ่ มีความยาวได้ถึง 1.5 เมตร พบกระจายพันธุ์ในทะเลเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน บางชนิดอาจพบได้ตามแหล่งน้ำกร่อย เช่น ปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน เช่น ปลายอดจากปากสั้น (Congresox talabon) และปลายอดจากปากยาว (C. talabonoides) นิยมนำมาปรุงเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลายอดจาก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาลิ้นหมา

วงศ์ปลาลิ้นหมา (True sole) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็ง ในอันดับ Pleuronectiformes เป็นปลาลิ้นหมาที่มีลำตัวแบนราบ ใช้ชื่อวงศ์ว่า Soleidae (/โซล-อิ-ดี้/) มีตาเล็กอยู่ชิดกันที่ด้านเดียวกัน โดยส่วนหัวจะหันไปทางขวา โดยมีครีบหลังอยู่ด้านบน รูปร่างเป็นรูปไข่หรือวงรี เรียวที่ด้านท้าย ปากเล็กเป็นรูปโค้งอยู่ปลายสุดของจะงอยปาก ครีบอกและครีบก้นเล็ก ครีบหลังยาวตลอดลำตัว มีก้านครีบอ่อนสั้น ๆ เชื่อมต่อกับครีบหางและครีบก้น เกล็ดเล็กเป็นแบบสาก ลำตัวด้านบนมีสีคล้ำ มีลวดลายต่าง ๆ และเส้นข้างลำตัวหลายเส้น ลำตัวด้านล่างสีขาว เมื่อยังเป็นปลาวัยอ่อนจะมีตาอยู่คนละซีกเหมือนปลาทั่ว ๆ ไป แต่จะย้ายมาอยู่ข้างเดียวกันเมื่อโตขึ้น และลำตัวด้านซ้ายจะกลายเป็นด้านที่ไม่มีตาและอยู่ด้านล่างแทน มีรูก้นและช่องท้องอยู่ชิดกับส่วนล่างของหัวด้านท้าย อาศัยอยู่บริเวณพื้นท้องน้ำ ว่ายน้ำโดยขนานกับพื้นและพริ้วตัวตามแนวขึ้นลง สามารถมุดใต้พื้นทรายหรือโคลนได้เวลาตกใจ กินสัตว์หน้าดินขนาดเล็กเป็นอาหาร เช่น ไส้เดือนน้ำ, ลูกกุ้ง, ลูกปลาขนาดเล็ก พบในทะเลเขตร้อนและอบอุ่นทั่วโลก พบทั้งหมด 22 สกุล 89 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาลิ้นหมา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาลิ้นหมาอเมริกัน

วงศ์ปลาลิ้นหมาอเมริกัน (วงศ์: Achiridae, American Sole) เป็นปลาลิ้นหมาวงศ์หนึ่ง โดยมีความคล้ายคลึงกับปลาลิ้นหมาในวงศ์ Soleidae มีรูปร่างที่แตกต่างไปจากปลาในอันดับเดียวกันนี้วงศ์อื่น ๆ คือ ดวงตาทั้งสองข้างจะอยู่บนลำตัวซีกขวาและอยู่ชิดกันมาก ตาข้างหนึ่งอยู่ต่ำกว่าปากอย่างเห็นได้ชัด ปากเชิดขึ้น มีฟันเพียงเล็กน้อยหรืออาจไม่มีเลย เกือบทั้งหมดจะมีลำตัวกลมหรือกลมรี บริเวณข้างลำตัวมีขนาดกว้าง มีเส้นข้างลำตัวเหนือบริเวณข้างลำตัวด้านบน ครีบหลังและครีบทวารจะแยกออกจากครีบหาง ครีบอกมีขนาดเล็กหรืออาจจะไม่มีเลย อาศัยอยู่ในเขตอากาศอบอุ่น เขตน้ำตื้นที่มีพื้นทรายหรือโคลนเลน กินพวกสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นอาหาร โดยแพร่กระจายพันธุ์ทั้งในทะเล, น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ของชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกตั้งแต่ทวีปอเมริกาเหนือไปจนถึงทวีปอเมริกาใต้ มีทั้งหมด 9 สกุล 28 ชนิด บางชนิดมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เช่น Catathyridium jenynsii.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาลิ้นหมาอเมริกัน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาลิ้นหมาตาข้างขวา

วงศ์ปลาลิ้นหมาตาข้างขวา หรือ วงศ์ปลาแฮลิบัต (Righteye flounder, Halibut, Dab) เป็นปลากระดูกแข็งในอันดับปลาซีกเดียว (Pleuronectiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Pleuronectidae ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทะเล มีบางชนิดเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในน้ำกร่อย และชนิดที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดจะหาได้ยากมาก แพร่กระจายในมหาสมุทรอาร์กติก, แอตแลนติก, อินเดีย และแปซิฟิก ตาทั้งสองข้างโดยปกติอยู่ด้านขวา ครีบไม่มีก้านครีบ ครีบหลังและครีบทวารยาวและต่อเนื่องกัน โดยที่ครีบหลังจะยาวเลยส่วนหัวไป ถุงลมที่ช่วยในการว่ายน้ำจะหายไปเมื่อปลาโตขึ้น เม็ดสีด้านที่หงายขึ้นจะสามารถปรับเปลี่ยนผิวหนังให้เข้ากับสภาพพื้นใต้น้ำได้ดี ปลาในวงศ์นี้จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอันดับนี้ เป็นปลาที่มักพบอาศัยในน้ำลึก อาจจะพบได้ลึกถึง 2,000 เมตร (6,600 ฟุต) พบทั้งหมดประมาณ 101 ชนิด ใน 41 สกุล 8 วงศ์ย่อย (ดูในตาราง-ขณะที่บางข้อมูลจะแบ่งเพียงแค่ 5) โดยชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ปลาแอตแลนติกแฮลิบัต (Hippoglossus hippoglossus) ที่ใหญ่ได้กว่าถึง 2-4.7 เมตร โดยคำว่า Pleuronectidae ที่ใช้เป็นชื่อวงศ์นั้น มาจากภาษากรีก คำว่า πλευρά (pleura) หมายถึง "ด้านข้าง" และ νηκτόν (nekton) หมายถึง "ว่ายน้ำ".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาลิ้นหมาตาข้างขวา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาลิ้นหมาตาข้างซ้าย

วงศ์ปลาลิ้นหมาตาข้างซ้าย (Lefteye flounder, Turbot) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งในอันดับปลาซีกเดียว (Pleuronectiformes) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Bothidae (/โบ-ทิ-ดี/) ปลาลิ้นหมาในวงศ์นี้ มีรูปร่างคล้ายปลาลิ้นหมาในวงศ์ปลาลิ้นหมา (Soleidae) และวงศ์ปลาลิ้นหมาตาข้างขวา (Pleuronectidae) แต่ว่าปลาในวงศ์นี้ เมื่อโตขึ้นมา ตาทั้งคู่จะอยู่ทางซีกซ้ายของหัว เหมือนปลาในวงศ์ปลาลิ้นเสือ (Paralichthyidae) และวงศ์ปลายอดม่วง (Cynoglossidae) มีแกนครีบ ครีบหลังเริ่มที่เหนือบริเวณตา ครีบหลังและครีบทวาร แยกจากครีบหาง ขณะที่พื้นลำตัวส่วนมากเป็นสีน้ำตาลและส่วนมากมีจุดประสีเข้ม เป็นวงกลมคล้ายวงแหวนดูเด่น ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานแบ่งไว้ทั้งหมด 20 สกุล (ดูในตาราง) พบประมาณ 158 ชนิด และพบได้เฉพาะในทะเลและมหาสมุทรเท่านั้น พบได้ทั้งในเขตร้อน, เขตอบอุ่น และเขตหนาว จัดเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาลิ้นหมาตาข้างซ้าย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาลิ้นเสือ

วงศ์ปลาลิ้นเสือ หรือ วงศ์ปลาลิ้นหมาฟันใหญ่ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Paralichthyidae) เป็นปลากระดูกแข็งในอันดับปลาซีกเดียว (Pleuronectiformes) พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแอตแลนติก, อินเดีย และแปซิฟิก ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในทะเล ชนิดที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดหาได้ยากมาก ลำตัวด้านขวาจะราบไปกับพื้นน้ำ ตาทั้งสองข้างอยู่ด้านซ้ายของลำตัวบริเวณส่วนหัวเหมือนกับวงศ์ปลาลิ้นหมาตาข้างซ้าย (Bothidae) ลักษณะเด่น คือ ไม่มีก้านครีบบริเวณครีบอกและครีบเชิงกราน ฐานครีบเชิงกรานจะสั้นและเกือบจะสมมาตร โดยมากจะพบได้ในเขตอบอุ่นหรือเขตร้อน มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและตกปลาในเชิงการกีฬา อาทิ ปลาแฮลิบัตญี่ปุ่น (Paralichthys olivaceus) ขณะที่ในน่านน้ำไทย มีหลายชนิด ชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ปลาลิ้นเสือ (Pseudorhombus arsius) ปัจจุบัน มีการจำแนกไว้ทั้งหมด 14 สกุล (ดูในตาราง) 115 ชนิด โดยที่คำว่า Paralichthyidae ที่ใช้เป็นชื่อวงศ์นั้น มาจากภาษากรีก paralia หมายถึง "ด้านข้างทะเล", coast บวกกับภาษากรีกคำว่า ichthys หมายถึง "ปลา".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาลิ้นเสือ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาวัว

วงศ์ปลาวัว หรือ วงศ์ปลางัว หรือ วงศ์ปลากวาง (วงศ์: Balistidae, Triggerfish, ฮาวาย: Humuhumu) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งทะเลวงศ์หนึ่ง อยู่ในอันดับปลาปักเป้า (Tetraodontiformes) มีรูปร่างโดยรวม ลำตัวกว้างแบนเป็นทรงกลมรีคล้ายรูปไข่ ข้างตำแหน่งตาอยู่สูงบริเวณด้านบนของหัว ที่ครีบหลังอันแรกจะมีหนามแข็ง 3 อัน สามารถพับเก็บได้ และจะตั้งขึ้นได้เพื่อใช้ในการข่มขู่ศัตรู มีก้านครีบหางจำนวน 12 ก้าน และ 18 ก้านครีบที่ครีบหลัง มีเกล็ดที่ใหญ่แข็งและหนังหนา ส่วนของใบหน้ายาวและยื่นแหลมออกมา ปากมีขนาดเล็ก ภายในมีฟัน 4 ซี่ที่ด้านนอก และด้านในอีก 3 ซี่ ที่แหลมคมมาก ใช้สำหรับขบกัดสัตว์มีเปลือกต่าง ๆ กินเป็นอาหาร รวมถึงฟองน้ำ, ปะการัง, สาหร่าย หรือเม่นทะเลด้วย เช่นเดียวกับปลาปักเป้า อันเป็นปลาในอันดับเดียวกัน แต่อยู่ต่างวงศ์กัน พบกระจายพันธุ์ในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่น เช่น อินโด-แปซิฟิก, หมู่เกาะฮาวาย, ทะเลแดง, มหาสมุทรอินเดีย, ทะเลอันดามัน, อ่าวไทย, ทะเลฟิลิปปิน และมหาสมุทรแอตแลนติก ตาของปลาวัวสามารถกลอกกลิ้งไปมาได้ อันเป็นลักษณะเฉพาะ โดยปกติแล้ว เป็นปลาที่มีอุปนิสัยดุร้าวก้าวร้าวมาก มักไล่กัดปลาอื่นหรือแม้แต่พวกเดียวกันเองที่รุกล้ำเข้ามาในถิ่นที่อยู่อาศัย เป็นปลาที่จะหากินและอาศัยอยู่ในแนวปะการัง มีพฤติกรรมหากินโดยซอกซอนหากินเอาในแนวปะการังในเวลากลางวัน และนอนหลับพักผ่อนในเวลากลางคืน เป็นปลาที่ว่ายน้ำได้รวดเร็วมากโดยใช้ครีบหลัก ๆ ทั้ง 2 ครีบในด้านบนและด้านล่างของลำตัว ขณะที่ครีบหางใช้เป็นตัวควบคุมทิศทาง เป็นปลาที่มีพฤติกรรมผสมพันธุ์วางไข่ โดยวางไข่ตามพื้นในรังซึ่งตัวผู้จะทำหน้าที่เฝ้าระวัง ซึ่งบางชนิดจะมีนิสัยดุร้ายมากในช่วงนี้ โดยมากแล้วเป็นปลาที่มีสีสันและลวดลายสวยงามสดใสมาก จึงเป็นที่นิยมมากของนักดำน้ำและนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย แต่ว่าเป็นปลาที่ดุร้ายมาก สามารถพุ่งเข้ากัดจนเป็นแผลเหวอะหรือไล่มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ที่ใหญ่กว่ามากได้อย่างไม่เกรงกลัว มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 25-50 เซนติเมตร โดยมีชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ ปลาวัวไททัน (Balistoides viridescens) ที่ใหญ่ได้ถึง 75 เซนติเมตร หรือราว 1 เมตร และนับเป็นชนิดที่อันตรายมาก เพราะมีรายงานการกัดและไล่นักดำน้ำมาแล้วในหลายที.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาวัว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาวัวจมูกยาว

วงศ์ปลาวัวจมูกยาว หรือ วงศ์ปลาตะไบ (วงศ์: Monacanthidae, เกาหลี: 쥐치) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งในอันดับปลาปักเป้า (Tetraodontiformes) วงศ์หนึ่ง มีรูปร่างโดยรวม คือ มีผิวหนังที่หยาบ มีเกล็ดเล็กละเอียดปกคลุมทั้งตัว ครีบหลังแบ่งเป็น 2 ตอน มีก้านครีบหลังก้านแรกเป็นแท่งกระดูกใหญ่ ซึ่งแหลมและแข็งแรงคล้ายเขาสัตว์ ซึ่งสามารถใช้ยกขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองได้ ครีบหลังตอนที่ 2 เป็นครีบที่อ่อนนุ่ม ครีบท้องลดรูปไปโดยที่ก้านครีบก้านแรกเป็นเงี่ยงแข็ง ครีบก้นยาว ครีบหางกลมเป็นรูปพัด มีฟันในขากรรไกรด้านนอก 3 ชุด และด้านใน 2 ชุด มีจุดเด่น คือ ในบางสกุลมีจะงอยปากยื่นนยาวออกมาคล้ายท่อหรือหลอด ใช้สำหรับซอกซอนหาอาหารในแนวปะการัง และมีรูปร่างที่เรียวยาวอย่างเห็นได้ชัด โดยมากแล้วเป็นปลาที่มีขนาดเล็ก มีความยาวโดยเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 60 เซนติเมตร โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุดยาวได้ถึง 110 เซนติเมตร พบทั้งหมด 26 สกุล ราว 107 ชนิด กระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแอตแลนติก, แปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย เป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามแนวปะการังหรือตามกอสาหร่ายที่มีกระแสน้ำไหลอ่อน ๆ ในระดับความลึกไม่เกิน 30 เมตร โดยหากินสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลังเหมือนกับปลาในวงศ์อื่นในอันดับเดียวกัน โดยจะกินปะการังเขากวาง (Acropora spp.) เป็นอาหารหลัก หากินในเวลากลางวัน และนอนหลับในแนวปะการังในเวลากลางคืน มีการแพร่พันธุ์โดยการวางไข่ในแหล่งน้ำกร่อย มีตัวผู้เป็นผู้ดูแล เป็นปลาที่เป็นที่นิยมชื่นชอบถ่ายรูปของนักดำน้ำอีกจำพวกหนึ่ง ซึ่งไม่มีอุปนิสัยดุร้ายก้าวร้าวเหมือนปลาในวงศ์ปลาวัว (Balistidae) และยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้ด้วย อีกทั้งในอาหารเกาหลี ยังสามารถทำเป็นอาหารรับประทานเล่นได้ด้วย โดยแปรรูปเป็นขนมอบแห้งเรียกว่า "จุยโป" (쥐포) และในอดีตมีการใช้หนังของปลาในวงศ์ปลาวัวจมูกยาวนี้ทำเรือไม้ด้วย โดยคำว่า Monacanthidae ที่ใช้เป็นชื่อวงศ์ในทางวิทยาศาสตร์นั้น มาจากภาษากรีกคำว่า "Monos" หมายถึง เดี่ยว หรือ อันเดียว ผสมกับคำว่า "Akantha" หมายถึง หนาม.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาวัวจมูกยาว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาวัวจมูกสั้น

วงศ์ปลาวัวจมูกสั้น (วงศ์: Triacanthidae, Tripodfish, Hornfish) เป็นวงศ์ของปลาทะเลกระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง อยู่ในอันดับปลาปักเป้า (Tetraodontiformes) มีรูปร่างและลักษณะโดยรวมคล้ายกับปลาในวงศ์ปลาวัว (Balistidae) หรือวงศ์ปลาวัวจมูกยาว (Monacanthidae) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ต่างวงศ์กัน แต่อยู่ในอันดับเดียวกัน คือ มีผิวที่หยาบเหนียว หรือเป็นแผ่นกระดูกหนาเรียงติดต่อกัน มีฟันแหลมคมต่อกันเป็นแผ่น ใช้สำหรับแทะเล็มหาอาหารจำพวกครัสตาเชียนหรือหอยหรือสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ ตามแนวปะการังและพื้นทะเล มีก้านครีบหลังก้านแรกเป็นแท่งกระดูกใหญ่ ซึ่งแหลมและแข็งแรงคล้ายเขาสัตว์ ซึ่งสำหรับปลาในวงศ์ปลาวัวจมูกสั้นแล้ว จะมีเงี่ยง 2 เงี่ยงที่แหลมคมและแข็งแรงบริเวณส่วนหน้าอกยื่นออกมาแหลมยาวอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งสามารถใช้จับตั้งวางกับพื้นได้ อันเป็นที่มาของชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ ครีบหลังมีก้านครีบ 20-26 ก้าน ขณะที่ครีบก้นมีก้านครีบ 13-22 ก้าน มีส่วนหน้าและจะงอยปากที่สั้นทู่กว่าเมื่อเทียบกับปลาใน 2 วงศ์ข้างต้นอย่างเห็นได้ชัด มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 15-30 เซนติเมตร เป็นปลาที่มักพบในแนวปะการังและบริเวณใกล้ชายฝั่งหรือตามปากแม่น้ำ ในเขตร้อนหรือเขตอบอุ่นของอินโดแปซิฟิก ซึ่งในบางชนิดอาจปรับตัวให้เข้ากับน้ำกร่อยได้ด้วย ซึ่งคำว่า Triacanthidae ซึ่งใช้เป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์มาจากภาษากรีก คำว่า "Tri" หมายถึง "สาม" ผสมกับคำว่า "Akantha" ซึ่งหมายถึง "หนาม".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาวัวจมูกสั้น · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาวูล์ฟฟิช

วงศ์ปลาวูล์ฟฟิช (Wolffishes; Anjumara, Trahira) เป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Erythrinidae ในอันดับปลาคาราซิน (Characiformes) ปลาวูล์ฟฟิช เป็นปลาคาราซินกินเนื้อ ที่มีรูปร่างทรงกระบอก หัวใหญ่ ปากกว้าง ในปากมีฟันแหลมคมขนาดใหญ่ซึ่งมีเดือยเชื่อมต่อ มีช่องว่างระหว่างซี่ฟันห่างพอสมควร มีแรงกัดอย่างรุนแรง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วยังถือว่าอันตรายกว่าปลาปิรันยาเสียด้วยซ้ำรายการ River Monsters ตอน Jungle Killer ทางดิสคัฟเวอรี่ แชนแนล ทางทรูวิชั่นส์: วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม..

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาวูล์ฟฟิช · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาสร้อยน้ำผึ้ง

วงศ์ปลาสร้อยน้ำผึ้ง เป็นวงศ์ปลาน้ำจืดวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อว่า Gyrinocheilidae เป็นวงศ์ปลาที่พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นปลาที่มีรูปร่างเรียวทรงกระบอก แบนข้างเล็กน้อย ส่วนหัวค่อนข้างใหญ่ ตาเล็ก ปากอยู่ด้านล่างของจะงอยปาก ไม่มีฟันในลำคอ ไม่มีหนวด ครีบอกและครีบท้องอยู่ในแนวเดียวกับสันท้อง และมีลักษณะสำคัญ คือมีช่องเล็ก ๆ อยู่ด้านบนสุดของช่องเหงือก ริมฝีปาก มีลักษณะเป็นแผ่นดูดรูปกลมใช้ดูดกินตะไคร่น้ำตามพื้นหิน และ ทราย แล้วหายใจโดยใช้น้ำผ่านเข้าช่องเปิดด้านบนฝาปิดเหงือก แล้วออกมาทางด้านข้าง แทนที่จะใช้ปากสูบน้ำเข้าอย่างปลาทั่ว ๆ ไป และมีถุงลมขนาดเล็ก เดิมที นักมีนวิทยาได้เคยจัดปลาในวงศ์นี้ให้อยู่วงศ์เดียวกันกับวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มาก่อน ปลาที่พบในวงศ์นี้มีด้วยกันทั้งหมด 3 ชนิด และมีเพียงสกุลเดียว สำหรับในประเทศไทยพบ 2 ชนิด คือ ปลาสร้อยน้ำผึ้ง (Gyrinocheilus aymonieri) และ ปลามูด (G. pennocki) พบได้ทั่วไปตามที่ราบลุ่มแม่น้ำ หรือแม้แต่ตามลำธารน้ำตก มีความสำคัญคือ เป็นปลาสวยงามที่นิยมเลี้ยงเพื่อทำความสะอาดตู้ เพราะความที่มีปากเป็นลักษณะดูดใช้สำหรับกินตะไคร่น้ำหรือเศษอาหารที่ปลาอื่นกินเหลือได้ ในอดีต แถบจังหวัดลุ่มแม่น้ำแม่กลองเช่น จังหวัดกาญจนบุรี, จังหวัดราชบุรี และจังหวัดเพชรบุรี ปลาในวงศ์นี้สามารถนำมาหมักทำน้ำปลาที่มีรสชาติดีได้ ในชื่อ "น้ำปลาสร้อยน้ำผึ้ง" ชื่อสามัญทั่วไปในภาษาไทยเรียกปลาวงศ์นี้โดยรวมกันว่า "สร้อยน้ำผึ้ง", "น้ำผึ้ง" หรือ "มูด" หรือ "ยาลู่" หรือ "ปากใต้" ส่วนชื่อในภาษาอังกฤษเรียกว่า "Chinese algae eater".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาสร้อยน้ำผึ้ง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาสลิดหิน

ระวังสับสนกับ ปลาสลิดทะเล วงศ์ปลาสลิดหิน (Damsel, Demoiselle) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งในอันดับปลากะพง (Perciformes) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pomacentridae เป็นปลาทะเลหรือน้ำกร่อยขนาดเล็ก โดยรวมแล้วมีขนาดประมาณ 4-8 เซนติเมตร มีความโดดเด่นตรงที่มีสีสันและลวดลายสดใสสวยงาม จึงเป็นที่นิยมของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์อยู่ตามแนวปะการัง นับเป็นปลาที่พบได้บ่อยและชุกชุมที่สุดในแนวปะการัง พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลและมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก เป็นปลาที่อาศัยอยู่เป็นฝูง มีอุปนิสัยก้าวร้าวพอสมควร มักกัดทะเลาะวิวาทกันเองภายในฝูง กินอาหารจำพวก แพลงก์ตอน, สาหร่าย และสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ จัดเป็นปลาที่วงศ์ใหญ่ มีจำนวนสมาชิกในวงศ์ประมาณ 360 ชนิด ใน 29 สกุลหรือวงศ์ย่อย ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นปลาที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ ปลาการ์ตูน (Amphiprioninae) ที่มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 28 ชนิด โดยที่คำว่า Pomacentridae ที่เป็นภาษาละตินที่ใช้เป็นชื่อวงศ์ในทางวิทยาศาสตร์นั้น แปลงมาจากภาษากรีกคำว่า "poma" แปลว่า "ปก" หมายถึง "แผ่นปิดเหงือก" และ "kentron" แปลว่า "หนาม" ซึ่งหมายถึง "หนามที่บริเวณแผ่นปิดเหงือกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของปลาในวงศ์นี้" ลักษณะทางชีววิทยา คือ ลำตัวสั้นปอมรูปไขรีแบนขาง เกล็ดเป็นแบบสาก เสนขางตัวขาดตอน ครีบหลังติดกันเปนครีบเดียว มี รูจมูกเพียงคูเดียว ครีบทองอยูในตำแหนงอก ไมมีฟนที่พาลาทีน ปลาในวงศ์ปลาสลิดหิน โดยมากแล้ว เป็นปลาที่ดูแลไข่จนกระทั่งฟักเป็นตัว โดยทั้งปลาตัวผู้และตัวเมียช่วยกันดูแล แต่ก็มีบางจำพวกอย่าง ปลาการ์ตูน ที่สามารถเปลี่ยนเพศได้ตามสถานการณ์ โดยปกติแล้วเป็นปลาทะเลและปลาน้ำกร่อย แต่ก็มีบางชนิดเท่านั้นที่พบอาศัยอยู่ในน้ำจืดด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาสลิดหิน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาสลิดทะเล

ระวังสับสนกับ ปลาสลิดหิน ปลาวงศ์อื่น ดูที่ วงศ์ปลากะพงสลิด วงศ์ปลาสลิดทะเล หรือ วงศ์ปลาสลิดหิน (Rabbitfish, Spinefish) เป็นวงศ์ของปลาทะเลกระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Siganidae (/ซิ-กะ-นิ-ดี้/) มีลักษณะโดยรวม คือ มีลำตัวแบบรูปไข่และแบนด้านข้าง หัวมีขนาดเล็ก เกล็ดมีขนาดเล็ก ครีบหางมีทั้งแบบตัดตรงและเว้าลึก ครีบหลังมีหนามแหลมคมและจะกางออก ซึ่งจะมีต่อมพิษที่เงี่ยงของครีบหลัง ครีบก้น และครีบท้อง เพื่อใช้ในการป้องกันตัว เป็นปลาที่กินพืชเป็นอาหารหลัก โดยมีพฤติกรรมการกินแบบแทะเล็มคล้ายกระต่าย อันเป็นที่มาของชื่อสามัญในภาษาอังกฤษ มักพบในเขตชายฝั่งตามพื้นท้องทะเล, กองหินหรือแนวปะการัง และในดงหญ้าทะเล เป็นปลาที่สามารถรับประทานได้ แต่จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์เมื่อมือเปล่าจับ หนามเหล่านี้จะทิ่มตำ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาสลิดทะเล · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาสวาย

วงศ์ปลาสวาย (Shark catfish) เป็นปลาหนัง มีรูปร่างเพรียว ส่วนท้องใหญ่ ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย หัวโต ตาโต มีหนวด 2 คู่ รูจมูกช่องหน้าและหลังมีขนาดเท่ากัน ครีบไขมันและครีบท้องเล็ก ฐานครีบก้นยาว กระเพาะขนาดใหญ่รียาว มี 1-4 ตอน ใช้ชื่อวงศ์ว่า Pangasiidae (/แพน-กา-ซิ-อาย-ดี้/) พบขนาดตั้งแต่ไม่เกิน 40 เซนติเมตร เช่น ปลาสังกะวาดท้องคม หรือ ปลายอนปีก (Pangasius pleurotaenia) จนถึง 3 เมตรใน ปลาบึก (Pangasianodon gigas) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นปลาน้ำจืดไม่มีเกล็ดที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก การกระจายพันธุ์จากอินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเกาะบอร์เนียวในอินโดนีเชีย เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร กินปลาขนาดเล็กและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร เช่น กุ้ง หรือ หอยฝาเดียว นอกจากนี้ยังเป็นปลาที่มีพฤติกรรมกินซากอีกด้วย ทั้งซากพืชและซากสัตว์ เช่น ปลาเทพา (Pangasius sanitwongsei) มีทั้งหมด 30 ชนิด และพบในประเทศไทยประมาณ 12 ชนิด ซึ่งปลาที่มีขนาดเล็กจะเรียกชื่อซ้ำซ้อนในแต่ละชนิดว่า "สังกะวาด" หรือ "สังกะวัง" จัดเป็นปลาน้ำจืดเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมบริโภคและรู้จักกันดี และจากการศึกษาล่าสุด พบว่าเนื้อปลาในวงศ์ปลาสวายนี้มีโอเมกา 3 มากกว่าปลาทะเลเสียอีก โดยเฉพาะอย่าง ปลาสวาย (P. hypophthalmus) มีโอเมกา 3 สูงถึง 2,570 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 100 กรัม.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาสวาย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาสอด

วงศ์ปลาสอด (Molly) วงศ์ปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Poeciliidae อยู่ในอันดับปลาหัวตะกั่ว หรืออันดับปลาออกลูกเป็นตัว (Cyprinodontiformes) มีชื่อสามัญเรียกโดยรวมในภาษาอังกฤษว่า "มอลลี่" (Molly) และมีชื่อเรียกในภาษาไทยว่า "ปลาสอด" ซึ่งเข้าใจว่าคงเพี้ยนมาจากคำว่า "Sword" ที่หมายถึง "ดาบ" อันเป็นลักษณะของปลายหางของปลาในวงศ์นี้บางสกุลที่คล้ายกับวงดาบ มีถิ่นกำเนิดตั้งแต่สหรัฐอเมริกาภาคตะวันออก, อเมริกากลาง, จนถึงทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ นอกจากนี้ยังพบในบางส่วนของทวีปแอฟริกาทางตอนใต้จนถึงเกาะมาดากัสการ์ด้วย เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมเป็นฝูง มีพฤติกรรมหากินอยู่ตามผิวน้ำ ตัวผู้กับตัวเมียมีลักษณะที่แตกต่างกันเห็นได้ชัดเจน โดยตัวผู้มีรูปร่างเล็กกว่า แต่มีสีสันและครีบต่าง ๆ ยาวกว่า ขณะที่ตัวเมียตัวโตกว่า ท้องอูมกว่า แต่ครีบและหางสั้นกุดกว่า รวมทั้งสีสันซีดกว่าในบางชนิดด้วย นอกจากนี้ลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่งของปลาวงศ์นี้ คือ เป็นปลาที่ปฏิสนธิภายในตัว ออกลูกเป็นตัว โดยออกลูกได้ครั้งละ 2-300 ตัว เป็นที่รู้จักกันดีในแง่ของการเป็นปลาสวยงาม มีหลายชนิดในหลายสกุล เช่น ปลาหางนกยูง (Poecilia reticulata), ปลาเซลฟิน (P. latipinna), ปลาเอนด์เลอร์ (P. wingei), ปลาสอดหางดาบ (Xiphophorus hellerii) ปัจจุบันได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีความหลากหลายจากดั้งเดิมยิ่งขึ้นมากมาย โดยเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907 ที่เยอรมนี จนเกิดเป็นชนิดใหม่ขึ้นมา เช่น "เพลตี้" (Platy) หรือ ปลาเซลฟินที่ได้ครีบหลังสูงและใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก จนดูคล้ายใบเรือจริง ๆ หรือ ปลาสอดมิดไนท์ที่พัฒนาจนทั้งตัวเป็นสีดำสนิท สำหรับในประเทศไทย ปลาในวงศ์นี้ ได้ถูกนำเข้ามาสู่ประเทศครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเลี้ยงในอ่างบัวของผู้มีฐานะ จนถึงปัจจุบันได้กลายเป็นปลาสวยงามที่เป็นที่รู้จักกันดี ด้วยคุณสมบัติที่เลี้ยงง่าย เติบโตไว ขยายพันธุ์ง่าย และมีราคาถูก อีกทั้งยังมีประโยชน์คือสามารถกินแมลงขนาดเล็ก ๆ ทีมีวงจรชีวิตในน้ำได้ด้วย จึงใช้เป็นปลาที่จำกัดลูกน้ำยุงต่าง ๆ มีชื่อเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "ปลากินยุง" และยังนิยมเพาะเพื่อเป็นปลาเหยื่อสำหรับปลากินเนื้อขนาดใหญ่กว่าด้วย โดยคำว่า "Poeciliidae" ที่ใช้เป็นชื่อวงศ์นั้นมาจากภาษากรีกคำว่า "ποικίλος" (poikilos) หมายถึง "มีสีสันที่แตกต่างหลากหลาย".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาสอด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาสาก

วงศ์ปลาสาก หรือ วงศ์ปลาน้ำดอกไม้ (Barracuda, Seapike) วงศ์ปลากระดูกแข็งน้ำเค็มวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sphyraenidae มีลักษณะโดยรวม คือ มีลำตัวค่อนข้างกลมยาว หัวแหลม ปากกว้าง กรามล่างยื่นยาวกว่ากรามบน มีฟันแหลมคมแข็งแรง ตาโต เกล็ดเล็กบางขอบเรียบ มีครีบหลัง 2 ตอน พื้นลำตัวมีสีแตกต่างกันแล้วแต่ชนิด ทั้งสีน้ำตาลอมเหลือง หรือลายบั้งขวางลำตัวเป็นท่อน ๆ หรือแต้มจุด แต่โดยมากมักเป็นสีฟ้าเทา ครีบหางเป็นแฉกรูปตัววี (V) มีขนาดความยาวตั้งแต่ 30-180 เซนติเมตร อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่บางครั้งอาจถึง 1,000 ตัว เป็นปลาที่มีความว่องไวปราดเปรียว ไล่ล่าฝูงปลาชนิดต่าง ๆ กินเป็นอาหาร นับเป็นผู้ล่าอันดับต้น ๆ ของห่วงโซ่ชีวิตในทะเลจำพวกหนึ่ง เมื่อยังเป็นปลาขนาดเล็ก จะอาศัยอยู่รวมกับฝูงปลาอย่างอื่น อาทิ ปลากะตัก ตามกองหินหรือแนวปะการังใต้น้ำ หรือตามปากแม่น้่ำ ที่เป็นแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำจืด ปลาสาก สามารถทำอันตรายต่อมนุษย์ได้ เช่นเดียวกับปลาฉลาม ด้วยการกัดจากกรามและฟันที่แข็งแรง สามารถงับปลาอื่นที่เป็นอาหารให้ขาดสองท่อนได้จากการงับเพียงครั้งเดียว ที่สหรัฐอเมริกามีกรณีที่ปลากระโดดขึ้นมาจากน้ำงับแขนของเด็กผู้หญิงวัย 14 ปีที่นั่งอยู่บนเรือ เป็นแผลฉกรรจ์ต้องเย็บไปทั้งสิ้น 51 เข็ม แต่ไม่เคยมีรายงานว่าทำอันตรายได้ถึงแก่ชีวิต ปลาสาก เป็นปลาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ ด้วยนิยมบริโภคและซื้อขายกันในตลาดสด และนิยมตกเป็นเกมกีฬา สามารถแบ่งออกเป็นชนิดได้ทั้งหมด 26 ชนิด ในสกุลเดียว กระจายพันธุ์ในเขตร้อนของมหาสมุทรอินเดีย และแปซิฟิก ในทวีปอเมริกาพบได้ตั้งแต่บราซิลไปจนถึงฟลอร.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาสาก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาสามรส

ำหรับปลาวงศ์อื่น ดูที่ วงศ์ปลาปากแตร วงศ์ปลาสามรส หรือ วงศ์ปลาปากแตร หรือ วงศ์ปลาปากขลุ่ย (Cornetfish) วงศ์ของปลาทะเลกระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ (Syngnathiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Fistulariidae มีลักษณะเด่น คือ หัวและลำตัวแบนลงแต่แคบและยาวมาก ตาโต ปากเป็นท่อยาว มีช่องปากขนาดเล็กอยู่ปลายสุดเชิดขึ้นดูคล้ายแตร ลำตัวไม่มีเกล็ด ครีบหลังและครีบก้นอยู่ค่อนไปทางหาง ครีบหางเป็นแฉกมีเส้นยาวคล้ายแส้ยื่นออกจากกึ่งกลางครีบ ลำตัวทั่วไปรวมทั้งหัว และครีบสีน้ำตาลแดง ขนาดยาวได้ถึง 1 เมตร มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาในวงศ์ปลาปากแตร (Aulostomidae) แต่มีลำตัวเรียวยาวและผอมกว่า และไม่มีก้านครีบแข็งหน้าครีบหลัง พบกระจายพันธุ์อยู่ตามแนวปะการัง หากินในเวลากลางคืน โดยกินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็ก ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับปลาในวงศ์ปลาปากแตร ไม่ถือว่าเป็นปลาเศรษฐกิจ แต่มีการบริโภคกันในท้องถิ่น พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย มีทั้งหมด 1 สกุล แบ่งออกเป็น 5 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาสามรส · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาสินสมุทร

วงศ์ปลาสินสมุทร (Angelfish, Marine angelfish) เป็นปลากระดูกแข็งทะเลวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pomacanthidae (/โป-มา-แคน-ทิ-ดี้/) ปลาสินสมุทรนั้นมีรูปร่างและสีสันโดยรวมคล้ายกับปลาในวงศ์ปลาผีเสื้อ (Chaetodontidae) บางสกุล เช่น Chaetodon กล่าวคือ มีรูปร่างแบนข้างเป็นทรงรีหรือรูปไข่ในแนวนอน ปากมีขนาดเล็กมีริมฝีปากหนา เกล็ดเล็กละเอียดกลม ไม่มีหนามที่ขอบตาด้านหน้า ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของปลาในวงศ์นี้ เส้นข้างลำตัวโค้งและสมบูรณ์ ครีบท้องและครีบทวารมนกลม ก้านครีบแข็งค่อนข้างจะยาวกว่าก้านครีบอ่อน โดยก้านครีบอันแรกของครีบเอวจะยาวมาก ครีบหางมีลักษณะเป็นหางตัดหรือมนกลม ปลาสินสมุทรจัดเป็นปลาที่พบได้ในแนวปะการังวงศ์หนึ่งที่มีขนาดใหญ่ คือ มีขนาดตั้งแต่ 10-40 เซนติเมตร เป็นปลาที่มีสีสันและลวดลายเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามช่วงวัย มีอาณาบริเวณหากินค่อนข้างชัดเจน อีกทั้งเป็นปลาที่ไม่เกรงกลัวมนุษย์ ซ้ำยังมักว่ายน้ำเข้าหามาเมื่อมีผู้ดำน้ำลงไปในแนวปะการัง พบแพร่กระจายพันธุ์ในทะเลเขตอบอุ่นและเขตร้อนทั่วโลก ทั้ง มหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรแอตแลนติก, มหาสมุทรอินเดีย โดยอาศัยและหากินในแนวปะการังเป็นหลัก แต่ก็มีบางชนิดที่หากินลึกลงไปกว่านั้นเป็นร้อยเมตร ไม่จัดว่าเป็นปลาเศรษฐกิจ แต่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เช่นเดียวกับปลาการ์ตูนหรือปลาผีเสื้อ อันเนื่องจากสีสันที่สวยงาม พบทั้งหมด 9 สกุล (ดูในตาราง) มีประมาณ 74 ชนิด ในน่านน้ำไทย พบได้ทั้งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน พบไม่ต่ำกว่า 40 ชนิด อาทิ ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ (Pomacanthus imperator), ปลาสินสมุทรวงฟ้า (P. annularis) และปลาสินสมุทรลายบั้ง (P. sexstriatus) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาสินสมุทร · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาสตาร์เกเซอร์

ปลาสตาร์เกเซอร์ (Stargazer) เป็นปลาทะเลน้ำลึกในวงศ์ Uranoscopidae ในอันดับปลากะพง (Perciformes) แบ่งออกเป็นประมาณ 50 ชนิด 8 สกุล พบอยู่ตามร่องน้ำลึกทั่วโลก มีรูปร่างโดยรวม คือ ลำตัวยาว กลมหรือแบนลงเล็กน้อย ส่วนหัวแบนลง มองคล้ายเป็นสี่เหลี่ยม ส่วนหางแบนข้าง ตามีขนาดเล็กอยู่ทางด้านบนของส่วนหัว ปากเชิดอยู่ในแนวดิ่ง ฟันมีขนาดเล็กปลายแหลม บนขากรรไกร เกล็ดเป็นแบบขอบบางเรียบ ขนาดเล็กฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ครีบหลังมีก้านครีบแข็งสั้น แต่แข็งแรง ส่วนฐานของก้านครีบอ่อนของครีบหลัง และครีบก้นยาว ครีบอกกว้างฐานครีบท้องอยู่ชิดกัน และอยู่หน้าครีบอกตำแหน่งจูกูลาร์ ส่วนหัวไม่มีเกล็ดแต่มี โบนี่ แพลท ปกคลุม ครีบหางตัดตรงหรือมนเล็กน้อย ปลาสตาร์เกเซอร์มีลักษณะพิเศษคือ มีดวงตาอยู่บนส่วนยอดของหัว ปากขนาดใหญ่ มีครีบที่มีพิษใช้ป้องกันตัว และอาจป้องกันตัวเองด้วยกระแสไฟฟ้า มักฝังตัวอยู่ใต้พื้นทรายเพื่อคอยดักจับเหยื่อ ในบางชนิดจะมีระยางค์รูปร่างคล้ายหนอนยื่นออกมาจากปากเพื่อล่อเหยื่อ มีขนาดลำตัวยาวตั้งแต่ 18 เซนติเมตร ถึง 90 เซนติเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาสตาร์เกเซอร์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาหมอ

วงศ์ปลาหมอ (Climbing gourami, Climbing perch) เป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดกลุ่มหนึ่ง ที่มีการกระจายพันธุ์ทั้งในทวีปแอฟริกาและเอเชีย ใช้ชื่อวงศ์ว่า Anabantidae (/อะ-นา-เบน-ทิ-ดี/) เดิมวงศ์นี้เคยถูกรวมเข้าเป็นวงศ์เดียวกับวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) และวงศ์ปลาจูบ หรือ ปลาหมอตาล (Helostomatidae) ซึ่งปลาในวงศ์เหล่านี้ถูกเรียกรวม ๆ กันในชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า "Labyrinth fish" (ปลาที่มีอวัยวะพิเศษในการหายใจ) ซึ่งปลาในวงศ์ทั้ง 3 นี้ มีอวัยวะพิเศษที่ช่วยในการหายใจเหมือน ๆ กัน แต่เมื่อศึกษาแล้ว พบว่ามีโครงสร้างหลัก ๆ ของกระดูกแตกต่างกันมาก ซึ่งลักษณะทางอนุกรมวิธานที่สำคัญของวงศ์ปลาหมอ คือ มีอวัยวะช่วยหายใจที่พัฒนามาจากเหงือกชุดสุดท้าย ลักษณะเป็นแผ่นกระดูกบางจำนวนมาก และทับซ้อนกันและมีร่องวกวนเหมือนเขาวงกต ระหว่างร่องเหล่านี้มีเส้นเลือดฝอยอยู่จำนวนมาก ซึ่งทำหน้าที่ดูดซับออกซิเจนจากอากาศจากผิวน้ำ นักมีนวิทยาสันนิษฐานว่า ปลาในวงศ์ปลาหมอนี้อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่มีทั้งปริมาณออกซิเจนสูงและต่ำ ทำให้ปริมาณออกซิเจนที่ใช้ในการหายใจและเผาผลาญอาหารไม่เพียงพอ จึงทำให้ต้องขึ้นมาหายใจรับออกซิเจนบนผิวน้ำเพื่อกิจกรรมเหล่านี้ แต่ในระยะที่ยังเป็นลูกปลาอยู่ ในระยะที่มีอายุไม่เกิน 15 วัน อวัยวะที่ช่วยในการหายใจยังไม่พัฒนาเต็มที่ ลูกปลาจึงไม่สามารถขึ้นมาหายใจที่ผิวน้ำได้ นอกจากนี้แล้ว ปลาในวงศ์นี้ ยังมีลักษณะทางอนุกรมวิธานทางกายภาพอีก คือ จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่ล้ำหน้าครีบอกเล็กน้อย ขอบของกระดูกแก้มชิ้นหน้าและชิ้นกลางมีขอบเป็นหนามแข็ง ภายในปากมีฟันแหลมคมเป็นแบบเขี้ยวที่กระดูกขากรรไกรทั้งสองข้างและกระดูกเพดานปาก ปลาเกือบทุกสกุลมีเกล็ดแบบสาก ยกเว้นสกุล Sandelia ที่มีเกล็ดแบบบางเรียบ เส้นข้างลำตัวแยกออกเป็นสองเส้น สมาชิกของปลาในวงศ์นี้มีทั้งหมด 4 สกุล ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาหมอ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาหมอช้างเหยียบ

วงศ์ปลาหมอช้างเหยียบ (Asian leaffish, Banded leaffish) เป็นวงศ์ปลาน้ำจืดวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pristolepididae มีลักษณะสำคัญ คือ มีรูปร่างแบนข้างมากเป็นรูปไข่หรือวงรี เกล็ดสาก เส้นข้างลำตัวขาดตอนแบ่งออกเป็น 2 ส่วน มีปากเล็ก มุมปากยาวถึงนัยน์ตา ดวงตากลมโต หนังขอบกระดูกแก้มติดต่อกันถึงส่วนใต้ปาก ริมกระดูกแก้มชิ้นกลางเป็นหนามแหลม 2 ชิ้น มีเพียงสกุลเดียว คือ Pristolepis จำแนกออกได้ทั้งหมด 6 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาหมอช้างเหยียบ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาหมอสี

วงศ์ปลาหมอสี (Cichlids) เป็นวงศ์ปลาที่มีจำนวนชนิดมากกว่า 1,000 ชนิด นับเป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดที่มีจำนวนชนิดมากเป็นอันดับสาม รองมาจากวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) และวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cichlidae (/ซิค-ลิด-เด/) ชื่อสามัญในภาษาไทยนิยมเรียกว่า "ปลาหมอสี" ปลาในวงศ์นี้ส่วนใหญ่จึงมักมีชื่อขึ้นต้นว่า "ปลาหมอ" ปลาในวงศ์ปลาหมอสีมีลักษณะหลายหลากแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของถิ่นกำเนิด ปลาหมอสีส่วนใหญ่เป็นปลาน้ำจืด แต่มีบางชนิดพบในน้ำกร่อย ปลาในวงศ์นี้พบมากที่สุดในทวีปแอฟริกา และทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งมีประมาณ 900 และ 290 ชนิดตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีบางชนิดพบได้ในตอนล่างของทวีปอเมริกาเหนือ อีกสี่ชนิดพบในตะวันออกกลาง และอีกสามชนิดพบในอินเดีย ปลาในวงศ์ปลาหมอสีมีความสำคัญต่อมนุษย์ในหลายลักษณะ ปลาบางชนิด เช่น ปลานิล จัดเป็นปลาเศรษฐกิจที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว ในขณะที่ปลาอีกหลายชนิดเป็นปลาตู้สวยงาม เช่น ปลาเทวดา, ปลาปอมปาดัวร์ และ ปลาออสการ์ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาหมอสี · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาหมอแคระ

ำหรับปลาหมอแคระที่เป็นปลาในวงศ์ปลาหมอสี ดูที่: ปลาหมอแคระ วงศ์ปลาหมอแคระ (Chameleonfish) เป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Badidae เดิมวงศ์นี้เคยถูกรวมเป็นวงศ์เดียวกับวงศ์ปลาหมอช้างเหยียบ (Nandidae) แต่ปัจจุบันได้ถูกแยกออกมาต่างหาก เป็นปลาขนาดเล็กกระจายพันธุ์อยู่ทวีปเอเชียได้แก่ เอเชียใต้, เอเชียตะวันออก และเอเชียอาคเนย์ มีความหลากหลายสูงสุดที่เอเชียใต้และประเทศพม่า โดยมีเขตการกระจายพันธุ์ทางตะวันออกไกลสุด คือ ประเทศจีนทางตอนใต้และประเทศไทย เป็นปลาที่กระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำสำคัญ ๆ ในภูมิภาคเหล่านี้ เช่น แม่น้ำคงคา, แม่น้ำพรหมบุตร, แม่น้ำสาละวิน, แม่น้ำโขง และแม่น้ำแม่กลอง แบ่งออกได้เป็น 2 สกุล คือ Badis และ Dario 13 ชนิด ในสกุล Badis มีลักษณะพิเศษ คือ เป็นปลาที่หากินแบบซุ่มรอเหยื่อด้วยการลอยตัวนิ่ง ๆ แล้วจึงฮุบ สามารถเปลี่ยนสีลำตัวไปตามอารมณ์และสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย และยังสามารถกลอกลูกตาไปมาได้ด้วยคล้ายกับกิ้งก่าคาเมเลี่ยน อันเป็นที่มาในชื่อสามัญในภาษาอังกฤษ มีความยาวโดยเฉลี่ยเพียง 3-4 เซนติเมตรเท่านั้น เป็นปลที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ในประเทศไทยพบ 3 ชนิดเท่านั้น คือ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาหมอแคระ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาหมู

วงศ์ปลาหมู (Loach) เป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดกระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Botiidae ในอันดับ Cypriniformes โดยวงศ์นี้แยกออกมาจากวงศ์ปลาหมูแท้ (Cobitidae) ในปี ค.ศ. 2012 โดย มัวรีซ คอตเทเลต โดยพัฒนามาจากวงศ์ย่อย Botiinae ที่เลฟ เซมโยโนวิช เบิร์ก นักมีนวิทยาชาวรัสเซียเคยจัดมาก่อนในปี..

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาหมู · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาหมูกระโดงสูง

วงศ์ปลาหมูกระโดงสูง (Sucker, Chinese sucker, American sucker) เป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดกระดูกแข็ง ในอันดับปลาตะเพียน (Cypriformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Catostomidae (มาจากภาษากรีก คำว่า "kata" หมายถึง "ล่าง" และ "stoma" หมายถึง "ปาก") มีลักษณะโดยรวมคล้ายกับปลาในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) หรือ วงศ์ปลาสร้อยน้ำผึ้ง (Gyrinocheilidae) ที่อยู่ในอันดับเดียวกัน มีลักษณะร่วม คือ มี ปากอยู่ด้านล่างของส่วนหัว ริมฝีปากหนา มีความแตกต่างไปจากปลาวงศ์อื่นในอันดับเดียวกัน คือ มีแถวฟันในคอหอยเพียงแถวเดียวเท่านั้น มีความยาวเต็มที่ประมาณ 60-90 เซนติเมตร แต่ส่วนใหญ่จะมีความยาวน้อยกว่านั้น เป็นปลาที่หากินตามพื้นท้องน้ำ โดยหากินอาหารจำพวก ตะไคร่น้ำหรือสัตว์น้ำขนาดเล็ก เช่น หนอนแดง, ไส้เดือนน้ำ, กุ้ง หรือ แมลงน้ำต่าง ๆ เป็นต้น พบกระจายพันธุ์ส่วนมากในทวีปอเมริกาเหนือ และพบบางส่วนในประเทศจีน แบ่งออกได้เป็น 13 สกุล 68 ชนิด มีหลายชนิด หลายสกุลที่สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาหมูกระโดงสูง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาหมูแท้

วงศ์ปลาหมูแท้ (True loach) เป็นวงศ์ปลาน้ำจืดในอันดับ Cypriniformes จัดเป็นปลาขนาดเล็ก มีลักษณะสำคัญคือบริเวณใต้ตามีกระดูกเป็นหนามโค้งพับซ่อนอยู่ข้างละ 1 ชิ้น ส่วนหัวและจะงอยปากยื่นแหลม ปากเล็กอาจมีติ่งรอบริมฝีปาก มีหนวดสั้น ๆ 3 คู่ ครีบหลังสั้น ครีบอื่น ๆ มีขนาดเล็ก ลำตัวเรียวยาวและแบนข้าง ครีบหางเว้าหรือเว้าลึก ผิวหนังมีเกล็ดขนาดเล็กมากฝังอยู่ จึงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และมีเมือกปกคลุมตัว ใช้ชื่อวงศ์ว่า Cobotidae (/โค-บิท-อิ-ดี้/) เป็นปลาที่ไม่มีฟันที่ลำคอและขากรรไกร มักอาศัยอยู่ในบริเซรที่น้ำไหลแรง เช่น ต้นน้ำลำธารบนภูเขาหรือน้ำตก มักอาศัยในระดับพื้นท้องน้ำใกล้ซอกหิน หรือโพรงไม้ โดยพบเป็นฝูงใหญ่ กินอินทรียสารและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร บางชนิดสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว พบได้กว้างขวางตั้งแต่ทวีปยุโรป, ยูเรเชียจนถึงทวีปเอเชีย แบ่งออกเป็นสกุลทั้งหมด 21 สกุล ซึ่งในภาษาไทยจะเรียกปลาในวงศ์นี้รวม ๆ กันว่า "ปลารากกล้วย" หรือ "ปลาค้อ" มีความสำคัญคือ นิยมบริโภคในบางสกุล บางชนิด อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามด้วย แต่เดิมวงศ์นี้เคยมีสมาชิกหลากหลายมากกว่านี้ แต่ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาหมูแท้ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาหลังเขียว

วงศ์ปลาหลังเขียว (วงศ์: Clupeidae) เป็นปลากระดูกแข็งในอันดับปลาหลังเขียว (Clupeiformes) โดยมากปลาในวงศ์นี้ เป็นปลาทะเล นิยมทำเป็นปลากระป๋อง เช่น ปลาซาร์ดีน (Sardina pilchardus) เป็นต้น แต่ก็มีหลายชนิดที่เป็นปลาน้ำจืด เช่น ปลาซิวแก้ว (Clupeichthys aesarnensis), ปลาหมากผาง หรือ ปลามงโกรยน้ำจืด (Tenualosa thibaudeaui) เป็นต้น ปลาวงศ์นี้มีลักษณะสำคัญคือ ลำตัวค่อนข้างแบนข้าง ริมฝีปากบนเป็นแผ่นกระดูกบาง ๆ มีฟันซี่เล็กละเอียด หรืออาจไม่มีเลยในบางชนิด มีเกล็ดบางแบบขอบเรียบ ปกคลุมทั่วตัว ครีบมีขนาดเล็กไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบหางมักเว้าลึก ส่วนมากมักมีเกล็ดที่ด้านท้องเป็นสันคม ลำตัวมักเป็นสีเงินแวววาว และด้านหลังเป็นสีเขียวเรื่อ จึงเป็นที่มาของชื่อสามัญในภาษาไทย โดยมากกินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร แบ่งออกเป็นวงศ์ย่อย ๆ ได้อีก 5 วงศ์ (ดูในตาราง) ในขณะที่ภาษาอังกฤษจะเรียกปลาในวงศ์นี้รวม ๆ กันว่า ปลาเฮร์ริง, ปลาแชด หรือปลาซาร์ดีน เป็นต้น ขณะที่ในภาษาไทยจะเรียกรวม ๆ กันว่า ปลากุแล, ปลากุแลกล้วย, ปลาอกแล, ปลาหมากผาง, ปลาตะลุมพุก, ปลามงโกรย หรือปลาหลังเขียว เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาหลังเขียว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาหวีเกศ

วงศ์ปลาหวีเกศ (วงศ์: Schilbeidae (/ชิล-ไบ-ดี/); Schilbid catfish, Glass catfish) เป็นปลาน้ำจืดกระดูกแข็ง อยู่ในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) ซึ่งเป็นปลาไม่มีเกล็ด มีหนวด มีก้านครีบแข็งที่ครีบอกและครีบหลังและมีครีบไขมัน สำหรับปลาในวงศ์นี้มีลักษณะสำคัญคือ มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปลาในวงศ์ปลาสวาย (Pangasidae) ซึ่งเดิมเคยรวมเป็นวงศ์เดียวกันมาก่อน แต่มีลำตัวขนาดเล็กกว่ามาก มีหนวด 3-4 คู่ ที่มีร่องเก็บหนวดแต่ละเส้นที่จะงอยปากข้างแก้มและใต้คาง รูจมูกช่องหลังมักใหญ่กว่าช่องหน้าและอยู่ชิดกัน ครีบอกและครีบหลังมีก้านครีบแข็ง ครีบไขมันมีขนาดเล็ก ครีบก้นยาว ลำตัวมักแบนข้าง มีการกระจายพันธุ์ค่อนข้างกว้าง โดยพบตั้งแต่ทวีปแอฟริกา, อินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเขตซุนดา มีทั้งสิ้น 14 สกุล 61 ชนิด เฉพาะที่พบในประเทศไทยมี 4 สกุล ใน 5 ชนิด เช่น ปลาสังกะวาดขาว (Laides hexanema), ปลาหวีเกศ (Platytropius siamensis), ปลาอิแกลาเอ๊ะ (Pseudeutropius moolenburghae) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาหวีเกศ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาหัวตะกั่ว

วงศ์ปลาหัวตะกั่ว (Killifish, Rivuline, Egg-laying toothcarp) เป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยขนาดเล็ก อยู่ในอันดับ Cyprinodontiformes อันเป็นอันดับเดียวกับวงศ์ปลาสอดหรือปลาหางนกยูง (Poeciliidae) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Aplocheilidae (/แอ็พ-โล-ไคล-อิ-ดี้/) มีรูปร่างโดยรวมป้อมสั้น ปากแหลม ปากบนยืดหดได้ดี นัยน์ตาโตและอยู่ส่วนบนของหัว ครีบท้องอยู่ใกล้กับครีบก้น เส้นข้างลำตัวไม่สมบูรณ์และปรากฏให้เห็นเฉพาะบริเวณเหนือครีบอก ครีบหลังอยู่ใกล้กับครีบหาง ครีบก้นใหญ่ ครีบหางปลายกลมมน เป็นปลาขนาดเล็ก มีขนาดความยาวเต็มที่ไม่เกิน 10 เซนติเมตร มักอาศัยอยู่รวมเป็นฝูงบริเวณผิวน้ำ โดยหากินแมลงน้ำ เช่น ลูกน้ำ, ไรแดง เป็นอาหาร มีพฤติกรรมการวางไข่ โดยวางไข่ติดกับไม้น้ำ และไข่ผูกติดกันเป็นแพ บางชนิดอมไข่ไว้ในปาก เป็นปลาที่มีสมาชิกในวงศ์มากมาย หลายสกุล หลายร้อยชนิด จึงแบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ย่อย (ดูในตาราง) พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวาง โดยพบตั้งแต่ทวีปอเมริกาเหนือจนถึงอเมริกาใต้, แอฟริกา, เอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงอินโดนีเซีย สำหรับในประเทศไทยพบเพียงชนิดเดียวเท่านั้น คือ ปลาหัวตะกั่ว (Aplocheilus panchax) พบได้ในทุกแหล่งน้ำทั่วประเทศ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยมีชื่อเฉพาะในวงการปลาสวยงามว่า "คิลลี่ฟิช".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาหัวตะกั่ว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาหางแข็ง

วงศ์ปลาหางแข็ง (Jacks, Pompanos, Horse mackerels, Scads, Trevallies, Crevallies, Tunas) เป็นวงศ์ของปลาทะเลกระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Carangidae มีรูปร่างลำตัวสั้นหรือค่อนข้างสั้น คอดหางเรียว มีเกล็ดขนาดเล็กแบบราบเรียบ เส้นข้างลำตัวสมบูรณ์ มีเกล็ดแปรรูปขนาดใหญ่ที่บริเวณเส้นข้างลำตัว โดยเฉพาะบริเวณข้อหางเสมือนเกราะ อันเป็นที่มาของชื่อเรียก ส่วนหน้าโค้งงอ ส่วนท้ายอาจมีหรือไม่มีสันกระดูกแข็ง ส่วนใหญ่มีซี่กรองเหงือกยาวเรียวครีบหลังมีสองตอนแยกจากกัน ครีบแรกมีเงี่ยงไม่แข็ง บริเวณหน้าครีบก้นมีก้านครีบแข็ง 2 อัน แยกออกมาจากครีบก้น ซึ่งสามารถพับได้ ครีบอกยาวเรียวโค้งแบบรูปเคียว ครีบหางเว้าลึกแบบส้อม พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิก, แอตแลนติก และมหาสมุทรอินเดีย ปลาขนาดเล็กจะอาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่ง หรือตามแหล่งน้ำจืดหรือน้ำกร่อยใกล้ทะเล เช่น ปากแม่น้ำ, ชะวากทะเล เป็นปลากินเนื้อเป็นอาหาร มีพฤติกรรมอยู่เป็นฝูงขนาดใหญ่ มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 25-100 เซนติเมตร ชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ 2 เมตร แบ่งออกเป็น 30 สกุล ประมาณ 151 ชนิด จัดเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญอย่างมากวงศ์หนึ่ง โดยมีการนำไปบริโภคทั้งสด และแปรรูปเป็น ปลากระป๋อง (โดยเฉพาะใช้แทนปลาในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae), ปลาเค็ม เป็นต้น ในน่านน้ำไทย มีหลายชนิด โดยชนิดที่สำคัญ ๆ และเป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ ปลาสำลี (Seriolina nigrofasciata), ปลาหางแข็ง (Megalaspis cordyla), ปลาหางแข็งบั้ง (Atule mate), ปลาข้างเหลือง (Selaroides leptolepis), ปลากะมง (Caranx sp.), ปลาโฉมงาม (Alectis sp.) และปลาจะละเม็ดดำ (Parastromateus niger) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาหางแข็ง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาหูช้าง

วงศ์ปลาหูช้าง หรือ วงศ์ปลาค้างคาว หรือ วงศ์ปลาคลุด (Batfish, Spadefish) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ephippidae ในอันดับปลากะพง (Perciformes) มีลักษณะทั่วไป ลำตัวแบนทรงกลมหรือเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ด้านข้างลำตัวแบนข้างมาก เกล็ดมีขนาดเล็กหรือปานกลางเป็นแบบสาก หัวมีขนาดเล็ก ปากมีขนาดเล็ก ยืดหดไม่ได้ อาจมีครีบสันหลังหรือไม่มีก็ได้ ครีบหูสั้นและกลม กระดูกซับออคิวลาร์ เชลฟ์ กว้างหรือแคบ ครีบหางมีทั้งแบบกลมและแยกเป็นแฉก เป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์ในทะเลเขตร้อนและอบอุ่น พบทั้งในมหาสมุทรแอตแลนติก, แปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 70 เซนติเมตร โดยจะอาศัยอยู่ตามแนวปะการังหรือกองหินใต้น้ำ มีพฤติกรรมอาศัยอยู่เป็นฝูงหรือเป็นคู่ ลูกปลาวัยอ่อนจะเลี้ยงตัวในบริเวณที่เป็นน้ำกร่อยหรือน้ำจืด เช่น ปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน โดยมีสีสันแตกต่างจากปลาวัยโต และมีครีบต่าง ๆ ยาวกว่าด้วย เพื่อตบตาสัตว์นักล่าขนาดใหญ่กว่า นิยมตกกันเป็นเกมกีฬาในแถบแอตแลนติก ในน่านน้ำไทยพบ 2 ชนิด คือ ปลาหูช้างยาว (Platax teira) และปลาหูช้างกลม (P. orbicularis) โดยปกติแล้วจะไม่ถือเป็นปลาเศรษฐกิจ แต่ก็ใช้รับประทานกันได้ และนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม และเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในบางชนิด ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานไว้ทั้งหมด 8 สกุล (ดูในตาราง) ราว 18 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาหูช้าง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาอมไข่

ปลาอมไข่ หรือ ปลาคาร์ดินัล (Cardinalfish) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Apogonidae อยู่ในอันดับปลากะพง (Perciformes) เป็นปลาที่มีลำตัวค่อนข้างยาว แบนข้าง เกล็ดมีขนาดใหญ่ หลุดง่าย มีทั้งแบบขอบบางเรียบและเกล็ดสาก ปากค่อนข้างกว้าง เฉียงลง ส่วนมากมีฟันแบบวิลลีฟอร์มบนขากรรไกร มีบางชนิดที่มีฟันเขี้ยวคู่หนึ่งที่รอยต่อของขากรรไกร ครีบหลังทั้งสองครีบแยกจากกันอย่างเห็นได้ชัด ครีบท้องอยู่ในตำแหน่งอก ไม่มีเกล็ดอซิลลารี ครีบหางเว้า ตัดตรง หรือกลม เป็นปลาขนาดเล็กมีขนาดโตเต็มที่ไม่เกิน 10 เซนติเมตร อาศัยอยู่เป็นฝูงในชายทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่น ในบางครั้งอาจพบได้ตามปากแม่น้ำ, ชะวากทะเล ที่เป็นน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ เป็นปลาขนาดเล็กที่มีความสวยงาม นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม บางชนิดสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว ที่ได้ชื่อว่าปลาอมไข่ เนื่องจากเป็นปลาที่เมื่อผสมพันธุ์วางไข่แล้ว ปลาตัวผู้จะอมไข่ไว้ในปาก จนกระทั่งลูกปลาฟักออกมาเป็นตัว และอาจจะเลี้ยงลูกปลาและอมไว้ต่อไปจนกว่าลูกปลาจะโตแข็งแรงพอที่จะดูแลตัวเองได้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาอมไข่ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาอะราไพม่า

วงศ์ปลาอะราไพม่า (Arapaima, Nile arowana) เป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลาลิ้นกระดูก (Osteoglossiformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Arapaimidae โดยมีลักษณะคล้ายกับปลาในวงศ์ปลาตะพัด (Osteoglossidae) คือ มีเกล็ดขนาดใหญ่ ตำแหน่งของครีบท้องอยู่ห่างจากครีบอก มีกระดูกสันหลัง 60-100 ข้อ แต่ทว่ามีรูปร่างและพฤติกรรมที่ต่างออกไป เป็นปลาที่ถือว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตเช่นเดียวกับปลาในวงศ์ปลาตะพัด โดยถือกำเนิดมาไม่ต่ำกว่า 220 ล้านปีแล้ว ตั้งแต่ยุคไทรแอสสิกตอนปลาย พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำขนาดใหญ่และแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้ และแอฟริกา เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ขนาดตั้งแต่ 98 เซนติเมตร ถึง 4.5 เมตร น้ำหนักกว่า 186 หรือเกือบ ๆ 200 กิโลกรัม.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาอะราไพม่า · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาอินทรี

วงศ์ปลาอินทรี (Mackerels, Tunas, King mackerels) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง จัดอยู่ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scombridae มีรูปร่างโดยรวม คือ มีลำตัวเพรียวยาวเป็นทรงกระสวย นัยน์ตากลมโต มีครีบหลังแบ่งออกเป็น 2 ตอน โดยตอนหลังมีลักษณะแข็งและมีขนาดเล็ก มีครีบท้องและครีบก้น กล้ามเนื้อก่อนถึงโคนหางมีเนื้อเยื่อขวางอยู่เรียกว่า "คีล" (Keel) โคนครีบหางกิ่วเล็กแต่แข็งแรง มีครีบแบ่งเป็นแฉก 2 แฉกเว้าลึก ครีบท้องขนานยาวไปกับความยาวลำตัว มีขนาดความยาวแตกต่างกันตั้งแต่ 20 เซนติเมตร ไปจนถึงเกือบ 3 เมตร บางสกุลอาจมีลวดลายตามความยาวหรือแนวลำตัว ในปากมีฟันและกรามที่แข็งแรง มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ในทะเลเปิดในเขตอบอุ่นทั่วโลก เป็นปลาที่มีการอพยพย้ายถิ่น ในปลาขนาดเล็กกินแพลงก์ตอนและสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่า และในปลาขนาดใหญ่จะไล่กินปลาขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร ว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว เพราะใช้ครีบและหางแนบกับลำตัวเมื่อว่ายน้ำ โดยมีสถิติสูงสุดที่บันทึกได้คือ 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยปลาในวงศ์นี้ เป็นที่รู้จักกันในชื่อสามัญภาษาไทยโดยรวมกัน คือ ปลาทู, ปลาโอ, ปลาทูน่า และปลาอินทรี เป็นต้น เป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นปลาที่มนุษย์ใช้ในการบริโภค ทั้งปรุงสุดหรืออาหารกระป๋อง รวมทั้งทำอาหารสัตว์ และตกกันเป็นเกมกีฬาด้วย ปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 55 ชนิด 15 สกุล และแบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ย่อย โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือ (Thunnus thynnus) ที่มีรายงานยาวเต็มที่ที่เคยพบคือ 458 เซนติเมตร และมีน้ำหนักถึง 684 กิโลกรัม.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาอินทรี · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาอินซีเน็ต

วงศ์ปลาอินซีเน็ต (Prochilodus, Flannel-mouth characin) เป็นวงศ์ปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ในอันดับปลาคาราซิน (Characiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Prochilodontidae (/โพร-ชิ-โล-ดอน-ทิ-ดี/) ปลาในวงศ์นี้มีรูปร่างคล้ายปลาในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) กล่าวคือ มีรูปร่างแบนข้าง ผอมเพรียว เกล็ดมีสีเงินแวววาว มีลายแถบสีคล้ำ ดวงตากลมโต ปากมีขนาดเล็ก ริมฝีปากหนา โดยเฉพาะปากบน และสามารถขยับไปมาได้ตลอด ฟันมี 2 แถวและมีขนาดเล็ก ครีบหางและครีบหลังในบางสกุลมีลายแถบสีดำ มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแม่น้ำและแหล่งน้ำจืดของทวีปอเมริกาใต้ เช่น แม่น้ำอเมซอนและสาขา เป็นปลาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ โดยใช้ปากที่ขยับไปมาได้ตลอดเวลานั้นตอดหาอาหารกินตามพื้นท้องน้ำ และวัสดุใต้น้ำต่าง ๆ ผสมพันธุ์และวางไข่ได้ครั้งละ 100,000 ฟอง มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 30 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุดถึง 80 เซนติเมตร นับเป็นปลาเศรษฐกิจที่นิยมบริโภคกันในท้องถิ่น อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย โดยเฉพาะในสกุล Semaprochilodus หรือที่รู้จักกันดีในแวดวงปลาสวยงามว่า "อินซีเน็ต" โดยนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาที่ใช้ทำความสะอาดตู้เลี้ยง เพราะเป็นปลาที่ใช้ปากตอดเศษอาหารและตะไคร่น้ำได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีความสวยงามอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า ปลาชนิดนี้ควรเลี้ยงคู่กับปลาอะโรวาน่าหรือปลามังกร เพราะมีชื่อเรียกในภาษาจีนว่า "เฟยหง" (จีนตัวเต็ม: 飛鳳) เมื่อเลี้ยงคู่กันแล้วจะเปรียบเสมือนหงส์คู่มังกร มีทั้งหมด 21 ชนิด 3 สกุล.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาอินซีเน็ต · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาผีเสื้อ

วงศ์ปลาผีเสื้อ (วงศ์: Chaetodontidae, Butterflyfish, Bannerfish, Coralfish) เป็นวงศ์ของปลาทะเลจำพวกหนึ่ง ในชั้นปลากระดูกแข็ง อันดับปลากะพง (Perciformes) ประกอบไปด้วยสมาชิกแบ่งออกเป็นสกุลต่าง ๆ ได้ 10 สกุล พบประมาณ 114 ชนิด มีลักษณะโดยรวม คือ มีลำตัวสั้น แบนด้านข้าง ปากมีขนาดเล็กอาจยืดหดได้ ภายในปากมีฟันละเอียด ครีบหลังมีอันเดียว ประกอบด้วยก้านครีบแข็งอยู่ส่วนหน้าและก้านครีบอ่อนอยู่ถัดไป ครีบทวารมีก้านครีบแข็ง 3 อัน และแผ่นยื่นรับกับครีบหลัง มีนิสัยเฉื่อยชา ว่ายน้ำหรือเคลื่อนไหวไปอย่างช้า ๆ ไม่ว่องไว มีสีสันและลวดลายที่สดใสสวยงาม มีพฤติกรรมอาศัยเป็นฝูงหรือเป็นคู่ในแนวปะการัง พบแพร่กระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแอตแลนติก, มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิค เป็นปลาที่ออกหากินในเวลากลางวัน โดยอาศัยการแทะกินสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ตามแนวปะการัง ส่วนในเวลากลางคืนจะอาศัยหลับนอนตามโพรงหินหรือปะการัง และจะเปลี่ยนสีตัวเองให้เข้มขึ้นเพื่ออำพรางตัวจากศัตรู ซึ่งในหลายชนิดและบางสกุล จะมีจุดวงกลมสีดำขนาดใหญ่คล้ายดวงตาอยู่บริเวณท้ายลำตัวเพื่อล่อหลอกให้ศัตรูสับสนได้อีกด้วยคล้ายกับผีเสื้อที่เป็นแมลง มีการสืบพันธุ์วางไข่โดยการปล่อยไข่ให้ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ ก่อนจะรอวันให้ลูกปลาฟักออกมาเป็นตัวและกลับไปอาศัยในแนวปะการังต่อไป ลูกปลาผีเสื้อแทบทุกชนิดมีรูปร่างหน้าตาแทบจะเหมือนกับตัวเต็มวัย โดยมักจะมีจุดบริเวณครีบหลัง และเมื่อลูกปลาโตขึ้นจุดที่ว่านี้ก็จะหายไปเช่นเดียวกับปลาในแนวปะการังอื่น ๆ อีกหลายชนิด ด้วยความสวยงามและรูปร่างที่น่ารัก จึงทำให้นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งในบางชนิดสามารถฝึกให้กินอาหารสำเร็จรูปได้ หลายชนิดเลี้ยงได้ไม่ยากนัก ขณะที่บางชนิดที่เลี้ยงได้ยาก สำหรับในน่านน้ำไทยพบปลาในวงศ์ปลาผีเสื้อนี้ไม่ต่ำกว่า 40 ชนิด อาทิ ปลาผีเสื้อนกกระจิบ (Chelmon rostratus), ปลาผีเสื้อทอง (Chaetodon semilarvatus), ปลาผีเสื้อจมูกยาวขอบตาขาว (Forcipiger flavissimus), ปลาโนรีเกล็ด (Heniochus diphreutes) เป็นต้น โดยจะพบในด้านทะเลอันดามันมากกว่าอ่าวไทย ซึ่งปลาในวงศ์ปลาผีเสื้อนั้น ในอดีตเมื่อเริ่มมีการอนุกรมวิธาน ด้วยลักษณะปากที่ยื่นยาวทำให้มีความเข้าใจผิดว่า สามารถพ่นน้ำจับแมลงได้เหมือนเช่น ปลาเสือพ่นน้ำ (Toxotidae) ซึ่งเป็นปลาน้ำจืด โดยความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1764 เมื่อมีการส่งตัวอย่างปลาในยังกรุงลอนดอนเพื่อลงรูปตีพิมพ์ลงในหนังสือ ปรากฏเป็นภาพของปลาผีเสื้อนกกระจิบ และถูกบรรยายว่าสามารถพ่นน้ำจับแมลงกินเป็นอาหารได้ จึงถูกกล่าวอ้างต่อมาอย่างผิด ๆ อีกนาน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาผีเสื้อ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาผีเสื้อกลางคืน

วงศ์ปลาผีเสื้อกลางคืน (Seamoth, Dragonfish) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งทะเลวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลาเหล็กใน (Gasterosteiformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pegasidae (/เพ-กา-ซิ-ดี/) เป็นปลาขนาดเล็กมีความยาวเพียงไม่กี่เซนติเมตร มีลักษณะ คือ มีลำตัวเป็นเกราะแข็ง ครีบหางมีเกราะรูปวงแหวนต่อกัน เป็นข้อ ๆ ปากยื่นยาวออกไป ลำตัวแบนลง ครีบหูมีขนาดใหญ่แผ่ออกด้านข้างคล้ายปีกของผีเสื้อ ครีบท้องมีก้านแข็งหนึ่งคู่ ที่เหลือเป็นก้านครีบอ่อนที่พัฒนาไปคล้ายขาเดิน อันเป็นที่มาของชื่อเรียก เป็นปลาที่หากินบนพื้นน้ำเป็นหลัก อาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ตามพื้นทะเล ที่เป็นทรายหรือกรวดปนทราย ตามแนวหญ้าทะเล และบริเวณที่มีสาหร่ายขึ้นอยู่มาก โดยมักพรางตัวให้เข้ากับพื้นทรายและออกหากินในเวลากลางคืน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาผีเสื้อกลางคืน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาจวด

วงศ์ปลาจวด (Croakers, Drums) เป็นวงศ์ในชั้นปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sciaenidae (/เซีย-เอ็น-อิ-ดี้/) โดยมากเป็นปลาทะเล มีรูปร่างที่คล้ายกันคือ มีส่วนหัวโต จะงอยปากยื่นยาวแต่ปลายมน ตาโตอยู่ค่อนข้างไปทางด้านบนของหัว ปากมักอยู่ไปทางด้านล่าง ริมฝีปากบาง มีฟันเป็นเขี้ยวซี่เล็ก ๆ มักมีรูเล็ก ๆ อยู่ใต้คาง ครีบหลังยาวและเว้าเป็น 2 ตอน โคนครีบหางคอดกิ่ว ปลายหางอาจจะมีปลายแหลมหรือตัดตรง เกล็ดมีขนาดเล็ก มีเกล็ดบนเส้นข้างลำตัวจนถึงปลายครีบหาง ครีบท้องอยู่ใต้ครีบอก มีกระเพาะลมขนาดใหญ่และมีกล้ามเนื้อรอบ ซึ่งสามารถทำเสียงได้เวลาตกใจหรือในฤดูผสมพันธุ์ พบในเขตอบอุ่นรอบโลกมากกว่า 270 ชนิด พบในน้ำจืดเพียงไม่กี่ชนิด เช่น สกุล Aplodinotus ส่วนมากพบในน้ำกร่อย สำหรับในประเทศไทยพบราว 40 ชนิด พบในน้ำจืดเพียงชนิดเดียว คือ ปลาม้า (Boesemania microlepis) สำหรับปลาในวงศ์นี้ ภาษาไทยมักเรียกรวม ๆ กันว่า "ปลาจวด" หรือ "ปลาหางกิ่ว" เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ เนื้อมีรสชาติอร่อย มีอยู่ชนิดหนึ่งที่เป็นปลาที่หายากมาก พบในเขตทะเลประเทศจีน คือ Bahaba taipingensis มีราคาซื้อขายที่สูงมาก ในเกาหลี ปลาในวงศ์นี้ถูกเรียกว่า "มิน-ออ" (민어; Min-eo) เป็นอาหารที่ชาวเกาหลีมักรับประทานกันในฤดูร้อน ด้วยเชื่อว่าดับร้อนได้ มีการปรุงทั้งแบบสดและแห้ง จัดเป็นปลาที่มีราคาซื้อขายแพง.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาจวด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาจะละเม็ด

วงศ์ปลาจะละเม็ด (Butterfish, Harvestfish, Pomfret, Rudderfish, วงศ์: Stromateidae) เป็นวงศ์ของปลาทะเลกระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง อยู่ในอันดับปลากะพง (Perciformes) รูปร่างโดยรวมของปลาในวงศ์นี้ มีลำตัวรูปไข่แบนข้างมาก เกล็ดเป็นแบบขอบเรียบขนาดเล็ก ไม่มีครีบท้อง ส่วนหัวเล็กมน ปากเล็ก บริเวณคอดหางไม่มีสันคม ครีบหางเป็นแฉกยาวเว้าลึก มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงในทะเล พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ชายฝั่งของอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้, แอฟริกา และเอเชีย ในแถบอินโด-แปซิฟิก วงศ์ปลาจะละเม็ดแบ่งได้เป็น 3 สกุล (ดูในตาราง) 17 ชนิด จัดเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญมากจำพวกหนึ่ง เช่น ปลาจะละเม็ดขาว (Pampus argenteus), ปลาจะละเม็ดเทา (P. chinensis) อนึ่ง ปลาจะละเม็ดดำ (Parastromateus niger) แม้จะได้ชื่อสามัญว่าเป็นปลาจะละเม็ดเหมือนกัน แต่ไม่จัดอยู่ในวงศ์นี้ แต่ถูกจัดอยู่ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาจะละเม็ด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาจาน

วงศ์ปลาจาน หรือ วงศ์ปลาอีคุด (Sea bream, Porgie) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Sparidae มีลักษณะโดยทั่วไป คือ ลำตัวค่อนข้างยาวแบนข้าง มีเกล็ดซิเลียเตดขนาดปานกลาง เกล็ดบนหัวเริ่มมีตั้งแต่บริเวณระหว่างตาหรือบริเวณหลังตา ส่วนหน้าของขากรรไกรมีฟันเขี้ยวหรือฟันตัด บริเวณของมุมปากมีฟันรูปกรวยหรือแบบฟันกราม ซึ่งจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ไปทางส่วนท้าย ไม่มีฟันบนกระดูกพาลาทีน ครีบหลังมีตอนเดียวมีก้านครีบแข็ง 11-12 ก้าน ก้านครีบอ่อนที่แตกปลาย 10-15 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแข็งที่ใหญ่และแข็งแรง ก้านครีบแข็งก้านที่สองยาวที่สุด เป็นปลาทะเล พบกระจายพันธุ์ในทะเลและมหาสมุทรเขตร้อนและอบอุ่นทั่วโลก เป็นปลาเศรษฐกิจ ใช้เนื้อในการบริโภค และตกเป็นเกมกีฬา บางชนิดอาจพบได้ในเขตน้ำกร่อยหรือน้ำจืด ในประเทศไทย ปลาที่อยู่ในวงศ์นี้ที่เป็นที่รู้จักกันดี เช่น ปลาอีคุด (Acanthopagrus berda) และปลาจานแดง หรือปลาอีคุดครีบยาว (Argyrops spiniferหน้า 110-129, Amphidromous Story สุดยอดนักล่า ปลาสองน้ำ, "Wild Ambition" โดย ชวิน ตันพิทยคุปต์, กิตติพงษ์ จารุธาณินทร์, นันทวัฒน์ โชติสุวรรณ. Aquarium Biz ปีที่ 3 ฉบับที่ 35: พฤษภาคม 2013) นอกจากนี้แล้ว ปลาในวงศ์นี้ยังมีการสืบพันธุ์เป็นกะเทยแบบเป็นลำดับ คือ การเป็นกะเทยแบบกลายเพศหรือเปลี่ยนเพศ คือเปลี่ยนจากเพศผู้ในระยะแรกและเป็นเพศเมียเมื่อปลาโตขึ้นได้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาจาน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ

วงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ หรือ วงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้ปลอม (False pipefish, Ghost pipefish, Tubemouth fish) เป็นวงศ์ของปลาทะเลกระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ (Syngnathiformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Solenostomidae (มาจากภาษากรีกคำว่า solen หมายถึง ท่อ, หลอด หรือช่องทาง กับ στομα (stoma) หมายถึง ปาก) มีรูปร่างโดยรวม คือ เหมือนกับปลาจิ้มฟันจระเข้ขนาดเล็ก คือมีลำตัวยาวเหมือนกิ่งไม้ ปากยาวเป็นท่อ แต่มีความแตกต่างกัน คือ มีครีบที่พัฒนาให้มีขนาดกว้างใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดของลำตัว เป็นครีบที่โดดเด่นทั้งครีบข้างลำตัว, ครีบหลัง, ครีบหาง และยังมีครีบพิเศษ คือ ครีบใต้ท้องที่ม้าน้ำและปลาจิ้มฟันจระเข้ทั่วไปไม่มี ซึ่งครีบขนาดใหญ่นี้สามารถจะหุบเก็บแนบกับลำตัว หรือคลี่กางให้กว้างใหญ่ได้คล้ายกับพัด ที่เมื่อคลี่กางครีบสุดตัวแล้วจะแลดูสวยงาม นอกจากนี้แล้วยังมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่น คือ ตลอดทั่วทั้งตัวมีติ่งเนื้อหรือสีสันที่กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม สำหรับการพรางตัวได้เป็นอย่างดี Orr, J.W. & Pietsch, T.W. (1998).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ

วงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ (Seahorse, Pipefish) เป็นวงศ์ปลาวงศ์หนึ่ง ในอันดับ Syngnathiformes ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syngnathidae (/ซีน-แนท-อิ-ดี/) เป็นปลากระดูกแข็ง มีรูปร่างประหลาดไปจากปลาในวงศ์อื่น ๆ ทั่วไป กล่าวคือ มีรูปร่างเรียวราวคล้ายกิ่งไม้ มีเกล็ดลำตัวแข็งดูคล้ายเกราะ ลำตัวแบ่งเป็นปล้อง ๆ หางยาว จำนวนปล้องนี้จะเท่ากับข้อกระดูกสันหลัง ตัวผู้จะเป็นผู้ที่ดูแลไข่โดยจะฟักไข่ไว้ในถุงหน้าท้องหลังจากไข่จากตัวเมียได้รับการปฏิสนธิแล้ว จนกว่าไข่จะฟักเป็นลูกปลาขนาดเล็ก ดวงตามีขนาดเล็ก ไม่มีฟันและขากรรไกร ครีบทุกครีบมีขนาดเล็ก ไม่มีครีบท้องและครีบก้น ครีบหลังมีเฉพาะก้านครีบแขนง ไม่มีก้านครีบแข็ง ด้วยลักษณะทางสรีระเช่นนี้จึงทำให้ว่ายน้ำได้ช้า ๆ ปากยาวเป็นท่อ หากินโดยการดูดอาหาร จำพวก แพลงก์ตอนสัตว์และสัตว์น้ำขนาดเล็ก พบได้ทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล โดยมากจะพบในทะเลมากกว่า มีพบในน้ำจืดและน้ำกร่อย ไม่กี่ชนิด แบ่งออกเป็น 2 วงศ์ย่อย คือ วงศ์ Hippocampinae มี 2 สกุล หรือ ม้าน้ำ กับ Syngnathinae หรือ ปลาจิ้มฟันจระเข้ มี 52 สกุล โดยพบทั้งหมดประมาณ 215 ชนิด ใน 2 วงศ์ย่อยนี้ พบได้ทั่วโลก จัดเป็นปลาขนาดเล็ก ที่มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ยเต็มที่ไม่เกิน 30 เซนติเมตร ประกอบกับรูปร่างที่แปลก จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ในตู้ปลาส่วนตัว หรือในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการนำไปปรุงเป็นยาสมุนไพรตามตำรับยาจีนอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาขี้ตังเบ็ด

วงศ์ปลาขี้ตังเบ็ด (Surgeonfish, Tang, Lancetfish, Unicornfish) เป็นวงศ์ของปลาทะเลวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Acanthuridae ในอันดับปลากะพง (Perciformes) มีรูปร่างโดยรวม คือ มีลำตัวสั้นหรือค่อนข้างยาวรูปไข่ ด้านข้างแบน ส่วนหลังและส่วนท้องโค้งเล็กน้อย เกล็ดมีขนาดเล็กมากเป็นแบบบางเรียบ มีก้านครีบที่โคนหางสามารถขยับได้ ปากมีขนาดเล็ก มีฟันแบบฟันตัดเพียงแถวเดียว ไม่มีฟันที่เพดานปาก จะงอยปากไม่มีลักษณะเป็นท่อสั้น ครีบหลังมีก้านครีบแข็ง 4-9 ก้าน ไม่แยกจากครีบอ่อน ครีบก้นมีก้านครีบแข็ง 2-3 ก้าน เส้นข้างลำตัวสมบูรณ์ ครีบหางตัดตรงหรือเว้าแบบพระจันทร์เสี้ยว เกล็ดบนลำตัวบางครั้งพบว่าค่อนข้างหยาบ ในขณะที่อายุยังน้อยไม่มีเกล็ด ลักษณะเด่นของปลาในวงศ์นี้ คือ มีเกล็ดที่พัฒนาบริเวณส่วนโคนหางและครีบหางที่มีขนาดเล็กแต่แหลมคมมาก ใช้สำหรับป้องกันตัวและเป็นที่มาของชื่อเรียก และเป็นส่วนสำคัญในการอนุกรมวิธาน กินสาหร่าย และหญ้าทะเลที่ขึ้นอยู่บนหิน และปะการังเป็นอาหาร หรือบางชนิดกินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กเป็นอาหาร ส่วนใหญ่มีสีสันที่สวยสดงดงาม มีทั้งหมด 6 สกุล (ดูในตาราง) ประมาณ 83 ชนิด มีขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไป 15-40 เซนติเมตร นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม กระจายพันธุ์อยู่ในแนวปะการังเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาขี้ตังเบ็ด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาข้างตะเภา

ำหรับปลาข้างตะเภาอีกวงศ์หนึ่ง ดูที่: วงศ์ปลาครืดคราด วงศ์ปลาข้างตะเภา หรือ วงศ์ปลาข้างลาย (Tigerperch, Croaker, Grunter) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Terapontidae อยู่ในอันดับปลากะพง (Perciformes) มีลำตัวค่อนข้างสั้นแบบรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากแบนข้าง เกล็ดมีขนาดเล็ก หรือขนาดปานกลาง แบบเกล็ดสาก ปากมีขนาดเล็กเฉียงเล็กน้อย ขอบของกระดูกพรีโอเพอร์คูลัมเป็นหยัก และกระดูกโอเพอร์คูลัมมีก้านครีบแข็ง 2 อัน ครีบหลังทั้งสองติดกันแต่มีรอยเว้าให้เห็นว่าแบ่งออกจากกันได้ ครีบหลังมีก้านครีบแข็งจำนวน 11-14 อัน ครีบหางกลม ตัดตรง หรือเว้าเล็กน้อย ครีบท้องอยู่หลังฐานของครีบอกมีก้านครีบแข็งที่แข็งแรง 1 อัน และก้านครีบอ่อนที่แตกปลาย 5 ก้าน จัดเป็นปลาขนาดเล็ก พบกระจายพันธุ์อยู่แถบชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ในบางชนิดจะพบได้ในแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำจืดด้วย มีทั้งหมด 15 สกุล (ดูในตาราง) 50 ชนิด อาทิ ปลาข้างตะเภาลายโค้ง (Terapon jarbua), ปลาข้างตะเภาเกล็ดใหญ่ (T. theraps), ปลาข้างตะเภาเกล็ดเล็ก (T. puta), ปลาข้างลายสี่แถบ (Pelates quadrilineatus) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาข้างตะเภา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาดอกหมาก

ระวังสับสนกับปลาวงศ์อื่น ดูที่: วงศ์ปลาแป้น วงศ์ปลาดอกหมาก (Mojarra, Silver biddy) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gerreidae เป็นปลาที่มีลำตัวแบนข้าง ดูผิวเผินคล้ายปลาในวงศ์ปลาแป้น (Leiognathidae) มีขนาดปานกลาง เกล็ดบนหัวเป็นแบบบางขอบเรียบ หรือเกล็ดสาก มีเหงือกเทียม ขอบของกระดูกพรีโอเพอร์เคิลเป็นหยักเล็กน้อย มีฟันบนขากรรไกร และเพดานปาก ไม่มีฟันเขี้ยว ปากยืดหดได้ มีสเกรีชีทที่ฐานครีบหลังและครีบก้น ครีบหลังมีตอนเดียว ครีบหางเว้าแบบส้อม ปกติอยู่เป็นฝูงในทะเลเขตร้อน ตั้งแต่ทะเลแคริเบียน, อเมริกาใต้ จนถึงเอเชีย แต่ก็อาจพบได้ในแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำจืด แบ่งออกได้ทั้งหมด 6 สกุล.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาดอกหมาก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาดาบ

วามหมายอื่น: ปลาที่มีลักษณะคล้ายปลากระโทง ดูที่ ปลากระโทงดาบ วงศ์ปลาดาบ หรือ วงศ์ปลาดาบเงิน (Cutlassfish, Hairtail, Scabbardfish, Walla Walla; วงศ์: Trichiuridae) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Trichiuridae อยู่ในอันดับปลากะพง (Perciformes) มีลำตัวเพรียวยาวเหมือนปลาไหล ด้านข้างแบนมาก ส่วนหัวแหลมลาดต่ำไปข้างหน้า ปากล่างยื่น มีฟันคมแข็งแรงเห็นได้ชัดเจน ลำตัวเรียวแหลมเป็นเส้นไปทางหาง แต่ไม่มีครีบหาง ครีบหลังยาวเกือบตลอดแนวสันหลังยกเว้นใกล้หัว ครีบก้นเป็นเพียงแถวของหนามแข็งขนาดเล็กโผล่จากสันท้องไม่มี ครีบท้อง หรือมีแต่เล็กมาก ไม่มีเกล็ด ผิวหนังมีสีเงินหรือสีเทา พบกระจายพันธุ์ในทะเลแถบชายฝั่ง และพบอาจได้บริเวณปากแม่น้ำ มีทั้งหมด 10 สกุล ประมาณ 40 ชนิด แบ่งออกได้เป็น 3 วงศ์ย่อย โดยชนิดที่พบได้บ่อย เช่น ปลาดาบเงินใหญ่ (Trichiurus lepturus) เป็นปลาเศรษฐกิจจำพวกหนึ่ง สามารถนำมาใช้บริโภคได้ทั้งบริโภคสดและแปรรูปเช่น ทำเป็นลูกชิ้นปลา, ปลาเค็ม, ปลาแห้ง เป็นต้น โดยคำว่า Trichiuridae นั้นมาจากภาษากรีกคำว่า thrix หมายถึง "เส้นผม" บวกกับคำว่า oura หมายถึง "หาง".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาดาบ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาดาบลาว

วามหมายอื่น: สำหรับปลาชนิดอื่นที่เป็นปลาน้ำจืด ดูได้ที่ ปลาฝักพร้า วงศ์ปลาดาบลาว (Wolf herring) เป็นปลากระดูกแข็งในอันดับปลาหลังเขียว (Clupeiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Chirocentridae มีรูปร่างโดยรวม คือ ปากเชิดขึ้น มีฟันแหลมคมมาก ลำตัวเพรียวยาว แบนข้าง ท้องเป็นสันแหลม แนวสันหลังและสันท้องตรงเกือบขนานกัน ครีบหลังและครีบก้นอยู่ค่อนไปทางหาง ครีบท้องมีขนาดเล็กมาก เกล็ดมีขนาดเล็กและบาง ด้านหลังลำตัวสีน้ำเงิน ด้านข้างและท้องสีขาวเงิน มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 1 เมตร กระจายพันธุ์ในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก การจำแนก มีอยู่เพียงสกุลเดียวเท่านั้น คือ Chirocentrus มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาดาบลาว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาดุก

วงศ์ปลาดุก (Walking catfish, Airbreathing catfish) เป็นวงศ์ปลาจำพวกหนึ่ง ในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Clariidae (/คลา-ริ-อาย-ดี้/) มีลักษณะเด่นชัดคือ ส่วนหัวกลมแบราบ ตาเล็กอยู่ด้านข้างของหัว ปากเล็กอยู่ตอนปลายสุดของจะงอยปาก มีหนวดรอบปาก 4 คู่ ยาวเท่า ๆ กัน ครีบอกมีก้านแข็งแหลมคม มีพิษแรงปานกลาง ครีบหลังไม่มีก้านครีบแข็งและยาวเกือบเท่าความยาวลำตัวเช่นเดียวกับครีบก้น ครีบหลังและครีบท้องเล็กปลายมน ปลาดุกมีอวัยวะพิเศษรูปร่างคล้ายก้อนฟองน้ำสีแดงสดอยู่ในช่องเหงือกตอนบนสำหรับช่วยหายใจโดยใช้อากาศเหนือน้ำได้ จึงทำให้ปลาในวงศ์นี้สามารถอยู่เหนือน้ำได้นานกว่าปลาชนิดอื่น ๆ และยังสามารถแถก คืบคลานบนบกได้เมื่อฝนตกน้ำไหลหลาก และเป็นที่ของชื่อภาษาอังกฤษว่า "Walking catfish" มีการวางไข่โดยขุดโพรงหรือทำรัง บางชนิด ตัวผู้และตัวเมียช่วยกันดูแลไข่จนฟักเป็นตัว ไข่เป็นแบบไข่ติด ปลาในวงศ์นี้มีการกระจายพันธุ์กว้างไกลตั้งแต่ทวีปแอฟริกาจนถึงเอเชีย พบในประเทศไทยราว 10 ชนิด เป็นปลาน้ำจืดที่ใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ที่คนไทยรู้จักดี ได้แก่ ปลาดุกด้าน (Clarias batrachus) และปลาดุกอุย (C. macrocephalus).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาดุก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาดุกทะเล

วงศ์ปลาดุกทะเล (Eeltail catfishes, Coral catfishes, Eel catfishes, Stinging catfishes) เป็นวงศ์ปลากระดูกแข็ง ในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Plotosidae (/โพล-โต-ซิ-ดี/) มีลักษณะสำคัญคือ มีหนวด 4 คู่ คือ หนวดที่บริเวณมุมปากทั้งปากบนและปากล่าง และที่คาง ครีบหลังมีเงี่ยงเป็นฟันเลื่อย ไม่มีครีบไขมัน ครีบหลัง ครีบหางและครีบก้นยาวติดต่อกัน โดยที่ส่วนคอดหางเป็นต้นไปเรียวเล็กลงทำให้แลดูคล้ายปลาไหล อันเป็นที่มาของชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ เป็นปลาทะเล ที่มักอาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่ง ตามแนวปะการังหรือกอสาหร่าย โดยมีพบเข้าไปอยู่ในแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำจืดด้วย เช่น ปากแม่น้ำ หรือป่าชายเลน ในวัยเล็กมักอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินในเวลากลางคืน พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในทะเลแถบมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย ตั้งแต่ทะเลญี่ปุ่น จนถึงฟิจิ, ปาปัวนิวกินีและโอเชียเนีย มีทั้งหมด 35 ชนิด ใน 10 สกุล (ดูในตาราง) สำหรับในประเทศไทยพบเป็นชนิดที่สำคัญ 2 ชนิด คือ ปลาดุกทะเลลาย (Plotosus lineatus) และปลาดุกทะเลยักษ์ (P. canius) ซึ่งนิยมตกเป็นเกมกีฬา, เลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และบริโภคกันเป็นอาหาร ซึ่งในปลาดุกทะเลยักษ์นั้น ถือเป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ โดยยาวได้ถึง 1.5 เมตร มีน้ำหนักหนักได้ถึงเกือบ 10 กิโลกรัม และในชนิดปลาดุกทะเลลายมีรายงานว่าที่เงี่ยงแข็งนั้นมีพิษร้ายแรงถึงขนาดแทงมนุษย์เสียชีวิตได้ ปลาในวงศ์นี้ นอกจากใช้ชื่อว่า "ปลาดุกทะเล" หรือ "ปลาปิ่นแก้ว" แล้วยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น "สามแก้ว" หรือ "เป็ดแก้ว" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาดุกทะเล · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาดุกไฟฟ้า

วงศ์ปลาดุกไฟฟ้า (Electric catfish) วงศ์ปลาหนังน้ำจืดจำพวกหนึ่ง พบเฉพาะในทวีปแอฟริกาตอนเหนือและตะวันออกบริเวณแม่น้ำไนล์ มีทั้งหมด 2 สกุล พบทั้งหมด 25 ชนิด ใช้ชื่อวงศ์ว่า Malapteruridae ซึ่งมาจากภาษากรีกคำว่า "Mala" หมายถึง "นุ่มนิ่ม", "pteron" หมายถึง "ครีบ" และ "oura" หมายถึง "หาง" มีลำตัวมีรูปร่างกลมป้อม หัวหนา ตามีขนาดเล็ก มีครีบ 7 ครีบ แต่ไม่มีครีบหลัง มีเพียงครีบไขมัน ขนาดใหญ่ อยู่ด้านหลังใกล้โคนหาง ครีบอก 1 คู่ ไม่มีเงี่ยง ครีบท้อง 1 คู่มีขนาดเล็ก ครีบก้นอยู่ตรงข้ามกับครีบไขมัน หางมีขนาดใหญ่เป็นรูปพัด มีหนวด 3 คู่ รอบริมฝีปากมีหนังหนา มีอวัยวะสร้างไฟฟ้า 1 คู่โดยฝังอยู่ใต้ ผิวหนังที่หนาบริเวณลำตัวข้างละอันการปล่อยกระแสไฟฟ้าอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบประสาท โดยปกติจะปล่อยกระแสไฟฟ้าเวลาหาอาหารหรือป้องกันตัวเท่านั้น ปลาที่มีขนาดใหญ่สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าขนาด 1 แอมแปร์ และแรงคลื่นกว่า 100 โวลท์ได้ ซึ่งกระแสไฟฟ้าขนาดนี้ในน้ำสามารถ ทำอันตรายต่อศัตรู หรือแม้กระทั่งมนุษย์ได้ แต่แม้กระนั้นกระแสไฟฟ้าของปลาดุกไฟฟ้าเมื่อเทียบกับ ปลาไหลไฟฟ้า (Electrophorus electricus) ก็ยังจัดว่ามีกำลังอ่อนกว่ามาก เพราะปลาไหลไฟฟ้าขนาดใหญ่บางตัวสามารถสร้างไฟฟ้าที่มีแรงคลื่นสูงถึง 600 โวลท์ ซึ่ง เป็นอันตรายร้ายแรงต่อสัตว์ทุกชนิด สีตัวของปลาดุกไฟฟฟ้า ด้านหลังเป็นสีน้ำตาลลอมเทา ส่วนด้านท้องมีสีจางกว่า ตามตัว มีปละสีดำกระจายทั่วตัวจะมากหรือน้อยไม่แน่นอน ตามครีบมีสีอ่อน โคนครีบหางมีสีดำจางพาดลงมา โดยเฉพาะในตัวที่มีขนาดเล็ก ปลาดุกไฟฟ้าเป็นปลาที่รู้จักของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณไม่ต่ำกว่า 6,000 ปี ทั้งนี้โดยมีหลักฐานจากภาพแกะสลักบนแผ่นดินที่พบในปิรามิดของอียิปต์ นิยมใช้เนื้อบริโภคในท้องถิ่น เป็นปลากินเนื้อ มักซุกซ่อนตัวอยู่นิ่ง ๆ ตามวัสดุใต้น้ำ เช่น โพรงไม้, สาหร่าย หาเหยื่อในเวลากลางคืนด้วยการสร้างกระแสไฟฟ้าเพื่อสลบเหยื่อ การขยายพันธุ์เชื่อกันว่าเป็นปลาที่ฟักไข่ในปาก ปลาดุกไฟฟ้า ชนิดที่ใหญ่ที่สุดโตเต็มได้ราว 1.22 เมตร คือ ชนิด ''Malapterurus microstoma'' ปัจจุบันนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งต้องเลี้ยงเดี่ยว ๆ เพียงตัวเดียวเนื่องจากเป็นปลาที่ก้าวร้าว ซ้ำยังสามารถปล่อยไฟฟ้าใส่ปลาชนิดอื่นได้อีก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาดุกไฟฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาคาราซิน

วงศ์ปลาคาราซิน (Characins, Tetras) หรือ วงศ์ปลาตะเพียนกินเนื้อ เป็นวงศ์ปลาน้ำจืดวงศ์หนึ่งที่เดิมอยู่จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) แต่ว่าปลาในวงศ์นี้เป็นปลากินเนื้อเป็นอาหาร หลายสกุล หลายชนิด ใช้ชื่อวงศ์ว่า Characidae โดยถือเป็นวงศ์หลักของปลาในอันดับปลาคาราซิน (Characiformes) สามารถแบ่งออกเป็นวงศ์ย่อยได้อีกหลายวงศ์ มีหลายร้อยชนิด นิยมอยู่รวมเป็นฝูง โดยปลาที่มีขนาดเล็ก เช่น ปลานีออน (Paracheirodon innesi) มักจะมีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษ เรียกรวม ๆ กันว่า "ปลาเตตร้า" เป็นต้น พบกระจายอยู่ทั่วไปทั้งทวีปอเมริกาเหนือ, อเมริกากลาง และทวีปอเมริกาใต้ เป็นวงศ์ปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจคือ ใช้บริโภค ซึ่งปลาที่รู้จักกันในแง่นี้ก็คือ ปลาคู้แดง (Piaractus brachypomus) เป็นต้น และนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาคาราซิน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาคาราซินไม่มีฟัน

วงศ์ปลาคาราซินไม่มีฟัน (Toothless characins; ชื่อวิทยาศาสตร์: Curimatidae) เป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลาคาราซิน (Characiformes) มีรูปร่างลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาในวงศ์ปลาอินซีเน็ต (Prochilodontidae) ซึ่งอยู่ในอันดับเดียวกันมาก และเคยถูกจัดรวมเป็นวงศ์เดียวกันด้วย เว้นแต่ปลาในวงศ์นี้ไม่มีฟันกราม ถึงแม้ว่าจะมีแผงฟันขนาดเล็กในคอหอยก็ตาม โดยมีพฤติกรรมส่วนใหญ่คล้ายกับปลาในวงศ์ปลาอินซีเน็ต คือ ใช้ปากคุ้ยเขี่ยหาอาหารตามพื้นท้องน้ำเป็นหลัก ซึ่งได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กหรือแมลงน้ำ มีขนาดใหญ่เต็มที่ได้ 45 เซนติเมตร มีการกระจายพันธุ์อยู่ในลุ่มแม่น้ำหลัก ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ตั้งแต่ตอนใต้ของคอสตาริกาจนถึงตอนเหนือของอาร์เจนตินาและเปรูจรดชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก มีทั้งหมด 95 สกุล ซึ่งชื่อในภาษาถิ่นของปลาวงศ์นี้เป็นภาษาสเปนและโปรตุเกสว่า "Curimbatá" หรือ "Curimba" เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่นเป็นปกต.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาคาราซินไม่มีฟัน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาค้อ

วงศ์ปลาค้อ (อังกฤษ: Hillstream loachs, River loachs) เป็นวงศ์ปลาน้ำจืดที่มีขนาดเล็กชอบอาศัยอยู่ตามต้นน้ำลำธารทั่วไปในทวีปเอเชียและอนุทวีปยูเรเชีย ใช้ชื่อวงศ์ว่า Balitoridae (/บา-ลิ-ทอร์-อิ-ดี้/) มีลักษณะคล้ายปลาในวงศ์ปลาหมู (Cobitidae) มีลักษณะสำคัญ คือ หัวกลม ลำตัวเรียวยาว ด้านล่างแบนราบ ปากอยู่ใต้จะงอยปาก ไม่มีฟันในลำคอ มีหนวดอย่างน้อย 3 คู่ ไม่มีเงี่ยงแข็งที่บริเวณหน้าหรือใต้ตา ครีบอกและครีบท้องแผ่ออกทั้ง 2 ข้างของลำตัว ใช้สำหรับเกาะยึดติดกับโขดหินหรือวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำเพื่อมิให้ตัวถูกกระแสน้ำพัดพาไหลไป เป็นปลาที่จะอาศัยอยู่บริเวณแหล่งน้ำที่เป็นต้นน้ำ คือ ลำธารบนภูเขาสูงที่ไหลมาจากน้ำตก ที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว ปลาในวงศ์นี้ว่ายน้ำไม่เก่ง แต่สามารถคืบคลานต้านกระแสน้ำบนโขดหินได้เป็นอย่างดี ในประเทศไทย พบหลายชนิด เช่น ปลาจิ้งจกสมิธ (Homaloptera smithi) และปลาจิ้งจกหัวแบน (Balitora brucei) ปลาเหล่านี้สามารถใช้เป็นดัชนีบ่งชี้คุณภาพน้ำทางกายภาพได้เป็นอย่างดี เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติที่สะอาด และกินแมลงน้ำและตะไคร่น้ำเป็นอาหาร โดยแมลงน้ำและตะไคร่น้ำจะต้องอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่สะอาดเช่นกัน ไม่ใช้เป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในแง่ของการเป็นปลาบริโภค เพียงแต่อาจมีการบริโภคกันในท้องถิ่น และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามหลายชนิดด้วยกัน โดยมักจะเรียกในวงการปลาสวยงามว่า "ปลาจิ้งจก" หรือ "ปลาผีเสื้อติดหิน" หรือ "ปลาซัคเกอร์ผีเสื้อ" เป็นต้น และเดิมทีวงศ์นี้ยังแบ่งออกเป็นวงศ์ย่อยอีก 2 วงศ์ แต่ปัจจุบันได้แยกออกเป็นวงศ์ต่างหาก คือ Nemacheilidae (วงศ์ปลาค้อหิน) และ Gastromyzontidae.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาค้อ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลางวงช้าง

วงศ์ปลางวงช้าง (Elephantfish, Freshwater elephantfish, Mormyrid) วงศ์ปลาในชั้นปลากระดูกแข็งจำพวกหนึ่ง อยู่ในอันดับปลาลิ้นกระดูก (Osteoglossiformes) ซึ่งเป็นอันดับร่วมกับปลาตะพัดหรือปลาอะโรวาน่า และปลาอะราไพม่าหรือปลาช่อนอเมซอน รวมทั้งปลากรายด้วย ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mormyridae พบเฉพาะในทวีปแอฟริกา มีทั้งหมด 18 สกุล และหลายชนิด จนถึงปัจจุบันพบกว่า 200 ชนิด มีลักษณะสำคัญคือ เป็นปลาที่มีรูปร่างแบนข้างและเพรียวยาว ข้อหางคอดเล็ก ครีบหางเล็กและสั้น ครีบหลังยาวและต่อติดกันเป็นแผง ส่วนหัวกลมมนอย่างเห็นได้ชัด ส่วนมากเล็กและงุ้มลง ในบางสกุลและบางสายพันธุ์ ปากมีลักษณะยื่นยาวออกมาคล้ายงวงช้าง จึงทำให้เป็นที่มาชื่อสามัญ ตามีขนาดเล็ก สีลำตัวมักมีสีดำหรือสีน้ำตาลเทาหรือสีเทา มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินตามพื้นท้องน้ำ อาหารได้แก่ ลูกปลาและลูกกุ้งขนาดเล็ก รวมทั้งสิ่งมีชีวิตหน้าดินเล็ก ๆ ขนาดเล็กสุดเพียง 5 เซนติเมตร ใหญ่สุด คือ Mormyrops anguilloides ที่มีขนาด 1.5 เมตร เป็นปลาที่มีความสามารถพิเศษคือ สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อน ๆ ได้ เพื่อช่วยในการนำทาง, หาอาหาร และติดต่อสื่อสารกันเองด้วยนอกจากประสาทสัมผัสที่บริเวณปากที่ยื่นยาวออกมา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า ปลาในวงศ์นี้มีน้ำหนักของสมองเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวแล้วเทียบเท่ากับน้ำหนักสมองของมนุษย์เลยทีเดียว นับได้ว่าเป็นปลาที่มีความเฉลียวฉลาดมากทีเดียว มีความสำคัญ คือ นิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามในหลายชนิด และใช้บริโภคเป็นอาหารพื้นเมืองในปลาที่มีขนาดใหญ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลางวงช้าง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาตะพัด

วงศ์ปลาตะพัด (Bonytongues fish, Arowana) วงศ์ปลาวงศ์หนึ่งในอันดับ Osteoglossiformes มีลักษณะสำคัญที่วิวัฒนาการจากปลาในยุคโบราณคือ มีส่วนกระดูกที่หัวแข็ง หรือลิ้นแข็งเป็นกระดูก คำว่า Osteoglossidae (/ออส-ที-โอ-กลอส-ซิ-ดี้/) เป็นภาษากรีกหมายถึง "ลิ้นกระดูก" อธิบายลักษณะของปลาในกลุ่มนี้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาตะพัด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาตะกรับ

วงศ์ปลาตะกรับ (Scat, Butterfish, Spadefish) เป็นวงศ์ปลาน้ำเค็มในอันดับ Perciformes ใช้ชื่อวงศ์ว่า Scatophagidae (/สแคท-โต-ฟา-กิ-ดี้/) มีรูปร่างทั่วไปแบนข้างมาก เกล็ดละเอียดเป็นแบบสากมือ และติดแน่นกับลำตัว ครีบหลังตอนแรกเป็นครีบแข็ง ครีบหลังตอนหลังจะอ่อนนุ่ม ก้านครีบหลังก้านแรกเป็นครีบแข็งและชี้ไปด้านหน้า ครีบหางตัดตรงและมีก้านครีบจำนวนมาก ตามลำตัวจะมีจุดสีดำหรือลวดลายกระจายไปทั่วต่างกันไปตามสกุลและสายพันธุ์ มีฟันที่เพดานปากและขากรรไกร ไม่มีหนามบนกระดูกโอเปอร์คัลและกระดูกพรีโอเปอร์คัล มีเส้นข้างลำตัวโค้งและสมบูรณ์ เป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลเขตอบอุ่น พบตั้งแต่ทวีปแอฟริกา, ทะเลแดง, เอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ซูลาเวซี, อินโดนีเซีย ตลอดจนถึงโซนโอเชียเนีย พบในประเทศไทยเพียงชนิดเดียว คือ ปลาตะกรับ (Scatophagus argus) โดยปกติแล้วปลาในวงศ์นี้จะสามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดสนิทได้ แต่จะวางไข่ในที่น้ำเค็มแบบน้ำทะเล มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 30-40 เซนติเมตร มีทั้งหมด 4 ชนิด ใน 2 สกุล ซึ่งทั้งหมดนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม หรือตกเป็นเกมกีฬาและรับประทานเป็นอาหารในบางประเทศ โดยแบ่งออกเป็น สกุล Scatophagus.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาตะกรับ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาตะเพียน

วงศ์ปลาตะเพียน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cyprinidae, barb, carp, minnow, goldfish) โดยคำว่า Cyprinidae มาจากคำว่า kyprînos ในภาษากรีกโบราณ (κυπρῖνος แปลว่า "ปลาทอง") ประกอบด้วยปลาจำพวกปลาไน, ปลาตะเพียน, ปลาทอง และปลาซิว ถือเป็นวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดในปลาน้ำจืด ประกอบไปด้วยชนิด มากกว่า 2,000 ชนิดใน 200 สกุล แบ่งออกได้เป็นหลายวงศ์ย่อย โดยจัดอยู่ในอันดับ Cypriniformes เป็นวงศ์ที่มีชนิดและจำนวนปลามากที่สุดในปลาน้ำจืดของไทย และมีความหลากหลายเป็นอันดับสามของโลก ปัจจุบันพบแล้วอย่างน้อย 204 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาตะเพียน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาตั๊กแตนหิน

วงศ์ปลาตั๊กแตนหิน หรือ วงศ์ปลาตุ๊ดตู่ (Combtooth blennies, Scaleless blennies) เป็นวงศ์ของปลาทะเลขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blenniidae (/เบลน-นิ-อิ-ดี้/) จัดเป็นปลาจำพวกปลาเบลนนี่ หรือปลาตั๊กแตนหิน มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายปลาไหลหรือปลาบู่ขนาดเล็ก มีหัวทู่ขนาดใหญ่ ดวงตากลมโตอยู่ด้านหน้าของส่วนหัว เป็นปลาที่ไม่มีเกล็ด มีก้านครีบแข็งจะฝังอยู่ที่ครีบท้อง มีก้านครีบอ่อน 2-4 อัน ครีบท้องเป็นเส้นขนาดเล็ก 2 เส้นแตกต่างจากปลาบู่ อยู่ด้านหน้าครีบอกหรือครีบหู มีก้านครีบแข็งขนาดเล็กที่ครีบหลัง 3-17 อัน มีก้านครีบอ่อน 9-119 อัน มีก้านครีบแข็งที่ครีบก้น 2 อัน ครีบหางเป็นวงกลม ปากอยู่ด้านล่างของส่วนหัว จัดเป็นปลาขนาดเล็ก มีความยาวน้อยกว่า 15 เซนติเมตร ชนิดที่ใหญ่ที่สุดยาวถึง 52 เซนติเมตร มีลักษณะเด่นอีกประการ คือ มีฟันแหลมคมคล้ายหวีติดแน่น หรือขยับกรามที่ขากรรไกรได้ บางชนิดเป็นฟันเขี้ยว สามารถที่จะกัดสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่ามากได้ เช่น ปลาอื่น หรือแม้แต่นักดำน้ำ ขณะที่บางสกุลจะมีต่อมพิษที่ฟันเขี้ยวนี้ ส่วนมากมีสีสันที่สวยงาม โดยเฉพาะในตัวผู้ เป็นปลาทะเลส่วนมาก กระจายพันธุ์ทั้งในมหาสมุทรแปซิฟิก, แอตแลนติก และอินเดีย จะอาศัยอยู่ตามพื้นทะเลในระดับความลึกตั้งแต่ 2-21 เมตร โดยหลบซ่อนอยู่ในซอกรูหินใต้น้ำ เป็นปลาที่มักไม่ค่อยอยู่นิ่ง จะว่ายเข้าว่ายออกรูที่อาศัยอยู่บ่อย ๆ หรือบางครั้งโผล่มาแต่หัวเพื่อสังเกตการณ์ มีพฤติกรรมวางไข่โดยตัวเมียวางไข่ในเปลือกหอยที่ว่างเปล่า ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะช่วยกันดูแลไข่ มีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่พบได้ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืด หากินโดยกินตะไคร่น้ำเป็นหลัก แต่หลายชนิดก็สามารถที่จะกินเนื้อหรือสัตว์น้ำตัวเล็ก ๆ หรือแม้แต่เศษอาหารที่ปลาใหญ่กินเหลือได้ โดยหากินใกล้ ๆ รูที่อาศัยอยู่ ถือเป็นวงศ์ที่ใหญ่ ปัจจุบันพบแล้วมากกว่า 300 ชนิด ใน 57 สกุล นับว่ามากที่สุดในบรรดาปลาเบลนนี่ทั้งหมด ปลาในวงศ์นี้ มีความสำคัญในแง่ของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยมักที่จะนำมาเลี้ยงเพื่อทำความสะอาดตู้เลี้ยงเพื่อให้กำจัดตะไคร่น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาตั๊กแตนหิน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาตาเหลือก

วงศ์ปลาตาเหลือก (Tarpon, Oxeye) วงศ์ปลากระดูกแข็งในอันดับ Elopiformes ในชื่อวงศ์ว่า Megalopidae เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่ ที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ มีรูปร่างโดยรวมป้อม ปากกว้าง ที่ใต้คางระหว่างกระดูกกรามล่างมีแผ่นกระดูกแข็ง 1 ชิ้น และมีก้านครีบหลังอันสุดท้ายยื่นยาวเป็นเส้น เกล็ดเป็นสีเงินแวววาวตลอดทั้งลำตัว ตามีขนาดโต และมีเยื่อไขมันคลุมตาในปลาตาเหลือก (Megalops cyprinoides) เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร แต่ไม่มีฟัน เมื่อจับเหยื่อจะใช้เพียงกรามนั้นงับ ปลาในวงศ์นี้มีอยู่เพียงแค่สองชนิดเท่านั้น จัดอยู่แค่ในสกุลเดียว คือ Megalops ได้แก่ ปลาตาเหลือก (M. cyprinoides) หรือ ปลาแปซิฟิกทาร์ปอน กระจายพันธุ์อยู่แถบมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก ขนาดเมื่อโตเต็มที่ได้ 1.5 เมตร และ ปลาแอตแลนติกทาร์ปอน (M. atlanticus) กระจายพันธุ์อยู่ที่มหาสมุทรแอตแลนติกตั้งแต่แอฟริกาตะวันตก, อเมริกาเหนือจนถึงอเมริกาใต้ ซึ่งทั้งหมดนิยมตกเป็นเกมกีฬา และมีการเลี้ยงเป็นปลาตู้เนื่องจากความใหญ่ในรูปร่างและความสวยงามด้านสีเงินที่แวววาวของเกล็ด อีกทั้งยังมีพฤติกรรมการกินอาหารที่ว่องไว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาตาเหลือก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาตาเหลือกยาว

วงศ์ปลาตาเหลือกยาว (Ladyfish, Tenpounder, Bigeyed herring, Tarpon, วงศ์: Elopidae) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็ง ในอันดับปลาตาเหลือก (Elopiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Elopidae เป็นปลาที่มีลักษณะคล้ายกับปลาในวงศ์ปลาตาเหลือก (Megalopidae) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในอันดับเดียวกัน กล่าวคือ มีรูปร่างเพรียวยาว ปลายหางแฉกเป็นสองแฉกเว้าลึก แบนข้าง เกล็ดมีสีเงินแวววาว ตามีความกลมโต ปากกว้าง ที่ใต้คางระหว่างกระดูกขากรรไกรล่างมีแผ่นกระดูกแข็ง 1 ชิ้น เหมือนกัน แต่มีลำยาวยาวกว่า และที่ก้านครีบหลังก้านสุดท้ายไม่มีเส้นครีบยื่นยาวออกมา เป็นปลาขนาดใหญ่ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 1 เมตร น้ำหนักเต็มที่ประมาณ 10 กิโลกรัม มีความปราดเปรียวว่องไว หากินโดยกินปลาขนาดเล็ก และสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในทะเลแถบเขตร้อนและเขตอบอุ่น และสามารถปรับตัวให้อาศัยอยู่ในน้ำจืดหรือน้ำกร่อยได้ มีทั้งหมด 1 สกุล 7 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาตาเหลือกยาว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาตาเดียว

วงศ์ปลาตาเดียว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Psettodidae) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งในอันดับปลาตาเดียว (Pleuronectiformes) มีรูปร่างโดยรวม คือ ลำตัวค่อนข้างสั้น แบนข้างมาก จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่หลังตา ตาอาจอยู่ทางซีกซ้ายหรือขวาก็ได้ ครีบท้องมีก้านครีบแข็ง 1 อัน ปากกว้างมีฟันเขี้ยว มีฟันบนเพดานปาก กรามล่างยื่นยาวกว่ากรามบน ครีบหางเว้าเล็กน้อยเป็น 2 หยัก พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปตามพื้นน้ำของมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแอตแลนติก มีทั้งหมดเพียง 3 ชนิด และ 1 สกุล คือ Psettodes โดยมีชนิดหนึ่งนั้นเป็นปลาเศรษฐกิจที่พบได้บ่อยและเป็นที่รู้จักกันดีในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาตาเดียว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาตูหนา

วงศ์ปลาตูหนา (True eel, Freshwater eel) เป็นวงศ์ของปลาในชั้นปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Anguillidae (/แอน-กิล-ลิ-ดี้/) โดยมาจากภาษาลาตินว่า "Ae" หมายถึง ปลาไหล ซึ่งปลาวงศ์นี้มักจะถูกเรียกรวมกันว่า ปลาตูหนา มีทั้งหมด 1 สกุล คือ Anguilla และมีทั้งหมด 15 ชนิด กระจายทั่วชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิกจนถึงออสเตรเลีย พบในประเทศไทยประมาณ 3–4 ชนิด ปลาวงศ์นี้มีฟันคม ปากกว้าง เขี้ยวเล็กละเอียดบนขากรรไกรเป็นร้อย ๆ ซี่ จมูกมีรูเล็ก ๆ เหมือนหลอด 2 ข้าง ใช้สำหรับดมกลิ่นเพื่อนำทางและหาอาหาร ซึ่งปลาตูหนามีประสิทธิภาพในการดมกลิ่นได้ดีกว่าปลาฉลามเสียอีก ครีบอกเป็นรูปกลมรี ครีบหลังยาวติดต่อกับครีบหางที่มนและครีบก้นที่ยาว ลำตัวดูภายนอกเหมือนไม่มีเกล็ด มีเมือกลื่นปกคลุมทั้งตัว แต่แท้จริงมีเกล็ดขนาดเล็กมากเรียงซ้อนฝังอยู่ใต้ผิวหนัง โดยไม่มีเส้นข้างลำตัว เลือดและน้ำเหลืองของปลาตูหนามีพิษ ซึ่งอาจฆ่าสุนัขให้ตายได้ เป็นปลานักล่า สามารถจับกุ้ง, ปู หรือสัตว์เปลือกแข็ง รวมทั้งปลาต่าง ๆ กิน มักอาศัยในแหล่งน้ำใส มีตอไม้, โพรงไม้ หรือซอกหินอยู่มาก อาจขุดรูอยู่ก็ได้ นอกจากบริเวณปากแม่น้ำแล้ว ยังเคยพบไกลถึงลำธารน้ำตกบนภูเขาอีกด้วย เป็นปลาที่มีวงจรชีวิตแบบ ปลาสองน้ำ คือออกไปวางไข่ในทะเลลึก ปลาวัยอ่อนจึงอพยพกลับมาเลี้ยงตัวที่ชายฝั่งหรือป่าชายเลนก่อนเข้ามาเติบโตในน้ำจืดที่ไกลจากทะเลนับร้อย ๆ กิโลเมตร ลูกปลามีตัวใส เรียวยาวดูคล้ายวุ้นเส้น โดยปกติแล้วเป็นปลาที่มีนิสัยรักสงบ แต่จะดุร้ายมากเมื่อถูกจับได้ มีรายงานว่าปลาบางตัวมีอายุมากได้ถึง 105 ปี และอาจยาวได้ถึง 8 ฟุต ในทะเลสาบน้ำจืดที่นิวซีแลนด์พบบางตัวมีน้ำหนักมากกว่า 100 ปอนด์Flesh Ripper, "River Monsters".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาตูหนา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาฉลามพยาบาล

วงศ์ปลาฉลามพยาบาล (Nurse shark, Sleepy shark) เป็นวงศ์ของปลากระดูกอ่อนในอันดับปลาฉลามวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Ginglymostomatidae จัดอยู่ในอันดับปลาฉลามกบ (Orectolobiformes) มีรูปร่างโดยรวม คือ ช่องสไปราเคิลมีขนาดเล็กอยู่ด้านหลังของตา หนวดมีขนาดเล็กแต่ยาว ไม่มีร่องด้านขอบนอกของจมูก มีฟันแบบแบนข้างอยู่ทางด้านข้างของขากรรไกร มีครีบหลัง ครีบอก และครีบก้นมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ครีบอกเรียวยาวคล้ายรูปเคียว มีร่องเชื่อมระหว่างจมูกกับปาก ปากอยู่ทางด้านหน้าของตา ตาอยู่ทางด้านหน้าของส่วนหัว ระยะจากครีบหลังครีบที่สองถึงครีบหางค่อนข้างสั้นกว่าความยาวหัว ไม่มีหนามแข็งบริเวณหน้าครีบหลัง ครีบหลังครีบแรกมีจุดเริ่มต้นตรงกับจุดเริ่มต้นของครีบท้อง ครีบหางค่อนข้างยาวมากกว่าหนึ่งในสี่ของความยาวทั้งหมดของตัวปลา จัดเป็นปลาฉลามขนาดใหญ่ที่สุดที่พบได้ในบริเวณหน้าดินหรือพื้นท้องน้ำ ขนาดใหญ่ที่สุด คือ 4 เมตร มีสีลำตัวสีเขียวหรือสีน้ำตาลตลอดทั้งลำตัว ปกติจะอาศัยและหากินอยู่ในบริเวณหน้าดินหรือพื้นท้องน้ำ หากไม่หากินแล้วจะอยู่นิ่ง ๆ บางครั้งอาจรวมตัวกันหลายสิบตัว มักหลบอยู่ในโพรงหินใต้น้ำในเวลากลางวัน ออกหากินในเวลากลางคืน ลูกเป็นตัว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาฉลามพยาบาล · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาฉลามกบ

วงศ์ปลาฉลามกบ หรือ วงศ์ปลาฉลามหิน (Bamboo sharks, Cat sharks, Longtail carpet sharks, Epaulette sharks, Speckled cat sharks) เป็นวงศ์ของปลากระดูกอ่อนในชั้นปลาฉลามวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Hemiscylliidae ในอันดับปลาฉลามกบ (Orectolobiformes).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาฉลามกบ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาฉลามครีบดำ

วงศ์ปลาฉลามครีบดำ (Requim shark, Whaler shark) เป็นวงศ์ของปลากระดูกอ่อนจำพวกปลาฉลามวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Carcharhinidae อยู่ในอันดับปลาฉลามครีบดำ (Carcharhiniformes) มีรูปร่างโดยรวม คือ เพรียวยาวเป็นทรงกระสวย ครีบหลังมีสองตอน โดยเฉพาะครีบหลังตอนแรกมีลักษณะแหลมสูง ดูเด่น ไม่มีหนามแข็งหน้าครีบหลัง มีช่องเปิดเหงือกห้าช่องอยู่ทางด้านข้างของส่วนหัว ส่วนใหญ่มีช่องรับน้ำขนาดเล็กอยู่หลังตา ตามีทรงกลม ปากเป็นรูปสามเหลี่ยมโค้ง ภายในมีฟันแหลมคมอยู่จำนวนมาก เป็นปลาที่มีความว่องไวปราดเปรียวมาก เป็นปลาที่ล่าเหยื่อและหากินบริเวณกลางน้ำและผิวน้ำในบางครั้ง โดยปกติแล้ว จะกินปลาชนิดอื่นเป็นอาหาร โดยอาศัยโครงสร้างฟันที่แหลมคม ประกอบกับการว่ายน้ำที่คล่องแคล่วและรวดเร็วขณะโจม แต่บางชนิดอาจมีพฤติกรรมโจมตีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล เช่น แมวน้ำ หรือสิงโตทะเล เป็นอาหารได้ด้วย จมูกมีความไวมากสำหรับการได้กลิ่น โดยเฉพาะกลิ่นคาวเลือดและได้ยินเสียงได้ไกลถึง 2 กิโลเมตร ในบางสกุลจะมีพฤติกรรมอย่รวมกันเป็นฝูง ออกลูกเป็นตัว จะอาศัยหากินในทะเลเปิดทั่วโลกในเขตอบอุ่นและเขตร้อน ในบางครั้งอาจเข้าหากินได้ใกล้ชายฝั่งหรือบริเวณที่เป็นน้ำจืดหรือน้ำกร่อย เช่น ปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน เช่น ปลาฉลามครีบดำ (Carcharhinus melanopterus), ปลาฉลามหัวบาตร (C. leucas) และปลาฉลามแม่น้ำ (Glyphis spp.) ซึ่งเป็นปลาฉลามเพียงจำพวกเดียวแท้ ๆ ในกลุ่มปลาฉลามที่อาศัยและเติบโตในน้ำจืดสนิท มีทั้งหมด 12 สกุล ประมาณ 57 ชนิด โดยชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ปลาฉลามเสือ (Galeocerdo cuvier) ที่ยาวได้ถึง 7 เมตร.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาฉลามครีบดำ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาฉลามปากเป็ด

วงศ์ปลาฉลามปากเป็ด (Paddle fish) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งน้ำจืดขนาดใหญ่วงศ์หนึ่ง ในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Polyodontidae (มาจากภาษากรีกคำว่า "poly" หมายถึง "มาก" และ "odous" หมายถึง "ฟัน") ในอันดับปลาสเตอร์เจียน (Acipenseriformes) เป็นปลาขนาดใหญ่ ที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคครีเตเชียสตอนปลายจนถึงปัจจุบัน มีลักษณะเด่น คือ จะงอยปากแบนยาวคล้ายปากของเป็ด หรือใบพายเรือ เป็นที่มาของชื่อสามัญ ปัจจุบัน เหลือเพียง 2 ชนิด ใน 2 สกุลเท่านั้น พบในสหรัฐอเมริกา และแม่น้ำแยงซีเกียง ในประเทศจีน ซึ่งเป็นปลาที่ใกล้สูญพันธุ์มากแล้วในปัจจุบัน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาฉลามปากเป็ด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาซักเกอร์

วงศ์ปลาซักเกอร์ (Sucker, Armored catfish) เป็นปลาที่มีวงศ์ใหญ่มากชนิดหนึ่งในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) มีถิ่นกำเนิดในลุ่มแม่น้ำในทวีปอเมริกาใต้ มีรูปร่างโดยรวมคือ หัวโต ตาเล็ก มีจุดเด่นคือ ปากขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านล่างที่สามารถเกาะหรือดูดกับวัสดุต่าง ๆ ในน้ำได้ มีลำตัวแข็งและหยาบกร้านดูเหมือนมีเกล็ด แต่ความเป็นจริงแล้ว นั่นคือ ผิวหนังที่พัฒนาจนแข็ง ครีบหลังและครีบหางมีขนาดใหญ่ มีหนวดสั้น บางชนิดไม่มีครีบไขมัน ที่มีครีบไขมันจะมีเงี่ยงแข็งหนึ่งอันอยู่หน้าครีบ มีลำไส้ยาว มีกระดูกสันหลัง 23-38 ข้อ หากินตามพื้นน้ำ โดยกินซากพืชซากสัตว์และสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นอาหาร ใช้ชื่อวงศ์ว่า Loricariidae (/ลอ-ริ-คา-ริ-ดี/) ตัวผู้จะมีเงี่ยงแหลมยื่นออกมาเห็นได้ชัดบริเวณข้างส่วนหัวและครีบอก เรียกว่า odontodes ในขณะที่ตัวเมียท้องจะอูมกว่า เป็นปลาที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็นปลาสวยงาม เช่น ปลาซักเกอร์ธรรมดา (Hypostomus plecostomus) ที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาที่เก็บเศษอาหารที่ปลาอื่นกินเหลือ จนได้อีกชื่อนึงว่า "ปลาเทศบาล" และหลายชนิดก็มีสีสันและรูปร่างที่แปลกตา เช่น ปลาซักเกอร์พานากิ้วลาย (Panaque nigrolineatus), ปลาซักเกอร์บลูพานากิ้ว (Baryancistrus beggini), ปลาซักเกอร์ม้าลาย (Hypancistrus zebra) เป็นต้น ซึ่งผู้ที่นิยมเลี้ยงจะเลี้ยงเพื่อเป็นความสวยงาม ในแวดวงการค้าปลาสวยงามแล้ว ปลาในวงศ์นี้ถูกตั้งชื่อเป็นรหัสต่าง ๆ เพื่อความสะดวกในการเรียกขาน ทั้งนี้เนื่องจากได้มีการค้นพบปลาในวงศ์นี้กว่า 700 ชนิด แต่หลายชนิดยังมิได้ทำการอนุกรมวิธาน จึงมีการตั้งรหัสเรียกแทน โดยใช้ตัวอักษร L (ย่อมาจากชื่อวงศ์) นำหน้าหมายเลข เช่น L-46 เป็นต้น โดยเริ่มจากนิตยสารปลาสวยงามฉบับหนึ่งของเยอรมนีในปี ค.ศ. 1988 สำหรับปลาซักเกอร์ธรรมดาแล้ว เป็นปลาที่มีความอดทนมากในการที่อยู่ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ จึงสามารถทนกับสภาพแวดล้อมทางน้ำของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันกรมประมงได้ประกาศให้เป็นปลาที่ต้องห้าม ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาที่มันแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำธรรมชาติมากจนเกินไปจนกลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่คุกคามสัตว์น้ำพื้นเมือง สำหรับชื่อสามัญในภาษาอังกฤษแล้ว ยังเรียกปลาในวงศ์นี้อีกว่า "เพลโก" (Pleco) หรือ "เอลเก อีตเตอร์" (Algae eater) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาซักเกอร์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาปอดแอฟริกา

วงศ์ปลาปอดแอฟริกา (วงศ์: Protopteridae; African lungfish) เป็นวงศ์ของปลาในชั้นปลาที่มีครีบเป็นพู่ (Sarcopterygii) ในชั้นย่อยปลาปอด (Dipnoi) ในอันดับ Lepidosireniformes หรือปลาปอดยุคใหม่ (ร่วมอันดับเดียวกับปลาปอดอเมริกาใต้).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาปอดแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาปักเป้าฟันสองซี่

วงศ์ปลาปักเป้าฟันสองซี่ (Porcupinefish, Blowfish, Globefish, Balloonfish, Burrfish, วงศ์: Diodontidae) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งในอันดับปลาปักเป้า (Tetraodontiformes) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Diodontidae ซึ่งมีความหมายว่า "ฟันสองซี่" มีรูปร่างคล้ายกับปลาปักเป้าในวงศ์ Tetraodontidae แต่ว่าปลาปักเป้าในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสองซี่นี้ มีฟันแหลมคมที่ใช้สำหรับกัดกินสัตว์มีเปลือกรวมถึงปะการังชนิดต่าง ๆ สองซี่ใหญ่ ๆ ในปาก เชื่อมติดต่อกันบนขากรรไกร โดยที่ไม่มีร่องผ่าตรงกลาง มีเส้นข้างลำตัวไม่สมบูรณ์ ครีบอกมีขนาดใหญ่คล้ายพัด ครีบหลัง และครีบก้นอยู่ค่อนไปทางด้านท้ายของลำตัว ครีบหลังไม่มีก้านครีบแข็ง ไม่มีครีบท้อง ครีบหางกลมมน มีรูปร่างอ้วน กลม แบนข้างเล็กน้อย สามารถขยายร่างกายให้กลมเหมือนลูกบอลได้ ด้วยการสูดอากาศหรือน้ำเข้าไปในช่องท้อง และผิวหนังจะมีหนามแหลมคมทั่วทั้งตัว ซึ่งจะตั้งตรงทั้งตัวเพื่อป้องกันตัวเองจากศัตรูด้วย พบกระจายพันธุ์โดยทั่วไปในทะเลทั้งเขตร้อน, เขตอบอุ่น และเขตหนาว โดยเป็นปลาน้ำเค็มทั้งหมด จัดเป็นปลาที่มีขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ โดยสามารถยาวได้ถึง 2 ฟุต เป็นปลาที่มีสารเตโตรโดท็อกซิน อย่างร้ายแรง จึงไม่ใช้ในการบริโภค แต่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ทั้งในตู้ปลาส่วนบุคคลหรือในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และนิยมทำเป็นเครื่องประดับ โดยเฉพาะการสตัฟฟ์เวลาที่พองตัวออก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาปักเป้าฟันสองซี่ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่

วงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Puffers, Toadfishes, Blowfishes, Globefishes, Swellfishes) เป็นวงศ์ปลาปักเป้าจำพวกหนึ่ง มีรูปร่างเฉพาะตัวคือ กลมป้อม ส่วนโคนหางเล็ก ครีบหลังและครีบก้นเล็กสั้นอยู่ค่อนไปทางท้าย ครีบอกใหญ่กลมมน ครีบหางใหญ่ปลายมน ว่ายน้ำโดยใช้ครีบอกโบกพร้อมกับครีบหลังและครีบก้น เวลาตกใจสามารถพองตัวได้โดยสูบน้ำหรือลมเข้าในช่องท้อง ช่องเหงือกเล็ก หัวโต จะงอยปากยื่น มีฟันลักษณะคล้ายปากนกแก้ว 4 ซี่ ตาโตอยู่ค่อนไปทางด้านบนของหัว รูจมูกเป็นติ่งสั้น ๆ ผิวขรุขระ มีเกล็ดเป็นหนามเล็ก ๆ อยู่บริเวณด้านท้อง ผิวลำตัวส่วนอื่นเรียบ ใช้ชื่อวงศ์ว่า Tetraodontidae (/เท-ทรา-โอ-ดอน-ทิ-ดี้/) พบมากในทะเลเขตร้อนรอบโลกและบริเวณปากแม่น้ำ ชนิดที่พบในน้ำจืดมีน้อย สำหรับในประเทศไทย พบทั้งสิ้น 32 ชนิดทั้งในทะเล, น้ำกร่อยและน้ำจืด (ดูในเนื้อหาข้างล่าง) กินอาหารจำพวกสัตว์น้ำมีเปลือกเป็นอาหารหลัก เนื่องจากมีฟันสำหรับกัดแทะเปลือกแข็งที่เป็นแคลเซี่ยมได้เป็นอย่างดี และปลาด้วย รวมทั้งสามารถกัดแทะครีบปลาชนิดอื่นได้ด้วย ในบางชนิดมีพฤติกรรมชอบซุกตัวใต้พื้นทรายเพื่อรอดักเหยื่อ นอกจากแล้วยังสามารถพ่นน้ำจากปากเพื่อเป่าพื้นทรายหาอาหารที่อยู่ซ่อนตัวอยู่ได้อีกด้วย นิตยสารอควาเรี่ยมบิส Vol.1 issue 4 ฉบับเดือนตุลาคม 2010 คอลัมน์ เปิดกร...ปักเป้าน้ำจืด เป็นปลาที่มีพิษร้ายแรง เมื่อกินเข้าไปอาจถึงตายได้ โดยจากการศึกษาปลาปักเป้าในวงศ์นี้ที่พบในประเทศไทย พบเป็นปลาปลาปักเป้าน้ำจืดที่มีการสะสมพิษในตัวจะมีอยู่จำนวน 8 ชนิด มากกว่าปลาปักเป้าน้ำกร่อยมีพิษ ซึ่งมีอยู่แค่ 4 ชนิด และลักษณะพิษของปลาปักเป้าน้ำจืดจะมีการสะสมพิษในอวัยวะทุกส่วน และพิษจะมีมากเป็นพิเศษในช่วงฤดูวางไข่ ราวเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน โดยพิษเกิดเนื่องจากแพลงก์ตอน หรือแบคทีเรียที่ทำให้เกิดพิษหลังจากปลาปักเป้ากินเข้าไป เมื่อมีผู้จับไปกินก็เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาปักเป้ากล่อง

วงศ์ปลาปักเป้ากล่อง หรือ วงศ์ปลาปักเป้าเหลี่ยม (วงศ์: Ostraciidae; Boxfish, Cofferfish, Trunkfish) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งทะเลวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ostraciidae ในอันดับปลาปักเป้า (Tetraodontiformes) ลักษณะของปลาในวงศ์นี้ จะมีรูปทรงป้อมเป็นรูปสี่เหลี่ยม รูปทรงและการเคลื่อนไหวจะมีความคล่องแคล่วกว่าปลาปักเป้าในวงศ์อื่น และมักจะมีขนาดเล็ก มีสีสันลวดลายสวยงาม เกล็ดเป็นรูปทรงหกเหลี่ยมเรียงตัวต่อกัน อีกทั้งปลาในวงศ์นี้มีพิษที่ต่างออกไปจากปลาปักเป้าในวงศ์อื่น กล่าวคือ มีสารพิษชนิดออสทราซิท็อกซิน (Ostracitoxin) ที่ผลิตขึ้นมาจากต่อมที่ผิวหนัง และสามารถขับออกมาพร้อมกับเมือกที่หุ้มตัวอยู่ ซึ่งสามารถละลายในน้ำได้ ซึ่งพิษชนิดนี้จะเป็นพิษกับปลาด้วยกัน ทำให้ปลาอื่นที่อยู่บริเวณเดียวกันเมื่อได้รับสารพิษตายได้ ซึ่งจะขับออกมาเมื่อได้รับความเครียดหรือตื่นตกใจ อันเป็นกลไกลหนึ่งในการป้องกันตัว ปลาปักเป้ากล่อง มีการกระจายพันธุ์เฉพาะในทะเลเท่านั้น ตั้งแต่มหาสมุทรแอตแลนติก, อินเดีย และแปซิฟิก พบทั้งหมด 33 ชนิด ใน 9 สกุล (ดูในตาราง) บางชนิดอาจมีระยางค์แหลม ๆ ยื่นออกมาเหนือบริเวณส่วนแลดูคล้ายเขาด้วย ในน่านน้ำไทยพบด้วยกัน 3 ชนิด อาทิ ปลาปักเป้ากล่องเหลืองลายจุดดำ (Ostracion cubicus) โดยคำว่า Ostraciidae นั้นมาจากภาษากรีกคำว่า "ostracum" หมายถึง "เปลือกหอย".

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาปักเป้ากล่อง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาปากแตร

ำหรับปลาในวงศ์อื่น ดูที่ วงศ์ปลาสามรส วงศ์ปลาปากแตร (Cornetfish, Trumpetfish) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งน้ำเค็มวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ (Syngnathiformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aulostomidae (มาจากภาษากรีกคำว่า "Aulos" หมายถึง "แตร" และ "stoma" หมายถึง "ปาก") ลักษณะสำคัญของปลาในวงศ์นี้ คือ ปากที่ยาวยื่นออกและโป่งออกบริเวณปลายปากเล็กน้อย คล้ายลักษณะของแตรหรือท่อ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ ปลายขากรรไกรล่างมีติ่งเนื้อคล้ายหนวด ครีบหลังมี 2 ตอนตอนหน้าเป็นก้านครีบแข็ง 8-12 ชิ้น เก็บอยู่ใช้สำหรับป้องกันตัวเอง ครีบหลังอันที่ 2 และครีบก้นอยู่ค่อนไปเกือบติดครีบหาง ครีบท้องอยู่กึ่งกลางลำตัว เป็นปลาที่ว่ายน้ำได้ช้า จึงมักแฝงตัวอยู่กับปลาอื่น ๆ เช่น ปลานกขุนทอง, ปลานกแก้วหรือปลาแพะ เพื่อหาโอกาสเข้าใกล้อาหาร ได้แก่ กุ้งและลูกปลา ปลาวัยอ่อนที่ป้องกันตัวเองไม่ได้ จะพรางตัวอยู่ตามแส้ทะเลหรือกัลปังหา มักพบพฤติกรรมนี้ในยามค่ำคืน วงศ์ปลาปากแตร มีเพียงสกุลเดียว คือ Aulostomus พบเพียง 3 ชนิดเท่านั้น พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรแอตแลนติก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาปากแตร · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาปิรันยา

วงศ์ปลาปิรันยา เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งน้ำจืดวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Serrasalmidae (มีความหมายว่า "วงศ์ปลาแซลมอนที่มีฟันเลื่อย") ในอันดับปลาคาราซิน (Characiformes) พบทั้งหมดในปัจจุบัน 16 สกุล (ดูในตาราง) 92 ชนิด ปลาในวงศ์นี้มีชื่อเรียกโดยรวม ๆ กัน เช่น ปลาปิรันยา, ปลาเปคู หรือปลาคู้ และปลาซิลเวอร์ดอลลาร์ เดิมทีเคยเป็นวงศ์ย่อยของวงศ์ปลาคาราซิน (Characidae) ใช้ชื่อว่า Serrasalminae (ในปัจจุบันบางข้อมูลหรือข้อมูลเก่ายังใช้ชื่อเดิมอยู่).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาปิรันยา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลานกกระจอก

ปลานกกระจอก หรือ ปลาบิน (Flying fish) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Exocoetidae มีลักษณะโดยรวม คือ มีลำตัวยาวมาก ค่อนข้างกลม จะงอยปากสั้นทู่สั้นกว่าตา ปากเล็ก ไม่มีฟัน ไม่มีก้านครีบแข็งที่ทุกครีบ ครีบหูขยายใหญ่ยาวถึงครีบหลัง ครีบท้องขยายอยู่ในตำแหน่งท้อง ครีบหางมีแพนล่างยาวกว่าแพนบน ครีบหางเว้าลึกแบบส้อม เส้นข้างลำตัวอยู่ค่อนลงทางด้านล่างของลำตัว เกล็ดเป็นแบบขอบบางไม่มีขอบหยักหรือสาก หลุดร่วงง่าย จัดเป็นปลาทะเลขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ไม่เกิน 30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก โดยพบในทะเลที่ห่างจากชายฝั่งพอสมควร ส่วนใหญ่มีลำตัวสีเขียว หรือสีน้ำเงินหม่น ข้างท้องสีขาวเงิน เป็นปลาที่มีลักษณะเด่น คือ นิยมอยู่รวมกันเป็นฝูงและหากินบริเวณผิวน้ำ มีความคล่องแคล่วว่องไว มีจุดเด่น คือ เมื่อตกใจหรือหนีภัยจะกระโดดได้ไกลเหมือนกับร่อนหรือเหินไปในอากาศเหมือนนกบิน ซึ่งอาจไกลได้ถึง 30 เมตร ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของตัวปลาและจังหวะ อันเป็นที่มาของชื่อ โดยใช้ครีบอกหรือครีบหูที่มีขนาดใหญ่มากเป็นตัวพยุงช่วย ในขณะที่บางชนิดมีครีบก้นที่มีขนาดใหญ่ร่วมด้วย ปลานกกระจอกเมื่อกระโดดอาจกระโดดได้สูงถึง 7-10 เมตร ด้วยความเร็วประมาณ 65 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสามารถอยู่บนกลางอากาศได้นานอย่างน้อย 10 วินาที วางไข่ไว้ใต้กอวัชพืชหรือขยะที่ลอยตามกระแสน้ำ เพื่อให้เป็นที่พำนักของลูกปลาเมื่อฟักแล้ว เนื่องจากไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ พบมากกว่า 50 ชนิดทั่วโลก แบ่งออกเป็น 8 สกุล (ดูในตาราง) เป็นปลาที่ขี้ตื่นตกใจ และตายง่ายมากเมื่อพ้นน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลานกกระจอก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลานกขุนทอง

วงศ์ปลานกขุนทอง (Labridae) เป็นวงศ์ของปลาทะเลปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Labridae ในอันดับปลากะพง (Perciformes) มีรูปร่างโดยรวม คือ ลำตัวค่อนข้างยาว แบนข้าง ริมฝีปากหนา สามารถยืดหดได้ กระดูกพรีแม็คซิลลารี เพดิเคิลส์เจริญดี โดยปกติมีฟันแบบฟันเขี้ยวแหลม หรือฟันตัดเพียงแถวเดียว ฟันที่หลอดคอมีขนาดใหญ่พัฒนาดี ไม่มีฟันบนกระดูกโวเมอร์และกระดูกพาลาติน เกล็ดที่ปกคลุมลำตัวมีขนาดใหญ่เป็นแบบขอบเรียบ เส้นข้างลำตัวอาจขาดตอนหรือสมบูรณ์ เป็นปลาที่มีสีสันสดใสสวยงาม รูปร่างลำตัวมีหลายรูปแบบ อาศัยอยู่ในแนวปะการัง หรือกองหินใต้น้ำ มีขนาดรูปร่างแตกต่างหลากหลายกันมาก ตั้งแต่มีความยาวเพียง 20 เซนติเมตร ไปจนถึงเกือบ 3 เมตร ในปลานกขุนทองหัวโหนก (Cheilinus undulatus) ซึ่งเป็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ และจัดเป็นปลากระดูกแข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งที่พบได้ในแนวปะการัง มี 82 สกุล พบมากกว่า 600 ชนิด นอกจากปลานกขุนทองหัวโหนกแล้ว ยังมีชนิดอื่น ๆ ที่รู้จักกันดี อาทิ ปลานกขุนทอง (Halichoeres kallochroma) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลานกขุนทอง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลานกแก้ว

ปลานกแก้ว (parrotfish) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งในวงศ์ Scaridae ในอันดับปลากะพง (Perciformes) เป็นปลาที่มีขนาดโตเต็มที่มีประมาณ 30-70 เซนติเมตร มีลักษณะทั่วไปคล้ายคลึงกับปลาในวงศ์ปลานกขุนทอง (Labridae) อาศัยอยู่ตามแนวปะการังเขตร้อนและเขตอบอุ่น ในน่านน้ำไทยพบได้ในฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน พบมากกว่า 20 ชนิด เป็นปลาที่มีฟันแหลมคมคล้าย ๆ จะงอยของนกแก้วอันเป็นที่มาของชื่อเรียก จะงอยปากยืดหดได้ เกล็ดมีขนาดใหญ่ เส้นข้างลำตัวขาดตอน ครีบหางกลมมนหรือตัดตรง เป็นปลาที่กินฟองน้ำ, ปะการังหรือสาหร่ายเป็นอาหาร บ่อยครั้งจะพบรวมฝูงขณะหาอาหาร เวลาว่ายนำจะดูสง่างามเหมือนนกกำลังบินในอากาศ ปลานกแก้วเป็นปลาที่มีสีสันสวยงาม โดยปลาตัวผู้จะมีสีสันสวยงามปลาตัวเมีย ลำตัวรียาว ส่วนใหญ่มีครีบหางแบบเว้าโดยขอบบนและขอบล่างของครีบหางมักยื่นยาวออก มีฟันคล้าย ๆ จะงอยปากนกแก้วเพื่อนำมาใช้ขูดกินปะการัง และมีฟันอีกชุดในคอหอยด้วย ซึ่งเมื่อกัดแทะนั้นจะเกิดเป็นเสียง เวลาถ่ายจะถ่ายออกมาเป็นผงตะกอนซึ่งมีประโยชน์ต่อแนวปะการัง สามารถเปลี่ยนเพศได้ ออกหากินในเวลากลางวัน นอนหลับในเวลากลางคืน เมื่อนอนปลานกแก้วจะนอนตามซอกหินแล้วปล่อยเมือกออกมาห่อหุ้มร่างกายเพื่อป้องกันอันตรายจากพวกสัตว์ทะเลต่าง ๆ เช่น พวกหนอนพยาธิหรือปรสิตที่จะมาทำร้ายหรือมารบกวน เป็นปลาที่สวยงาม จึงนิยมนำมาเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และรับประทานเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลานกแก้ว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาแบล็คโกสต์

วงศ์ปลาแบล็คโกสต์ (Ghost knifefish, Apteronotid eel) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งน้ำจืดวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลาไหลไฟฟ้า (Gymnotiformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Apteronotidae เป็นวงศ์ปลาที่มีรูปร่างเพรียวยาวและแบนข้างมากเหมือนใบมีดหรือขนนก มีครีบหาง, ครีบท้อง และครีบหลังมีลักษณะเป็นเส้นยาว อยู่แนวกลางหลัง ตาของปลาในวงศ์นี้จะมีขนาดเล็ก และมีความสามารถพิเศษในการสร้างกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ได้ และอาจได้ถึง 750 Hz เมื่อโตเต็มที่ ซึ่งกระแสไฟฟ้านี้มีไว้สำหรับหาอาหารและใช้นำทาง ไม่ได้ใช้ในการป้องกันตัวหรือล่าเหยื่อแต่อย่างใด เป็นปลาที่หากินในเวลากลางคืน กระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้แถบประเทศปานามา นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยชนิดที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด คือ ปลาแบล็คโกสต์ (Apteronotus albifrons).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาแบล็คโกสต์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาแพะ

วงศ์ปลาแพะ (Armored catfish, Cory catfish) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Callichthyidae เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ขนาดโดยทั่วไปแล้วมีขนาดประมาณ 3-5 นิ้ว โดยพัฒนาผิวหนังลำตัวให้แข็งเหมือนเกราะเพื่อป้องกันตัวจากศัตรู มีลักษณะโดยรวม คือ ลำตัวป้อมกลม ส่วนหัวค่อนข้างโตกว่าส่วนอื่น ๆ มีหนวดยื่นออกมาริมปากซึ่งงุ้มลงด้านล่างเพื่อเป็นประสาทสัมผัสในการหาอาหาร ซึ่งหนวดที่ว่านี้มีลักษณะคล้ายกับหนวดเคราของแพะ อันเป็นที่มาของชื่อเรียก เป็นปลาที่หากินตามพื้นท้องน้ำ มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยกินอาหารจำพวกสัตว์น้ำขนาดเล็ก และเศษซากพืช ซากสัตว์ พบกระจายพันธุ์ในหลายแม่น้ำในทวีปอเมริกาใต้ จัดเป็นวงศ์ปลาที่มีสมาชิกจำนวนมาก สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ย่อย 9 สกุล (ดูในตาราง) ประมาณ 177 ชนิด โดยมีความสำคัญในแง่ของการเป็นปลาเศรษฐกิจในทวีปอเมริกาใต้ ในบางชนิด และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามกัน ด้วยว่าเป็นปลาที่มีนิสัยเรียบร้อย ไม่ดุร้ายก้าวร้าว จึงทำให้เป็นที่นิยมมาก โดยชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ปลากดเกราะ (Hoplosternum littorale) ที่มีขนาดยาวเต็มที่ 24 เซนติเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาแพะ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาแพะ (ปลาทะเล)

วงศ์ปลาแพะ หรือ วงศ์ปลาหนวดฤๅษี (Mullidae) เป็นวงศ์ของปลาทะเลและปลาน้ำกร่อยกระดูกแข็ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mullidae มีรูปร่างโดยรวม คือ มีเกล็ดขนาดใหญ่มีลักษณะเป็นแบบสากเล็กน้อย ส่วนหัวมีเกล็ด ครีบหลังมีสองตอน ตอนแรกมีก้านครีบแข็ง 6-8 ก้าน ครีบ มีครีบหางแบบเว้าลึก ใต้คางมีหนวด 1 คู่ ที่ไวต่อความรู้สึก ใช้สำหรับคุ้ยเขี่ยหาอาหารตามหน้าดิน เช่น พื้นทราย ซึ่งดูแล้วเหมือนหนวดเคราของแพะ อันเป็นที่มาของชื่อ พบกระจายพันธุ์ในชายฝั่งและแนวปะการังเขตร้อนและเขตอบอุ่น ทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก, แอตแลนติก, ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมหาสมุทรอินเดีย โดยอยู่รวมกันเป็นฝูง แบ่งออกได้เป็น 6 สกุล (ดูในตาราง) ประมาณ 55 ชนิด ในน่านน้ำไทยพบได้หลายชนิด อาทิ ปลาแพะเหลืองทอง (Parupeneus heptacanthus), ปลาแพะลาย (Upeneus tragula), ปลาแพะเหลือง (U. sulphureus), ปลาแพะขนุน (Mulloidichthys flavolineatus) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาแพะ (ปลาทะเล) · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาแมว

วงศ์ปลาแมว หรือ วงศ์ปลากะตัก หรือ วงศ์ปลาหางไก่ (Anchovy) เป็นวงศ์ปลากระดูกแข็ง ในอันดับ Clupeiformes อันเป็นอันดับเดียวกับวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Engraulidae.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาแมว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาแมงป่อง

วงศ์ปลาแมงป่อง หรือ วงศ์ปลาสิงโต (Firefish, Goblinfish, Rockfish, Scorpionfish) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งทะเล หาได้ยากในน้ำจืด ในอันดับปลาแมงป่อง (Scorpaeniformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scorpaenidae เป็นปลาที่เป็นที่รู้จักกันดีในอันดับนี้ มีครีบต่าง ๆ ใหญ่ โดยเฉพาะครีบอก ลำตัวหนาและแบนข้าง หลายชนิดมีสีสันสวยงาม บางชนิดมีลักษณะที่กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ส่วนหัวมีหนามหรือมีเงี่ยง ก้านครีบแข็งต่าง ๆ มีพิษ ซึ่งพิษเหล่านี้ร้ายแรงมาก เป็นสารประกอบโปรตีน ผู้ที่โดนทิ่มจะรู้สึกเจ็บปวดแสบร้อนมาก ซึ่งพิษนี้มีไว้สำหรับการป้องกันตัว มิได้มีไว้เพื่อล่าเหยื่อแต่ประการใด ส่วนมากมักจะอาศัยและหากินบริเวณพื้นน้ำ โดยอาจพบได้ลึกถึง 2,200 เมตร (7,200 ฟุต) โดยกินปลาขนาดเล็กและสัตว์น้ำมีเปลือกเป็นอาหาร นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามหรือแสดงในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เป็นปลาที่ไม่ใช้เนื้อเป็นอาหารหรือเพื่อการบริโภค ยกเว้นแต่ในประเทศญี่ปุ่น, จีน และฮ่องกง ที่นิยมรับประทาน เพราะเนื้อแน่น มีรสชาติดี สำหรับในน่านน้ำไทยพบปลาในวงศ์นี้ไม่น้อยกว่า 25 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาแมงป่อง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาแสงอาทิตย์

ปลาแสงอาทิตย์วัยอ่อน ขนาด 1 มิลลิเมตร วงศ์ปลาแสงอาทิตย์ หรือ วงศ์ปลาโมลา (Mola, Sunfish, Headfish, Trunkfish) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลาปักเป้า (Tetraodontiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Molidae (/โม-ลิ-ดี้/) มีลำตัวกลมรูปไข่ แบนข้างมาก ตามีขนาดเล็ก ช่องเปิดเหงือกที่ขนาดเล็ก ปากอยู่ในตำแหน่งตรงมีขนาดเล็กฟันทั้งสองข้างเชื่อมต่อกันมีลักษณะคล้ายปากนก ครีบหลังและครีบก้นอยู่ตรงข้ามกัน ครีบอกมีเล็ก ไม่มีครีบท้อง ในน่านน้ำไทยส่วนใหญ่พบทางฝั่งทะเลอันดามัน ส่วนหางของลำตัวตัดตรง ไม่มีครีบหาง ปกติเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรเข้ามาในเขตน้ำตื้นโดยบังเอิญหรือติดมากับอวนของชาวประมงที่ออกไปทำการประมงในมหาสมุทร เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ เป็นปลาที่ว่ายน้ำได้ช้า เนื่องจากรูปร่าง กินอาหารจำพวก แพลงก์ตอนสัตว์, แมงกะพรุน และสัตว์น้ำขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ ขณะที่ว่ายน้ำจะใช้ครีบก้นและครีบหาง ขณะที่ครีบอกจะใช้ควบคุมทิศทาง มีถุงลมขนาดใหญ่ ปากรวมทั้งเหงือกจะพ่นน้ำออกมาเพื่อเป่าทรายเหมือนเครื่องยนต์เจ็ตเพื่อค้นหาอาหารที่ใต้ทรายอีกด้วย แบ่งออกเป็น 3 สกุล 4 ชนิด โดยชนิดที่รู้จักกันดีที่สุดและพบได้บ่อย คือ ปลาแสงอาทิตย์ (Mola mola) ซึ่งเป็นชนิดที่มีความใหญ่ที่สุดด้วย โดยสามารถโตเต็มที่ได้ถึง 3 เมตร น้ำหนักกว่า 2 ตัน ซึ่งนับเป็นปลากระดูกแข็งที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก และถือเป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุดในอันดับนี้อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาแสงอาทิตย์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาแค้

วงศ์ปลาแค้ (Goonch.) เป็นปลาหนังหรือปลาไม่มีเกล็ดวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลาหนัง ที่แตกต่างจากวงศ์อื่นคือ ส่วนหัวโต ปากกว้างมากและอยู่ด้านล่าง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Sisoridae (/ไซ-ซอ-ริ-ดี/).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาแค้ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาแซลมอน

วงศ์ปลาแซลมอน (Salmonidae) เป็นวงศ์ของปลาที่มีก้านครีบ ในปัจจุบัน สายพันธุ์ปลาที่อยู่ในวงศ์นี้มีเพียงแค่ ปลาแซลมอน, ปลาเทราต์, ปลาชาร์, ปลาขาวน้ำจืด และ ปลาเกรย์ลิง โดยปกติปลาในวงศ์นี้จะวางไข่ในน้ำจืด แต่ก็มีหลายกรณี ที่พวกมันใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในทะเลและหวนกลับมาวางไข่ในน้ำจืด ซึ่งทำให้ปลาในวงศ์นี้ถูกจัดอยู่ในประเภทปลาน้ำกร่อย ปลาในวงศ์นี้หาอาหารโดยการล่าสัตว์พวกกุ้งกั้งปู, แมลง และปลาขนาดเล็ก แม้ว่าสายพันธุ์ที่เล็กที่สุดของปลาในวงศ์นี้จะมีความยาวเพียง 13 เซนติเมตรเมื่อโตเต็มที่ก็ตามที แต่ก็มีสายพันธุ์ที่สามารถมีความยาวได้ถึง 2 เมตรเมื่อโตเต็มที.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาแซลมอน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาแป้น

ระวังสับสนกับปลาวงศ์อื่น ดูที่: วงศ์ปลาแป้นแก้ว ระวังสับสนกับปลาวงศ์อื่น ดูที่: วงศ์ปลาดอกหมาก ปลาแป้น (Ponyfish, Slipmouth, Slimy; วงศ์: Leiognathidae) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Leiognathidae ในอันดับปลากะพง (Perciformes) เป็นปลาขนาดเล็ก ลำตัวค่อนข้างสั้น มีเกล็ดแบบสาก ปากเล็กยืดหดได้มากจนดูคล้ายเป็นท่อ ครีบหลังมีอันเดียวมีก้านครีบแข็ง 8-11 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแข็ง 3-5 ครีบหางเว้า มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงในชายฝั่งใกล้แหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำจืด พบทั้งหมด 3 สกุล 24 ชนิด เป็นปลาเศรษฐก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาแป้น · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาแป้นแก้ว

ระวังสับสนกับปลาวงศ์อื่น ดูที่: วงศ์ปลาแป้น วงศ์ปลาแป้นแก้ว (วงศ์: Ambassidae อดีตเคยใช้ Chandidae; Asiatic glassfish) วงศ์ปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง พบทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และทะเล มีลักษณะโดยรวมมีรูปร่างเป็นรูปไข่ ส่วนหัวและท้องกว้าง ลำตัวแบนข้าง หัวโต ตาโต ปากกว้าง ครีบหลังแบ่งออกได้เป็น 2 ตอน ตอนแรกเป็นก้ามแข็งแรงและแหลมคม ตอนหลังเป็นครีบอ่อน ครีบหางเว้าลึก ครีบก้นมีก้านแข็ง 3 ชิ้น ครีบท้องมีก้านแข็ง 1 ชิ้น ครีบอกเล็ก ลำตัวโดยมากเป็นสีใสหรือขุ่นจนสามารถมองเห็นกระดูกภายในลำตัวได้ ด้านท้องมีสีเงิน เป็นปลากินเนื้อ มักอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ เป็นปลาขนาดเล็กมีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 10 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในเขตอบอุ่นของชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียจนถึงฟิลิปปินส์และออสเตรเลีย มีทั้งหมด 8 สกุล 49 ชนิด สำหรับในประเทศไทยพบในน้ำจืด 5 ชนิด โดยชนิดที่พบมากที่สุดคือ ปลาแป้นแก้ว (Parambassis siamensis) และชนิดที่ใหญ่ที่สุดคือ ปลาแป้นแก้วยักษ์ (P. wolffii) มีชื่อสามัญเรียกโดยรวมว่า "แป้นแก้ว" หรือ "แป้นกระจก" หรือ "กระจก" หรือ "ข้าวเม่า" ในภาษาถิ่นเหนือเรียกว่า "แว่น" ในภาษาอีสานเรียกว่า "คับของ" หรือ "ปลาขี้ร่วง" มีความสำคัญคือเป็นปลาเศรษฐกิจใช้บริโภคในพื้นถิ่น เช่น บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลาง โดยทำปลาแห้งและบริโภคสด อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามด้วย โดยมักฉีดสีเข้าในลำตัวปลา เป็นสีสันต่าง ๆ เช่น สีเหลือง, สีส้ม, สีน้ำเงิน และเรียกกันในแวดวงปลาสวยงามว่า "ปลาเรนโบว์" หรือ "ปลาสายรุ้ง" ซึ่งเมื่อเลี้ยงนานเข้า สีเหล่านี้จะหลุดหายไปเอง โดยที่ปลาไม่ได้รับอันตร.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาแป้นแก้ว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาใบมีดโกน

วงศ์ปลาใบมีดโกน หรือ วงศ์ปลาข้างใส (Razorfish, Shrimpfish, Snipefish) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็ง ในอันดับปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ (Syngnathiformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Centriscidae มีลักษณะทั่วไปเหมือนกับปลาวงศ์อื่นทั่วไปในอันดับนี้ คือ มีปากยาวเหมือนท่อ ไม่มีฟัน ไม่มีกราม กินอาหารจำพวก แพลงก์ตอนสัตว์ ลำตัวปกคลุมด้วยแผ่นกระดูกใส ครีบหลังมี 2 อันและอยู่ในแนวราบ ครีบหางกลมมน บางชนิดลำตัวใส บางชนิดมีแถบคาดตามยาวสีดำ มีพฤติกรรมที่มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างไปจาก ปลาวงศ์อื่นในอันดับเดียวกัน คือ จะตั้งตัวทรงเป็นมุมฉากกับพื้นทะเลเหนือ แม้จะว่ายน้ำก็จะว่ายไปในลักษณะเช่นนี้ จะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง อาศัยอยู่ร่วมกับสัตว์น้ำอย่างอื่น ได้แก่ ปะการัง, ปะการังอ่อน และเม่นทะเล บางครั้งจะเข้าไปอาศัยหลบภัยในหนามของเม่นทะเล อีกทั้งมีพฤติกรรมการขยายพันธุ์ ด้วยการปล่อยไข่ให้ล่องลอยไปในกลางทะเล โดยไม่มีพฤติกรรมการตั้งท้องเหมือนปลาจิ้มฟันจระเข้หรือม้าน้ำ ตัวอ่อนจะอาศัยอยู่กลางทะเลลึก ก่อนที่โตขึ้นและกลับมาอาศัยอยู่ในแนวปะการังและชายฝั่ง.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาใบมีดโกน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาใบโพ

วงศ์ปลาใบโพ (Sicklefish) เป็นวงศ์ของปลาทะเลกระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Drepaneidae มีลักษณะลำตัวป้อมสั้นเกือบกลม ด้านข้างแบนข้างมาก หัวใหญ่ จะงอยปากสั้น ครีบหลังแบ่งออกเป็น 2 ตอน ตอนแรกเป็นส่วนเงี่ยงแข็งมีทั้งหมด 13-14 ก้าน ตอนหลังเป็นครีบอ่อนมีทั้งหมด 19-22 ก้าน ครีบก้นมีทั้งหมด 3 ก้านครีบแข็ง และก้านครีบอ่อน 17-19 ก้าน ครีบอกยาวกว่าความโค้งของส่วนหัว พบกระจายพันธุ์ในทะเลแถบอินโด-แปซิฟิกและแอฟริกาตะวันออก มีทั้งหมด 3 ชนิด เพียงสกุลเดียว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาใบโพ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาใบไม้อเมริกาใต้

วงศ์ปลาใบไม้อเมริกาใต้ (Leaffish) เป็นวงศ์ปลากระดูกแข็งในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Polycentridae.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาใบไม้อเมริกาใต้ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาโรนัน

ปลาโรนัน (Guitarfishes) ปลากระดูกอ่อนจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ Rhinobatidae มีรูปร่างคล้ายปลาฉลามแต่มีส่วนหัวแบนแหลมเหมือนปลากระเบน ซึ่งเป็นรอยต่อของวิวัฒนาการจากปลาฉลามมาถึงปลากระเบน โดยวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคจูราสสิกตอนต้น พบในเขตน้ำอุ่นและเขตร้อนทั่วโลก ทั้งทวีปอเมริกาเหนือ, ทวีปแอฟริกา, เอเชีย และออสเตรเลียทางตอนเหนือ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาโรนัน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาไหลมอเรย์

ปลาไหลมอเรย์ หรือ ปลาหลดหิน (Moray eel, Moray) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Muraenidae อยู่ในอันดับปลาไหล (Anguilliformes) มีรูปร่างเรียวยาวเหมือนปลาไหลทั่วไป ไม่มีครีบอก ครีบหลังเชื่อมต่อกับครีบก้นและครีบหาง โดยมีจุดเด่นร่วมกันคือ มีส่วนปากที่แหลม ไม่มีเกล็ดแต่มีหนังขนาดหนาและเมือกลื่นแทน เหงือกของปลาไหลมอเรย์ยังลดรูป เป็นเพียงรูเล็ก ๆ อยู่ข้างครีบอกที่ลดรูปเหมือนกัน เลยต้องอ้าปากช่วยหายใจเกือบตลอดเวลา คล้ายกับการที่อ้าปากขู่ นอกจากนี้แล้วภายในกรามยังมีกรามขนาดเล็กซ้อนกันอยู่ข้างใน ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงคอหอย แต่จะออกมาซ้อนกับกรามใหญ่เมื่อเวลาอ้าปาก ใช้สำหรับจับและขบกัดกินอาหารไม่ให้หลุด ปลาไหลมอเรย์เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร ออกหากินในเวลากลางคืน โดยการล่าเหยื่อด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทางกลิ่น ที่เป็นแท่งเล็ก ๆ ยื่นอยู่ตรงปลายปาก 2 แท่ง คล้ายจมูก ซึ่งอวัยวะส่วนนี้มีความไวต่อกลิ่นมาก โดยเฉพาะกลิ่นคาวแบบต่าง ๆ เช่น กลิ่นเลือดหรือกลิ่นของสัตว์ที่บาดเจ็บมีบาดแผล อาหารได้แก่ ปลาทั่วไป รวมถึงสัตว์ที่มีกระดองแข็งเช่น กุ้ง, กั้ง, ปู รวมถึงหมึกด้วย โดยปกติแล้วปลาไหลมอเรย์จะอาศัยอยู่ตามโพรงหินหรือซอกปะการังในแนวปะการัง โดยยื่นแต่เฉพาะส่วนหัวโผล่ออกมาราว 1/4 ของความยาวลำตัว พร้อมกับอ้าปากส่ายหัว เพื่อป้องกันถิ่นที่อยู่อาศัยและหาเหยื่อ ที่จะออกมาว่ายน้ำนั้นจะเป็นช่วงเวลากลางคืนที่หาอาหาร ปลาไหลมอเรย์มีกรามที่แข็งแรงและฟันที่แหลมคม แม้จะมีหน้าตาน่ากลัว แต่ไม่ใช่เป็นปลาที่ดุร้าย กลับกันกลับเป็นปลาที่รักสงบ แต่จะจู่โจมใส่ผู้ที่บุกรุก โดยหลายครั้งที่นักประดาน้ำไปเผลอรบกวนโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็อาจถูกกัดเป็นแผลเหวอะหวะถึงขั้นนิ้วขาดได้ เพราะฟันที่แหลมคมและการกัดที่ไม่ปล่อย และอีกช่วงที่ปลาไหลมอเรย์จะดุร้าย คือ ในฤดูผสมพันธุ์ ปลาไหลมอเรย์ มีทั้งหมดราว 70 ชนิด พบในทะเลเขตร้อนและอบอุ่นทั่วโลก ส่วนใหญ่มีสีสันและลวดลายสวยงามแตกต่างกันออกไปตามแตค่ละชนิดหรือสกุล แบ่งออกเป็น 2 วงศ์ย่อย ในบางชนิดที่มีขนาดเล็ก จะไม่ความยาวไม่เกิน 2 ฟุตและอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ขณะที่ชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ปลาไหลมอเรย์ยักษ์ (Gymnothorax javanicus) ยาวได้ถึง 3 เมตร น้ำหนัก 36 กิโลกรัม.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาไหลมอเรย์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาไหลนา

วงศ์ปลาไหลนา (Swamp eel, Amphibious fish; কুঁচেমাছ) เป็นวงศ์ปลากินเนื้อ พบในน้ำจืดและน้ำกร่อยของทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา โดยกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในเขตอบอุ่น พบตั้งแต่พื้นที่ชุ่มน้ำและถ้ำในทวีปแอฟริกา, ตะวันออกกลาง, เอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ ไปจนถึงโซนโอเชียเนีย ใช้ชื่อวงศ์ว่า Synbranchidae (/ซิน-แบรน-ชิ-ดี้/) โดยพบอยู่ทั้งหมด 18 ชนิด มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายงู ตามีขนาดเล็ก มีอวัยวะช่วยหายใจเป็นเส้นเลือดฝอยในคอหอย ไม่มีครีบหรืออวัยวะใด ๆ ที่ช่วยในการว่ายน้ำ เว้นแต่บริเวณปลายหางจะแผนแบนคล้ายใบพาย ซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิด มีลำตัวลื่นมาก เพราะมีเมือกเยอะ เกล็ดมีขนาดเล็กฝังในลำตัว เมื่อยังเล็กจะมีครีบอก เมื่อโตขึ้นจะหายไป เป็นปลาที่สามารถ เปลี่ยนเพศได้ (Hermphrodite) โดยช่วงแรกจะเป็นเพศเมีย และจะกลายเป็นเพศผู้เมื่อโตขึ้น ด้านน้ำหนักเพศเมียจะมีน้ำหนักตั้งแต่ 100-300 กรัม เพศผู้มีน้ำหนักมากกว่า 400 กรัม ออกหากินในเวลากลางคืน กินเนื้อเป็นอาหาร โดยสามารถกินอาหารได้หลากหลาย แม้กระทั่งซากสัตว์หรือซากพืชที่เน่าเปื่อย มีพฤติกรรมขุดรูอยู่ในพื้นโคลนตม หรือตามตลิ่งน้ำ ชอบรวมตัวกันอาหาร เป็นปลาที่สามารถปรับสภาพให้อาศัยอยู่ได้ในทุกสิ่งแวดล้อม ในฤดูร้อน สามารถขุดรูลึกลงไป 1-1.2 เมตร เพื่อจำศีลได้ สำหรับในประเทศไทยพบทั้งหมด 3 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาไหลนา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาเสือพ่นน้ำ

วงศ์ปลาเสือพ่นน้ำ (Archer fishes) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งกลุ่มปลาที่มีก้านครีบ ในอันดับ Perciformes ใช้ชื่อวงศ์ว่า Toxotidae (/ท็อก-ออท-อิ-ดี้/; มาจากคำว่า "Toxots" เป็นภาษากรีกหมายถึง "นักยิงธนู").

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาเสือพ่นน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาเสือดำ

วงศ์ปลาเสือดำ (Asian leaffish, Nandis) วงศ์ปลาน้ำจืดขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Nandidae (/แนน-ดิ-ดี/) มีรูปร่างกลมเป็นรูปไข่หรือกลมรี แบนข้างมาก หัวค่อนข้างใหญ่ ปากกว้างและยืดหดได้ มุมปากยื่นถึงด้านหลังของนัย์ตา เกล็ดเป็นแบบสาก หนังริมกระดูกแก้มแยกกัน รูจมูกคู่หน้าอยู่ชิดกับจมูกคู่หลัง ขอบกระดูกแก้มอันกลาง มีซี่กระดูกปลายแหลมหนึ่งอัน มีฟันที่กระดูกขากรรไกร กระดูกเพดานปาก และบนลิ้น เส้นข้างลำตัวไม่สมบูรณ์ หรือไม่มีในบางสกุล ครีบหางมีก้านครีบเดี่ยวที่เป็นซี่แข็งปลายแหลมจำนวน 13 ก้าน และครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยวที่เป็นซี่แข็งปลายแหลมจำนวน 3 ก้าน ครีบหางมนกลม จำแนกออกได้เป็น 3 สกุล พบกระจายพันธุ์ฺในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกและเอเชียใต้จนถึงอาเซียน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาเสือดำ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาเสือตอ

วงศ์ปลาเสือตอ (Siamese tiger fishes) เป็นปลากระดูกแข็งจัดอยู่ในกลุ่มปลาที่มีก้านครีบ ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Datnioididae (/แดท-นี-โอ-นอย-เด-อา/) และมีเพียงสกุลเดียว คือ Datnioides (/แดท-นี-โอ-นอย-เดส/).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาเสือตอ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาเหล็กใน

วงศ์ปลาเหล็กใน หรือ วงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้แคระ (วงศ์: Indostomidae; Armoured stickleback, Paradox fish) เป็นวงศ์ปลาน้ำจืดขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง ที่อยู่ในอันดับ Gasterosteiformes มีความคล้ายคลึงกับม้าน้ำและปลาจิ้มฟันจระเข้มาก มีเพียงสกุลเดียวเท่านั้นคือ Indostomus โดยปลาชนิดแรกของวงศ์นี้ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1920 ที่ทะเลสาบอินดอว์จี ในรัฐคะฉิ่น ของประเทศพม่า ลักษณะโดยรวมของปลาในวงศ์นี้คือ มีส่วนหัวและปากสั้น ตาโต มีวงเกล็ดของลำตัวน้อย ส่วนหางเรียงเล็ก มีครีบหลังเป็นก้านแข็งสั้นๆ ที่ตอนหน้าของลำตัว และเป็นครีบอ่อนที่ตอนกลาง มีทั้งครีบอก ครีบท้องอันเล็ก ครีบก้นและครีบหางเป็นรูปพัด ตัวมีสีน้ำตาลอ่อนถึงคล้ำ และมีลายสีคล้ำประ ครีบใส มีความยาวเต็มที่ไม่เกิน 3 เซนติเมตร ทำให้แลดูคล้ายเหล็กในของแมลงหรือแมงบางจำพวก มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่มีไม้น้ำขึ้นอย่างหนาแน่นรวมถึงในพื้นที่พรุด้วย โดยดูดกินแพลงก์ตอนสัตว์เป็นอาหาร มีการขยายพันธุ์คล้ายม้าน้ำ คือ ตัวเมียวางไข่บนใบพืชน้ำ และตัวผู้เป็นผู้ดูแลไข่ แพร่กระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ พม่า, ไทย, ลุ่มแม่น้ำโขง, มาเลเซีย จนถึงปัจจุบันนี้ ค้นพบแล้ว 3 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาเหล็กใน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาเหาฉลาม

ปลาเหาฉลาม หรือ ปลาเหา หรือ ปลาเหาทะเล หรือ ปลาติด เป็นปลาทะเลปลากระดูกแข็งในวงศ์ Echeneidae ในอันดับปลากะพง (Perciformes).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาเหาฉลาม · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาเข็ม

วงศ์ปลาเข็ม (Wrestling halfbeak, Halfbeak) เป็นวงศ์ของปลาจำพวกหนึ่ง ที่พบได้ทั้งในทะเล, น้ำกร่อย และน้ำจืด ใช้ชื่อวงศ์ว่า Hemiramphidae เดิมเคยถูกจัดให้เป็นวงศ์ย่อยของวงศ์ปลานกกระจอก (Exocoetidae) ซึ่งเป็นปลาทะเล มีลักษณะสำคัญทางอนุกรมวิธาน คือ ลำตัวเรียวยาว ท่อนหัวค่อนข้างกลม ท่อนหางแบนข้าง ปากล่างยื่นยาวเป็นจะงอยแหลมคล้ายปากนก ปากบนสั้นเป็นรูปสามเหลี่ยม มีฟันรูปสามเหลี่ยมอยู่ที่ปากบนและมีฟันที่ปากล่างมีเฉพาะบริเวณที่อยู่ใต้ปากบน แต่ในบางชนิดมีฟันที่ปากล่างเรียงเป็นแถวตลอดทั้งปาก ส่วนโคนของปากล่างเชื่อมติดต่อกันกับกะโหลกหัวจึงเคลื่อนไหวไม่ได้ ปากบนเท่านั้น มีเกล็ดแบบสาก ครีบทั้งหมดบางใส ครีบหลังและครีบก้นอยู่ใกล้ครีบหาง ตำแหน่งของครีบหางและขนาดของครีบก้นเป็นลักษณะสำคัญในการจำแนกสกุล ครีบท้องมีขนาดเล็กมาก ครีบอกค่อนข้างใหญ่อยู่ใกล้แนวสันหลัง ครีบหางของสกุลที่อาศัยอยู่ในทะเลมักมีลักษณะเว้าลึก ปลายแยกออกจากกันเป็นแฉก แฉกบนเล็กกว่าแฉกล่าง ส่วนสกุลที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดมักมีครีบหางที่มนกลม เป็นปลาที่มีทั้งออกลูกเป็นไข่และออกลูกเป็นตัว โดยพวกที่ออกลูกเป็นตัว มักจะเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำจืด และที่ออกลูกเป็นไข่มักเป็นปลาทีอาศัยอยู่ในทะเล เป็นปลากินเนื้อ มักว่ายหากินเป็นฝูงบริเวณผิวน้ำ กินอาหารจำพวก แมลงและลูกปลาหรือสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำของเขตร้อนทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย เป็นปลาที่สามารถพบเห็นได้ง่ายในแหล่งน้ำทั่วทุกภาคและแทบทุกประเภทของแหล่งน้ำ มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันออกไป เช่น "ตับเต่า", "ปลาเข็ม" หรือ "สบโทง" มีความสำคัญในแง่ของการใช้บริโภคกันในท้องถิ่น และในบางชนิดก็นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามและใช้ต่อสู้เป็นการพนันเช่นเดียวกับปลากัดด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาเข็ม · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาเตตร้าแอฟริกัน

วงศ์ปลาเตตร้าแอฟริกัน (African tetra) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งน้ำจืดในอันดับปลาคาราซิน (Characiformes) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Alestidae เป็นปลากินเนื้อ มีขนาดแตกต่างหลากหลายกันออกไปตั้งแต่ไม่กี่เซนติเมตร จนถึง 6 ฟุต เป็นปลาในอันดับปลาคาราซินที่พบแพร่กระจายพันธุ์เฉพาะทวีปแอฟริกาเท่านั้น มีทั้งหมด 19 สกุล (ดูในตาราง) ประมาณ 110 ชนิด เป็นปลาที่นิยมตกเป็นเกมกีฬาและเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยมีชนิดที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ ปลาคองโกเตเตร้า (Phenacogrammus interruptus) นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และในสกุล Hydrocynus ที่นิยมตกเป็นเกมกีฬา ซึ่งในชนิด H. goliath เป็นปลาในอันดับปลาคาราซินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาเตตร้าแอฟริกัน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาเฉี่ยว

วงศ์ปลาเฉี่ยว (วงศ์: Monodactylidae) เป็นวงศ์ปลาจำพวกหนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) เป็นปลาที่มีรูปร่างโดยรวมคือ แบนข้างมากเป็นรูปสี่เหลี่ยม หัวเล็ก ปากมีขนาดเล็ก ครีบหลังและครีบท้องคม ครีบอกและครีบหางสั้น มีลายพาดสีดำบริเวณหางและช่องปิดเหงือก ตากลมโต เกล็ดเล็กละเอียดมาก ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยเป็นปลาขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ที่สุดไม่เกินฝ่ามือของมนุษย์ อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลหรือปากแม่น้ำ สามารถปรับตัวให้อาศัยได้ทั้งน้ำเค็ม-น้ำกร่อย-น้ำจืด ได้เป็นอย่างดี แพร่พันธุ์โดยการวางไข่ในบริเวณที่เป็นน้ำจืดหรือมีปริมาณความเค็มน้อย โดยปลาตัวเมียจะวางไข่ก่อนที่ปลาตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อผสม ก่อนที่ลูกปลาจะค่อย ๆ เติบโตและอพยพไปอยู่ในบริเวณที่เป็นน้ำกร่อยหรือน้ำเค็มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในสถานที่เลี้ยง พบในทะเลแถบเขตร้อนอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลภูมิภาคแอฟริกาตะวันออกไปจนถึงออสเตรเลีย มีทั้งหมด 2 สกุล 6 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาเฉี่ยว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปลาเนื้ออ่อน

วงศ์ปลาเนื้ออ่อน (อังกฤษ: Sheatfish, ชื่อวิทยาศาสตร์: Siluridae) ในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) รูปร่างเพรียวยาว ลำตัวแบนข้างมาก ใช้ชื่อวงศ์ว่า Siluridae (/ไซ-เลอร์-อิ-ดี้/) ส่วนหัวมักแบนราบหรือแบนข้างในบางชนิด ปากกว้าง มีฟันซี่เล็กและแหลมขึ้นบนขากรรไกรและเป็นแผ่นบนเพดาน มีหนวด 2-3 คู่ ครีบก้นยาวมากกว่าครึ่งหนึ่งของความยาวลำตัว ไม่มีครีบไขมัน ครีบหลังเล็กมาก ไม่มีก้านครีบแข็งแหลมที่ครีบอกและครีบหลัง ครีบหางเว้าตื้นหรือเป็นแฉก ครีบอกมีขนาดใหญ่ ครีบท้องเล็ก เป็นปลากินเนื้อเป็นอาหาร ได้แก่ แมลงขนาดเล็ก, ปลาขนาดเล็ก, กุ้งฝอย และสัตว์หน้าดินต่าง ๆ วางไข่แบบจมติดกับวัสดุใต้น้ำ กระจายพันธุ์ไกล พบตั้งแต่ยุโรป, เอเชียตอนบน, อินเดียไปจนถึงอินโดนีเชีย เป็นปลาเศรษฐกิจสำคัญชนิดหนึ่งของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศไทย, กัมพูชา เฉพาะที่พบในประเทศไทยมีราว 30 ชนิด ชนิดที่มีขนาดเล็กสุด เช่น ปลาก้างพระร่วง (Krytopterus vitreolus) ที่มีความยาวราว 6.5-8 เซนติเมตร นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ใหญ่ที่สุดคือ ปลาเวลส์ (Silurus glanis) พบในยุโรป ที่สามารถยาวได้ถึง 3 เมตร และหนักกว่า 113 กิโลกรัม และชนิดใหญ่ที่สุดที่พบในประเทศไทยคือ ปลาค้าวขาว (Wallago attu) ใหญ่ได้ถึง 2 เมตร ตัวอย่างปลาในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน เช่น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปลาเนื้ออ่อน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปาดโลกเก่า

วงศ์ปาดโลกเก่าEmerson, S.B., Travis, J., & Koehl, M.A.R. (1990).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปาดโลกเก่า · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปูบก

ปูบก (Land crab) เป็นวงศ์ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกปูวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Gecarcinidae ปูในวงศ์ปูบก มีรูปร่างลักษณะทั่วไปคล้ายกับปูทั่วไป เพียงแต่จะไม่มีหนามรอบกระดอง และรอบดวงตา มีขาเดินที่แข็งแรง และมีกรงเล็บขนาดใหญ่ เนื่องจากดำรงชีวิตอยู่บนบก จึงมีอวัยวะช่วยหายใจแตกต่างไปจากปูวงศ์อื่น โดยจะหายใจจากอากาศโดยตรง จึงมีเหงือกเป็นขุย มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงจำนวนมากคล้ายกับถุงลมในสัตว์บก และมีระบบขับถ่ายที่แตกต่างไปจากปูวงศ์อื่น คือ มีกระบวนการเปลี่ยนของเสียจากแอมโมเนีย ให้กลายเป็นกรดยูริก เก็บไว้ในเนื้อเยื่อ แตกต่างไปจากปูทั่วไปที่จะถ่ายลงน้ำ แต่การขยายพันธุ์ ปูตัวเมียก็จะไปวางไข่ทิ้งไว้ในน้ำ และลูกปูจะเลี้ยงตัวเองและพัฒนาตัวในน้ำในระยะต้น ก่อนที่จะขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่บนบก ปูบก ดำรงชีวิตอยู่ในป่า หรือป่าชายหาดใกล้ชายหาด กินเศษซากอินทรีย์วัตถุต่าง ๆ รวมถึง ใบไม้และสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหารได้ด้วย ปูบก สามารถแบ่งได้เป็นสกุลต่าง ๆ ได้ 6 สกุล ดังนี้ (บางข้อมูลแบ่งเพียง 3).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปูบก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปูว่ายน้ำ

วงศ์ปูว่ายน้ำ (Swimming crab; วงศ์: Portunidae) เป็นวงศ์ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ในไฟลัมย่อยครัสเตเชียน จำพวกปูวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Portunidae มีลักษณะสำคัญ คือ ปลายขาคู่ที่ห้ามีลักษณะเหมือนใบพาย และมีขนบาง ๆ อยู่รอบ ๆ สำหรับช่วยในการว่ายน้ำ โดยปูในวงศ์นี้จะมีลักษณะกระดองแบนราบและกว้าง จะว่ายน้ำได้เร็วและไว จัดเป็นนักล่าที่ว่องไว โดยปูที่อยู่ในวงศ์นี้ ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ ปูทะเล (Scylla serata) และปูม้า (Portunus pelagicus) โดยจัดเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีความสำคัญ หลายชนิดใช้ในการบริโภค ในประเทศไทยพบปูที่อยู่ในวงศ์นี้ 31 ชนิด จากทั้งหมด 4 วงศ์ย่อ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปูว่ายน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ปูเสฉวนบก

วงศ์ปูเสฉวนบก (Land hermit crab; วงศ์: Coenobitidae) เป็นวงศ์ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกอาร์โธพอด ในไฟลัมย่อยครัสตาเชียน วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Coenobitidae จัดเป็นปูเสฉวนจำพวกที่อาศัยอยู่แต่เฉพาะบนบกที่ใกล้กับชายฝั่งหรือชายทะเลเท่านั้น ไม่อาจจะอาศัยอยู่ในน้ำได้ มิฉะนั้นจะจมน้ำตายได้ เนื่องจากได้วิวัฒนาการตัวเองให้อาศัยและหายใจได้เฉพาะบนบกเท่านั้น แต่กระนั้นปูเสฉวนบกก็ยังต้องการแคลเซียมและเกลือแร่จากน้ำทะเลอยู่ดี มีทั้งหมด 17 ชนิด แบ่งออกเป็น 2 สกุล คือ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ปูเสฉวนบก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกบูบี

วงศ์นกบูบี เป็นวงศ์ของนกทะเลขนาดใหญ่วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อว่า Sulidae จัดอยู่ในอันดับนกบูบี (Suliformes; ในข้อมูลเก่าจะจัดอยู่ในอันดับ Pelecaniformes หรือ อันดับนกกระทุง) นกในวงศ์นี้จัดเป็นนกขนาดกลางและขนาดใหญ่ ประกอบไปด้วยนกบูบี และนกแกนเน็ต มีขนาดลำตัวประมาณ 70–100 เซนติเมตร ปากยาวกว่าหัว ปากเป็นกรวยปลายปากแหลมโค้งลงเล็กน้อยและไม่เป็นขอ ขอบปากหยักคล้ายฟันเลื่อย โคนจะงอยปากบนเป็นรอยบากเล็กน้อย จมูกเป็นรางยาว รูจมูกไม่เปิดออกสู่ภายนอก ปีกยาว ปลายปีกแหลม ขนปลายปีกเส้นนอกสุดยาวที่สุด หางเป็นแบบหางพลั่ว มีขนหาง 12–18 เส้น ขาใหญ่ นิ้วที่ 4 ยาวเท่ากับนิ้วที่ 3 ตีนมีพังผืดขนาดใหญ่ กินปลาเป็นอาหารโดยบินลงจับเหยื่อในน้ำ ทำรังเป็นกลุ่มบนหินหรือพื้นทราย ไม่ค่อยพบทำรังบนต้นไม้ วางไข่ครอกละ 1–2 ฟอง เปลือกไข่สีขาว ลูกนกแรกเกิดมีขนอุยปกคลุมลำตัว แต่ยังช่วยเหลือตัวไม่ได้ เป็นนกที่หากินอยู่ใกล้ทะเลแถบร้อนและอบอุ่นทั่วโลก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกบูบี · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกพรานผึ้ง

วงศ์นกพรานผึ้ง (Honeyguide, Indicator bird, Honey bird) เป็นวงศ์ของนกวงศ์หนึ่ง ในอันดับนกหัวขวานและนกโพระดก (Piciformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Indicatoridae เป็นนกขนาดเล็ก ลักษณะคล้ายกับนกปรอด จะงอยปากสั้นและแบนข้างเล็กน้อยและค่อนข้างหนา ปีกยาวแหลม นิ้วตีนยื่นไปข้างหน้า 2 นิ้ว และข้างหลัง 2 นิ้ว เหมือนนกหัวขวาน เหตุที่ได้ชื่อว่า "พรานผึ้ง" เพราะเป็นนกที่ชอบกินผึ้งและขี้ผึ้งถึงขนาดบุกเข้าไปกินถึงในรวงผึ้ง และยังมีอีกชนิดหนึ่งที่พบในแอฟริกาที่มีพฤติกรรมนำพาสัตว์อื่นไปพบรวงผึ้ง พบกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชียและแอฟริกา 17 ชนิด ใน 4 สกุล สำหรับในประเทศไทยพบเพียงชนิดเดียวเท่านั้นทางภาคใต้ตอนล่าง.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกพรานผึ้ง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกพิราบและนกเขา

วงศ์นกพิราบและนกเขา เป็นวงศ์ของนกที่อยู่ในอันดับ Columbiformes ซึ่งมีอยู่เพียงวงศ์เดียว คือ Columbidae เป็นนกที่มีขนาดตั้งแต่เล็กมากจนถึงใหญ่ (15-120 เซนติเมตร) มีลักษณะโดยทั่วไป คือ อ้วนกลม คอสั้น ปากเรียวมีปุ่มเนื้อเหนือปาก ปากเล็ก สันปากบนโค้งเล็กน้อย รูจมูกไม่ทะลุถึงกันเพราะมีผนังกั้น หางยาวปานกลาง ปลายหางมนกลมหรือแหลม ขนหางมี 12-20 เส้น ปีกยาวปานกลาง ขนปลายปีกมี 11 เส้น (10 เส้นทำหน้าที่ในการบิน) ขนกลางปีกมี 11-15 เส้น และมักไม่มีขนกลางปีกเส้นที่ 5 ขาสั้น หน้าแข้งเป็นเกล็ดแบบซ้อน บริเวณอื่นเป็นเกล็ดแบบร่างแห ตัวเต็มวัยไม่มีขนอุย ขนไม่มีแกนขนรองหรือมีแต่เล็กมาก ต่อมน้ำมันไม่มีขนปกคลุมหรือไม่มีต่อมน้ำมัน ผิวหนังบอบบาง เป็นนกที่กินพืชเป็นอาหาร โดยเฉพาะ เมล็ดพืชและธัญพืช สร้างรังจากกิ่งไม้ บนต้นไม้ เชิงผา หรือบนพื้นดินขึ้นกับชนิด วางไข่ 1-2 ใบ พ่อและแม่ช่วยกันเลี้ยงลูก ลูกอ่อนยังเดินไม่ได้ มีระยะเวลาออกจากรัง 7-28 วัน โดยพ่อแม่นกจะเลี้ยงลูกด้วยการสำรอกอาหารที่เป็นของเหลวออกจากกระเพาะพักป้อนให้ลูก ที่มีลักษณะคล้ายน้ำนม มีโครงสร้างทางและองค์ประกอบเคมีคล้ายน้ำนมของกระต่าย ซึ่งมีด้วยกันทั้งสองเพศ นกในวงศ์และอันดับนี้ มีอยู่ประมาณ 40 สกุล 310 สปีชีส์ พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วโลก ในประเทศไทยพบราว 28 สปีชีส์ ใน 9 สกุล โดยมีสปีชีส์หนึ่งที่สูญพันธุ์ไปนานกว่า 350 ปีแล้วและเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ นกโดโด เป็นนกที่มนุษย์คุ้นเคยเป็นอย่างดี และสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง อาทิ ในการสื่อสารในสมัยโบราณ ที่ใช้นกพิราบสื่อสาร ที่จะบินกลับถิ่นฐานที่เป็นที่จากมาแม้ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ด้วยสนามแม่เหล็กโลก หรือใช้สำหรับแข่งขันกันในการบิน หรือใช้เลี้ยงเป็นอาหาร, เป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม หรือฟังเสียงร้อง ที่สามารถต่อยอดแตกเป็นอาชีพต่าง ๆ ได้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกพิราบและนกเขา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกกระสา

นกกระสา เป็นนกลุยน้ำขนาดใหญ่ ขายาว คอยาว และปากยาวแข็ง อยู่ในอันดับนกกระสา (Ciconiiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Ciconiidae พบทั้งหมดทั่วโลก 19 ชนิด ใน 6 สกุล.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกกระสา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกกระจอก

นกกระจอก (Sparrow) เป็นวงศ์ที่จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์ปีก (Aves) จัดเป็นนกจับคอนขนาดเล็ก ใช้ชื่อวงศ์ว่า Passeridae เป็นนกที่มนุษย์รู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะอาศัยกระจายอยู่ทั่วไปตามชุมชนเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลก นกในวงศ์นี้มีขนาดเล็กมากจนถึงขนาดเล็ก ลักษณะภายนอกค่อนข้างแตกต่างกัน ทั้งจะงอยปากยาวปานกลาง, ปลายปากแหลม หรือ ปากสั้นเป็นปากกรวย, หางยาวปานกลางหรือปลายหางแหลม, มน, ตัด หรือ เว้าตื้น อาศัยและหากินตามทุ่งโล่ง, หมู่บ้าน หรือชายแหล่งน้ำ มีทั้งที่หากินตามกิ่งไม้ และบนพื้นดิน กินแมลง, ธัญพืช และเมล็ดของไม้ต้น ลักษณะของรังมีรูปร่างแตกต่างกัน ตั้งแต่แบบง่าย ๆ จนถึงแบบรังแขวน มีการสานวัสดุอย่างละเอียดละออ นกในวงศ์นี้ กำเนิดมาตั้งแต่สมัยไมโอซีน ในยุคเทอร์เชียรี่ หรือประมาณ 25-13 ล้านปีมาแล้ว กระจายพันธุ์ทั่วโลก มีทั้งหมด 5 สกุล (ดูในตาราง-บางข้อมูลแบ่งให้มี 8) ประมาณ 41 ชนิด ในประเทศไทยพบได้ 4 ชนิด ล้วนแต่อยู่ในสกุล Passer คือ นกกระจอกใหญ่ (P. domesticus), นกกระจอกป่าท้องเหลือง (P. rutilans), นกกระจอกตาล (P. flaveolus) และนกกระจอกบ้าน (P. montanus)Clement, Peter; Harris, Alan; Davis, John (1999).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกกระจอก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกกระทุง

นกกระทุง หรือ นกเพลิแกน (Pelican) เป็นวงศ์ของนกน้ำขนาดใหญ่วงศ์หนึ่ง ในอันดับนกกระทุง (Pelecaniformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Pelecanidae เป็นนกที่มีลำตัวขนาดใหญ่ (125-165 เซนติเมตร) มีลักษณะเด่น คือ จะงอยปากใหญ่ ปากบนแบน ปลายจะงอยปากงอเป็นขอ ปากล่างมีถุงใต้คางแผ่จนถึงคอโดยไม่มีขนปกคลุม รูจมูกเล็กอยู่บริเวณร่องปากซึ่งยาวตลอดทางด้านข้างของจะงอยปากบน ปีกใหญ่และกว้าง ขนปลายปีกเส้นที่ 2 นับจากด้านนอกยาวที่สุด หางสั้น ปลายหางตัด ขณะบินคอจะหดสั้น ขาอ้วนและสั้น แข้งด้านข้างแบน ทางด้านหน้าปกคลุมด้วยเกล็ดแบบร่างแห มีฟังผืดนิ้วแบบตีนพัดเต็ม เป็นนกหาปลาที่กินปลา โดยการใช้ถุงใต้คางช้อนปลาในน้ำ หรือบินลงในน้ำแล้วพุ่งจับ ทำรังเป็นกลุ่มด้วยวัสดุจากกิ่งไม้ ปกติทำรังบนพื้นดิน แต่บางครั้งก็ทำรังบนต้นไม้ วางไข่ครั้งละ 1-4 ฟอง สีเปลือกไข่เหมือนสีผงชอร์คปกคลุม ลูกนกแรกเกิดเป็นลูกอ่อนเดินไม่ได้ ไม่มีขนปกคลุม ขนมีสีชมพูโดยปกติ เป็นนกที่หากินและอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำและชายทะเล นอกจากจะกินปลาแล้ว นกกระทุงในบางครั้งยังมีพฤติกรรมกินไข่นกหรือลูกนกตัวอื่นเป็นอาหาร ตลอดจนนกในวัยโตเต็มที่เช่น นกพิราบ เป็นอาหารได้ด้วย พบกระจายพันธุ์เกือบทั่วโลก ยกเว้นทางซีกโลกทางเหนือ, นิวซีแลนด์ และโพลีนีเซีย แบ่งออกได้แค่สกุลเดียว (บางข้อมูลแบ่งเป็น 2 สกุล) 8 ชนิด ในประเทศไทยเพียงชนิดเดียว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกกระทุง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกกระตั้ว

นกกระตั้ว หรือ นกคอกคาทู (cockatoo) เป็นนกประเภทปากคีม มีหลายสกุล ส่วนมากจะมีสีขาว บางชนิดมีสีเหลืองอ่อนแซมเล็กน้อย มีหงอน มีลิ้นและสามารถสอนให้เลียนเสียงได้เหมือนนกแก้ว โดยที่ชื่อสามัญที่ว่า "Cockatoo" เป็นภาษามลายูแปลว่า "คีมใหญ่" พบในแถบอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, นิวกินี, หมู่เกาะโซโลมอน และ ออสเตรเลีย ชนิดที่มนุษย์จับมาเลี้ยงนั้นมีราคาสูง นกกระตั้วที่อยู่ตามธรรมชาติจะมีอายุขัยเพียง 20-30 ปีเท่านั้น แต่นกกระตั้วที่มนุษย์นำมาเลี้ยงจะมีอายุยืนถึง 60-80 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกกระตั้ว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกกระติ๊ด

วงศ์นกกระติ๊ด (Estrildid finch, Waxbill) นกขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Estrildidae อยู่ในอันดับนกเกาะคอน (Passeriformes) เป็นนกขนาดเล็ก มีลักษณะทั่วไป คือ จะงอยปากหนา สั้นและแหลม ลำตัวอ้วนป้อม หากินเมล็ดพืชและดอกหญ้าเป็นอาหาร ชอบตระเวนย้ายถิ่นหากินไปตามแหล่งที่มีอาหารสมบูรณ์ มักพบบินตามกันไปเป็นฝูง มีการผสมพันธุ์ตลอดทั้งปี ทำรังโดยนำหญ้ามาสานกันเป็นก้อนอยู่ตามกิ่งไม้และต้นไม้ โดยปากรังอยู่ด้านล่าง กระจายพันธุ์อยู่ในเขตร้อนของซีกโลกเก่า และประเทศออสเตรเลีย พบทั้งหมด 141 ชนิด ใน 29 สกุล (ดูในตาราง) พบในประเทศไทย 8 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกกระติ๊ด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกกระเต็น

วงศ์นกกระเต็น หรือ วงศ์นกกระเต็นใหญ่ (Tree kingfishers, Wood kingfishers, Larger kingfishers) เป็นวงศ์ของนกกระเต็นวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Halcyonidae (หรือข้อมูลอดีตจัดเป็นวงศ์ย่อย Halcyoninae) นกกระเต็นในวงศนี้มีขนาดเล็กถึงขนาดกลาง (20 – 36 เซนติเมตร) มีหัวขนาดใหญ จะงอยปากยาว และแบนขางคอนขางมาก สันปากบนคอนขางมน รองทางดานขางไมเดนชัด หางสั้นถึงยาวปานกลาง ขาสั้น มี 4 นิ้ว หลายชนิดมีหลากสีสัน มักพุงตัวจากที่เกาะลงไปในน้ำเพื่อจับปลา, กบ, เขียด และปู นอก จากนี้ยังกินสัตวเลื้อยคลานขนาดเล็กและแมลงตามพื้นดิน ปกติอาศัยและหากินใกลแหลงน้ำ แตหลายชนิดก็อาศัยและหากินในปาซึ่งหางไกลจากแหลงน้ำพอสมควร ชอบสงเสียงตลอดเวลา ทำรังโดยขุดโพรงในดินตามชายฝงแมน้ำ, เนินดิน, จอมปลวก หรือตามโพรงไม จำแนกออกได้เป็น 12 สกุล ทั้งหมด 61 ชนิด ในประเทศไทยพบ 4 สกุล 8 ชนิด ได้แก่Moyle, Robert G. (2006): "" Auk 123(2): 487–499.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกกระเต็น · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกกระเต็นปักหลัก

วงศ์นกกระเต็นปักหลัก หรือ วงศ์นกกระเต็นขาวดำ (Water kingfishers, Cerylid kingfishers) เป็นวงศ์ของนกกระเต็นวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Cerylidae ในอันดับนกตะขาบ (Coraciiformes) นกกระเต็นวงศนี้มีขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง (30 – 48 เซนติเมตร) มีลักษณะทั่วไป คือ ปากยาว แบนขางคอนขางมาก ลำตัวมีสีขาวสลับดำ แทบไมมีสีอื่นปน พบทั่วโลก 3 สกุล 9 ชนิด ส่วนใหญ่พบในพื้นที่โลกใหม่ คือ ทวีปอเมริกา ทั้งอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ สำหรับในทวีปเอเชีย ในประเทศไทยพบ 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกกระเต็นปักหลัก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกกระเต็นน้อย

วงศ์นกกระเต็นน้อย (River kingfishers) เป็นวงศ์ของนกกระเต็นวงศ์หนึ่ง มีชื่อว่า Alcedinidae (เดิมเคยเป็นวงศ์ย่อย Alcedininae) นกกระเต็นในวงศ์นี้เป็นนกกระเต็นที่มีขนาดเล็ก (16 – 25 เซนติเมตร) ลักษณะทั่วไป คือ มีปากใหญ่ยาวแหลมและแบนข้าง หัวโต คอสั้น หางและขาสั้น มักมีสีสวยงาม เมื่อเกาะกับคอนหรือกิ่งไม้ลำตัวตั้งตรง บินตรงและเร็ว บางครั้งสามารถบินอยู่กับที่กลางอากาศได้ ปกติอาศัยและหากินอยู่ใกล้แหล่งน้ำ บางชนิดอาศัยอยู่ในป่า กินปลา ปู กบ เขียด สัตว์เลื้อยคลาน และแมลงตามพื้นดินเป็นอาหาร เป็นนกที่ส่งเสียงร้องเกือบตลอดเวลา ทำรังโดยการขุดโพรงดินตามชายฝั่งแม่น้ำ เนินดิน หรือตามจอมปลวก บางชนิดทำรังตามตอไม้หรือโพรงไม้ วงศ์นกกระเต็นน้อยแบ่งออกเป็น 3 สกุล คือ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกกระเต็นน้อย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกกา

วงศ์กา (Crow, Raven, Jay, Magpie) เป็นวงศ์ของนกร้องเพลงจับคอน ประกอบไปด้วย นกกา, นกเรเวน, นกกาน้อย, นกกาภูเขา, นกสาลิกา และ นกกะลิงเขียดMadge & Burn (1993) มีมากกว่า 120 ชนิด ใช้ชื่อวงศ์ว่า Corvidae นกในวงศ์นี้เป็นนกที่เฉลียวฉลาด รู้ทราบถึงตนเองจากกระจก และรู้จักการใช้เครื่องมือเพื่อเพิ่มความสามารถ) ซึ่งจะพบในมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูงบางชนิดเท่านั้น นกในวงศ์นี้มีขนาดกลางถึงใหญ่ ปากและขาแข็งแรงผลัดขนปีละครั้ง นกในวงศ์นี้พบได้เกือบทั่วโลกยกเว้นปลายทวีปอเมริกาใต้และขั้วโลกClayton & Emery (2005) โดยมากจะพบในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เอเชียใต้ และ ทวีปยูเรเชีย และในทวีปแอฟริกา, ออสตราเลเซีย และ อเมริกาเหนือพบแห่งละประมาณ 10 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกกา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกกินแมลงและนกกะราง

วงศ์นกกินแมลงและนกกะราง หรือ วงศ์นกกินแมลงโลกเก่า (Old world babbler) เป็นวงศ์ของนกขนาดเล็ก ในอันดับนกเกาะคอน (Passeriformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Timaliidae เป็นนกขนาดเล็กที่ชอบหากินตามต้นไม้ในระดับต่ำมีปากแหลมตรง บางชนิดปากยาวโค้ง จึงบินไม่เก่งมักบินระยะทางสั้น ๆ มีขนอ่อนนุ่ม ชอบอยู่เป็นฝูงและส่งเสียงดังอยู่เสมอส่วนใหญ่มีเสียงแหลมน่าฟัง รังทำด้วยหญ้าและใบไม้สานเป็นรูปถ้วยอยู่บนต้นไม้ กินแมลงเป็นอาหารหลัก พบกระจายพันธุ์ในซีกโลกเก่า เช่น แอฟริกา, อนุทวีปอินเดียและเอเชียอาคเนย์ เป็นวงศ์ที่มีจำนวนสมาชิกมาก มีทั้งหมด 270 ชนิด (บางข้อมูลว่า 259) พบ 76 ชนิดในประเทศไทย อาทิ นกกินแมลงเด็กแนน (Stachyridopsis rufifrons), นกศิวะหางสีตาล (Minla strigula), นกกะรางหัวหงอก (Garrulax leucolophus) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกกินแมลงและนกกะราง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกยาง

นกยาง หรือ นกกระยาง (Heron, Bittern, Egret) เป็นนกวงศ์หนึ่ง ที่อยู่ในอันดับนกกระสา (Ciconiiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Ardeidae มีลักษณะโดยรวม คือ เป็นนกน้ำที่มีทั้งขนาดเล็ก, ขนาดกลาง และขนาดใหญ่มีคอและขายาว มักพบเดินท่องน้ำหากินหรือยืนนิ่งบนกอหญ้าหรือพืชน้ำ คอยใช้ปากแหลมยาวจับสัตว์น้ำเล็ก ๆ หรือแมลงบนพื้นเป็นอาหาร ขณะบินจะพับหัวและคอแนบลำตัว เหยียดขาไปข้างหลัง ทำรังรวมกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่บนต้นไม้ ใช้กิ่งไม้สานกันอย่างหยาบ ๆ พบทั้งหมด 61 ชนิดทั่วโลก พบในประเทศไทย 20 ชนิด หากินในเวลากลางวัน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกยาง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกร่อนทะเล

นกร่อนทะเล (Tropicbird) เป็นวงศ์ของนกทะเลที่หากินบนผิวน้ำในมหาสมุทรเขตร้อน ปัจจุบันจัดอยู่ในอันดับกระทุง (Pelecaniformes) (บ้างก็จัดให้อยู่ในอันดับของตัวเองต่างหาก คือ Phaethontiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Phaethontidae ความสัมพันธุ์กับนกชนิดอื่นยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่พบว่ามันไม่มีญาติใกล้ชิดอื่นอีก มี 3 ชนิด สกุลเดียวเท่านั้น คือ Phaethonชุดขนส่วนมากเป็นสีขาว มีขนหางยาว ขาและเท้าเล็ก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกร่อนทะเล · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกหัวขวาน

นกหัวขวาน เป็นนกวงศ์หนึ่ง ในอันดับนกหัวขวานและนกโพระดก (Piciformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Picidae เป็นนกที่มีสามารถไต่ขึ้นลงตามต้นไม้ได้ดีเป็นแนวตั้ง ด้วยขาที่สั้น และเล็บที่แหลมคม ส่วนใหญ่มีนิ้วหน้า 2 นิ้ว นิ้วหลัง 2 นิ้ว (ขณะที่บางชนิดจะมีเพียง 3 นิ้ว หรือบางชนิดก็มีนิ้วยื่นไปข้างหน้า Walters, Michael P. (1980). Complete Birds of the World. David & Charles PLC. ISBN 0715376667.) เล็บมีความคมและแข็งแรง หางมักจะแข็งมากและเป็นรูปลิ่ม ใช้ช่วยยันต้นไม้ขณะไต่ขึ้นลงตามลำต้น นกหัวขวานเป็นนกประเภทอยู่รู หรืออยู่อาศัยตามโพรงไม้ ตามปกติแล้วมักจะเลือกสถานที่ทำรังโดยใช้จะงอยปากที่แข็งแรงเจาะต้นไม้จนเป็นโพรงใหญ่ ขนาดที่ตัวของนกเองจะเข้าออกได้อย่างสะดวก นกหัวขวานเป็นนกที่ปกติจะอาศัยอยู่เพียงลำพัง ไม่มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงเหมือนนกอื่น ๆ ถ้าหากมีนกอื่นรุกล้ำเข้ามา จะส่งเสียงร้อง "แก๊ก ๆ ๆ" ดังกังวาลเพื่อเตือน อย่างไรก็ตาม ตัวเมียก็มีส่วนช่วยเลือกสถานที่ทำรังเหล่านี้ด้วย ส่วนมากมักชอบไม้เนื้ออ่อน ซึ่งในฤดูแล้ง ต้นไม้เหล่านี้จะทิ้งใบ แต่บางครั้งจะทำรังตามต้นไม้แห้ง ๆ หรือต้นมะพร้าวหรือต้นปาล์ม จุดเด่นของนกหัวขวานก็คือ สามารถใช้จะงอยปากที่แหลมยาวและแข็งแรงเหมือนลิ่ม เจาะลำต้นของต้นไม้ใหญ่ประเภทไม้ยืนต้นจนเป็นรูหรือเป็นโพรงได้เป็นอย่างดี ขณะที่เจาะต้นไม้อยู่นั้นจะได้ยินเสียงกังวาลไปไกลเป็นเสียง "ป๊อก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ" เพื่อที่จะหาหนอนและแมลงที่ซ่อนอยู่ใต้เปลือกไม้และเนื้อไม้กินเป็นอาหาร ด้วยการใช้ลิ้นและน้ำลายที่เหนียวดึงออกมา ลิ้นของนกหัวขวานเมื่อยืดออกจะยาวมาก โดยลิ้นนี้จะถูกเก็บไว้โดยการพันอ้อมกะโหลก แล้วเก็บปลายลิ้นไว้ที่โพรงจมูกด้านใน ซึ่งการกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นผลดีต่อต้นไม้ที่ช่วยกำจัดหนอนแมลงที่รบกวนได้ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จนได้รับฉายาว่า "หมอรักษาต้นไม้" แต่ในทางตรงกันข้าม การเจาะต้นไม้เช่นนี้ก็ทำการทำลายความแข็งแรงของเนื้อไม้ได้ด้วย เนื่องจากนกหัวขวานไม่ได้เจาะต้นไม้ที่มีชีวิตอย่างเดียว แต่กับไม้แปรรูป เช่น เสาไฟฟ้าที่ทำจากต้นไม้ก็ถูกเจาะได้เช่นกัน และถูกเมื่อเจาะหลาย ๆ ที่ก็เป็นโพรงที่ทำให้แมลงหรือสัตว์อื่นเข้าไปอยู่อาศัยและทำลายเนื้อไม้ได้ แรงกระแทกที่นกหัวขวานใช้เจาะต้นไม้นั้นแรงมาก โดยเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 6 เมตรต่อวินาที และแรงที่เข้ากระทำนั้นเป็น 1,000 เท่าของแรงโน้มถ่วงโลก แต่เหตุที่นกหัวขวานสามารถที่จะกระทำเช่นนี้ได้ โดยที่สมองหรือส่วนหัวไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ก็เนื่องด้วยรอบ ๆ สมองนั้นห่อหุ้มไปด้วยกะโหลกรูปจานที่อ่อนนุ่มแต่หนาแน่นและยืดหยุ่นเหมือนฟองน้ำที่ภายในเต็มไปด้วยอากาศ อีกทั้งยังมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงล้อมรอบกะโหลกภายนอกที่โค้งเป็นรูปเลข 8 อีกต่างหาก และอีกยังมีจะงอยปากบนและล่างที่ยาวไม่เท่ากัน เหล่านี้เป็นสิ่งช่วยในการลดแรงกระแทกที่ส่งผลกระทบถึงสมอง โดยวันหนึ่ง ๆ นกหัวขวานสามารถเจาะต้นไม้ได้ถึง 500-600 ครั้ง หรือถึง 12,000 ครั้ง นกหัวขวานมีพฤติกรรมการวางไข่ที่แปลก กล่าวคือ หลังจากออกไข่แล้ว ตัวผู้จะเป็นฝ่ายเข้ากกไข่และเลี้ยงดูลูกอ่อนเป็นหลัก โดยมีตัวเมียมาช่วยบ้างเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม นกหัวขวานมักจะมีโพรงอยู่เป็นประจำ คือ โพรงใดของตัวใดตัวหนึ่ง เมื่อเวลาพลบค่ำ ก็บินกลับมานอนในโพรงต่าง ๆ เหล่านี้ ตามปกติ นกหัวขวานตัวหนึ่ง ๆ มักจะมีโพรงที่อาศัยนอนเช่นนี้ 2-3 แห่ง เพื่อป้องกันอันตรายจากสิ่งอื่นที่มารบกวน นกหัวขวานอาศัยอยู่ในป่าทั่วโลก ยกเว้นออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และมาดากัสการ์ พบประมาณ 200 ชนิด ในประเทศไทยพบได้ราว 36 ชนิด และมี 2 ชนิดที่หายสาบสูญไปนานกว่า 50 ปีแล้ว จากการตัดไม้ทำลายป่าอันเป็นถิ่นที่อยู่อาศัย คือ นกหัวขวานอิมพีเรียล (Campephilus imperialis) กับนกหัวขวานปากงาช้าง (C. principalis) ซึ่งเป็นนกหัวขวานขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกหัวขวาน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกอ้ายงั่ว

นกอ้ายงั่ว หรือ นกงั่ว หรือ นกคองู หรือ นกงูHarrison, Peter; Peterson, Roger Tory (1991).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกอ้ายงั่ว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกจับแมลงและนกเขน

วงศ์นกจับแมลงและนกเขน หรือ วงศ์นกจับแมลง (Old world flycatcher) เป็นวงศ์ของนกเกาะคอนวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Muscicapidae จัดเป็นวงศ์ของนกที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดวงศ์หนึ่ง เป็นนกที่พบกระจายพันธุ์อยู่ในซีกโลกเก่า (เอเชีย, ยุโรป, แอฟริกา) เป็นที่มีขนาดเล็กมากถึงขนาดเล็ก (12-30 เซนติเมตร) รูปรางภายนอก แตกตางกันมาก ตัวผู้และตัวเมียมีสีสันและลักษณะแตกต่างกันชัดเจน สวนใหญจะกินแมลงเปนอาหาร แต่ก็มีหลายชนิดกินผลไม้และน้ำหวานดอกไมดวย Del Hoyo, J.; Elliot, A. & Christie D. (editors).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกจับแมลงและนกเขน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกจาบ

นกจาบ หรือ นกกระจาบ (Weaver) เป็นวงศ์ของนกเกาะคอนขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Ploceidae มีลักษณะคล้ายกับนกในวงศ์นกกระจอก (Passeridae) (บางข้อมูลจัดให้เป็นวงศ์ย่อยของวงศ์นกกระจอก ใช้ชื่อว่า Ploceinae) มีลักษณะเด่น คือ จะงอยปากหนาเปนปากกรวย รูจมูกมน มุมปากมีขนแข็ง ขนปลายปก 3 เสนนอกสุดยาวที่สุด ปกยาวกวาแขง นกจาบ ยังมีลักษณะเด่นอีกประการที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ การทำรังตามตนไม เปนรังแขวน วัสดุสวนใหญไดแก หญาฉีกเปนฝอย มีการสานวัสดุอยางสวยงามมีศิลปะ ซึ่งลักษณะและขนาดของรังจะแตกต่างกันตามแต่ละชนิด มีปากรังทางเข้า-ออก เป็นนกสังคม อาศัยและทำรังรวมกันเปนฝูงใหญ ตัวผูและตัวเมียมีสีสันแตกตางกันโดยเฉพาะในชวงฤดูผสมพันธุ พบกระจายพันธุ์ในเขตร้อนของทวีปเอเชีย และซับสะฮะราในทวีปแอฟริกา รังของนกจาบในทวีปแอฟริกา พบทั่วโลก 116 ชนิด พบ 3 ชนิดในประเทศไทย ซึ่งล้วนแต่อยู่ในสกุล Ploceus ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกจาบ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกคุ่มอืด

วงศ์นกคุ่มอืด หรือ วงศ์นกคุ่ม (วงศ์: Turnicidae) เป็นวงศ์นกในอันดับนกนางนวล (Charadriiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Turnicidae จัดเป็นนกขนาดย่อม มีลักษณะคล้ายกับนกกระทาที่อยู่ในวงศ์ Phasianidae หรือวงศ์ไก่ แต่ทว่าแตกต่างกันที่ นกคุ่มอืดนั้นจะมีนิ้วเท้า 3 นิ้ว และไม่มีเดือยที่ข้อเท้า มีลักษณะโดยรวม คือ มีขนาดย่อม ปีกมีขนาดเล็ก ไม่สามารถบินได้ นอกจากในระยะใกล้ ๆ เช่น บินขึ้นไปบนต้นไม้ จึงหากินบนพื้นดินเช่นเดียวกันเป็นหลัก สีขนตามลำตัวมีลายประสีต่าง ๆ เพื่อแฝงตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม ตัวเมียมีขนาดตัวใหญ่กว่าตัวผู้ มีสีสดใสกว่า และเป็นฝ่ายเกี้ยวพาราสี ขณะที่ตัวผู้จะทำหน้าที่กกไข่และเลี้ยงดูลูก ไข่ใช้เวลาฟักประมาณ 12-13 วัน ลูกอ่อนใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ จึงสามารถอกนอกรังได้ มี 16 ชนิดทั่วโลก พบกระจายพันธุ์ทั้งในทวีปเอเชีย, แอฟริกา และออสเตรเลีย แบ่งออกเป็น 2 สกุล (ดูในตาราง) สำหรับในประเทศไทยพบ 3 ชนิด คือ นกคุ่มอืดเล็ก (Turnix sylvatica), นกคุ่มอืดใหญ่ (T. tanki) และนกคุ่มอกลาย (T. suscitator).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกคุ่มอืด · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกตะขาบ

นกตะขาบ หรือ นกขาบ (Roller) เป็นนกในวงศ์หนึ่ง ที่อยู่ในอันดับนกตะขาบ (Coraciiformes) ซึ่งร่วมด้วยนกกะรางหัวขวาน (Upupidae), นกกระเต็น (Alcedinidae), นกจาบคา (Meropidae), นกเงือก (Bucerotidae) สำหรับนกตะขาบจัดอยู่ในวงศ์ Coraciidae นกตะขาบเป็นที่บินได้เก่งมาก ลำตัวอวบอ้วน หัวโต ปากหนาใหญ่ ลำตัวขนาดพอ ๆ กับอีกา ส่วนใหญ่ลำตัวมีสีม่วงหรือน้ำเงินคล้ำ ชอบเกาะนิ่งตามที่โล่ง ๆ เช่น ทุ่งหญ้า, ทุ่งนา เพื่อมองหาเหยื่อซึ่งได้แก่ แมลงขนาดใหญ่, กิ้งก่า และสัตว์เล็ก ๆ เมื่อพบจะบินออกไปจับอย่างรวดเร็ว ทั้งพุ่งลงไปที่พื้นดินและบินไล่จับกลางอากาศ ชอบบินร่อนฉวัดเฉวียนเสมอ ทำรังในโพรงไม้หรือชอกหิน วางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง ใช้เวลาฟักเป็นตัว 17-20 วัน ลูกนกใช้เวลาประมาณ 30 วันอาศัยอยู่ในรัง โดยในบางชนิด เมื่อโตแล้วแยกออกไปสร้างรังต่างหาก ยังมีพฤติกรรมกลับมาช่วยพ่อแม่ที่ให้กำเนิด เลี้ยงดูลูกนกที่เกิดใหม่ด้วย ดังนั้น ในรังบางครอกจะมีลูกนกที่เป็นเครือญาติกันเกิดพร้อม ๆ กัน แพร่กระจายพันธุ์ในซีกโลกเก่า ได้แก่ ทวีปเอเชีย, แอฟริกา และยุโรป พบทั้งหมด 12 ชนิด ใน 2 สกุล สำหรับในประเทศไทยพบ 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกตะขาบ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกปักษาสวรรค์

นกปักษาสวรรค์ หรือ นกการเวก หรือ นกวายุภักษ์ (Bird-of-paradise) เป็นวงศ์ของนกเกาะคอนวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Paradisaeidae เป็นนกที่มีสีสันสวยงามมาก โดยเฉพาะในตัวผู้จะมีขนตามตัวสีสันฉูดฉาดสวยงาม ขนหางเหยียดยาวเป็นเส้นโค้งอ่อนช้อย หรือม้วนเป็นรูปร่างแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ชนิด จุดมุ่งหมายเพื่อดึงดูดตัวเมียที่มีความงามด้อยกว่า หรือบางกรณีก็เกิดพึงพอใจในตัวเมียต่างชนิดให้เข้ามาผสมพันธุ์ด้วย ขณะที่ตัวผู้บางชนิดจะเต้นไปบนพื้นดินเพื่อเกี้ยวพาราสีตัวเมีย นกปักษาสวรรค์กินลูกไม้ หรือแมลงบริเวณแหล่งอาศัยเป็นอาหาร นกปักษาสวรรค์ไม่ได้เป็นนกที่อยู่รวมกันเป็นฝูง หากแต่มักจะอยู่ตามลำพังตัวเดียว แต่ตัวผู้ทุกชนิดจะสนใจแต่เรื่องหาคู่ โดยจะเกี้ยวพาราสีตัวเมียเสมอ ๆ ตัวผู้จะมีพฤติกรรมผสมพันธุ์กับตัวเมียตัวเดิมตลอดช่วงของการเกี้ยวพาราสี หรือจะผสมพันธุ์ฺกับตัวเมียหลายตัว หรืออาจจะเป็นตัวเมียตัวเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกในช่วงเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ขณะที่ตัวเมียจะไม่มีปัญหา เนื่องจากตัวเมียจะเป็นฝ่ายที่เลือกตัวผู้จากลีลาการเต้นเกี้ยวพาราสี โดยจะใช้เวลาหลายชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อมองเฟ้นหาตัวผู้ที่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นการคัดเลือกทางเพศที่มีมาตั้งแต่อดีต อีกทั้งยังมีการผสมข้ามสายพันธุ์จนได้เป็นนกพันทางอีกด้วย นกปักษาสวรรค์ กระจายพันธุ์อยู่ในป่าดิบชื้นของนิวกินี, หมู่เกาะโมลุกกะในอินโดนีเซีย และบางส่วนของออสเตรเลีย แบ่งออกได้เป็น 14 สกุล ประมาณ 40 ชนิด โดยกว่าครึ่งอยู่ในนิวกินี (บางข้อมูลจัดให้มี 15 สกุล) การศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่านกปักษาสวรรค์มีวิวัฒนาการเป็นของตัวเองมานานกว่า 24 ล้านปี จนมีความหลากหลายและความงามอย่างในปัจจุบัน วิวัฒนาการดังกล่าวเป็นการเดินทางทางชีววิทยาอันยาวนานกว่าจะแยกออกจากนกในวงศ์ใกล้เคียงกันที่สุด คือ อีกา (Corvidae) ซึ่งเป็นนกที่รู้จักเป็นอย่างดีว่าไม่สวย ในอดีต ขนของนกปักษาสวรรค์ถือเป็นเครื่องบรรณาการหรือสินค้ามีค่ามานานกว่า 2,000 ปี ขนนกใช้แทนเงินได้ การล่าจึงเกิดขึ้นอาจนับตั้งแต่การเริ่มมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในถิ่นที่อยู่ของนกในวงศ์นี้ และได้กลายมาเป็นที่ต้องการของนักสะสมชาวยุโรป ภายหลังนกปักษาสวรรค์ตัวแรกเดินทางจากดินแดนหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกไปพร้อมกับกองเรือของเฟอร์ดินันท์ แมกเจลเลน และเทียบท่าสเปนเมื่อปี ค.ศ. 1522 มีซากนกปักษาสวรรค์ที่ได้รับมอบเป็นบรรณาการกลับไปด้วย เมื่อชาวพื้นเมืองจับนกได้มักตัดขาทิ้ง ขณะนั้นชาวยุโรปยังไม่มีใครเคยเห็นนกปักษาสวรรค์ที่มีชีวิต จึงเล่าลือกันว่านกชนิดนี้ไม่มีขา คงต้องบินลงมาจากสวรรค์ อันเป็นที่มาของชื่อเรียกสามัญ ในยุคที่ตลาดค้านกปักษาสวรรค์เฟื่องฟู เพราะความต้องการขนของนกปักษาสวรรค์มาประดับตกแต่งหมวกสตรีชาวยุโรป ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ที่นิวกินีมียอดส่งออกนกชนิดนี้ถึงปีละ 80,000 ตัวต่อปี จนท้ายที่สุดมีกระแสอนุรักษ์ก็เกิดขึ้น มีการออกมาต่อต้านของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ รวมทั้งอีกหลายประเทศในยุโรปห้ามซื้อขาย ต่อมามีการออกกฎหมายห้ามล่า เมื่อจักรวรรดิอังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคมของนิวกินีในปี ค.ศ. 1908 ปัจจุบันรัฐบาลนิวกินีเองก็ได้ออกกฎหมายห้ามล่า ห้ามนำนกออกจากเกาะยกเว้นเพื่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ หรือเพื่อการเฉลิมฉลองในพิธีกรรมของชาวพื้นเมืองเท่านั้นและนกปักษาสวรรค์ยังได้ปรากฏบนมุมธงชาตินิวกินีและตราแผ่นดินของนิวกินีด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกปักษาสวรรค์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกนางนวล

นกนางนวล เป็นนกทะเลวงศ์หนึ่ง ในอันดับนกชายเลนและนกนางนวล (Charadriiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Laridae เป็นนกที่มีขนาดปานกลางจนถึงขนาดใหญ่ มีลักษณะทั่วไป คือ มีขนสีเทาหรือขาว บางชนิดมีสีดำแต้มที่หัวหรือปีก มีปากหนายาว และเท้าเป็นผังพืด เป็นนกที่มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ หากินตามชายฝั่งทะเล และบางชนิดเข้ามาหากินในแหล่งน้ำจืดบ้าง เป็นนกที่ชาวทะเลหรือนักเดินเรือให้ความนับถือ โดยถือว่า หากได้พบนกนางนวลแล้วก็แสดงว่าอยู่ใกล้แผ่นดินมากเท่านั้น พบทั่วโลก 55 ชนิด ใน 11 สกุล (ดูในตาราง) พบในประเทศไทยทั้งหมด 9 ชนิด โดยทุกชนิดถือเป็นนกอพยพหนีความหนาวจากซีกโลกทางเหนือ จะพบได้บ่อยในช่วงเปลี่ยนถ่ายฤดูกาลระหว่างฤดูฝนกับฤดูหนาว โดยสามารถบินได้เร็วในระยะทาง 170-190 กิโลเมตร/ชั่วโมง และบินตามมากันเป็นฝูง ใช้เวลากกไข่นานราว 24 วัน ลูกนกใช้เวลา 3 เดือน จึงจะบินได้เหมือนพ่อแม่ สถานที่ ๆ ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งอพยพของนกนางนวลในประเทศไทย คือ บางปู ในจังหวัดสมุทรปราการ เป็นแหล่งที่ชมนกนางนวลอพยพได้ในทุกปี โดยแต่ละครั้งจะมีจำนวนนกไม่ต่ำกว่า 5,000 ตัว อนึ่ง นกในวงศ์นกนางนวล เดิมเคยถูกจัดเป็นวงศ์ใหญ่ เคยมีนกในวงศ์อื่นถูกจัดให้อยู่ร่วมวงศ์เดียวกัน ได้แก่ Rynchopidae (นกกรีดน้ำ) และSternidae (นกนางนวลแกลบ) แต่ปัจจุบันได้ถูกแยกออกมาเป็นวงศ์ต่างหาก Harrison, Peter; Peterson, Roger Tory (1991).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกนางนวล · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกนางนวลแกลบ

นกนางนวลแกลบ (Tern) เป็นวงศ์ของนกทะเลวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Sternidae เดิมเคยถูกจัดให้เป็นวงศ์ย่อยของนกนางนวล (Laridae) มาก่อน ลักษณะโดยทั่วไปของนกนางนวลแกลบ คือ เป็นนกขนาดกลางถึงใหญ่ ปกติมีขนสีเทาหรือขาว บางชนิดมีสีดำแต้มที่หัว ปลายหางเป็น 2 แฉก นกนางนวลแกลบส่วนมากจับปลาโดยการดำน้ำลงไป แต่บางครั้งก็จับแมลงบนผิวน้ำกินเป็นอาหาร แต่ไม่ชอบว่ายน้ำเหมือนนกนางนวล นกนางนวลแกลบเป็นนกที่มีอายุยืน บางชนิดมีอายุมากกว่า 25-30 ปี โดยทั่วไปแล้วมีลักษณะเหมือนกับนกนางนวล เพียงแต่จะมีรูปร่างที่เล็กและเพรียวบางกว่า มีความหลากหลายทางสีสัน หากินอยู่ใกล้ชายทะเล และบางชนิดก็พบหากินตามริมแม่น้ำ หรือแหล่งน้ำจืดด้วย พบ 44 ชนิดทั่วโลก ในประเทศไทยพบ 16 ชนิด พบเป็นทั้งนกอพยพและนกหายากเช่นเดียวกับนกนางนวลHarrison, Peter; Peterson, Roger Tory (1991).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกนางนวลแกลบ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกแสก

วงศ์นกแสก (Barn-owl, วงศ์: Tytonidae) เป็นวงศ์ของนกล่าเหยื่อในอันดับนกเค้าแมว (Strigiformes) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Tytonidae นับเป็นวงศ์ของนกเค้าแมววงศ์หนึ่ง นอกเหนือจากวงศ์นกเค้าแมว (Strigidae) มีลักษณะทั่วไป คือ มีขนาดใหญ่กว่านกในวงศ์นกเค้าแมว ใบหน้ากลมแบน มีขนสีขาวเต็มหน้า ทำให้คล้ายรูปหัวใจ ตามีสีดำ อยู่ด้านหน้า และมีขนาดเล็กกว่าวงศ์นกเค้าแมว ปากเป็นจะงอยงุ้ม สีเหลืองเทา ชมพู หลังและปีกสีน้ำตาลอ่อน มีสีน้ำตาลเทาเป็นส่วน ๆ คอ อก ท้อง สีขาว ขาวนวล มีจุดสีน้ำตาลเข้มทั่วไป ปีกยาว หางสั้น ขนปีกและหางมีลายขวางสีเหลืองสลับน้ำตาลอ่อน ขาใหญ่ มีขนคลุมขา ตีนสีชมพู นิ้วมีเล็บยาว รูปร่างลักษณะตัวผู้และตัวเมียจะคล้ายกัน โดยตัวเมียจะโตกว่าเล็กน้อย ลำตัวตั้งตรง มีพฤติกรรมการหากินและเป็นอยู่คล้ายกับนกในวงศ์นกเค้าแมว โดยแบ่งออกได้เป็น 2 สกุล 16 ชนิด และยังมีอีก 4 สกุล ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว (ดูในตาราง) พบกระจายพันธุ์ไปในทุกทวีปทั่วโลก ในหลายภูมิประเทศ ทั้งในป่าดิบที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล จนถึงชุมชนเมืองของมนุษย์ สำหรับในประเทศไทย พบได้ 3 ชนิด คือ นกแสก (Tyto alba) นกแสกทุ่งหญ้า (Tyto capensis) และนกแสกแดง (Phodilus badius) ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า และพบได้เฉพาะในป่าเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกแสก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกแต้วแร้ว

วงศ์นกแต้วแร้ว หรือ วงศ์นกแต้วแล้ว (Pittas) เป็นวงศ์ของนกที่มีขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง จัดอยู่ในอันดับ Passeriformes เช่นเดียวกับนกกระจอก (Passeridae) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Pittidae โดยทั่วไปแล้ว นกแต้วแร้วจะมีลำตัวอ้วนสั้น มีสีสันฉูดฉาดสะดุดตาหลายสี เช่น น้ำเงิน, เขียว, แดง, น้ำตาล หรือเหลือง รวมอยู่ในตัวเดียวกัน คอและหางสั้น ขายาว มักกระโดดหรือวิ่งบนพื้นดิน เป็นนกที่ขี้อาย ขี้ตื่นตกใจ มีพฤติกรรมชอบอยู่ลำพังตัวเดียวหรือเป็นคู่ หากจะบินก็จะบินเป็นระยะสั้น ๆ หรือเตี้ย ๆ ในบริเวณที่เป็นที่อยู่อาศัย โดยมักจะอาศัยอยู่ในพุ่มไม้ นกแต้วแร้วมักอาศัยอยู่ในป่าที่มีความชุ่มชื้นหรือใกล้แหล่งน้ำ ด้วยหากินที่อยู่ในบริเวณนั้น เช่น หอยทาก, ไส้เดือนดิน หรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและสัตว์เลื้อยคลาน เป็นอาหาร โดยทั่วไปแล้วจะมีขนาดลำตัวประมาณ 15–25 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 42–218 กรัม พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทวีปแอฟริกา, อนุทวีปอินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียตะวันออก และโอเชียเนีย วางไข่ครั้งละ 6 ฟองบนต้นไม้หรือพุ่มไม้ หรือบางครั้งก็บนพื้นดิน พ่อแม่นกจะช่วยกันดูแลลูกอ่อน โดยรังจะสานจากกิ่งไม้หรือใบไม้ หรือฟางที่หาได้ มีหลายชนิดที่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน ลูกนกเมื่ออยู่รัง พ่อแม่นกจะช่วยกันดูแลและคาบอาหารมาให้ ส่วนมากเป็นแมลง บางครั้งอาจจะเป็นแมง เช่น ตะขาบ หรือสัตว์อย่างอื่น เช่น ไส้เดือนดิน แล้วแต่จะหาได้ ลูกนกเมื่อจะถ่าย จะหันก้นออกนอกรังแล้วขับถ่ายมูลออกมา ซึ่งถูกห่อหุ้มอยู่ในถุงขนาดใหญ่ พ่อแม่นกต้องคาบไปทิ้งให้ไกลจากรัง เพราะกลิ่นจากมูลลูกนกจะเป็นสิ่งที่บอกที่อยู่ให้แก่สัตว์นักล่าได้ เดิมได้รับการอนุกรมวิธานออกเพียงสกุลเดียว คือ Pitta แต่ปัจจุบันได้แยกออกเป็น 3 สกุล (ดูในตาราง) ทั้งหมดราว 31 ชนิด สำหรับนกแต้วแร้วในประเทศไทยนั้น พบทั้งหมด 12 ชนิด เช่น นกแต้วแร้วธรรมดา หรือนกแต้วแร้วสีฟ้า (Pitta moluccensis), นกแต้วแร้วป่าโกงกาง หรือนกแต้วแร้วป่าชายเลน (P. megarhyncha), นกแต้วแร้วหูยาว (Hydrornis phayrei) โดยมีชนิดที่ได้รับยการยอมรับว่าหายากและใกล้สูญพันธุ์ที่สุด คือ นกแต้วแร้วท้องดำ (H. gurneyi) ที่พบได้เฉพาะในป่าชายแดนไทยติดกับพม่าแถบอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ เท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกแต้วแร้ว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกแซงแซว

วงศ์นกแซงแซว (Drongo) ลักษณะโดยทั่วไปนกในวงศ์นี้จะมีขนสีดำ ปลายหางเป็นรูปสองแฉก บางชนิดตามีสีแดงเมื่อโตเต็มวัย ชอบอาศัยบนต้นไม้ สายตาจัดอยู่ในประเภทดีมาก กินแมลงเป็นส่วนใหญ่ หากินในที่โล่ง มักพบอยู่เป็นคู่ พบรวมกันเป็นฝูงได้ในช่วงฤดูหนาว หรือช่วงอพยพ ร้องเสียงดังฟังดูเหมือนเกรี้ยวกราด นิสัยดุร้าย สามารถเลียนเสียงนกหรือสัตว์ชนิดอื่นได้ สร้างรังอยู่ตามง่ามไม้ ทั่วโลกมีทั้งหมด 22 ชนิด พบในประเทศไทย 7 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกแซงแซว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกโพระดก

นกโพระดก เป็นนกขนาดกลาง อยู่ในวงศ์ Megalaimidae (บางข้อมูลจัดให้อยู่ในวงศ์ Ramphastidae หรือนกทูแคน ที่พบในอเมริกาใต้ โดยจัดให้เป็นวงศ์ย่อย Megalaiminae) จัดอยู่ในอันดับนกหัวขวานและนกโพระดก (Piciformes) มีลักษณะจะงอยปากหนาใหญ่ และมีขนที่โคนปาก ร้องเสียงดัง ได้ยินไปไกล ลำตัวอ้วนป้อม ส่วนหัวมีขนาดใหญ่ มีสีสันสวยงาม มีทั้งหมด 26 ชนิด พบทั่วไปในทวีปเอเชียตั้งแต่ทิเบต จนถึงอินโดนีเซีย พบมากในคาบสมุทรมลายู และเกาะสุมาตรา ทำรังในโพรงไม้ ด้วยการเจาะไม้ให้เป็นรูเหมือนกับนกหัวขวาน ซึ่งเป็นนกในอันดับเดียวกัน แต่โพรงของนกโพระดกจะมีขนาดพอดีตัวทำให้การเข้าออกรังบางทีทำได้ไม่คล่องเท่านกหัวขวาน วางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 13-15 วัน เป็นนกที่กินผลไม้เช่น ลูกโพ, ลูกมะเดื่อฝรั่ง และแมลง เป็นอาหาร สำหรับนกในวงศ์นี้ที่พบในประเทศไทยมีทั้งหมด 15 ชนิด ได้แก่Short, L. L. Horne J. F. M. (2002) "วงศ์ Capitonidae (barbets)" in del Hoyo J., Elliott A. & Christie D.A. (2004) Handbook of the Birds of the World.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกโพระดก · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกเอี้ยงและนกกิ้งโครง

วงศ์นกเอี้ยงและนกกิ้งโครง (Starlings, Mynas) เป็นวงศ์ของนกเกาะคอนในกลุ่มนกร้องเพลง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Sturnidae จัดเป็นนกขนาดเล็กถึงขนาดกลางในอันดับนี้ มีขนาดลำตัวตั้งแต่ 19-30 เซนติเมตร มีลักษณะเด่น คือ จะงอยปากค่อนข้างแบนข้างเล็กน้อย และยาวกว่าหัว รูจมูกไม่มีสิ่งปกคลุมและไม่ทะลุถึงกันเพราะมีผนังกั้น และตั้งอยู่ใกล้มุมปากมากกว่าจะงอยปากบน มุมปากไม่มีขนแข็ง จะงอยปากแข็งแรง ปลายปีกแหลม มีขนปลายปีก 10 เส้น ขนหางมี 12 เส้น ขาแข้งอ้วนสั้นปกคลุมด้วยเกล็ดชนิดเกล็ดซ้อน แข้งยาวกว่านิ้วที่ 3 รวมเล็บ บริเวณโคนนิ้วเป็นอิสระ หางสั้น บินเก่ง บินเป็นแนวตรง นกที่มีขนาดเล็ก จะมีปีกเรียวยาว ในขณะที่นกขนาดใหญ่กว่าจะมีปีกที่กว้างและมนกว่า มักมีสีขนที่เข้ม มีนิเวศวิทยาที่กระจายพันธุ์ไปในหลายพื้นที่ทั้งในป่าทึบ ภูเขา หรือแม้กระทั่งพื้นที่เปิดโล่งหรือตามชุมชนเมืองที่อยู่อาศัยของมนุษย์ มีพฤติกรรมที่เป็นที่รู้จักดีคือ อยู่รวมกันเป็นฝูง ชอบส่งเสียงร้องดัง ร้องเก่ง และสามารถเลียนเสียงต่าง ๆ ได้ แม้แต่ภาษาพูดของมนุษย์ จึงนิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง กินอาหารจำพวกแมลง เมล็ดพืช และผลไม้ สร้างรังอยู่ตามกิ่งไม้หรือบนยอดมะพร้าว ต้นปาล์ม บางชนิดทำรังอยู่ในโพรง โดยจะไม่เจาะโพรงเอง แต่จะอาศัยโพรงเก่าหรือแย่งมาจากสัตว์หรือนกชนิดอื่น มีอาณาเขตของตนเองและจะปกป้องอาณาเขต ทั่วโลกทั้งหมดราว 112 ชนิด ใน 28 สกุล (ดูในตาราง-บางข้อมูลจำแนกมี 27 สกุล) พบได้ทั้งเอเชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ ออสเตรเลียทางตอนเหนือ และนิวซีแลนด์ และยังแบ่งออกได้เป็น 2 เผ่า คือ Sturnini และMimini ในประเทศไทยพบ 16 ชนิด ชนิดที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ นกเอี้ยง (Acridotheres tristis), นกเอี้ยงหงอน (A. garndis) นกขุนทอง (Gracula religiosa) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกเอี้ยงและนกกิ้งโครง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกเดินดง

วงศ์นกเดินดง (Thrush) เป็นวงศ์ของนกเกาะคอนวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Turdidae เป็นนกทีมีขนาดเล็ก กินแมลงเป็นอาหารหลัก มีทั้งที่หากินทั้งบนต้นไม้ ยอดหญ้า และพื้นดิน ปากเรียวแหลมหัวกลม ลำตัวเพียว หางมีทั้งสั้นและยาว ตีนใหญ่แข็งแรง เกาะกิ่งไม้และกระโดดตามพื้นดินได้ดี หลายชนิดกินผลไม้ รังทำด้วยใบไม้และกิ่งไม้สานเป็นรูปถ้วยอยู่ตรงง่ามไม้และในโพรงไม้ นกในวงศ์หลายชนิดนี้ในบางข้อมูลจะจัดอยู่ในวงศ์นกจับแมลงและนกเขน (Muscicapidae) จึงมีความคล้ายคลึงกันมาก มีทั้งสิ้น 335 ชนิดทั่วโลก พบ 21 ชนิดในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกเดินดง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกเค้าแมว

วงศ์นกเค้าแมว หรือ วงศ์นกเค้าแมวแท้ (True owl, Typical owl, วงศ์: Strigidae) เป็นวงศ์ของนกล่าเหยื่อในอันดับ Strigiformes หรือนกเค้าแมว ใช้ชื่อวงศ์ว่า Strigidae ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ (อีกวงศ์หนึ่ง นั่นคือ Tytonidae ซึ่งเป็นวงศ์ของนกแสก) มีลักษณะทั่วไปที่เป็นลักษณะเด่นชัด คือ มีตากลมโตสีเหลือง และมีตาอยู่ด้านหน้า ในบางสกุลหรือบางชนิด จะมีขนหูตั้งขึ้นต่อจากคิ้ว ตาสองข้างอยู่ด้านหน้า เหนือปาก เป็นเหมือนรูปจมูก มีเส้นสีที่แสดงเขตใบหน้าอย่างชัดเจน จะงอยปากงุ้มแหลมคม ปากงุ้มแหลม ปากและขาสีเนื้อ มีเล็บนิ้วยาวสำหรับฉีกเหยื่อที่จับได้ สีขนส่วนใหญ่ของหลัง-ปีก-อก และท้อง จะเป็นสีน้ำตาล-น้ำตาลเข้ม และมีลายน้ำตาลเข้ม-ดำ อก และท้องจะมีสีอ่อน กว่าหลังและปีก หางจะไม่ยาว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ลวดลายของอกและท้องรวมทั้งสีขนจะแตกต่างกันในแต่ละชนิด นอกจากนี้แล้ว นกในวงศ์นี้ ยังสามารถหมุนคอได้เกือบรอบตัวได้ถึง 270 องศา เนื่องจากมีกระดูกสันหลังตรงคอ 14 ชิ้น ซึ่งมากกว่าสัตว์ชนิดใด ๆ ในโลก โดยมากแล้วเป็นนกที่หากินในเวลากลางคืน โดยอาหารหลักได้แก่ หนู และสัตว์ชนิดอื่น เช่น สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก เป็นต้น มีพฤติกรรมการกินอาหารที่มักกลืนเหยื่อเข้าไปทั้งตัว และจะสำรอกส่วนที่ย่อยไม่ได้เช่น กระดูกหรือก้อนขน ออกมาเป็นก้อนทีหลัง อาจมีบางชนิดที่กินปลาเป็นอาหาร มีขนาดแตกต่างกันมาก ตั้งแต่ นกเค้าเอลฟ์ (Micrathene whitneyi) ที่มีน้ำหนักเพียง 40 กรัม ความยาวลำตัวเพียง 14 เซนติเมตร ความยาวปีก 20 เซนติเมตร จนถึง นกเค้าอินทรียูเรเชีย (Bubo bubo) ที่มีความยาวปีกยาวกว่า 75 เซนติเมตร น้ำหนัก 4.20 กิโลกรัม นับเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์และอันดับนี้ ปัจจุบัน พบทั้งหมดราว 200 ชนิด แบ่งได้เป็น 25 สกุล ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว 4 (ดูในตาราง) พบได้ทุกทวีปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่บริเวณขั้วโลกเหนือ พบได้ในหลากหลายภูมิประเทศ ตั้งแต่ในป่าดิบที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 200 เมตร จนถึงชุมชนมนุษย์ในเมืองใหญ่ สำหรับในประเทศไทยพบได้ทั้งหมด 17 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกเค้าแมว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์นกเป็ดน้ำ

วงศ์นกเป็ดน้ำ (Duck, Goose, Swan, Teal) เป็นวงศ์ของสัตว์ปีก ในอันดับ Anseriformes ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anatidae ลักษณะทั่วไปของนกในวงศ์นี้ คือ เป็นนกน้ำลำตัวป้อม มีลักษณะเด่นคึอ ปากแบนใหญ่ หางสั้น มีแผ่นพังผืดยึดนิ้วเท้า จึงช่วยให้ว่ายน้ำได้ดี มีลำคอเรียวยาว เมื่อเวลาว่ายน้ำจะโค้งเป็นรูปตัวเอส ขนเคลือบด้วยไขมันกันน้ำได้เป็นอย่างดี โดยน้ำไม่สามารถเข้าไปในชั้นขนได้ ตัวเมียมีลายสีน้ำตาลไม่ค่อยสวยงาม ต่างจากตัวผู้ที่มีสีสดใสกว่าชอบลอยตัวรวมกันเป็นฝูงในแหล่งน้ำ ทั้งในแหล่งน้ำจืดและแหล่งน้ำกร่อย หาอาหารโดยใช้ปากไชจิกพืชน้ำ จับกินสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ ตามผิวน้ำ หรืออาจจะดำลงไปจับใต้น้ำ ส่วนใหญ่ทำรังตามริมน้ำด้วยพืชน้ำ บางชนิดทำรังในโพรงไม้หรือซอกกำแพง และมีพฤติกรรมจับคู่อยู่เพียงตัวเดียวไปตลอด จะเปลี่ยนคู่ก็ต่อเมื่อคู่นั้นได้ตายลง มักอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง สามารถบินได้ และบินได้ในระยะไกล ๆ หลายชนิดเป็นนกอพยพที่จะอพยพกันเป็นฝูงตามฤดูกาล โดยมากจะเป็นไปในฤดูหนาวที่อุณหภูมิลดต่ำลง มักจะบินอพยพจากซีกโลกทางเหนือลงสู่ซีกโลกทางใต้ ซึ่งอุณหภูมิอุ่นกว่า จากนั้นเมื่อถึงฤดูร้อนก็จะอพยพกลับไป และแพร่พันธุ์วางไข่ โดยนกที่อยู่ในวงศ์นี้ เป็นนกที่มนุษย์รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ เป็ด, หงส์ และห่าน ชนิดต่าง ๆ ด้วยว่าเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลินและบริโภคเนื้อและไข่เป็นอาหาร สามารถแบ่งออกได้เป็นราว 146 ชนิด ใน 40 สกุล จึงสามารถแบ่งออกเป็นวงศ์ย่อย ๆ ได้อีก 5 วงศ์ (ดูในตาราง) โดยที่พบในประเทศไทยราว 25 ชนิด เช่น เป็ดก่า (Asarcornis scutulata), เป็ดแดง (Dendrocygna javanica), เป็ดคับแค (Nettapus coromandelianus) และเป็ดหงส์ (Sarkidiornis melanotos) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์นกเป็ดน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์แพนด้าแดง

วงศ์แพนด้าแดง เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ailuridae (/ไอ-เลอ-ริ-ดี/) ซึ่งมีเพียงสัตว์ชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์นี้ คือ แพนด้าแดง ที่พบกระจายพันธุ์ในป่าตามแนวเทือกเขาหิมาลัยของเอเชียตะวันออกจนถึงเอเชียใต้ เดิมทีนักวิทยาศาสตร์ คือ จอร์จส์ คูเวียร์ ได้จัดให้แพนด้าแดงอยู่ในวงศ์เดียวกันกับแรคคูน คือ Procyonidae ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์แพนด้าแดง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์แมวน้ำ

วงศ์แมวน้ำแท้ (อังกฤษ: true seal, earless seal) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ใหญ่สัตว์ตีนครีบ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ วงศ์ Phocidae (ไม่มีใบหู) และวงศ์ Otariidae (มีใบหู) และ Odobenidae (วอลรัส).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์แมวน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส

วงศ์แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส หรือ วงศ์แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส เป็นวงศ์ของสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลัง ในชั้นไฮโดรซัว ในวงศ์ Physaliidae และสกุล Physalia มีสันฐานคล้ายกับหมวกทหารเรือหรือเรือรบของโปรตุเกสในยุคล่าอาณานิคมที่เรียกว่า "Man-of-war" มีสีฟ้าหรือสีม่วง มีหนวดยาว โดยจะลอยอยู่บนผิวหน้าของน้ำทะเล ส่วนที่ลอยโผล่พ้นน้ำของจะไม่กลมเหมือนแมงกะพรุนจำพวกอื่น ๆ แต่จะมีลักษณะเรียวรีและยาว ที่ขอบด้านบนสุดมีลักษณะเป็นสันย่น โดยส่วนหนวดที่เป็นเข็มพิษยาวที่สุดยาวได้ถึง 30 เมตร พบรายงานแล้วทั่วโลก 4 ชนิด แต่ทว่าบางข้อมูลได้จัดให้เป็นชื่อพ้องของกันและกัน แต่ทว่าในปัจจุบันได้จำแนกออกเป็น 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์แร็กคูน

วงศ์แร็กคูน (Procyonid) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Procyonidae (/โพร-ไซ-โอ-นิ-เด/) ลักษณะโดยร่วมของสัตว์ในวงศ์นี้คือ มีลำตัวสั้น มีหางยาว มีลวดลายตามลำตัวหรือใบหน้าหรือไม่มีในบางชนิด หากินได้ทั้งบนพื้นดินและต้นไม้ มักออกหากินในเวลากลางคืน กินเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก แต่ก็มีบางชนิดที่กินพืชหรือละอองเกสรดอกไม้หรือน้ำผึ้งเป็นอาหารหลัก มีฟันที่สามารถเขียนเป็นสูตรได้ว่า ทั้งหมดเป็นสัตว์ที่พบได้ในโลกใหม่ คือ ทวีปอเมริกา ทั้งอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ โดยสัตว์ในวงศ์นี้ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ แร็กคูน, คิงคาจู, โคอาที, โอลิงโก เป็นต้น เดิมสัตว์ในวงศ์นี้เคยครอบคลุมถึงแพนด้ายักษ์และแพนด้าแดงที่พบในทวีปเอเชียด้วย ด้วยความที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายคลึงกันและมีพฤติกรรมการหากินใกล้เคียงกัน แต่ทว่าเมื่อมีการศึกษาลงไปถึงระดับโมเลกุลของสารพันธุกรรม ได้แก่ การหาลำดับเบสของดีเอ็นเอ และการทดสอบเปรียบเทียบตำแหน่งของเบสในสิ่งมีชีวิตเพื่อจำแนกเป็นสายวิวัฒนาการ ทำให้ทราบว่าแพนด้าแดงมีสารพันธุกรรมที่มีความแตกต่างจากแร็กคูน และมีสายวิวัฒนาการแยกออกมาจากสายวิวัฒนาการของแร็กคูนมาเป็นเวลานานกว่า 30-40 ล้านปีแล้ว จึงได้จำแนกแพนด้าแดงออกมาจากวงศ์ Procyonidae และจัดอยู่ในวงศ์เฉพาะของตนเองคือ วงศ์ Ailuridae และในส่วนของแพนด้ายักษ์ก็ถือว่าก้ำกึ่งอยู่ระหว่างแร็กคูน, หมี และแพนด้าแดง แต่เมื่อศึกษาถึงคาริโอไทป์พบว่าแพนด้ายักษ์มีลักษณะคล้ายคลึงกับหมีมากกว่า จึงจัดให้แพนด้านั้นเป็นหมี หรืออยู่ในวงศ์ต่างหาก คือ Ailuropodidae.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์แร็กคูน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์แอกโซลอเติล

วงศ์แอกโซลอเติล (Mole salamander; วงศ์: Ambystomatidae) เป็นวงศ์ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในอันดับซาลาแมนเดอร์ (Caudata) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ambystomatidae เป็นซาลาแมนเดอร์ที่มีรูปร่างป้อมและใหญ่ ไม่มีเหงือกและไม่มีช่องเปิดเหงือก ไม่มีร่องในโพรงจมูก มีปอด ประสาทไขสันหลังมีลักษณะโครงสร้างคล้ายคลึงกับซาลาแมนเดอร์ในวงศ์ Plethodonidae แต่โครงสร้างหลายประการยังคงรูปแบบแบบโบราณอยู่ การคงรูปโครงสร้างของระยะวัยอ่อนของซาลาแมนเดอร์ในวงศ์นี้อาจเกิดขึ้นเป็นบางโอกาสหรือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยบางชนิดได้ถูกนำมาศึกษาทางวิชาการ เช่น แอกโซลอเติล (Ambystoma mexicanum) โดยถูกนำมาศึกษาการเจริญเติบโตในระยะวัยอ่อนมาก และถูกเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงด้วย โดยรวมแล้ว ซาลาแมนเดอร์วงศ์นี้มีความยาวลำตัวจรดหางประมาณ 10-30 เซนติเมตร ส่วนมากอาศัยอยู่บนพื้นดิน การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายในตัว การผสมพันธุ์ส่วนใหญ่เกิดในกลางฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิ การเกี้ยวพาราสีเกิดขึ้นในน้ำ โดยตัวผู้ไปถึงแหล่งน้ำก่อนและรอตัวเมีย ตัวผู้จะแสดงพฤติกรรมต่อหน้าตัวเมียหลายตัวและสัมผัสกับตัวเมียบางตัว ต่อจากนั้นจึงถ่ายสเปอร์มาโทฟอร์ให้ตัวเมียใช้ทวารร่วมหนีบไป ตัวเมียจะวางไข่ในอีกหลายวันต่อมา จากนั้นทั้งคู่จะแยกย้ายกันไป ก่อนจะมาผสมพันธุ์กันอีกในปีถัดมา แต่ในบางชนิดจะมีช่วงผสมพันธุ์ระหว่างฤดูใบไม้ร่วง การเกี้ยวพาราสีอยู่บนพื้นดินและวางไข่บนพื้นดิน ซึ่งรังที่ใช้วางไข่ถูกน้ำท่วมโดยฝนกลางฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิหรือจากน้ำที่เกิดขึ้นจากการละลายของหิมะ วัยอ่อนเมื่ออกจากไข่จะอาศัยอยู่ในน้ำ มีทั้งหมดประมาณ 33 ชนิด มีเพียงสกุลเดียว คือ Ambystoma พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทวีปอเมริกาเหนือ ตั้งแต่ใต้สุดของแคนาดาไปจนถึงใต้สุดของที่ราบสูงเม็กซิโก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์แอกโซลอเติล · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์แอลลิเกเตอร์

วงศ์แอลลิเกเตอร์ (Alligator, Caiman; ชื่อวิทยาศาสตร์: Alligatoridae) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับจระเข้ (Crocodylia) ที่ยังคงสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน ที่แยกออกจากวงศ์ Crocodylidae หรือวงศ์ของจระเข้ทั่วไป โดยวงศ์แอลลิเกเตอร์ปรากฏขึ้นมายุคครีเตเชียสเป็นครั้งแรก และไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงรูปร่างจากเดิมมากนักจนถึงปัจจุบันจนอาจเรียกว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตจำพวกหนึ่งก็ว่าได้ รูปร่างและลักษณะของวงศ์แอลลิเกเตอร์ จะแตกต่างจากจระเข้ในวงศ์ Crocodylidae คือ ปลายปากมีลักษณะคล้ายตัวอักษรยู (U) เมื่อหุบปากแล้วฟันที่ขากรรไกรล่างจะสวมเข้าไปในร่องของขากรรไกรบนจึงมองไม่เห็นฟันของขากรรไกรล่าง ส่วนปลายของขากรรไกรล่างซ้ายและขวาเชื่อมต่อกันเป็นพื้นที่แคบ กระดูกเอนโทพเทอรีกอยด์อยู่ห่างจากแถวของฟันที่กระดูกแมคซิลลาเป็นช่องกว้าง กระดูกพาลาทีนมีก้านกระดูกชิ้นยาวอยู่ทางด้านหน้าและยื่นเลยช่องในเบ้าตา พื้นผิวด้านบนของลิ้นมีสารเคอราติน ไม่มีต่อมขจัดเกลือบนลิ้น แบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ย่อย คือ Alligatorinae คือ แอลลิเกเตอร์อเมริกัน (Alligator mississippiensis) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด พบได้ในสหรัฐอเมริกาอย่างกว้างขวาง และแอลลิเกเตอร์จีน (A. sinensis) ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ามาก พบได้เฉพาะพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแยงซีในภาคตะวันออกของจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น และ Caimaninae ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า และเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อสามัญว่า "จระเข้เคแมน" ซึ่งพบได้ตั้งแต่อเมริกากลางจนถึงทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง เพราะมีขนาดเล็ก โดยแต่เดิมนั้น แอลลิเกเตอร์มีจำนวนสมาชิกของวงศ์มากกว่านี้ แต่ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ซึ่งปัจจุบันในสองวงศ์ย่อยนี้รวมกันแล้วมีจำนวนเพียง 8 ชนิดเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์แอลลิเกเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ใหญ่ตะพาบและเต่าจมูกหมู

วงศ์ใหญ่ตะพาบและเต่าจมูกหมู (Soft-shell turtle, Pignose turtle) เป็นวงศ์ใหญ่ของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับเต่า (Testudines) ในอันดับย่อย Cryptodira ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trionychia หรือ Trionychoidea เป็นเต่าที่มีกระดองแบนราบ ตีนทั้ง 4 ข้าง เป็นใบพาย ใช้สำหรับว่ายน้ำได้ดี มีจมูกแหลมยาว เพราะเป็นเต่าที่อาศัยและหากินในน้ำเป็นหลัก จะขึ้นมาบนบกก็ต่อเมื่ออาบแดดหรือวางไข่ในตัวเมียเท่านั้น กระจายพันธุ์ทั้งในทวีปเอเชีย, แอฟริกา, อเมริกาเหนือ และโอเชียเนีย ปัจจุบัน มีเพียง 2 วงศ์ รวมกันแล้วประมาณ 14 สกุล คือ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ใหญ่ตะพาบและเต่าจมูกหมู · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์โลมาแม่น้ำแอมะซอน

วงศ์โลมาแม่น้ำแอมะซอน (Amazon river dolphin) เป็นวงศ์ของโลมาแม่น้ำวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Iniidae (/อิน-นิ-ดี้/) ในปัจจุบันนี้มีเพียงสกุลเดียว คือ Inia (/อิน-เนีย/) ซึ่งพบได้เฉพาะในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ หลายสายในทวีปอเมริกาใต้เท่านั้น แต่ได้มีประชากรในวงศ์นี้อีกจำนวนหนึ่ง แต่ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ซึ่งพบได้ในหลายพื้นที่ เช่น ฟลอริดา, ลิเบีย และอิตาลี (ดูในเนื้อหา) โดยวงศ์นี้ถูกตั้งขึ้นชื่อ จอห์น เอ็ดเวิร์ด เกรย์ นักสัตววิทยาชาวอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1846 ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์โลมาแม่น้ำแอมะซอน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา

วงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา (วงศ์: Phasianidae) เป็นวงศ์ของสัตว์ที่จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์ปีก อันดับไก่ (Galliformes) โดยใช้ชื่อวงศ์ว่า Phasianidae ลักษณะโดยรวมของนกในวงศ์นี้ มีจะงอยปากสั้นหนาแข็งแรง ปลายแหลม มีหงอน มีเหนียง 2 เหนียง ขนหางมี 8-32 เส้น ขาแข็งแรง แต่ละข้างมีตีนนิ้วยื่นไปข้างหน้า 3 นิ้ว ข้างหลัง 1 นิ้ว นิ้วที่ยื่นไปข้างหลังอยู่สูงกว่านิ้วอื่นเล็กน้อย ตัวผู้มีเดือยข้างละเดือย กินเมล็ดพืชและสัตว์ขนาดเล็กต่าง ๆ โดยเฉพาะแมลงและหนอนบนพื้นดินเป็นอาหาร นิยมอยู่รวมกันเป็นฝูง ปีกมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับนกในวงศ์อื่น จึงทำให้ไม่สามารถบินได้ แต่จะบินได้ในระยะใกล้ ๆ เช่น บินขึ้นต้นไม้ มักอาศัยอยู่ในป่าไผ่และป่าละเมาะ มีความแตกต่างระหว่างเพศชัดเจน ตัวผู้จะมีขนาดและสีสันรวมทั้งลักษณะสวยงามกว่าตัวเมีย ไข่มีสีเปลือกทั้งขาว, สีนวล และลายประแต้มสีต่าง ๆ มีขนาดแตกต่างกันมาก ตั้งแต่ยาวเป็นเมตร จนเพียง 20 เซนติเมตร มีการกระจายพันธุ์ในหลายทวีปทั่วโลก ได้แก่ เอเชีย, ยุโรป, อเมริกาเหนือ และแอฟริกา แบ่งออกได้เป็น 4 วงศ์ย่อย (ดูได้ในตาราง) พบราว 156 ชนิด สำหรับในประเทศไทยพบทั้งสิ้น 26 ชนิด อาทิ ไก่นวล (Rhizothera longirostris), นกคุ่มญี่ปุ่น (Coturnix japonica), ไก่จุก (Rollulus rouloul), ไก่ป่า (Gullus gullus) เป็นต้น นกในวงศ์นี้ มีความผูกพันกับมนุษย์มาอย่างช้านาน ด้วยการใช้เนื้อและไข่บริโภคเป็นอาหาร อาทิ ไก่ที่เลี้ยงกันเป็นสัตว์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ก็มีต้นทางมาจากไก่ป่า หรือไข่นกกระทา ก็นำมาจากไข่ของนกคุ่มญี่ปุ่น หรือบางชนิดที่มีความสวยงามหรือโดดเด่น ก็ถูกเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม เช่น ไก่ฟ้าสีทอง (Chrysolophus pictus), นกยูง (Pavo spp.) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เพียงพอน

ระวังสับสนกับ: วงศ์พังพอน วงศ์เพียงพอน หรือ วงศ์วีเซล (weasel family, mustelid) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับสัตว์กินเนื้อวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Mustelidae (มาจากภาษาละตินคำว่า Mustela หมายถึง "เพียงพอน") ลักษณะโดยรวมของสัตว์ในวงศ์นี้ คือ มีหัวกลม ใบหูสั้นกลม ขาสั้นเตี้ย ลำตัวเพรียวยาว หางยาว มีขนที่อ่อนนุ่มและหนาทั้งตัวและหาง อุ้งเล็บตีนแหลมคม ในปากมีฟันที่แหลมคม มีฟันตัดเหมาะสมสำหรับการกินเนื้อ ซึ่งสามารถเขียนเป็นสูตรได้ว่า ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน เป็นสัตว์ที่คล่องแคล่วว่องไว ปราดเปรียว และกินอาหารได้หลากหลายไม่เลือกทั้งพืชและสัตว์ หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพียงพอน จะล่ากระต่ายกินเป็นอาหาร ทั้งที่เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า โดยทำการล่าเป็นฝูงและมุดเข้าไปลากดึงเอาถึงในโพรงจากลำตัวที่เพรียวยาว ลักษณะเด่นคือประการ คือ ส่วนมากยกเว้นนากทะเล จะมีต่อมกลิ่นใกล้กับรูทวาร ซึ่งผลิตสารเคมีที่เป็นของเหลวเหมือนน้ำมันสีเหลือง มีกลิ่นฉุนสำหรับใช้ประกาศอาณาเขตและใช้เป็นการประกาศทางเพศ และเมื่อปฏิสนธิแล้ว ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิจะยังไม่ฝังตัวเข้ากับผนังมดลูก แต่จะลอยอยู่อย่างนั้น ซึ่งอาจกินเวลานับ 10 เดือน จะฝังตัวเฉพาะเมื่อถึงฤดูกาลที่อาหารอุดมสมบูรณ์เท่านั้น ก่อนที่จะพัฒนาต่อมาเป็นตัวอ่อนและพัฒนาต่อมาจนกระทั่งคลอดออกมาในฤดูที่อาหารอุดมสมบูรณ์ อุณหภูมิอากาศพอเหมาะแก่ลูกอ่อนที่เกิดขึ้นมา ซึ่งตัวแม่จะออกลูกและเลี้ยงดูลูกไว้ในโพรงดินหรือโพรงไม้ ลูกอ่อนจะยังไม่ลืมตา และมีขนบาง ๆ ปกคลุมตัวเท่านั้น จนกระทั่งอายุได้ราว 2-3 เดือน จึงจะเริ่มหย่านม และออกมาใช้ชีวิตเองตามลำพังเมื่ออายุได้ราว 1 ปี พบกระจายพันธุ์ไปในหลายพื้นที่รอบโลก ทั้งในป่าทึบ, ที่ราบสูง, พื้นที่ชุ่มน้ำ, ชายฝั่งทะเล ตลอดจนชุมชนเมืองของมนุษย์ จนกระทั่งหลายชนิดเป็นสัตว์รังควานสร้างความเสียหายให้แก่มนุษ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เพียงพอน · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เม่นโลกใหม่

ม่นโลกใหม่ (New world porcupine, วงศ์: Erethizontidae) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) จำพวกเม่น ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Erethizontidae เม่นโลกใหม่มีสายการวิวัฒนาการเป็นของตัวเอง จึงมีลักษณะโดยทั่วไปแตกต่างจากเม่นในวงศ์เม่นโลกเก่า (Hystricidae) คือ เม่นโลกใหม่จะมีความยาวลำตัวที่สั้นกว่า คือ มีความยาวประมาณ 1 ฟุต มีส่วนหางยาวกว่า หนามแหลมตามลำตัวซึ่งเป็นเส้นขน มีความสั้นกว่า และซ่อนอยู่ใต้เส้นขนอ่อนตลอดทั้งลำตัว สามารถใช้หางนี้เกาะเกี่ยวต้นไม้ได้ มีพฤติกรรมการหากินบนต้นไม้เป็นหลัก โดยกินอาหารหลักได้แก่ ใบไม้และยอดไม้อ่อน ๆ หรือเปลือกไม้เป็นอาหาร นอกจากนี้แล้วยังกินแมลงได้อีกด้วย ลูกวัยอ่อนสามารถปีนต้นไม้ได้ตั้งแต่เกิดมาได้เพียง 2 วัน และอายุได้ราว 10 วัน ก็สามารถหาใบไม้กินเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแม่ มีฟันที่เขียนเป็นสูตรได้ว่า พบกระจายพันธุ์ในป่าฝนของซีกโลกใหม่ คือ ทวีปอเมริกาเหนือ, อเมริกากลาง และอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เม่นโลกใหม่ · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เม่นโลกเก่า

ม่นโลกเก่า (Old world porcupine) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) จำพวกเม่นวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hystricidae มีลักษณะทั่วไปตัวยาวเต็มที่ประมาณ 2 ฟุต หรือ 2 ฟุตครึ่ง ขาสั้น มีลักษณะเด่น คือ มีขนที่บริเวณหลังและช่วงท้ายลำตัวแข็งยาวเป็นหนามมีลายสลับสีขาวดำ บางอันอาจยาวได้ถึง 1 ฟุต ปลายแหลมเหมือนปลายหอกหรือลูกศร ซึ่งเอาไว้ป้องกันตัวจากศัตรูที่รุกราน ซึ่งทำให้แผลอักเสบติดเชื้อได้ เม่น เป็นสัตว์ที่หากินและอยู่อาศัยเพียงลำพังตัวเดียวหรือไม่ก็อยู่เป็นคู่ หากินในเวลากลางคืน กลางวันจะนอนหลับพักผ่อนในโพรงดินที่ขุดขึ้นมาเอง หากินรากพืชหรือผลไม้ เป็นอาหารหลัก ถ้าถูกคุกคาม เม่นจะวิ่งหนี ถ้าหากจวนตัวเมื่อไหร่จะหยุดและพองขน พร้อมกับสั่นขนให้เกิดเสียงสั่นซ่า พร้อมกับกระทืบเท้าลงพื้นดินเป็นการขู่ หากยังไม่หยุดคุกคาม เม่นจะหยุดกะทันหันหรือบางครั้งอาจจะถอยหลังวิ่งเข้าหา ซึ่งขนแหลมเหล่านี้จะปักลงไปในเนื้อของผู้รุกราน ทำให้เกิดความเจ็บปวดมาก ซึ่งแม้แต่สัตว์ใหญ่อย่าง สิงโต หากโดนขนหนามเหล่านี้แทงเข้าถูกอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ หรือปอด ทำให้ถึงแก่ความตายได้ เม่น เป็นสัตว์ที่มีกรงเล็บแหลมคมและฟันแทะที่แข็งแรงมาก ซึ่งเขียนเป็นสูตรได้ว่า ใช้สำหรับขุดโพรงดินเพื่อเป็นรังที่อยู่อาศัยและเลี้ยงดูลูกอ่อน ซึ่งในโพรง ๆ หนึ่งอาจอยู่รวมกันหลายตัว ฟันของเม่นนอกจากจะใช้กัดแทะพืชแล้ว ยังใช้แทะเขาสัตว์, โครงกระดูกสัตว์อื่นที่ตายแล้ว หรืองาช้าง เพื่อเสริมแคลเซี่ยมให้แก่ร่างกายได้ด้วย ที่แอฟริกาตะวันตกเคยมีผู้จับเม่นไปขังไว้ในหีบไม้ ปรากฏว่าพอรุ่งเช้า เม่นสามารถแทะหีบไม้นั้นทะลุเป็นรูโหว่หนีไปได้ ขนของเม่นสามารถที่จะผลัดใหม่ได้ เมื่อขนเก่าหลวม จะสลัดขนทิ้งโดยการสั่นตัว ซึ่งอาจจะพุ่งไกลไปข้างหลังได้หลายฟุต ซึ่งจากพฤติกรรมตรงนี้เองที่ทำให้เกิดความเชื่อว่า เม่นสามารถสะบัดขนใส่ศัตรู ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ ขนของเม่นนั้นเมื่อปักติดกับเนื้อของผู้ที่ถูกแทงเข้าแล้ว จะเจ็บปวดมากและดึงออกยาก เนื่องจากในเส้นขนนั้นจะมีเงี่ยงเล็ก ๆ แหลมคมจำนวนมากเหมือนตะขออยู่ด้านข้าง เมื่อปักลงเนื้อแล้วจึงถอนออกได้ยาก เพราะจะสวนทางกับเงี่ยงแหลมที่เกี่ยวติดกับเนื้อ เม่นออกลูกเป็นตัว คราวละ 2-3 ตัว เมื่อเกิดมาแล้วลูกเม่นจะสามารถลืมตาและเกือบจะเดินได้เลย แต่ขนตามลำตัวยังไม่แข็งเหมือนตัวเต็มวัย จนรอให้ถึงอายุประมาณ 90 วันเสียก่อน เม่นโลกเก่า กระจายพันธุ์อยู่ในซีกโลกที่เรียกว่า โลกเก่า คือ ทวีปเอเชีย, แอฟริกา และบางส่วนของยุโรป ในประเทศไทย พบ 2 ชนิด คือ เม่นใหญ่แผงคอยาว (Hystrix brachyura) และเม่นหางพวง (Atherurus macrourus) ซึ่งแต่เดิมเคยจัดให้ เม่นใหญ่แผงคอสั้น (Hystrix hodgsoni) มีอยู่ด้วย แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นชนิดย่อยของเม่นใหญ่แผงคอยาวไป.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เม่นโลกเก่า · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เสือและแมว

วงศ์เสือและแมว (Cat, Felid, Feline) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภท เสือ, สิงโต, ลิงซ์ และแมว โดยทั้งหมดอยู่ในอันดับสัตว์กินเนื้อ (Carnivora) โดยปรากฏครั้งแรกในสมัยโอลิโกซีน เมื่อประมาณ 30 ล้านปีก่อน ใช้ชื่อวงศ์ว่า Felidae.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เสือและแมว · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เหยี่ยวปีกแหลม

วงศ์เหยี่ยวปีกแหลม (Falconidae) ประกอบไปด้วยเหยี่ยวและคาราคาราซึ่งเป็นนกล่าเหยื่อในเวลากลางวัน มีประมาณ 60 ชนิด วงศ์นี้แบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ย่อย คือ Polyborinae ประกอบด้วย คาราคารา และเหยี่ยวป่า และ Falconinae ประกอบด้วย เหยี่ยว, เหยี่ยวเคสเตรล และ เหยี่ยวแมลงปอ.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เหยี่ยวปีกแหลม · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เหยี่ยวและอินทรี

วงศ์เหยี่ยวและอินทรี (วงศ์: Accipitridae) เป็นหนึ่งในสองวงศ์หลักของอันดับ Accipitriformes (นกล่าเหยื่อในเวลากลางวัน) นกในวงศ์มีขนาดเล็กถึงใหญ่ มีปากเป็นตะขอแข็งแรง มีสัณฐานต่างกันไปตามอาหารการกิน เหยื่อเป็นตั้งแต่แมลงถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดกลาง บางชนิดกินซากสัตว์ และสองสามชนิดกินผลไม้เป็นอาหาร วงศ์เหยี่ยวและอินทรีสามารถพบได้ทั่วโลก ยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกา บางชนิดพบได้บนหมู่เกาะ และบางชนิดเป็นนกอพยพ นกในวงศ์นี้ ประกอบไปด้วย เหยี่ยวนกเขา, อินทรี, เหยี่ยวรุ้ง, เหยี่ยวไคต์ และ แร้งโลกเก่า, เหยี่ยวออสเปรนั้นโดยปกติแล้วจะถูกวางไว้ในอีกวงศ์ (Pandionidae) รวมถึง นกเลขานุการ (Sagittariidae), และ แร้งโลกใหม่ที่ปัจจุบันได้รับการพิจารณาเป็นวงศ์และอันดับที่แยกออกไป ข้อมูลแคริโอไทป์แสดงว่า การวิเคราะห์เหยี่ยวและนกอินทรีจนบัดนี้เป็นกลุ่มจากชาติพันธุ์เดียวที่แยกกันอย่างเด่นชัด แต่ถึงกระนั้นกลุ่มนี้ควรพิจารณาวงศ์ของอันดับเหยี่ยวปีกแหลมหรือหลายอันดับแยกออกมาเป็นของตัวเอง.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เหยี่ยวและอินทรี · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เหี้ย

วงศ์เหี้ย (Monitor lizard, Goanna) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับ Squamata ใช้ชื่อวงศ์ว่า Varanidae (/วา-รา-นิ-ดี้/).

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เหี้ย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เอลิฟานติดี

วงศ์เอลิฟานติดี (อังกฤษ: Elephant) เป็นวงศ์ตามการอนุกรมวิธาน ได้แก่สัตว์จำพวกช้าง คือ ช้างและแมมมอธ ใช้ชื่อวงศ์ว่า Elephantidae เป็นสัตว์บกเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดใหญ่ที่มีงวงและงา สกุลและชนิดส่วนใหญ่ในวงศ์นี้ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว เหลือเพียงสองสกุลเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้แก่ Loxodonta (ช้างแอฟริกา) และ Elephas (ช้างเอเชีย) เท่านั้น และเหลือเพียง 3 ชนิดเท่านั้น วงศ์ดังกล่าวได้รับการตั้งชื่อโดยจอห์น เอ็ดเวิร์ด เกรย์ นักสัตววิทยาชาวอังกฤษ ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เอลิฟานติดี · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เขียดงู

วงศ์เขียดงู (Asiatic tailed caecilian, Fish caecilian; วงศ์: Ichthyophiidae) เป็นวงศ์ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกในอันดับ Gymnophiona ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ichthyophiidae มีลักษณะโดยรวม คือ มีกระดูกกะโหลกเชื่อมรวมกันมากขึ้นและไม่มีปล้องลำตัวจำนวนมากและเป็นลักษณะเด่น ประกอบด้วยปล้องลำตัวปฐมภูมิ ปล้องลำตัวทุติยภูมิ และปล้องลำตัวตติยภูมิ มีเกล็ดอยู่ในร่องปล้องลำตัวส่วนมาก ตาอยู่ในร่องของกระดูกใต้ผิวหนังแต่มองเห็นได้ชัดเจน ปากอยู่ที่ปลายสุดของหัวหรือต่ำลงมาเล็กน้อย ช่องเปิดของหนวดอยู่ระหว่างตากับช่องเปิดจมูกแต่อยู่ใกล้กับตามากกว่า ส่วนหางมีลักษณะคล้ายกับเขียดงูในวงศ์ Rhinatrematidae ที่พบในอเมริกาใต้ มีความยาวเฉลี่ยประมาณ 20-30 เซนติเมตร แต่บางชนิด เช่น Caudacaecilia nigroflava และIchthyophis glutinosus มีความยาวลำตัวประมาณ 40-50 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในโพรงดิน ตัวเมียวางไข่ในโพรงดินใกล้กับแหล่งน้ำและเฝ้าดูแลไข่จนกระทั่งตัวอ่อนออกจากไข่ ตัวอ่อนเมื่อออกจากไข่แล้วจะลงสู่แหล่งน้ำและอาศัยอยู่ในน้ำในช่วงต้นของวงจรชีวิต แบ่งออกได้เป็น 2 สกุล พบราว 37 ชนิด พบกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย เช่น อินเดีย, ศรีลังกา, เอเชียอาคเนย์, ฟิลิปปิน, มาเลเซีย, บอร์เนียว, สุมาตรา เป็นต้น ในประเทศไทยล้วนแต่พบเฉพาะในวงศ์นี้ราว 7 ชนิด เช่น เขียดงูดำ (Caudacaecilia larutensis), เขียดงูเกาะเต่า (Ichthyophis kohtaoensis), เขียดงูดอยสุเทพ (I. youngorum) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เขียดงู · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เครย์ฟิชออสเตรเลีย

วงศ์เครย์ฟิชออสเตรเลีย (Australian crayfish, Yabby) เป็นวงศ์ของครัสเตเชียนวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Parastacidae จัดเป็นกุ้งที่พบได้เฉพาะในแหล่งน้ำจืด เช่น แม่น้ำ, ลำธาร, บึง มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับเครย์ฟิชในวงศ์ Astacoidea mี่พบในทวีปอเมริกาเหนือ คือ มีเปลือกแข็งสีทึบหุ้มลำตัีวทั้งหมด ไม่มีกรี ลักษณะที่แตกต่างกันคือ ก้ามจะไม่มีหนาม และลักษณะของก้ามจะป่องออกต่างไปจากวงศ์ Astacoidea แต่มีที่หนีบสั้นและเล็กกว่า อีกทั้ง ตัวผู้จะมีอวัยวะเป็นรูปวงรีบริเวณโคนขาคู่ที่ 3 ซึ่งตัวเมียไม่มี ใช้สำหรับผสมพันธุ์และส่งผ่านสเปิร์มไปยังตัวเมีย ใช้ระยะเวลาในการผสมพันธุ์เพียง 1-2 นาที เท่านั้น หลังจากนั้นเมื่อไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว ไข่จะฟักเป็นตัวในเวลาราว 3-4 สัปดาห์ โดยตัวเมียจะอุ้มไข่ไว้ในช่องท้อง ไข่มีลักษณะวงกลมสีดำคล้ายเมล็ดพริกไทยดำ ในการผสมพันธุ์แต่ละครั้งอาจได้ลูกกุ้งมากถึง 300 ตัว ซึ่งลูกกุ้งในวัยเล็กจะยังอาศัยอยู่กับแม่ โดยกินเศษอาหารที่แม่กินเหลือ เมื่อโตขึ้นจึงค่อยแยกจากไป เป็นเครย์ฟิชที่แพร่กระจายพันธุ์เฉพาะซีกโลกทางใต้ เช่น ทวีปอเมริกาใต้ เช่น อุรุกวัย, บราซิล, ชิลี, เกาะมาดากัสการ์, ทวีปออสเตรเลีย และอิเรียนจายา เป็นต้น โดยสมาชิกที่สำคัญของวงศ์นี้ชนิดหนึ่ง คือ Astacopsis gouldi จัดเป็นกุ้งน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พบทางตอนเหนือของเกาะแทสมาเนีย มีขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยบักทึกไว้ยาว 80 เซนติเมตร น้ำหนักกว่า 5 กิโลกรัม มีอายุยืนยาวถึง 40 ปี แต่ปัจจุบันตัวที่มีน้ำหนักกว่า 2 กิโลกรัมหาได้ยาก.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เครย์ฟิชออสเตรเลีย · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เต่ามะเฟือง

วงศ์เต่ามะเฟือง (วงศ์: Dermochelyidae; Leatherback turtle) เป็นวงศ์ของเต่าทะเลวงศ์หนึ่ง ที่มีขนาดใหญ่ ใช้ชื่อวงศ์ว่า Dermochelyidae มีรูปร่างโดยรวมคือ มีลำตัวเพรียวยาว กระดองไม่มีแผ่นแข็งปกคลุมแต่มีลักษณะจำเพาะ คือ มีกระดูกรูปร่างหลายเหลี่ยมขนาดเล็กจำนวนมากกระจายอยู่ในชั้นหนังอ่อนนุ่ม กระดูกอ่อนเหล่านี้เรียงตัวเป็นแถวตามความยาวลำตัวและนูนขึ้นมาคล้ายกลีบของผลมะเฟืองอันเป็นที่มาของชื่อสามัญทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งบนหลังมีจำนวน 7 แถว และด้านท้องมี 4 แถว การหุบขากรรไกรล่างเกิดการทำงานของกล้ามเนื้อที่ผ่านไปบนก้านกระดูกโพรไอติก และขากรรไกรติดกับพื้นผิวของก้านกระดูกไพรโอติกที่อยู่ในซัยโนเวียลแคปซูล กระดองท้องไม่มีกระดูกมีโสพลาสทรอนและไม่มีกระดูกพบาสทรอน กระดูกเชิงกรานเชื่อมติดกับกระดองท้องในลักษณะที่ยืดหยุ่นได้ มีขากรรไกรที่ไม่แข็งแรงไม่สามารถขบกัดสัตว์มีกระดองให้แตกได้เหมือนเต่าทะเล ในวงศ์ Cheloniidae หรือเต่าทะเลในปัจจุบัน จึงกินได้แต่เพียงสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายอ่อนหยุ่นอย่าง แมงกะพรุนเท่านั้น อีกทั้งเป็นเต่าที่ดำรงชีวิตอยู่ในระดับน้ำที่ลึกและเย็นกว่า จึงมีการปรับปรุงร่างกายรวมทั้งใช้ความร้อนจากร่างกายที่เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อครีบใบพายเพื่อยกระดับอุณหภูมิลำตัวให้สูงกว่าอุณหภูมิของน้ำทะเล จึงมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปได้กว้างไกลกว่าเต่าทะเลทั่วไป จัดเป็นวงศ์ที่มีความใหญ่ จึงสามารถแบ่งออกเป็นวงศ์ย่อย ๆ ได้อีก 3 วงศ์ แต่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์หมดแล้ว เหลือเพียงแค่ชนิดเดรียวเท่านั้น คือ เต่ามะเฟือง (Dermochelys coriacea) ซึ่งเป็นเต่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่พบได้ในปัจจุบัน และถือเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในสกุล Dermochelys.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เต่ามะเฟือง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เต่าสแนปปิ้ง

วงศ์เต่าสแนปปิ้ง (Snapping turtle) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าขนาดใหญ่ วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chelydridae ลักษณะสำคัญของเต่าในวงศ์นี้ คือ เป็นเต่าน้ำจืดขนาดใหญ่ มีส่วนหัวและขาที่ใหญ่จนไม่สามารถหดเข้าในกระดองได้ กระดองหลังแบนและกว้าง ส่วนกระท้องท้องเล็กมาก ก้านกระดูกไปเชื่อมต่อกับขอบกระดองหลังตรึงแน่น ด้านท้ายของกะโหลกเว้ามาก หางยาว จึงเป็นเต่าที่ว่ายน้ำไม่ได้ดีนัก จึงใช้การเคลื่อนไหวด้วยการเดินใต้น้ำแทน การหุบขากรรไกรล่างเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อที่ผ่านไปบนก้านกระดูกโพรโอติก และขากรรไกรติดกับพื้นผิวของก้านกระดูกโพรโอติกที่อยู่ในซัยโนเวียลแคปซูล ขอบนอกของกระดองหลังมีร่องที่แบ่งเป็นกระดูกชิ้นเล็กจำนวน 11 คู่ กระดูกเชิงกรานเชื่อมติดกับกระดองท้องในลักษณะยืดหยุ่นได้ ซึ่งเต่าในวงศ์นี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับเต่าในวงศ์ Platysternidae หรือ เต่าปูลู ที่พบในทวีปเอเชีย ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ามาก ซึ่งในบางข้อมูลได้จัดรวมทั้ง 2 วงศ์นี้ให้อยู่ด้วยกัน แต่เป็นวงศ์ย่อยของกันและกัน เต่าสแนปปิ้ง สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 สกุล (ดูในตาราง) เป็นเต่าที่อาศัยและหากินในน้ำเป็นหลัก ด้วยวิธีการฉกเหยื่อด้วยกรามที่ทรงพลังด้วยความรุนแรงและรวดเร็ว อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ พบกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาเหนือ ถือเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะได้ปรากฏขึ้นมาเป็นโลกเป็นเวลานานถึง 90 ล้านปีแล้ว และเหลือสมาชิกที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่แค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เต่าสแนปปิ้ง · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เต่าทะเล

วงศ์เต่าทะเล (Marine turtle, Sea turtle, Modern sea turtle; ชื่อวิทยาศาสตร์: Cheloniidae) เป็นวงศ์ของเต่าในวงศ์ใหญ่ Chelonioidea หรือ เต่าทะเล ใช้ชื่อวงศ์ว่า Cheloniidae มีกระดองที่แบนและยาว เมื่อมองจากด้านหน้าทางตรงจะเห็นเป็นรูปสามเหลี่ยม ขาคู่หน้าและหลังเปลี่ยนรูปเป็นใบพายเพื่อใช้สำหรับว่ายน้ำ โดยเฉพาะขาคู่หนาที่ยาวกว่าคู่หลัง เพราะใช้ในการเคลื่อนที่ ส่วนขาคู่หลังใช้ควบคุมทิศทางเหมือนหางเสือ การหุบขากรรไกรล่างเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อที่ผ่านไปบนกระดูกโพรโอติก และขากรรไกรติดกับพื้นผิวของก้านกระดูกโพรโอติกที่อยู่ในซัยโนเวียลแคปซูล กระดูกท้องไม่มีกระดูกมีโสพลาสทรอน กระดูกพลาสทรอนที่เชื่อมต่อกับขอบนอกของกระดองหลังอาจมั่นคงหรือไม่มั่นคง ขอบนอกของกระดองหลังมีร่องที่แบ่งเป็นกระดูกชิ้นเล็กจำนวน 11 คู่ กระดูกเชิงกรานเชื่อมติดกับกระดองท้องในลักษณะยืดหยุ่นได้ เต่าทะเลจะใช้ชีวิตตลอดทั้งชีวิตอยู่ในทะเล จะขึ้นมาบนบกก็เพียงเพื่อวางไข่เท่านั้น และไม่มีพฤติกรรมผึ่งแดดเหมือนเต่าน้ำจืด อีกทั้งไม่สามารถหดหัวหรือขาเข้าไปในกระดองได้เหมือนเต่าบกหรือเต่าน้ำจืด เต่าทะเลจะวางไข่ได้เมื่ออายุถึง 25 ปี หรือมากกว่านั้น ทุกชนิดจะวางไข่บนหาดทรายที่เงียบสงบ ปราศจากแสงสี ส่งรบกวน ในเวลากลางคืน ยกเว้นในสกุล Lepidochelys ที่มีพฤติกรรมวางไข่ในเวลากลางวัน เมื่อขึ้นมาบนบกจะไม่สามารถยกตัวเองให้สูงพ้นพื้นได้ ตัวเมียจะวางไข่ได้หลายครั้ง อาจถึง 2-5 ครั้ง ภายในปีเดียว แต่ปริมาณไข่จะมากที่สุดอยู่ในช่วงฤดูสืบพันธุ์ เต่าทะเลสามารถพบได้ในทะเลและมหาสมุทรทั่วโลก ยกเว้นในแถบอาร์กติกเท่านั้น ปัจจุบันพบทั้งหมด 6 ชนิด 5 สกุล.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เต่าทะเล · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เต่าคองู

วงศ์เต่าคองู (Austro-american side-necked turtles, Snake-necked turtles) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chelidae เป็นเต่าที่อยู่ในอันดับย่อย Pleurodira หรือ เต่าที่สามารถเบนหัวไปข้างด้านข้างหรือแนวราบของลำตัวได้ มีลักษณะเด่น คือ มีขอบด้านท้ายของกะโหลกเว้ามาก มีกระดูกพาไรทัลและกระดูกสควาโมซัล ส่วนกระดูกควาดาโทจูกัลลดรูปไป การหุบปากหรือการอ้าขากรรไกรล่างเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อที่ผ่านไปบนก้านกระดูกพอเทอรีกอยด์ และขากรรไกรติดกับพื้นผิวของก้านกระดูกพอเทอรีกอยด์ซึ่งไม่มีซัยโนเวียลแคปซูล แต่มีท่อคล้ายถุงซึ่งภายในมีของเหลวและเจริญของช่องปากเข้ามาทำหน้าที่ทดแทน กระดองท้องไม่มีกระดูกมีโสพลาสทรอน แต่มีกระดูกพลาสทรอนชิ้นใหญ่เจริญไปเชื่อมต่อกับขอบนอกของกระดองหลังที่มีร่องแบ่งเป็นกระดูกชิ้นเล็กจำนวน 11 คู่ กระดูกเชิงกรานเชื่อมติดกับกระดองท้องมั่นคงและกระดูกอิเลียมไม่มีก้านกระดูกธีเลียล เต่าในวงศ์นี้มีความยาวของกระดองประมาณ 15 เซนติเมตร จนถึง 50 เซนติเมตร กระดองหลังแบนราบ ส่วนใหญ่เป็นเต่าที่อาศัยและหากินในน้ำจืดเป็นหลัก พบบางชนิดบ้างในน้ำกร่อย ในบางชนิดมีพฤติกรรมฝังตัวอยู่ใต้โคลนในฤดูแล้งคล้ายการจำศีล หลายสกุลมีคอยาวมาก กินอาหารด้วยวิธีการดูด พบทั้งหมด 10 สกุล (ดูในตาราง) ประมาณ 50 ชนิด กระจายพันธุ์ทั้งในประเทศออสเตรเลีย, เกาะนิวกินี และทวีปอเมริกาใต้ มีหลายชนิดนิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง เช่น เต่ามาตามาต้า (Chelus fimbriata), เต่าคองู (Chelodina longicollis) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เต่าคองู · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เต่านา

วงศ์เต่านา (Terrapin, Pond turtle; ชื่อวิทยาศาสตร์: Geoemydidae หรือ ในอดีตใช้ Bataguridae) เป็นวงศ์ของเต่า ที่ส่วนมากอาศัยอยู่ในน้ำทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย หรือบางส่วนอาศัยบนพื้นที่มีความชุ่มชื้นหรือชื้นแฉะ หรืออยู่บนบกแห้ง ๆ เลยก็มี เป็นเต่าที่มีกระดองทรงกลมหรือโค้งนูนเล็กน้อย กระดองท้องใหญ่ กระดูกแอนกูลาร์ของขากรรไกรล่างไม่เชื่อมติดกับกระดูกอ่อนเมคเคล กระดูกเบสิคออคซิพิทัลเป็นชิ้นกว้าง การหุบขากรรไกรล่างเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อที่ผ่านไปกระดูกโพรโอติก และขากรรไกรติดกับพื้นผิวของก้านกระดูกโพรโอติกที่อยู่ในซัยโนเวียลแคปซูล กระดองท้องไม่มีกระดูกมีโสพลาสทรอน มีกระดูกพลาสทรอนไปเชื่อมต่อกับขอบนอกของกระดองหลังที่มีร่องแบ่งเป็นกระดูกชิ้นเล็กจำนวน 11 คู่ กระดูกเชิงกรานเชื่อมติดกับกระดองท้องในลักษณะที่ยืดหยุ่นได้ เต่าในวงศ์นี้ถือเป็นวงศ์ใหญ่ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ย่อย (ดูในตาราง) มีทั้งหมด 23 สกุล พบราว 65 ชนิด แพร่กระจายพันธุ์ในทวีปยุโรปตอนใต้, เอเชียอาคเนย์, อเมริกากลาง และบางส่วนของทวีปอเมริกาใต้ ในประเทศไทยมีเต่าในวงศ์นี้มากถึง 16 ชนิด อาทิ เต่าลายตีนเป็ด (Callagur borneoensis), เต่ากระอาน (Batagur baska), เต่านา (Malayemys macrocephala และM. subtrijuga), เต่าหับ (Cuora amboinensis), เต่าดำ (Siebenrockiella crassicollis) เป็นต้น โดยเต่าชนิดที่ใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้คือ เต่าน้ำบอร์เนียว (Orlitia borneensis) ที่มีความยาวของกระดองได้ถึง 80 เซนติเมตร พบในบึงน้ำและแม่น้ำของมาเลเซียและเกาะบอร์เนียว ซึ่งเป็นเต่าชนิดหนึ่งที่ใกล้สูญพันธุ์มากแล้วชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เต่านา · ดูเพิ่มเติม »

วงศ์เต่าแก้มแดง

วงศ์เต่าแก้มแดง (Terrapin, Pond turtle, Marsh turtle) เป็นวงศ์ของเต่าวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อว่า Emydidae เป็นเต่าที่มีลักษณะคล้ายกับเต่าในวงศ์เต่านา (Bataguridae) คือ มีกระดองที่โค้งกลมเหมือนกัน กระดองท้องใหญ่เหมือนกัน ในบางสกุลจะมีบานพับที่กระดองท้อง เช่น Terrapene แต่กระดูกแอนกูลาร์ของขากรรไกรล่างไม่เชื่อมติดกับกระดูกอ่อนเมคเคล กระดูกออคซิพิทัลเป็นชิ้นแคบ การหุบขากรรไกรล่างเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อที่ผ่านไปกระดูกโพรโอติก และขากรรไกรติดกับพื้นผิวของก้านกระดูกโพรโอติกที่อยู่ในซัยโนเวียลแคปซูล กระดองท้องไม่มีกระดูกมีโสพลาสทรอน มีกระดูกพลาสทรอนไปเชื่อมต่อกับขอบนอกของกระดองหลังที่มีร่องแบ่งเป็นกระดูกชิ้นเล็กจำนวน 11 คู่ กระดูกเชิงกรานเชื่อมติดกับกระดองท้องในลักษณะที่ยืดหยุ่นได้ เป็นเต่าที่มีวงศ์ขนาดใหญ่ จึงแบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ย่อย ๆ (ดูในตาราง) มีทั้งหมด 10 สกุล ราว 50 ชนิด พบแพร่กระจายพันธุ์ในพื้นที่ชุ่มน้ำทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย ทั้งในทวีปยุโรป, อเมริกาเหนือ และบางส่วนของอเมริกาใต้ เต่าตัวผู้โดยมากจะมีขนาดเล็กกว่าตัวเมียมาก และมีความแตกต่างระหว่างเพศมาก จนเห็นได้ชัดเจน กินอาหารได้หลากหลายทั้งพืชและสัตว์ หรือบางสกุลหรือบางชนิดก็กินได้ทั้ง 2 อย่าง โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ เต่าแก้มแดง (Trachemys scripta) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "เต่าญี่ปุ่น" ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงจนกลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศไทยด้วย โดยสามารถโตเต็มที่ได้ถึง 60 เซนติเมตร และขนาดเล็กที่สุด คือ เต่าจุด (Clemmys guttata) ที่โตเต็มที่มีความยาวกระดองเพียง 10-12 เซนติเมตร เท่านั้น ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ โดยฝังไข่ไว้ในหาดทรายริมฝั่งแม่น้ำ โดยเต่าเพศเมียจะวางไข่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และลูกเต่าจะฟักเป็นตัวในช่วงปลายฤดูร้อน.

ใหม่!!: สัตว์และวงศ์เต่าแก้มแดง · ดูเพิ่มเติม »

ศักย์สนามไฟฟ้าเฉพาะที่

ักย์สนามไฟฟ้าเฉพาะที่ (local field potential ตัวย่อ LFP) เป็นสัญญาณทางไฟฟ้า-สรีรภาพที่เกิดจากกระแสไฟฟ้ารวมกันจากเซลล์ประสาทใกล้ ๆ ภายในเนื้อเยื่อประสาทในปริมาตรที่จำกัด คือ ความต่างศักย์จะเกิดข้ามปริภูมินอกเซลล์เนื่องจากศักยะงานและ Graded potential ของนิวรอนใกล้ ๆ โดยจะมีค่าหรือระดับต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับระดับการสื่อสารผ่านไซแนปส์ คำว่า ศักย์ (Potential) หมายถึงศักย์ไฟฟ้าหรือแรงดันไฟฟ้า โดยเฉพาะที่บันทึกได้ด้วยไมโครอิเล็กโทรดที่ฝังลงภายในเยื่อเซลล์ประสาทโดยปกติในสมองของสัตว์ที่ได้รับยาชา หรือภายในแผ่นเนื้อเยื่อสมองบาง ๆ ที่เลี้ยงไว้นอกกาย (in vitro).

ใหม่!!: สัตว์และศักย์สนามไฟฟ้าเฉพาะที่ · ดูเพิ่มเติม »

สกังก์

กังก์ (Skunk) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อ ที่อยู่ในวงศ์ Mephitidae สกังก์ เดิมเคยถูกจัดให้อยู่ในวงศ์เดียวกับวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) ซึ่งเป็นวงศ์ของสัตว์กินเนื้อขนาดเล็กจำนวนมาก เช่น วีเซล, มาร์เทิน, หมาหริ่ง, หมูหริ่ง, แบดเจอร์ ซึ่งสกังก์เคยถูกเป็นวงศ์ย่อยใช้ชื่อว่า Mephitinae แต่ปัจจุบันได้มีการศึกษาทางพันธุศาสตร์พบว่าสกังก์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวงศ์เพียงพอน จึงแยกออกมาเป็นวงศ์ต่างหาก.

ใหม่!!: สัตว์และสกังก์ · ดูเพิ่มเติม »

สกุลบาร์โบดีส

กุลบาร์โบดีส เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Barbodes (/บาร์-โบ-ดีส/) ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาที่พบได้ในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คำว่า Barbodes มาจากภาษาละตินคำว่า barbus หมายถึง "หนวดปลา" และภาษากรีกคำว่า oides หมายถึง "เหมือนกับ" หรือ "คล้ายกับ" มีลักษณะสำคัญ คือ เมื่อยังเป็นลูกปลาวัยอ่อนจะมีแต้มกลมเรียงกันในแนวด้านข้างลำตัว 3-5 แต้ม ซึ่งรวมทั้งแต้มบริเวณคอดหาง และมีแต้มที่จุดเริ่มต้นของครีบหลัง ก้านครีบแข็งมีขอบเป็นซี่จักรแข็ง เกือบทุกชนิดมีหนวดบนขากรรไกรบนสองคู่ ยกเว้นในบางชนิด มีเกล็ดที่มีท่อในแนวเส้นข้างลำตัว 22-32 เกล็.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลบาร์โบดีส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลบาร์โบนีมัส

กุลบาร์โบนีมัส (Tinfoil barb) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Barbonymus (/บาร์-โบ-นี-มัส/) มีลักษณะสำคัญทางอนุกรมวิธานคือ มีครีบหลังที่มีก้านครีบเดี่ยวที่ขอบจักเป็นฟันเลื่อย ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 8 ก้าน ปากล่างมีร่องระหว่างริมปากกับกระดูกขากรรไกร ฐานครีบก้นยาวประมาณร้อยละ 90 ของหัว จะงอยปากไม่มีตุ่มเม็ดสิว มีหนวด 2 คู่ โดยแบ่งเป็นริมฝีปากบน 1 คู่ และมุมปาก 1 คู่ ปลาที่อยู่ในสกุลนี้มีทั้งหมด 10 ชนิด เป็นปลาที่พบได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด สกุลนี้ได้รับการตั้งชื่อในปี ค.ศ. 1999 โดยมอริส ก็อตลา ซึ่งเป็นนักมีนวิทยาชาวสวิสที่พำนักอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยแยกออกมาจากสกุล Barbodes โดยคำว่า Barbonymus มาจากคำว่า Barbus ซึ่งเป็นสกุลหนึ่งในวงศ์เดียวกัน ที่เคยรวมกันเป็นสกุลเดียวกันก่อนหน้านั้น และคำว่า ἀνώνυμος (anṓnumos) ในภาษากรีกโบราณ ที่แปลว่า "ที่ไม่ระบุชื่อ" เนื่องจากปลาสกุลนี้ก่อนหน้านี้ขาดชื่อทั่วไปที่เหมาะสม.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลบาร์โบนีมัส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลชิมแปนซี

กุลชิมแปนซี (Chimpanzee, Bonobo, Chimp) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีวิวัฒนาการสูง ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด ในอันดับวานร เป็นลิงไม่มีหาง ใช้ชื่อสกุลว่า่ Pan มีถิ่นที่อยู่ในแถบทวีปแอฟริกาตะวันออกและแอฟริกากลางระดับเส้นศูนย์สูตร ตัวผู้จะหนักราว 110 ปอนด์ มีส่วนสูงเฉลี่ย 5 ฟุต ส่วนตัวเมียหนักราว 88 ปอนด์และสูงเฉลี่ย 4 ฟุต สามารถปีนป่ายต้นไม้ได้เป็นอย่างดี แต่ชอบที่จะหากินและอาศัยอยู่้บนพื้นดินมากกว่า ขนตามลำตัวสั้นสีน้ำตาลดำหรือเทาเข้ม แต่ที่มือและเท้าไม่มีขน รวมทั้งบริเวณใบหน้าและใบหู มีลักษณะเด่น คือ ไม่มีดั้งจมูก ขากรรไกรค่อนข้างยื่นออกมา มีฟันกรามที่พัฒนาใช้การได้ดี มีปริมาตรสมองราว 400 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีโครโมโซมจำนวน 24 คู่ และมีดีเอ็นเอร่วมกับมนุษย์ถึงร้อยละ 99.4 เนื่องจากมีบรรพบุรุษร่วมกันมา แต่ได้แยกวิวัฒนาการออกจากกันเมื่อราว 5-6 ล้านปีก่อน มีพฤติกรรมกินพืชเป็นอาหารหลัก โดยปกติเป็นสัตว์ที่รักสงบ แต่ก็มีบางครั้งที่ตัวผู้จะมีพฤติกรรมดุร้าย มักยกพวกเข้าโจมตีกัน และยังมีพฤติกรรมล่าลิงชนิดอื่น ได้แก่ ลิงโลกเก่ากินเป็นอาหารอีกด้วย เป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นครอบครัว มีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติกัน โดยมีตัวผู้เป็นจ่าฝูง ออกลูกครั้งละเพียง 1 ตัว อายุขัยโดยเฉลี่ย 40 ปี เป็นสัตว์ที่มีความเฉลียวฉลาด มีการแสดงออกทางอารมณ์คล้ายคลึงและใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด รวมทั้งกล้ามเนื้อและสรีระ ทั้งนี้เพราะระบบกล้ามเนื้อของมนุษย์และชิมแปนซีนั้นคล้ายกันมาก แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันต่อหน่วยน้ำหนักแล้ว ชิมแปนซีมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงกว่ามนุษย์ 2-3 เท่า โดยมีการศึกษาพบว่า ชิมแปนซีมีความทรงจำดีัเสียยิ่งกว่ามนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่เสียอีก และจดจำคำศัพท์ของมนุษย์ได้ถึง 125 คำ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลชิมแปนซี · ดูเพิ่มเติม »

สกุลพุนชัส

ปลาตะเพียนหน้าแดง (''Sahyadria denisonii'') ซึ่งเดิมเคยอยู่ในสกุลนี้ แต่ปัจจุบันแยกอยู่ในสกุล ''Sahyadria''Raghavan, R., Philip, S., Ali, A. & Dahanukar, N. (2013): http://www.threatenedtaxa.org/ZooPrintJournal/2013/November/o367326xi134932-4938.pdf ''Sahyadria'', a new genus of barbs (Teleostei: Cyprinidae) from Western Ghats of India. ''Journal of Threatened Taxa, 5 (15): 4932-4938.'' สกุลพุนชัส (Barb) เป็นสกุลหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีอยู่ด้วยกันมากมายหลายชนิด ใช้ชื่อสกุลว่า Puntius.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลพุนชัส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลพุนทิกรุส

กุลพุนทิกรุส เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) โดยใช้ชื่อสกุลว่า Puntigrus เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กที่พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลพุนทิกรุส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลมอดแป้ง

Tribolium เป็นกลุ่มทางอนุกรมวิธานระดับสกุล มีรายงานแล้ว 36 ชนิด แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ที่สัมพันธ์กับการแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ ได้แก่ กลุ่ม breviocornis (North and South America, 7 ชนิด) กลุ่ม confusum (Africa, 14 ชนิด) กลุ่ม alcine (Madagasca, 3 ชนิด) กลุ่ม castaneum (South and Southeast Asia, 10 ชนิด) กลุ่ม myrmecophilum (Australia, 2 ชนิด) Angelini DR, Jockusch EL (2008) Relationships among pest flour beetles of the genus Tribolium (Tenebrionidae) inferred from multiple molecular markers.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลมอดแป้ง · ดูเพิ่มเติม »

สกุลมีสทัส

กุลมีสทัส เป็นสกุลของปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลากด (Bagridae) ในอันดับปลาหนัง (Siluformes) ใช้ชื่อสกุลว่า Mystus (/มีส-ทัส/) เดิมทีสกุลนี้มิได้มีการกำหนดชนิดต้นแบบไว้ ต่อมาภายหลัง ได้มีการการกำหนดให้ Bagrus halapenesis เป็นต้นแบบ แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีนักมีนวิทยาหลายท่านได้ให้การรับรองและนำมาตั้งเป็นชื่อปลาที่ตนเองค้นพบ เช่น เค.ซี. จารายาม ในปี ค.ศ. 1977, ค.ศ. 1978 และค.ศ. 1981, มัวรีซ คอทเทเลท ในปี ค.ศ. 1985, ดับเบิลยู.อี. เบอร์เกส ในปี ค.ศ. 1989 และไทสัน โรเบิร์ตส์ ในปี ค.ศ. 1989 และค.ศ. 1992 เป็นต้น มีลักษณะโดยรวม คือ มีลำตัวยาว ผิวหนังเรียบ หัวแบน นัยน์ตาเล็ก ปากกว้าง รูปปากตัดตรง ขากรรไกรบนยาวกว่าขากรรไกรล่างเล็กน้อย ปากมีริมฝีปากโดยรอบ ฟันที่ขากรรไกรเป็นซี่เล็กละเอียด ฟันที่กระดูกเพดานเรียงเป็นแผ่นโค้งเล็กน้อย ช่องเหงือกกว้าง โดยเฉพาะด้านล่าง หนังริมกระดูกแก้มทั้งสองข้างแยกจากกันเป็นอิสระไม่ติดกับเอ็นคาง กระดูกกะโหลกบางชนิดไม่เรียบและมีร่องที่กึ่งกลางกะโหลก กระดูกท้ายทอยส่วนหลังยื่นยาวเป็นกิ่ง บางส่วนเปลือย และบางส่วนซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง มีหนวด 4 คู่ คือ หนวดขนาดเล็กและที่สั้นจมูก 1 คู่ หนวดที่ริมปากบนยาวเลยหัว 1 คู่ และมีหนวดที่คางสั้นกว่าความยาวหัว 1 คู่ ครีบหลังมีด้านครีบเดี่ยวที่ขอบจักเป็นฟันเลื่อย 1 ก้าน และครีบแขนง 6 ก้าน มีครีบไขมัน 1 ก้าน ครีบอกมีก้านครีบเดี่ยวเป็นเงี่ยงแข็งขอบจักเป็นฟันเลื่อย ปลายครีบยาวไม่ถึงฐานของครีบท้อง ครีบหางเว้าเป็นแฉกลึกแยกเป็น 2 แฉก แต่ขนาดไม่เท่ากัน โดยปลายแฉกบนในบางชนิดแยกออกมาเป็นครีบเดี่ยวที่เรียวยาวเหมือนหางเปีย ในอดีต ปลากดในสกุลมิสทัสนี้เคยรวมอยู่เป็นสกุลเดียวกันกับ Bagrus, Hemibagrus และSperata แต่ต่อมาได้มีการศึกษาเพิ่มเติมพบว่ามีความแตกต่างกันพอสมควร จึงมีการจับแยกกันในปัจจุบัน ซึ่งปลาในสกุลมีสทัสนี้ถือว่าเป็นปลาที่มีขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง ในภาษาไทยอาจเรียกชื่อสามัญได้ว่า "ปลาแขยง" พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่เอเชียใต้จนถึงเอเชียอาคเนย์ โดยในปี..

ใหม่!!: สัตว์และสกุลมีสทัส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลมดทหาร

thumb มดทหาร สกุล Aenictus เป็นมดกลุ่มที่พบในแอฟริกา, เอเชียเขตร้อน, and ควีนแลน.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลมดทหาร · ดูเพิ่มเติม »

สกุลม้า

กุลม้า หรือ สกุลลา เป็นสกุลของสัตว์ในวงศ์ Equidae ซึ่งประกอบไปด้วยม้า, ลา, และ ม้าลาย ในวงศ์ Equidae ใช้ชื่อสกุลว่า Equus เป็นเพียงสกุลเดียวที่มีชนิดในสกุลยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน มีชนิดจำนวนมากที่สูญพันธุ์ไปแล้วหรือเป็นซากดึกดำบรร.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลม้า · ดูเพิ่มเติม »

สกุลยาสุฮิโกทาเกีย

กุลยาสุฮิโกทาเกีย เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Yasuhikotakia (/ยา-สุ-ฮิ-โก-ทา-เกีย/) มีรูปร่างโดยรวม คือ มีลำตัวยาว แบนข้าง คอดหางใหญ่ มีหนังหนาคลุมเกล็ดมิด มีเขี้ยวพับเก็บได้ในร่องบริเวณด้านหน้าของตา ปากเล็กยื่นแหลมมีหนวด 3 คู่ รอบปาก ปลาในสกุลนี้ เดิมเคยจัดอยู่ในสกุล Botia แต่ในปี ค.ศ. 2002 ดร.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลยาสุฮิโกทาเกีย · ดูเพิ่มเติม »

สกุลรัสบอร่า

กุลรัสบอร่า เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ซึ่งตั้งชื่อโดย ปีเตอร์ บลีกเกอร์ ในปี ค.ศ. 1859 ใช้ชื่อสกุลว่า Rasbora (/รัส-บอ-รา/) มีลักษณะโดยรวม คือ ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยว 1 ก้าน และก้านครีบแขนง 7 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแขนง 5 ก้าน ปากแคบ มีปุ่มในปากล่าง ไม่มีหนวด และจุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่กึ่งกลางลำตัว มีการกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในแหล่งน้ำของทวีปแอฟริกา, ทวีปเอเชีย พบตั้งแต่เอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงเอเชียตะวันออก มีสมาชิกในสกุลนี้จำนวนมาก โดยในประเทศไทยจะเรียกปลาในสกุลนี้รวม ๆ กันว่า "ปลาซิว" มีอยู่หลายชนิด สำหรับในประเทศไทย ปลาที่ได้ชื่อว่าปลาซิว คือ ปลาที่อยู่ในสกุลนี้มากที่สุด มีความสำคัญต่อมนุษย์ในแง่ของการใช้บริโภคกันในท้องถิ่นและการเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม โดยอาจเรียกทับศัพท์ตามชื่อวิทยาศาสตร์ไปว่า รัสบอร่า โดยรวบรวมปลาได้จากการจับทีละมาก ๆ จากธรรมชาติและเพาะขยายพันธุ์ได้เองในที่เลี้ยง อีกทั้งยังถือเป็นห่วงโซ่อาหารเบื้องต้นตามธรรมชาติอีกด้วย เนื่องจากปลาในสกุลนี้มีขนาดเล็กและกินพืชเป็นอาหาร จึงมักตกเป็นอาหารของปลาและสัตว์น้ำขนาดใหญ่กว่าเสมอ แต่ในปัจจุบัน ได้มีการแบ่งแยกเป็นสกุลใหม่ ได้แก่ Kottelatia 1 ชนิด, Boraras 5 ชนิด, Breviora 2 ชนิด, Microrasbora 7 ชนิด และ Trigonostigma 4 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลรัสบอร่า · ดูเพิ่มเติม »

สกุลลาบิโอบาร์บุส

ลาบิโอบาร์บุส เป็นสกุลของปลาสร้อยจำพวกหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) โยฮัน กุนราด ฟัน ฮัสเซิลต์ ได้ตั้งสกุลนี้ขึ้นเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และสกุลลาบิโอบาร์บุส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลลาเบโอ

กุลลาเบโอ เป็นสกุลของปลาน้ำจืดที่อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) โดยมีลักษณะที่สำคัญคือ ลำตัวยาว แบนข้างมากในบางชนิด บางชนิดแบนข้างน้อย จะงอยปากยื่นยาว บางชนิดจะงอยปากทู่ บางชนิดจะงอยปากแหลม ส่วนใหญ่ปลายจะงอยปากจะปกคลุมด้วยรูเล็ก ๆ และตุ่มเม็ดสิวเล็ก ๆ ใต้จะงอยปากมีติ่งเนื้อยื่นออกมาทั้งสองข้างอยู่หเนือขากรรไกรบน ริมฝีปากบนและล่างหนา หนวดที่ปลายจะงอยปากมักยาวกว่าหนวดที่มุมปากบน แต่ไม่ยาวมากนัก ความยาวของหนวดเมื่อเทียบกับเส้นผ่าศูนย์กลางตาแล้วมีขนาดใกล้เคียงกัน ครีบท้องยาวกว่าส่วนหัว ก้านครีบเดี่ยวของครีบหลังมีขอบเรียบและไม่เป็นหนามแข็ง ครีบหลังมีก้านครีบแขนง 10-12 ก้าน มีขนาดแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่มีขนาดไม่ถึงหนึ่งฟุตจนถึงเกือบ ๆ หนึ่งเมตร มักหากินโดยแทะเล็มตะไคร่น้ำ, สาหร่าย หรืออินทรียสารต่าง ๆ บริเวณโขดหินหรือใต้ท้องน้ำ พบทั้งทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา พบแล้วมากกว่า 100 ชนิด นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามและรับประทานเป็นปลาเศรษฐกิจ โดยที่ปลาสกุลนี้มีความใกล้เคียงกับสกุล Epalzeorhynchos มาก โดยที่หลายชนิด เช่น L. chrysophekadion ก็ใช้ชื่อสกุล Epalzeorhynchos เป็นชื่อพ้องด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลลาเบโอ · ดูเพิ่มเติม »

สกุลลิงซ์

ำหรับลิงซ์ในความหมายอื่น ดูที่: Lynx ตะกูลลิงซ์ (Lynx, Bobcat) เป็นตะกูลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อสกุลหนึ่ง จัดเป็นเสือขนาดเล็ก ใช้ชื่อสกุลว่า Lynx อยู่ในวงศ์เสือและแมว (Felidae) คำว่า Lynx ที่ใช้เป็นชื่อสกุล มีที่มาจากภาษาอังกฤษกลาง ที่มาจากภาษากรีกคำว่า "λύγξ" หรือมาจากรากศัพท์ภาษาอินโด-ยูโรเปียนคำว่า "ลุก" หมายถึง "แสงสว่าง" ซึ่งหมายถึงตาของลิงซ์ที่แวววาว ลิงซ์ มีลักษณะทั่วไปเหมือนแมวในสกุล Felis ทำให้ครั้งหนึ่งมีการพิจารณาว่า ควรมีสกุลเป็นของตนเองหรือไม่ หรือแค่จัดเป็นสกุลย่อยของสกุล Felis แต่ปัจจุบันได้ยอมรับว่าเป็นสกุลของตนเอง โดย จอห์นสัน และคนอื่น ๆ รายงานว่า ลิงซ์ได้มีเครือบรรพบุรุษร่วมกับ เสือพูม่า, แมวดาว และเชื้อสายของแมวบ้าน เมื่อ 7.15 ล้านปีมาแล้ว และลิงซ์ได้แยกตัวออกมาเป็นกลุ่มแรก เมื่อประมาณ 3.24 ล้านปีก่อน ลักษณะเด่นของลิงซ์ คือ มีขนที่หนาและปุกปุยกว่าตั้งแต่หางตาตลอดจนแก้ม มีจุดเด่น คือ ขนปลายหูที่เป็นพู่แหลมชี้ตั้งขึ้นตรง ลำตัวมีความยาวประมาณ 2 ฟุตครึ่ง แต่มีส่วนหางที่สั้นไม่สมมาตรกับลำตัว อุ้งเท้ามีขนาดกว้างใหญ่ ทำให้เดินบนหิมะและน้ำแข็งได้อย่างสะดวก ลิงซ์มีอุปนิสัยชอบลับเล็บกับต้นไม้ เหมือนกับสัตว์ในวงศ์นี้ทั่วไป ลิงศ์เป็นสัตว์ที่กินเนื้อได้หลากหลาย ตั้งแต่สัตว์เล็กเช่น นก, หนู, กระต่าย จนกระทั่งสัตว์ขนาดใหญ่กว่า เช่น ลูกวัว และลูกแกะ เป็นต้น ลิงซ์ กระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ทวีปเอเชียตอนเหนือและตอนกลาง, ทวีปยุโรป และอเมริกาเหนือ โดยอนุกรมวิธานออกเป็นชนิดได้ทั้งหมด 4 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลลิงซ์ · ดูเพิ่มเติม »

สกุลวูลเปส

กุลวูลเปส (Fox, True fox) เป็นสกุลของหมาจิ้งจอกสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Vulpes จัดได้ว่าเป็นหมาจิ้งจอกแท้ ๆ ซึ่งคำว่า "Vulpes" เป็นภาษาลาตินหมายถึง "หมาจิ้งจอก" สกุลวูลเปส นับเป็นสกุลที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดของหมาจิ้งจอก คือ มีทั้งหมด 12 ชนิด โดยมี หมาจิ้งจอกแดง (Vulpes vulpes) เป็นต้นแบบของสกุล พบกระจายพันธุ์ไปแทบทุกส่วนของโลก ทั้ง ป่า, ชายป่าใกล้ชุมชนมนุษย์, ทะเลทราย, ที่ราบสูง หรือแม้กระทั่งขั้วโลกเหนือ.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลวูลเปส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลสหยัดเรีย

กุลสหยัดเรีย เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Sahyadria ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) คำว่า Sahyadria มาจากคำว่า "Sahyadri" (สหยัดรี) ซึ่งเป็นชื่อท้องถิ่นของเทือกเขาเวสเทิร์นกาตส์ ในภาคตะวันตกของอินเดีย ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของปลาในสกุลนี้ จัดเป็นปลาที่พบได้เฉพาะถิ่น ปัจจุบัน จำแนกออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่Raghavan, R., Philip, S., Ali, A. & Dahanukar, N. (2013): Journal of Threatened Taxa, 5 (15): 4932-4938.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลสหยัดเรีย · ดูเพิ่มเติม »

สกุลหมูป่าหน้าหูด

กุลหมูป่าหน้าหูด สัตว์กีบคู่จำพวกหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Phacochoerinae และสกุล Phacochoerus ในวงศ์หมู (Suidae) หมูป่าหน้าหูด มีลักษณะแตกต่างจากหมูป่าทั่วไปอย่างเห็นได้ชัดเจน คือ มีลักษณะตัวโต หน้าแบนกว้าง ตาเล็ก มีจุดเด่นคือใต้ตาทั้งสองข้างมีก้อนเนื้อคล้ายหูดขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ มีเขี้ยวโง้งออกมานอกปากเห็นชัดเจน ซึ่งเขี้ยวนี้จะใหญ่กว่าหมูป่าทั่วไป ประโยชน์ของการมีหูดนี้คือ ช่วยป้องกันใบหน้าและดวงตาเมื่อต่อสู้กัน อีกทั้งยังเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่างเพศอีกด้วย โดยในตัวผู้จะมีทั้งหูดและเขี้ยวโง้งยาวกว่าตัวเมีย เขี้ยวของตัวผู้จะมีเขี้ยวด้านบนถึงสองเขี้ยว มีความยาวได้ถึง 20 เซนติเมตรNovak, R. M. (editor) (1999).

ใหม่!!: สัตว์และสกุลหมูป่าหน้าหูด · ดูเพิ่มเติม »

สกุลออรีเซียส

กุลออรีเซียส เป็นสกุลของปลาในวงศ์ปลาซิวข้าวสาร (Adrianichthyidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Oryzias (/ออ-รี-เซียส/) โดยมาจากภาษากรีกคำว่า ὄρυζα ซึ่งแปลว่า "ข้าว" อ้างอิงมาจากสถานที่ค้นพบครั้งแรก คือ นาข้าว มีลักษณะสำคัญ คือ ขากรรไกรไม่ยืดหด ฐานด้านบนของครีบอกอยู่ใกล้แนวสันหลังของลำตัว ครีบหลังอยู่ใกล้ครีบหาง ครีบก้นมีฐานยาว ครีบหางมีปลายกลมมน เป็นปลาที่เก็บไข่ไว้ใต้ครีบอก มีความยาวประมาณ 6-7 เซนติเมตร ขนาดเต็มที่ไม่เกิน 9 เซนติเมตร โดยพบในแหล่งน้ำที่มีพรรณไม้น้ำมากมาย โดยมากพบในอุณหภูมิประมาณ 28 เซนติเมตร บ่อยครั้งที่พบในแหล่งน้ำที่มีค่าแร่ธาตุคาร์บอเนต และมีค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ประมาณ 7.5 และอาจพบได้ในน้ำกร่อยได้ด้วย มีการกระจายพันธุ์ที่ค่อนข้างกว้างตั้งแต่ประเทศอินเดียจนถึงญี่ปุ่น, เกาะสุลาเวสี, คาบสมุทรอินโดจีนจนถึงออสเตรเลีย ปัจจุบันพบแล้วประมาณ 32 ชนิด เป็นการพบได้ในประเทศไทย 6 ชนิด หน้า 26-27, สกุล Oryzias ปลาข้าวสาร โดย สุริศา ซอมาดี.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลออรีเซียส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลทิลาเพีย

กุลทิลาเพีย เป็นสกุลของปลาน้ำจืด ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichildae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tilapia (/ทิลาเพีย/).

ใหม่!!: สัตว์และสกุลทิลาเพีย · ดูเพิ่มเติม »

สกุลดีอานีม่า

กุลดีอานีม่า เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ในวงศ์ปลาแพะ (Callichthyidae) ซึ่งเป็นปลากระดูกแข็งในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) โดยใช้ชื่อสกุลว่า Dianema มีรูปร่างเรียวยาวเป็นทรงกระบอก ส่วนหัวแหลม ปากแบนเล็ก มีหนวดบนปากสองเส้นและข้างปากอีกสองเส้น และริมฝีปากอีก 4 เส้น ใช้ในการสัมผัสหาอาหาร ลำตัวมีผิวหนังที่พัฒนาเป็นเกราะแข็งใช้สำหรับป้องกันตัว ส่วนหัวมีจุดสีดำกระจัดกระจายไปทั่ว มีแถบสีดำในแนวนอนลากยาวตั้งแต่จมูกจรดแผ่นปิดเหงือก ดวงตาอยู่ตรงขนานกับปาก ปลาตัวผู้มีหนามแข็งเล็ก ๆ ที่ก้านครีบอก ปลาตัวเมียมีลักษณะอ้วนป้อมกว่าหากมองจากด้านบน ตัวเมียเมื่อไข่สุกท้องจะขยายใหญ่ วางไข่ได้ถึงครั้งละ 500 ฟอง โดยปลาตัวผู้จะเป็นผู้ดูแลไข่ที่วางในหลุมพื้นน้ำที่ขุดขึ้น เป็นปลาขนาดเล็ก มีขนาดประมาณ 10-12 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำที่มีกระแสน้ำไหลเอื่อย ๆ ไม่แรงเชี่ยว มีใบไม้หรือพืชน้ำทับถมกัน น้ำมีความเป็นกรดเล็กน้อย (pH ต่ำกว่า 7 ลงมาเล็กน้อย) ซึ่งมักเป็นแหล่งน้ำตื้น ๆ ไหลคดเคี้ยวในป่าดิบชื้น หากินเศษอาหารตามพื้นน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็ก แบ่งออกได้เป็น 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลดีอานีม่า · ดูเพิ่มเติม »

สกุลคองโกโครมิส

กุลคองโกโครมิส เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Congochromis (/คอง-โก-โคร-มิส/) จัดเป็นปลาหมอแคระสกุลหนึ่ง เป็นสกุลใหม่ที่เพิ่งถูกตั้งชื่อมาในปี ค.ศ. 2007 เดิมเคยจัดให้อยู่ในสกุล Nanochromis ลักษณะโดยทั่วไป คือ มีขนาดเล็กกว่าปลาในสกุล Nanochromis มีลำตัวป้อมกว่า ตาไม่ปูดโปนทำให้ทรงหัวดูมนกลม มีพฤติกรรมหากินบริเวณพื้นน้ำ อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง มีลักษณะการว่ายน้ำที่ประหลาด พบกระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกาตอนกลาง แถบลุ่มแม่น้ำคองโก ได้แก่ แคเมอรูน, ซาอีร์, แอฟริกากลาง เป็นต้น แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลคองโกโครมิส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลซิสทูรา

กุลซิสทูรา เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ในวงศ์ปลาค้อ (Balitoridae) ใช้ชื่อสกุลว่า Schistura (/ซิส-ทู-รา/) เดิมทีปลาในสกุลนี้เคยอยู่รวมอยู่ในสกุล Nemacheilus เป็นปลาที่มีเกล็ดเล็กละเอียด มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นต้องใช้แว่นขยาย ครีบหลังมีก้านครีบแขนง 8 ก้าน มีหนวด 3 คู่ ที่จะงอยปาก 2 คู่ และมุมปาก 1 คู่ มีลำตัวยาวและแบนข้าง หัวกลมมน จะงอยปากสั้นทู่ ปากเล็กอยู่ใต้จะงอยปาก ริมฝีปากล่างมีเอ็นคั่นตรงกลาง รูก้นอยู่ใกล้ครีบก้นมากกว่าครีบท้อง ตามีขนาดเล็ก ลำตัวมีลายเป็นปล้อง ๆ สีดำหรือสีน้ำตาล พื้นลำตัวมักมีสีเขียวหรือสีน้ำตาล มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 12 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำลำธารที่น้ำมีอุณหภูมิค่อนข้างเย็นประมาณ 18-26 องศาเซลเซียส เช่น น้ำตกบนภูเขาหรือป่าดิบชื้น หากินในเวลากลางคืน มีพฤติกรรมอยู่รวมเป็นฝูง หากินอาหารจำพวก แมลงน้ำและแทะเล็มตะไคร่น้ำ ปัจจุบันพบแล้วราว 200 ชนิด แต่จำนวนนี้ก็ยังไม่นิ่ง ด้วยการค้นพบใหม่ขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี กระจายพันธุ์ตั้งแต่อินเดียจนถึงเวียดนาม, ตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัย จนถึงมาเลเซียภาคตะวันตก เช่น รัฐปะลิส พบในประเทศไทยราว 30 ชนิด ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วด้วยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลซิสทูรา · ดูเพิ่มเติม »

สกุลซีสโทมัส

กุลซีสโทมัส เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Systomus (/ซีส-โท-มัส/) เป็นปลาพื้นเมืองที่พบได้ในเขตร้อนของทวีปเอเชีย เป็นปลาที่มีขอบท้ายก้านครีบแข็งของครีบหลังมีซี่จักรแข็งแรง ริมฝีปากเรียบบาง มีหนวดที่ริมฝีปากบนสองคู่ เกล็ดในแนวเส้นข้างลำตัวพัฒนาเป็นท่อสมบูรณ์จำนวนระหว่าง 27-34 เกล็ด เกล็ดบนลำตัวแต่ละเกล็ดมีฐานเกล็ดสีดำ แลดูเหมือนลายตามยาวจาง ๆ มีแต้มกลมรี ตามแนวยาวที่ฐานครีบหาง หลายชนิดมีจุดกลมสีดำบริเวณจุดเริ่มต้นของครีบหลัง มักพบแถบสีดำบริเวณขอบบนและล่างของครีบหาง หน้า 68, ตะเพียน Update, "คุยเฟื่องเรื่องปลาไทย" โดย อ.ชัยวุฒิ กรุดพันธุ์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลซีสโทมัส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลปลาชาร์

กุลปลาชาร์ (Salvelinus) เป็นสกุลปลาในวงศ์ปลาแซลมอน บางสปีชีส์ถูกเรียกว่า "ปลาเทราต์" กระจายพันธุ์อยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือ สายพันธุ์ปลาในสกุลนี้ส่วนใหญ่เป็นปลาน้ำเย็นและอาศัยอยู่ในน้ำจืด แต่ก็มีบางสปีชีส์ที่อาศัยอยู่ในทะเล ปลาชาร์ส่วนมากจะมีสีครีมอ่อน, ชมพู หรือมีจุดแดงแต้มตามลำตัวสีมืด มีขนาดตัวเล็กเมื่อวัดจากเส้นข้างลำตัว มีครีบอก, ครีบเชิงกราน, ครีบหาง และครีบส่วนหลังเป็นสีขาวหิมะหรือสีครีบบริเวณปล.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลปลาชาร์ · ดูเพิ่มเติม »

สกุลปลาวัวปิกัสโซ

กุลปลาวัวปิกัสโซ (Picasso triggerfish) เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งน้ำเค็มสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาวัว (Balistidae) อันดับปลาปักเป้า (Tetraodontiformes) ใช้ชื่อสกุลว่า Rhinecanthus (มาจากภาษากรีก rhinos หมายถึง "จมูก" และ akantha หมายถึง "หนาม" หรือ"เงี่ยง") มีชื่อสามัญเรียกรวม ๆ กันว่า "ปลาวัวปิกัสโซ" ขณะที่ในภาษาฮาวายจะเรียกปลาวัวสกุลนี้ว่า Humuhumu (ฮูมูฮูมู) หมายถึง "ปลาวัวที่มีหน้าคล้ายหมู" อันเนื่องจากมีส่วนหน้าที่ยื่นยาวออกมาเหมือนหมู ปากมีขนาดเล็ก ฟันแหลมคม และตามลำตัวมีลวดลายและสีสันต่าง ๆ สวยงาม ทั้ง สีดำ, สีฟ้า, สีเหลือง บนพื้นลำตัวสีขาวหรือสีส้ม มีขนาดยาวเต็มที่ประมาณ 25-30 เซนติเมตร กระจายพันธุ์อยู่ในแนวปะการัง ของแถบอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่ฮาวาย จนถึงอินโดนีเซีย จัดเป็นปลาวัวที่ไม่ดุร้ายมากนักเมื่อเทียบกับสกุลอื่น ๆ ประกอบกับสีสันที่สวยงาม จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ก็สามารถกัดให้ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลปลาวัวปิกัสโซ · ดูเพิ่มเติม »

สกุลปลาหัวโต

กุลปลาหัวโต (Silver carp, Bighead carp) เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืด 3 ชนิด ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาที่ต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีนแถบแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำสาขา ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลปลาหัวโต · ดูเพิ่มเติม »

สกุลปลาทองทะเล

ปลาทองทะเล เป็นสกุลของปลาทะเลขนาดเล็กที่อยู่ในสกุล Pseudanthias ในวงศ์ย่อย Anthiinae ของวงศ์ปลากะรัง หรือปลาเก๋า (Serranidae) เป็นปลาขนาดเล็กมีสีสันและลวดลายสดใส พบได้ในแนวปะการังของมหาสมุทรอินเดีย และแถบอินโด-แปซิฟิก จึงเป็นที่นิยมของนักประดาน้ำและการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม หลายชนิดจัดเป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลปลาทองทะเล · ดูเพิ่มเติม »

สกุลปลาปักเป้าตุ๊กแก

กุลปลาปักเป้าตุ๊กแก เป็นสกุลของปลาน้ำกร่อยและน้ำเค็มจำพวกหนึ่ง ในอันดับปลาปักเป้า วงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Chelonodon (/ซี-ลอน-โอ-ดอน/) มีลักษณะที่สำคัญทางอนุกรมวิธาน คือ ครีบหลังอยู่ใกล้กับครีบหาง มีก้านครีบแขนง 9-16 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแขนง 8-15 ก้าน เยื่อจมูกยื่นออกมาเป็นแผ่น ใต้ครีบหลังและโคนหางมีจุดสีดำขนาดใหญ่ 1 จุด พบทั้งหมด 3 ชนิด ทั้งหมดเป็นปลาน้ำเค็มหมด และเป็นปลาที่ปรับตัวให้อาศัยอยู่ได้ในน้ำจืดและน้ำกร่อยเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลปลาปักเป้าตุ๊กแก · ดูเพิ่มเติม »

สกุลปลาแพะ

กุลปลาแพะ (Corydorases, Corie, Cory) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาแพะ (Callichthyidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Corydoras (/คอ-รี่-ดอ-เรส/) เป็นปลาขนาดเล็ก มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 5-9 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้ตั้งแต่ เวเนซุเอลา, เปรู, บราซิล, เอกวาดอร์, ตรินิแดดและโตเบโก ไปตลอดจนแนวเทือกเขาแอนดีส มีจำนวนสมาชิกไม่แน่นอน เนื่องจากค้นพบชนิดใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี แต่ ณ ปัจจุบัน มีมากกว่า 100 ชนิดแล้ว นับว่าเป็นสกุลที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในวงศ์นี้ นับเป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม หลายชนิดสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ ทั้งง่ายและยาก เป็นปลาที่หากินอยู่กับหน้าดิน และอยู่รวมกันเป็นฝูง กินอาหารได้แก่ ไส้เดือนน้ำ และหนอนแดง อยู่ในน้ำที่มีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ไม่เกิน 7 โดยชนิดที่นิยมเลี้ยง เช่น ปลาแพะเขียว (C. aeneus), ปลาแพะทรีลิเนียตัส (C. trilineatus), ปลาแพะสเตอร์ไบ (C. sterbai), ปลาแพะแพนด้า (C. panda), ปลาแพะพลิคาเรอัส (C. duplicareus) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลปลาแพะ · ดูเพิ่มเติม »

สกุลปลาไบเคอร์

กุลปลาไบเคอร์ หรือ สกุลปลาบิเชียร์ (Bichir, Dinosaur eel) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดกระดูกแข็งสกุลหนึ่ง ในชื่อสกุลว่า Polypterus อยู่ในวงศ์ปลาไบเคอร์ (Polypteridae) จัดเป็นปลาที่มีวิวัฒนาการเป็นของตัวเอง ต่างจากปลากระดูกแข็งในวงศ์อื่น ๆ มีรูปร่างคลัยกับงูหรือกิ้งก่า ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานมากกว่าจะเป็นปลา มีเกล็ดขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจนเป็นแบบกานอยด์ หรือเกล็ดแบบสาก และสามารถหายใจได้โดยผ่านถุงลมแทนที่จะใช้ซี่กรองเหงือกเหมือนปลาในวงศ์อื่น ๆ มีครีบทุกครีบที่แข็งแรงและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งใช้ในการเคลื่อนที่ใต้น้ำได้เป็นอย่างดี โดยมักจะหากินใต้น้ำ ในเวลากลางคืน กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในทวีปแอฟริกาทั้งแหล่งน้ำจืด และบริเวณที่เป็นน้ำกร่อย เช่น ปากแม่น้ำ ปลาไบเคอร์ ชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ ปลาไบเคอร์ยักษ์ (Polypterus endlicheri congicus) ซึ่งเป็นชนิดย่อยของปลาไบเคอร์คองโก (P. endlicheri) ที่เมื่อโตเต็มที่แล้วจะมีขนาดความยาวได้ถึงเกือบ 90 เซนติเมตร ปลาไบเคอร์ทุกชนิดเป็นปลากินเนื้อเป็นอาหาร โดยจะกินอาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็ก เช่น ปลาต่าง ๆ เป็นอาหาร แต่ไม่ใช่เป็นปลาที่ดุร้ายก้าวร้าว จึงนิยมนำมาเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ตัวผู้จะมีครีบก้นที่ยาวแหลมกว่า และมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่าปลาตัวเมียอย่างเห็นได้ชัด ปลาไบเคอร์ทุกชนิดออกลูกเป็นไข่ โดยในครั้งนึงจะออกประมาณ 300 ฟอง และตัวอ่อนจะออกจากไข่ภายในระยะเวลา 4 วัน นับจากแม่ปลาวาง.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลปลาไบเคอร์ · ดูเพิ่มเติม »

สกุลนกกระตั้วดำ

ำหรับนกกระตั้วดำอีกชนิด ดูที่: นกกระตั้วดำ นกกระตั้วดำ (Black cockatoo, Dark cockatoo) เป็นสกุลของนกปากขอขนาดใหญ่ ในวงศ์นกกระตั้ว (Cacatuidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Calyptorhynchus สกุลนี้บรรยายทางวิทยาศาสตร์โดยนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส อองเซลเม่ เกต็อง เดมาไรซ์ ในปี ค.ศ. 1826 พบทั้งหมด 5 ชนิด ทั้งหมดส่วนใหญ่มีขนสีทึบทึมเช่น สีเทา หรือสีน้ำตาลเข้ม และการอนุกรมวิธานจะพิจารณาตามตามขนาดและบางส่วนของขนขนาดเล็กสีแดง, สีเทา และสีเหลืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขนหาง จัดได้ว่ามีลักษณะทางพันธุกรรมที่ใกล้เคียงกับนกกระตั้วแก๊ง-แก๊ง (Callocephalon fimbriatum) และนกคอกคาเทล (Nymphicus hollandicus) ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ามาก ถือได้ว่าเป็นสกุลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของนกกระตั้วที่มิได้มีขนสีขาว และแบ่งออกได้เป็น 2 สกุลย่อย คือ Calyptorhynchus และ Zanda โดยพิจารณาจากสีขนและความแตกต่างกันระหว่าง.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลนกกระตั้วดำ · ดูเพิ่มเติม »

สกุลแบร็คอิรัส

กุลแบร็คอิรัส (Zebra fishes) เป็นสกุลของปลากระดูกแข็ง ในวงศ์ปลาลิ้นหมา (Soleidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Brachirus (/แบร็ค-อิ-รัส/) มีลักษณะสำคัญ คือ ครีบหลัง, ครีบหาง และครีบท้องเชื่อมติดกัน ครีบอกมีขนาดเล็กมาก หรือบางชนิดไม่มีครีบอกเลย หนังขอบกระดูกแก้มแยกออกมาจากครีบอก ไม่มีติ่งกระดูกที่ปลายจะงอยปาก ที่มาของสกุลนี้มีความสับสนมาก เนื่องจาก ฮิวจ์ แมคคอร์มิค สมิธ ใช้ชื่อสกุลว่า Synaptura แต่ต่อมา วอลเตอร์ เรนโบธ ใช้ Euryglossa แต่เมื่อตรวจสอบจากสถาบันวิทยาศาสตร์แคลิฟอร์เนีย พบว่าทั้ง 2 สกุลนั้น มาร์คุส อลิเซอร์ บลอช และโยฮานน์ ก็อทลอบ เทเลนุส ชไนเดอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้กำหนดให้ Pleuronectes orientalis เป็นตัวแทนของสกุลทั้งสิ้น จึงสรุปได้ว่าชื่อที่ถูกต้องตามกฎการตั้งชื่อสัตว์ คือ Brachirus ที่ตั้งชื่อก่อนสกุลอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลแบร็คอิรัส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลแพนเทอรา

กุลแพนเทอรา (Roaring cat) เป็นสกุลของวงศ์ Felidae (วงศ์แมว) ที่ประกอบไปด้วย เสือโคร่ง, สิงโต, เสือจากัวร์, และ เสือดาว สปีชีส์ของสกุลเป็นสมาชิกประมาณครึ่งหนึ่งของวงศ์ย่อย Pantherinae ใช้ชื่อสกุลว่า Panthera เสือในสกุลแพทเทอรา ทั้ง 4 ชนิดมีโครงสร้างทางกายวิภาคที่ช่วยให้พวกมันสามารถคำรามได้ เริ่มแรกมีสมมุติฐานว่าเกิดจากการกลายเป็นกระดูกที่ไม่สมบูรณ์ของกระดูกไฮออยด์ แต่การศึกษาครั้งใหม่แสดงว่าความสามารถในการคำรามมาจากลักษณะสัณฐานอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล่องเสียง เสือดาวหิมะ (Uncia uncia) บางครั้งถูกรวมอยู่ในสกุล Panthera แต่มันไม่สามารถคำรามได้ เพราะแม้ว่ามันมีขบวนการกลายเป็นกระดูกที่ไม่สมบูรณ์ของกระดูกไฮออยด์ แต่ขาดลักษณะพิเศษของกล่องเสียงไป.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลแพนเทอรา · ดูเพิ่มเติม »

สกุลแมว

กุลแมว หรือ สกุลแมวเล็ก (Small cat) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันดับสัตว์กินเนื้อขนาดเล็กสกุลหนึ่ง จัดเป็นเสือขนาดเล็ก ในวงศ์เสือและแมว (Felidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Felis โดยที่คำว่า Felis นั้น มาจากภาษาละตินที่แปลตรงตัวว่า แมว และถือเป็นสกุลดั้งเดิมของหลายชนิดในวงศ์นี้ ก่อนที่จะแตกออกไปเป็นสกุลอื่น ๆ ตามเวลาที่มีการศึกษาเพิ่มเติม โดยสมาชิกที่มีขนาดเล็กที่สุดในสกุลนี้ ก็คือ แมวตีนดำ ที่พบในทวีปแอฟริกา ที่มีความยาวเต็มที่ 36.9 เซนติเมตร (14.5 นิ้ว) และความยาวหาง 12.6-17 เซนติเมตร ซึ่งถือเป็นชนิดที่เล็กที่สุดในวงศ์นี้ด้วย ขณะที่ใหญ่ที่สุด คือ แมวป่า มีความยาวลำตัวและส่วนหัว 50-56 เซนติเมตร ขณะที่ความยาวหาง 26-31 เซนติเมตร สมาชิกในสกุลนี้ยังรวมถึงแมวบ้าน ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงด้วย จากการศึกษาทางพันธุกรรมพบว่า สกุลนี้มีปรากฏครั้งแรกเมื่อราว 8-10 ล้านปีมาแล้ว ทางแถบเมดิเตอร์เรเนียน.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลแมว · ดูเพิ่มเติม »

สกุลแมวลายหินอ่อน

กุลแมวลายหินอ่อน (Marbled cat) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์แมว (Felidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Pardofelis โดยคำว่า Pardofelis นั้นเป็นภาษาละติน 2 คำ คือ pardus หมายถึง เสือดาว และ felis หมายถึง แมว สัตว์ที่อยู่ในสกุลนี้นั้น มีด้วยกัน 3 ชนิด กระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย ตั้งแต่ภาคใต้ของจีน, อินโดจีน จนถึงเกาะบอร์เนียว โดยสกุลนี้ถูกตั้งขึ้นโดยนักสำรวจและนักธรรมชาติวิทยาชาวรัสเซีย นิโคไล เซเวอร์ทซอฟ ในปี ค.ศ. 1858 โดยมีแมวลายหินอ่อนเป็นต้นแบบ จากการศึกษาพบว่าสกุลนี้ได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาเมื่อ 9.4 ล้านปีก่อน Johnson, W. E., Eizirik, E., Pecon-Slattery, J., Murphy, W. J., Antunes, A., Teeling, E., O'Brien, S. J. (2006).

ใหม่!!: สัตว์และสกุลแมวลายหินอ่อน · ดูเพิ่มเติม »

สกุลแมวดาว

กุลแมวดาว (Fishing cat, Leopard cat) เป็นสกุลของสัตว์กินเนื้อขนาดเล็ก จำพวกเสือขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์เสือและแมว (Felidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Prionailurus มีลักษณะโดยรวมคือ มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับแมวในสกุล Felis หรือแมวบ้าน มาก โดยที่สกุลนี้ตั้งชื่อขึ้นโดย นิโคไล เซเวอร์ทซอฟ นักสำรวจธรรมชาติชาวรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1858 ต่อมานักสัตววิทยาชาวอังกฤษ เรจินัลด์ อินเนส โพค็อก ได้อนุกรมวิธานและบรรยายทางวิทยาศาสตร์ของสกุลนี้ในระหว่างปี ค.ศ. 1917 จนถึงปี ค.ศ. 1939 พบว่ามีลักษณะเด่น คือ กะโหลกของสกุลนี้จะมีลักษณะแบนต่ำกว่า และส่วนโค้งบริเวณใบหน้าสั้นกว่าสกุลอื่น ๆ ใบหูมีขนาดเล็ก กระดูกจมูกแบนราบและเชิดขึ้น และมีลวดลายบนผิวหนังมีจุดหลากหลาย และบางส่วนก็เป็นแถวตรงในแนวนอนไปในทางเดียวกัน คล้ายคันศรหรือปลายหอก พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทวีปเอเชียตั้งแต่ตอนเหนือของอนุทวีปอินเดีย, เอเชียตะวันออก, บางส่วนของเอเชียกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบ่งออกได้เป็น 5 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นแมวที่หากินใกล้กับพื้นที่ชุ่มน้ำ ว่ายน้ำและดำน้ำได้เป็นอย่างดี มีความสามารถจับปลา และสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ กินเป็นอาหารได้.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลแมวดาว · ดูเพิ่มเติม »

สกุลแมงมุมแม่ม่าย

กุลแมงมุมแม่ม่าย เป็นสกุลแมงมุมสกุลหนึ่งในวงศ์แมงมุม Theridiidae แมงมุมตัวเมียในสกุลนี้จะกินตัวผู้ภายหลังจากเสร็จสิ้นการผสมพันธุ์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ปัจจุบันค้นแมงมุมในสกุลนี้แล้วจำนวน 33 สายพันธุ์กระจายพันธุ์อยู่ทั่วโลก แต่ละสายพันธุ์จะมีขนาดตัวแตกต่างกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ตัวเมียจะมีสีเข้มกว่าตัวผู้และมีเครื่องหมายสังเกตุเห็นได้ชัดเจนเป็นรูปนาฬิกาทรายอยู่บนท้อง แม้ว่าแมงมุมในสกุลนี้ส่วนใหญ่เป็นแมงมุมพิษแต่ก็เป็นแมงมุมที่มักเลี่ยงการเผชิญหน้า เมื่อรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามมันจะรีบปล่อยเส้นใยและไต่ลงไปที่ระดับพื้นดินอย่างรวดเร็ว แมงมุมสกุลนี้มีสายตาที่แย่ หากมันไม่สามารถเลี่ยงภัยคุกคามได้ มันมักจะแกล้งตายหรือพ่นใยใส่ผู้คุกคามนั้น หากไม่ได้ผลจึงจะใช้การกัดเข้าป้องกันตัว.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลแมงมุมแม่ม่าย · ดูเพิ่มเติม »

สกุลแมงคีมหนวดสามปล้อง

กุลแมงคีมหนวดสามปล้อง หรือ สกุลด้วงคีมหนวดสามปล้อง เป็นสกุลของแมลงปีกแข็ง ในวงศ์ด้วงคีม (Lucanidae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prosopocoilus มีจุดเด่น คือ มีปลายหนวดเป็นปมประกอบด้วยหนวด 3 ปล้อง ในประเทศไทยพบหลายชนิด อาทิ แมงคีมแดง (Prosopocoilus astacoides), แมงคีมบูด้า (P. buddha), แมงคีมปากคีบ (P. forceps), แมงคีมยีราฟ (P. giraffa) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลแมงคีมหนวดสามปล้อง · ดูเพิ่มเติม »

สกุลแรด

กุลแรด เป็นสกุลหนึ่งในวงศ์แรด สมาชิกในสกุลมีนอเดียว ใช้ชื่อสกุลว่า Rhinoceros คำว่า "rhinoceros" มาจากภาษากรีก "rhino" แปลว่า "จมูก" และ "ceros" แปลว่า "เขา" สกุลนี้ประกอบไปด้วยแรด 2 ชนิดคือ แรดอินเดีย (Rhinoceros unicornis) และ แรดชวา (Rhinoceros sondaicus) ถึงแม้ว่าแรดทั้ง 2 ชนิดถูกคุกคามอย่างหนัก แต่แรดชวากลับเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ที่สุดในโลก เหลือประชากรเพียง 60 ตัวเท่านั้นในชวาและเวียดนาม.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลแรด · ดูเพิ่มเติม »

สกุลแร้ง

กุลแร้ง (Gyps) เป็นนกล่าเหยื่อในวงศ์ Accipitridae จัดเป็นแร้งโลกเก่าสกุลหนึ่ง เป็นแร้งที่พบได้ทั่วไป มีส่วนหัวโล้นเลี่ยน มีช่วงปีกกว้างและมีขนสีเข้มส่วนใหญ่ เมื่อเวลาจะกินอาหารซึ่งได้แก่ ซากศพต่าง ๆ จะไล่นกชนิดอื่น หรือสัตว์อื่นให้พ้นไปจากอาหาร โดยใช้วิธีหาอหาารจากสายตาเมื่อยามบินวนบนท้องฟ้า พบกระจายพันธุ์ในเขตร้อนหรือเขตอบอุ่นของซีกโลกเก่า เมื่อเทียบกับแร้งสกุลอื่น แร้งในสกุลนี้มีขนรอบลำคอค่อนข้างมีลักษณะนุ่มครอบคลุม เชื่อว่ามีเพื่อควบคุมอุณหภูม.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลแร้ง · ดูเพิ่มเติม »

สกุลแอมบาสทาเอีย

กุลแอมบาสทาเอีย เป็นสกุลหนึ่งของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Ambastaia โดยสกุลนี้ตั้งขึ้นโดย มัวรีซ คอตเทเลต ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และสกุลแอมบาสทาเอีย · ดูเพิ่มเติม »

สกุลแอนดิโนอะคารา

กุลแอนดิโนอะคารา เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Andinoacara (/แอน-ดิ-โน-อะ-คา-รา/) พบกระจายพันธุ์ตามแหล่งน้ำต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ แถบประเทศเอกวาดอร์และเปรู โดยชื่อสกุลนั้น แปลได้ว่า "Acara from the Andes" หมายถึง "ปลาที่มาจากเทือกเขาแอนดีส" โดยผสมคำว่า "Andio" ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงสุดของเทือกเขาแอนดีสกับคำว่า "Acara" ที่หมายถึง "ปลา" ซึ่งเป็นภาษาทูปิ-กวารานี ที่เป็นภาษาพื้นเมืองของชนเผ่าท้องถิ่นแถบนั้น เป็นปลาที่แยกสกุลออกมาจากสกุล Aequidens พบทั้งหมด 7 ชนิด นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยชนิดที่มีจำหน่ายกันในประเทศไทยมีเพียงแค่ชนิดเดียว.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลแอนดิโนอะคารา · ดูเพิ่มเติม »

สกุลแซกโก

กุลแซกโก (Freshwater minnow, Trout minnow) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Zacco (/แซก-โก/) หมายถึง "ดาบของจักรพรรดิลีโอที่ใช้โดยชาวแซ็กซอน" มีรูปร่างเรียวยาว ลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาน้ำหมึก หรือปลาสะนาก มีความคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก มีทั้งหมด 7 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลแซกโก · ดูเพิ่มเติม »

สกุลโลโบคีลอส

กุลโลโบคีลอส เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในสกุล Lobocheilos ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ในวงศ์ย่อยปลาเลียหิน (Labeoninae) เผ่า Banganini มีลักษณะสำคัญ คือ ลำตัวค่อนข้างยาว ปากอยู่ด้านล่าง ริมปากทั้งบนและล่างเรียบ ปากล่างขยายเป็นแผ่นเนื้อหนาแผ่คลุมกระดูกขากรรไกร บนจะงอยปากมีรูเล็ก ๆ และมีตุ่มสิวเป็นกระจุกหรือเรียงกันเป็นแถว ครีบหลังมีก้านครีบแขนง 8–10 ก้าน ก้านครีบเดี่ยวไม่เป็นหนามแข็ง มีหนวดที่มุมปาก 1 คู่ เป็นสกุลที่มีสมาชิกมาก ในประเทศไทยพบได้ถึง 12 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลโลโบคีลอส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลโดรีอิคธีส

กุลโดรีอิคธีส (Freshwater pipefish) เป็นสกุลของปลาจิ้มฟันจระเข้สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Doryichthys (/โด-รี-อิค-ธีส/; มาจากภาษากรีกคำว่า Dory (δόρυ) หมายถึง "หอก" และ ichthys (Ιχθύς) หมายถึง "ปลา") ในวงศ์ Syngnathidae มีลักษณะโดยรวมของสกุลนี้คือ ขอบเกล็ดด้านนอกแยกออกจากกัน ส่วนเกล็ดด้านในติดกัน ครีบหางเล็กมาก ส่วนใหญ่จะมีก้านครีบแขนง 8 ก้าน พบทั้งหมด 5 ชนิด พบในประเทศไทยอย่างน้อย 2 ชนิด ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดทั้งหมด พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียอาคเน.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลโดรีอิคธีส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลโปตาโมไทรกอน

กุลโปตาโมไทรกอน เป็นปลากระเบนสกุลหนึ่งที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในวงศ์ปลากระเบนหางสั้น (Potamotrygonidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Potamotrygon (/โป-ตา-โม-ไทร-กอน/) โดยมาจากภาษากรีก (Ποταμός; potamos) แปลว่า "แม่น้ำ" และภาษากรีกคำว่า "trygon" แปลว่า "ปลากระเบน" พบกระจายพันธุ์ในพื้นที่แหล่งน้ำจืดของหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้ อาทิ บราซิล, เปรู, โคลอมเบีย, เวเนซุเอลา, อาร์เจนตินา, เอกวาดอร์, ปารากวัย มีลักษณะทั่วไปเหมือนปลากระเบนสกุลอื่นในวงศ์นี้ คือ ลำตัวเป็นทรงกลมคล้ายจานหรือแผ่นซีดี หางมีขนาดสั้นไม่ยาวเหมือนปลากระเบนในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) โคนหางมีเงี่ยงที่มีพิษอยู่ 2 ชิ้น และมีหนามแหลมบริเวณโคนหางไปจนถึงเงี่ยง ปลายหางมีแผ่นหนังบาง ๆ เป็นริ้ว ๆ อยู่ มีสีพื้นลำตัวและมีจุดหรือมีลวดลายหลากหลายมาก แตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิด มีความกว้างของลำตัวตั้งแต่ 1 ฟุต ไปจนถึง 1 เมตร หากินตามพื้นท้องน้ำ นาน ๆ ทีจึงจะว่ายขึ้นมาหากินบนผิวน้ำบ้าง ซึ่งอาหารหลักได้แก่ ครัสเตเซียนชนิดต่าง ๆ รวมทั้ง ปลาขนาดเล็กกว่า ปลากระเบนในสกุลนี้นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม เนื่องจากมีความสวยในสีสันและลวดลายซึ่งเป็นเอกลักษณะเฉพาะไม่เหมือนกับปลากระเบนประเภทอื่น อีกทั้งยังสามารถเพาะขยายพันธุ์ในสถานที่เลี้ยงได้อีกด้วย และสามารถผสมข้ามสายพันธุ์ก่อให้เกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ ๆ ได้อีกหลายชน.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลโปตาโมไทรกอน · ดูเพิ่มเติม »

สกุลไมโครนีมา

กุลไมโครนีมา (Sheatfish) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) ใช้ชื่อสกุลว่า Micronema (/ไม-โคร-นี-มา/) นักมีนวิทยาบางท่าน เช่น ฮิวจ์ แมคคอร์มิค สมิธ ได้จัดให้สกุลนี้เป็นสกุลเดียวกับสกุล Kryptopterus แต่บางท่านได้แยกออกมา เนื่องจากเล็งเห็นว่ามีความแตกต่างกันอยู่ ลักษณะสำคัญของปลาในสกุลนี้คือ มีหนวดที่สั้นมาก 2 คู่ หนวดที่ริมฝีปากบนยาวไม่ถึงช่องเปิดเหงือก หนวดที่คางสั้นและเล็กมาก ไม่มีครีบหลัง ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 9-10 ก้าน และครีบก้นมีก้านครีบแขนง 75-95 ก้าน เป็นปลาที่กระจายพันธุ์ทั่วไปในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ เป็นปลาที่ใช้ในการบริโภคกัน รู้จักกันดีในชื่อ "ปลาเนื้ออ่อน" แต่ปัจจุบันได้มีสมาชิกบางส่วนแยกออกไปเป็นสกุลต่างหาก คือ Phalacronotus.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลไมโครนีมา · ดูเพิ่มเติม »

สกุลไซโนกลอสซัส

กุลไซโนกลอสซัส (Tonguefishes) เป็นสกุลของปลากระดูกแข็ง ในวงศ์ปลายอดม่วง (Cynoglossidae) ใช้ชื่อสกุล Cynoglossus (/ไซ-โน-กลอส-ซัส/) เป็นปลาที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในวงศ์นี้ มีลักษณะคือ มีครีบท้องมีเฉพาะด้านซ้าย ครีบหลัง ครีบหาง และครีบก้นติดต่อรวมกัน มีเส้นข้างลำตัว 2 หรือ 3 เส้น อยู่ด้านเดียวกับนัยน์ตา ริมฝีปากทั้งสองข้างราบเรียบ ปากงุ้มเป็นตะขอ ช่องเปิดเหงือกอยู่ทางด้านซ้ายของลำตัว เป็นปลาที่พบได้ในทะเล, น้ำกร่อย และน้ำจืด ปกติจะฝังตัวอยู่ใต้พื้นทรายหรือโคลน พบกระจายพันธุ์ในเขตอินโด-แปซิฟิกตั้งแต่ ฟิลิปปิน, ทะเลแดง, อ่าวไทย, ทะเลอันดามัน, ทะเลจีนใต้, คาบสมุทรมลายู, อ่าวเบงกอล และพบได้จรดถึงชายฝั่งแอฟริกา ในประเทศไทยพบได้หลายชนิด อาทิ ปลายอดม่วงเกล็ดใหญ่ (C. macrolepidotus) พบในน้ำจืด 2 ชนิด คือ ปลายอดม่วงเกล็ดถี่ (C. microlepis) และปลายอดม่วงลาย (C. feldmanni).

ใหม่!!: สัตว์และสกุลไซโนกลอสซัส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลไซเรน

กุลไซเรน (Siren, Aquatic salamander) เป็นสกุลของซาลาแมนเดอร์ ในวงศ์ Sirenidae ใช้ชื่อสกุลว่า Siren มีรูปร่างเรียวยาวเหมือนงูหรือปลาไหล ลำตัวเรียวยาว ไม่มีขาคู่หลัง ไม่มีฟัน มีกระดูกแมคซิลลาขนาดเล็กมาก ขาคู่หน้าเล็กมาก อาศัยและดำรงชีวิตในน้ำตลอดชีวิต พบกระจายพันธุ์เฉพาะลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปีในทวีปอเมริกาเหนือ ขนาดยาวที่สุดพบได้ถึง 90 เซนติเมตร กินสัตว์น้ำจำพวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นอาหาร จำแนกออกได้เป็น 2 ชนิด และมีบางชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ได้แก่ หน้า 308, วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก โดย วีรยุทธ์ เลาหะจินดา (พ.ศ. 2552) ISBN 978-616-556-016-0.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลไซเรน · ดูเพิ่มเติม »

สกุลไซเลอร์อัส

กุลไซเลอร์อัส (Sheatfish) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) ใช้ชื่อสกุลว่า Silurus (/ไซ-เลอร์-อัส/) โดยถือว่าเป็นปลาหนัง (Siluriformes) ที่มีขนาดใหญ่ อาจยาวได้ถึง 3 เมตร และหนักได้เป็นร้อยกิโลกรัม พบกระจายพันธุ์ทั้งในทวีปยุโรปและเอเชียตะวันออก เป็นปลาที่กินไม่เลือก และมีอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วมาก มีลักษณะโดยรวม คือ มีลำตัวยาวแบนข้าง หัวมีขนาดเล็ก นัยน์ตาอยู่เหนือมุมปาก มีหนวด 2 คู่ ที่ริมฝีปากบน 1 คู่ และที่คาง 1 คู่ ครีบหลังเล็กอยู่หน้าล้ำครีบท้อง ครีบอกสั้น และยาวไม่ถึงฐานของครีบท้อง มีฟันที่กระดูกเพดานปากชิ้นกลางอยู่รวมกัน 1 กลุ่ม ครีบหางตัดตรงหรือเว้าเล็กน้อย ครีบก้นยาวแต่ไม่ต่อรวมถึงครีบหาง.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลไซเลอร์อัส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลเพลวิคาโครมิส

กุลเพลวิคาโครมิส เป็นสกุลปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Pelvicachromis อยู่ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) เป็นปลาขนาดเล็ก จัดเป็นปลาหมอแคระอีกสกุลหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก ตั้งแต่แม่น้ำในประเทศไนจีเรียจนถึงทิศตะวันออกของประเทศแคเมอรูน มีขนาดความยาวลำตัวไม่เกิน 10 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดใหญ่และลำตัวยาวกว่าตัวเมีย ขณะที่ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าและท้องอูมป้อมกลม จุดเด่นของปลาในสกุลนี้คือ ตัวเมียจะมีสีสันที่สวยกว่าตัวผู้ โดยเฉพาะในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ช่วงท้องของปลาตัวเมียจะเป็นสีชมพูอมม่วง ปลาสกุลเพลวิคาโครมิสนี้มีพฤติกรรมคล้ายกับปลาสกุลอพิสโตแกรมมา โดยอาศัยอยู่ในน้ำที่มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ 5.8-6.5 (pH) มีพฤติกรรมการวางไข่ในถ้ำที่ตีลังกาเช่นเดียวกัน สามารถวางไข่ได้ถึง 300-500 ฟอง โดยปกติแล้ว ปลาตัวเมียจะเป็นผู้ดูแลไข่ แต่บางครั้งตัวผู้อาจจะเข้ามาช่วยดูแลด้วยได้.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลเพลวิคาโครมิส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลเพเธีย

กุลเพเธีย เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Pethia ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) คำว่า Pethia มาจากภาษาสิงหลคำว่า pethia หมายถึง สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เช่น ปลาตะเพียนขนาดเล็ก ๆ ส่วนใหญ่เป็นปลาที่พบได้ในประเทศอินเดีย รวมถึงพม่า มีลักษณะสำคัญ คือ เป็นปลาขนาดเล็กที่มีสีสันสดใส มีก้านครีบแข็งที่ครีบหลัง ที่ขอบด้านท้ายเป็นซี่จักรแข็งแรง ไม่มีหนวดที่ขากรรไกรคู่หน้า ส่วนคู่หลังอาจพบหรือไม่พบแล้วแต่ชนิด ริมฝีปากบาง เกล็ดที่มีท่อเส้นข้างลำตัวอาจไม่พบตลอดแนวเกล็ดด้านข้างจำนวน 19-24 เกล็ด ในบางชนิด ครีบหลังอยู่กึ่งกลางลำตัวล้ำแนวจุดเริ่มต้นของครีบท้อง มักมีจุดกลมรีในแนวยาวบริเวณคอดหาง และแต้มกลมเหนือแนวครีบอก.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลเพเธีย · ดูเพิ่มเติม »

สกุลเสือชีตาห์

กุลเสือชีตาห์ เป็นสกุลของสัตว์กินเนื้อขนาดกลางจำพวกหนึ่ง จัดเป็นเสือขนาดเล็ก ในวงศ์เสือและแมว (Felidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Acinonyx ลักษณะเด่นของเสือในสกุลนี้ คือ ที่อุ้งตีนไม่มีซองหุ้มเล็บเหมือนสมาชิกในวงศ์นี้ทั่วไป และในลำคอไม่มีเส้นเสียง จึงไม่สามารถร้องคำรามเสียงดังได้ (ในบางข้อมูลจัดให้เป็นวงศ์ย่อยแยกออกมา) ปัจจุบัน เสือในสกุลนี้หลงเหลือเพียงชนิดเดียวเท่านั้น คือ เสือชีตาห์ ที่กระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา ส่วนชนิดอื่นได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ตั้งแต่ยุคน้ำแข็งสุดท้าย จากเดิมที่เคยมีอยู่ทั้งหมด 5 ชนิด และกระจายพันธุ์ทั้งทวีปแอฟริกา, ยุโรป และเอเชี.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลเสือชีตาห์ · ดูเพิ่มเติม »

สกุลเสือพูม่า

ำหรับพูม่าที่เป็นผลิตภัณฑ์กีฬา ดูที่: พูม่า สกุลเสือพูม่า หรือ สกุลเสือคูการ์ หรือ สกุลสิงโตภูเขา (Puma, Jaguarundi) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกเสือขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Puma จัดอยู่ในวงศ์เสือและแมว (Felidae) แม้จะมีรูปร่างที่แลดูใหญ่ แต่เสือในสกุลนี้ถูกจัดให้อยู่ในจำพวกเสือขนาดเล็ก เนื่องจากในลำคอไม่มีกระดูกไฮออยด์ที่ยืดหยุ่นและไม่มีสายเสียงขนาดใหญ่ที่สามารถทำเสียงดังเช่น คำราม ได้ เหมือนเสือขนาดใหญ่ มีลักษณะโดยรวม คือ ขนมีสีเดียวตลอดทั้งตัว และมีขาหลังที่ยาวที่สุดในบรรดาสัตว์วงศ์นี้ทั้งหมด จัดเป็นสัตว์ในวงศ์นี้ ที่พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางมากที่สุดในทวีปอเมริกา พบได้ทั้ง อเมริกาเหนือ, อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ถูกจัดแบ่งออกเป็น 3 ชนิด สูญพันธุ์ไปแล้วหนึ่งชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลเสือพูม่า · ดูเพิ่มเติม »

สกุลเสือลายเมฆ

กุลเสือลายเมฆ เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับสัตว์กินเนื้อจำพวกเสือขนาดใหญ่สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Neofelis จัดอยู่ในวงศ์เสือและแมว (Felidae) โดยคำว่า Neofelis นั้น มาจากภาษากรีกคำว่า νεο หมายถึง "ใหม่" และภาษาละตินคำว่า feles หมายถึง "แมว" รวมความแล้วหมายถึง "แมวใหม่" สกุลนี้ตั้งขึ้นโดย จอห์น เอ็ดเวิร์ด เกรย์ นักสัตววิทยาชาวอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1867 ลักษณะเด่นของเสือในสกุลนี้ คือ มีกะโหลกส่วนใบหน้าที่กว้าง หน้าผากมีขนาดใหญ่และจมูกยาว ขากรรไกรล่างและขากรรไกรบนมีฟันเขี้ยวที่คมและปลายขอบตัดขวาง ซึ่งกะโหลกลักษณะนี้คล้ายคลึงกับเสือเขี้ยวดาบที่สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ นอกจากนี้แล้วเสือลายเมฆที่พบในภูมิภาคซุนดามีเขี้ยวบนยาวและมีเพดานปากที่แคบระหว่างเขี้ยวนั้น โดยรวมแล้ว เสือลายเมฆเป็นเสือขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเล็กกว่าเสือขนาดใหญ่ชนิดอื่น ๆ พบกระจายพันธุ์เฉพาะภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ไปจนถึงเกาะบอร์เนียว และพบได้ในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ของจีน ลักษณะกะโหลกและฟันเขี้ยวของเสือลายเม.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลเสือลายเมฆ · ดูเพิ่มเติม »

สกุลเสือไฟ

กุลเสือไฟ (Golden cat) เป็นสกุลของสัตว์กินเนื้อจำพวกเสือขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Catopuma ในวงศ์เสือและแมว (Felidae) ลักษณะโดยทั่วไปของเสือในสกุลนี้ คือ จะมีขนสีเดียวตลอดทั้งตัว คือ สีแดงหรือสีส้ม ในขณะที่ส่วนหัวจะมีลวดลายสีเข้มเป็นเอกลักษณ์ พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ จนถึงเกาะบอร์เนียว ปัจจุบันมีการแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด โดยทั้ง 2 ชนิดนี้ถูกแยกออกจากกันชัดเจนจากการวิเคราะห์ทางพันธุกรรม โดยทั้ง 2 ชนิดนี้ถูกแยกออกจากกันเมื่อ 4.9-5.3 ล้านปีมาแล้ว โดยชนิดที่พบบนเกาะบอร์เนียววิวัฒนาการตัวเองแยกออกมาก่อน โดยมีญาติใกล้ชิดที่สุด คือ แมวลายหินอ่อน ซึ่งอยู่ในสกุล Pardofelis ซึ่งแยกออกมาต่างหากเมื่อ 9.4 ล้านปีก่อน.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลเสือไฟ · ดูเพิ่มเติม »

สกุลเออรีธิสทีส

กุลเออรีธิสทีส เป็นสกุลของปลาหนังน้ำจืดขนาดเล็กในสกุล Erethistes (/เออ-รี-ธิส-ทีส/) จัดอยู่ในวงศ์ปลาแค้ขี้หมู (Erethistidae) ซึ่งเป็นวงศ์ที่แยกออกมาจากวงศ์ปลาแค้ (Sisoridae) ลักษณะโดยทั่วไปเป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ลำตัวป้อมสั้น ช่องเหงือกแคบ หนังที่ริมกระดูกแก้มไม่ติดกับเอ็นคาง ปากแคบ กระดูกท้ายทอยมีขนาดใหญ่ นัยน์ตาเล็กถูกปกคลุมด้วยหนังบาง ๆ ไม่มีฟันที่กระดูกเพดานปากชิ้นข้าง มีหนวด 4 คู่ (ระหว่างรูจมูก 1 คู่ ริมปากบน 1 คู่ ริมปากล่าง 1 คู่ และคาง 1 คู่) ครีบหลังและครีบอกมีเงี่ยงแข็ง ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 6 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแขนงประมาณ 10 ก้าน เป็นปลาที่พบตามลำธารในทวีปเอเชีย จำแนกออกได้เป็น 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลเออรีธิสทีส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลเฮมอิบากรัส

กุลเฮมอิบากรัส เป็นสกุลของปลาหนังในวงศ์ปลากด (Bagridae) ใช้ชื่อสกุลว่า Hemibagrus (/เฮม-อิ-บา-กรัส/) นับว่าเป็นปลากดสกุลหนึ่งที่มีขนาดใหญ่พอสมควร เดิมทีสกุลนี้ผู้ตั้งชื่อ ปีเตอร์ บลีกเกอร์ ชาวดัตช์ ได้ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1862 โดยกำหนดให้ชนิด Bagrus nemurus เป็นต้นแบบของสกุล แต่ว่านักมีนวิทยารุ่นหลังหลายท่าน เช่น ไทสัน อาร์. โรเบิร์ตส์ เมื่อปี ค.ศ. 1989 ได้กล่าวว่าเป็นชื่อพ้องของสกุล Mystus ดังนั้นในข้อมูลเก่า ปลาหลายชนิดในสกุลนี้จะใช้ชื่อสกุลว่า Mystus แต่ในปัจจุบัน มัวรีซ คอทเทเลต เมื่อปี ค.ศ. 2001, เค. ปีเตอร์ อู๋ และ ฮ็อก ฮี อู๋ เมื่อปี ค.ศ. 1995 ได้ยืนยันว่า สกุลเฮมอิบากรัสนี้มีความแตกต่างจากสกุลมีสทัสพอสมควร คือ ก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายของครีบหลังมีขอบเรียบ ไม่เป็นฟันเลื่อย และปลาในสกุลเฮมอิบากรัสนี้จะมีความยาวเต็มที่เกินกว่า 50 เซนติเมตรทั้งนั้น จึงได้เปลี่ยนมาใช้จนถึงปัจจุบัน ส่วนสกุล Bagrus หลุยส์ ออกุสติน กิลโยม บลอค นักชีววิทยาชาวฝรั่งเศส ผู้ตั้งชื่อสกุลมิได้กำหนดให้ชนิดไหนเป็นต้นแบบของสกุล ต่อมา ไบลีย์ และ สจวร์ต ในปี ค.ศ. 1893 ได้กำหนดให้ Silurus bajad เป็นต้นแบบสกุล ปลาในสกุลเฮมอิบากรัส ถือว่าเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ ปลากดคัง (H. wyckioides) ที่มีน้ำหนักเต็มที่ได้ถึง 80 กิโลกรัม จึงนิยมตกกันเป็นเกมกีฬาและบริโภคกันเป็นปลาเศรษฐกิจ พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่เอเชียใต้ จากลุ่มแม่น้ำคงคาและพรหมบุตร, ตอนใต้ของจีน, อินโดจีน ไปจนถึงเขตชีวภาพซุน.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลเฮมอิบากรัส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลเดสโมพุนชัส

กุลเดสโมพุนชัส (Striped barb, Banded barb) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Desmopuntius (/เดส-โม-พุน-ชัส/) คำว่า Desmopuntius มาจากภาษากรีกคำว่า δεσμωτες (desmotes) แปลว่า "นักโทษ" หรือ "เชลย" และคำว่า Puntius ซึ่งเป็นชื่อสกุลเก่า มีความหมายถึง ลวดลายบนตัวปลาที่เหมือนชุดนักโทษ มีลักษณะเด่นทางกายภาค คือ ขอบด้านท้ายของก้านครีบแข็งที่ครีบหลังเป็นซี่จักร ริมฝีปากบาง มีหนวดสองคู่เห็นชัดเจน เกล็ดในแนวข้างลำตัวมีท่อเรียงกันสมบูรณ์ถึงฐานครีบหางจำนวนระหว่าง 25-27 เกล็.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลเดสโมพุนชัส · ดูเพิ่มเติม »

สกุลเตตราโอดอน

กุลเตตราโอดอน เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งในอันดับปลาปักเป้า จัดอยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Tetraodon (/เต-ตรา-โอ-ดอน/) มีรูปร่างโดยรวม ป้อมสั้น อ้วนกลม ครีบทั้งหมดสั้น ครีบหลังมีก้านครีบแขนง 12-14 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแขนง 10-12 ก้าน เยื่อจมูกยื่นออกมาเป็นหลอด ปลายแยกเป็นสองแฉก ใต้ผิวหนังมีเกล็ดที่พัฒนาเป็นหนามเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ ผิวหนังมักมีจุดสีดำแตกต่างกันไปตามแต่ชนิด เมื่อตกใจหรือต้องการป้องกันตัว สามารถพองลมให้ใหญ่ขึ้นมาได้ ในปากมีฟันที่แหลมคมใช้สำหรับขบกัดเปลือกของสัตว์น้ำมีกระดอง ต่าง ๆ ได้ รวมถึงหอย ซึ่งเป็นอาหารหลัก มีอุปนิสัยดุร้าย มักจะชอบกัดกินเกล็ดหรือครีบหางของปลาชนิดต่าง ๆ ที่ติดอวนของชาวประมงอยู่เสมอ ๆ นอกจากนี้แล้วยังสามารถซ่อนตัวใต้พื้นทรายเพื่ออำพรางตัวหาอาหารได้ในบางชนิด ในบางชนิดก็สามารถเปลี่ยนสีลำตัวได้ และยังสามารถเป่าน้ำจากปากเพื่อคุ้ยหาอาหารในพื้นทรายได้ด้วย ภายในตัวและอวัยวะภายในมีสารพิษที่เรียกว่า เตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) อยู่ เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยรวมแล้ว ปลาในสกุลนี้จะว่ายน้ำได้ช้ากว่าปลาปักเป้าในสกุลอื่น เช่น Takifugu หรือ Auriglobus เนื่องจากมีครีบที่สั้นและรูปร่างที่อ้วนกลมกว่า พบได้ทั้งทะเล, น้ำกร่อย และน้ำจืด โดยกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทวีปแอฟริกาจนถึงเอเชีย มีความสำคัญต่อมนุษย์ในแง่ของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามและใช้บริโภคในบางท้องถิ่น.

ใหม่!!: สัตว์และสกุลเตตราโอดอน · ดูเพิ่มเติม »

สมอง

มอง thumb สมอง คืออวัยวะสำคัญในสัตว์หลายชนิดตามลักษณะทางกายวิภาค หรือที่เรียกว่า encephalon จัดว่าเป็นส่วนกลางของระบบประสาท คำว่า สมอง นั้นส่วนใหญ่จะเรียกระบบประสาทบริเวณหัวของสัตว์มีกระดูกสันหลัง คำนี้บางทีก็ใช้เรียกอวัยวะในระบบประสาทบริเวณหัวของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอีกด้วย สมองมีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว, พฤติกรรม และภาวะธำรงดุล (homeostasis) เช่น การเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรู้ (cognition) อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว (motor learning) และความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ สมองประกอบด้วยเซลล์สองชนิด คือ เซลล์ประสาท และเซลล์เกลีย เกลียมีหน้าที่ในการดูแลและปกป้องนิวรอน นิวรอนหรือเซลล์ประสาทเป็นเซลล์หลักที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าที่เรียกว่า ศักยะงาน (action potential) การติดต่อระหว่างนิวรอนนั้นเกิดขึ้นได้โดยการหลั่งของสารเคมีชนิดต่าง ๆ ที่รวมเรียกว่า สารสื่อประสาท (neurotransmitter) ข้ามบริเวณระหว่างนิวรอนสองตัวที่เรียกว่า ไซแนปส์ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมลงต่าง ๆ ก็มีนิวรอนอยู่นับล้านในสมอง สัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่มักจะมีนิวรอนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านตัวในสมอง สมองของมนุษย์นั้นมีความพิเศษกว่าสัตว์ตรงที่ว่ามีความซับซ้อนและใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับขนาดตัวของมนุษ.

ใหม่!!: สัตว์และสมอง · ดูเพิ่มเติม »

สมองน้อย

ซีรีเบลลัม หรือ สมองน้อย (Cerebellum) เป็นบริเวณของสมองที่ทำหน้าที่สำคัญในการประมวลการรับรู้และการควบคุมการสั่งการ เนื่องจากซีรีเบลลัมทำหน้าที่ประสานการควบคุมการสั่งการ จึงมีวิถีประสาทเชื่อมระหว่างซีรีเบลลัมและคอร์เท็กซ์สั่งการของซีรีบรัม (ซึ่งจะส่งข้อมูลไปยังกล้ามเนื้อเพื่อเคลื่อนไหว) และลำเส้นใยประสาทสไปโนซีรีเบลลาร์ (spinocerebellar tract) (ซึ่งทำหน้าที่ส่งข้อมูลการรับรู้อากัปกิริยาจากไขสันหลังกลับมายังซีรีเบลลัม) ซีรีเบลลัมทำหน้าที่ประมวลวิถีประสาทต่างๆ โดยใช้ข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของร่างกายและการเคลื่อนไหวละเอียดที่ส่งกลับเข้ามา รอยโรคที่เกิดในซีรีเบลลัมไม่ก่อให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือทำให้เกิดอัมพาต แต่จะเกิดความผิดปกติในการส่งข้อมูลกลับซึ่งทำให้เกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหวละเอียด, การรักษาสมดุล, ท่าทางและตำแหน่งของร่างกาย, และการเรียนรู้การสั่งการ การสังเกตของนักสรีรวิทยาในช่วงศตวรรษที่ 18 บ่งชี้ว่าผู้ป่วยที่เกิดความเสียหายที่ซีรีเบลลัมจะมีปัญหาในการประสานการสั่งการ (motor coordination) และการเคลื่อนไหว การวิจัยเกี่ยวกับหน้าที่ของซีรีเบลลัมในช่วงต้นถึงกลางศตวรรษที่ 19 จะศึกษาจากรอยโรคและการลองตัดซีรีเบลลัมในสมองของสัตว์ทดลอง นักวิจัยทางสรีรวิทยาได้บันทึกว่ารอยโรคดังกล่าวทำให้สัตว์มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ, ท่าเดินเงอะงะ, และกล้ามเนื้ออ่อนแรง จากการสังเกตในช่วงเวลานั้นทำให้เกิดข้อสรุปว่าซีรีเบลลัมเป็นโครงสร้างเกี่ยวกับการควบคุมการสั่งการ อย่างไรก็ตามในการวิจัยสมัยใหม่แสดงว่าซีรีเบลลัมมีหน้าที่ที่หลากหลายกว่าไม่ว่าจะเป็นหน้าที่เกี่ยวกับกระบวนการคิด (ประชาน; cognition), เช่น ความใส่ใจ, และกระบวนการทางภาษา, ดนตรี, และสิ่งกระตุ้นชั่วคราวอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และสมองน้อย · ดูเพิ่มเติม »

สมัน

มัน หรือ ฉมัน หรือ เนื้อสมัน หรือ กวางเขาสุ่ม (Schomburgk's deer) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกสัตว์กีบคู่ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rucervus schomburgki เป็นกวางขนาดกลาง ขนตามลำตัวสีน้ำตาลเข้ม ท้องมีสีอ่อนกว่า ริมฝีปากล่างและด้านล่างของหางเป็นสีขาว มีลักษณะเด่นคือ ตัวผู้จะมีเขาแตกแขนงออกไปมากมายเหมือนกิ่งไม้ แลดูสวยงาม จึงได้ชื่อว่าเป็นกวางที่มีเขาสวยที่สุดในโลก มีกิ่งรับหมาหรือกิ่งเขาที่ยื่นออกไปข้างหน้ายาวกว่ากิ่งรับหมาของกวางชนิดอื่น ๆ สมันมีความยาวลำตัว 180 เซนติเมตร ความยาวหาง 10 เซนติเมตร มีความสูงจากพื้นดินถึงหัวไหล่ 100-110 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 100-120 กิโลกรัมสมันนั้นวิ่งเร็วประมาณ 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง มีการกระจายพันธุ์เฉพาะในที่ราบลุ่มภาคกลางของไทยเท่านั้น รวมถึงบริเวณกรุงเทพมหานครในปัจจุบันด้วย โดยอาศัยอยู่ในที่ทุ่งโล่งกว้าง ไม่สามารถหลบหนีเข้าป่าทึบได้เนื่องจากกิ่งก้านของเขาจะไปติดพันกับกิ่งไม้ จึงเป็นจุดอ่อนให้ถูกล่าได้อย่างง่ายดาย ในสมัยอดีต ชาวบ้านจะล่าสมันด้วยการสวมเขาปลอมเป็นตัวผู้เพื่อล่อตัวเมียออกมา จากนั้นจึงใช้ปืนหรือหอกพุ่งยิง ปัจจุบัน สมันสูญพันธุ์แล้ว สมันในธรรมชาติตัวสุดท้ายถูกนายตำรวจคนหนึ่งยิงตายเมื่อ พ.ศ. 2475 ที่จังหวัดกาญจนบุรี สมันตัวสุดท้ายในที่เลี้ยงถูกชายขี้เมาตีตายที่วัดแห่งหนึ่งในตำบลมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อ พ.ศ. 2481 ในปี พ.ศ. 2534 มีรายงานว่าพบซากเขาสมันสดขายในร้านขายยาใจกลางเมืองพงสาลี และแขวงหลวงพระบาง ทางภาคเหนือของลาว ทำให้สันนิษฐานว่าอาจจะมีสมันหลงเหลืออยู่ในประเทศลาวก็เป็นได้ แต่เรื่องนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเพียงพอ โดยที่ทั้งชื่อสามัญในภาษาอังกฤษและชื่อวิทยาศาสตร์ของสมันตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ เซอร์โรเบิร์ต แฮร์มันน์ โชมบวร์ก ผู้เป็นกงสุลอังกฤษประจำราชอาณาจักรสยามที่นำสมันเข้าไปเผยแพร่ในยุโรปเป็นคนแรก.

ใหม่!!: สัตว์และสมัน · ดูเพิ่มเติม »

สมุนไพร

ต้นหอม สมุนไพรที่ใช้ในการปรุงอาหาร สมุนไพร หมายถึง "ผลิตผลธรรมชาติ ได้จาก พืช สัตว์ และ แร่ธาตุ ที่ใช้เป็นยา หรือผสมกับสารอื่นตามตำรับยา เพื่อบำบัดโรค บำรุง ร่างกาย หรือใช้เป็นยาพิษ" หากนำเอาสมุนไพรตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปมาผสมรวมกันซึ่งจะเรียกว่า ยา ในตำรับยา นอกจากพืชสมุนไพรแล้วยังอาจประกอบด้วยสัตว์และแร่ธาตุอีกด้วย เราเรียกพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของยานี้ว่า เภสัชวัตถุ พืชสมุนไพรบางชนิด เช่น เร่ว กระวาน กานพลู และจันทน์เทศ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และสมุนไพร · ดูเพิ่มเติม »

สมเสร็จ

กีบเท้าของสมเสร็จมลายู (ขวา) เท้าหน้ามี 4 กีบ, (ซ้าย) เท้าหลังมี 3 กีบ) ปฏิกิริยาอ้าปากสูดกลิ่น สมเสร็จ (Tapir) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมกินพืชขนาดใหญ่ เป็นสัตว์มีหน้าตาประหลาด มีลักษณะของสัตว์หลายชนิดผสมอยู่ในตัวเดียวกัน มีจมูกที่ยื่นยาวออกมาคล้ายงวงของช้าง ลำตัวคล้ายหมูที่มีขายาว หางสั้นคล้ายหมีและมีกีบเท้าคล้ายแรด อาศัยในป่าทึบในแถบอเมริกาใต้, อเมริกากลาง, และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทั้งหมดสี่ชนิด คือ สมเสร็จอเมริกาใต้, สมเสร็จมลายู, สมเสร็จอเมริกากลาง และสมเสร็จภูเขา ทั้งสี่ชนิดถูกจัดสถานะเป็นใกล้สูญพันธุ์หรือเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ สมเสร็จเป็นญาติใกล้ชิดกับสัตว์กีบคี่อื่น ได้แก่ ม้า และแร.

ใหม่!!: สัตว์และสมเสร็จ · ดูเพิ่มเติม »

สมเสร็จภูเขา

มเสร็จภูเขา (Mountain Tapir) เป็นสมเสร็จที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็นเป็นเพียงชนิดเดียวที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในป่าดิบชื้น ชื่อวิทยาศาสตร์มาจากคำว่า "La Pinchaque" ซึ่งเป็นสัตว์ร้ายในจินตนาการที่มีถิ่นอาศัยบริเวณเดียวกันกับสมเสร็จภู.

ใหม่!!: สัตว์และสมเสร็จภูเขา · ดูเพิ่มเติม »

สมเสร็จมลายู

มเสร็จมลายู หรือ สมเสร็จเอเชีย (Malayan tapir, Asian tapir) บ้างเรียก ผสมเสร็.

ใหม่!!: สัตว์และสมเสร็จมลายู · ดูเพิ่มเติม »

สมเสร็จอเมริกากลาง

มเสร็จอเมริกากลาง (Baird’s Tapir) เป็นสมเสร็จที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ เป็นสมเสร็จหนึ่งในสามชนิดของลาตินอเมริก.

ใหม่!!: สัตว์และสมเสร็จอเมริกากลาง · ดูเพิ่มเติม »

สมเสร็จอเมริกาใต้

มเสร็จอเมริกาใต้ หรือ สมเสร็จบราซิลเลียน หรือ สมเสร็จป่าต่ำ (South American Tapir, Brazilian Tapir-มาจาก tupi tapi'ira, Lowland Tapir; โปรตุเกส: Anta) เป็นสมเสร็จชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์ป่าที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และสมเสร็จอเมริกาใต้ · ดูเพิ่มเติม »

สยามโมอะเดปิส แม่เมาะเอนซิส

มโมอะ​เดปิส​ ​แม่​เมาะ​เอนซิส เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ในอันดับไพรเมต (Primate) ซึ่งปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Siamoadapis maemohensis อยู่ในวงศ์ศิวะอะปิด (Sivaladapidae) ซึ่งมีกรามล่างจำ​นวน 4 กราม​ ​มีลักษณะสำคัญ คือ มีฟันกรามน้อยหนึ่งซี่​ซึ่ง​มีขนาด​ใหญ่​กว่าฟันกรามน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับไพรเมตวงศ์อื่น ๆ สยามโมอะ​เดปิส​ ​แม่​เมาะ​เอนซิส มีลักษณะ​ใกล้​เคียง​กับลีเมอร์ มีหางยาว​ไว้​เกาะเกี่ยวต้นไม้และ​มีวิวัฒนาการน้อย​ซึ่ง​พบเฉพาะ​เกาะมาดากัสการ์​ ​ในทวีปแอฟริกา ขณะที่ลำ​ตัวของ สยามโมอะ​เดปิส​ ​แม่​เมาะ​เอนซิส มี​ความ​ยาว 15 เซนติเมตร หรือ​เล็ก​กว่าลิงลมในปัจจุบันครึ่งหนึ่ง​ มีน้ำหนักเพียง​ 500-700 กรัม หากินในเวลากลางคืน​ โดย​กินแมลง,​ ใบไม้และผลไม้​เป็น​อาหาร​ ​ไม่​สามารถ​กัดกินอาหารแข็ง ๆ ได้ ​มีอายุ​อยู่​เมื่อประมาณ 13 ล้านปีก่อน​หรือ​ตอนกลางของยุคไมโอซีนเมื่อ 8 ล้านปีที่​แล้ว โดยขุดค้นเป็นซากฟอสซิลครั้งแรกในอำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคแถบนี้ เมื่อปี ค.ศ. 2004 โดย ดร.

ใหม่!!: สัตว์และสยามโมอะเดปิส แม่เมาะเอนซิส · ดูเพิ่มเติม »

สยามโมดอน

มโมดอน นิ่มงามมิ (Siamodon nimngami) เป็นไดโนเสาร์ ออร์นิโธพอด กลุ่มที่เรียกว่า อิกัวโนดอนเทีย (Iguanodontia) พบชิ้นส่วนกระดูกขากรรไกรบนด้านซ้าย (PRC-4), ฟันจากขากรรไกรบนเดี่ยวๆ 1 ซี่ (PRC-5), และกระดูกส่วนสมองด้านท้ายทอย (PRC-6) จากแหล่งขุดค้นบ้านสะพานหิน ตำบลสุรนารี อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา โดยผู้ที่พบคือ นายวิทยา นิ่มงาม พบฟันและกระดูกไดโนเสาร์ ในหินกรวดมนปนปูน หมวดหินโคกกรวด ยุคครีตาเชียสตอนต้น มีอายุประมาณ 125 - 113 ล้านปีมาแล้ว สยามโมดอน นิ่มงามมิ มีลักษณะของกระดูกขากรรไกรบนเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ที่มียอดสามเหลี่ยมไม่สูงนัก ซึ่งมีความยาวทางด้านหน้าสามเหลี่ยม กับด้านหลังสามเหลี่ยมเกือบเท่าๆ กัน คือมีความยาวของขากรรไกรบน 230 มิลลิเมตร และมีความสูง 100 มิลลิเมตร, มีส่วนโป่งของพื้นผิวด้านในของขากรรไกรบน เป็นแนวยาวที่เด่นชัด, มีฟันของขากรรไกรบน ประมาณ 25 ซี่ ซึ่งมีสันอยู่ตรงกลางตามแนวยาวของฟันจำนวน 1 สันที่เด่นชัดมาก และบางทีอาจมีสันเล็กๆ บางๆ อยู่ด้านข้างของสันใหญ่ อีก 1 สัน หรืออาจไม่มีเลยก็ได้, ความยาวของฟันประมาณ 25 - 28 มิลลิเมตร และความกว้างของฟันประมาณ 14 - 17 มิลลิเมตร สยามโมดอน แตกต่างจากไดโนเสาร์พวกอิกัวโนดอนเทียแรกเริ่ม (basal iguanodontia) เช่น ไดโนเสาร์วงศ์ อิกัวโนดอน (Iguanodontids) ตรงที่มีลักษณะของ "ฟัน" ของขากรรไกรบน ที่ไม่เหมือนกัน โดยไดโนเสาร์วงศ์อิกัวโนดอน จะมีสันฟันไม่ได้อยู่ตรงกลางตามแนวยาวของฟัน และยังมีสันฟันเล็กๆ อยู่ด้านข้างอยู่อีกหลายๆ สัน นอกจากนี้ ยังมีลักษณะของส่วนยอดของขากรรไกรบน จะอยู่ในตำแหน่งที่คล้อยไปทางด้านหลังอีกด้วย สยามโมดอน แตกต่างจากไดโนเสาร์ วงศ์ฮาโดรซอร์ (Hadrosaurids) ตรงที่บริเวณการประสานต่อกัน ของกระดูกโหนกแก้ม (jugal) กับกระดูกขากรรไกรบน โดยมีส่วนยื่นของกระดูกโหนกแก้ม (jugal process) มีลักษณะเป็น "แถบแบน" ในขณะที่ไดโนเสาร์วงศ์ฮาโดรซอร์ จะมีลักษณะการขยายทางส่วนหน้าของกระดูกโหนกแก้ม และ อยู่เหลื่อมกันบริเวณรอยต่อของกระดูกขากรรไกรบน สยามโมดอน นิ่มงามมิ มีลักษณะของกระดูกขากรรไกรบนคล้ายคลึงกับไดโนเสาร์ โปรแบคโตรซอรัส (Probactrosaurus) จากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยพิจารณาจากลักษณะที่มีส่วนยื่นของกระดูกโหนกแก้ม ที่เป็นแถบแบน เหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันครงที่ มีจำนวนฟันของกระดูกขากรรไกรบน ที่น้อยกว่า Probactrosaurus.

ใหม่!!: สัตว์และสยามโมดอน · ดูเพิ่มเติม »

สยามโมซอรัส

มโมซอรัส สุธีธรนี (Siamosaurus suteethorni) เป็นไดโนเสาร์เทอโรพอด ขนาดกลาง พบครั้งแรกที่หลุมขุดค้นที่ 1 ที่ภูประตูตีหมา อุทยานแห่งชาติภูเวียง อำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น ชิ้นส่วนตัวอย่างต้นแบบเป็นฟัน 9 ซี่ มีลักษณะคล้ายฟันจระเข้ เป็นรูปกรวยยาวเรียว ค่อนข้างตรง และโค้งเล็กน้อยในแนวด้านหลังของฟัน บนผิวของฟันมีร่องและสันนูนเล็กๆตามแนวความยาวของตัวฟันด้านละ 15 ลายเส้นโยงจากฐานของตัวฟันไปยังส่วนของยอดฟันห่างจากส่วนปลายสุดประมาณ 5 มิลลิเมตร แต่ไม่มีลักษณะเป็นหยักแบบฟันเลื่อย ความยาวของตัวฟันทั้งหมด 62.5 มิลลิเมตร ลักษณะฟันดังกล่าวไม่เคยมีรายงานการค้นพบจากที่ใดๆในโลกมาก่อน จึงพิจารณาให้เป็นสกุลและชนิดใหม่ คือ "สยามโมซอรัส สุธีธรนี".

ใหม่!!: สัตว์และสยามโมซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

สยามโมไทรันนัส

มโมไทรันนัส อิสานเอนซิส (Siamotyrannus isanensis) เป็นไดโนเสาร์เทอโรพอด ลำตัวยาวประมาณ 6.5 เมตร ชื่อของมันหมายถึง"ทรราชแห่งสยามจากภาคอีสาน" พบกระดูกเป็นครั้งแรกที่หลุมขุดค้นที่ 9 ที่ภูประตูตีหมา อุทยานแห่งชาติภูเวียง อำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น โดยนายสมชัย เตรียมวิชานนท์ นักธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และสยามโมไทรันนัส · ดูเพิ่มเติม »

สลอธ

ลอธ หรือ สโลธ (sloth) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดกลางในวงศ์สลอธสองนิ้วเท้า (Megalonychidae) และสลอธสามนิ้วเท้า (Bradypodidae) จำแนกเป็นหกสปีชีส์ สลอธอยู่ในอันดับ Pilosa และมีความสัมพันธ์กับตัวกินมด ซึ่งมีชุดกรงเล็บที่ทำหน้าที่พิเศษคล้ายกัน สลอธเท่าที่มีอยู่เป็นสัตว์อาศัยอยู่บนต้นไม้ในป่าอเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้ และขึ้นชื่อว่าเคลื่อนที่ช้า อันเป็นที่มาของชื่อ "sloth" สปีชีส์สลอธที่สูญพันธุ์แล้วมีสลอธน้ำบางชนิดและสลอธบกอีกหลายชนิด บางชนิดมีขนาดเท่าช้าง สลอธสร้างแหล่งที่อยู่ที่ดีสำหรับสิ่งมีชีวิตอื่น และสลอธหนึ่งตัวอาจเป็นที่อยู่ของผีเสื้อกลางคืน แมลงเต่าทอง แมลงสาบ ซิลิเอต เห็ดราและสาหร.

ใหม่!!: สัตว์และสลอธ · ดูเพิ่มเติม »

สังข์รดน้ำ

ังข์รดน้ำ (Valambari shank, Great indian chank) เป็นหอยทะเลฝาเดี่ยวชนิดหนึ่ง ในวงศ์หอยสังข์มงคล (Turbinellidae) จัดเป็นหอยขนาดใหญ่ มีเปลือกหนา รูปเปลือกค่อนข้างป้อม วงเกลียวตัวกลม ส่วนปลายมีร่องยาวปานกลาง ส่วนยอดเตี้ย ช่องเปลือกรูปรี ขอบด้านในมีสัน 3-4 อัน ผิวชั้นนอกสุดสีน้ำตาล เป็นชั้นที่บางและหลุดล่อนง่าย และมักจะหลุดออกเมื่อหอยตาย เปลือกชั้นรองลงไปเป็นส่วนที่มีความหนาและแข็ง ค่อนข้างเรียบ มีสีขาวนวลหรือสีขาวอมชมพู พบกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะมหาสมุทรอินเดียทางตอนใต้ของประเทศอินเดียและประเทศศรีลังกาเท่านั้น อาศัยอยู่ตามพื้นน้ำที่เป็นพื้นทราย กินหนอนตัวแบนและแพลงก์ตอนเป็นอาหาร สังข์รดน้ำ โดยปกติแล้วจะมีเปลือกเวียนทางซ้าย (อุตราวรรต) ตามเข็มนาฬิกา แต่มีบางตัวที่เวียนไปทางด้านขวา (ทักษิณาวรรต) ซึ่งพบได้น้อยมาก ซึ่งหอยลักษณะนี้ตามคติของศาสนาฮินดูจะถือเป็นมงคล (ตามคติของพราหมณ์-ฮินดู ขว.

ใหม่!!: สัตว์และสังข์รดน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

สัตววิทยา

ัตววิทยา (Zoology, มาจากภาษากรีกโบราณ ζῷον (zoon) หมายถึง "สัตว์" และ λόγος หมายถึง "วิทยาการ หรือ ความรู้") จัดเป็นศาสตร์ด้านชีววิทยาสาขาหนึ่ง เกี่ยวข้องกับสมาชิกในอาณาจักรสัตว์ และชีวิตสัตว์โดยทั่วไป โดยเป็นการศึกษาเรื่องสัตว์ ตั้งแต่พวกสัตว์ชั้นต่ำพวก ฟองน้ำ แมงกะพรุน พยาธิตัวแบน พยาธิตัวกลม กลุ่มหนอนปล้อง สัตว์ที่มีข้อปล้อง กลุ่มสัตว์พวกหอย ปลาดาว จนถึง สัตว์มีกระดูกสันหลัง และ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตววิทยาศึกษาโดยรวมเกี่ยวกับร่างกายของสัตว์ ไม่ได้เน้นส่วนใดส่วนหนึ่ง และกระบวนการสำคัญในการดำรงชีพ แต่ศึกษาความสัมพันธ์ของสัตว์หรือกลุ่มสัตว์กับสภาพแวดล้อม เนื่องจากเป็นขอบเขตการศึกษาที่กว้าง จึงมักจะแบ่งย่อยเป็นสาขาอื่นๆ อีก เช่น วิทยาเซลล์, วิทยาตัวอ่อน, สัณฐานวิทยา, โบราณชีววิทยา, พันธุศาสตร์และวิวัฒนาการ, อนุกรมวิธาน, พฤติกรรมวิทยา, นิเวศวิทยา และสัตวภูมิศาสตร์ เป็นต้น สัตววิทยานั้นมีการศึกษามาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ และจักรวรรดิโรมัน จากงานของฮิปโปเครเตส, อะริสโตเติล, และพลินี นักธรรมชาตินิยมสมัยต่อมาเจริญรอยตามอริสโตเติล จนในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เมื่อมีการพิมพ์แพร่หลาย ความรู้เหล่านี้ก็กว้างขวางขึ้น มีการศึกษาและเผยแพร่มากขึ้น เช่น วิลเลียม ฮาร์วีย์ (การไหลเวียนของเลือด), คาโรลุส ลินเลียส (ระบบการตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์), ฌอร์ฌ-หลุยส์ เลอแกลร์ก กงต์เดอบูว์ฟง (ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ) และฌอร์ฌ กูว์วีเย (กายวิภาคเปรียบเทียบ) ซึ่งเป็นการศึกษาในขั้นลึกของสัตววิทยา จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของการศึกษาสัตววิทยา ก็เมื่อชาลส์ ดาร์วิน ได้ตีพิมพ์หนังสือ กำเนิดพงศ์พันธุ์ (On the Origin of Species by Means of Natural Selection) ซึ่งได้อธิบายทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต นับแต่นั้นการศึกษาด้านพันธุศาสตร์เริ่มมีความจำเป็นในการศึกษาทางชีววิทยา และการศึกษาในแนวลึกเฉพาะด้านเริ่มมีมากขึ้น และยังมีการศึกษาคาบเกี่ยวกันในแต่ละสาขาวิชาด้วย สำหรับสถาบันที่เปิดสอนศาสตร์ด้านสัตววิทยานั้น ในประเทศไทย ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ต้องผ่านการสอบคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ที่มีหลักสูตร สาขาวิชาสัตววิทยา และสาขาวิชาชีววิทยา เช่น คณะวิทยาศาสตร์ คณะเกษตร คณะประมง เช่น คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หลักสูตร 4 ปี สำเร็จการศึกษาได้วุฒิปริญญาตรี เป็นต้น และเมื่อศึกษาจบแล้ว สามารถเข้าทำงานในหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนได้ต่าง ๆ หลากหล.

ใหม่!!: สัตว์และสัตววิทยา · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์พวกกุ้งกั้งปู

รัสเตเชียน หรือ กุ้ง-กั้ง-ปู เป็นไฟลัมย่อยของสัตว์ขาปล้อง ประกอบด้วยพวกกุ้ง กั้ง และปู สัตว์ในกลุ่มนี้มีระยางค์ 5 คู่ แต่ละคู่มี 2 ก้าน ส่วนท้ายมีระยางค์อีก 8 คู่ ตาประกอบเป็นก้าน มีขนแข็งทั่วตัวใช้รับสัมผัส ระบบสืบพันธุ์แยกเพศกัน ปฏิสนธิภายใน ตัวอ่อนลอกคราบหลายครั้งจนกว่าจะเป็นตัวเต็มวัย แบ่งย่อยเป็น.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์พวกกุ้งกั้งปู · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์พวกหนอนปล้อง

ัตว์พวกหนอนปล้อง หรือ แอนเนลิดา เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังได้แก่ ไส้เดือนดิน ไส้เดือนทะเลและปลิงน้ำจืด ลำตัวกลมยาว คล้ายวงแหวนต่อกันเป็นปล้องอย่างแท้จริง อวัยวะภายนอกและภายในจัดเป็นชุดซ้ำๆกันในแต่ละปล้องไปตลอดตัว ส่วนใหญ่ดำรงชีวิตเป็นอิสระ มีส่วนน้อยที่เป็นปรสิต ผิวหนังปกคลุมด้วยคิวติเคิลบาง มีต่อมสร้างเมือก มีระยางค์เป็นแท่งแข็งหรือเดือยในแต่ละปล้อง ช่วยในการเคลื่อนที่ ลำตัวมีกล้ามเนื้อวงกลมและกล้ามเนื้อตามยาว ซีลอมแบ่งเป็นห้องๆตามลำตัวตามปล้องลำตัว การหายใจผ่านทางผิวหนัง ระบบขับถ่ายมีเนฟฟริเดียมปล้องละ 1 คู่ นำของเสียมาตามท่อ เปิดสู่ภายนอก ระบบประสาทมีปมสมอง 1 คู่เชื่อมไปยังเส้นประสาทกลางตัวด้านล่างซึ่งมีปมประสาทและเส้นประสาทย่อย มีเซลล์รับสัมผัสกลิ่นและแสง ระบบสืบพันธุ์มีทั้งแบบแยกและไม่แยกเพศ แต่ไม่สามารถผสมพันธุ์ภายในตัวเองได้.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์พวกหนอนปล้อง · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์กินเนื้อ

ัตว์กินเนื้อ หรือ คาร์นิวอรา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Order Carnivora) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หมายถึงสัตว์ที่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก ไม่ว่าเนื้อสัตว์นั้นจะมาจากสัตว์ที่มีชีวิตอยู่หรือว่าตายแล้ว สัตว์บางชนิดจำเป็นที่จะต้องกินเนื้อเพื่อความอยู่รอด อันเนื่องมาจากพันธุกรรม เราเรียกสัตว์ในกลุ่มนี้ว่า "true carnivore" (สัตว์กินเนื้อแท้) หรือ "obligate carnivores" (สัตว์กินเนื้อโดยบังคับ) สัตว์ในกลุ่มนี้อาจกินพืชผักหรืออาหารชนิดอื่นได้ แต่มันจะต้องกินเนื้อเพื่อเป็นแหล่งสารอาหารหลักของมัน กายวิภาคของสัตว์ในกลุ่มนี้ ทำให้มันไม่สามารถย่อยอาหารจำพวกพืชได้อย่างมีประสิท.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์กินเนื้อ · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์กีบคี่

ัตว์กีบคี่ หรือ เพอริสโซแดกทีลา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Perissodactyla) เป็นอันดับทางชีววิทยา จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง เป็นอันดับหนึ่งใน 18 อันดับของชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม Hippomorpha ปัจจุบันเหลือเพียงสองวงศ์คือ: Tapiridae และ Rhinocerotidae วงศ์ทั้งสามที่เหลือจัดจำแนกดังข้างล่าง.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์กีบคี่ · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์มีกระดูกสันหลัง

ัตว์มีกระดูกสันหลัง (Vertebrate) สิ่งมีชีวิตประเภทนี้มีกระดูกสันหลังหรือไขสันหลัง สิ่งมีชีวิตที่มีกระดูกสันหลังเริ่มมีวิวัฒนาการมาเป็นเวลาประมาณ 505 ล้านปี ในยุคแคมเบรียนกลาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของช่วงยุคแคมเบรียน โครงกระดูกของไขสันหลัง ถูกเรียกว่ากระดูกสันหลัง Vertebrate เป็นไฟลัมย่อยที่ใหญ่ที่สุดใน Chordates รวมทั้งยังมีสัตว์ที่คนรู้จักมากที่สุดอีกด้วย (ยกเว้นแมลง) ปลา สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (รวมทั้งมนุษย์) เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีกระดูกสันหลังทั้งสิ้น ลักษณะเฉพาะของไฟลัมย่อยนี้คือระบบของกล้ามเนื้อจำนวนมาก เช่นเดียวกับระบบประสาทส่วนกลางที่ถูกวางในกระดูกสันหลังเป็นส่วน ๆ สัตว์มีกระดูกสันหลัง คือกระดูกสันหลังจะอยู่เป็นแนวยาวไปตามด้านหลังของสัตว์ กระดูกสันหลังจะต่อกันเป็นข้อๆ ยืดหยุ่น เคลื่อนไหวได้มีหน้าที่ช่วยพยุงร่างกายให้เป็นรูปร่างทรวดทรงอยู่ได้และยังช่วยป้องกันเส้นประสาทอีกด้วย สัตว์พวกมีกระดูกสันหลัง นักวิทยาศาสตร์ยังแบ่งออกเป็น 5 พวกคือ.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์มีกระดูกสันหลัง · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์มีแกนสันหลัง

ัตว์มีแกนสันหลัง คือสัตว์ในไฟลัมคอร์ดาตา พวกมันจะมีแกนสันหลัง ใยประสาทส่วนหลังกลวง ช่องคอหอย หลอดเส้นประสาทกลวงส่วนหลัง และหางหลังทวารหนัก ในช่วงหนึ่งของวงจรชีวิต สัตว์มีแกนสันหลังเป็นพวกดิวเทอโรสโตม กล่าวคือในช่วงระยะตัวอ่อน ทวารหนักเกิดก่อนปาก และเป็นซีโลเมตที่มีสมมาตรด้านข้าง ในกรณีของสัตว์มีแกนสันหลังที่มีกระดูกสันหลัง แกนสันหลังจะถูกแทนที่โดยกระดูกสันหลังในช่วงเจริญเติบโต และพวกมันอาจจะมีปล้องตามร่างกาย ในอนุกรมวิธาน ตัวไฟลัมเองประกอบไปด้วยไฟลัมย่อยเวอร์เตบราตา (ซึ่งประกอบด้วย ปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ปีก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม) ทูนิคาตา (ซึ่งรวมทั้งซาล์ปและเพรียงหัวหอม) และเซฟาโลคอร์ดาตา ประกอบด้วยแหลนทะเล และยังรวมถึงบางกลุ่มที่สูญพันธุ์ไปแล้ว บางครั้งกลุ่มสัตว์มีกระดูกสันหลังถูกจัดรวมอยู่กับกลุ่มสัตว์มีกระโหลกศีรษะ สัตว์มีแกนสันหลังมีมากกว่า 65,000 สปีชีส์ที่ยังมีชีวิตอยู่ กว่าครึ่งเป็นพวกปลากระดูกแข็ง วาฬและเหยี่ยวเพเรกริน สัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเคลื่อนที่เร็วที่สุดตามลำดับ เป็นสัตว์มีแกนสันหลังเช่นเดียวกันกับมนุษย์ ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์มีแกนสันหลังยุคแรกๆ มีอายุย้อนไปถึงในช่วงการระเบิดยุคแคมเบรียน.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์มีแกนสันหลัง · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์รังควาน

ัตว์รังควาน หรือ สัตว์ก่อความรำคาญ (pest) หมายถึงสัตว์หลายชนิดที่รบกวนมนุษย์หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ในความหมายอย่างหลวม ๆ อาจรวมถึง หนอนพยาธิ ปรสิต จุลชีพก่อโรค วัชพืช ด้วย ในความหมายที่กว้างที่สุด สัตว์รังควานอาจหมายถึงผู้แข่งขันของมนุษยชาต.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์รังควาน · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก

ัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก หรือที่นิยมเรียกทั่วไปว่า สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ (Amphibians) เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่อยู่ในชั้น Amphibia อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก มีลักษณะเฉพาะ คือ ผิวหนังมีต่อมเมือกทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นตลอดเวลา ผิวหนังเปียกลื่นอยู่เสมอ ไม่มีเกล็ดตัวไม่แห้งหรือไม่มีขน หายใจด้วยเหงือก, ปอด, ผิวหนัง หรือผิวในปากในคอ โดยชั้นผิวหนังนั้นมีลักษณะพิเศษสามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้เนื่องจากมีโครงข่ายหลอดเลือดฝอยจำนวนมาก เพื่อใช้ในการหายใจ สืบพันธุ์โดยการผสมพันธุ์ภายนอกลำตัว สืบพันธุ์เมื่ออายุ 2–3 ปี ออกลูกเป็นไข่อยู่ในน้ำ ไม่มีเปลือก วางไข่เป็นกลุ่มในน้ำมีสารเป็นวุ้นหุ้ม ลูกอ่อนที่ออกจากไข่มีรูปร่างคล้ายปลาเรียกว่า "ลูกอ๊อด" อยู่ในน้ำหายใจด้วยเหงือก เมื่อเติบโตเต็มที่แล้วมีปอดหายใจ ขึ้นบกได้ แต่ต้องอยู่ใกล้น้ำ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างทั้งภายนอกและภายในอย่างสิ้นเชิง ไปตามวงจรชีวิต ตัวอ่อนอาศัยอยู่ในน้ำ หายใจด้วยเหงือก เมื่อโตขึ้นจะเปลี่ยนรูปร่างอาศัยอยู่บนบก หายใจด้วยปอดหรือผิวหนัง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งในช่วงระหว่างฤดูหนาวถึงฤดูร้อน ส่วนใหญ่จะขุดรูจำศีล เพื่อหนีความแห้งแล้ง มิให้ผิวหนังแห้ง ถ้าผิวหนังแห้งจะหายใจไม่ได้และตายในที่สุด เพราะก๊าชจากอากาศต้องละลายไปกับน้ำเมือกที่ผิวหนัง แล้วจึงแพร่เข้าสู่กระแสโลหิต ระยะนี้จะใช้อาหารที่สะสมไว้ในร่างกายอย่างช้า ๆ นิวต์และซาลามานเดอร์ก็เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเหมือนกัน แต่แตกตางกันตรงที่นิวต์และซาลามานเดอร์จะยังคงหางของมันไว้ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกถือเป็นสัตว์เลือดเย็นเช่นเดียวกับสัตว์พวกปลา หรือแมลง หรือสัตว์เลื้อยคลาน ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานสัตว์ในชั้นแล้วกว่า 6,500 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์หิมพานต์

้อมูลเกี่ยวกับสัตว์หิมพานต์ สัตว์หิมพานต์ คือสัตว์ในจินตนาการที่กวี หรือจิตรกร พรรณนาถึง อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์หรือเขาไกรลาส ดังที่ปรากฏในวรรณคดีไตรภูมิพระร่วง และรามเกียรติ์ โดยมีลักษณะของสัตว์หลายชนิดมาประกอบกันในตัวเดียว จำแนกออกเป็น 3 ประเภท คือ สัตว์ทวิบาท (มีสองขา) สัตว์จตุบาท (มีสี่ขา) และจำพวกปล.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์หิมพานต์ · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์ขาปล้อง

ัตว์ขาปล้อง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Arthropoda อาร์โธรโพดา) หรือที่รู้จักกันดีและนิยมเรียกว่า อาร์โธพอด เป็นไฟลัมหลักของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่มีขนาดของลำตัวแบ่งเป็นส่วน ๆ 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนอกและส่วนท้อง ซึ่งสัตว์ขาปล้องบางจำพวกอาจจะมีส่วนหัวและส่วนอกที่เชื่อต่อกันเป็นส่วนเดียวกันด้วยก็ได้ จะมีเปลือกแข็งหุ้มบริเวณลำตัวสำหรับทำหน้าที่ป้องกันและช่วยพยุงร่างกายที่อ่อนนิ่มที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกแข็ง ชั้นคิวติเคิลเปลี่ยนไปตามรายละเอียดของรูปร่าง ประกอบด้วยสามชั้นคือ ชั้นผิวนอก (epicuticle) เป็นชั้นนอกที่บาง มีขี้ผึ้งเคลือบเพื่อป้องกันความชื้น ชั้นนอก (exocuticle) ประกอบด้วยไคติน และโปรตีนที่ทำให้แข็ง และชั้นใน (endocuticle) ที่ประกอบด้วยไคตินและโปรตีนที่ไม่ทำให้แข็ง ชั้นนอกและชั้นในเรียกรวมกันว่า procuticle และที่สำคัญคือช่วยพยุงให้ร่างกายของพวกสัตว์ขาปล้องมีรูปร่างที่แน่นอน.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์ขาปล้อง · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์ปีก

ัตว์ปีก หรือ นก (รวมถึง ไก่, เป็ด, ห่าน, ไก่ฟ้า) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้น Aves (คำว่า Aves เป็นภาษาละติน หมายถึง นก) โดยมีลักษณะทั่วไปคือ เป็นสัตว์ทวิบาท เลือดอุ่น ออกลูกเป็นไข่ รยางค์คู่หน้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นปีก มีขนนก และมีกระดูกที่กลวงเบา ในปัจจุบันทั่วโลกมีนกอยู่ประมาณ 8,800 ถึง 9,800 ชนิด (ตามการจัดอนุกรมวิธานที่ต่างกัน) ซึ่งนับว่านกเป็นชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีความหลากหลายมากที่สุด ในบรรดาชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหลายที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน ความหลากหลายของนกนับเนื่องไปตั้งแต่ในเรื่องของขนาดตัว สีสัน เสียงร้อง อาหารการกิน และถิ่นที่อยู่อาศัย นกเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญเป็นอันมากทั้งต่อระบบนิเวศและต่อชีวิตมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับนกเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น และการเกื้อกูลกันระหว่างนกกับสรรพสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติก็เป็นไปอย่างแนบแน่น ถ้าหากปราศจากนก คงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงการดำรงอยู่ต่อไปของชีวภาคใบนี้.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์ปีก · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์ป่า

สัตว์ป่า หมายถึง สัตว์ทุกชนิดไม่ว่าสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีก แมลงหรือแมง ซึ่งโดยสภาพธรรมชาติย่อมเกิดและดำรงชีวิตอยู่ในป่าหรือในน้ำ และหมายความรวมถึงไข่ของสัตว์ป่าเหล่านั้นทุกชนิดด้วย แต่ไม่หมายความรวมถึงสัตว์พาหนะที่ได้จดทะเบียน ตามรูปพรรณตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะแล้ว และสัตว์พาหนะที่ได้มาจากการสืบพันธุ์ของสัตว์พาหนะดังกล่าว หมวดหมู่:สัตว์.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์ป่า · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง

Invertebrata สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง (Invertebrates) หมายความรวมถึงสัตว์ที่ไม่มีแท่งกระดูกสันหลังสำหรับยึดติดให้เป็นส่วนเดียวกันของร่างกาย จัดเป็นสัตว์ประเภทที่ไม่มีกระดูก และไม่มีกระดูกอ่อนอยู่ภายในร่างกาย มีความแตกต่างจากสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ที่ทั้งหมดถูกจัดอยู่ในไฟลัมเดียวในอาณาจักรสัตว์ แต่สำหรับสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีจำนวนมากมายหลากหลายไฟลัม และมีจำนวนมากกว่าสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังมากที่สุดในโลกบพิธ - นันทพร จารุพันธุ์, สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เล่ม 1, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2545 หน้า 1 สัตว์จำพวกไม่มีกระดูกสันหลังมีจำนวนมากว่าสัตว์พวกมีกระดูกสันหลัง แบ่งเป็น.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์เลื้อยคลาน

ัตว์เลื้อยคลาน (reptile) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง โดยคำว่า Reptilia มาจากคำว่า Repera ที่มีความหมายว่า "คลาน" เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่จัดเป็นสัตว์ในกลุ่มแรก ๆ ของโลกที่มีการดำรงชีวิตบนบกอย่างแท้จริง สัตว์เลื้อยคลานในยุคดึกดำบรรพ์ที่รอดชีวิตจากการสูญพันธุ์และยังดำรงชีวิตในปัจจุบัน มีจำนวนมากถึง 7,000 ชนิดชนิดของสัตว์เลื้อยคลาน, สัตววิทยา, บพิธ-นันทพร จารุพันธุ์, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2547, หน้า 364 กระจายอยู่ทั่วโลกทั้งชนิดอาศัยในแหล่งน้ำและบนบก จัดเป็นกลุ่มของสัตว์ที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนสภาพร่างกายในการเอาตัวรอดจากเหตุการณ์หินอุกกาบาตพุ่งชนโลกมามากกว่า 100 ล้านปีมาแล้ว ในยุคจูแรสซิกที่อยู่ในมหายุคมีโซโซอิก ซึ่งมีอายุของยุคที่ยาวนานถึง 100 ล้านปี จัดเป็นยุคที่สัตว์เลื้อยคลานมีวิวัฒนาการจนถึงขีดสุด มีสัตว์เลื้อยคลานมากมายหลากหลายขนาด ตั้งแต่กิ้งก่าตัวเล็ก ๆ จนถึงไทรันโนซอรัส เร็กซ์ซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ ที่มีจำนวนมากมายครอบครองพื้นที่ทั่วทุกแห่งในโลก ยุคจูแรสซิกจึงถือเป็นยุคของสัตว์เลื้อยคลานอย่างแท้จริง ต่อมาภายหลังเกิดเหตุการณ์อุกกาบาตพุ่งชนโลก ทำให้กลุ่มสัตว์บกที่อาศัยในยุคจูแรสซิก เกิดล้มตายและสูญพันธุ์อย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุของการสูญพันธุ์ที่ชัดเจนและแน่นอน.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์เลื้อยคลาน · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม

ัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม (Mammalia) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง โดยคำว่า Mammalia มาจากคำว่า Mamma ที่มีความหมายว่า "หน้าอก" เป็นกลุ่มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ที่มีการวิวัฒนาการและพัฒนาร่างกายที่ดีหลากหลายประการ รวมทั้งมีระบบประสาทที่เจริญก้าวหน้า สามารถดำรงชีวิตได้ในทุกสภาพสิ่งแวดล้อมสัตววิทยา (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม), บพิธ-นันทพร จารุพันธุ์, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2547, หน้า 411 มีขนาดของร่างกายและรูปพรรณสัณฐานที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะของสายพันธุ์ มีลักษณะเด่นคือมีต่อมน้ำนมที่มีเฉพาะในเพศเมียเท่านั้น เพื่อผลิตน้ำนมเพื่อใช้เลี้ยงลูกวัยแรกเกิด เป็นสัตว์เลือดอุ่น มีขนเป็นเส้น ๆ (hair) หรือขนอ่อน (fur) ปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย เพื่อเป็นการรักษาอุณหภูมิในร่างกาย ยกเว้นสัตว์น้ำที่ไม่มีขน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ไม่จัดอยู่ในประเภทสัตว์กลุ่มใหญ่ คือมีจำนวนประชากรประมาณ 4,500 ชนิด ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับนก ที่มีประมาณ 9,200 ชนิด และปลาอีกประมาณ 20,000 ชนิด รวมทั้งแมลงอีกประมาณ 800,000 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นสัตว์บก เช่น สุนัข ช้าง ลิง เสือ สิงโต จิงโจ้ เม่น หนู ฯลฯ สำหรับสัตว์น้ำที่จัดเป็นเลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ได้แก่ โลมา วาฬ มานาทีและพะยูน แต่สำหรับสัตว์ปีกประเภทเดียวที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมคือค้างคาว ซึ่งกระรอกบินและบ่างนั้น ไม่จัดอยู่ในประเภทของสัตว์ปีก เนื่องจากใช้ปีกในการร่อนไปได้เพียงแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมส่วนใหญ่ออกลูกเป็นตัว ยกเว้นตุ่นปากเป็ดและอีคิดนาเท่านั้นที่ออกลูกเป็น.

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม · ดูเพิ่มเติม »

สัตว์เคี้ยวเอื้อง

ัตว์เคี้ยวเอื้อง (ruminant) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในอันดับ Artiodactyla ซึ่งย่อยอาหารที่ประกอบด้วยพืชเป็นหลัก โดยเริ่มจากการย่อยให้นุ่มก่อนในกระเพาะอาหารส่วนแรกของสัตว์นั้น ซึ่งเป็นการกระทำของแบคทีเรียเป็นหลัก แล้วจึงสำรอกเอาอาหารที่ย่อยแล้วครึ่งหนึ่งออกมา เรียกว่า เอื้อง (cud) ค่อยเคี้ยวอีกครั้ง ขบวนการเคี้ยวเอื้องอีกครั้งเพื่อย่อยสลายสารที่มีอยู่ในพืชและกระตุ้นการย่อยอาหารนี้ เรียกว่า "การเคี้ยวเอื้อง" (ruminating) มีสัตว์เคี้ยวเอื้องอยู่ราว 150 สปีชีส์ ซึ่งมีทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เคี้ยวเอื้องมีทั้งปศุสัตว์ แพะ แกะ ยีราฟ ไบซัน กวางมูส กวางเอลก์ ยัค กระบือ กวาง อูฐ อัลปากา ยามา แอนทิโลป พรองฮอร์น และนิลกาย ในทางอนุกรมวิธาน อันดับย่อย Ruminanti มีสัตว์ทุกสปีชีส์ที่กล่าวมาข้างต้น ยกเว้นอูฐ ลามาและอัลปากา ซึ่งอยู่ในอันดับย่อย Tylopoda ดังนั้น คำว่า "สัตว์เคี้ยวเอื้อง" จึงมิได้มีความหมายเหมือนกับ Ruminantia คำว่า "ruminant" มาจากภาษาละตินว่า ruminare หมายถึง "ไตร่ตรองถี่ถ้วนอีกครั้ง" (to chew over again).

ใหม่!!: สัตว์และสัตว์เคี้ยวเอื้อง · ดูเพิ่มเติม »

สาบเสือ

ือ (Bitter bush, Siam weed) เป็นสมุนไพรอย่างหนึ่งที่หาง่ายมากมีอยู่ทั่วไป จัดว่าเป็นวัชพืชที่มีสรรพคุณทางยาที่ใช้ประโยชน์ได้ดีที่เดียว เราใช้" ต้นสาบเสือ" เป็นดรรชีชี้วัดอุณหภูมิความแห้งแล้งของอากาศ เพราะหากอากาศไม่แล้งต้นสาบเสือก็จะไม่ออกดอก สาเหตุที่ได้ชื่อว่า สาบเสือ ก็เพราะว่าดอกของมันไม่มีกลิ่นหอมเลยแต่กลับมีกลิ่นสาบ คนโบราณเวลาหนีสัตว์ร้ายอื่นเข้าดงสาบเสือจะปลอดภัย เพราะสัตว์อื่นนั้นจะไม่ได้กลิ่นคน.

ใหม่!!: สัตว์และสาบเสือ · ดูเพิ่มเติม »

สารอาหาร

วงจรของสารอาหารในมหาสมุทร สารอาหาร เป็น สารเคมีที่ สิ่งมีชีวิต ต้องการเพื่อการดำรงชีพ และ เติบโต หรือ เป็น สารที่ที่ใช้ในกระบวนการสร้างและสลาย โดยที่สิ่งมีชีวิตนั้นจะรับสารอาหารจากสิ่งแวดล้อมของมันWhitney, Elanor and Sharon Rolfes.

ใหม่!!: สัตว์และสารอาหาร · ดูเพิ่มเติม »

สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน

รานุกรมไทยสำหรับเยาวชน สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นสารานุกรมภาษาไทยจัดทำขึ้นเป็นรูปเล่ม โดยมีเนื้อหาบางส่วนเผยแพร่ในระบบออนไลน์ เป็นสารานุกรมไทยแบบเป็นชุด เน้นความรู้ที่เกิดขึ้นและใช้อยู่ในประเทศไทย จัดทำโดยคนไทย เพื่อให้คนไทยทุกเพศทุกวัยมีโอกาสได้อ่าน แต่ละเล่มรวบรวมเนื้อเรื่องจากหลากหลายสาขาวิชา เนื้อหาของเรื่องต่างๆ เรียบเรียงให้เหมาะสมกับ 3 ระดับความรู้ ให้แก่เด็กรุ่นเล็ก เด็กรุ่นกลาง และเด็กรุ่นใหญ่ รวมทั้งผู้ใหญ่ที่สนใจทั่วไป แต่ละเรื่องเริ่มต้นด้วยเนื้อหาของระดับเด็กรุ่นเล็ก ตามด้วยเนื้อหาของรุ่นกลางและรุ่นใหญ่ตามลำดับ เนื้อหาในแต่ละระดับพิมพ์ด้วยตัวอักษรขนาดต่างกัน.

ใหม่!!: สัตว์และสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน · ดูเพิ่มเติม »

สางห่า

ในที่เลี้ยง สางห่า หรือ จิ้งเหลนน้อยหางยาว เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่จัดอยู่ในอันดับ Squamata เช่นเดียวกับงูและกิ้งก่า จัดอยู่ในวงศ์จิ้งเหลนน้อยหางยาว (Lacertidae).

ใหม่!!: สัตว์และสางห่า · ดูเพิ่มเติม »

สางห่า (สกุล)

งห่า หรือ จิ้งเหลนน้อยหางยาว เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานในวงศ์ Lacertidae หรือ สางห่า ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Takydromus ซึ่งมาจากภาษากรีกคำว่า ταχυδρόμος (takhudromos), "วิ่งเร็ว" และ ταχύς (takhus), "เร็ว" + δρόμος (dromos), "สนามแข่ง, แข่งขัน" มีลักษณะทั่วไปมีลำตัวเรียวยาวและเพรียวผอม มีลักษณะเด่น คือ มีส่วนหางที่มีความยาวมากกว่าความยาวลำตัวตั้งแต่ปลายจมูกจรดรูทวาร 2–5 เท่า สามารถปล่อยหางให้หลุดจากลำตัวได้เพื่อหลบหลีกศัตรูตามธรรมชาติ โดยตำแหน่งที่ปล่อยหางอยู่ทางด้านหน้าของก้านกระดูกทางด้านข้างของกระดูกสันหลังส่วนหางทุกปล้อง มีเล็บนิ้วตีนทุกเล็บยาวและงุ้มลงด้านล่าง เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางวัน โดยมักหากินตามพื้นดินหรือไม่ก็ไม้พุ่มหรือต้นไม้เตี้ย ๆ มีความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวมาก จึงมักไม่พบเห็นตัวง่าย ๆ กระจายพันธุ์ในหลายประเทศของทวีปเอเชีย สำหรับในประเทศไทยพบเพียงชนิดเดียว.

ใหม่!!: สัตว์และสางห่า (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

สิงโต

งโต (Lion) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อยู่ในวงศ์ Felidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับแมว สิงโตมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera leo มีขนาดลำตัวใหญ่ ขนาดไล่เลี่ยกับเสือโคร่งทั่วไป (P. tigris) ซึ่งเป็นสัตว์ในสกุล Panthera เหมือนกัน จัดเป็นสัตว์ในวงศ์ Felidae ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรองมาจากเสือโคร่งไซบีเรีย (P. t. altaica) พื้นลำตัวสีน้ำตาล ไม่มีลาย ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนสร้อยคอยาว ขนปลายหางเป็นพู่ ชอบอยู่เป็นฝูงตามทุ่งโล่ง มีน้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัม (550 ปอนด์) ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า มักทำหน้าที่ล่าเหยื่อ มีน้ำหนักประมาณ 180 กิโลกรัม (400 ปอนด์) มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและประเทศอินเดีย ในป่าธรรมชาติ สิงโตมีอายุขัยประมาณ 10-14 ปี ส่วนสิงโตที่อยู่ในกรงเลี้ยงมีอายุยืนถึง 20 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และสิงโต · ดูเพิ่มเติม »

สิงโตบาร์บารี

งโตบาร์บารี หรือ สิงโตแอตลาส หรือ สิงโตนูเบียน (Barbary lion; Atlas lion; Nubian lion) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera leo leo เป็นสิงโตชนิดย่อยชนิดหนึ่ง ที่เชื่อว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้ว สิงโตบาร์บารีเป็นสิงโตที่มีขนาดใหญ่ มีจุดเด่นคือ ตัวผู้มีแผงขนคอที่มีสีดำมากกว่าสิงโตสายพันธุ์อื่น ๆ และมีน้ำหนักตัวมากที่สุดในบรรดาสิงโตด้วยกัน โดยเพศผู้มีน้ำหนักตัว 200- 295 กิโลกรัม เพศเมียมีน้ำหนักตัว 120- 180 กิโลกรัม อย่างไรก็ตามมีผู้เชี่ยวชาญบางท่านกล่าวว่าการคาดคะเนน้ำหนักดูเกินความจริงไปมาก เดิมสิงโตชนิดย่อยนี้พบแพร่กระจายตามแนวเทือกเขาแอตลาสในแอฟริกาเหนือ ไปจนถึงภูมิภาคตะวันออกกลางในทวีปเอเชีย ได้มีการจับสิงโตชนิดนี้เป็นจำนวนมากเพื่อใช้ในการต่อสู้ในยุคโรมัน สิงโตบาร์บารีในธรรมชาติตัวสุดท้ายถูกล่าเมื่อปี ค.ศ. 1922 ในบริเวณเทือกเขาแอตลาส ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้มีการเลี้ยงสิงโตสายพันธุ์นี้อยู่โรงแรม หรือคณะละครสัตว์หลายแห่งในทวีปยุโรป ในช่วงยุคกลางมีการเลี้ยงสิงโตบาร์บารี่ในบริเวณหอคอยลอนดอน ในปี ค.ศ. 1835 ได้มีการย้ายสิงโตออกจากหอคอยลอนดอนไปยังสวนสัตว์ลอนดอน โดยสิงโตบาร์บารี่ตัวที่มีชื่อเสียงที่สุด ชื่อ สุลต่าน ซึ่งอาศัยอยู่ในสวนสัตว์ลอนดอนในปี ค.ศ. 1896 ปัจจุบัน สิงโตกลุ่มที่คาดว่าน่าจะสืบเชื้อสายมาจากสิงโตบาร์บารี่มากที่สุดคือกลุ่มของสิงโตที่สวนสัตว์ในโมร็อคโค แอฟริกาเหนือ ซึ่งระบุว่าได้มาจากเทือกเขาแอตลาส และมีการทำประวัติไว้ทุกตัว ตลอดระยะเวลาหลายปี แต่จากผลตรวจดีเอ็นเอ โดย ดร.โนะบุยุกิ ยะมะกุชิ แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ซึ่งนำตัวอย่างซากของสิงโตที่คาดว่าจะเป็นสิงโตบาร์บารี่จากหลายพิพิธภัณฑ์มาตรวจสอบ เทียบกับสิงโตที่คาดว่าจะเป็นสิงโตบาร์บารี่ ในสวนสัตว์หลายแห่งในทวีปยุโรป รวมทั้งสิงโตในสวนสัตว์โมรอคโคบางตัว พบว่าไม่ได้มีสิงโตตัวใดเป็น สิงโตบาร์บารี่ อย่างไรก็ตามการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้ศึกษาถึงกลุ่มประชากรของสิงโตที่มีที่มาจากหอคอยลอนดอนในสวนสัตว์ลอนดอน ในปี ค.ศ. 2008 มีการศึกษาพบว่าสิงโตในโมร็อคโค มี mitochondrial haplotypes (H5 และ H6) เหมือนกับสิงโตในแอฟริกากลาง และยังพบว่า mitochondrial haplotypes (H7 และ H8) พบได้ในสิงโตอินเดีย อาจกล่าวได้ว่าสิงโตเริ่มแพร่กระจายจากแอฟริกาตะวันออกสู่พื้นที่อื่น ๆ และเข้าสู่ทวีปเอเชียในภายหลัง.

ใหม่!!: สัตว์และสิงโตบาร์บารี · ดูเพิ่มเติม »

สิงโตมาไซ

| name.

ใหม่!!: สัตว์และสิงโตมาไซ · ดูเพิ่มเติม »

สิงโตอินเดีย

งโตอินเดีย หรือ สิงโตเอเชีย หรือ สิงโตเปอร์เซีย (أسد آسيوي; Indian lion, Asiatic lion, Persian lion) เป็นชนิดย่อยของสิงโตที่ยังหลงเหลือในปัจจุบัน มีรูปร่างทั่วไปคล้ายสิงโตที่พบในทวีปแอฟริกา แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยตัวผู้เมื่อโตเต็มมีน้ำหนักประมาณ 160–190 กิโลกรัม ตัวเมียหนักประมาณ 110–120 กิโลกรัม ความยาวหัวถึงหางของตัวผู้ 2.92 เมตร ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของสิงโตอินเดีย คือ มีแผงคอทั้งตัวผู้และตัวเมีย และแผงคอของตัวผู้ไม่หนาและใหญ่เหมือนสิงโตในทวีปแอฟริกา มองเห็นใบหูเห็นชัดเจน ดังนั้นตัวผู้และตัวเมียจึงมีรูปลักษณ์ที่คล้ายกันมาก นอกจากนี้แล้วยังมีหนังทอดยาวตลอดใต้ลำตัวซึ่งไม่พบในสิงโตในทวีปแอฟริกา ทั้งนี้เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ต่างกันเนื่องจากสิงโตอินเดียอาศัยอยู่ในป่าทึบไม่เหมือนกับสิงโตในแอฟริกาที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าโล่งกว้าง และทำให้สิงโตอินเดียเป็นสัตว์ที่แฝงตัวได้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติรอบตัวในศรีลังกามีสิงโตอีกสายพันธ์คือ สิงโตศรีลังกา แต่สูญพันธ์เมื่อ32,000ปีก่อนไปพร้อมกับ เสือศรีลังกา มีซากฟอสซิลบางส่วนในพิพิธภัณฑ์ในศรีลังกา ในอดีต มีการกระจายพันธุ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง, เปอร์เซีย, อิรัก, ซีเรีย, อัฟกานิสถาน, ปากีสถานไปจนถึงมาซิโดเนียในกรีซ และ ศรีลังกา ด้วยแต่ปัจจุบันพบเหลือเพียงแห่งเดียวในธรรมชาติ คือ อุทยานแห่งชาติป่ากีร์ ในรัฐคุชราตทางตอนเหนือของอินเดียเท่านั้น และอยู่ในสถานะวิกฤตต่อการสูญพันธุ์ แต่ได้เพิ่มจำนวนขึ้นจากเมื่อประมาณ 30 ปี ก่อนที่เหลือเพียงไม่กี่สิบตัวเท่านั้น เป็น 530 ตัวในปัจจุบัน และอยู่ในอัตราที่เพิ่มขึ้น พฤติกรรมการรวมฝูงของสิงโตอินเดีย แตกต่างไปจากสิงโตในทวีปแอฟริกา กล่าวคือ มีขนาดฝูงที่เล็กกว่า โดยมีจำนวนอย่างมากที่สุดเพียง 5 ตัวเท่านั้น และอาจมีตัวเมียเพียง 2 ตัว และอาจมีตัวผู้เป็นจ่าฝูง 2 ตัวก็เป็นได้ โดยเป็นลักษณะร่วมปกครอง ขณะที่ตัวผู้จะเข้าร่วมฝูงก็ต่อเนื่องจะล่าเหยื่อหรือในการผสมพันธุ์เท่านั้น ในวัฒนธรรมของอินเดีย มีสิงโตอยู่มากมาย เช่น หัวเสาหินสลักในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชที่เป็นรูปสิงโตอินเดีย รวมถึงปรัมปราในศาสนาฮินดูที่เป็นศาสนาพื้นเมืองของอินเดีย ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิงโตอยู่มาก หรือแม้กระทั่งในประวัติศาสตร์ยุโรปเอง ก็มีภาพโมเสกของอเล็กซานเดอร์มหาราชทรงร่วมล่าสิงโตกับพระสหาย ซึ่งเชื่อว่าเป็นแม่ทัพชื่อ เฮฟฟาฮิสเตียน เชื่อว่าสิงโตชนิดนั้นก็คือ สิงโตอินเดีย นั่นเอง ทางวัฒนธรรมจีน มีการละเล่นเชิดสิงโต ซึ่งในประเทศจีนเองไม่มีสิงโตเป็นสัตว์พื้นเมือง เชื่อว่าเป็นการรับมาจากเปอร์เซีย ด้วยการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันผ่านเส้นทางสายไหม สิงโตอินเดียตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 4 ปี ซึ่งมากกว่าสิงโตในทวีปแอฟริกา และจะออกลูกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนเมษายน และมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 16–18 ปี ในตัวผู้ และตัวเมีย 17–18 ปี พบมากที่สุดคือ 21 ปี ถือว่ามากกว่าสิงโตทวีปแอฟริก.

ใหม่!!: สัตว์และสิงโตอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

สิงโตทรานส์วาล

งโตทรานส์วาล หรือ สิงโตแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ (Transvaal lion, Southeast african lion) เป็นชนิดย่อยของสิงโตชนิดหนึ่งที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน เป็นสิงโตที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคแอฟริกาใต้ เช่น อุทยานแห่งชาติครูเกอร์และเขตสงวนส่วนบุคคลคาลาฮารี โดยที่ได้ชื่อมาจากจังหวัดทรานส์วาลในแอฟริกาใต้ โดยได้รับการจำแนกออกมาจากสิงโตแหลมกู๊ดโฮป (P. l. melanochaitus) ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ซึ่งไม่แตกต่างอะไรจากสิงโตที่พบในแอฟริกาใต้ ดังนั้นสิงโตแหลมกู๊ดโฮปอาจจะถือได้ว่าเป็นตัวแทนของสิงโตทรานส์วาล ตัวผู้มีขนแผงคอใหญ่และยาว มีความยาวลำตัว 2.6-3.20 เมตร รวมทั้งหาง ตัวเมียยาว 2.35-2.75 เมตร น้ำหนักของตัวผู้โดยทั่วไป 150-250 กิโลกรัม ในขณะที่ตัวเมียประมาณ 110-182 กิโลกรัม ความสูงที่หัวไหล่ 0.92-1.23 เมตร ล่าสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น ม้าลาย, ควายป่า, แอนทิโลป เป็นอาหาร รวมถึงลูกยีราฟที่เกิดใหม่หรืออ่อนแอด้วย นอกจากนี้แล้ว สิงโตทรานส์วาลยังมีอีกประเภทหนึ่งที่หายาก คือ สิงโตขาว ที่มีลำตัวและแผงคอเป็นสีขาวเกือบทั้งหมด โดยที่ไม่ใช่สัตว์เผือก แต่เกิดจากการผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งหาได้ยากมากและมีปริมาณที่น้อยมากแล้วในธรรมชาติ โดยจะพบได้เฉพาะอุทยานแห่งชาติครูเกอร์เท่านั้น สิงโตทรานส์วาลมีมากกว่า 2,000 ตัวที่ได้รับการลงทะเบียนและคุ้มครองในอุทยานแห่งชาติครูเกอร์The Kruger Nationalpark Map.

ใหม่!!: สัตว์และสิงโตทรานส์วาล · ดูเพิ่มเติม »

สิงโตทะเล

งโตทะเล หรือ หมีทะเล (Sea lions, Sea bears) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ Otariidae ในอันดับ Pinnipedia หรือแมวน้ำ จัดเป็นแมวน้ำมีหูจำพวกหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ตามชายฝั่งทะเลทั่วโลก ตั้งแต่ทะเลเขตหนาวแถบขั้วโลกเหนือหรืออาร์กติก และเขตร้อนหรือเขตอบอุ่นในทวีปแอฟริกาหรืออเมริกาใต้ หรือบริเวณเส้นศูนย์สูตร เช่น เกาะกาลาปากอส สิงโตทะเล มีลักษณะแตกต่างจากแมวน้ำ คือ มีใบหูขนาดเล็กที่ข้างหัวทั้งสองข้าง สามารถใช้ครีบทั้งสี่ข้างนั้นคืบคลานไปมาบนบกได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนเดิน ต่างจากแมวน้ำที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เมื่ออยู่บนบกครีบของแมวน้ำใช้ได้เพียงแค่คืบคลานหรือกระเถิบตัวเพื่อให้เคลื่อนที่เท่านั้น สิงโตทะเลโดยทั่วไปมีอายุโดยเฉลี่ย 20–30 ปี อาหารหลัก คือ ปลาและปลาหมึก มีลักษณะและขนาดแตกต่างกันไปตามชนิดในแต่ละภูมิภาค โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ สิงโตทะเลสเตลลาร์ (Eumetopias jubatus) ที่ตัวผู้อาจยาวได้ถึง 3 เมตร น้ำหนักประมาณ 1,000 กิโลกรัม สิงโตทะเลชนิดที่พบได้บ่อย คือ สิงโตทะเลแคลิฟอร์เนีย (Zalophus californianus) ตัวผู้มีความยาว 2.41 เมตร เมื่อโตเต็มที่ น้ำหนัก 300 กิโลกรัม.

ใหม่!!: สัตว์และสิงโตทะเล · ดูเพิ่มเติม »

สิงโตทะเลกาลาปาโกส

งโตทะเลกาลาปาโกส (Galápagos sea lion) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อ จำพวกสิงโตทะเลชนิดหนึ่ง สิงโตทะเลกาลาปาโกส อยู่ในสกุลเดียวกันกับสิงโตทะเลแคลิฟอร์เนีย (Z. californianus) แต่มีขนาดเล็กกว่า นับเป็นสิงโตทะเลหรือแมวน้ำเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิหนาวเย็น หรือเขตขั้วโลก แต่อาศัยอยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร สันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะในโลกยุคน้ำแข็ง มีกระแสน้ำเย็นทั้งเหนือและใต้ได้พัดพาเอาบรรพบุรุษของสิงโตทะเลกาลาปาโกส เดินทางมายังที่หมู่เกาะกาลาปาโกส อันเป็นสถานที่แห่งเดียวที่จะมีการพบเห็นสิงโตทะเลกาลาปาโกสได้ สิงโตทะเลกาลาปาโกส พบอาศัยอยู่แทบทุกเกาะในหมู่เกาะกาลาปาโกส ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 225 กิโลกรัม โดยจะมีอาณานิคมหรืออาณาเขตเป็นของตนเอง ประกอบด้วยตัวเมียราว 30 ตัว และลูก ๆ อีกจำนวนหนึ่ง ตัวผู้จะแสดงความเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองด้วยการดำผุดดำว่ายในน้ำใกล้ชายฝั่ง เพื่อป้องกันตัวผู้ตัวอื่นบุกรุกเข้ามา ซึ่งการกระทำเช่นนี้จะทำให้ตัวผู้ตัวนั้นเหนื่อยล้าในเวลาประมาณ 4-8 สัปดาห์ เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวผู้ตัวอื่นเข้ามาแย่งอาณาเขตและตัวเมียทั้งหมด ตัวผู้ที่พ่ายแพ้จะหลบไปพักฟื้นกันเป็นกลุ่มในสถานที่อื่น ซึ่งจะมีแต่ตัวผู้ที่มีสภาพเช่นเดียวกันรวมตัวกัน เพื่อรอเวลาบุกชิงอาณาเขตคืน สิงโตทะเลกาลาปาโกสกินปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ เป็นอาหารหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาซาร์ดีน สามารถออกไปหาอาหารได้ไกลถึง 15 กิโลเมตรในทะเล แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะะจอกับศัตรูตามธรรมชาติด้วย เช่น ปลาฉลาม และวาฬเพชฌฆาต สิงโตทะเลกาลาปาโกส มีฤดูผสมพันธุ์ที่ยาวนานตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-มกราคม ในปีถัดไป ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกสิงโตทะเลจะดูดกินนมแม่จนอายุได้ 1 ขวบ และจะได้รับการป้องกันดูแลจนอายุได้ 3 ขวบ ในขณะที่แม่สิงโตทะเลออกไปหาอาหาร จะมีสิงโตทะเลตัวเมียตัวอื่นทำหน้าที่ดูแลแทน ขณะเดียวกันสิงโตทะเลตัวผู้ก็จะทำหน้าที่เฝ้าระวังภัยให้เช่นกัน สิงโตทะเลตัวเมียและลูกอ่อน สิงโตทะเลกาลาปาโกส เป็นสัตว์ที่ไม่เกรงกลัวมนุษย์ มักเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ เมื่อพบเจอมนุษย์ รวมถึงดำน้ำใกล้กับนักดำน้ำด้วย จึงถือเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจประการหนึ่งที่เรียกผู้คนให้เดินทางมาท่องเที่ยวที่หมู่เกาะกาลาปาโกส นอกจากนี้แล้วยังมีพฤติกรรมแย่งกินปลาจากร้านขายปลาบนเกาะซานตาครูซ ของหมู่เกาะกาลาปาโกสกับนกกระทุงสีน้ำตาล (Pelecanus occidentalis) อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และสิงโตทะเลกาลาปาโกส · ดูเพิ่มเติม »

สิงโตแหลมกู๊ดโฮป

งโตแหลมกู๊ดโฮป (Cape lion) เป็นสิงโตชนิดย่อยชนิดหนึ่ง ที่สูญพันธุ์ไปแล้วในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เช่นเดียวกับสิงโตบาร์บารี (P. l. leo) สิงโตแหลมกู๊ดโฮป มีการกระจายพันธุ์อยู่บริเวณแหลมที่ติดชายฝั่งทะเลหรือทะเลทรายกึ่งทุ่งหญ้าในแอฟริกาใต้ เช่น แหลมกู๊ดโฮป อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ มีลักษณะที่เด่นคือ มีขนแผงคอสีดำซึ่งบางตัวอาจยาวถึงกลางหลังและมีปลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนทั่วใบหน้า จัดเป็นสิงโตขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ตัวผู้เมื่อขนาดโตเต็มที่ยาวได้ประมาณ 2.74-3.35 เมตร น้ำหนักประมาณ 90-100 กิโลกรัม ขณะที่ตัวเมียยาวได้ประมาณ 2.13-2.74 เมตร และมีน้ำหนักประมาณ 65-80 กิโลกรัม สิงโตแหลมกู๊ดโฮป ตัวสุดท้ายในธรรมชาติได้ถูกสังหารด้วยฝีมือมนุษย์เมื่อปี ค.ศ. 1858 และตัวสุดท้ายได้ตายลงเมื่อปี ค.ศ. 1860 สถานภาพในปัจจุบัน ได้ถูกจัดให้อยู่ในบัญชีหมายเลข 2 (Appendix II) ของไซเตส แต่ในปลายปี ค.ศ. 2000 ได้มีลูกสิงโต 2 ตัวที่เชื่อว่าสืบสายพันธุ์มาจากสิงโตแหลมกู๊ดโฮปนี้ มาจากสวนสัตว์ในไซบีเรียที่มีอุณหภูมิต่ำถึง -40 องศาเซลเซียส ได้ถูกส่งไปยังแอฟริกาใต้เพื่อทำการอนุรักษ์ต่อไป.

ใหม่!!: สัตว์และสิงโตแหลมกู๊ดโฮป · ดูเพิ่มเติม »

สิ่งมีชีวิต

งมีชีวิต จะมีคุณลักษณะ (properties) ที่ไม่พบในสิ่งไม่มีชีวิต อันได้แก่ความสามารถในการใช้สสารและพลังงานเป็นสำคัญ ซึ่งได้รับถ่ายทอดจากบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตแรกเริ่ม อย่างไรก็ตามสิ่งมีชีวิตเริ่มแรกหรือบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตซึ่งถือกำเนิดมาบนโลกกว่า 4 พันล้านปี เมื่อผ่านการวิวัฒนาการและการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมในแต่ละช่วงเวลา ก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตเป็นจำนวนมากดังที่ปรากฏในปัจจุบัน.

ใหม่!!: สัตว์และสิ่งมีชีวิต · ดูเพิ่มเติม »

สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์

งมีชีวิตหลายเซลล์ (multicellular organism) เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์มากกว่าหนึ่งเซลล์ ต่างจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ในการจะเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์นั้น เซลล์เหล่านี้จำต้องระบุเอกลักษณ์และยึดเข้ากับเซลล์อื่น สัตว์เกือบทั้งหมด 1.5 ล้านสปีชีส์ ตลอดจนพืชและฟังไจจำนวนมากเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล.

ใหม่!!: สัตว์และสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ · ดูเพิ่มเติม »

สิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น

รองเท้านารีปีกแมลงปอ หรือ รองเท้านารีสุขะกูล (''Paphiopedilum sukhakulii'') เป็นกล้วยไม้เฉพาะถิ่นที่พบได้เฉพาะภูเขาหินทรายในป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 1,000-1,500 เมตร ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยเท่านั้น''กล้วยไม้เมืองไทย'', รศ.ดร. อบฉันท์ ไทยทอง, สำนักพิมพ์บ้านและสวน, หน้า 42-43 สิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น หรือ สิ่งมีชีวิตถิ่นเดียว (Endemic species, Endemism) หมายถึง สิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ชนิดที่แพร่กระจายพันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อนข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก เช่น อาจจะพบตามระบบนิเวศต่าง ๆ เช่น บนเกาะ, ยอดเขา, หน้าผาของภูเขาหินปูน, แอ่งพรุ เป็นต้น ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัว ที่เหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ พืชถิ่นเดียวและพืชหายากของประเทศไทย สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี, 2543 และ หนังสือ พืชถิ่นเดียวและพืชหายากของประเทศไทย ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช, 2547 ชาร์ล ดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้คิดค้นทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้กล่าวถึงลักษณะของสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น เอาไว้ในหนังสือ The Origin of Species ของตนเอง ไว้ว่า ปัจจุบัน บริเวณพื้นผิวโลกทีพบว่ามีสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นสูงมาก มีทั้งสิ้น 18 แห่ง มีพื้นที่ประมาณ 746,400 ตารางกิโลเมตร หรือเพียงร้อยละ 0.5 ของพื้นผิวโลกที่เป็นพื้นดินเท่านั้น และมีพืชเฉพาะถิ่นอาศัยอยู่ถึงประมาณ 49,955 ชนิด หรือร้อยละ 20 ของพืชทั้งหมดที่พบในโลก และยังมีสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกอาศัยอีกอย่างน้อย 1,659 ชนิด หรือร้อยละ 15 ของสัตว์ทั้ง 2 กลุ่มในโลก ทั้งซีกโลกเก่า และซีกโลกใหม่ สถานที่ที่มีสัตว์เฉพาะถิ่นสูงในทวีปอเมริกาเหนือ 1 แห่ง, ทวีปอเมริกาใต้ 5 แห่ง, ทวีปแอฟริกา 4 แห่ง, ทวีปเอเชีย 6 แห่ง, ทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย 2 แห่ง เฉพาะในทวีปเอเชีย ได้แก่ ป่าดิบชื้นในฟิลิปปินส์, เกาะบอร์เนียวทางตอนเหนือ, เทือกเขาหิมาลัยด้านตะวันออก, คาบสมุทรมลายู, เทือกเขาเวสเทิร์น เกทส์ ในอินเดีย และศรีลังกาบริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยที่ ๆ ขึ้นชื่ออย่างมากในเรื่องสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น คือ หมู่เกาะกาลาปาโกส กลางมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเอกวาดอร์ ที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการของตนเองสูงมาก จนได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ด้วยพื้นที่อันจำกัด ทำให้สิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นหลายชนิด ใกล้สูญพันธุ์หรือใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤต ในประเทศไทยมีรายงานพบพืชที่เป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นประมาณ 11,000 ชนิด ร้อยละ 30 เป็นพืชที่มีท่อลำเลียงน้ำและอาหาร ส่วนที่เป็นสัตว์ เช่น ปลาน้ำจืด 68 ชนิด, เป็นหอย 3 ชนิด, เป็นสัตว์จำพวกปูและกุ้งหรือกั้ง 5 ชนิด และเป็นนก 3 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น · ดูเพิ่มเติม »

สื่อลามกอนาจารเด็ก

ื่อลามกอนาจารเด็ก (Child pornography) คือสื่อลามกอนาจารที่ฉวยประโยชน์จากเด็ก (รวมทั้งวัยรุ่น) มีจุดประสงค์เพื่อเร้าอารมณ์ทางเพศ ซึ่งอาจจะผลิตโดยทำร้ายเด็กทางเพศ (เช่น ภาพทารุณเด็กทางเพศ) หรืออาจจะเป็นสื่อแบบเทียมคือเป็นสื่อแต่ง ใช้ผู้ใหญ่ที่แต่งให้เหมือนเด็ก หรือเป็นภาพสร้างขึ้นโดยใช้คอมพิวเตอร์ล้วน ๆ โดยบางทีแม้ภาพวาดหรือแอนิเมชัน ก็สามารถพิจารณาว่าเป็นสื่อเทียมได้เหมือนกัน ทารุณกรรมต่อเด็กเกิดขึ้นเมื่อมีกิจกรรมทางเพศกับเด็ก หรือให้เด็กแสดงบริเวณอวัยวะเพศหรือบริเวณหัวหน่าวเพื่อเร้าอารมณ์ แล้วบันทึกลงในสื่อ สื่อที่ใช้อาจมีหลายแบบ รวมทั้งวรรณกรรม นิตยสาร ภาพถ่าย ประติมากรรม จิตรกรรม การ์ตูน แอนิเมชัน บันทึกเสียง วิดีโอ และวิดีโอเกม กฎหมายเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็กมักจะรวมภาพทางเพศที่เกี่ยวกับเด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์ เด็กวัยเจริญพันธุ์ ผู้เยาว์หลังวัยเจริญพันธุ์ และภาพเด็กที่สร้างโดยคอมพิวเตอร์ ผู้ทำผิดเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็กที่ถูกจับโดยมากจะมีรูปเด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ที่มีภาพเด็กหลังวัยเจริญพันธุ์มีโอกาสน้อยกว่าที่จะถูกดำเนินคดี แม้ว่าจะผิดกฎหมายเช่นกัน ผู้ผลิตสื่อนาจารเด็กพยายามจะหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีโดยขายสื่อนอกประเทศ แต่ก็มีการจับกุมผู้ทำผิดเช่นนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศต่าง ๆ คนใคร่เด็กดูและเก็บสะสมสื่อเด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์มีจุดประสงค์หลายอย่าง เริ่มตั้งแต่การใช้เพื่อประโยชน์ทางเพศส่วนตัว การแลกเปลี่ยนกับคนใคร่เด็กอื่น ๆ การเตรียมเด็กเพื่อทารุณกรรมทางเพศ หรือการหลอกล่อเด็กให้ติดกับเพื่อฉวยประโยชน์ทางเพศ เช่น เพื่อทำสื่อลามกหรือเพื่อการค้าประเวณี เด็กบางครั้งก็ผลิตสื่อลามกเองหรือเพราะถูกบีบบังคับโดยผู้ใหญ่ สื่อลามกอนาจารเด็กผิดกฎหมายและจะถูกตรวจพิจารณาในที่ต่าง ๆ โดยมากในโลก รวมทั้งประเทศไทยที่นิยามคำว่า "เด็ก" ว่าหมายถึงบุคคลที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี ประเทศสมาชิกขององค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (Interpol) 94 ประเทศจาก 187 มีกฎหมายโดยเฉพาะในเรื่องนี้โดยปี 2551 และนี่ยังไม่ได้รวมประเทศที่ห้ามสื่อลามกทุกอย่าง ในบรรดา 94 ประเทศเหล่านี้ การมีสื่อลามกอนาจารเด็กจัดเป็นอาชญากรรมใน 58 ประเทศไม่ว่าตั้งใจจะขายหรือเผยแพร่หรือไม่ รวมทั้งประเทศไทย ทั้งการเผยแพร่และการมี จัดเป็นอาชญากรรมในประเทศตะวันตกโดยมาก มีขบวนการที่ขับเคลื่อนให้สื่อลามกอนาจารเด็กเป็นสิ่งผิดกฎหมายทั่วโลก รวมทั้งองค์กรเช่นสหประชาชาติและคณะกรรมาธิการยุโรป เหตุผลที่ต้องมีกฎหมายสื่อลามกเด็กเป็นการเฉพาะ เหตุผลที่ประเทศต่างๆ มีกฎหมายสื่อลามกเด็กโดยเฉพาะแยกต่างหากจากกฎหมายสื่อลามกผู้ใหญ่ เนื่องจากแนวคิดควบคุมสื่อลามกทั้งสองประเภทต่างกัน เหตุผลหลักในการกำหนดโทษอาญากับการกระทำที่เกี่ยวกับสื่อลามกผู้ใหญ่ตั้งอยู่บนแนวคิดเรื่องการปกป้องศีลธรรมโดยรวมของสังคม กล่าวคือ ภาครัฐเชื่อว่าการปล่อยให้มีการผลิต จำหน่าย หรือ เผยแพร่สื่อลามกผู้ใหญ่อย่างเสรีอาจก่อให้เกิดความเสื่อมทรามต่อศีลธรรมทางเพศของคนในสังคมได้  การกำหนดโทษอาญาเพื่อควบคุมและปราบปรามสื่อลามกเด็กมีเหตุผลพื้นฐานที่ต่างออกไป กล่าวคือ เพื่อปกป้องคุ้มครองเด็กจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ เพราะการผลิตสื่อลามกเด็ก (โดยเฉพาะที่ใช้เด็กจริงๆ แสดง) เป็นรูปแบบหนึ่งของการล่วงละเมิดทางเพศจากเด็ก ในด้านร่างกาย เด็กยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ การให้เด็กมีกิจกรรมทางเพศอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บในด้านจิตใจ เนื่องจากการเรียนรู้ของเด็กยังไม่พัฒนาเพียงพอที่จะเข้าใจในเรื่องความเหมาะสมของเรื่องเพศ การบังคับหรือล่อลวงให้เด็กมีกิจกรรมทางเพศหรือการถ่ายภาพยั่วยุทางเพศต่างๆ ถือได้ว่าเป็นการทำร้ายจิตใจเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเด็กพบว่าสิ่งที่ตนกระทำไปเป็นเรื่องไม่เหมาะสมสำหรับวัยตัวเอง ก็อาจเกิดความอับอายกลายเป็นบาดแผลทางจิตใจซึ่งอาจจะฝังลึกในใจเด็กไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ ในหลายๆ กรณี การที่เด็กเข้าร่วมกิจกรรมทางเพศโดยไม่สมัครใจหรือเกิดจากการล่อลวง บังคับข่มขู่ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิชอบจากความเยาว์วัยของเด็กที่ยังไม่มีความสามารถในการตัดสินใจเพียงพอเกี่ยวกับความเหมาะสมของการมีเพศสัมพันธ์ ยิ่งในกรณีของสื่อลามกเด็กบนอินเทอร์เน็ต ผลกระทบร้ายแรงต่อตัวเด็กอาจขยายเป็นวงกว้างกว่า กล่าวคือ ภาพหรือคลิปวิดีโอบันทึกการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กดังกล่าวจะถูกส่งผ่านต่อกันไปและหมุนเวียนอยู่ในโลกไซเบอร์ไม่มีวันสิ้นสุด สิ่งนี้ยิ่งสร้างบาดแผลทางใจให้กับเด็กผู้ปรากฏในสื่อลามกอย่างไม่มีทางเยียวยาหรือลบเลือนออกไปได้.

ใหม่!!: สัตว์และสื่อลามกอนาจารเด็ก · ดูเพิ่มเติม »

สุรบถ หลีกภัย

รบถ หลีกภัย เกิดวันที่ 8 ธันวาคม..

ใหม่!!: สัตว์และสุรบถ หลีกภัย · ดูเพิ่มเติม »

สุดยอดสิ่งมีชีวิต

อดสิ่งมีชีวิต (The Most Extreme) เป็นรายการซีรีส์หนึ่งของเคเบิลทีวีอเมริกา ในช่องอนิมอล เพลเน็ท (Animal Planet) ออกอากาศครั้งแรก เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2545 ในแต่ละตอนจะมุ่งประเด็นไปที่ความสามารถต่าง ๆ ของสัตว์ เช่น ความแข็งแกร่ง ความเร็ว จ้าวเสน่ห์ ยอดนักรบ จอมเขมือบ ฯลฯ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่แสดงความสามารถออกมา แล้วนำเสนอในมุมมองที่แปลก ๆ ของสัตว์ชนิดต่าง ๆ อย่างไรก็ดีการจัดอันดับสัตว์ต่าง ๆ ในรายการไม่ได้อ้างอิงโดยผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์เฉพาะด้าน สุดยอดสิ่งมีชีวิต จะเริ่มรายการโดนการตั้งประเด็นคำถามก่อน แล้วเป็นการไล่ลำดับของสัตว์ในด้านต่าง ๆ ขึ้นมา ตั้งแต่ลำดับสุดท้ายจนถึงลำดับแรก พร้อมกับมีคำอธิบายและการเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์กราฟิก เพื่อเป็นการให้ผู้ชมมองเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่นสุดยอดสิ่งมีชีวิตตอน "สุดยอดฉลาม" มีการเปรียบเทียบฉลามหัวค้อน (Hammerhead shark) ที่มีสัมผัสสุดยอดทางการมองและการดมกลิ่น รวมไปถึงสัมผัสพิเศษในการตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเปรียบเทียบกับทีมนักเจาะระบบเครือข่ายข้อมูล (Hacker) ที่สามารถแกะรอยการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนเครือข่ายแบบไร้สายได้ ปัจจุบันออกฉายในประเทศไทยทาง Animal Planet ทรูวิชั่นส์ช่อง 50.

ใหม่!!: สัตว์และสุดยอดสิ่งมีชีวิต · ดูเพิ่มเติม »

สี่สหายผจญภัย

ี่สหายผจญภัย เป็นวรรณกรรมแปล ที่เขียนโดย อีนิด ไบลตัน ซึ่งเรื่องนี้พิมพ์ขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2487 และพิมพ์ครั้งแรกเสร็จ (นับเล่มสุดท้ายในชุด) เมื่อปี พ.ศ. 2498 เรื่องสี่สหายผจญภัยได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาไทยเมื่อพ.ศ. 2550 โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ยังรีดดิ้ง และยังถูกนำไปทำรายการโทรทัศน์อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และสี่สหายผจญภัย · ดูเพิ่มเติม »

สถาปัตยกรรมอาสนวิหารในยุโรปตะวันตก

อาสนวิหารโคโลญ, ประเทศเยอรมนี มีหอสูงที่สุดในโลก อาสนวิหารซอลสบรี (1220-1380) จากมุมตะวันออก มีหอสูงที่สุดในอังกฤษ อาสนวิหารเบอร์มิงแฮม (Birmingham Cathedral) อังกฤษ อาสนวิหารเกิร์ค (Gurk Dom) ออสเตรีย สถาปัตยกรรมการก่อสร้างอาสนวิหารในยุโรปตะวันตก เป็นบทความที่บรรยายถึงลักษณะสิ่งก่อสร้างของอาสนวิหารทางคริสต์ศาสนา ที่รวมทั้งสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะใกล้เคียงกับอาสนวิหารในยุโรปตะวันตก อาสนวิหาร คือโบสถ์ประจำตำแหน่งของมุขนายก ที่ใช้เป็นศูนย์กลางของมุขมณฑลมุขนายกตามที่กำหนดไว้ อาสนวิหารเป็นที่เป็นที่ตั้งของ “คาเทดรา” (bishop's cathedra) และเป็นสถานที่ทางคริสต์ศาสนาที่ใช้ในการนมัสการ (โดยเฉพาะสำหรับนิกายที่มีระบบฐานันดรการปกครองเช่น โรมันคาทอลิก ออร์ทอดอกซ์ หรือแองกลิคัน) ขนาดของสิ่งก่อสร้างที่เป็นอาสนวิหารไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตเสมอไป อาจจะมีขนาดเล็กอย่างเช่นอาสนวิหารอ๊อกซฟอร์ด หรือ อาสนวิหารเชอร์ที่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้วอาสนวิหารมักจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดและเด่นที่สุดในท้องถิ่นที่ตั้งอยู.

ใหม่!!: สัตว์และสถาปัตยกรรมอาสนวิหารในยุโรปตะวันตก · ดูเพิ่มเติม »

สคัวขั้วโลกใต้

นกสคัวขั้วโลกใต้ (Stercorarius maccormicki หรือ หรือ MacCormick’s Skua หรือ South Polar Skua) เป็นนกทะเลขนาดใหญ่ของนกสคัวตระกูล สคัวสปีชีส์นี้และสคัวขนาดใหญ่ทางซีกโลกใต้และนกเกรตสคัวบางครั้งก็จัดอยู่ในสกุล Catharacta นกสคัวขั้วโลกใต้มีความยาว 53 เซนติเมตร ผสมพันธุ์บนฝั่งทะเลของทวีปแอนตาร์กติกา มักจะวางไข่สองใบในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธ้นวาคม นกสคัวขั้วโลกใต้ก็เช่นเดียวกับสคัวตระกูลอื่นที่จะบินตรงไปที่หัวของมนุษย์หรือผู้ที่พยายามเข้าใกล้รัง สคัวเป็นนกประเภทย้ายถิ่นฐาน ฤูดูหนาวจะอยู่ในทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และ มหาสมุทรแอตแลนติก ทางตะวันออกของมหาสมุทรแอตแลนติกจะเป็นนกเกรตสคัวแทนที่ ส่วนใหญ่นกสคัวขั้วโลกใต้จะบริโภคปลาที่ได้มาจากการขโมยจากนกนางนวล, tern และแม้แต่ gannetจับได้ บางครั้งอาจจะเข้าโจมตีและสังหารนกทะเลด้วยกัน และบางครั้งก็จะกินอาหารเหลือ และ It will also directly attack and kill other seabirds.

ใหม่!!: สัตว์และสคัวขั้วโลกใต้ · ดูเพิ่มเติม »

สติแรโคซอรัส

ติแรโคซอรัส (Styracosaurus, หมายถึง "กิ้งก่าหัวแหลม" มาจากภาษากรีกโบราณ สไทรักซ์/στύραξ "หัวหอก" และ ซอรัส/σαῦρος "กิ้งก่า") เป็นสกุลของไดโนเสาร์กินพืชในอันดับเซราทอปเซีย มีชีวิตอยู่ในยุคครีเทเชียส (ช่วงแคมปาเนียน) เมื่อประมาณ 76.5 ถึง 75.0 ล้านปีมาแล้ว มันมีเขา 4-6 อัน ยื่นออกมาจากแผงคอ และยังมีเขาที่มีขนาดเล็กยื่นออกมาบริเวณแก้มแต่ละข้าง และมีเขาเดี่ยวยื่นออกมาบริเวณเหนือจมูก ซึ่งน่าจะมีความยาวถึง 60 เซนติเมตร (2 ฟุต) และกว้าง 15 เซนติเมตร (6 นิ้ว) ส่วนหน้าที่ของเขาและแผงคอยังไม่มีการยืนยันเป็นที่แน่นอนมาจนถึงปัจจุบัน สติแรโคซอรัสเป็นไดโนเสาร์ที่มีลักษณะค่อนข้างใหญ่ โดยมีความยาวถึง 5.5 เมตร (18 ฟุต) และหนักเกือบ 3 ตัน เมื่อมันยืนจะมีความสูงประมาณ 1.8 เมตร (6 ฟุต) สติแรโคซอรัสมีขาที่สั้น 4 ขาและมีลำตัวที่ใหญ่ มีหางค่อนข้างสั้น มันมีจะงอยปากและแก้มแบน บ่งชี้ว่าอาหารของมันคือพืชซึ่งเหมือนกันกับไดโนเสาร์จำพวกเซราทอปเซียสกุลอื่น ไดโนเสาร์ชนิดนี้เป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูง และเดินทางกันเป็นกลุ่มใหญ่ ชื่อของไดโนเสาร์ถูกตั้งโดย ลอว์เรนซ์ แลมเบอ ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และสติแรโคซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

สตีนบอก

ตีนบอก หรือ สตีนบัก (Steenbok, Steinbok, Steinbuck) แอนทิโลปชนิดหนึ่ง จำพวกแอนทิโลปขนาดเล็ก หรือแอนทิโลปแคระ สตีนบอก มีน้ำหนักตัวประมาณ 11 กิโลกรัม ความสูง 60 เซนติเมตร ความยาว 95 เซนติเมตร–1.1 เมตร อายุโดยเฉลี่ย 10 ปี พบกระจายพันธุ์ในแอฟริกาใต้ และพบได้ยากในแอฟริกาตะวันออก แต่จะพบได้บ่อยในอุทยานแห่งชาติเซเรนเกตี ในแทนซาเนีย และพบได้ที่อุทยานแห่งชาติอีโตซา ในนามิเบีย รวมถึงอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ ในแอฟริกาใต้ โดยจะอาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าที่มีพุ่มไม้หนามแหลมเพื่อป้องกันตัว หรือเขตที่ติดต่อกับทะเลทราย เช่น ทะเลทรายคาลาฮารี รวมถึงอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าเปิดโล่งด้วย สตีนบอก มีเขาเฉพาะตัวผู้ เขายาวเพียง 10–17.5 เซนติเมตร แต่มีความแหลมคม ตัวเมียไม่มีเขา แต่มีขนาดตัวใหญ่กว่าตัวผู้เล็กน้อย กินอาหารได้แก่ ใบไม้แทบทุกชนิด, ผลไม้จำพวกเบอร์รีต่าง ๆ ตลอดจนหญ้าสั้นที่เบ่งบานในช่วงฤดูฝน สตีนบอก ตกเป็นอาหารของสัตว์นักล่าขนาดใหญ่ เช่น เสือดาว, เสือชีตาห์, หมาป่า, แมวป่า, อินทรีหรือเหยี่ยวขนาดใหญ่, ลิงบาบูน และงูเหลือม แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย ได้แก่.

ใหม่!!: สัตว์และสตีนบอก · ดูเพิ่มเติม »

สปริงบ็อก

ปริงบ็อก (Springbok) สัตว์กีบคู่ชนิดหนึ่ง จำพวกแอนทิโลป จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Antidorcas.

ใหม่!!: สัตว์และสปริงบ็อก · ดูเพิ่มเติม »

สโตนฟลาย

ลีคอปเทอร่าหรือเรียกว่า สโตนฟลาย(stonefly) เป็นแมลงในอันดับพลีคอปเทอร่า (Order Plecoptera).

ใหม่!!: สัตว์และสโตนฟลาย · ดูเพิ่มเติม »

สไมโลดอน

มโลดอน (Smilodon) หรือ เสือเขี้ยวดาบ สไมโลดอนเป็นสัตว์ตระกูลแมวที่มีเขี้ยวยาวที่สุดในโลก และเมื่อมันกัดเข้าไปที่คอเหยื่อ เหยื่อจะตายในทันทีเพราะเขี้ยวมันยาวและแทงลึกถึงหลอดลม แต่อย่างไรก็ตามสไมโลดอนก็ยังมีขนาดที่เล็กกว่านักล่าตระกูลแมวใหญ่ทั่วไปเนื่องจากมันมีขนาดเท่ากันกับสิงโตแอฟริกาในปัจจุบัน แต่ขนาดที่เล็กก็ยังทำให้มันวิ่งได้เร็วและคล่องแคล่วว่องไวเหมือนกับสิงโตอเมริกา หลังจากการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์และโลกเข้าสู่ยุคของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็ได้มีนักล่าสายพันธุ์ต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมามากมาย โดยเสือเขี้ยวดาบถือเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนักล่าที่โดดเด่นและน่าสะพรึงกลัวที่สุดพวกหนึ่งที่เคยท่องเที่ยวอยู่บนโลกใบนี้.

ใหม่!!: สัตว์และสไมโลดอน · ดูเพิ่มเติม »

สไตกิโมล็อก

ตกิโมล็อก (Stygimoloch) เป็นสกุลหนึ่งในตระกูล pachycephalosaurid ในยุคครีเทเชียส ประมาณ 66 ล้านปีก่อน มันเป็นที่รู้จักจาก Hell Creek Formation, Ferris Formation, และ Lance Formation โดยมีชีวิตอยู่ร่วมกับที-เร็กซ์ และไทรเซอราทอป.

ใหม่!!: สัตว์และสไตกิโมล็อก · ดูเพิ่มเติม »

สไปเดอร์-แมน

อ้แมงมุม/สไปเดอร์-แมน (Spider-Man) หรือ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ (Peter Parker) คือ ตัวการ์ตูนยอดมนุษย์สัญชาติอเมริกันของสังกัดมาร์เวลคอมิกส์ (Marvel Comics) สร้างขึ้นมาโดยสแตน ลี (Stan Lee) และสตีฟ ดิตโก (Steve Ditko) ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือการ์ตูน "อแมซซิงแฟนตาซี" (Amazing Fantasy) ฉบับที่ 15 (สิงหาคม 2505) ในปัจจุบันนี้ ไอ้แมงมุมถือเป็นหนึ่งในตัวละครยอดมนุษย์ที่โด่งดังที่สุดในโลก และยังคงประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อีกด้วย ในตอนที่ไอ้แมงมุมได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 60 ในเวลานั้น ตัวละครที่เป็นวัยรุ่นในหนังสือการ์ตูนยอดมนุษย์ของอเมริกา มักจะมีบทบาทเทียบเท่าตัวประกอบเท่านั้น แต่การ์ตูนชุดไอ้แมงมุมได้พังกรอบเหล่านี้ออกไป โดยให้ตัวไอ้แมงมุม ซึ่งยังเป็นวัยรุ่นอยู่ มีบทบาทของวีรบุรุษตัวเอก ที่มี "ความสนใจเฉพาะตัว พร้อมกับการถูกปฏิเสธ ความขัดสน และความอ้างว้าง" ด้วยลักษณะเช่นนี้เอง ไอ้แมงมุมจึงสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้อ่านอายุน้อยได้ นอกจากจะเป็นตัวละครในหนังสือการ์ตูนแล้ว ไอ้แมงมุมยังปรากฏตัวในสื่ออื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นแอนิเมชัน ละครชุดทางโทรทัศน์ คอลัมภ์การ์ตูนในหนังสือพิมพ์ วิดีโอเกม และภาพยนตร์ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง มาร์เวลได้ตีพิมพ์หนังสือการ์ตูนชุดไอ้แมงมุมออกมาจำนวนหนึ่ง โดยชุดแรกมีชื่อว่า "ดิอแมซซิงสไปเดอร์แมน" (The Amazing Spider-Man) ในหนังสือการ์ตูนแต่ละชุด จะแสดงให้เห็นพัฒนาการของตัวละครปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ตั้งแต่เป็นนักเรียนขี้อาย นักศึกษามีปัญหา ครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ จนถึงสมาชิกของคณะยอดมุนษย์ที่ชื่อ "อเวนเจอร์ส" (Avengers) ส่วนในการ์ตูนชุด "สไปเดอร์เกิร์ล" (Spider-Girl) ปาร์คเกอร์ยังมีสถานะเป็นนักวิทยาศาสตร์และพ่ออีกด้วย สไปเดอร์-แมนปรากฏตัวในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลในภาพยนตร์ได้แก่กัปตันอเมริกา: ศึกฮีโร่ระห่ำโลก, สไปเดอร์แมน: โฮมคัมมิ่ง, อเวนเจอร์ส: มหาสงครามล้างจักรวาล.

ใหม่!!: สัตว์และสไปเดอร์-แมน · ดูเพิ่มเติม »

สเตอรอยด์

ตอรอยด์ (อังกฤษ: steroid) เป็นลิพิดที่มีคุณสมบัติพิเศษ โดยที่โครงสร้างคาร์บอนจะเป็นวงแหวน 4 วงเชื่อมต่อกัน ความแตกต่างของชนิดสเตอรอยด์จะผันแปรไปตามฟังก์ชันนัลกรุป (functional group) ที่ติดอยู่กับวงแหวนเหล่านี้ มีสเตอรอยด์แตกต่างกันนับร้อยชนิดที่สามารถตรวจพบในพืชและสัตว์ ตัวอย่างบทบาทสำคัญของสเตอรอยด์ในสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่คือ ฮอร์โมน Steroid skeleton. Carbons 18 and above can be absent. ในสรีรวิทยาและการแพทย์ของมนุษย์ สารสเตอรอยด์ที่สำคัญส่วนใหญ่ คือ คอเลสเตอรอล, สเตอรอยด์, ฮอร์โมน และสารตั้งต้น (precursor) และเมแทบอไลต์ คอเลสเตอรอลเป็นสารประกอบประเภท สเตอรอยด์แอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ในสัตว์ แต่อย่างไรก็ดี ถ้ามันมีปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดโรค และภาวะผิดปกติมากมาย เช่น ภาวะผนังเส้นโลหิตแดงหนาและมีความยึดหยุ่นน้อยลง (atherosclerosis) สเตอรอยด์อื่นส่วนใหญ่ถูกสังเคราะห์จาก คอเลสเตอรอลฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น ฮอร์โมนเพศของสัตว์มีกระดูกสันหลัง (vertebrate) ก็เป็นสเตอรอยด์ที่สร้างจากคอเลสเตอรอล สเตอรอยด์แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และสเตอรอยด์ · ดูเพิ่มเติม »

สเตโกดอน

ตโกดอน (Stegodon) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกช้างที่สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stegodon (หมายถึง "รากฟัน" จากภาษากรีกคำว่า στέγειν อ่านว่า "stegein" หมายถึง "ครอบคลุม" และ ὀδούς อ่านว่า "odous" หมายถึง "ฟัน") เดิมทีสเตโกดอนถูกจัดให้อยู่ในวงศ์ Elephantidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับวงศ์ของช้างในยุคปัจจุบัน แต่ต่อมาได้ถูกแบ่งแยกออกมาเป็นวงศ์ของตัวเอง คือ Stegodontidae มีชีวิตอยู่ในยุคไมโอซีนตอนปลาย ถึงต้นยุคไพลสโตซีน ราว 1,800,000 ปีก่อน จัดว่าเป็นช้างรุ่นที่ 6 ในลำดับวิวัฒนาการของช้าง ซึ่งนับว่าว่าเก่าแก่กว่าช้างแมมมอธ ซึ่งถูกจัดอยู่ในรุ่นที่ 8 ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเสียอีก สเตโกดอน จัดว่าเป็นช้างโบราณ ที่เชื่อว่ามีสายสัมพันธ์กับช้างในสกุล Elephas หรือช้างเอเชียในยุคปัจจุบัน เป็นไปได้ว่าช้างเอเชียอาจสืบสายพันธุ์หรือวิวัฒนาการมาจากสเตโกดอน นอกจากนี้แล้วสเตโกดอนยังถือว่าเป็นช้างที่มีลักษณะร่วมกันของช้างเอเชียกับมาสโตดอน ซึ่งเป็นช้างโบราณอีกสกุลหนึ่งที่สูญพันธุ์ไปแล้วเช่นกัน สเตโกดอน มีรูปร่างที่สูงใหญ่ บางตัวหรือบางชนิดอาจสูงถึง 4 เมตร มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับช้างในยุคปัจจุบัน กะโหลกมีขนาดใหญ่ ขากรรไกรสั้น ไม่มีงาล่าง ฟันกรามประกอบด้วยสันฟันแนวขวาง 6–13 สัน มีลักษณะเด่น คือ มีงาหนึ่งคู่ที่ยาวงอกออกมาจากมุมปากทั้งสองข้าง มีลักษณะชิดติดกัน ซึ่งในบางชนิดมีความยาวได้ถึง 3.3 เมตร งวงไม่สามารถแทรกลงตรงกลางงาได้ ต้องพาดไปไว้ข้างใดข้างหนึ่ง ซากดึกดำบรรพ์ของสเตโกดอนถูกค้นพบในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยค้นพบที่ตำบลท่าช้าง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา และอำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล โดยที่จังหวัดสตูลนั้น ถูกค้นพบในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นถ้ำที่มีน้ำทะเลไหลผ่านพื้นถ้ำด้วยความยาวกว่า 4 กิโลเมตร เดิมชาวบ้านที่นี่เรียก "ถ้ำวังกล้วย" แต่ปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ถ้ำเลสเตโกดอน" จากองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และสเตโกดอน · ดูเพิ่มเติม »

สเตโกซอรัส

สเตโกซอรัส (Stegosaurus) สเตโกซอรัส (กิ้งก่ามีหลังคา) เป็นไดโนเสาร์กินพืชจำพวกสะโพกนก (Ornithischia) ที่มีเกราะป้องกันตัวจำพวกแรกๆ มีลักษณะโดดเด่น มีขาหน้าสั้น และปากเล็ก มีแผ่นเกล็ดเรียงบนหลังยาวไปจนถึงปลายหางแผ่นเกล็ดนี้มีไว้ขู่ศัตรูโดดสูบฉีดเลือดไปที่เกล็ด ซึ่งสันนิษฐานว่ามันมีเส้นเลือดเป็นจำนวนมากในบริเวณนี้ และแผ่นกระดูกนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับป้องกันตัว แต่มีไว้เพื่อช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย นอกจากนี้มันยังหนามแหลมที่ปลายหาง ซึ่งเอาไว้ป้องกันตัวจากไดโนเสาร์กินเนื้อในยุคนั้นได้ดี อย่าง อัลโลซอรัส รูปร่างดูน่ากลัวแต่สมองมันเล็กกว่าถั่วเขียวและหนักไม่ถึง 70 กรัม ลำตัวยาว 9 เมตรหนัก 2-3 ตันอาศัยอยู่ยุคจูแรสซิก 170-130 ล้านปี หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคจูแรสซิก หมวดหมู่:สเตโกซอร์.

ใหม่!!: สัตว์และสเตโกซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

หมัด (สัตว์)

หมัด (Flea) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง อยู่ในไฟลัมอาร์โธรพอด เป็นแมลงที่ไม่มีปีกขนาดเล็ก ซึ่งมีขนาดความยาวตลอดลำตัวราว 2-2.5 มิลลิเมตร ลำตัวด้านข้างแบน มีขาคู่หลังยาวใช้สำหรับการกระโดด ลำตัวเป็นปล้อง และมีหัวขนาดใหญ่ หมัดถือได้ว่าเป็นปรสิตสำหรับคน และสัตว์เลี้ยง หมัดเมื่อโตตัวเต็มวัยจะวางไข่ในบริเวณขนของสัตว์ หรือ บริเวณที่สัตว์นอนอยู่ โดยวางไข่ครั้งละ 3-18 ฟอง ซึ่งตลอดช่วงอายุของตัวเมียจะวางไข่ได้หลายร้อยฟอง ช่วงระยะการเป็นตัวอ่อนจะกินเวลาประมาณ 9-15 วัน แล้วจึงกลายเป็นดักแด้ ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงเต็มวัย ช่วงชีวิตของหมัดจากไข่จนเติบโตเต็มวัยจะอยู่ที่ประมาณ 18 วันไปจนถึงหลายเดือน.

ใหม่!!: สัตว์และหมัด (สัตว์) · ดูเพิ่มเติม »

หมา

หมา หรือคำสุภาพว่า สุนัข (ชื่อวิทยาศาสตร์: malie suimak หรือ Canis familiaris)Wang, Xiaoming; Tedford, Richard H.; Dogs: Their Fossil Relatives and Evolutionary History.

ใหม่!!: สัตว์และหมา · ดูเพิ่มเติม »

หมาหริ่ง

ระวังสับสนกับ: หมูหริ่ง หมาหริ่ง หรือ หมาหรึ่ง (badger, ferret-badger; 鼬獾屬) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ในสกุล Melogale ในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) เป็นสัตว์กินเนื้อขนาดเล็ก จัดเป็นแบดเจอร์สกุลหนึ่ง มีลำตัวยาวประมาณ 33-39 เซนติเมตร ส่วนหางยาว 15-21 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม มีช่วงขาที่สั้น เล็บนิ้วกางแยกออกจากกันและมีกรงเล็บที่แหลมคม สีขนเป็นสีน้ำตาลแกมเทาจนถึงสีดำ ส่วนหัวมีสีเข้มกว่าลำตัว มีลายแถบสีขาวระหว่างตาแถบหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดเจน และมีแถบสีขาวข้างแก้มและเหนือตาจากผ่านตามแนวสันคอจรดถึงหัวไหล่ เป็นสัตว์ที่มีกลิ่นตัวรุนแรง เนื่องจากมีต่อมผลิตกลิ่นอยู่ที่อยู่ที่บริเวณใกล้ก้น ซึ่งจะผลิตกลิ่นเหม็นออกจากเมื่อถูกคุกคามหรือตกใจ จัดเป็นสัตว์ที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้หลากหลายประเภท ตั้งแต่ป่าดิบ, ทุ่งหญ้า, นาข้าว จนถึงพื้นที่เกษตรกรรมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ในตอนกลางวันจะนอนหลับพักผ่อนในโพรงดินหรือโพรงไม้ ออกหากินในเวลากลางคืน ซึ่งกินได้ทั้งพืชและสัตว์ต่าง ๆ อาทิ ผลไม้, ลูกไม้, สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำขนาดเล็ก, แมลง, หนู, หอยทาก เป็นต้น ซึ่งบางครั้งอาจปีนต้นไม้ขึ้นไปหากินได้ ฤดูผสมพันธุ์จะอยู่ในช่วงฤดูร้อน โดยจะอยู่ด้วยกันเป็นคู่ ตั้งท้องนานประมาณ 3 เดือน ออกลูกครั้งละ 1-3 ตัว ในราวเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ซึ่งในบางครั้งอาจพบอยู่ด้วยกันในโพรงเดียวประมาณ 4-5 ตัว พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียใต้จนถึงเอเชียอาคเนย์และเอเชียตะวันออก ในประเทศไทยพบเพียงชนิดเดียว ในปัจจุบัน แบ่งออกได้เป็น 5 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และหมาหริ่ง · ดูเพิ่มเติม »

หมาหริ่งพม่า

หมาหริ่งพม่า (อังกฤษ: Ferret badger, Burmese ferret-badger, Large-toothed ferret-badger) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีรูปร่างหน้าตาคล้ายเพียงพอนผสมกับหมูหริ่ง คือ มีลำตัวยาวและมีขาสั้นเหมือนพวกเพียงพอน แต่หน้าแหลมยาวเหมือนหมูหริ่ง สีขนตามลำตัวมีสีเทาเข้มหรือน้ำตาล ขนหัวมีสีดำและมีแถบสีขาวพาดยาวมาถึงบริเวณใบหน้าและลำคอ มีเล็บแหลมคม และยาวใช้สำหรับการขุดดินสร้างรัง และใช้ในการจับเหยื่อ มีอุ้งเท้าที่เหมาะสมต่อการปีนต้นไม้ หางยาวเกือบครึ่งหนึ่งของลำตัว และบริเวณปลายหางมีสีขาว มีความยาวลำตัวและหัว 33-39 เซนติเมตร ความยาวหาง 14-20 เซนติเมตร น้ำหนัก 1-3 กิโลกรัม การกระจายพันธุ์พบตั้งแต่ตะวันออกของเนปาล, อินเดีย, พม่า, ไทย, ลาว, เวียดนาม มีพฤติกรรมสามารถอาศัยอยู่ได้ในหลายสภาพแวดล้อม ทั้งนาข้าว, ทุ่งหญ้า ไปจนถึงป่าสมบูรณ์ กินอาหารได้หลายประเภท แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นสัตว์ขนาดเล็ก เช่น หอย, กุ้ง, ปู, แมลง, ไส้เดือน, สัตว์เลื้อยคลาน หรือไข่นกที่ทำรังตามพื้นดิน เป็นต้น ออกหากินตามลำพังในเวลากลางคืน นอนหลับในโพรงไม้หรือโพรงดินในเวลากลางวัน ผสมพันธุ์ในเดือนมิถุนายน ออกลูกครั้งละ 2-3 ตัว ปัจจุบัน เป็นสัตว์หายากมาก ในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 จัดให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และหมาหริ่งพม่า · ดูเพิ่มเติม »

หมาหริ่งจีน

หมาหริ่งจีน (อังกฤษ: Chinese ferret-badger, Small-toothed ferret-badger) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อขนาดเล็ก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Melogale moschata มีรูปร่างหน้าตาคล้ายหมาหริ่งพม่า (M. personata) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน ขนมีสีน้ำตาลเข้ม แต่ขนที่หลังและหางจะอ่อนกว่า ลักษณะเด่นคือ มีเส้นสีขาวกลางหัวลากยาวมาถึงต้นคอ โดยเส้นดังกล่าวจะแคบกว่าเส้นกลางหัวของหมาหริ่งพม่า ขนมีสีขาวปนเหลืองบริเวณกลางหน้าผากและข้างแก้ม ปาก คาง ด้านล่างคอ และปลายหางมีสีขาว ส่วนขาหลังมีสีเหลือง มีความยาวลำตัวและหัว 33-45 เซนติเมตร ความยาวหาง 15-23 เซนติเมตร น้ำหนัก 1-3 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์พบในทางภาคตะวันออกของอินเดียบริเวณที่ติดกับพม่า, ภาคใต้ของจีนบริเวณที่ติดกับพม่า, ภาคตะวันออกของจีนและภาคเหนือของเวียดนาม หมาหริ่งจีน อาศัยอยู่ตามพุ่มไม้ในป่าทึบ อาหารหลักได่แก่ หนู และ กระต่าย หรือสัตว์ขนาดเล็กที่ไม่มีกระดูกสันหลังบางชนิด ขุดโพรงใต้ดินเพื่อเป็นที่หลับนอน ในบางครั้งอาจเข้าไปนอนในโพรงไม้ได้.

ใหม่!!: สัตว์และหมาหริ่งจีน · ดูเพิ่มเติม »

หมาจิ้งจอก

หมาจิ้งจอก หรือ สุนัขจิ้งจอก หรือเรียกสั้น ๆ ว่า จิ้งจอก (fox, jackal; อีสาน: หมาจอก) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม วงศ์ Canidae ในเผ่า Vulpini ลักษณะทั่วไปของหมาจิ้งจอกจะมีขนาดลำตัวที่เล็กกว่าสุนัขบ้านทั่วไป และคล้ายกับสุนัขไทยพื้นเมือง จมูกแหลมยาว หูใหญ่ชี้ตั้ง ฟันกรามแข็งแรงและแหลมคม หางยาวเป็นพวง ขนสีน้ำตาลแกมเหลือง หมาจิ้งจอกมีทั้งหมด 27 ชนิด ใน 5 สกุล พบได้ทั่วโลก แม้กระทั่งขั้วโลกเหนือ สามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกสภาพแวดล้อมได้ สำหรับในประเทศไทย หมาจิ้งจอกจัดอยู่ในสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป..

ใหม่!!: สัตว์และหมาจิ้งจอก · ดูเพิ่มเติม »

หมาจิ้งจอกหลังดำ

หมาจิ้งจอกหลังดำ หรือ หมาจิ้งจอกหลังเงิน (black-backed jackal, silver-backed jackal, red jackal) เป็นสัตว์กินเนื้อชนิดหนึ่งในวงศ์สุนัข (Canidae) เป็นหมาจำพวกแจ็กคัลชนิดหนึ่ง มีใบหูใหญ่ ปลายหางมีสีดำ ช่วงขาสั้นกว่าหมาจิ้งจอกข้างลาย (C. adustus) ตัวผู้กับตัวเมียมีรูปร่างลักษณะเหมือนกันแต่ตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย มีความสูงจากหัวไหล่ถึงปลายเท้า 40–45 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 70–80 เซนติเมตร ความยาวหาง 28–35 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 6–13.5 กิโลกรัม อายุโดยเฉลี่ย 8–10 ปี พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทวีปแอฟริกา โดยเป็นแจ็กคัลชนิดที่หาได้ง่ายที่สุด พบเห็นได้บ่อยที่สุดในทวีปแอฟริกา โดยจะอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้า ป่าละเมาะ และพื้นที่กึ่งทะเลทราย จะจับคู่เพียงคู่เดียวไปตลอดทั้งชีวิตและช่วยกันปกป้องถิ่นอาศัยและถิ่นหากิน หมาจิ้งจอกหลังดำเป็นนักฉกฉวยโอกาสแย่งกินซากสัตว์จากสัตว์นักล่าชนิดอื่น ๆ แต่เมื่อมีโอกาสก็จะล่าลูกแอนทีโลป หรือลูกกวางขนาดเล็ก เป็นอาหารได้ รวมถึงหนู, นกที่หากินตามพื้นดิน ลูกหมาขนาดเล็กที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จะตกเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ เช่น เสือดาว, อินทรีขนาดใหญ่, งูเหลือม.

ใหม่!!: สัตว์และหมาจิ้งจอกหลังดำ · ดูเพิ่มเติม »

หมาจิ้งจอกหูค้างคาว

หมาจิ้งจอกหูค้างคาว (Bat-eared fox) เป็นสัตว์กินเนื้อในวงศ์ Canidae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Otocyon megalotis เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวในสกุล Otocyon มีถิ่นกำเนิดในตอนใต้ของทวีปแอฟริกาและแอฟริกาตะวันออก ชอบอยู่เป็นฝูง อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนา มีลำตัวสีน้ำตาลเทา ยกเว้นขาทั้ง 4 ข้าง, ส่วนหน้าของใบหน้า, ปลายหาง และใบหูเป็นสีดำ เป็นหมาจิ้งจอกที่มีขนาดเล็ก อุปนิสัยไม่ดุร้าย มีความยาวตั้งแต่หัวจรดปลายหางประมาณ 55 เซนติเมตร น้ำหนักเต็มที่ประมาณ 3-5 กิโลกรัม มีจุดเด่นอยู่ที่ใบหูที่ยาวใหญ่ถึง 13 เซนติเมตร รูปร่างคล้ายค้างคาวอันเป็นที่มาของชื่อ ซึ่งเป็นที่รวมของเส้นเลือดต่าง ๆ ช่วยระบายความร้อน และทำให้มีประสาทการรับฟังอย่างดีเยี่ยม จนสามารถฟังได้แม้กระทั่งเสียงคลานของแมลง โดยอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ประมาณ 2-6 ตัว ในโพรงดิน นอกจากนี้แล้วยังมีฟันและกรามที่แตกต่างไปจากสุนัขชนิดอื่น ๆ คือ สุนัขทั่วไปจะมีฟันกรามบน 2 ซี่ และกรามล่าง 3 ซี่ แต่หมาจิ้งจอกหูค้างคาวมีฟันกรามบน 3 ซี่ และกรามล่าง 4 ซี่ และสามารถขยับกรามได้อย่างรวดเร็วเพื่อเคี้ยวแมลงได้อีกต่างหาก ออกหากินในเวลากลางคืน ในฤดูหนาวจะหากินในเวลากลางวัน โดยกินแมลงจำพวกปลวกเป็นอาหารหลัก และสัตว์ฟันแทะ รวมถึงผลไม้บางชนิด โตเต็มวัยเมื่ออายุได้ 7-9 เดือน มีฤดูผสมพันธุ์ในฤดูหนาว ออกลูกครั้งละ 2-5 ตัว แม่หมาจิ้งจอกหูค้างคาวจะเลี้ยงลูกนานราว 15 สัปดาห์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย คือ.

ใหม่!!: สัตว์และหมาจิ้งจอกหูค้างคาว · ดูเพิ่มเติม »

หมาจิ้งจอกอาร์กติก

หมาจิ้งจอกอาร์กติก, หมาจิ้งจอกขั้วโลก หรือ หมาจิ้งจอกหิมะ (Arctic fox, Snowy fox, Polar fox; หรือ Alopex lagopus) เป็นหมาจิ้งจอกขนาดเล็ก อาศัยอยู่ทั่วไปในเขตชายผั่งมหาสมุทรอาร์กติก ตลอดจนเขตทุนดราที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอีกชนิดหนึ่ง ที่มีขนสีขาวเพื่อให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ช่วยให้ล่าเหยื่อได้ง่าย และสามารถพรางตัวจากศัตรูได้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และหมาจิ้งจอกอาร์กติก · ดูเพิ่มเติม »

หมาจิ้งจอกอินเดีย

ำหรับหมาจิ้งจอกขนาดเล็กกว่าที่พบได้ในอินเดีย ดูที่: หมาจิ้งจอกเบงกอล หมาจิ้งจอกอินเดีย หรือ หมาจิ้งจอกหิมาลัย (Indian jackal, Himalayan jackal) เป็นชนิดย่อยของหมาจิ้งจอกทอง (C. aureus) หรือหมาจิ้งจอก หัวกะโหลกของหมาจิ้งจอกอินเดีย สีขนมี 2 สี คือ สีดำและสีขาวและสีน้ำตาลอมเหลืองบนหัวไหล่, หูและขา ในตัวที่อาศัยอยู่ในที่สูงจะมีสีลำตัวที่เข้มมากขึ้น มีขนสีดำตั้งแต่ช่วงกลางของด้านหลังและหาง หน้าท้องหน้าอกและด้านข้างของขาเป็นสีขาวครีมในขณะที่ส่วนใบหน้าและด้านล่างลำตัวจะมีลักษณะคล้ายผมหงอกด้วยขนสีเทา หมาจิ้งจอกอินเดียมีขนาดโตเต็มที่มีความยาว 100 เซนติเมตร (39 นิ้ว) มีความสูงจากหัวไหล่ถึงเท้า 35–45 เซนติเมตร (14–18 นิ้ว) และมีน้ำหนักประมาณ 8–11 กิโลกรัม (18–24 ปอนด์) พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ปากีสถาน, อินเดีย, ภูฏาน, พม่า และเนปาลLAPINI L., 2003 - Canis aureus (Linnaeus, 1758).

ใหม่!!: สัตว์และหมาจิ้งจอกอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

หมาจิ้งจอกทอง

หมาจิ้งจอกทอง หรือ หมาจิ้งจอกเอเชีย (pmc Reed wolf) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับสัตว์กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Canis aureus ในวงศ์สุนัข (Canidae) และถึงแม้ว่าจะได้ชื่อสามัญว่าในภาษาไทยว่า "หมาจิ้งจอก" แต่ก็มิได้เป็นหมาจิ้งจอกแท้ ๆ เพราะมิได้อยู่ในสกุล Vulpini แต่จัดเป็นหมาป่าที่มีขนาดเล็ก (แจ็กคัล) กว่าหมาใน.

ใหม่!!: สัตว์และหมาจิ้งจอกทอง · ดูเพิ่มเติม »

หมาจิ้งจอกข้างลาย

หมาจิ้งจอกข้างลาย (side-striped jackal) สัตว์กินเนื้อชนิดหนึ่ง ในวงศ์สุนัข (Canidae) จัดเป็นหมาจิ้งจอกที่มีขนาดเล็กกว่าหมาป่า และหมาใน ด้วยเป็นแจ็กคัลชนิดหนึ่ง มีความแตกต่างจากแจ็กคัลชนิดอื่น ๆ โดยมีใบหน้าที่แหลมน้อยกว่า ใบหูมนกว่า ปลายหางเป็นสีขาว และมีลายเส้นสีขาวเส้นเดียวพาดทแยงตามทั้งสองข้างลำตัว มีความใกล้เคียงกับหมาจิ้งจอกหลังดำ (C. mesomelas) ซึ่งเป็นแจ็กคัลอีกชนิดหนึ่ง มีฟันที่สามารถเขียนเป็นสูตรได้ว่า มีความสูงจากปลายเท้าถึงหัวไหล่ 40–45 เซนติเมตร ความยาว 70–80 เซนติเมตร น้ำหนักโดยเฉลี่ย 7–13 กิโลกรัม ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียและมีน้ำหนักมากกว่า พบกระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา จัดเป็นแจ็กคัลชนิดที่พบได้ยากที่สุด มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ตามลำพังเพียงตัวเดียว ยกเว้นในช่วงฤดูผสมพันธุ์หรือเลี้ยงดูแลลูกที่อยู่กันเป็นคู่ มีการจับคู่แบบคู่เดียวตลอดทั้งชีวิต อาศัยอยู่ในสถานที่ ๆ เป็นทุ่งหญ้าและป่าละเมาะ กินซากสัตว์ที่เน่าเปื่อย และล่าสัตว์ขนาดเล็ก เช่น หนู, กระต่าย, นกที่หากินตามพื้นดิน, สัตว์เลื้อยคลาน หรือแมลง เป็นอาหาร นอกจากนี้แล้วยังอาจล่าสัตว์กีบที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น ลูกแอนทีโลป หรือแอนทีโลปขนาดเล็กเป็นอาหารได้ด้วย โดยเฉพาะการล่าแบบคู่ โดยคู่ผสมพันธุ์ มีระยะเวลาการตั้งท้องนาน 57–70 วัน พฤติกรรมการเลี้ยงลูกเหมือนกับแจ็คเกิลชนิดอื่น ๆ คือ ตัวผู้เป็นฝ่ายหาอาหารมาเลี้ยงดู ตัวเมียจะเป็นฝ่ายเฝ้าดูแลรังและดูแลลูกมากกว่า แต่ก็อาจจะช่วยตัวผู้ล่าเหยื่อได้ในบางครั้ง ลูกขนาดเล็กที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จะตกเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่กว่า เช่น เสือดาว, ไฮยีน่า, งูเหลือม, อินทรีขนาดใหญ.

ใหม่!!: สัตว์และหมาจิ้งจอกข้างลาย · ดูเพิ่มเติม »

หมาจิ้งจอกแดง

หมาจิ้งจอกแดง (Red fox) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับสัตว์กินเนื้อ ซึ่งอยู่ในวงศ์สุนัข (Canidae) จัดได้ว่าเป็นหมาจิ้งจอกแท้ชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และหมาจิ้งจอกแดง · ดูเพิ่มเติม »

หมาจิ้งจอกเบงกอล

ำหรับหมาจิ้งจอกชนิดอื่นที่พบในอินเดีย ดูที่: หมาจิ้งจอกอินเดีย หมาจิ้งจอกเบงกอล หรือ หมาจิ้งจอกอินเดีย (Bengal fox, Indian fox) หมาจิ้งจอกชนิดหนึ่ง ที่พบได้ในประเทศอินเดียและใกล้เคียง นับว่าเป็นหมาจิ้งจอกแท้ หมาจิ้งจอกเบงกอล จัดเป็นสัตว์เฉพาะถิ่นที่พบได้ในประเทศอินเดียและปากีสถาน และตอนใต้ของบังกลาเทศ รวมถึงเนปาล เป็นหมาจิ้งจอกขนาดเล็ก มีขนสีเทา หัวและลำตัวรวมกันมีความยาวประมาณ 46 เซนติเมตร หางยาวเป็นพวงประมาณ 25 เซนติเมตร ปลายหางเป็นสีดำ น้ำหนักตัว 2.3–4.1 กิโลกรัม กินอาหารได้หลากหลายตั้งแต่ สัตว์ฟันแทะ, สัตว์เลื้อยคลาน, ปู, ปลวก, แมลง, นกขนาดเล็ก และผลไม้ เป็นสัตว์ขี้อาย มีความว่องไวปราดเปรียว พบได้ในเขตอุทยานแห่งชาติต่าง ๆ ในอินเดีย เช่น ลิตเติลเรนน์ออฟคุตช์ และเขตรักษาพันธุ์ลาป่าอินเดี.

ใหม่!!: สัตว์และหมาจิ้งจอกเบงกอล · ดูเพิ่มเติม »

หมาจิ้งจอกเฟนเนก

หมาจิ้งจอกเฟนเนก หรือ หมาจิ้งจอกทะเลทราย (Fennec fox, Desert fox) เป็นหมาจิ้งจอกชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Vulpes zerda อยู่ในวงศ์สุนัข (Canidae) หมาจิ้งจอกเฟนเนกเป็นหมาจิ้งจอกขนาดเล็ก ถือได้ว่าเป็นสัตว์ในวงศ์สุนัขที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เนื่องจากขนาดเมื่อโตเต็มที่แล้ว มีน้ำหนักเฉลี่ยเพียง 1.75 กิโลกรัมสำหรับตัวผู้ และ 1.25 กิโลกรัมสำหรับตัวเมีย ซึ่งถือได้ว่าเล็กกว่าสุนัขบ้านเสียอีก นับได้ว่ามีขนาดน้ำหนักตัวใกล้เคียงกับชิวาวา ซึ่งเป็นสุนัขขนาดเล็ก และมีความยาวลำตัวประมาณ 24-40 เซนติเมตร มีความยาวหาง 8 นิ้ว มีขนสีน้ำตาลเหลืองตลอดทั้งตัว ดวงตาสีดำ มีจุดเด่นที่เห็นได้ชัดเจนคือ ใบหูที่ยาวมาก บางตัวอาจยาวได้ถึง 15 เซนติเมตร คล้ายกับหมาจิ้งจอกหูค้างคาว (Otocyon megalotis) ซึ่งถือได้ว่าเป็นหมาจิ้งจอกขนาดเล็กเช่นกัน แต่มีขนาดใหญ่กว่า หมาจิ้งจอกเฟนเนกมีถิ่นกระจายพันธุ์อยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา โดยอาศัยอยู่ในทะเลทราย มีพฤติกรรมรวมกันเป็นฝูงขนาดเล็ก หากินในเวลากลางคืน โดยมีอาหารหลักคือ แมลงชนิดต่าง ๆ ด้วยการขุดคุ้ยจากการฟังเสียงจากใบหูที่มีขนาดใหญ่ นอกจากนั้นแล้วยังสามารถกินสัตว์ที่มีขนาดเล็ก, ไข่นก และผลไม้ได้อีกด้วย กระนั้นหมาจิ้งจอกเฟนเนกก็ยังตกเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อที่มีขนาดใหญ่กว่าได้อีกด้วย แต่ด้วยสภาพร่างกายที่เหมาะกับการอาศัยอยู่ในทะเลทราย ทำให้สามารถเอาตัวรอดได้ โดยขนที่อุ้งเท้าจะหนาสำหรับใช้เดินบนพื้นทรายที่ร้อนระอุได้ ขนสีน้ำตาลเหมือนสีของทรายของช่วยให้อำพรางตัวได้ในทะเลทราย นอกจากนี้แล้วยังหนาต่างจากสัตว์ที่อยู่ในทะเลทรายจำพวกอื่น ๆ โดยขนจะทำหน้าที่สะท้อนความร้อนจากแสงแดดในเวลากลางวันออกไป ส่วนตอนกลางคืนก็ทำหน้าที่สะสมความอบอุ่นไว้เพื่อต่อสู้กับความหนาวเย็น เนื่องจากเป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคึน ขยายพันธุ์ด้วยการตั้งท้องนานครั้งละ 2 เดือน เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 9 เดือน โดยจะตกลูกปี​ละ​ครั้ง ​เป็น​สัตว์​ที่​มี​คู่​ตัว​เดียว​ตลอด​ชีวิต ตัวผู้​จะ​ดุร้าย​และ​หวง​คู่ อีก​ทั้ง​ทำ​หน้าที่​คอย​หา​อาหาร​ให้​ตัวเมีย​ตลอด​เวลา​ช่วง​ที่​ตั้ง​ท้อง​และ​ให้​นม ตกลูกครั้งละ 2-4 ตัว คำว่า "เฟนเนก" นั้น มาจากภาษาอาหรับคำว่า "ثعلب" (fanak) หมายถึง "หมาจิ้งจอก" ส่วนชื่อชนิดทางวิทยาศาตร์คำว่า zerda มาจากภาษากรีกคำว่า xeros ซึ่งหมายถึง "ความแห้ง" อันหมายถึงสภาพของสถานที่อยู่อาศัยนั่นเอง ด้วยรูปลักษณ์ที่น่ารัก และมีขนาดเล็ก จึงทำให้หมาจิ้งจอกเฟนเนกกลายเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดหนึ่งของมนุษย์ เช่นเดียวกับ สัตว์เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลินชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นฉายาของทีมฟุตบอลทีมชาติแอลจีเรียอีกด้วย โดยเรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า Les Fennecs หมายถึง "หมาจิ้งจอกทะเลทราย".

ใหม่!!: สัตว์และหมาจิ้งจอกเฟนเนก · ดูเพิ่มเติม »

หมาป่า

หมาป่า หรือ หมาป่าสีแดง เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จัดอยู่ในวงศ์ Canidae มีสัตว์ร่วมตระกูลคือ หมาจิ้งจอก หมาใน ไคโยตี ไฮยีน่าและดิงโก หมาป่าจัดอยู่ในสัตว์ประเภทกินเนื้อที่มีนิสัยค่อนข้างดุร้าย ปราดเปรียว เฉลียวฉลาด มีการออกล่าเป็นทีม มีความอดทนรวมทั้งมีความกล้าหาญและความสามารถในการต่อสู้อย่างดีเยี่ยม หมาป่าอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจายในแถบทวีปยุโรปในอดีตมีถึง 32สายพัน.

ใหม่!!: สัตว์และหมาป่า · ดูเพิ่มเติม »

หมาป่าดิงโก

หมาป่าดิงโก (อังกฤษ: Dingo) สุนัขป่าชนิดหนึ่ง พบได้เฉพาะที่ออสเตรเลียเท่านั้น หมาป่าดิงโกเป็นสุนัขป่าเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายสุนัขบ้านมากที่สุด จึงสันนิษฐานว่าบรรพบุรุษของหมาป่าดิงโก สืบเชื้อสายมาจากสุนัขบ้านจากเอเชียอาคเนย์ (รวมถึงประเทศไทยด้วย) โดยเข้ามาอยู่ในออสเตรเลียเมื่อราว 3,000-4,000 ปีก่อน หมาป่าดิงโกจัดเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นในวงศ์สุนัข (Canidae) ที่พบในออสเตรเลีย แผนที่แสดงความเป็นไปได้ในการอพยพของหมาป่าดิงโก หมาป่าดิงโกเป็นสุนัขป่าขนสั้น หางเป็นพวง สีขนมีหลากหลายมาก ส่วนใหญ่จะเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง ในบางตัวอาจมีสีเทาหรือแดง แม้กระทั่งขาวล้วนหรือดำล้วนก็มี มีอุปนิสัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ มีนิสัยดุร้ายและปราดเปรียวมาก แม้พื้นที่ ๆ อาศัยอยู่จะเป็นทะเลทรายหรือที่ราบกว้างใหญ่ แต่หมาป่าดิงโกก็สามารถป่ายปีนก้อนหินหรือหน้าผาได้อย่างคล่องแคล่ว ขนาดเมื่อโตเต็มที่ สูงประมาณ 52-60 เซนติเมตร ความยาวลำตัวตั้งแต่ปลายจมูกจรดหาง 117-124 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 13-24 กิโลกรัม หมาป่าดิงโกจัดเป็นสัตว์อันตรายชนิดหนึ่งในออสเตรเลีย โดยจะโจมตีใส่สัตว์เลี้ยงของมนุษย์เช่น แกะ หรือ ม้า ได้ แม้กระทั่งโจมตีใส่มนุษย์และทำร้ายจนถึงแก่ความตายได้ด้วย หมาป่าดิงโกเป็นสุนัขที่ไม่เชื่อง ดังนั้น จึงตกเป็นสัตว์ที่ถูกล่าในศตวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบัน หมาป่าดิงโก มีสถานะที่มีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ ในทางตอนใต้และตะวันออกของออสเตรเลีย มีการแบ่งเขตเป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์หมาป่าดิงโก เพื่อไม่ให้หมาป่าดิงโกเข้ามาปะปนกับมนุษย์หรือสัตว์ชนิดอื่น โดยกั้นเป็นรั้วยาวกว่าครึ่งของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งจัดเป็นแนวรั้วที่ยาวที่สุดในโลก ในปี ค.ศ. 2010 นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ได้เปิดเผยผลการวิจัยว่า จากการศึกษาดีเอ็นเอพบว่า หมาป่าดิงโกและสุนัขป่านิวกินี (C. l. hallstromi) ซึ่งเป็นสุนัขป่าพื้นเมืองของเกาะนิวกินี นั้นเป็นสายพันธุ์สุนัขป่าที่ใกล้เคียงกับสุนัขบ้านมากที่สุด และถือเป็นสายพันธุ์สุนัขแท้ ๆ ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งปัจจุบันนี้สุนัขทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ก็ใกล้สูญพันธุ์อย่างเต็มที่แล้ว โดยเฉพาะหมาป่าดิงโกที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เพราะการผสมข้ามสายพันธุ์ เพราะกว่า 80 เปอร์เซนต์ ของหมาป่าดิงโกที่อาศัยแถบชายฝั่งทางตะวันออกของออสเตรเลียเป็นพันธุ์ผสมที่ผสมกับสุนัขสายพันธุ์อื่น ในปัจจุบันหมาป่าดิงโกสายพันธุ์แท้หลงเหลือเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือ เกาะเฟรเซอร์ ในรัฐควีนส์แลนด์ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลี.

ใหม่!!: สัตว์และหมาป่าดิงโก · ดูเพิ่มเติม »

หมาป่านิวกินี

หมาป่านิวกินี (อังกฤษ: New Guinea singing dog, New Guinea highland dog; ชื่อย่อ: NGSD) หมาป่าชนิดหนึ่ง ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับสุนัขบ้านมากที่สุด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Canis lupus hallstromi ในวงศ์สุนัข (Canidae) มีรูปร่างของกะโหลกศีรษะเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีส่วนสูง 13-16.5 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 17-30 ปอนด์ มีขนสั้นและหนาแน่น มีขนสีน้ำตาลแดง ส่วนท้อง คอ หน้าอก และหางมีสีขาว มีฟันที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงกว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น ๆ โดยเฉพาะฟันกรามบน จากการศึกษาซากดึกดำบรรพ์ พบว่าหมาป่านิวกินีอาศัยอยู่บนเกาะนิวกินีมาตั้งแต่ยุคหินแล้ว โดยอยู่ร่วมกับชนพื้นเมืองเช่นเดียวกับสุนัขสายพันธุ์อื่น ๆ ทั่วโลก โดนมีอุปนิสัยฉลาด และเป็นมิตรกับมนุษย์ หมาป่านิวกินี มีจุดเด่นอีกประการคือ เสียงหอนที่แหลมสูงและหอนได้ต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น จึงเป็นที่มาของชื่อในภาษาอังกฤษว่า "Singing Dog" (สุนัขร้องเพลง) เป็นที่รู้จักครั้งแรกของชาวโลก ในทศวรรษที่ 50 เนื่องจากชาวตะวันตกที่เดินทางไปศึกษาสัตว์ป่าที่เซาเทิร์นไฮแลนส์ บนเกาะนิวกินี และได้รับรายงานจากการที่หมาป่านิวกินีไปฆ่าเป็ดไก่ของชาวบ้าน และได้รับการอนุกรมวิธาน โดยทีแรกให้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Canis hallstromi แต่ได้มีการเปลี่ยนในภายหลัง โดยจัดให้เป็นชนิดย่อยว่า hallstromi ขณะที่ชื่อสกุลและชนิดใช้ว่า Canis lupus เช่นเดียวกับหมาป่าชนิดที่พบในยุโรป หมาป่านิวกินี ถูกส่งไปสหรัฐอเมริกาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958 ที่สวนสัตว์ซานดิเอโก เป็นเพศเมีย ต่อมาสมาคมสุนัขสหราชอาณาจักร (United Kennel Club) ได้รับรองสายพันธุ์หมาป่านิวกินีนี้ลงในทะเบียนของสมาคม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1996 โดยหมาป่านิวกินีในที่เลี้ยงพบว่ามีอุปนิสัยฉลาด รักอิสระ มีนิสัยอ่อนโยน แต่ยังคงมีสัญชาตญาณสัตว์ป่าสูง สามารถป่ายปีนและขุดดินเก่ง สามารถหลบหนีจากกรงได้อย่างชาญฉลาด มีพฤติกรรมงับเหยื่อหรืออาหารอย่างแน่น ไม่ยอมปล่อยจนกว่าจะปลอดภัย การฝึกต้องอาศัยความละเอียดและอดทน หมาที่คุ้นเคยกับมนุษย์แล้วจะเป็นมิตรด้วย แต่จะพุ่งใส่หมาหรือสุนัขตัวอื่นที่ดุร้ายแม้ตัวจะใหญ่กว่า หรือคนแปลกหน้า และจะต่อสู้อย่างดุเดือด สำหรับสถานะ หมาป่านิวกินีในธรรมชาตินับว่าหายากมาก ซึ่งทางสมาคมสุนัขสหราชอาณาจักรได้ให้เงินทุนสำหรับการอนุรักษ์สายพันธุ์ ในปี ค.ศ. 2010 นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ได้เปิดเผยผลการวิจัยว่า จากการศึกษาดีเอ็นเอพบว่า หมาป่านิวกินีและดิงโก (C. l. dingo) ซึ่งพบเฉพาะในออสเตรเลียนั้นเป็นสายพันธุ์หมาป่าที่ใกล้เคียงกับสุนัขบ้านมากที่สุด และถือเป็นสายพันธุ์สุนัขแท้ ๆ ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งปัจจุบันนี้หมาป่าทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ก็ใกล้สูญพันธุ์อย่างเต็มที่แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และหมาป่านิวกินี · ดูเพิ่มเติม »

หมาป่าไคโยตี

หมาป่าโคโยตี หรือ ไคโยตี หรือ ไคโยต หรือ โคโยตี จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นหมาป่าชนิดหนึ่ง ในตระกูลหมาใกล้เคียงกับหมาบ้าน หมาป่าไคโยตีมักออกล่าเหยื่อเดี่ยว และในบางครั้งอาจพบเจออยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ช่วงชีวิตของหมาป่าไคโยตีประมาณ 6 ปี อยู่อาศัยบริเวณทุ่งราบ และพบได้ในทวีปอเมริกาเหนือ หมาป่าไคโยตีถูกพบเจอครั้งแรกบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา และแถบคอสตาริกา ซึ่งภายหลังหมาป่าไคโยตีได้ขยายดินแดนขึ้นมาทางอเมริกาเหนือ.

ใหม่!!: สัตว์และหมาป่าไคโยตี · ดูเพิ่มเติม »

หมาป่าเอธิโอเปีย

หมาป่าเอธิโอเปีย (Ethiopian wolf) เป็นสัตว์กินเนื้อชนิดหนึ่ง ในวงศ์สุนัข (Canidae) ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์กินเนื้อที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ที่สุดของทวีปแอฟริกา ปัจจุบันคาดว่ามีจำนวนประชากรไม่เกิน 500 ตัวเท่านั้น หมาป่าเอธิโอเปียมีขนาดไล่เลี่ยและลักษณะคล้ายคลึงกับหมาป่าไคโยตี ที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ แต่มีขนาดเล็กกว่า มีจุดเด่น คือ สีขนเป็นสีแดงและมีแผงอกเป็นสีขาว หน้า 92, BALE MOUNTAINS NATIONAL PARK, ETHIOPIA.

ใหม่!!: สัตว์และหมาป่าเอธิโอเปีย · ดูเพิ่มเติม »

หมาป่าเคราขาว

หมาป่าเคราขาว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Chrysocyon brachyurus; Maned wolf) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ในวงศ์สุนัข (Canidae) เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Chrysocyon พบในทวีปอเมริกาใต้ ในประเทศบราซิล, ประเทศปารากวัย และประเทศโบลิเวีย หมาป่าเคราขาวมีลักษณะโดยผิวเผินคล้ายคลึงกับหมาจิ้งจอก แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก โดยสูงถึงสามฟุตนับจากเท้าถึงหัวไหล่ เพราะมีช่วงขาที่ยาวทำให้การมองเห็นได้ดีเมื่อต้องอยู่ในทุ่งหญ้าหรือที่รกชัฏ มีน้ำหนักประมาณ 20 ถึง 25 กิโลกรัม ขนลำตัวเป็นสีแดงน้ำตาล โดยมีขนขาและหลังคอเป็นสีดำ ขนปลายหางและใต้ลำคอเป็นสีขาว ขนดำที่หลังคอเป็นขนยาวและตั้งชันได้เวลากลัวหรือต้องการแสดงความก้าวร้าว หมาป่าเคราขาวมักอาศัยเป็นลำพัง หรือเป็นคู่ ซึ่งต่างจากสัตว์ในวงศ์หมาป่าขนาดใหญ่ชนิดอื่นๆที่มักอยู่เป็นฝูง หมาป่าเคราขาวล่าสัตว์ขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นอาหารในเวลากลางคืน เช่น สัตว์ฟันแทะ, กระต่าย และ นก นอกเหนือจากนี้ หมาป่าเคราขาวกินผลไม้และพืชอีกหลายชนิดไม่แพ้เนื้อสัตว์ หากไม่ได้กินพืช หมาป่าเคราขาวจะเป็นโรคนิ่วได้ หมาป่าเคราขาวที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าเซอราโด ของบราซิล มีพฤติกรรมชอบกินผลของโลบิรา (Solanum lycocarpum) มาก และเมื่อกินแล้วจะถ่ายมูลลงบนยอดจอมปลวกเล็ก ๆ ที่ขึ้นในทุ่งหญ้าเซอราโด ซึ่งในมูลนั้นจะมีเมล็ดของโลบิราอยู่ด้วย ซึ่งจะงอกเป็นต้นโลบิราขึ้นมาบนจอมปลวกนั้น เป็นเหตุให้ต้นโลบิราในทุ่งหญ้าเซอราโด มักขึ้นอยู่บนยอดจอมปลวกขนาดเล็ก ในปัจจุบัน หมาป่าเคราขาวมีจำนวนลดลง เนื่องจากถูกล่าจากมนุษย์ และติดเชื้อโรคจากสุนัขบ้าน หมาป่าเคราขาวเป็นสัตว์ในบัญชีหมายเลข ๒ ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ (CITES) โดยห้ามส่งออกหรือนำเข้าโดยปราศจากใบอนุญาต ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.

ใหม่!!: สัตว์และหมาป่าเคราขาว · ดูเพิ่มเติม »

หมาใน

หมาใน, หมาป่าเอเชีย หรือ หมาแดง เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cuon alpinus ในวงศ์สุนัข (Canidae) เป็นหมาป่าที่มีขนาดใหญ่กว่าหมาจิ้งจอก จมูกสั้น ใบหูกลมมีขนาดใหญ่ ขนตามลำตัวค่อนข้างสั้นมีสีน้ำตาลแดง สีขนบริเวณท้องจะอ่อนกว่าบริเวณหลัง หางยาวเป็นพวง ปลายหางมีสีเทาเข้มหรือดำ จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อยูในสกุล Cuon มีความยาวลำตัวและหัว 80–90 เซนติเมตร ความยาวหาง 30.5–34.5 เซนติเมตร น้ำหนักในเพศผู้ 10–21 กิโลกรัม เพศเมีย 10–13 กิโลกรัม หมาในมีฟันที่แข็งแรงแต่มีฟันกรามล่างเพียงข้างละ 2 ซี่เท่านั้น ซึ่งต่างจากสัตว์ในวงศ์สุนัขชนิดอื่น ๆ มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวาง ทำให้มีชนิดย่อย ถึง 11 ชนิด พบตั้งแต่ภาคใต้ของไซบีเรีย เรื่อยมาจนถึงคาบสมุทรเกาหลี, เนปาล, อินเดีย, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม และเกาะชวาในอินโดนีเซีย มักอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ โดยฝูงหนึ่ง ๆ มีสมาชิกตั้งแต่ 6–12 ตัว โดยสมาชิกแต่ละตัวจะมีหน้าที่ช่วยกันล่าเหยื่อที่มีขนาดใหญ่ เช่น กระทิง ควายป่า หรือ กวางป่า มีความเชื่อว่า ก่อนล่าเหยื่อจะปัสสาวะรดพื้นหรือใบไม้เมื่อเหยื่อดมถูกจะเกิดความหวาดกลัวจนยืนแข็งทำอะไรไม่ถูก จึงเชื่อว่า สามารถทำให้เหยื่อตาบอดได้ด้วยวิธีนี้ ฝูงหมาในมีความใกล้ชิดกันทางสายเลือด ภายในกลุ่มมีสมาชิกตั้งแต่ 2–3 ครอบครัว ออกล่าเหยื่อในเวลากลางวัน แต่ในบางครั้งอาจล่าในเวลากลางคืนหรือพลบค่ำหรือเช้าตรู่ได้ อาหารโดยปกติ ได้แก่ สัตว์กินพืชขนาดใหญ่ เช่น กวางป่า, เก้ง และกระต่ายป่า แต่ในบางสถานการณ์ที่อาหารขาดแคลน อาจกินลูกตัวเองเป็นอาหารได้ หมาในระบบประสาทหู ตา และการดมกลิ่นที่ดีเยี่ยม สามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี ใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 9 สัปดาห์ ออกลูกครั้งละ 8–10 ตัว ตามโพรงดินหรือในถ้ำที่ปลอดภัย แม่หมาในมีเต้านม 8 คู่ ลูกที่เกิดใหม่จะมีสีขนสีน้ำตาลเทา มีอายุในที่เลี้ยงประมาณ 16 ปี ในธรรมชาติราว 10 ปี ฝูงหมาในล่ากวางป่า ที่อุทยานแห่งชาติบันดิเปอร์ ประเทศเนปาล สถานภาพในประเทศไทย เป็นหมาป่า 1 ใน 2 ชนิดที่สามารถพบได้ในประเทศไทย (อีกหนึ่งชนิด คือ หมาจิ้งจอก) จากเดิมที่เคยพบในป่าทั่วประเทศ ปัจจุบันเชื่อว่าเหลือเพียงในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ และที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เท่านั้น และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535.

ใหม่!!: สัตว์และหมาใน · ดูเพิ่มเติม »

หมาไม้

หมาไม้ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดหนึ่งในอันดับสัตว์กินเนื้อ มีรูปร่างคล้ายพญากระรอกดำ (Ratufa bicolor) มีลักษณะเด่นคือ ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงหน้าอกมีสีเหลือง ส่วนหัวด้านบนมีสีดำ ขาสั้นเมื่อเทียบกับขนาดตัว ตัวผู้มีฟันเขี้ยวขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย หางยาวพอ ๆ กับความยาวลำตัว หมาไม้ชนิดย่อยที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของทวีปเอเชียจะมีขนาดใหญ่กว่าชนิดที่อาศัยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มีความยาวลำตัวและหัว 45–60 เซนติเมตร ความยาวหาง 38–43 เซนติเมตร น้ำหนัก 2–3 กิโลกรัม หมาไม้เป็นสัตว์ที่มีกลิ่นตัวแรงมาก มีความคล่องแคล่วปราดเปรียวมาก สามารถหากินได้ทั้งบนต้นไม้และพื้นดิน กินอาหารได้หลากหลายประเภททั้งพืชและสัตว์ ทั้งสัตว์ฟันแทะ, แมลง, สัตว์เลื้อยคลาน, นก หรือ ไข่นก บางครั้งอาจเข้ามาหาอาหารที่นักท่องเที่ยวป่าทิ้งไว้ตามเต๊นท์ นอกจากนี้ยังสามารถกินผึ้งและน้ำผึ้งเหมือนหมีได้อีกด้วย มักหากินในเวลากลางวัน แต่บางครั้งอาจหากินในเวลากลางคืน มักจะหากินแต่เพียงลำพังหรือเป็นคู่ไม่มากกว่านั้น หมาไม้ตัวเมียจะตั้งท้องนาน 220–290 วัน ออกลูกครั้งละ 3–5 ตัว อายุขัยในสถานที่เลี้ยงประมาณ 14 ปี เป็นสัตว์ที่มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน, ภาคเหนือของปากีสถาน, รัฐแคชเมียร์และรัฐอัสสัมของอินเดีย, ภาคเหนือของพม่า, ภาคใต้และภาคตะวันออกของจีน, ไต้หวัน, ไทย, ลาว, ตอนเหนือของกัมพูชา, ภาคเหนือและภาคกลางของเวียดนาม, มาเลเซีย, เกาะสุมาตราและเกาะบอร์เนียว สถานะของหมาไม้ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และหมาไม้ · ดูเพิ่มเติม »

หมาไม้ต้นสนยุโรป

หมาไม้ต้นสนยุโรป หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า หมาไม้ต้นสน ในประเทศยุโรปที่พูดภาษาอังกฤษ เป็นสัตว์ท้องถิ่นในยุโรปเหนือ อยู่ในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับมิงค์, นาก, แบดเจอร์ และวูล์ฟเวอรีน และวีเซิล มีขนาดใหญ่ประมาณแมวบ้าน ลำตัวยาว 53 เซนติเมตร และหางของมันสามารถยาวได้ถึง 25 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย โดยเฉลี่ย มีน้ำหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม ขนของมันมักมีสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม และจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและนุ่มขึ้นระหว่างฤดูหนาว พวกมันมีช่วงลำคอสีครีมไปจนถึงเหลือง.

ใหม่!!: สัตว์และหมาไม้ต้นสนยุโรป · ดูเพิ่มเติม »

หมึก (สัตว์)

หมึก หรือที่นิยมเรียกกันว่า ปลาหมึก เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่มีขนาดใหญ่ เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว และว่องไว มีหนวดรอบปาก 4-5 คู่ บนหนวดมีปุ่มดูดเรียงเป็นแถว มีหน้าที่จับเหยื่อป้อนเข้าปาก เป็นสัตว์ที่มีอยู่ในไฟลัมมอลลัสกา ชั้นเซฟาโลพอดซึ่งเป็นชั้นของสัตว์ที่มีลำตัวอ่อนนิ่ม ชั้นย่อย Coleoidea ต่างจากกลุ่มสัตว์ที่ใกล้เคียงกันคือ Nautiloidea ซึ่งมีเปลือกแข็งห่อหุ้มภายนอกร่างกาย แต่หมึกส่วนใหญ่กลับมีกระดูกหรือเปลือกอยู่ภายในเพื่อใช้ประโยชน์ในการเป็นทุ่นหรือพยุงร่างกาย ซึ่งเรียกว่า ลิ้นทะเล ยังมีบางชนิดที่ไม่มีกระดูก แต่มีกระดูกอ่อนทดแทนเพื่อใช้ในการพยุงโครงสร้างร่างกาย คำว่า Cephalopoda ซึ่งเป็นชื่อชั้นที่ใช้เรียกหมึก มาจากภาษากรีกแปลรวมกันว่า "สัตว์หัว-เท้า" (head-footed animals) เนื่องจากหมึกเป็นสัตว์ที่ไม่มีแขนขา เพียงแต่มีระยางค์ยื่นออกจากจากรอบ ๆ บริเวณปากเรียกว่า หนวด เท่านั้นเอง หมึกวิวัฒนาการมาจากมอลลัสกา ในปลายยุคแคมเบรียน หรือราว 500 ล้านปีก่อน แต่กระนั้นหมึกและหอยในยุคปัจจุบันนี้ ก็ยังมีระบบทางร่างกายหลายอย่างเหมือนกัน กล่าวคือ ระบบทางเดินอาหาร, ปาก, ฟัน และกล้ามเนื้อแบบแมนเทิล ปัจจุบัน ได้มีการค้นพบหมึกแล้วว่า 1,000 ชนิด ชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ หมึกมหึมา (Mesonychoteuthis hamiltoni) ซึ่งเป็นหมึกในอันดับหมึกกล้วย อาศัยอยู่ในห้วงน้ำลึกของมหาสมุทรแอตแลนติก อาจยาวได้ถึง 14 เมตร นับเป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย และเล็กที่สุดมีขนาดไม่เกิน 1 เซนติเมตรด้วยซ้ำ เช่น หมึกในวงศ์ Idiosepiidae เป็นต้น หมึกมีความสำคัญต่อมนุษย์ในแง่ของการใช้เป็นอาหารมาช้านาน ในแทบทุกวัฒนธรรม หมึกถือเป็นสัตว์ทะเลที่ใช้ปรุงเป็นอาหาร ซึ่งสามารถปรุงสุดได้ทั้งสดและตากแห้ง เช่น ในอาหารไทย เช่น หมึกผัดกะเพรา หรือ หมึกย่าง เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังใช้ทำเป็นอาหารสัตว์ โดยเฉพาะลิ้นทะเล ซึ่งมีแคลเซียมเป็นจำนวนมาก จึงนิยมให้นกหรือสัตว์ปีกกินเพื่อเพิ่มแคลเซียมในร่างกาย นอกจากนี้แล้ว หมึกยังมักถูกอ้างอิงถึงในวรรณกรรมประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะหมึกยักษ์หรือหมึกที่มีขนาดใหญ่ เช่น โจมตีใส่เรือดำน้ำนอติลุสของกัปตันนีโม ในนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Twenty Thousand Leagues Under the Sea เป็นต้น สำหรับหมึกที่พบในน่านน้ำไทย ได้แก่ หมึกกระดองลายเสือ (Sepia pharaonis), หมึกกล้วย (Photololigo duvauceli), หมึกหอม (Sepioteuthis lessoniana), หมึกสายราชา (Octopus rex) เป็นต้น เลือดปลาหมึกมีสีน้ำเงิน.

ใหม่!!: สัตว์และหมึก (สัตว์) · ดูเพิ่มเติม »

หมึกกระดอง

ลิ้นทะเล หมึกกระดอง เป็นมอลลัสคาประเภทหมึกอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sepiida.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกกระดอง · ดูเพิ่มเติม »

หมึกกระดองลายเสือ

หมึกกระดองลายเสือ หรือ หมึกหน้าดิน หรือ หมึกแม่ไก่ (Pharaoh cuttlefish; ชื่อวิทยาศาสตร์: Sepia pharaonis) ปลาหมึกเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับหอย มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศน์ และมีความสำคัญในห่วงโซ่อาหาร รวมถึงด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ปลาหมึกกระดองลายเสือมีลำตัวกว้าง ครีบกว้างทอดยาวตลอดด้านข้างของลำตัว ด้านหลังของลำตัวและส่วนหัวมีลายคล้ายลายเสือพาดขวาง และมีกระดอง(cuttlebone) เป็นแผ่นแข็งสีขาวขุ่น เป็นสารประกอบจำพวกหินปูน ซึ่งเรียกกันว่า “ลิ้นทะเล เพศผู้จะมีลายมีสีม่วงเข้ม ส่วนตัวเมียจะมีลายที่แคบกว่า และสีจางกว่า ที่บริเวณหัวมีหนวด(arm) 4 คู่ และหนวดจับ(tentacle) 1 คู่ และหนวดคู่ที่ 4 ข้างซ้ายของเพศผู้ใช้สำหรับการผสมพัน.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกกระดองลายเสือ · ดูเพิ่มเติม »

หมึกกล้วย

ลื่อนไหวของหมึกหอม หมึกกล้วย เป็นมอลลัสคาประเภทหมึกอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Teuthida.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกกล้วย · ดูเพิ่มเติม »

หมึกมหึมา

หมึกมหึมา หรือ หมึกโคลอสซัล (Colossal squid, Antarctic giant cranch squid) เชื่อว่าเป็นหมึกสปีชีส์ที่ขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นสปีชีส์เดียวในสกุล Mesonychoteuthis ประเมินจากตัวอย่างที่ขนาดเล็กกว่าและยังไม่โตเต็มวัย คาดว่าขนาดตัวเต็มวัยใหญ่ที่สุดอาจถึง 14 เมตร จึงเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่ที่สุดด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกมหึมา · ดูเพิ่มเติม »

หมึกสาย

รูปแสดงกายภาคของหมึกสาย หมึกสาย หรือ หมึกยักษ์ เป็นมอลลัสก์ประเภทหมึกอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Octopoda.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกสาย · ดูเพิ่มเติม »

หมึกสายมหัศจรรย์

หมึกสายมหัศจรรย์ (Wonderpus octopus; /วาน-เดอร์-ปุส, โฟ-โต-จี-นิ-คัส/) เป็นหมึกสายชนิดหนึ่ง เป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Wunderpus หมึกสายมหัศจรรย์ มีความยาวโตเต็มที่ประมาณ 60 เซนติเมตร (2 ฟุต) มีลำตัวเป็นสีขาวสลับลายปล้องสีน้ำตาลตลอดทั้งตัว กระจายพันธุ์อยู่ทางทะเลแถบช่องแคบแลมเบห์ ทางตอนเหนือของเกาะสุลาเวสี ในอินโดนีเซีย และยังพบได้ที่บาหลี จนถึงฟิลิปปินส์ และทางตะวันออกของวานูอาตู ได้ชื่อว่าเป็นหมึกสายมหัศจรรย์ตรงที่สามารถเปลี่ยนสีและลวดลายตัวเองได้อย่างเร็วมาก ทั้งนี้เพราะเซลล์ใต้ผิวหนังโครมาโตฟอร์ที่ยืดหดตัวอย่างรวดเร็วHochberg, F.G., M.D. Norman & J. Finn 2006.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกสายมหัศจรรย์ · ดูเพิ่มเติม »

หมึกสายวงน้ำเงิน

หมึกสายวงน้ำเงิน หรือ หมึกบลูริง (Blue-ringed octopus) เป็นหมึกในสกุล Hapalochlaena ในอันดับหมึกยักษ์ จัดเป็นหมึกขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง มีจุดเด่น คือสีสันตามลำตัวที่เป็นจุดวงกลมคล้ายแหวนสีน้ำเงินหรือสีม่วงซึ่งสามารถเรืองแสงได้เมื่อถูกคุกคาม ตัดพื้นลำตัวสีขาวหรือเขียว แลดูสวยงามมาก แต่ทว่า หมึกสายวงน้ำเงินนั้นมีพิษที่ผสมอยู่ในน้ำลายที่มีความร้ายแรงมาก ซึ่งร้ายแรงกว่างูเห่าถึง 20 เท่า ผู้ที่ถูกกัดจะตายภายใน 2-3 นาที ทั้งสามารถฆ่าคนได้ 26 คนในคราวเดียว นับเป็นหนึ่งในสัตว์น้ำที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกสายวงน้ำเงิน · ดูเพิ่มเติม »

หมึกสายวงน้ำเงินใต้

หมึกสายวงน้ำเงินใต้ หรือ หมึกสายลายฟ้าใต้ (Southern blue-ringed octopus) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังมอลลัสคาประเภทหมึกสายชนิดหนึ่ง จำพวกหมึกสายวงน้ำเงิน.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกสายวงน้ำเงินใต้ · ดูเพิ่มเติม »

หมึกสายเลียนแบบ

หมึกสายเลียนแบบ หรือ หมึกสายพรางตัว (Mimic octopus) เป็นหมึกประเภทหมึกสายชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Thaumoctopus หมึกสายเลียนแบบ มีลักษณะคล้ายกับหมึกสายมหัศจรรย์ (Wunderpus photogenicus) มาก ทั้งนี้เป็นไปเพราะการพรางตัวและเลียนแบบเพื่อป้องกันตัวจากสัตว์นักล่า เพราะหมึกสายมหัศจรรย์นั้นมีน้ำลายที่มีพิษ และเปลี่ยนสีตัวเองได้อย่างรวดเร็วมาก โดยหมึกสายเลียนแบบสามารถที่จะเลียนแบบสัตว์ทะเลต่าง ๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น งูสมิงทะเลปากเหลือง, ปลาลิ้นหมา, ไครนอยด์, กั้ง และสัตว์อื่น ๆ ได้อีกถึง 15 ชนิดPBS.org's article ซึ่งจะไม่แค่เลียนแบบลักษณะรูปร่างภายนอกเท่านั้น แต่ยังที่จะปรับเปลี่ยนท่าทางการเคลื่อนไหวไปตามสัตว์ที่เลียนแบบด้วย เช่น เมื่อเลียนแบบไครนอยด์ ก็จะปล่อยตัวเองล่องลอยไปกับกระแสน้ำ หรือเลียนแบบปลาลิ้นหมา ก็จะห่อตัวลู่ไปกับพื้นทราย ในลักษณะการว่ายน้ำแบบเดียวกับปลาลิ้นหมา และยังอาจจะทำระยางค์แข็งยื่นออกมาคล้ายกับก้านครีบแข็งของปลาลิ้นหมาบางชนิด เช่น ปลาลิ้นหมานกกระตั้ว ซึ่งที่ก้านครีบอกมีพิษ ได้อีกด้วย ขณะฝังตัวอยู่ใต้ทราย โดยโผล่มาแต่ส่วนตา หมึกสายเลียนแบบมีลักษณะคล้ายกับหมึกสายมหัศจรรย์มาก เมื่อโตเต็มที่มีความยาวได้มากกว่า 60 เซนติเมตร (2 ฟุต) แต่จะแตกต่างจากหมึกสายมหัศจจรรย์ตรงที่มีสีที่เข้มกว่ามาก และมีลวดลายน้อยกว่า พบกระจายพันธุ์ตามพื้นทะเลที่บริเวณช่องแคบเลมเบห์ ทางตอนเหนือของเกาะสุลาเวสี ในอินโดนีเซีย ปกติจะเคลื่อนที่ด้วยการคืบคลานไปกับพื้นทรายใต้ทะเล เมื่อจะหากินหรือหลบซ่อนตัวจะฝังตัวเองลงใต้พื้นทราย โดยโผล่มาแค่ส่วนตาที่ยื่นออกมาจากส่วนหัว โดยมีประสาทรับรสและประสาทรับความรู้สึกที่ไวมากในหนวดแต่ละเส้น The Mimic Octopus, "Nick Baker's Weird Creatures".

ใหม่!!: สัตว์และหมึกสายเลียนแบบ · ดูเพิ่มเติม »

หมึกสายเล็ก

หมึกสายเล็ก, หมึกยักษ์เล็ก, หมึกสายขาว (Dollfus' octopus) เป็นมอลลัสก์ประเภทหมึกสายชนิดหนึ่ง จัดเป็นหมึกสายขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 6–12 เซนติเมตร มีหนวด 8 เส้น แต่ละเส้นมีความยาวใกล้เคียงกันโคนหนวดแต่ละเส้นมีแผ่นหนังเชื่อมติดกัน ด้านในของหนวดทุกเส้นมีปุ่มดูดเรียงกันเป็นสองแถวสำหรับจับสัตว์กินเป็นอาหาร ลำตัวสีเทาอมดำหรือสีน้ำตาลอ่อน ด้านท้องสีขาว ซ่อนตัวอยู่ตามพื้นที่เป็นโคลนหรือโคลนปนทราย พบตามชายฝั่งทะเลทั่วไป กินสัตว์น้ำขนาดเล็ก ๆ เช่น กุ้ง ปู หรือหอย เป็นอาหาร เป็นหนึ่งในชนิดของหมึกสายที่พบได้ในเขตน่านน้ำไทย ในเขตจังหวัดระยอง มีชื่อเรียกในภาษาถิ่นว่า "หมึกกุ๊งกิ๊ง" อันมาจากเสียงของเปลือกหอยที่ใช้หย่อนลงไปจับกระทบกัน เป็นหมึกที่ชาวประมงจะจับโดยการใช้เปลือกหอยโนรีผูกเชือกหย่อนลงไปในทะเล รอให้หมึกเข้ามาซ่อนตัวในเปลือกหอย แล้วจึงสาวเชือกขึ้นมาหลังจากผ่านไป 2 วัน หากเป็นเรือประมงขนาดใหญ่จะวางเปลือกหอยด้วยวิธีการนี้เป็นหมื่นชิ้น แต่วิธีการนี้จะเป็นการทำลายสภาพแวดล้อมอย่างยิ่ง โดยฤดูกาลที่หมึกสายเล็กจะมีมากที่สุด คือ ช่วงเข้าพรรษา ซึ่งเป็นช่วงฤดูมรสุม อาจจับได้ปริมาณมากครั้งละ 20 กิโลกรัม ในขณะที่ภาษาใต้เรียกว่า "วุยวาย" หรือ "โวยวาย" หรือ "วาย" และมีวิธีการจับที่คล้ายกันที่จังหวัดเพชรบุรีและตราด แต่ที่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา จะใช้วิธีการจับด้วยการใช้เหล็กแหลมแทงตามชายหาดเมื่อน้ำลด โดยล่อให้หมึกสายเล็กใช้หนวดจับเหยื่อซึ่งเป็นเนื้อปูจำพวกปูเปี้ยวหรือปูลมที่บริเวณปากรู จากนั้นจึงใช้เหล็กแหลมแทงเข้าที่บริเวณใต้ตา จึงจะได้ทั้งตัว ซึ่งวิธีการนี้ต้องใช้ความชำนาญ.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกสายเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

หมึกหอม

หมึกหอม หรือ หมึกตะเภา (Bigfin reef squid, Soft cuttlefish; ชื่อวิทยาศาสตร์: Sepioteuthis lessoniana) หมึกหอมหรือหมึกตะเภา แม้จะได้ชื่อในภาษาอังกฤษว่า Cuttlefish ซึ่งหมายถึง หมึกกระดอง แต่แท้ที่จริงแล้ว หมึกหอมเป็นหมึกในอันดับหมึกกล้วย มีลำตัวทรงกระบอก มีขนาดความยาวประมาณ 26 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดเรียวยาวกว่าตัวเมีย ครีบหรือแพนข้างตัวทั้ง 2 ด้าน มีลักษณะกว้างและแบนยาวเกือบตลอดลำตัวคล้ายหมึกในอันดับหมึกกระดอง กระดองของหมึกหอมจะเป็นแผ่นใส เห็นเส้นกลางกระดอง หนวดรอบปากมี 10 เส้น เป็นแขน 8 เส้น มีหนวดคู่ยาว 2 เส้น ที่ลำตัวมีจุดสีน้ำตาลอมแดงกระจายอยู่ทั่วไป นัยน์ตามีสีเขียว ชอบรวมกลุ่มอยู่เป็นฝูง กินสิ่งมีชีวิตและสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ ที่มีขนาดเล็กเป็นอาหาร ออกหากินในเวลากลางคืน โดยสามารถกินอาหารได้มากถึง 30 เปอร์เซนต์ของน้ำหนักตัว พบได้ทั่วไปในเขตร้อนของมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย อาศัยอยู่ตั้งแต่ผิวน้ำจนถึงหน้าดิน นิยมบริโภคเป็นอาหาร โดยการปรุงสด เนื่องจากหากินในเวลากลางคืน ชาวประมงจึงมักจับในเวลากลางคืน โดยใช้แสงไฟจากนีออนล่อ หมึกหอมสามารถสืบพันธุ์วางไข่ได้ตลอดทั้งปี โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง คือ ระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ พฤษภาคมถึงต้นเดือนกรกฎาคม และปลายเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม โดยสามารถสืบพันธุ์วางไข่ได้เมื่อมีอายุ 3-4 เดือน หลังจากการผสมพันธุ์ 1 สัปดาห์ ตัวเมียจะวางไข่ติดกับวัสดุใต้น้ำ โดยที่เพศผู้คอยว่ายน้ำ ดูแลอยู่ใกล้ ๆ ไข่ของหมึกหอมมีลักษณะคล้ายฝักมะขาม ติดกันเป็นพวง มีความดกของไข่เฉลี่ย 486-2,186 ฟอง ใช้ระยะเวลา ในการฟัก 2-3 สัปดาห์ มีความยาวลำตัวแรกฟัก 0.5 เซนติเมตร น้ำหนัก 0.1-0.3 กรัม รูปร่างคล้ายกับหมึกตัวเต็มวั.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกหอม · ดูเพิ่มเติม »

หมึกฮัมโบลต์

การจับหมึกฮัมโบลต์ที่ชิลี หมึกฮัมโบลต์, หมึกจัมโบ หรือ หมึกบินจัมโบ (Humboldt squid, Jumbo squid, Flying jumbo squid) หรือ เดียโบลโรโค (Diablo rojo, "ปีศาจแดง")) เป็นหมึกประเภทหมึกกล้วยชนิดหนึ่ง เป็นหมึกกล้วยที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จัดเป็นหมึกเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Dosidicus หมึกฮัมโบลต์มีความยาวได้ถึง 9 ฟุต มีน้ำหนักได้ถึง 150 ปอนด์ มีรูปร่างเพรียวยาว อ้วนป้อมออกด้านข้าง มีหนวดทั้งสิ้น 8 หนวด โดยมี 2 เส้นยาว ที่มีอวัยวะเหมือนฟันแหลมคมข้าง ๆ ปุ่มดูด ซึ่งมีไว้สำหรับจับและฉีกอาหาร มีดวงตากลมโตขนาดใหญ่ หมึกฮัมโบลต์กระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันออก ตั้งแต่อเมริกาเหนือ เช่น ออริกอน, วอชิงตัน, บริติชโคลัมเบีย และอะแลสกา จนถึงอเมริกากลาง เช่น ทะเลกอร์เตซ จนถึงอเมริกาใต้ เช่น เปรู ชิลีZeidberg, L. & B.H. Robinson 2007.. PNAS 104(31): 12948–12950. หมึกฮัมโบลต์สามารถว่ายน้ำได้เร็ว 24 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยวิธีการพ่นน้ำและใช้ครีบ สามารถเดินหน้าและถอยหลังได้ อีกทั้งสามารถเปลี่ยนสีลำตัวได้ตลอดเวลาตั้งแต่สีขาวจนถึงแดงเข้ม และดำน้ำได้ลึกถึง 1,000 ฟุต เพื่อพักผ่อน ย่อยอาหาร และหลบเลี่ยงสัตว์นักล่า มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง ออกหากินบริเวณกลางน้ำทั้งเวลากลางวันและกลางคืน ออกหากินตลอดเวลา จะกินอาหารทุกที่เมื่อสบโอกาส ถือเป็นสัตว์ที่ต้องการแคลอรีมากที่สุดชนิดหนึ่งในทะเล มีพฤติกรรมแย่งอาหาร และกินแม้แต่พวกเดียวกันเอง เมื่อชาวประมงจับหมึกฮัมโบลต์ได้ ตัวแรกจะถูกหั่นออกเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนลงทะเล เพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อหมึกตัวอื่น ๆ ให้ตามมา เมื่อหมึกตัวหนึ่งจับอาหารได้จะพ่นหมึกออกมา หมึกตัวอื่น ๆ ก็จะเข้ามารุมล้อมแย่งกิน และเมื่อจับอาหารได้ชิ้นใหญ่กว่าปากของตัวเอง จะใช้หนวดดูดและใช้ปากที่แหลมคมเหมือนปากนกแก้ว ฉีกอาหารเป็นชิ้น ๆ ให้พอกับคำ หมึกฮัมโบลต์เมื่อแรกเกิดมีความยาวเพียง 1.8 นิ้ว แต่สามารถโตได้ถึง 7 ฟุต ด้วยเวลาเพียง 2 ปี นับว่าเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วมากชนิดหนึ่งในบรรดาสัตว์ทั้งหมด แต่อายุขัยยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด คาดว่าประมาณ 1-2 ปี หมึกฮัมโบลต์นับว่าเป็นสัตว์นักล่าที่สมบูรณ์แบบมากชนิดหนึ่งในทะเล เป็นสัตว์ที่ฉลาดและคล่องแคล่วว่องไว อีกทั้งมีหนวดที่แข็งแรงและแหลมคมเป็นอาวุธ ถือเป็นสัตว์ทะเลอีกชนิดหนึ่งที่สามารถทำร้ายโจมตีมนุษย์ได้ สามารถใช้หนวดดึงบ่าของนักประดาน้ำให้หลุดและลากลงไปในที่ลึกได้ หากสวมชุดประดาน้ำแบบธรรมดาไม่มีเครื่องป้องกันแบบเดียวกับเครื่องป้องกันปลาฉลาม จะถูกทำอันตรายจากปากและหนวดได้เหมือนกับการกัดของสุนัขขนาดใหญ่อย่างเยอรมันเชเพิร์ด จนมีเรื่องเล่าขานกันในหมู่ชาวประมงแถบทะเลกอร์เตซว่าหมึกฮัมโบลต์ทำร้ายและกินมนุษย์เป็นอาหาร ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2009 มีนักประดาน้ำ 3 คน เสียชีวิตในทะเลกอร์เตซ โดยศพถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่งพบว่าชุดประดาน้ำฉีกขาด และเปื้อนไปด้วยหมึก และภายหลังพิสูจน์ว่าเป็นหมึกจากหมึกฮัมโบลต์ หมึกฮัมโบลต์จัดเป็นหมึกอีกชนิดหนึ่งที่นิยมรับประทานและบริโภคกันอย่างมากเช่นเดียวกับหมึกและมอลลัสคาชนิดอื่น ๆ มีมูลค่าในการตลาดสูงมาก โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย มีอัตราการส่งออกสูงถึง 500,000 ตัน ในแต่ละปีSquid, "Rouge Nature With Dave Salmoni" โดย อนิมอลพลาเน็ต สารคดีทางทรูวิชั่นส์: อังคารที่ 25 ธันวาคม 2555.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกฮัมโบลต์ · ดูเพิ่มเติม »

หมึกตะขอหนวดยาว

หมึกตะขอหนวดยาว (Giant Warty Squid หรือ Longarm Octopus SquidO'Shea, S. 2005.) หมึกตะขอหนวดยาวเป็นสปีชีส์ใหญ่ของหมึกตะขอ (Hooked squid (Onychoteuthidae)) ที่เป็นสัตว์ทะเลประเภทที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่อยู่ในชั้นเซฟาโลพอดซึ่งเป็นชั้นของสัตว์ที่มีลำตัวอ่อนนิ่ม ลำตัวของหมึกตะขอหนวดยาวมีความยาวอย่างต่ำ 85 เซนติเมตร และบางครั้งอาจจะกว่า 1.15 เมตร ตัวที่ยาวที่สุดที่พบที่ในบริเวณแอนตาร์กติกาในปี ยาว..

ใหม่!!: สัตว์และหมึกตะขอหนวดยาว · ดูเพิ่มเติม »

หมึกแวมไพร์

หมึกแวมไพร์ (Vampire squid) เป็นมอลลัสกาประเภทหมึกชนิดหนึ่ง หมึกแวมไพร์ เป็นสัตว์ที่มีอายุอยู่มานานกว่า 200 ล้านปีแล้ว โดยจัดอยู่ในวงศ์ Vampyroteuthidae และสกุล Vampyroteuthis ซึ่งมีเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นสายที่เชื่อมต่อระหว่างหมึกสายกับหมึกกล้วย ซึ่งหมึกแวมไพร์ จัดเป็นหมึกที่อยู่ในอันดับของตนเอง หมึกแวมไพร์ ได้ชื่อนี้มาจากรูปร่างหน้าตาที่แลดูน่ากลัว โดยมีพังผืดเชื่อมต่อกันระหว่างหนวดแต่ละเส้นทั้งหมด 8 เส้น เสมือนร่มหรือครีบ แลดูคล้ายเสื้อคลุมตัวใหญ่ ใช้สำหรับว่ายไปมาเหมือนการบินของนกหรือค้างคาว แต่หมึกแวมไพร์กลับเป็นสัตว์ที่ไม่มีอันตรายใด ๆ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 28 เซนติเมตรเท่านั้น มีสีผิวน้ำตาลแดงปนดำ ด้านในของลำตัวเป็นสีดำสนิทและมีหนามแหลม ๆ เรียงตัวตามแนวของหนวด มีดวงตากลมโตสีแดงก่ำ หรือสีน้ำเงิน ตาของหมึกแวมไพร์ ใต้หนวด หมึกแวมไพร์ เป็นหมึกที่อาศัยอยู่ในทะเลลึกที่มีความลึกตั้งแต่ 300-3,000 เมตร เป็นสถานที่ ๆ ไม่มีแสง และมีปริมาณออกซิเจนน้อย แต่หมึกแวมไพร์ก็อาศัยอยู่ได้เป็นอย่างดี และมักตกเป็นอาหารของสัตว์ทะเลที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ จึงมีกลไกในการป้องกันตนเองด้วยการเรืองแสงลำตัวตัวเองได้ ซึ่งเกิดจากแบคทีเรีย ที่ส่องแสงเรือง ๆ เป็นสีฟ้า หรือสีน้ำเงิน ซึ่งทำให้ตาของผู้ที่มาคุกคามพร่ามัวไปได้.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกแวมไพร์ · ดูเพิ่มเติม »

หมึกแคระ

หมึกแคระ (Pygmy squid) เป็นเซฟาโลพอดจำพวกหมึกหูช้างกลุ่มหนึ่ง ในวงศ์ Idiosepiidae และสกุล Idiosepius นับเป็นหมึกที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เมื่อโตเต็มที่เพศเมียมีความยาวลำตัว 1-3 เซนติเมตร ส่วนเพศผู้ 0.5-1.5 เซนติเมตรเท่านั้น พบในบริเวณชายฝั่ง, ป่าชายเลน, แหล่งสาหร่ายทะเล และแหล่งหญ้าทะเล พฤติกรรมมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างยิ่งที่ไม่พบในปลาหมึกชนิดอื่น กล่าวคือ สามารถเกาะติดอยู่อยู่กับวัสดุต่าง ๆ โดยใช้อวัยวะพิเศษ บนส่วนหลังของลำตัว กินอาหารพวกครัสเตเชียนขนาดเล็ก วงจรชีวิตประมาณ 3 เดือน ปัจจุบันสามารถเลี้ยงเพาะพันธุ์ได้แล้วในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ วางไข่ประมาณ 100 ฟองต่อตัว ไข่ใช้เวลาฟักประมาณ 2 สัปดาห์ ลูกหมึกแรกเกิด มีการดำรงชีวิตแบบกลางน้ำ พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียReid, A. 2005.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกแคระ · ดูเพิ่มเติม »

หมึกไดมอนด์

หมึกไดมอนด์ (Diamond squid, Diamondback squid) เป็นหมึกประเภทหมึกกล้วยชนิดหนึ่ง หมึกไดมอนด์ เป็นหมึกกล้วยที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง สามารถโตเต็มที่ยาวได้ถึง 100 เซนติเมตร และมีน้ำหนักได้มากถึง 30 กิโลกรัม แต่น้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 20 กิโลกรัม หมึกไดมอนด์เป็นหมึกน้ำลึกอาศัยอยู่ในระดับน้ำที่มีความลึกกว่า 200 เมตร นับเป็นหมึกที่ไม่ค่อยจะพบเห็นได้บ่อยนัก มีจุดเด่น คือ มีหนวดสองเส้นมีลักษณะแผ่ออกคล้ายกับครีบหรือระบาย เมื่ออยู่ในน้ำลึกหรือกลางน้ำจะมีสีลำตัวสีน้ำเงิน แต่เมื่อขึ้นมาใกล้กับผิวน้ำหรือถูกจับขึ้นมาพ้นน้ำจะเปลี่ยนสีตัวเองเป็นสีแดงเข้ม หมึกไดมอนด์ เป็นหมึกที่พบได้ทั่วโลกในเขตร้อนและเขตอบอุ่น เป็นหมึกที่มีความสำคัญทางประมงโดยเฉพาะอย่างที่ทะเลญี่ปุ่น และโอกินาวา ในขณะที่บริเวณเกาะดอนซอล ในฟิลิปปินส์ ชาวพื้นเมืองที่นั่นจะเรียกหมึกไดมอนด์ว่า "คูสิท" เป็นหมึกที่สามารถขายได้ดีมีราคาสูง โดยเคยมีผู้จับได้ขนาดตัวที่มีน้ำหนักสูงสุดถึง 25 กิโลกรัม สามารถนำไปประกอบเป็นอาหารได้หลากหลาย ใช้วิธีการตกแบบพื้นเมือง คือ การออกเรือไปตั้งแต่เช้ามืด โดยใช้เบ็ดที่ไม่มีตะขอเกี่ยวกับเหยื่อล่อ คือ ปลา หย่อนลงไปในทะเลพร้อมกับไฟใต้น้ำที่เปิดกระพริบเพื่อเรียกความสนใจ เนื่องจากเมื่อหมึกไดมอนด์ฮุบเหยื่อแล้วจะไม่ลากเหยื่อไปในทิศทางต่าง ๆ เหมือนปลา แต่จะดึงขึ้นอย่างเดียว โดยสภาพที่ดีที่สุดในการจับหมึกไดมอนด์ คือ ทะเลที่มีคลื่นลม เพราะจะทำให้เหยื่อในน้ำนั้นมีการเคลื่อนไหวที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าผู้ตกเคลื่อนไหว และหากจับได้แล้วตัวหนึ่ง ก็จะรีบสาวขึ้นมา เพื่อที่จะได้ตกอีกตัว เนื่องจากเป็นหมึกที่มีพฤติกรรมอาศัยอยู่กันเป็นคู่การพัฒนา, "มหัศจรรย์พันธุ์ลึก".

ใหม่!!: สัตว์และหมึกไดมอนด์ · ดูเพิ่มเติม »

หมึกเกลเชีย

หมึกเกลเชีย (Glacial Squid) หมึกเกลเชียเป็นสัตว์ทะเลสปีชีส์เดียวเท่าที่ทราบของสกุล Psychroteuthis ของวงศ์ Psychroteuthidae เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่อยู่ในชั้นเซฟาโลพอดซึ่งเป็นชั้นของสัตว์ที่มีลำตัวอ่อนนิ่ม ถิ่นฐานธรรมชาติอยู่ในบริเวณริมฝั่งแอนตาร์กติกาและอเมริกาใต้ ลำตัวเมื่อโตเต็มที่ยาวราว 44 เซนติเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และหมึกเกลเชีย · ดูเพิ่มเติม »

หมู

หมู หรือ สุกร เป็นสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ ซึ่งมีบรรพบุรุษ คือ หมูป่า (Sus scrofa) สามารถจำแนกเป็นสปีชีส์ย่อยของหมูป่าหรือเป็นอีกสปีชีส์หนึ่งแยกต่างหาก หัวและความยาวลำตัวอยู่ระหว่าง 0.9 ถึง 1.8 เมตร ตัวโตเต็มวัยหนักระหว่าง 50 ถึง 350 กิโลกรัม สุกรแม้จะเป็นสัตว์กีบคู่ซึ่งมักกินพืชเป็นอาหาร แต่กินได้ทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหารเหมือนกับบรรพบุรุษหมูป่า สุกรมีวิวัฒนาการกระเพาะอาหารใหญ่ขึ้นและลำไส้ยาวขึ้นเพราะพืชย่อยได้ยากกว่าเนื้อ.

ใหม่!!: สัตว์และหมู · ดูเพิ่มเติม »

หมูหริ่ง

หมูหริ่ง, หมูหรึ่ง หรือ หมูดิน (hog badger, Indian badger) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดกลางชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Arctonyx collaris อยู่ในวงศ์ Mustelidae อันเป็นวงศ์เดียวกับเพียงพอนหรือวีเซล โดยที่หมูหริ่งอยู่ในสกุล Arctonyx นับเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุลนี้.

ใหม่!!: สัตว์และหมูหริ่ง · ดูเพิ่มเติม »

หมูป่า

หมูป่า เป็นสัตว์จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่ เป็นต้นสายพันธุ์ของหมูบ้านในปัจจุบัน.

ใหม่!!: สัตว์และหมูป่า · ดูเพิ่มเติม »

หมูป่าอินโดจีน

หมูป่าอินโดจีน (Heude's pig, Indochinese warty pig, Vietnam warty pig) เป็นหมูป่าชนิดหนึ่ง จัดเป็นหมูป่าชนิดที่หาได้ยากมาก หมูป่าชนิดนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในโลกเมื่อมีเก็บซากกะโหลกเมื่อปี ค.ศ. 1890 ที่บริเวณแม่น้ำด่งนาย ของเวียดนาม และในปี ค.ศ. 1995 ได้มีการล่าหมูป่าอินโดจีนได้ที่บริเวณพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนาไก-น้ำเทิน ซึ่งอยู่ในภาคกลางของลาว ปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายความแตกต่างระหว่างหมูป่าอินโดจีนกับหมูป่าธรรมดา (S. scrofa) ได้อย่างเพียงพอ เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาที่เพียงพอ นอกจากการอธิบายจากรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นที่หมูป่าอินโดจีนมีขนตามลำตัวยาวกว่ายิ่งโดยเฉพาะขนบริเวณปากและหน้า การกระจายพันธุ์เชื่อว่ามีจำนวนประชากรอาศัยอยู่ตามป่าลึกของเทือกเขาอันนัมซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นระหว่างลาวกับเวียดนาม และจากการศึกษาล่าสุดเป็นไปได้ว่า หมูป่าอินโดจีนอาจจะเป็นชื่อพ้องของหมูป่าที่อาศัยอยู่ทางด้านตะวันออกของลุ่มแม่น้ำโขง หรือภูมิภาคอินโดจีน.

ใหม่!!: สัตว์และหมูป่าอินโดจีน · ดูเพิ่มเติม »

หมูป่าอินเดีย

หมูป่าอินเดีย หรือ หมูป่าเอเชีย หรือ หมูอันดามัน หรือ หมูมูปิน (Indian boar, Asian boarเรื่องของหมูป่า, "เรื่องเล่าข้ามโลก".) เป็นชนิดย่อยของหมูป่า (S. scrofa) พบได้ในประเทศอินเดีย, เนปาล, พม่า, ศรีลังกา และประเทศไทย หมูป่าอินเดีย มีลักษณะแตกต่างจากหมูป่ายุโรป (S. s. scrofa) คือ มีขนาดใหญ่กว่า มีกะโหลกที่แข็งแรงและเรียวยาวกว่า หน้าผากเป็นแนวระนาบSterndale, R. A. (1884),, Calcutta: Thacker, Spink, pp.

ใหม่!!: สัตว์และหมูป่าอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

หมี

หมี จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับสัตว์กินเนื้อ จัดอยู่ในวงศ์ Ursidae ออกลูกเป็นตัว ตาและใบหูกลมเล็ก ริมฝีปากยื่นแยกห่างออกจากเหงือก สามารถยืนและเดินด้วยขาหลังได้ ประสาทการดมกลิ่นดีกว่าประสาทตาและหู กินได้ทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และหมี · ดูเพิ่มเติม »

หมีกริซลี

หมีกริซลี (grizzly bear) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในอันดับสัตว์กินเนื้อ (Carnivora) จัดเป็นชนิดย่อยของหมีสีน้ำตาล (U. arctoc) หมีกริซลี จัดได้ว่าเป็นหมีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน และถือว่าเป็นสัตว์ในอันดับสัตว์กินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วย เมื่อตัวผู้ที่มีขนาดโตเต็มที่อาจมีน้ำหนักได้ถึง 180-980 กิโลกรัม หรือ 1 ตัน และยืนด้วยสองขามีความสูงถึง 2.5 เมตร หรือ 3 เมตร.

ใหม่!!: สัตว์และหมีกริซลี · ดูเพิ่มเติม »

หมีสีน้ำตาล

หมีสีน้ำตาล (Brown bear) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อ (Carnivora) ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จัดเป็นหมีที่มีขนาดใหญ่มาก โดยตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย เมื่อยืน 4 เท้ามีความสูงถึง 5 ฟุต และเมื่อยืนด้วย 2 เท้า อาจสูงถึง 9 ฟุต แต่ยืนได้ในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่อาจมีน้ำหนักมากถึง 1,000 ปอนด์ ส่วนตัวเมียอาจมีน้ำหนักมากกว่า 450 ปอนด์ มีขนสีน้ำตาลตลอดทั้งลำตัว อันเป็นที่มาของชื่อ ปุ่มหรือเนินตรงหัวไหล่ มีขนและเล็บยาว มีจมูกที่ใหญ่ แต่มีใบหูขนาดเล็ก แต่จะมีขนสีเข้มหรืออ่อนไปตามสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศที่อาศัย รวมถึงขนาดตัวด้วย ซึ่งถือเป็นชนิดย่อย (ดูในตาราง) โดยกระจายพันธุ์ไปในพื้นที่ ๆ กว้างไกลมาก ตั้งแต่อะแลสกา, แคนาดา, รัสเซีย, หลายพื้นที่ในยุโรป และตามแนวเทือกเขาหิมาลัยในอินเดีย, เนปาล และจีน และตะวันออกกลาง หมีสีน้ำตาลกินอาหารได้หลากหลายมาก ทั้งพืชและสัตว์ โดยหากเป็นพืชมักจะเป็นผลไม้ประเภทเบอร์รี่ บางครั้งกินสัตว์ขนาดเล็ก เช่น แมลง หรือ หนู แต่บางครั้งก็กินสัตว์ใหญ่ เช่น ม้า, วัวป่า, กวาง รวมถึงซากสัตว์ ในช่วงฤดูกาลที่มีอาหารสมบูรณ์ อาหารที่หมีสีน้ำตาลชอบมาก คือ ปลาแซลมอน และปลาเทราท์ หมีสีน้ำตาลตัวเมียต้องมีอายุ 4 ถึง 10 ปี จึงจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และให้กำเนิดลูกโดยเฉลี่ย 2 ตัว ในระยะเวลา 4 ปี ฤดูกาลผสมพันธุ์อยู่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูร้อน แม่หมีจะให้กำเนิดลูกในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปกติ 2-3 ตัว โดยลูกหมีที่เกิดใหม่จะยังไม่ลืมตา และยังไม่มีขน ลูกหมีจะอาศัยอยู่ในถ้ำที่แม่หมีขุดขึ้นมาจนกระทั่งถึงเดือนเมษายน หรืออาจถึงเดือนมิถุนายน และเริ่มหย่านมเมื่ออายุประมาณ 5 เดือน และเริ่มเรียนรู้ว่า พืชหรือสัตว์ประเภทไหนที่ใช้เป็นอาหาร ลูกหมีจะอยู่กับแม่อย่างน้อยอีก 1 ปี หรือมากกว่านั้น จากนั้นจึงเริ่มแยกตัวออกไป ส่วนในฤดูหนาว หมีสีน้ำตาลจะจำศีลในถ้ำเป็นระยะเวลาราว 2 เดือน โดยใช้พลังงานจากไขมันที่สะสมไว้.

ใหม่!!: สัตว์และหมีสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

หมีหมา

หมีหมา หรือ หมีคน (Malayan sun bear, Honey bear;; อีสาน: เหมือย).

ใหม่!!: สัตว์และหมีหมา · ดูเพิ่มเติม »

หมีขอ

หมีขอ หรือ บินตุรง หรือ หมีกระรอก (Binturong, Bearcat;; อีสาน: เหง็นหางขอ, เหง็นหมี) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม แม้จะมีหน้าตาคล้ายหมีจนได้ชื่อว่าหมี แต่เป็นสัตว์จำพวกชะมดและอีเห็น (Viverridae) ที่ใหญ่ที่สุด จัดเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวในสกุล Arctictis มีหางยาวเป็นพวงคล้ายกระรอก ขนตามลำตัวค่อนข้างยาวสีดำและหยาบ สีขนบริเวณหัวอาจมีสีเทา หูกลม บริเวณขอบหูมีสีขาว หางที่ยาวสามารถใช้เกาะเกี่ยวต้นไม้ได้เป็นอย่างดี มีความยาวลำตัวและหัว 61-96.5 เซนติเมตร ความยาวหาง 50-84 เซนติเมตร น้ำหนัก 9-20 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ภูฐาน, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ภาคตะวันตกของพม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, พรมแดนระหว่างเวียดนามติดกับลาวและกัมพูชา, มาเลเซีย, เกาะสุมาตรา, เกาะบอร์เนียวในอินโดนีเซีย และเกาะปาลาวันในฟิลิปปินส์ หมีขอเป็นสัตว์หากินในเวลากลางคืน อาศัยและหากินตามลำพัง แต่ในบางครั้งอาจอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ประกอบไปด้วย แม่และลูก ในเวลากลางวันจะอาศัยโพรงไม้เป็นที่หลับนอน อาหารได้แก่ ผลไม้และสัตว์ที่มีขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ บนต้นไม้ทั้งแมลงและสัตว์เลื้อยคลาน ปีนต้นไม้ได้เก่งมาก โดยใช้หางที่ยาวเกาะเกี่ยวกิ่งไม้จากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง นอกจากนี้ยังสามารถว่ายน้ำได้อีกด้วย มีการผสมพันธุ์กันได้ตลอดทั้งปี ใช้เวลาตั้งท้องนาน 92 วัน ออกลูกครั้งละ 1-3 ตัว หมีขอตัวเมียจะมีเต้านมทั้งหมด 2 คู่ ลูกที่เกิดใหม่ยังไม่สามารถขาและหางเกี่ยวกิ่งไม้ได้ชำนาญเหมือนตัวพ่อแม่ หมีขอเป็นสัตว์ที่เลี้ยงตั้งแต่เล็กแล้วจะเชื่อง จนสามารถนำมาฝึกให้แสดงโชว์ต่าง ๆ ได้ตามสวนสัตว์ สถานะปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 2 ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และหมีขอ · ดูเพิ่มเติม »

หมีขาว

หมีขาว หรือ หมีขั้วโลก (polar bear) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ในอันดับสัตว์กินเนื้อ (Carnivora) จัดเป็นหมีชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และหมีขาว · ดูเพิ่มเติม »

หมีดำ

หมีดำ (American Black Bear) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีถิ่นที่อยู่ในป่าทางตอนเหนือของอเมริกา พบได้ทั่วไปในป่าร้อนชื้น.

ใหม่!!: สัตว์และหมีดำ · ดูเพิ่มเติม »

หมีควาย

หมีควาย หรือ หมีดำเอเชีย (Asian black bear, Asiatic black bear) จัดเป็นหมี 1 ใน 2 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย (อีกหนึ่งคือ หมีหมา (U. malayanus)).

ใหม่!!: สัตว์และหมีควาย · ดูเพิ่มเติม »

หมีน้ำ

หมีน้ำ (Waterbears) หรือชื่อสามัญว่า ทาร์ดิกราดา (Tardigrada) หรือ ทาร์ดิเกรด (Tardigrades) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tardigrada.

ใหม่!!: สัตว์และหมีน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

หมีแว่น

หมีแว่น หรือ หมีแอนดีน (Spectacled bear, Andean bear) เป็นหมีขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จัดเป็นหมีเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่พบได้ในทวีปอเมริกาใต้ และเป็นหมีเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Tremarctos หมีแว่นมีขนสีดำกับสีเบจมีลักษณะสีที่โดดเด่น เกือบทั่วใบหน้าและส่วนบนของหน้ามีขนสีขาวอมเหลือง โดยเฉพาะรอบดวงตาเป็นวงกลมคล้ายสวมแว่นอยู่ อันเป็นที่มาของชื่อ ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย หมีแว่นตัวผู้ขนาดโตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 100–200 กิโลกรัม (220–440 ปอนด์) ขณะที่ตัวเมียมีน้ำหนักประมาณ 35–82 กิโลกรัม มีความสูงตั้งแต่ 120–200 เซนติเมตร (47–79 นิ้ว) ขณะที่ความยาวหางประมาณ 7 เซนติเมตร (2.8 นิ้ว) ความกว้างของบ่าตั้งแต่ 60–90 เซนติเมตร (24–30 นิ้ว) จัดเป็นสัตว์กินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ หมีแว่น อาศัยอยู่ในป่าเมฆและป่าดิบ หรือที่ราบสูงของทวีปอเมริกาใต้แถบเทือกเขาแอนดีส เช่น โบลิเวีย, เอกวาดอร์, เวเนซุเอลา, เปรู, ปานามา และอาร์เจนตินา โดยพบได้ในพื้นที่สูงถึง 4,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล ปริมาณในธรรมชาติในปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 2,000–3,000 ตัว เป็นหมีที่หากินและอยู่อาศัยบนต้นไม้เป็นหลัก แม้จะมีน้ำหนักตัวมากก็สามารถปีนป่ายต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว โดยใช้กรงเล็บที่แหลมคม ซึ่งประกอบด้วยสารเคอราตินที่แข็งแกร่ง รวมถึงสามารถกระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งได้ด้วย แต่หมีวัยอ่อนกว่าจะมีความชำนาญน้อยกว่าหมีที่มีอายุมากกว่า ขณะที่จะปีนลงต้นไม้นอกจากจะใช้การไต่ลงด้วยกรงเล็บแล้วยังใช้ประโยชน์จากแรงโน้มถ่วงอีกด้วย ตัวเมียมีลูกคราวละ 1–2 ตัว ลูกหมีจะอาศัยอยู่กับแม่จนกระทั่งอายุได้ 8 เดือน โดยมักจะเกาะหลังแม่ไปไหนมาไหนตลอด หมีแว่น เป็นหมีที่กินผลไม้เป็นอาหารหลัก ที่ชื่นชอบมากที่สุดคือ พืชในวงศ์มะม่วง และพืชในวงศ์สับปะรดที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ในยอดไม้ โดยเฉพาะส่วนของก้านใบที่สดช่ำ และก็กินสัตว์ขนาดเล็ก เช่น แมลง เป็นอาหารเสริมได้ด้วยIn Too Deep, สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต ทางทรูวิชั่นส์: ศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2556 นอกจากนี้แล้วยังมีคำกล่าวอ้างจากชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในถิ่นที่อยู่ของหมีแว่น ยืนยันว่า หมีแว่นเป็นสัตว์ที่ล่าสัตว์อื่นกินเป็นอาหารด้วย เช่น ปศุสัตว์ต่าง ๆ รวมถึงแมวป่าด้วย จึงทำให้หมีแว่นถูกล่าจากเหตุนี้ รวมถึงการถูกล่าเพื่อนำไปเป็นอาหารและการค้าด้วยจุดประกาย 7 WILD, สวัสดี...หมีแว่น จากมังสวิรัติสู่นักล.

ใหม่!!: สัตว์และหมีแว่น · ดูเพิ่มเติม »

หย่งชวนโนซอรัส

หย่งชวนโนซอรัส (Yangchuanosaurus) ค้นพบในจีนเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และหย่งชวนโนซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

หอยชักตีน

หอยชักตีน เป็นชื่อของหอยทะเลชนิดฝาเดียวเปลือกบางชนิดหนึ่ง โดยมีรูปร่างคล้ายหอยสังข์ขนาดเล็ก บางทีจึงเรียกว่า หอยสังข์ตีนเดียว.

ใหม่!!: สัตว์และหอยชักตีน · ดูเพิ่มเติม »

หอยพิม

หอยพิม (Angle's wing, Oriental angel's wing) เป็นหอยสองฝาทะเลที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดสมุทรสาคร เนื่องจากในบริเวณก้นอ่าวไทย และปากแม่น้ำท่าจีนในจังหวัดสมุทรสาครเป็นแหล่งที่พบหอยพิมมากกว่าชายทะเลด้านอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และหอยพิม · ดูเพิ่มเติม »

หอยกระจก

้านในแบบสมัยที่เป็นอาณานิคมของสเปนในมะนิลาซึ่งหน้าต่างกรุด้วยเปลือกหอยกระจก ''parol'' ในฟิลิปปินส์สร้างจากเปลือกหอยกระจก หอยกระจก (Windowpane shell) หรือหอยกระจกหน้าต่าง, หอยกะซ้า เป็นหอยสองฝารูปร่างกลมแบน บาง โปร่งแสง เป็นมันวาว สีขาวขุ่น อาศัยตามพื้นน้ำที่เป็นโคลน กินจุลินทรีย์และสารอินทรีย์ในน้ำ ผสมพันธุ์ด้วยการปฏิสนธิภายนอก ตัวอ่อนจะลอยในน้ำระยะหนึ่ง จึงจมลงสู่ท้องทะเลเพื่อเจริญเป็นตัวเต็มวัย หอยชนิดนี้ รับประทานได้แต่มีเนื้อน้อย ในสมัยก่อนนำเปลือกไปใช้แทนกระจกฝ้า ปัจจุบันนำมาทำเป็นของใช้และของที่ระลึก.

ใหม่!!: สัตว์และหอยกระจก · ดูเพิ่มเติม »

หอยกะพง

หอยกะพง (Horse mussel) เป็นหอยสองฝาชนิดหนึ่งในวงศ์ Mytilidae ที่อาศัยพื้นท้องทะเลที่เป็นโคลนตามชายฝั่งทะเลในอ่าวไทยเปลือกมีลักษณะบางและเปราะ สีเขียวอมม่วงหรือดำเรื่อ ๆ ป่องตรงกลาง อาศัยตามพื้นทะเลที่เป็นโคลนและตามหลักเสาของโพงพาง กินสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในน้ำ นำมาปรุงอาหารได้ และใช้เป็นอาหารสัตว์ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และหอยกะพง · ดูเพิ่มเติม »

หอยกูอีดั๊ก

ำหรับหอยงวงช้างที่มีรูปร่างเหมือนหมึกผสมกับหอยฝาเดี่ยวดูที่: หอยงวงช้าง หอยกูอีดั๊ก (geoduck; หรือเรียกสั้น ๆ ว่า กูอี (Gooey) หรือ ดั๊ก (Duck)) เป็นหอยสองฝาที่พบในทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panopea generosa ในวงศ์ Hiatellidae เป็นหอยที่มีลักษณะเด่นคือ มีเปลือกสีขาวยาวประมาณ 15–20 เซนติเมตร แต่มีจุดเด่นคือ มีท่อดูดซึ่งตอนปลายมีรู 2 รู แยกเป็นรูดูดอาหารและรูปล่อยของเสียรวมถึงสเปิร์มในตัวผู้ และไข่ในตัวเมีย ยื่นยาวออกมาจากเปลือกอย่างเห็นได้ชัด แลดูคล้ายงวงของช้าง ซึ่งอาจยาวได้ถึง 1 เมตร หอยกูอีดั๊กจะอาศัยในทะเล โดยการฝังตัวใต้ทรายบริเวณชายฝั่งบริติชโคลัมเบียในมหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกา หากินโดยการกินสาหร่ายทะเลเป็นอาหาร เมื่อถูกจับขึ้นมา จะพ่นน้ำคัดหลั่งออกมาจากปลายท่อดูด ขยายพันธุ์ด้วยการที่ตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อออกมาปฏิสนธิพร้อมกับตัวเมียที่ปล่อยไข่ออกมาได้ราวครั้งละ 10 ล้านฟอง ลูกหอยขนาดเล็กจะขุดหลุมฝังตัวใต้ทรายในระดับที่ตื้น ๆ ก่อนที่จะขุดลึกลงไปเรื่อย ๆ ตามวัยที่โตขึ้น ซึ่งอาจลึกได้ถึง 110 เมตร นอกจากนี้แล้ว หอยชนิดนี้ยังมีอายุยืนได้ถึง 146 ปี นับเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีอายุยืนที่สุดของโลก โดยมีฤดูการขยายพันธุ์อยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน–กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำมีอุณหภูมิค่อนข้างอุ่น เป็นหอยที่นิยมบริโภคกันทั้งในสหรัฐอเมริกาหรือประเทศทางภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยนิยมทำไปเป็นซูชิในอาหารญี่ปุ่น โดยถูกเฉือนเป็นแผ่นบาง ๆ หรือปรุงเป็นอาหารจีน ซึ่งมีชื่อเรียกในภาษาจีนเรียกว่า 象拔蚌 (พินอิน: Xiàng bá bàng; หอยงวงช้าง) ปัจจุบัน หอยชนิดนี้มีการเพาะเลี้ยงเป็นอุตสาหกรรม ลูกหอยที่เพาะออกมาได้ จะถูกนำไปฝังไว้ใต้ทรายบริเวณชายหาดในท่อพลาสติก ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่า 5 ปี กว่าหอยจะโตเต็มวัยถึงขนาดที่จับขายได้.

ใหม่!!: สัตว์และหอยกูอีดั๊ก · ดูเพิ่มเติม »

หอยมือเสือ

มุกของหอยมือเสือยักษ์ หอยมือเสือ (Giant clam) เป็นสกุลของหอยสองฝาขนาดใหญ่ ในวงศ์หอยมือเสือ (Tridacninae) ใช้ชื่อสกุลว่า Tridacna (/ไทร-แดก-นา/).

ใหม่!!: สัตว์และหอยมือเสือ · ดูเพิ่มเติม »

หอยมือเสือยักษ์

หอยมือเสือยักษ์ (Giant clam;, /ไทร-เดก-นา-ไก-เกส/) เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกมอลลัสกา โดยถูกจัดอยู่ในกลุ่มหอยสองฝา (Bivalves หรือ Pelecypods) มีฝาเปลือก 2 ชิ้นประกบติดกันทางด้านล่าง ขอบด้านบนหยักเป็นคลื่น บนเปลือกเป็นแนวสันยาวโค้งจากฐานมาถึงขอบเปลือกข้างละประมาณ 4–5 แนว มีเกล็ดเปลือกเป็นแผ่นบางๆ ระบายเป็นชั้นๆ ขนานกันในแนวขวางโดยรอบเปลือกด้านนอก ฝาทั้งสองด้านของหอยมือเสือยักษ์ ยึดติดกันด้วยเอ็น ฝาด้านบนจะเปิดออกเพื่อรับแสงและจะแผ่ส่วนเนื้อเยื่อที่เรียกว่าแมนเทิล (Mantle) ซึ่งมีสีสันสวยงามออกมา ลวดลายบนแมนเทิลของหอยแต่ละตัวจะไม่เหมือนกัน ส่วนที่เปลือกประกบกันอยู่เป็นบานพับเปลือก ต่อจากบานพับเปลือกออกมาจะมีส่วนที่ลักษณะเป็นช่องสำหรับให้เส้นใยเนื้อ เยื่อที่เรียกว่า บิสซัส (Byssus) ทำหน้าที่เชื่อมยึดตัวหอยให้เกาะติดกับหินหรือวัสดุใต้น้ำ หอยจะมีน้ำหนักได้ถึง 200 กิโลกรัม กว้าง 120 เซนติเมตร มีชีวิตยืนยาวได้ถึง 100 ปีหรือมากกว่าจัดเป็นหอยสองฝาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ติดอยู่ในอนุสัญญาไซเตส (CITES) ในน่านน้ำไทยไม่พบตัวที่มียังมีชีวิตอยู่ แต่พบเป็นซากฟอสซิล ปัจจุบันยังไม่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และหอยมือเสือยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

หอยมือเสือเล็บยาว

หอยมือเสือเล็บยาว หรือ หอยมือเสือเกล็ด (Fluted giant clam, Scaly clam; Wells, S. 1996. In: IUCN 2012. IUCN Red List of Threatened Species. Version 2012.2. Downloaded on 26 June 2013.) เป็นมอลลัสกาจำพวกหอยสองฝาชนิดหนึ่ง ในกลุ่มหอยมือเสือ นับเป็นหอยสองฝาอีกชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หอยมือเสือเล็บยาว มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับหอยมือเสือชนิดอื่น คือ ใช้ประโยชน์จากสาหร่ายซูแซนเทลลีในการสังเคราะห์แสง นอกฝาหอยมีเนื้อเยื่อ หรือแมนเทิลยื่นออกมาเป็นระบาย พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่แอฟริกาใต้ ถึงทะเลแดง จนถึงหมู่เกาะมาร์แชลล์ มีขนาดความกว้างของเปลือกประมาณ 40 เซนติเมตร แต่มีพฤติกรรมแตกต่างกันออกไป คือ จะอาศัยเพียงเกาะติดกับหินหรือปะการังเท่านั้น ไม่มีการฝังตัว จึงทำให้ง่ายต่อการนำขึ้นมาจากน้ำ ทำให้เป็นชนิดที่มีเหลือน้อยที่สุดและอยู่ในสภาวะเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดในบรรดาหอยมือเสือที่พบในทะเลไทย แต่หอยมือเสือเล็บยาว ได้รับการเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงจนเป็นที่สำเร็จได้แล้วตั้งแต่ปี..

ใหม่!!: สัตว์และหอยมือเสือเล็บยาว · ดูเพิ่มเติม »

หอยลาย

หอยลาย (Surf clam, Short necked clam, Carpet clam, Venus shell, Baby clam) เป็นหอยฝาคู่ ที่อยู่ในวงศ์หอยลาย (Veneridae) ลักษณะเปลือกมีรูปร่างเป็นรูปไข่ ฝาทั้งสองฝามีขนาดเท่ากัน ผิวด้านนอกของเปลือกหอยเรียบ มีสีน้ำตาลอ่อน และมีลวดลายหยักเป็นเส้นคล้ายตาข่ายตลอดความยาวของผิวเปลือก เส้นลายหยักเหล่านี้จะมีสีน้ำตาลเข้ม ส่วนผิวเปลือกด้านในเรียบมีสีขาว ในส่วนของบานพับ ซึ่งเป็นส่วนต่อระหว่างฝาทั้งสองมีลักษณะคล้ายฟันซี่เล็ก ๆ ฝาละ 3 ซี่ พบกระจายพันธุ์ในน้ำลึกประมาณ 8.0 เมตร โดยขุดรูอยู่ใต้พื้นทรายลึกประมาณ 20 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในทะเลแถบเอเชียอาคเนย์ ในประเทศไทยพบมากที่ จังหวัดชลบุรี, บางปะกง, สมุทรปราการ, ตราด, สุราษฎร์ธานี หอยลายผัดน้ำพริกเผา นับเป็นหอยลายชนิด 1 ใน 3 ชนิดในสกุล Paphia ที่พบได้ในน่านน้ำไทย และเป็นชนิดที่นิยมรับมาประทานมากที่สุด สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารชนิดต่าง ๆ เช่น ผัดน้ำพริกเผากับใบกะเพรา และนำไปแปรรูปส่งออกต่างประเท.

ใหม่!!: สัตว์และหอยลาย · ดูเพิ่มเติม »

หอยลำโพง

หอยลำโพง หรือ หอยตาล (Indian volute, Bailer shell, Blotched melon shell) เป็นหอยฝาเดียว ในวงศ์หอยจุกพราหมณ์ (Volutidae) มีเปลือกทรงกลม ด้านปากจะยาวรี มีรอยเว้าเข้าด้านในและด้านท้ายกลมโค้งมาก เปลือกมีสีเหลืองอมแดงมีจุดสีม่วงดำอยู่ประปราย ส่วนเนื้อมีสีดำอมม่วงแก่มีเส้นขวางอมเหลืองพาดอยู่ทั่วไป มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร กินหอยชนิดอื่นที่มีขนาดเล็ก รวมทั้งเม่นทะเลและปลิงทะเล เป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ เช่น พม่า, ไทย, มาเลเซีย และทะเลจีนใต้ รวมถึงทะเลฟิลิปปิน มักพบในพื้นทะเลที่เป็นโคลน หรือโคลนปนทราย พบในบริเวณใกล้ชายฝั่ง เป็นหอยที่นิยมนำเนื้อมารับประทาน ส่วนเปลือกใช้ทำเครื่องประดับต่าง.

ใหม่!!: สัตว์และหอยลำโพง · ดูเพิ่มเติม »

หอยสังข์มะระ

หอยสังข์มะระ (Murex shell, Ramose murex, Branched murex) เป็นหอยฝาเดียวจำพวกหอยสังข์ จัดอยู่ในวงศ์หอยหนาม เป็นหอยฝาเดียวขนาดกลางที่มีเปลือกหนา ด้านปากมีหนามยื่นยาวออกไปและมีร่องลึก บนเปลือกมีหนามจำนวน 3 แถว เรียงตัวตามความยาว หนามแต่ละอันพับเป็นราง ปลายไม่แหลมและไม่แผ่แบน โดยแถวที่อยู่ขอบด้านนอกมีแง่ยื่นออกไปทางด้านข้างมากกว่าแถวอื่น ช่องเปิดปากกว้าง ความยาวเปลือกประมาณ 25 เซนติเมตร พื้นผิวเปลือกสีขาว พบอาศัยอยู่ตามแนวปะการัง ใต้เขตน้ำขึ้น-น้ำลง พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในเขตอินโด-แปซิฟิก และพบถึงยังแอฟริกาใต้, ทะเลแดง, อ่าวโอมาน, มอริเชียส, อ่าวไทย, โปลินีเซีย, ตอนใต้ของญี่ปุ่น, นิวแคลิโดเนีย และรัฐควีนส์แลนด์ ในออสเตรเลีย เป็นหอยที่นิยมนำเนื้อมารับประทาน และเปลือกใช้ในการทำเครื่องประดับเพื่อความสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และหอยสังข์มะระ · ดูเพิ่มเติม »

หอยสังข์ยักษ์ออสเตรเลีย

หอยสังข์ยักษ์ออสเตรเลีย (Australian trumpet, False trumpet) เป็นมอลลัสคาในชั้นหอยฝาเดียว (Gastopoda) เป็นหอยสังข์ที่มีขนาดใหญ่มาก โดยอาจยาวได้ถึง 91 เซนติเมตร มีน้ำหนักกว่า 18 กิโลกรัม และเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Syrinx นับเป็นหอยฝาเดียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีปากที่ใหญ่ขนาดที่สามารถนำเด็กทารกไปวางนอนในนั้นได้ เป็นหอยชนิดที่พบเฉพาะพรมแดนทางทะเลระหว่างอินโดนีเซียและออสเตรเลียเท่านั้น มีเปลือกภายนอกสีเหลืองออกทอง ซึ่งหอยสังข์ชนิดนี้ สันนิษฐานว่าเป็นต้นกำเนิดของวรรณคดีไทยเรื่อง สังข์ทอง สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากนิทานพื้นบ้านของชวา ที่มีเนื้อเรื่องคล้ายคลึงกัน ในยุคต้นรัตนโกสินทร.

ใหม่!!: สัตว์และหอยสังข์ยักษ์ออสเตรเลีย · ดูเพิ่มเติม »

หอยสังข์หนามเล็ก

หอยสังข์หนามเล็ก (ชื่อสามัญ:Murex trapa) เป็นสปีชีส์หนึ่งในหอยทากทะเลอยู่ในไฟลัมมอลลัสกาในวงศ์หอยหนามBouchet, P. (2015).

ใหม่!!: สัตว์และหอยสังข์หนามเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

หอยสังข์แตร

หอยสังข์แตร (Triton's trumpet, Giant triton) จัดเป็นมอลลัสคาในชั้นหอยฝาเดี่ยว มีรูปร่างลักษณะและลวดลายสีสวยงาม เปลือกค่อนข้างบาง ยอดเรียวแหลมคล้ายเจดีย์ ช่องปากเปิดกว้างมีสีส้มพื้นผิวด้านนอกสีน้ำตาลอ่อนแต้มด้วยลวดลายสีน้ำตาลเข้มจางสลับกัน ขนาดความยาวเปลือกประมาณ 1 ฟุต มักอาศัยอยู่ในแนวปะการังน้ำตื้น ของอินโด-แปซิฟิก สำหรับในน่านน้ำไทยจัดว่าเป็นหอยฝาเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยจะพบในความลึกประมาณ 30 เมตร ทั้ง บริเวณอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน เช่นอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดภูเก็ต เป็นต้น กินอาหารจำพวก ปลิงทะเลและดาวทะเลเป็นอาหาร โดยเฉพาะดาวมงกุฎหนาม ซึ่งเป็นสัตว์ที่กินปะการังเป็นอาหาร จึงจัดได้ว่าหอยสังข์แตรเป็นตัวควบคุมตามธรรมชาติมิให้ปะการังต้องสูญหาย ถือเป็นสัตว์น้ำที่หาได้ยากในปัจจุบัน และมีสถานะทางกฎหมายเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ปัจจุบันกรมประมงเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์เพื่อปล่อยกลับลงทะเลดังเดิมเพื่อคงปริมาณจำนวนในธรรมชาติไว้ให้สมดุล เปลือกของหอยสังข์แตร ใช้เป็นเครื่องเป่าในพิธีกรรมต่าง ๆ ของศาสนาพราหมณ์มาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์นั้น ตั้งมาจากชื่อของ ไทรตัน ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลตามเทพปกรณัมกรีก.

ใหม่!!: สัตว์และหอยสังข์แตร · ดูเพิ่มเติม »

หอยหมวกเจ๊ก

หอยหมวกเจ๊ก (Limpet) จัดอยู่ในไฟลัมมอลลัสคา เป็นกลุ่มของหอยฝาเดียวมีหลายชนิด พบทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม เปลือกนูนขึ้นมีรูปร่างคล้ายหมวกของชาวจีน มีหลายสี ทั้งน้ำตาล ม่วง ดำ ขาว อาศัยอยู่บนหินในเขตน้ำขึ้นน้ำลง กินสาหร่ายเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และหอยหมวกเจ๊ก · ดูเพิ่มเติม »

หอยหมาก

หอยหมาก (Spiral babylon snail) เป็นมอลลัสคาในชั้นหอยฝาเดียว ชนิดหนึ่ง มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับหอยหวาน (B. areolata) แต่มีความแตกต่างกันที่ หอยหมากจะมีเปลือกสีเข้มกว่าและมีแต้มสีน้ำตาลจำนวนมาก ส่วนหัวที่เป็นเกลียวจะเป็นร่องลึก มีขนาดเล็กกว่าหอยหวาน พบกระจายพันธุ์ในพื้นที่แคบกว่าหอยหวาน โดยในน่านน้ำไทยจะพบแพร่กระจายอยู่ทางฝั่งทะเลอันดามัน โดยพบมากที่จังหวัดระนอง ต่างประเทศ พบที่ปากีสถาน, ศรีลังกา จนถึงไต้หวัน จัดเป็นหอยที่ใช้ในการบริโภคเช่นเดียวกับหอยหวาน แต่ได้รับความนิยมน้อยกว่า และมีราคาขายที่ถูกกว.

ใหม่!!: สัตว์และหอยหมาก · ดูเพิ่มเติม »

หอยหลอด

หอยหลอด เป็นชื่อสามัญของหอยทะเลกาบคู่หลายชนิดในวงศ์ Solenidae ชนิดที่พบในไทย เช่น S. corneus, S. exiguus, S. malaccensis, S. regularis, S. strictus, S. thailandicus ในสกุล Solen เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และหอยหลอด · ดูเพิ่มเติม »

หอยหวาน

หอยหวาน หรือ หอยตุ๊กแก หรือ หอยเทพรส (Spotted babylon; ชื่อวิทยาศาสตร์: Babylonia areolata) เป็นหอยทะเลฝาเดี่ยวชนิดหนึ่ง มีเปลือกที่ค่อนข้างหนารูปไข่ ผิวเรียบสีขาวมีลวดลายสีน้ำตาลเข้ม มีหนวด 1 คู่ ตา 1 คู่ มีท่อ มีเท้าขนาดใหญ่ใช้สำหรับเคลื่อนที่ อาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่เป็นทรายหรือทรายปนโคลน ในระดับความลึกตั้งแต่ 2–20 เมตร พบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ในต่างประเทศพบได้ที่ ทะเลฟิลิปปิน, ทะเลจีนใต้ และไต้หวัน กินอาหารโดยใช้อวัยวะที่เป็นท่อสีขาวยื่นออกมา โดยจะยื่นปลายท่อไปยังอาหารและส่งน้ำย่อยออกไปและดูดอาหารกลับทางท่อเข้าร่างกาย หลังกินอาหารแล้ว ก็จะเคลื่อนที่ไปฝังตัวใต้ทราย ซึ่งอาหารได้แก่ ซากพืช ซากสัตว์ชนิดต่าง ๆ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 40–100 มิลลิเมตร ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ โดยหอยตัวเมียจะวางไข่เป็นฟัก วางไข่ครั้งละประมาณ 20–70 ฝัก โดยวางไข่ได้ทั้งปี ระยะเดือนมกราคมถึงมีนาคม จะวางไข่ได้มากที่สุด ฝักไข่มีความกว้างเฉลี่ย 10.32 มิลลิเมตร ความยาวเฉลี่ย 29.31 มิลลิเมตร มีก้านยึดติดกับวัตถุในพื้นทะเล เช่น เม็ดทราย ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 5–7 วัน ลูกหอยวัยอ่อนจะดำรงชีวิตแบบแพลงก์ตอน คือ ลอยไปมาตามกระแสน้ำ กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร ระยะเวลาเติบโตจนเป็นวัยเจริญพันธุ์ประมาณ 1 ปี ปัจจุบัน หอยหวานถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดหนึ่ง นิยมรับประทานกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีการเพาะเลี้ยงกันเป็นอาชีพ แต่ทว่าปริมาณหอยที่ได้นั้นยังไม่เพียงพอต่อการตล.

ใหม่!!: สัตว์และหอยหวาน · ดูเพิ่มเติม »

หอยหวีวีนัส

หอยหวีวีนัส(Venus comb murex,ชื่อวิทยาศาสตร์:Murex pecten)เป็นหอยทากทะเลชนิดหนึ่งอยู่ในวงศ์หอยหนามหอยชนิดนี้อยู่บริเวณทะเลอินโดแปซิฟิกพวกมันกินหอยด้วยกันเองเป็นอาหาร หอยชนิดนี้มีหนามทียาวและเรียงตัวสวยจึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบในการนำมาเก็ยสะสม.

ใหม่!!: สัตว์และหอยหวีวีนัส · ดูเพิ่มเติม »

หอยคราง

หอยคราง หรือ หอยแครงขน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Anadara inaequivalvis) เป็นหอยเปลือกคู.

ใหม่!!: สัตว์และหอยคราง · ดูเพิ่มเติม »

หอยคันลิมเนีย

หอยคันลิมเนีย หรือ หอยคันสกุลลิมเนีย เป็นหอยคันตระกูลหนึ่งในวงศ์ Lymnaeidae.

ใหม่!!: สัตว์และหอยคันลิมเนีย · ดูเพิ่มเติม »

หอยงวงช้าง

ำหรับหอยงวงช้างที่นิยมนำมารับประทาน ดูที่: หอยกูอีดั๊ก หอยงวงช้าง เป็นมอลลัสคาในชั้นเซฟาโลพอด จัดอยู่ในอันดับย่อย Nautilina จัดเป็นมอลลัสคาที่มีวิวัฒนาการค่อนข้างสูง เป็นสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วกว่า 350 ล้านปี จัดอยู่ในชั้นเซฟาโลพอด อันเป็นชั้นเดียวกับปลาหมึก ในชั้นย่อยนอติลอยด์ จัดเป็นนอติลอยด์เพียงกลุ่มเดียวเท่าที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตจำพวกหนึ่งก็ว่าได้.

ใหม่!!: สัตว์และหอยงวงช้าง · ดูเพิ่มเติม »

หอยงวงช้างกระดาษ

หอยงวงช้างกระดาษ (Paper nautilus, Argonaut) เป็นมอลลัสคาประเภทหมึก จำพวกหมึกสายสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Argonauta แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหอยงวงช้าง แต่ก็มิได้ถูกจัดให้อยู่ในจำพวกหอยงวงช้าง แต่ถูกจัดให้เป็นหมึก.

ใหม่!!: สัตว์และหอยงวงช้างกระดาษ · ดูเพิ่มเติม »

หอยงวงช้างมุก

หอยงวงช้างมุก (Chambered nautilus, Pearly nautilus) เป็นสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังชนิดหนึ่ง อยู่ในไฟลัมมอลลัสคา ชั้นเซฟาโลโพดา จัดเป็นหอยงวงช้าง (Nautilidae) ชนิดหนึ่ง มีลักษณะของเปลือกค่อนข้างโตและมีพื้นสีขาว มีลายสีส้มอมแดง จากบริเวณปากไปจนถึงก้นเปลือกหอย โดยเป็นสัตว์ที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยมีการพบซากฟอสซิลที่ทะเลเกาะลูซอน ในประเทศฟิลิปปินส์ มีขนาดประมาณ 10-25 เซนติเมตร พบได้ทั่วไปในน่านน้ำเขตอินโด-แปซิฟิก จนถึงฟิลิปปิน, ทะเลญี่ปุ่น, ทะเลซูลู จนถึงเกรตแบร์ริเออร์รีฟ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) ในน่านน้ำไทยจัดว่าหาได้ยาก โดยจะพบได้น้อยที่ฝั่งทะเลอันดามัน เช่น เกาะอาดัง, หมู่เกาะสิมิลัน, เกาะหลีเป๊ะ โดยไม่พบในอ่าวไทย เป็นสัตว์ที่ว่ายและหากินในแถบกลางน้ำและพื้นดิน โดยสามารถดำน้ำได้ถึง 3 กิโลเมตร จับสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่า เช่น ปลาหรือกุ้ง เป็นอาหาร รวมทั้งซากสัตว์ทั่วไป เป็นสัตว์ที่ใช้เนื้อรับประทานได้เช่นเดียวกับหมึกหรือหอยทั่วไป เปลือกใช้ประโยชน์ในการทำเครื่องประดับ รวมถึงการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทั่วไป ซึ่งหอยงวงช้างมุกจะไม่ค่อยเคลื่อนไหวมากนัก ทั้งนี้เนื่องจากในธรรมชาติอาศัยอยู่ในน้ำลึก แต่จะลอยตัวนิ่ง ๆ อยู่ข้างตู้มากกว่า อุณหภูมิที่ใช้เลี้ยงจะอยู่ที่ประมาณ 18-20 องศาเซลเซียส และเป็นสัตว์ที่ไม่กินอาหารมากนัก จนสามารถให้อาหารเพียงแค่สัปดาห์ละครั้งหรือ 2 ครั้งเท่านั้น โดยสามารถใช้ไม้เสียบล่อให้มากินหรือให้อาหารเองกับมือได้ นอกจากนี้แล้วในสถานที่เลี้ยงพบว่า หอยงวงช้างมุกสามารถวางไข่ได้ด้วย โดยจะวางไข่ติดกับก้อนหิน ไข่ใช้ระยะเวลาฟัก 8 เดือน หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำ ตัวอ่อนมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 3 เซนติเมตร แต่อย่างไรก็ตาม จวบจนปัจจุบันยังไม่สามารถเลี้ยงลูกหอยงวงช้างมุกจนกระทั่งโตเต็มวัยได้.

ใหม่!!: สัตว์และหอยงวงช้างมุก · ดูเพิ่มเติม »

หอยปากกระจาด

หอยปากกระจาด (Dog Whelk) จัดอยู่ไฟลัมมอลลัสคา เป็นหอยฝาเดียว เปลือกทรงกรวย ปลายยอดแหลม มีทั้งชนิดที่เปลือกเรียบและเปลือกไม่เรียบ มีได้ทั้งสีน้ำตาล สีดำ หรือน้ำตาลปนดำ กินซากสัตว์เป็นอาหาร อาศัยอยู่ตามหาดทรายหรือหาดเลน.

ใหม่!!: สัตว์และหอยปากกระจาด · ดูเพิ่มเติม »

หอยปากเป็ด

หอยปากเป็ด หรือ หอยราก หรือ หอยตะเกียง (Lamp shell) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่อยู่ในไฟลัมแบรคิโอโพดา (Brachiopoda) ซึ่งไม่ใช่สัตว์จำพวกหอย (Mollusca) แต่มีเปลือก 2 ฝาลักษณะคล้ายคลึงกับหอยกาบคู่ เปลือกมีสีเขียวอมน้ำตาลคล้ายหอยแมลงภู่ พบอาศัยฝังตัวอยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเลที่เป็นทรายปนเลน โดยใช้ส่วนอวัยวะที่เรียกว่ารากเป็นท่อนเอ็นยาวคล้ายหางช่วยในการเคลื่อนที่ฝังตัวลงในพื้นทราย อาศัยตามพื้นท้องทะเลชายฝั่งตื้น ๆ ที่เป็นโคลนแข็งหรือโคลนเลน กินอาหารจำพวกไดอะตอม, แพลงตอนพืช และแพลงตอนสัตว์บางชนิด สามารถใช้ปรุงเป็นอาหารได้.

ใหม่!!: สัตว์และหอยปากเป็ด · ดูเพิ่มเติม »

หอยปีกนางฟ้า

หอยปีกนางฟ้า (Lister's conch, Lister's spider conch) เป็นหอยฝาเดี่ยวชนิดหนึ่ง ในวงศ์หอยชักตีน (Strombidae) มีเปลือกแข็งมีวงก้นประมาณ 9-10 วง ปากยาว มีขอบเปลือกแผ่ยื่นกว้างออกมาจากลำตัวเป็นปีกดูสวยงาม และที่ตัวเปลือกเองจะมีลวดลายสวยงามด้วยเช่นกัน กินซากอินทรียสารที่เน่าเปื่อยเป็นอาหาร มีความยาวเต็มที่ประมาณ 10-13 เซนติเมตร จะพบได้ในเขตน้ำลึกของมหาสมุทรอินเดียเท่านั้น โดยมักพบบริเวณไหล่ทวีปอยู่ตามพื้นทะเลที่เป็นโคลน พบมากทางทะเลอันดามันและอ่าวเบงกอล เป็นหอยที่มีความสวยงามมากชนิดหนึ่ง จึงนิยมที่จะใช้ทำเครื่องประดับ และเก็บสะสม.

ใหม่!!: สัตว์และหอยปีกนางฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

หอยนักล่าเกลียวเชือก

หอยนักล่าเกลียวเชือก เป็นหอยนักล่าในวงศ์ Diapheridae ซึ่งเป็นหอยวงศ์ใหม่ของโลก คำว่า 'prima' เป็นภาษาละติน แปลว่า ครั้งแรกหรือที่หนึ่ง หมายถึงการพบหอยในวงศ์ Diaperidae และสกุล Diaphera เป็นครั้งแรกในประเทศไทยSutcharit C., Naggs F., Wade C. M., Fontanilla I. & Panha S. (2010).

ใหม่!!: สัตว์และหอยนักล่าเกลียวเชือก · ดูเพิ่มเติม »

หอยแมลงภู่

หอยแมลงภู่ จัดอยู่ในไฟลัมมอลลัสคาเป็นหอยสองฝา สีของเปลือกเปลี่ยนไปตามสภาพการอยู่อาศัย กล่าวคือ ถ้าอยู่ใต้น้ำตลอดเวลามีสีเขียวอมดำ ถ้าอยู่บริเวณน้ำขึ้นน้ำลง ถูกแดดบ้างเปลือกจะออกเหลือง เปลือกด้านนอกมีสีเขียว ส่วนท้ายจะกว้างกว่าส่วนหน้า เนื้อหอยมีสีเหลืองนวลหรือสีส้ม มีหนวดหรือเส้นใยเหนียวสำหรับเกาะหลักเรียกว่า เกสร หรือ ซัง หอยแมลงภู่ ขนาดความยาวของเปลือกหอยที่สามารถสืบพันธุ์ได้มีความยาวตั้งแต่ 2.13 เซนติเมตรขึ้นไป มีความยาวตั้งแต่ 4-20 เซนติเมตร เป็นหอยที่กระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลแถบอินโดแปซิฟิก กินอาหารแบบกรองกิน ซึ่งกินได้ทั้งแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ หอยแมลงภู่มีทั้งเพศแยก และมีสองเพศในตัวเดียวกัน มีการผสมพันธุ์นอกลำตัว หอยเพศผู้จะมีลำตัวหรือที่ห่อหุ้มตัวสีครีมหรือขาว ส่วนเพศเมียจะมีสีส้ม มีช่วงฤดูสืบพันธุ์อยู่ 2 ช่วงในรอบ 1 ปี คือช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ หอยแมลงภู่ อาศัยด้วยการเกาะตามโขดหินและตามไม้ไผ่บริเวณชายฝั่งทะเล ห่างฝั่งประมาณ 1,000-3,000 เมตร ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้ง 2 ฝั่งทะเล หอยแมลงภู่เมื่อปรุงสุกแล้ว เป็นหอยที่นิยมบริโภคกันเป็นอย่างมาก สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น หอยทอด, ออส่วน เป็นต้น เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีการเพาะเลี้ยงกันมาเป็นเวลานาน โดยที่พันธุ์ของหอย เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงจะอาศัยจากธรรมชาติ ที่เมื่อหอยในธรรมชาติได้ผสมพันธุ์และปฏิสนธิเป็นลูกหอยตัวอ่อน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กลอยไปตามกระแสน้ำแบบแพลงก์ตอนแล้ว จะใช้วัสดุที่เพาะเลี้ยงปักลงไปในทะเล เพื่อให้ลูกหอยนั้นเกาะอาศัยตลาดสดสนามเป้า, รายการทางช่อง 5: อาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2555 แบ่งออกได้เป็น การเลี้ยงแบบปักหลักล่อลูกหอย, การเลี้ยงแบบแพ, การเลี้ยงแบบแขวนบนราวเชือก และการเลี้ยงแบบตาข่ายเชือก แบบที่นิยมเลี้ยงกันมาก คือ แบบปักหลักล่อลูกหอย โดยใช้ไม้ไผ่หรือไม้ลวกในการล่อลูกหอยในระดับน้ำลึก 4-6 เมตร และเลี้ยงจนมีขนาดใหญ่ ถึงขนาดต้องการ บางแห่งนิยมใช้ไม้ไผ่ทำเป็นโป๊ะ เพื่อดักจับปลาและล่อลูกหอยในพื้นที่ 1 ไร่ หรือ 1,600 ตารางเมตร จะปักหลักได้ประมาณ 1,200 หลัก ทั้งนี้ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยง 6-8 เดือน จะได้หอยขนาดความยาวเฉลี่ย 5-6 เซนติเมตร เป็นขนาดที่สามารถส่งตลาด แต่ก็เป็นสัตว์ที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมมาก เช่น อุณหภูมิร้อน หรือน้ำเสีย หรือมีน้ำจืดปะปนลงมาในทะเลเป็นจำนวนมาก หอยก็จะตาย ซึ่งภายในรอบปีสามารถเลี้ยงได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว เปลือกหอยสามารถนำไปบดเพื่อผสมเป็นอาหารสัตว์ และผสมทำเป็น.

ใหม่!!: สัตว์และหอยแมลงภู่ · ดูเพิ่มเติม »

หอยแครง

หอยแครง เป็นหอยจำพวกกาบคู่ ความยาวประมาณ 6-7 เซนติเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และหอยแครง · ดูเพิ่มเติม »

หอยเชลล์

หอยเชลล์ หรือ หอยพัด (Scallop) เป็นสัตว์มอลลัสกาฝาคู่อาศัยอยู่ในทะเล จัดอยู่ในวงศ์ Pectinidae หอยเชลล์พบได้ทุกมหาสมุทรของโลก หอยเชลล์จำนวนมากเป็นแหล่งอาหารราคาสูง ทั้งเปลือกสีสว่าง รูปพัดของหอยเชลล์บางตัว พร้อมกับแบบร่องเว้าแผ่ออกจากศูนย์กลาง ทำให้มีค่าสำหรับนักสะสมหอย โดยชื่อสามัญในภาษาอังกฤษคำว่า "scallop" แผลงมาจากภาษาฝรั่งเศสเก่า escalope หมายถึง "เปลือก".

ใหม่!!: สัตว์และหอยเชลล์ · ดูเพิ่มเติม »

หอยเชอรี่

หอยเชอรี่ หรือ หอยโข่งอเมริกาใต้ หรือ หอยเป๋าฮื้อน้ำจืด (อังกฤษ: Golden applesnail, Channeled applesnail; ชื่อวิทยาศาสตร์: Pomacea canaliculata) เป็นหอยน้ำจืดจำพวกหอยฝาเดียว มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และหอยเชอรี่ · ดูเพิ่มเติม »

หอยเบี้ยจักจั่น

หอยเบี้ยจักจั่น หรือ หอยเบี้ยจั่น (Money cowry) เป็นหอยทะเลฝาเดียวชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Monetaria moneta (ศัพทมูลวิทยา: moneta (/โม-เน-ตา/) เป็นภาษาละตินแปลว่า "เงินตรา") ในวงศ์ Cypraeidae มีเปลือกแข็ง ผิวเป็นมัน หลังนูน ท้องแบน ช่องปากยาวแคบและไปสุดตอนปลายทั้ง 2 ข้าง เป็นลำราง ริมปากทั้ง 2 เป็นหยักคล้ายฟัน ไม่มีฝาปิด มีความยาวประมาณ 12-24 มิลลิเมตร มีถิ่นแพร่กระจายอยู่ในทะเลเขตอบอุ่นทั้งในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย อาทิ ทะเลแดง อินโด-แปซิฟิก นอกชายฝั่งทะเลด้านมหาสมุทรแปซิฟิกของอเมริกากลาง ชายฝั่งทะเลทวีปแอฟริกาตอนตะวันออกและใต้ ทะเลอันดามัน อ่าวไทย ทะเลญี่ปุ่น ไปจนถึงโอเชียเนีย ดำรงชีวิตอยู่ตามแนวปะการังใกล้ชายฝั่ง กินอาหารจำพวกแพลงก์ตอนและสาหร่ายทะเลที่ลอยมาตามกระแสน้ำ เปลือกหอยของหอยเบี้ยชนิดนี้ มีความสำคัญต่อมนุษย์มาตั้งแต่ยุคโบราณ โดยใช้เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนสิ่งของแทนเงินตราในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าคำว่า "เบี้ย" ในภาษาไทยก็เรียกเพี้ยนมาจากคำว่า "รูปี" ซึ่งเป็นหน่วยเงินตราของอินเดียมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลคอลัมน์ Aqua Pets โดย จอม สมหวัง ปัทมคันธิน "สุดยอดแฟนพันธุ์แท้เปลือกหอย 2 สมัย" หน้า 107 นิตยสาร Aquarium Biz Vo.1 issue 6 ฉบับเดือนธันวาคม 2010 นอกจากนี้แล้ว เปลือกหอยเบี้ยจักจั่นยังใช้เป็นเครื่องรางของขลังในวัฒนธรรมไทย โดยมักนำไปบรรจุปรอทแล้วเปิดทับด้วยชันโรงใต้ดิน อาจจะมีแผ่นทองแดงลงอักขระยันต์หรือไม่ก็ได้ เชื่อกันว่า ถ้าพกเปลือกหอยเบี้ยชนิดนี้ไว้กับตัวเวลาเดินทางสัญจรในป่า จะช่วยป้องกันไข้ป่า รวมถึงป้องกันและแก้ไขภยันอันตรายจากร้ายให้กลายเป็นดีได้ หรือนำไปตกแต่งพลอยเรียกว่า "ภควจั่น" ในเด็ก ๆ เชื่อว่าช่วยป้องกันฟันผุ หรือพกใส่กระเป๋าสตางค์ เชื่อว่าทำให้เงินทองไหลเทมาและโชคดี ปัจจุบัน เปลือกหอยเบี้ยจักจั่นยังนิยมสะสมกันเป็นของประดับและของสะสมกันอีกด้วย โดยมีชนิดที่แปลกแตกต่างไปจากปกติ คือ "ไนเจอร์" (Niger) ที่หอยจะสร้างเมลานินสีดำเคลือบเปลือกไว้จนกลายเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลคล้ำทั้งหมด และชนิดที่มีราคาสูงที่สุด เรียกว่า "โรสเตรท" (Rostrat) หรือ หอยเบี้ยจักจั่นงวง คือ เป็นหอยเบี้ยจักจั่นในตัวที่ส่วนท้ายของเปลือกมิได้กลมมนเหมือนเช่นปกติ แต่สร้างแคลเซี่ยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาหลายปี จนกระทั่งยาวยืดออกมาและม้วนขึ้นเป็นวงอย่างสวยงามเหมือนงวงช้าง ซึ่งหอยในรูปแบบนี้จะพบได้เฉพาะแถบอ่าวด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะนิวแคลิโดเนียที่เดียวในโลกเท่านั้น มีการประเมินราคาของเปลือกหอยลักษณะนี้ไว้ถึง 25 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นราคาของเปลือกหอยที่มีค่าสูงที่สุดในโลกอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และหอยเบี้ยจักจั่น · ดูเพิ่มเติม »

หอยเบี้ยแก้ตัวเล็ก

หอยเบี้ยแก้ตัวเล็ก หรือ หอยเบี้ยหัวงู (Serpent's-head cowry) เป็นหอยทะเลเปลือกเดียวชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Monetaria caputserpentis อยู่ในวงศ์ Cypraeidae มีเปลือกหนา เปลือกเป็นรูปครึ่งทรงกลมด้านล่างแบนด้านหลังโค้งนูน ด้านข้างแผ่ออกเป็นฐาน มีช่องเปิดปากอยู่ทางด้านข้างเป็นร่องยาว มีฟันที่ขอบทั้งสองข้างไม่มีฝาปิด พื้นผิวด้านบนมีสีน้ำตาลแต้มด้วยจุดขาวเล็ก ๆ กระจัดกระจาย พบได้ทั่วไปในแถบอินโด-แปซิฟิก เช่น ทะเลแดง, มหาสมุทรอินเดีย, ทะเลฟิลิปปิน จนถึงออสเตรเลีย ในน่านน้ำไทยพบตามบริเวณที่มีปะการังในเขตน้ำตื้นไปจนถึงบริเวณที่เป็นร่องน้ำและน้ำค่อนข้างลึกได้ถึง 200 เมตร กินสาหร่ายและตะไคร่น้ำเป็นอาหาร มีความยาวประมาณ 3 เซนติเมตร เป็นหอยที่คนโบราณใช้เป็นของขลังทางไสยศาสตร์เหมือนหอยเบี้ยจั่น (M. moneta) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน โดยนำไปบรรจุปรอทแล้วเปิดทับด้วยชันโรงใต้ดิน อาจจะมีแผ่นทองแดงลงอักขระยันต์หรือไม่ก็ได้ เชื่อกันว่าช่วยป้องกันคุณไสยต่าง ๆ ได้ และปัจจุบันยังใช้เป็นของสะสมของผู้ที่นิยมสะสมเปลือกหอยด้วย โดยปกติแล้วเป็นเปลือกหอยที่มีราคาไม่แพง แต่ในตัวที่สวย เช่น มีสีดำสนิทแผ่ออกไปอย่างมากและมีแต้มสีแดงสดหรือมีสีเขียวระยิบระยับที่ปากขอบ จะมีราคาที่แพงมาก.

ใหม่!!: สัตว์และหอยเบี้ยแก้ตัวเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

หอยเสียบ

หอยเสียบ (Pharella javanica) บางแห่งอาจเรียก หอยมีดโกน หอยเสียบ หอยเสียบทราย ชื่อสามัญ: Razor clam, Knife jacked clam, Cultellus clam บางครั้งอาจจะทำให้สับสนซึ่งชื่อตามภาษาไทยในท้องถิ่น เหมือนกันกับหอยเสียบ (หอยเสียบทราย)ที่มีชื่อสามัญ Donax wedge shell หรือ Pacific bean donex ซึ่งแท้ที่จริงแล้วอยู่ต่างจำพวกกัน.

ใหม่!!: สัตว์และหอยเสียบ · ดูเพิ่มเติม »

หอยเต้าปูน

หอยเต้าปูน (Cone snail, Cone shell) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมมอลลัสคา ชั้นแกสโทรโพดา เป็นสัตว์นักล่า พบได้ตามแถบแนวปะการัง เปลือกมีสีสันสดใส และมีลวดลายสวยงาม ดึงดูดสายตา แต่มีบางสายพันธุ์ที่สีของหอยเต้าปูนจะซ่อนอยู่ภายใต้เนื้อเยื่อพิเศษ ที่ยังไม่ทราบการทำงานที่แน่ชัด (Periostracum) บางชนิดในแถบทะเลเขตร้อน จะมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ มีมากกว่า 500 สปีชี่ส์ จัดเป็นสัตว์กินเนื้อ มักจะล่าหนอนทะเล ปลาเล็ก ๆ หอย หรือแม้กระทั่งหอยเต้าปูนด้วยกันเองเป็นอาหาร เนื่องจากเคลื่อนที่ได้ช้า จึงมีการพัฒนาอาวุธเฉพาะตัวขึ้นมาคือ เข็มพิษ (venomous harpoon) เพื่อใช้สำหรับล่าเหยื่อและทำให้เหยื่อหมดสติก่อนกลายเป็นอาหาร ที่มีความรวดเร็วสูง ซึ่งในสายพันธุ์ขนาดใหญ่ พิษของหอยเต้าปูนมีความรุนแรงมากพอที่จะฆ่าคนได้.

ใหม่!!: สัตว์และหอยเต้าปูน · ดูเพิ่มเติม »

หอยเต้าปูนกลอรีออฟอินเดีย

หอยเต้าปูนกลอรีออฟอินเดีย (Glory of India) เป็นหอยฝาเดี่ยวในวงศ์หอยเต้าปูน (Conidae) ชนิดหนึ่ง เป็นหอยเต้าปูนชนิดหนึ่ง ที่มีเปลือกสวยงาม มีสีน้ำตาลเข้มเหมือนช็อคโกแล็ต แต้มด้วยลายดอกสีขาวรูปสามเหลี่ยมตลอดทั้งเปลือก มีความยาวตั้งแต่ 46 มิลลิเมตร จนถึง 185 มิลลิเมตร พบแพร่กระจายพันธุ์เฉพาะทะเลอาหรับตั้งแต่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย จนถึงทะเลแดง และแอฟริกาใต้ เป็นหอยที่มีเข็มพิษที่ใช้ล่าเหยื่อและป้องกันตัว ด้วยพิษที่ร้ายแรง ที่สามารถทำให้มนุษย์ถึงแก่ชีวิตได้ เหมือนหอยเต้าปูนชนิดอื่น ๆ ขณะที่เปลือกมีความสวยงาม จึงนิยมที่จะเก็บสะสม.

ใหม่!!: สัตว์และหอยเต้าปูนกลอรีออฟอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

หอยเต้าปูนลายแผนที่

หอยเต้าปูนลายแผนที่ หรือ หอยบุหรี่ (Geography cone, Cigarette snail) เป็นหอยเปลือกเดี่ยวชนิดหนึ่ง ในวงศ์หอยเต้าปูน (Conidae) หอยเต้าปูนลายแผนที่ มีเปลือกรูปร่างคล้ายกรวย ปลายวนคล้ายเจดีย์ค่อนข้างแหลม มีสีสันสวยงาม มีขนาดยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ในเวลากลางวันจะซ่อนตัวอยู่ใต้ทรายในแนวโขดหินหรือแนวปะการัง โดยยื่นงวงออกมาดักจับอาหาร และยื่นซิฟอนเพื่อให้น้ำผ่านเข้าออก หากินในเวลากลางคืน โดยกินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กด้วยกันเป็นอาหาร เช่น ดาวทะเล, ไส้เดือนทะเล หรือแม้แต่หอยเต้าปูนด้วยกันเอง ด้วยการใช้พิษล่าเหยื่อ โดยมีถุงน้ำพิษ ซึ่งมีท่อน้ำพิษเปิดออกอยู่ส่วนใกล้บริเวณปาก หอยเต้าปูนลายแผนที่ถือเป็นหอยเต้าปูนที่มีพิษร้ายแรงที่สุด โดยการปล่อยเข็มพิษจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า เนื่องจากต้องใช้งวงยึดผิวหนังของเหยื่อก่อน เสร็จแล้วกล้ามเนื้อบริเวณคอหอย และส่วนปากบริเวณงวงพร้อมปล่อยเข็มพิษดันออกมาสู่เหยื่อ ซึ่งเข็มพิษนั้นจะมีน้ำพิษติดมาด้วย ทำให้ได้รับความเจ็บปวด โดยสามารถถึงกับฆ่าสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กว่าอย่างมนุษย์ได้ด้วย โดยเข็มพิษนั้นสามารถทะลุชุดหรือถุงมือประดาน้ำได้ ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ชา บวม และกล้ามเนื้อเป็นอัมพาต สายตาพร่ามัว ระบบหายใจล้มเหลว ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียาขนานใดที่จะเยียวยาหรือรักษาพิษนี้ได้ หอยเต้าปูนลายแผนที่กระจายพันธุ์ในวงที่กว้าง ตั้งแต่ ทะเลแดง, อินโด-แปซิฟิก, ฮาวาย, มาดากัสการ์, มอริเตเนีย, โมซัมบิก.

ใหม่!!: สัตว์และหอยเต้าปูนลายแผนที่ · ดูเพิ่มเติม »

หอยเต้าปูนหาดราไวย์

หอยเต้าปูนหาดราไวย์ (Rawai cone snail) เป็นหอยฝาเดี่ยวชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์หอยเต้าปูน (Conidae) เป็นหอยเต้าปูนขนาดเล็ก มีความยาวโดยเฉลี่ย 20-46 มิลลิเมตร ถูกตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ตามชื่อของหาดราไวย์ ในจังหวัดภูเก็ต สถานที่ ๆ พบครั้งแรก มีเข็มพิษที่สามารถฆ่ามนุษย์ให้ถึงแก่ความตายได้เหมือนหอยเต้าปูนชนิดอื่น ๆ สีของเปลือกโดยปกติจะเป็นสีเดียวทั้งเปลือก คือ สีแดงปนส้มสด มีตุ่มเป็นแนวเพียงเล็กน้อย แต่ในบางตัวที่จัดว่าสวยจะนิยมเก็บเป็นของสะสม คือ เปลือกมีสีส้มสลับกับแดงสด มีแถบสีเข้ม-อ่อนสลับกันไล่เรียงเป็นทางยาวตลอดทั้งเปลือก ขณะที่ทางก้นหอยเป็นแต้ม และแถบสลับสีแดงและส้ม ตุ่มขึ้นชัดเจนเหมือนไข่มุกถึง 3-4 ชั้น.

ใหม่!!: สัตว์และหอยเต้าปูนหาดราไวย์ · ดูเพิ่มเติม »

หอยเป๋าฮื้อ

หอยเป๋าฮื้อ หรือหอยโข่งทะเล สามารถรับประทานได้มีตั้งแต่ขนาดเล็ก จนถึง ขนาดใหญ่ เป็นสัตว์ในวงศ์ Haliotidae มีฝาเดียว.

ใหม่!!: สัตว์และหอยเป๋าฮื้อ · ดูเพิ่มเติม »

หิ่งห้อย

หิ่งห้อย หรือ ทิ้งถ่วง เป็นแมลงปีกแข็งหลายชนิดหลายสกุลในวงศ์ Lampyridae ในอันดับ Coleoptera ทั่วทั้งโลกมีหิ่งห้อยประมาณ 2,000 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และหิ่งห้อย · ดูเพิ่มเติม »

หงส์

หงส์ (มักเขียนผิดเป็น หงษ์) เป็นนกน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ในสกุล Cygnus ในวงศ์ Anatidae อันเป็นวงศ์เดียวกับเป็ดและนกเป็ดน้ำ มีลักษณะทั่วไป มีขนสีขาวทั้งตัว จะงอยปากสีเหลืองส้มและมีปุ่มสีดำที่ฐานของปาก มักรวมฝูงในบึงน้ำเพื่อกินพืชน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็ก พบในทวีปเอเชียทางตอนเหนือ, ยุโรปทางตอนเหนือ, อเมริกา และออสเตรเลีย หงส์ สามารถร่อนลงบนพื้นน้ำแข็งหรือผิวน้ำที่เยือกตัวเป็นน้ำแข็งได้ เพราะมีอุ้งตีนที่ใหญ่คล้ายใบพายซึ่งช่วยกระจายน้ำหนักได้เมื่อร่อนลง แต่จะควบคุมการร่อนได้ดีกว่าในบริเวณที่น้ำแข็งละลาย หงส์มีทั้งหมด 6 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และหงส์ · ดูเพิ่มเติม »

หงส์กู่

หงส์กู่ หรือ หงส์ฮูปเปอร์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cygnus cygnus) เป็นหงส์ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคซีกโลกเหนือ เป็นหงส์ชนิดเดียวกันกับหงส์แตรในอเมริกาเหนือ.

ใหม่!!: สัตว์และหงส์กู่ · ดูเพิ่มเติม »

หงส์ขาวคอดำ

หงส์ขาวคอดำ หรือ หงส์คอดำ (Black-necked swan) เป็นสัตว์ปีกจำพวกหงส์ชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์นกเป็ดน้ำ (Anatidae) หงส์ขาวคอดำ มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับหงส์ชนิดอื่นทั่วไป แต่มีลักษณะเด่น คือ มีขนตามลำตัวสีขาวล้วนทั้งตัว เว้นแต่ส่วนลำคอขึ้นไปที่เป็นสีดำล้วน จนดูคล้ายกับเป็นลูกผสมระหว่างหงส์ขาวกับหงส์ดำ มีจะงอยปากสีเทาอมชมพูและมีปุ่มสีแดงสดที่ฐานของปาก ขณะที่ส่วนใบหน้ามีลายเส้นเล็ก ๆ สีขาวพาดผ่านตา มีถิ่นกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้ โดยตัวผู้เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 6-7 กิโลกรัม ขณะที่ตัวเมียจะมีน้ำหนักประมาณ 4-5 กิโลกรัม อายุขัยโดยเฉลี่ย 10 ปี และจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 1.5-2 ปี วางไข่ครั้งละประมาณ 5-6 ฟอง ทำรังโดยการเอากิ่งไม้หรือเศษใบไม้หรือฟางมาปูพื้น โดยลักษณะการทำรังจะเป็นไปอย่างมีระเบียบและอ่อนช้อยกว่านกชนิดอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกันมาก ระยะเวลาฟักไข่ประมาณ 30-33 วัน โดยจะผสมพันธุ์และวางไข่ในช่วงที่มีอุณหภูมิค่อนข้างเย็น เช่น ฤดูหนาวหรือฤดูฝน ทั้งตัวผู้และตัวอ่อนจะช่วยกันฟักไข่และเลี้ยงดูลูกอ่อน ซึ่งในช่วงนี้ จะมีนิสัยดุร้ายมาก เพราะต้องปกป้องลูกอ่อน ลูกที่เกิดมาใหม่ ขนจะยังไม่เป็นสีช่วงลำคอเหมือนตัวโต และจะยังบินไม่ได้ หากินตามแหล่งน้ำทั่วไป โดยกินได้ทั้งพืชน้ำและสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เหมือนหงส์ชนิดอื่น ๆ และจับคู่เพียงตัวเดียวตลอดทั้งชีวิต หงส์ขาวคอดำ ในปัจจุบัน ได้รับความนิยมในการเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม โดยเฉพาะผู้มีฐานะ เนื่องจากมีราคาซื้อขายที่แพงมาก อีกทั้งต้องใช้สถานที่ค่อนข้างกว้างขวางในการเลี้ยง ซึ่งสายพันธุ์ของหงส์ขาวคอดำที่เป็นสัตว์เลี้ยงในปัจจุบันนั้น มาจากนักเพาะพันธุ์สัตว์ของประเทศเนเธอร์แลน.

ใหม่!!: สัตว์และหงส์ขาวคอดำ · ดูเพิ่มเติม »

หงส์ดำ

หงส์ดำ (Black swan) เป็นสัตว์ปีกชนิดหนึ่ง จัดเป็นหงส์ชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์นกเป็ดน้ำ (Anatidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับหงส์ชนิดอื่น ๆ แต่มีลักษณะเด่น คือ ตัวผู้มีสีขนทั่วตัวสีดำอมเทา ยกเว้นขนปีกสำหรับบินเส้นยาวเท่านั้นที่เป็นสีขาวซึ่งตัดกับลำตัวเห็นเด่นชัดสะดุดตา นัยน์ตาสีแดงเข้ม จะงอยปากสีแดงแต่มีแถบขาว ปลายปาก ขาและเท้าสีดำ ขณะที่ตัวเมียเหมือนตัวผู้ทุกประการ แต่มีขนาดเล็กกว่าและลำคอสั้นกว่า มีขนาดโตเต็มที่ มีความยาวประมาณ 110–142 เซนติเมตร น้ำหนัก 3.7–9 กิโลกรัม ความกว้างของปีกจากข้างหนึ่งไปถึงอีกข้างหนึ่ง 1.6–2 เมตร กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศออสเตรเลีย เช่น รัฐนิวเซาท์เวลส์, รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย รวมถึงเกาะแทสมาเนีย มีพฤติกรรมชอบรวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ หากินสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ รวมถึงพืช เมล็ดพืช เป็นอาหาร โดยสามารถพบได้ถึงแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำเค็มได้ด้วย เสียงร้องเหมือนเสียงทรัมเป็ต มักร้องในเวลาเย็นหรือกลางแสงจันทร์ในคืนเดือนหงายขณะกำลังบิน เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 2 ปี ทำรังโดยการใช้ เศษกิ่งไม้หรือใบไม้แห้งมาปู วางไข่ครั้งละ 5-6 ฟอง ไข่มีสีขาวแกมเขียว ระยะเวลาฟักไข่นาน 34-37 ฟอง หงส์ดำ เป็นนกที่ไม่พบในประเทศไทย แต่มีรายงานว่าในต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 พบตัวผู้ตัวหนึ่งลอยคออยู่ในสระน้ำพรุนาแด้ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง สันนิษฐานว่าอาจหลุดมาจากที่เลี้ยงหรือในสวนสัตว์ที่ใดที่หนึ่ง ปัจจุบัน หงส์ดำมีการเพาะขยายพันธุ์ด้วยฝีมือมนุษย์ นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงกัน โดยมีราคาซื้อขายที่แพงมาก.

ใหม่!!: สัตว์และหงส์ดำ · ดูเพิ่มเติม »

หงส์แตร

หงส์แตร เป็นนกอพยพที่มีความทนทานที่สุดที่ดำรงอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ และยังจัดเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของนกน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสัตว์คู่กับทวีปอเมริกาเหนือและยังเป็นญาติสนิทของหงส์กู่ในภาคพื้นทวีปยูเรเชีย มีบางหน่วยงานได้พิจารณาให้หงส์กู่และหงส์แตรเป็นสัตว์ที่อยู่ในสปีชีส์เดียวกัน.

ใหม่!!: สัตว์และหงส์แตร · ดูเพิ่มเติม »

หนอนกำมะหยี่

หนอนกำมะหยี่ (Velvet worm) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกหนึ่งในไฟลัม Onychophora (หรือ Protracheata) หนอนกำมะหยี่ เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีรูปร่างคล้ายหนอนหรือหนอนผีเสื้อ แต่มิใช่แมลงเช่นหนอนทั่วไป หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างจากยุคดึกดำบรรพ์เพียงไม่มาก โดยกำเนิดมาในยุคแคมเบรียน ในช่วงยุคแรกของยุคพาลีโซอิก เมื่อกว่า 530 ล้านปีที่แล้ว จึงจัดเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตจำพวกหนึ่ง มีความยาวประมาณ 1.4-15 เซนติเมตร ลำตัวปกคลุมด้วยคิวติเคิลที่อ่อนนุ่ม มีขาประมาณ 14-43 คู่ ส่วนปลายจะเป็นแผ่นและมีกรงเล็บ 2 อัน ส่วนหัวเป็นที่ตั้งของหนวด 1 คู่ มีตาอยู่ที่ด้านฐาน มีระบบท่อลมคล้ายกับที่พบในแมลงช่วยในการหายใจเชื่อมต่อกับรูเปิดทั่วร่างกาย มีระบบหมุนเวียนโลหิตแบบเปิด หัวใจเป็นท่อ สมองมีขนาดใหญ่ มีการแบ่งเพศชัดเจน บางชนิดพบว่ามีรกเป็นทางเชื่อมระหว่างแม่และลูก บางชนิดตัวอ่อนเจริญอยู่ในเปลือกหุ้ม หนอนกำมะหยี่ อาศัยอยู่ในพื้นดินที่มืดและชื้นแฉะ เช่น ในป่าฝนเมืองร้อนของอเมริกากลางจนถึงอเมริกาใต้ เป็นต้น ปัจจุบันพบแล้วประมาณ 180 ชนิด หนอนกำมะหยี่ โดยปกติจะเป็นอาหารของสัตว์ใหญ่กว่าชนิดต่าง ๆ เช่น ตะขาบ, นก หรือสัตว์ฟันแท.

ใหม่!!: สัตว์และหนอนกำมะหยี่ · ดูเพิ่มเติม »

หนอนมรณะมองโกเลีย

วาดในจินตนาการของหนอนมรณะมองโกเลีย ของ ปีเตอร์ เดิร์ก นักเขียนชาวเบลเยี่ยม หนอนมรณะมองโกเลีย (Mongolian Death Worm) คือ สัตว์ประหลาดที่เชื่อว่ารูปร่างคล้ายหนอนหรือไส้เดือนขนาดใหญ่ อาศัยในทะเลทรายโกบี ในมองโกเลี.

ใหม่!!: สัตว์และหนอนมรณะมองโกเลีย · ดูเพิ่มเติม »

หนอนริบบิ้น

หนอนริบบิ้น (Lineus longissimus) เป็นสัตว์ในไฟลัมนีเมอร์เทีย เป็นหนึ่งในสัตว์ที่มีลำตัวยาวที่สุดเท่าที่รู้จักกัน มีรายงานว่ามีการพบตัวอย่างสัตว์ชนิดนี้ที่มีความยาวมากกว่า 30 เมตร และมีการคาดคะเนว่าหนอนชนิดนี้อาจเติบโตได้ยาวถึง 60 เมตร ทำให้มันเป็นสัตว์ที่มีความยาวที่สุดในโลก ลำตัวของหนอนชนิดนี้มีสีน้ำตาล มีแถบริ้วเป็นสีสว่าง พบได้ทั่วไปตามชายฝั่งของเกาะบริเตน ตัวอย่างหนึ่งที่ถูกพบในปี 1864 ซึ่งเกยตื้นที่เซนต์แอนดรูว์ สกอตแลนด์ หลังจากเกิดพายุ สามารถวัดได้ความยาวมากกว่า 55 เมตร แต่การวัดความยาวต้องทำด้วยความระมัดระวังและละเอียดมาก เนื่องจากร่างกายของสัตว์จำพวก Nemertean มีความยืดหยุ่น และสามารถยืดออกมากกว่าความยาวปกติได้ง.

ใหม่!!: สัตว์และหนอนริบบิ้น · ดูเพิ่มเติม »

หนอนถั่ว

หนอนถั่ว (Sipuncula) เป็นสิ่งมีชีวิตอาศัยตามทราย โคลน ซอกหิน รอยแยกของปะการัง ในทะเลน้ำตื้น ถึง น้ำลึก ลักษณะลำตัวกลมยาวไม่มีขา ผิวไม่เรียบ เป็นร่องสันทั่วตัวคล้ายเปลือกถั่วลิสง ปลายด้านหนึ่งยืดหดได้คล้ายคอ มีกระจุกหนวดไว้คอยหาอาหาร หนอนถั่วมีอยู่ประมาณ 350 ชนิดพัน.

ใหม่!!: สัตว์และหนอนถั่ว · ดูเพิ่มเติม »

หนอนท่อ

หนอนท่อ (Keelworm) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเล ไฟลัมแอนเนลิดา วงศ์ Serpulidae ความยาวประมาณ 5-8 เซนติเมตร พบในท่อหินปูนแข็งที่ติดตามก้อนหิน อาศัยในเขตน้ำขึ้นน้ำลง กินอาหารโดยการกรองตะกอนจากน้ำทะเล.

ใหม่!!: สัตว์และหนอนท่อ · ดูเพิ่มเติม »

หนอนตัวแบน

หนอนตัวแบน หรือ แพลทีเฮลมินธิส เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ลักษณะเด่นคือ เป็นไฟลัมแรกที่มีสมมาตรแบบซ้ายขวา ลำตัวแบนจากบนลงล่าง (dorso-ventrally) ลักษณะคล้ายริบบิ้น ผิวลำตัวอ่อนนิ่ม ยกเว้นพวกที่เป็นปรสิตจะมีคิวติเคิลหนา พบประมาณ 25000 ชนิด จัดอยู่ในสัตว์กลุ่มที่ไม่มีช่องว่างลำตัวที่แท้จริง (Accoelomate) กลุ่มใหญ่ที่สุด สามารถพบได้ทั้งในทะเล น้ำจืด บนบก ส่วนใหญ่ดำรงชีวิตแบบปรสิต (parasitic) บางวงศ์ดำรงชีวิตอิสระ (free living) ส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก และสั้น ยกเว้นพยาธิตัวตืด ขนาดและความยาวแตกต่างกันไปตามแต่ชนิด พบยาวที่สุดกว่า 20 เมตร.

ใหม่!!: สัตว์และหนอนตัวแบน · ดูเพิ่มเติม »

หนอนนก

หนอนนก (Mealworm) เป็นชื่อสามัญที่เรียกสำหรับหนอนของแมลงปีกแข็งชนิด Tenebrio molitor ปัจจุบันนิยมเพาะเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ โดยมีความสำคัญใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะ สัตว์เลี้ยงสวยงาม เช่น ปลาสวยงาม, นกสวยงาม, สัตว์เลื้อยคลาน รวมถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กบางชนิด เช่น แฮมสเตอร์ หรือ กระรอก รูปร่างของหนอนนก เป็นหนอนที่มีเปลือก มีลำตัวยาวเรียวทรงกระบอกสีน้ำตาลอมเขียว เมื่อโตเต็มที่มีความกว้างลำตัว 0.28-3.2 มิลลิเมตร ยาว 29-35 มิลลิเมตร น้ำหนัก 0.2-0.24 กรัม มีอายุประมาณ 55-75 วัน ก่อนจะเข้าสู่ภาวะดักแด้ ซึ่งจะมีอายุในวงจรนี้ราว 5-7 วัน จากนั้นจะลอกคราบเป็นตัวโตเต็มวัย ซึ่งจะเป็นแมลงปีกแข็งลำตัวสีน้ำตาลอมดำ ซึ่งจัดเป็นแมลงศัตรูพืช มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรปในที่ ๆ ที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น ซึ่งตัวเต็มวัยจะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 3-6 เดือน ตัวเมีย 1 ตัว วางไข่ได้ 1-2 ฟอง/วัน หรือ 80-85 ฟอง/ตลอดวงจรชีวิต คุณค่าของหนอนนก คือ เป็นอาหารที่มีทั้งโปรตีนและไขมันค่อนข้างสูง โดยเฉพาะไขมัน ในปลาสวยงามบางชนิด เช่น ปลาอะโรวาน่า หากให้หนอนนกในปริมาณที่มาก ปลาจะติดใจในบางตัวอาจจะไม่ยอมกินอาหารชนิดอื่นเลยก็เป็นได้ และจะสะสมไขมันในตัวซึ่งจะนำมาซึ่งอาการตาตก นอกจากนี้แล้ว ในบางพื้นที่ ยังมีผู้รับประทานหนอนนกเป็นอาหารอีกด้วย ด้วยการทอดเช่นเดียวกับแมลงชนิดอื่น ๆ ที่รับประทานได้ ปัจจุบัน ได้มีผู้เพาะเลี้ยงหนอนนกเป็นสัตว์เศรษฐกิจ โดยโรงเรือนที่เพาะต้องเป็นสถานที่ ๆ โปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก ที่สำคัญคือ ต้องไม่ชื้น หากชื้นหนอนนกจะตายด้วยเชื้อราและไม่มีศัตรูตามธรรมชาติมารบกวน เช่น จิ้งจก, ตุ๊กแก หรือ มด ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ เมื่อซื้อหนอนนกไปแล้ว จะนิยมเก็บด้วยการเทใส่ถาดหรือถังพลาสติกที่มีความสูงพอสมควรที่หนอนนกไม่สามารถปีนออกมาได้ ปิดฝาด้วยภาชนะแบบตะแกรง อาหารที่ให้สามารถให้ได้หลากหลาย ทั้ง ผักชนิดต่าง ๆ อาหารปลาเม็ด หรือ รำข้าว และต้องมีตะแกรงรองพื้น เพื่อช่วยในการร่อนมูลและเปลือกของหนอนนกที่ถ่ายออกมาด้วย นิยมขายปลีกกันที่ขีดละ 40-80 บาท กิโลกรัมละ 300-500 บาท.

ใหม่!!: สัตว์และหนอนนก · ดูเพิ่มเติม »

หนู

หนู เป็นสกุลของสัตว์ฟันแทะ ที่อยู่ในวงศ์ Muridae ใช้ชื่อสกุลว่า Rattus มีการกระจายพันธุ์อยู่ในซีกโลกที่เรียกว่า "โลกเก่า" อันได้แก่ ทวีปเอเชีย, ยุโรป และแอฟริกา ตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 2–3 เดือน ในขณะที่ตัวผู้อายุ 3 เดือนขึ้นไป.

ใหม่!!: สัตว์และหนู · ดูเพิ่มเติม »

หนูบ้าน

หนูบ้าน, หนูนอร์เวย์, หนูสีน้ำตาล หรือ หนูท่อ เป็นหนูชนิดที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด เพราะเป็นหนูชนิดที่กระจายพันธุ์ไปอยู่ทั่วโลก พบได้ทุกสภาพแวดล้อม รวมถึงบ้านเรือนที่อาศัยของมนุษย์ สันนิษฐานว่าหนูบ้านกระจายพันธุ์มาจากประเทศนอร์เวย์ในภูมิภาคสแกนดิเนเวียที่เป็นแหล่งกำเนิดดั้งเดิม ไปทั่วทุกมุมโลกจากการติดไปกับเรือขนส่งสินค้าในยุควิคตอเรีย ซึ่งมันสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทุกรูปแบบได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีอัตราการสืบพันธุ์ที่สูงและทักษะในการเอาตัวรอดที่เยี่ยมอีกด้วย หนูบ้านจัดได้ว่าเป็นหนูชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุล Rattus มีน้ำหนักโดยเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 300-350 กรัม (ในบางตัวอาจหนักได้ถึง 400 กรัม) ขนาดลำตัวและหัวยาวประมาณ 180-250 มิลลิเมตร หางยาวประมาณ 150-220 มิลลิเมตร เท้าหลังยาวประมาณ 35-40 มิลลิเมตร หูยาวประมาณ 17-23 มิลลิเมตร ลักษณะขนหยาบมีสีน้ำตาลปนเทา ท้องสีเทา ส่วนจมูกทู่ ใบหูเล็ก ตาเล็ก หางสั้นมี 2 สี ด้านบนสีดำ ด้านล่างสีจาง มีเกล็ดหยาบ ๆ ที่หาง และด้านบนของเท้าหลังมีสีขาว มีเต้านมรวม 6 คู่ อยู่ที่อก 3 คู่ ท้อง 3 คู่ ถ้าอยู่ในชุมชนของมนุษย์ มักอยู่ตามรูท่อระบายน้ำ ใต้ถุนตึกหรือบ้านเรือน บริเวณลำคลอง กองขยะหรือตลาดสด สามารถผสมพันธุ์และออกลูกได้ตลอดทั้งปี โดยออกลูกปีละ 4-7 ครอก ลูกหนึ่งครอกมีจำนวน 8–12 ตัว เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 3-5 เดือน เมื่อผสมแล้วจะตั้งท้องเพียง 21-22 วัน เป็นสัตว์ที่กินอาหารได้แทบทุกอย่างและกินไม่เลือก รวมถึงมีพฤติกรรมกินซากพวกเดียวกันเองด้วย แม้จะไม่พบบ่อยมากนัก มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 2 ปี ให้ลูกได้ตลอดทั้งชีวิต 6-10 ครอก จัดเป็นสัตว์ที่สร้างความรำคาญและเป็นพาหะนำโรคระบาดร้ายแรงที่ทำให้ถึงชีวิตมาสู่มนุษย์ได้อย่างมากที่สุดชนิดหนึ่ง เช่น กาฬโรค ที่เคยระบาดอย่างรุนแรงมาแล้วในทวีปยุโรปในยุคกลาง ที่เรียกว่า ความตายสีดำ (Black Death) และโรคอื่น ๆ อีก เช่น โรคฉี่หนู หรือ เลปโตสไปโรซ.

ใหม่!!: สัตว์และหนูบ้าน · ดูเพิ่มเติม »

หนูฟาน

หนูฟาน (Rajah rat, Spiny rat, สกุล: Maxomys) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Maxomys จัดอยู่ในวงศ์ Murinae ในวงศ์ใหญ่ Muridae หนูฟาน มีลักษณะทั่วไปเหมือนกับหนูในสกุล Rattus คือ หนูที่พบได้ตามบ้านเรือนทั่วไป มีขนาดปานกลางถึงขนาดเล็ก พบได้ทั่วไปในหลากหลายภูมิประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในบ้านเรือน, ชุมชนใกล้ชายป่า, ป่าทึบ, ป่าละเมาะ หรือพื้นที่เกษตรกรรม เช่น นาข้าว หรือยุ้งฉาง ในอดีต หนูฟานเคยถูกจัดให้เป็นสกุลย่อยของสกุล Rattus แต่ปัจจุบันได้ถูกจัดให้เป็นสกุลของตนเองร่วมกับสกุล Niviventer และสกุล Leopoldamys โดยนักอนุกรมวิธานในปี ค.ศ. 1979 หนูฟาน ในปัจจุบันได้มีการอนุกรมวิธานไว้ 17 ชนิด (ดูในตาราง) โดยมี 2 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย คือ หนูฟานเหลือง (M. surifer) และหนูฟานสีน้ำตาล (M. rajah).

ใหม่!!: สัตว์และหนูฟาน · ดูเพิ่มเติม »

หนูฟานเหลือง

หนูฟานเหลือง (Red spiny rat, Yellow rajah rat) เป็นหนูชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Murinae ในวงศ์ใหญ่ Muridae หนูฟานเหลือง เป็นหนูขนาดกลาง มีจมูกยาว ขนมีความอ่อนนุ่ม ด้านหลังมีขนแข็งแซมสีดำ ทำให้ขนบริเวณหลังมีสีน้ำตาลเหลืองปนดำ ด้านท้องสีขาว หางมีสีค่อนข้างดำ ปลายหางสีขาว ตัวเมียมีเต้านม 4 คู่ มีขนาดความยาวตั้งแต่หัวจรดโคนหาง 18.8 เซนติเมตร และความยาวหาง 18.5 เซนติเมตร มีน้ำหนักราว 155 กรัม หนูฟานเหลือง จัดได้ว่าเป็นหนูที่มีความเชื่องช้า หากินตามพื้นดินในเวลากลางคืน โดยไม่ขึ้นต้นไม้ กินอาหารแทบทุกอย่างที่พบได้ตามพื้นดิน ผสมพันธุ์และออกลูกในช่วงฤดูฝนครั้งละ 4-6 ตัว ตั้งท้องนาน 28 วัน พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ในป่าดิบ, ป่าละเมาะ และแม้แต่สวนผลไม้ แต่จะหาได้ยากตามบ้านเรือน ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภูม.

ใหม่!!: สัตว์และหนูฟานเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

หนูพุก

หนูพุก หรือ หนูแผง (Bandicoot rats) เป็นสกุลของสัตว์ฟันแทะในวงศ์ Murinae ในวงศ์ใหญ่ Muridae ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bandicota (มาจากภาษาเตลูกู คำว่า pandikokku หมายถึง "หนูหมู") หนูพุก มีรูปร่างลักษณะทั่วไปคล้ายกับหนูทั่วไปในวงศ์ Murinae แต่ทว่ามีรูปร่างที่ใหญ่กว่าหนูในสกุล Rattus มาก และมีจุดเด่นที่มีขนสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำที่รุงรังไม่เป็นระเบียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนบริเวณหลังที่เป็นแผงแข็ง หลังตีนเป็นสีดำ หางยาวมีเกล็ดสีเดียว เป็นหนูที่มีอุปนิสัยดุร้าย เมื่อถูกคุกคามจะขู่และพร้อมที่จะกัด หนุพุก แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด พบได้ในประเทศไทย 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และหนูพุก · ดูเพิ่มเติม »

หนูหริ่ง

ระวังสับสนกับสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่กว่า: หมูหริ่ง บุคคลดูที่: สมบัติ บุญงามอนงค์ หนูหริ่ง เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) ในวงศ์ Murinae ในวงศ์ใหญ่ Muridae ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mus หนูหริ่งเป็นหนูที่มีขนาดเล็ก มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับหนูในสกุล Rattus แต่ก็ยังมีขนาดเล็กกว่า แม้แต่หนูจี๊ด (R. exulans) ซึ่งเป็นหนูที่มีขนาดเล็กที่สุดในสกุล หนูหริ่งก็ยังเล็กกว่า ตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 1–1.5 เดือน ขณะที่ตัวผู้ 1–2 เดือน หนูหริ่งเป็นหนูอีกจำพวกหนึ่งที่สามารถพบได้ทั่วไปทั้งในบ้านเรือนและในพื้นที่เกษตรกรรมด้วย ถือเป็นหนูนา ที่เป็นศัตรูพืชที่สำคัญอีกจำพวกหนึ่งรวมกับหนูในสกุลอื่น หนูหริ่งชนิดที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ หนูหริ่งบ้าน (M. musculus) ซึ่งเป็นหนูอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไปในบ้านเรือน ซึ่งเป็นชนิดที่นิยมนำมาเป็นสัตว์ทดลองในทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ และได้มีการพัฒนาสายพันธุ์จนกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลิน ในแบบที่เป็นหนูเผือกทั้งตัว หรือมีสีสันที่หลากหลายในตัวเดียว เรียกว่า "หนูถีบจักร" หรือ "หนูขาว" โดยเริ่มครั้งแรกมาจากพระราชวังในจีนและญี่ปุ่น นอกจากนี้แล้ว หนูมาซิโดเนีย (M. macedonicus) ที่แพร่กระจายพันธุ์ในภูมิภาคเมเตอร์เรเนียนและประเทศในแถบตะวันออกกลางที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยังเป็นสัตว์รังควานที่รบกวนมนุษย์มานานแล้วถึง 15,000 ปี ซึ่งเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ เป็นยุคก่อนที่มนุษย์จะรู้จักการเพาะปลูกเสียอีก โดยเข้ามาหาอาหารถึงในชุมชนมนุษย์ โดยมีหลักฐานเป็นฟอสซิลฟันของหนูชนิดนี้นับพันตัว ปัจจุบันได้มีการอนุกรมวิธานหนูหริ่งไว้ประมาณ 38 ชนิด ในประเทศไทยพบทั้งหมด 6 ชนิด นอกจากหนูหริ่งบ้านแล้ว ยังมี หนูหริ่งใหญ่ (M. cookii), หนูหริ่งนาหางสั้น (M. cervicolor), หนูหริ่งนาหางยาว (M. caroli), หนูหริ่งป่าใหญ่ขนเสี้ยน (M. shotridgei) และหนูหริ่งป่าเล็กขนเสี้ยน (M. pahari).

ใหม่!!: สัตว์และหนูหริ่ง · ดูเพิ่มเติม »

หนูหริ่งบ้าน

หนูหริ่งบ้าน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) ในวงศ์หนู (Muridae) หนูหริ่งบ้านจัดเป็นหนูที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักตัวเมื่อโตเต็มที่ทั้งตัวผู้และตัวเมียประมาณ 30-40 กรัม มีขนสีน้ำตาลอ่อนตลอดทั้งลำตัว ส่วนท้องสีขาว ไม่มีขนที่หาง ขาหน้ามี 4 นิ้ว ขาหลังมี 5 นิ้ว ตัวเมียมีเต้านม 10 เต้า มีอายุขัยประมาณ 1.5-3 ปี หนูหริ่งบ้านเป็นสัตว์ที่มีความปราดเปรียวว่องไว ออกหากินในเวลากลางคืน โดยกินอาหารได้แทบทุกอย่างเช่นเดียวกับหนูทั่วไป และจัดเป็นหนูอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ตามบ้านเรือนของมนุษย์ มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางมาก โดยพบแทบทุกมุมของโลกและทุกทวีป แต่เชื่อว่า ดั้งเดิมเป็นสัตว์ที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย ก่อนจะกระจายไปทั่วโลกอย่างในปัจจุบัน หนูหริ่งบ้านเป็นหนูชนิดที่ได้รับความนิยมในการนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง โดยมีการปรับปรุงพัฒนาสายพันธุ์โดยชาวจีนและชาวญี่ปุ่นจนกลายเป็นหนูเผือกทั้งตัว ตาสีแดง และพัฒนาจนเป็นสีต่าง ๆ ตามลำตัว โดยแรกเรี่มเลี้ยงกันในพระราชวัง และเป็นหนูชนิดที่นิยมเป็นสัตว์ทดลองและเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารเลี้ยงแก่สัตว์เลื้อยคลาน.

ใหม่!!: สัตว์และหนูหริ่งบ้าน · ดูเพิ่มเติม »

หนูหิน

หนูหิน (Laotian rock rat; ลาว: ຂະຍຸ; ข่าหนู, ขะหยุ) เป็นสัตว์ฟันแทะชนิดหนึ่ง ที่เพิ่งได้รับการอนุกรมวิธานและค้นพบเจอเมื่อปี ค.ศ. 2005 หนูหิน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Laonastes aenigmamus (เป็นภาษาละติน คำแรกมีความหมายว่า "ผู้อาศัยอยู่ในหิน" และคำหลังหมายถึง "หนูประหลาด") มีความยาวตลอดทั้งตัวประมาณ 40 เซนติเมตร มีรูปร่างคล้ายหนู มีขนปกคลุมลำตัวสีเทาเข้ม แต่มีหางเป็นพวงเหมือนกระรอก และเท้าเป็นพังผืดคล้ายอุ้งเท้าของเป็ด ส่วนเท้าหลังแผ่ออกกว้างเป็นรูปตัววี ทำมุมกับลำตัว ทำให้เดินอุ้ยอ้ายเชื่องช้าและไม่สามารถป่ายปีนได้ มีหนวดยาวและนัยน์ตากลมมน ออกหากินในเวลากลางคืน และไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ ปัจจุบันพบในเขตภูเขาหินปูนแขวงคำม่วน ประเทศลาวเพียงแห่งเดียวเท่านั้น และถือเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Laonastes หนูหิน จัดได้ว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตชนิดหนึ่ง ที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นในวงศ์เดียวกันนั้นได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วตั้งแต่เมื่อ 11 ล้านปีก่อน โดยมีหลักฐานเป็นซากดึกดำบรรพ์พบในมณฑลซานตง ทางตอนใต้ของประเทศจีน หนูหินนั้นเป็นสัตว์ที่ชาวพื้นเมืองรับประทานเป็นอาหารโดยปกติอยู่แล้ว แต่ว่าเพิ่งจะมาเป็นรู้จักของชาวโลกในกลางปี..

ใหม่!!: สัตว์และหนูหิน · ดูเพิ่มเติม »

หนูผี

หนูผี (Shrews) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง อยู่ในอันดับตุ่น (Soricomorpha) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Soricidae ครั้งหนึ่ง หนูผีเคยถูกจัดให้อยู่ในอันดับสัตว์กินแมลง (Insectivora) หนูผี มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับหนู ซึ่งเป็นสัตว์ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) ซึ่งเป็นสัตว์คนละอันดับมาก แต่ทว่ามีขนาดเล็กกว่ามาก มีฟันที่แหลมคมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด สามารถเขียนเป็นสูตรได้ว่า ตามลำตัวมีขนที่อ่อนนุ่มสีคล้ำปกคลุม ตาและใบหูมีขนาดเล็กมากฝังอยู่ในขน ดังนั้นตาและหูของหนูผีใช้การไม่ค่อยดี จึงอาศัยประสาทการดมกลิ่นจากจมูกเป็นหลัก โดยมักจะกระดุกกระดิกจมูกสอดส่ายหากลิ่นตามพื้นดิน หรือบางครั้งก็ชูขึ้นสูดกลิ่นในอากาศ หนูผี โดยขุดรูตื้น ๆ อยู่ในดินหรือซุกซ่อนในพงหญ้า กินอาหารหลักจำพวก แมลง และอาจมีเมล็ดพืชบ้าง หนูผีเป็นสัตว์ที่มีระบบการเผาผลาญอาหารสูงมาก ดังนั้น จึงจะหากินอยู่ตลอดเวลา ด้วยการหากิน 3 ชั่วโมง และนอนหลับ 3 ชั่วโมง เป็นเช่นนี้สลับกันไปตลอด หากไม่เช่นแล้ว อาจทำให้ถึงตายได้ หนูผี เป็นสัตว์ที่มีอุปนิสัยดุร้าย มักกัดกันเองเสมอ ๆ โดยหากเมื่อต่อสู้กันแล้ว มักจะขู่ศัตรูด้วยการยืนด้วยสองขาหลังส่งเสียงร้องแหลมเล็กให้หนีไป หากได้กัดแล้ว จะกัดด้วยการกัดที่หางและขาหลังของกันและกันเป็นวงกลมเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงดังข่มขู่กันตลอด หนูผี บางชนิดเมื่อกัดแล้วมีพิษ และถือเป็นสัตว์ที่มีต่อมน้ำพิษที่มีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงอยู่ใต้ผิวหนัง ดังนั้น หนูผีจึงมักไม่ค่อยตกเป็นอาหารของสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ ยกเว้นนกเค้าแมว หนูผี ทำรังด้วยใบไม้และฟาง ออกลูกครอกละ 5-8 ตัว ปีหนึ่ง ๆ อาจออกได้หลายครอก ลูกอ่อนจะสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้เมื่อมีอายุได้ 5 สัปดาห์ แต่หนูผีมักมีอายุสั้นไม่เกินหนึ่งปี กระจายพันธุ์ไปในทุกพื้นที่ทุกทวีปของโลก พบในหลากหลายภูมิประเทศ รวมถึงในบ้านเรือนของมนุษย์ หนูผีที่พบในบ้านจะไม่ทำลายข้าวของเหมือนเช่นหนูบ้านทั่วไป เนื่องด้วยไม่ใช่สัตว์ฟันแทะ แต่อาจจะมีขโมยเศษอาหารได้ ทำให้เกิดกลิ่นเหม็บสาบรุนแรง และอาจจะจับแมลงสาบกินได้ และกลิ่นเหม็นอันรุนแรงของหนูผีจะไล่หนูบ้านออกไปได้ นอกจากนี้แล้ว หนูผียังสามารถว่ายน้ำและดำน้ำได้เก่งกว่าหนูมาก โดยสามารถกลั้นหายใจใต้น้ำได้นานถึง 20 วินาที เพื่อจับสัตว์น้ำต่าง ๆ เช่น หอย หรือตัวอ่อนของแมลงปอ กินเป็นอาหาร หนูผี ในปัจจุบันนี้พบแล้วกว่า 385 ชนิด ใน 26 สกุล แบ่งออกได้เป็นวงศ์ย่อยได้ 3 วงศ์ (ดูในตาราง)สำหรับชนิดที่พบได้ในประเทศไทยมีหลายชนิด อาทิ หนูผีบ้าน (Suncus murinus), หนูผีจิ๋ว (S. etrusucs), และชนิดที่พบได้ในป่าและทุ่งนา เช่น หนูผีป่า (S. malayanus), หนูผีภูเขา (Crocidura monticola) เป็นต้น โดยที่ครั้งหนึ่ง หนูผีจิ๋วที่พบได้ในทวีปยุโรปและในไทยด้วย เคยเป็นสัตว์เลี้ยงลูกนมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกมาแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และหนูผี · ดูเพิ่มเติม »

หนูผีช้างหน้าเทา

หนูผีช้างหน้าเทา หรือ เซงกิหน้าเทา (Grey-faced sengi, Grey-face elephant shrew) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในอันดับหนูผีช้าง (Macroscelidea) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhynchocyon udzungwensis (/ริน-โค-ไซ-ออน-อุด-ซุง-เวน-ซิส/) มีรูปร่างโดยรวม คือ มีสีขนเป็นสีเทาและแดงสดบริเวณใบหน้า มีขนที่เบาบางและแหลม ด้านสะโพกมีขนสีดำและสีน้ำตาลอ่อน ด้านท้องและหางเป็นสีอ่อน มีฟันที่แหลมคม มีความยาวเฉลี่ย 56.4 เซนติเมตร น้ำหนักโดยเฉลี่ย 711 กรัม นับเป็นว่าเป็นหนูผีช้าง หรือ เซงกิชนิดใหญ่ชนิดหนึ่ง ถือว่าเป็นหนูผีช้างที่มีขนาดใหญ่กว่าหนูผีช้างชนิดอื่นประมาณร้อยละ 25 หนูผีช้างหน้าเทา เป็นสัตว์เฉพาะถิ่น กระจายพันธุ์อยู่เฉพาะแถบเทือกเขาอุดซุงก์วา ในประเทศแทนซาเนีย ในแอฟริกาตะวันออกเท่านั้น โดยเป็นหนูผีช้างชนิดที่ได้รับการค้นพบเป็นครั้งแรกในรอบ 126 ปี โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน 2 คน ในปี ค.ศ. 2005 และอนุกรมวิธานในเดือนมกราคม ค.ศ. 2008.

ใหม่!!: สัตว์และหนูผีช้างหน้าเทา · ดูเพิ่มเติม »

หนูผีบ้าน

หนูผีบ้าน (Asian house shrew, Grey musk shrew, Asian musk shrew) เป็นหนูผีชนิดหนึ่ง มีสีขนและหางสีเทาอมดำตลอดตัว จมูกยื่นแหลมยาว ตามีขนาดเล็กมาก มีความยาวตั้งแต่ปลายจมูกถึงรูทวารประมาณ 9-14.5 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 100 กรัม จัดเป็นหนูผีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย หนูผีบ้าน เป็นหนูผีชนิดที่สามารถพบได้ทั่วไปอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ทวีปแอฟริกาฝั่งตะวันออก และเกาะมาดากัสการ์ เรื่อยมาจนถึงอนุทวีปอินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงเอเชียตะวันออก เป็นหนูผีที่สามารถปรับตัวให้อยู่กับสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย สามารถพบได้ในที่ชุมชนของมนุษย์ หรือในบ้านเรือน เป็นสัตว์ที่กินแมลงเป็นหลัก ในประเทศไทยพบได้ทุกภูม.

ใหม่!!: สัตว์และหนูผีบ้าน · ดูเพิ่มเติม »

หนูผีจิ๋ว

หนูผีจิ๋ว หรือ หนูผีอีทรัสแคน (Dwarf shrew, Etruscan pygmy shrew) เป็นหนูผีชนิดหนึ่ง หนูผีจิ๋ว มีเท้าหลังสั้นมากและมีสีคล้ำในตัวเต็มวัย กะโหลกลาดแบน จมูกแหลมยาวมาก ตามีขนาดเล็กมาก ใบหูมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดลำตัว มีความจากหลายจมูกถึงรูทวารเพียง 4–5.6 เซนติเมตร และมีน้ำหนักเพียง 1.8 กรัม เท่านั้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกจัดให้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกมาแล้ว ก่อนจะถูกแทนที่ตำแหน่งนี้ด้วยการค้นพบค้างคาวคุณกิตติ (Craseonycteris thonglongyai) ในเวลาต่อมา หนูผีจิ๋ว มีพฤติกรรมชอบอาศัยในที่เปียกชื้นและมีหญ้าขึ้นรก หากินแมลงขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ ตามพื้นดินเป็นอาหาร ไม่จัดว่าเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองแต่อย่างใด พบกระจายพันธุ์ในทวีปยุโรป, แอฟริกาเหนือ และบางส่วนในทวีปเอเชีย สำหรับในประเทศไทย พบได้ในป่าในภาคเหนือ ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.

ใหม่!!: สัตว์และหนูผีจิ๋ว · ดูเพิ่มเติม »

หนูผีป่า

หนูผีป่า หรือ หนูเหม็น (Gymnures, Moonrats) เป็นวงศ์ย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับเฮดจ์ฮอก (Erinaceomorpha) ในวงศ์ Erinaceidae ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Galericinae เป็นวงศ์ที่แยกออกมาจากวงศ์ย่อยเฮดจ์ฮอก (Erinaceinae) ด้วยมีรูปร่างลักษณะที่ต่างกันหลายประการ สัตว์ที่อยู่ในวงศ์ย่อยนี้ มีรูปร่างโดยทั่วไปแลคล้ายหนู ซึ่งเป็นสัตว์ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) มีส่วนหัวใหญ่ ปลายจมูกและจะงอยปากแหลมยาว มีฟันที่แหลมคมและมีขนาดใหญ่ คิดเป็นสัดส่วน 1/3 ของร่างกายทั้งหมด มีขนปกคลุมร่างกายทั้งหมด หางเรียวยาวไม่มีขน เพื่อควบคุมสมดุลของร่างกายและอุณหภูมิภายในร่างกาย มีความไวในประสาทการรับกลิ่นเป็นอย่างดีมาก หนูผีป่า เป็นสัตว์ที่มีเอกลักษณ์ คือ มีกลิ่นเหม็นมากเหมือนกลิ่นแอมโมเนียโดยมีต่อมผลิตกลิ่น ปกติเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามลำพัง ยกเว้นฤดูผสมพันธุ์ เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน โดยหากินสัตว์ขนาดเล็กที่อยู่ตามพื้นดินเป็นหลัก เช่น แมลง เป็นอาหารหลัก และอาจกินสัตว์ได้อย่างอื่นได้ด้วย เช่น สัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ หรือสัตว์ฟันแทะขนาดเล็ก บางครั้งอาจกินผลไม้หรือเห็ดรา พบกระจายพันธุ์แต่เฉพาะในป่าดิบของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไม่พบในเมือง เช่น อินโดจีน, สุมาตรา, จีนและคาบสมุทรมลายู มีทั้งหมด 5 สกุล (ดูในตาราง) 8 ชนิด โดยชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ หนูเหม็น (Echinosorex gymnura) หรือสาโท ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และหนูผีป่า · ดูเพิ่มเติม »

หนูผีนาก

หนูผีนาก (Otter shrew) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ย่อย Potamogalinae ในวงศ์ Tenrecidae จัดเป็นเทนเรคจำพวกหนึ่ง เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับนากผสมกับหนูผี ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ต่างอันดับกัน เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในแอฟริกาใต้สะฮารา เป็นสัตว์ที่หากินและอาศัยในรูปแบบกึ่งน้ำกึ่งบก มีหนวดที่มีความไวต่อการสัมผัส ใช้สำหรับนำทางและหาอาหารใต้น้ำคล้ายกับนาก เคลื่อนไหวใต้น้ำโดยการเคลื่อนไหวลำตัวและหางไปด้านข้างคล้ายกับจระเข้.

ใหม่!!: สัตว์และหนูผีนาก · ดูเพิ่มเติม »

หนูผีนากยักษ์

หนูผีนากยักษ์ (Giant otter shrew) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในสกุล Potamogale หนูผีนากยักษ์ เป็นสัตว์ที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายหนูผีผสมกับนาก ซึ่งเป็นสัตว์คนละอันดับกัน แต่ความจริงแล้วเป็นเทนเรคชนิดหนึ่ง หนูผียักษ์มีใบหน้าที่แบนยาว มีดวงตาที่มีขนาดเล็ก มีหนวดแข็งที่ใช้เป็นประสาทสัมผัสเหมือนกับนากจริง ๆ มีหางแบนยาวใช้สำหรับว่ายน้ำเหมือนปลา มีใบหูกลมขนาดเล็ก ปลายจมูกที่แหลมยาวปกคลุมไปด้วยหนวดแข็งสำหรับป้องกันจมูก ขนตามลำตัวมีความหนาแน่น เป็นขนสองชั้นมีทั้งชั้นขนหยาบและขนที่อ่อนนุ่ม ด้านหลังเป็นสีน้ำตาลเข้ม และเป็นสีเหลืองหรือสีขาวที่ด้านล่างลำตัว ขนที่หางเป็นขนที่อ่อนนุ่ม หางมีความแบนข้างทำให้เมื่อว่ายน้ำในแนวนอนลำตัวจะเคลื่อนขยับไปมาด้านข้างเหมือนปลาหรือจระเข้ ขาสั้นและไม่ใช้สำหรับว่ายน้ำ ขาหลังมีผนังที่ช่วยเก็บความอบอุ่นเมื่อขึ้นจากน้ำ โดยที่นิ้วเท้าหลังนิ้วที่ 2 และ 3 ได้ลดรูปรวมกัน ขาหลังใช้สำหรับไซ้ขนหรือเช็ดตัวหลังขึ้นมาจากน้ำ หนูผีนากยักษ์ตัวเมีย มีเต้านม 2 เต้า และหน้าท้องที่ลดรูปลงสำหรับให้นมแก่ลูก มีน้ำหนักประมาณ 300-950 กรัม ความยาวส่วนหัวและลำตัวประมาณ 290-350 มิลลิเมตร และรวมความยางหาง 535-640 มิลลิเมตร หนูผีนากยักษ์ เป็นสัตว์กินเนื้อ หากินในเวลากลางคืน เป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิตแบบกึ่งน้ำกึ่งบก โดยพบแพร่กระจายพันธุ์ในแอฟริกากลางแถบตะวันตก ตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศไนจีเรีย (ป่าฝนใจกลางประเทศ เป็นต้นมา), อิเควทอเรียลกินี, กาบองและสาธารณรัฐแอฟริกากลาง, ชาด, สาธารณรัฐคองโก, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, ภาคเหนือของซูดาน, แองโกลาและแซมเบีย และมีจำนวนประชากรที่พบน้อยในป่าฝนระหว่างชายแดนเคนยาและยูกันดาTamaska, Gabriel.

ใหม่!!: สัตว์และหนูผีนากยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

หนูจี๊ด

หนูจี๊ด (อังกฤษ: Polynesian rat, Pacific rat; ชื่อวิทยาศาสตร์: Rattus exulans) เป็นหนูชนิดหนึ่งในวงศ์ Muridae วงศ์ย่อย Murinae เป็นหนูที่มีขนาดเล็กที่สุดที่อยู่ในสกุล Rattus มีขนสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ ขนชั้นนอกแข็ง หางมีสีดำเรียบสนิทมีความยาวกว่าความยาวลำตัวและหัวรวมกันเสียอีก และไม่มีขน ส่วนท้องสีขาว มีความยาวลำตัวและหัว 10.5 เซนติเมตร หางยาว 12.8 เซนติเมตร น้ำหนัก 36 กรัม ตัวเมียมีเต้านมทั้งหมด 4 คู่ 2 คู่แรกอยู่ที่หน้าอก อีก 2 คู่อยู่ที่หน้าท้อง สามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี โดยตั้งท้องนานประมาณ 21-22 วัน ตกลูกครั้งละ 7-12 ตัว ปีหนึ่งสามารถออกลูกได้ราว 5-6 ครอก อายุขัยมากที่สุดที่พบประมาณ 6 ปี หนูจี๊ด เป็นหนูที่สามารถพบได้ทั่วไปตามบ้านเรือน พื้นที่เกษตรกรรมเช่น โรงนา, ยุ้งฉาง แต่กลับไม่พบในที่นา และสามารถพบได้ในป่าและถ้ำ เป็นหนูที่มีพฤติกรรมว่องไวมาก ทำรังโดยไม่ขุดรู สามารถปีนป่ายและกระโดดได้เก่ง สามารถไต่ไปตามเส้นลวดที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางแคบ ๆ ได้เป็นระยะทางหลายเมตร โดยใช้หางที่ยาวนั้นช่วยทรงตัวและเกาะเกี่ยว ว่ายน้ำเก่ง กินอาหารได้แทบทุกชนิด และกินอาหารตามที่มนุษย์กินได้ด้วย โดยกินมากเป็นน้ำหนักประมาณ 10 เท่าของน้ำหนักตัวต่อวัน พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์จนถึงภูมิภาคออสตราเลเชีย, โอเชียเนีย จนถึงฮาวายและโพลินีเซีย โดยมีชื่อเรียกในภาษาเมารีว่า kiore จัดเป็นหนูชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ตามบ้านเรือนเช่นเดียวกับ หนูท้องขาว (R. rattus) และหนูบ้าน (R. norvegicus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน.

ใหม่!!: สัตว์และหนูจี๊ด · ดูเพิ่มเติม »

หนูท้องขาว

หนูท้องขาว หรือ หนูดำ หรือ หนูนาท้องขาว (Roof rat, Black rat) เป็นหนูที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rattus rattus อยู่ในวงศ์ Muridae จัดเป็นหนูที่พบได้ในบ้านเรือนของมนุษย์หนึ่งในสามชนิด ร่วมกับ หนูบ้าน (R. norvegicus) และหนูจี๊ด (R. exulans) เป็นหนูขนาดกลาง ใบหูใหญ่ ขนตามลำตัวด้านสีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลแดงหรือสีดำ ขนท้องสีขาว มีลายสีดำเล็ก ๆ ที่หน้าอก หางสีดำมีความยาวพอ ๆ หรือยาวกว่าความยาวลำตัวและหัว มีเกล็ดตลอดทั้งหาง จมูกแหลมกว่าหนูบ้าน มีความยาวลำตัวและหัวประมาณ 18 เซนติเมตร ส่วนหางก็มีความยาวพอ ๆ กัน ตัวเมียมีเต้านมที่หน้าอก 2 คู่ ออกลูกปีละ 4-6 ครอก ลูกหนึ่งครอกมีจำนวน 6-8 ตัว มีระยะทางหากิน 100-150 ฟุต เป็นหนูที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย และพบกระจายพันธุ์ไปไกลจนถึงทิศตะวันออกของโรมาเนีย เป็นหนูที่ปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ชอบขึ้นและหากินบนต้นไม้ เพราะชอบกินเมล็ดพืชมากที่สุด จึงมักพบในพื้นที่เกษตรกรรมในประเทศไทยพบได้ทุกภาค โดยเฉพาะในสวนมะพร้าวหรือปาล์มน้ำมันในภาคใต้ จัดเป็นศัตรูพืชของพืชจำพวกนี้ เกษตรกรจึงใช้วิธีตามธรรมชาติกำจัดหนูเหล่านี้ โดยสร้างรังนกแสก (Tyto alba) ให้อยู่ท้ายสวน เพราะนกแสกจะกินหนูโดยเฉพาะหนูท้องขาวเป็นอาหารหลัก ถ้าอาศัยอยู่ในบ้านก็มักจะสร้างรังบนเพดานบ้าน.

ใหม่!!: สัตว์และหนูท้องขาว · ดูเพิ่มเติม »

หนูขนเสี้ยน

หนูขนเสี้ยน (Spiny rats; สกุล: Niviventer) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Niviventer ในวงศ์ย่อย Murinae ในวงศ์ใหญ่ Muridae มีลักษณะโดยรวมเป็นหนูขนาดเล็ก สภาพทั่วไปคล้ายกับหนูในสกุล Rattus ซึ่งเดิมเคยถูกจัดให้เป็นสกุลย่อยในสกุลนี้ แต่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งปัจจุบันได้ถูกแยกออกมาเป็นสกุลต่างหากร่วมกับสกุล Maxomys และสกุล Leopoldamys โดยนักอนุกรมวิธานในปี ค.ศ. 1979 แต่มีขนที่แข็งขึ้นแซมบนลำตัวทางด้านหลัง เมื่อเอามือลูบดูจะรู้สึกตำมือคล้ายกับหนามหรือเสี้ยน อันเป็นที่มาของชื่อเรียก ความยาวหางมีขนาดความยาวพอ ๆ กับลำตัว ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานไว้ทั้งหมด 18 ชนิด (ดูในตาราง) พบในประเทศไทยทั้งหมด 6 ชนิด โดยมีชนิดที่สำคัญคือ หนูขนเสี้ยนเขาหินปูน (N. hinpoon) ซึ่งเป็นหนูที่มีการกระจายพันธุ์ในวงแคบมาก กล่าวคือ จะพบเฉพาะในถ้ำหินปูนในแถบจังหวัดภาคกลางในประเทศไทยเท่านั้น เช่น จังหวัดกาญจนบุรี, สระบุรี และลพบุรีเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และหนูขนเสี้ยน · ดูเพิ่มเติม »

หนูขนเสี้ยนเขาหินปูน

หนูขนเสี้ยนเขาหินปูน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Niviventer hinpoon; อังกฤษ: Limestone rat) เป็นสปีชีส์ของสัตว์ฟันแทะในวงศ์ Muridae อาศัยในถ้ำหินปูน พบในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ในจังหวัดอุทัยธานี, สระบุรี และลพบุรี สถานภาพปัจจุบันตามบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติว่าเป็นสัตว์ใกล้ถูกคุกคาม ในประเทศไทยจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป..

ใหม่!!: สัตว์และหนูขนเสี้ยนเขาหินปูน · ดูเพิ่มเติม »

หนูตะเภา

หนูตะเภา (Guinea pig, Cavy) เป็นสิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทฟันแทะ ชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ แถบประเทศเปรู เป็นสัตว์เลี้ยง และสัตว์ทดลองที่ได้รับความนิยม ในประเทศไทย ยังนิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หนูแกสบี โดยมักใช้กับสายพันธุ์สัตว์เลี้ยงจากต่างประเทศที่ได้รับการพัฒนา มีลักษณะภายนอกแตกต่างจากหนูตะเภาทั่วไปที่มีในประเทศไทย ไม่ปรากฏการใช้ชื่อนี้ในภาษาอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และหนูตะเภา · ดูเพิ่มเติม »

หนูเหม็น

ำหรับสาโทที่หมายถึงเครื่องดื่มประเภทสุรา ดูที่: สาโท หนูเหม็น หรือ สาโท (อังกฤษ: Moonrat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Echinosorex gymnurus จัดอยู่ในวงศ์ Erinaceidae ซึ่งจัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Echinosorex หนูเหม็น มีรูปร่างลักษณะคล้ายหนูที่อยู่ในอันดับสัตว์ฟันแทะ แต่หนูเหม็นเป็นสัตว์ที่อยู่ในอันดับเฮดจ์ฮอกเช่นเดียวกับเฮดจ์ฮอก มีขนยาวปุกปุยรุงรังสีดำแซมขาว หัวมีขนสีขาวและมีแถบดำพาดผ่านตาเห็นได้ชัดเจน ปลายปากด้านบนและดั้งจมูกยาวเรียวยื่นออกไปมากกว่าปลายริมฝีปากล่าง หางมีเกล็ดเล็ก ๆ ปกคลุมคล้ายหางหนู มีสีดำและปลายหางสีขาว พบกระจายพันธุ์อยู่ในแถบเทือกเขาตะนาวศรีในเขตพม่า และภาคใต้ของไทยตั้งแต่คอคอดกระลงไปตลอดแหลมมลายู, เกาะสุมาตรา และเกาะบอร์เนียว มีขนาดลำตัวยาว 26-45 เซนติเมตร หางยาว 20-21 เซนติเมตร มีน้ำหนัก 0.5-1.1 กิโลกรัม ถือว่าเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์และอันดับนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย คือ E.g.albus พบในตอนตะวันออกและตอนใต้ของเกาะบอร์เนียว และ E.g.cadidus พบในตอนตะวันตกของเกาะบอร์เนียว เป็นสัตว์ที่มีกลิ่นตัวเหม็นรุนแรงจึงเป็นที่มาของชื่อ ซึ่งกลิ่นตัวนี้คล้ายกับกลิ่นระเหยของแอมโมเนีย สามารถส่งกลิ่นออกไปได้ไกลเป็นระยะหลายเมตร ใช้สำหรับติดต่อกับหนูเหม็นตัวอื่น มักอาศัยอยู่ตามลำพัง ชอบอาศัยอยู่ในที่ชื้นแฉะตามป่าดิบชื้น เช่น ป่าโกงกาง, ป่าตามพื้นที่ราบเชิงเขา โดยเฉพาะตามหุบเขาที่มีป่ารกทึบ ติดกับลำธารที่มีน้ำไหลผ่าน ซึ่งเหมาะเป็นแหล่งในการหาอาหารได้สะดวก เป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน อาหาร ได้แก่ หนอน, ด้วง และแมลงต่าง ๆ, ไส้เดือนดิน สามารถที่จะล่าสัตว์เล็ก ๆ กิน เช่น ลูกกบ, เขียด, กุ้ง, ปู, ปลา และหอย ได้ด้วย กลางวันจะพักอาศัยหลบซ่อนอยู่ในรูดิน โพรงไม้และตามซอกใตัรากไม้ในป่าทั่วไป มีฤดูผสมพันธุ์ตลอดทั้งปี ๆ ละ 2 ครอก มีลูกครอกละ 2 ตัว มีนิสัยค่อนข้างดุร้าย ปัจจุบันเป็นสัตว์ที่หายาก มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากสภาพพื้นที่ ๆ อยู่อาศัยถูกทำลาย และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 หนูเหม็น มีความเชื่อมาแต่โบราณว่า หากเก็บกระดูกไว้จะสามารถแก้เสน่ห์ยาแฝดหรือมนต์ดำได้.

ใหม่!!: สัตว์และหนูเหม็น · ดูเพิ่มเติม »

หน่วยรับที่จับคู่กับจีโปรตีน

รงสร้างแบบ α-helix โดยมีโดเมนข้ามเยื่อหุ้มเซลล์ 7 โดเมนของ G protein-coupled receptor หน่วยรับที่จับคู่กับจีโปรตีน (G protein-coupled receptors ตัวย่อ GPCRs) ที่มีชื่ออื่น ๆ อีกว่า seven-(pass)-transmembrane domain receptors, 7TM receptors, heptahelical receptors, serpentine receptor, และ G protein-linked receptors (GPLR), เป็นกลุ่ม (family) โปรตีนหน่วยรับ (receptor) กลุ่มใหญ่ ที่ตรวจจับโมเลกุลนอกเซลล์ แล้วจุดชนวนวิถีการถ่ายโอนสัญญาณ (signal transduction) ภายในเซลล์ ซึ่งในที่สุดมีผลเป็นการตอบสนองของเซลล์ เป็นหน่วยรับที่จับคู่กับจีโปรตีน (G protein) ที่เรียกว่า seven-transmembrane receptor เพราะมีโครงสร้างที่ข้ามผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ถึง 7 ครั้ง GPCRs จะพบแต่ในยูแคริโอตรวมทั้งยีสต์, choanoflagellate, และสัตว์ ลิแกนด์ที่จับและเริ่มการทำงานของหน่วยรับเช่นนี้รวมทั้งสารประกอบไวแสง กลิ่น ฟีโรโมน ฮอร์โมน และสารสื่อประสาท โดยมีขนาดต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่โมเลกุลเล็ก ๆ จนถึงเพปไทด์และโปรตีนขนาดใหญ่ GPCRs มีบทบาทในโรคหลายอย่าง และเป็นเป้าหมายการออกฤทธิ์ของยาปัจจุบันประมาณ 34% มีวิถีการถ่ายโอนสัญญาณสองอย่างเกี่ยวกับ GPCRs คือ.

ใหม่!!: สัตว์และหน่วยรับที่จับคู่กับจีโปรตีน · ดูเพิ่มเติม »

ห่าน

ห่าน จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์ปีก เป็นสัตว์ที่มนุษย์นิยมนำมาเลี้ยงเพื่อเฝ้าบ้าน หรือกำจัดวัชพืชในสวน และนำมาเลี้ยงเพื่อบริโภคเป็นอาหาร ห่าน จัดเป็นนกขนาดใหญ่ที่อยู่ในวงศ์ Anatidae อันเป็นวงศ์เดียวกับเป็ด, หงส์ และนกเป็ดน้ำชนิดต่าง ๆ ห่านมีลักษณะทั่วไปคล้ายกับหงส์ แต่หงส์มีขนาดใหญ่กว่า และมีจุดเด่น คือ ในตัวผู้เมื่อถึงวัยโตเต็มที่แล้วจะมีปุ่มเนื้อแข็งหรือโหนกบริเวณก่อนถึงจะงอยปากตอนบน เด่นเห็นได้ชัดเจน ห่าน แบ่งออกได้เป็น 3 สกุล ด้วยกัน (ดูในตาราง) แต่ในส่วนในประเทศไทยที่กลายมาเป็นต้นสายพันธุ์ห่านที่เลี้ยงกันในเชิงพาณิชย์อย่างในปัจจุบัน ได้แก่ ห่านเทาปากชมพู (Anser anser) และห่านเทาปากดำ (A. cygnoides) ห่าน เป็นสัตว์ที่นิยมเลี้ยงกันในเชิงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ด้วยว่ามีตัวใหญ่ มีเนื้อในปริมาณที่มาก นิยมปรุงเป็นอาหารต่าง ๆ เช่น ขาห่านอบหม้อดินกับเส้นบะหมี่ในอาหารจีน และชาวจีนมีความเชื่อว่า หากไหว้เจ้าด้วยห่านจะส่งผลให้ลูกหลานรับราชการเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดี.

ใหม่!!: สัตว์และห่าน · ดูเพิ่มเติม »

ห่านหัวลาย

ห่านหัวลาย (Bar-headed goose) เป็นสัตว์ปีกจำพวกห่านชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Anatidae มีลักษณะทั่วไป คือ มีขนตามร่างกายเป็นสีเทาอ่อน ส่วนหัวมีสีขาวมีแถบสีดำพาดจากหางตาขึ้นไปที่กระหม่อม และมีแถบสีดำอีกเส้นหนึ่งที่ท้ายทอย อันเป็นที่มาของชื่อ คอสีเทาเข้มและมีแถบสีขาวตามแนวยาวของคอต่อกับสีขาวของหัว สีข้างเป็นลายขวางสีดำ หางสีขาวและตรงกลางคาดแถบสีเทา ปากสีส้มถึงเหลือง นิ้วสีเหลือง ตัวที่ยังโตไม่เต็มวัยมีสีเทาเช่นเดียวกับตัวที่โตเต็มวัย แต่บริเวณกระหม่อมและท้ายทอยเป็นสีดำตัดกับหน้าผากสีขาว หน้าและลำคอส่วนที่เหลือสีขาว สีข้างไม่มีลาย ลำตัวด้านล่างมีลายแต้มสีน้ำตาลแดง มีการแพร่กระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียกลางในหลายประเทศ และในฤดูหนาวจะอพยพข้ามเทือกเขาหิมาลัยไปสู่ที่ราบลุ่มที่อบอุ่นกว่าในปากีสถานและอินเดีย โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทำให้เชื่อกันว่าเป็นนกที่บินได้สูงที่สุดในโลก โดยเคยพบว่าบินได้สูงถึง 30,000 ฟุต (ประมาณ 9 กิโลเมตร) และสามารถบินได้สูงกว่านี้อีกเท่าตัว เพราะเลือดของห่านหัวลายสามารถดูดซับออกซิเจนได้ดีกว่านกชนิดอื่น ๆ จึงทำให้สามารถบินในระดับความสูงที่มีออกซิเจนเพียงเบาบางได้ ห่านหัวลาย มีพฤติกรรมมักรวมกันเป็นฝูงใหญ่ อาจถึงขั้นเป็นร้อยตัว ห่านหัวลายมักจะทำลายพืชไร่ชนิดต่าง ๆ ด้วยการกัดกินเป็นอาหาร เช่น ข้าวฟ่าง, ข้าวโพด โดยเฉพาะยอดอ่อน ออกหากินในเวลากลางคืน ขณะที่กลางวันจะนอนหลับพักผ่อน ด้วยการยืนนิ่ง ๆ ในแหล่งน้ำตื้น ๆ แพร่ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ประมาณ 3-8 ฟองในรังใกล้ ๆ ทะเลสาบบนภูเขา การจำแนกห่านชนิดนี้ออกจากห่านชนิดอื่นในสกุล Anser สามารถทำได้ง่าย โดยดูจากแถบสีดำบนหัว และมีขนสีซีดจางกว่าห่านชนิดอื่นในสกุลเดียวกัน ห่านหัวลาย โดยปกติแล้ว ไม่ใช่นกประจำถิ่นของไทย แต่จะเป็นนกอพยพ ที่หาได้ยาก มีสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และห่านหัวลาย · ดูเพิ่มเติม »

ห่านแคนาดา

ห่านแคนาดา เป็นห่าน ที่มีหน้าและลำคอสีดำ มีหย่อมสีขาวบนในหน้าและมีลำตัวสีน้ำตาลเทา อาศัยอยู่ในแถบอาร์กติก และพื้นที่อุณหภูมิปานกลางของทวีปอเมริกาเหนือ พวกมันอพยพไปยังยุโรปตอนเหนือเป็นครั้งคราว ซึ่งสามารถพบมันในสหราชอาณาจักร, นิวซีแลนด์ และภูมิภาคอื่นๆที่มีอากาศพอเหม.

ใหม่!!: สัตว์และห่านแคนาดา · ดูเพิ่มเติม »

ห่านเทาปากดำ

ห่านเทาปากดำ หรือ ห่านคอขาว (Swan goose) เป็นห่านขนาดใหญ่ มีน้ำหนักประมาณ 4-5 กิโลกรัม ลำตัวสีเทา ปากสีดำ เล็บสีดำ ลำคอยาว มีการกระจายพันธุ์ในประเทศมองโกเลีย, เหนือสุดของประเทศจีน, และทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศรัสเซียซึ่งเป็นแหล่งผสมพันธุ์วางไข่ และอพยพหนีหนาวไปภาคกลางและภาคตะวันออกของจีน เป็นพวกนกผลัดหลงในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี พบเห็นได้ยากในประเทศคาซัคสถาน, ลาว, ชายฝั่งไซบีเรีย, ไต้หวัน, ไทย และ อุซเบกิสถานMadge & Burn (1987), Carboneras (1992) มีลักษณะคล้ายห่านบ้าน ซึ่งเป็นชนิดย่อยของห่านชนิดนี้ และถือเป็นต้นสายพันธุ์ของห่านบ้านในปัจจุบันBuckland, R., & Guy, G. (2002).

ใหม่!!: สัตว์และห่านเทาปากดำ · ดูเพิ่มเติม »

อก

ปรียบเทียบอกของมนุษย์และมด แผนภาพของแมลงดูดเลือด แสดงส่วนหัว อก และท้อง อก (อังกฤษ: thorax) เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของสัตว์ที่อยู่ระหว่างศีรษะและท้อง ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม อกเป็นบริเวณของร่างกายที่เกิดจากกระดูกอก (sternum), กระดูกสันหลังส่วนอก (thoracic vertebra), และกระดูกซี่โครง (rib) นับตั้งแต่คอไปจนถึงกะบังลม แต่ไม่รวมถึงรยางค์บน (upper limb) อวัยวะที่สำคัญที่อยู่ภายในช่องอกเช่น หัวใจ, ปอด รวมถึงหลอดเลือดจำนวนมากมาย อวัยวะภายในช่องอกจะถูกปกป้องด้วยกระดูกซี่โครงและกระดูกอก ไตรโลไบต์แบ่งร่างกายออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ หัว (cephalon) ซึ่งมีตา, ส่วนปาก และอวัยวะรับความรู้สึก เช่น หนวด (antennae), ส่วนอกซึ่งแบ่งเป็นปล้องๆ (ในบางชนิด การเป็นปล้องช่วยให้สามารถม้วนตัวได้), ส่วนหาง หรือ pygidium สำหรับในแมลงและไตรโลไบต์ (trilobite) ซึ่งเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว อกเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณหลักๆ 3 ส่วน (tagmata) ของร่างกายซึ่งแบ่งออกได้เป็นปล้องย่อยๆ อีกหลายปล้อง บริเวณนี้จะเป็นบริเวณที่มีปีกและขายึดเกาะหรือเป็นบริเวณแผ่นข้อต่อหลายแผ่นในไตรโลไบต์ ในแมลงส่วนใหญ่ อกจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ prothorax, mesothorax, และ metathorax ในแมลงที่มีอยู่ในปัจจุบัน ส่วน prothorax จะไม่มีปีกแต่จะมีขาในตัวเต็มวัย ส่วนปีกจะมีอยู่บ้างในส่วนของ mesothorax และโดยทั่วไปจะอยู่ที่ metathorax แต่ปีกอาจจะลดรูป หรือเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่เฉพาะ (เช่นในแมลงวัน ปีกในปล้อง metathorax จะลดรูปเป็นอวัยวะช่วยในการทรงตัวเล็กๆ ชื่อว่า halteres) แมลงในอันดับย่อย Apocrita ในอันดับแตนจะมีท้องปล้องแรกรวมกับ metathorax เป็นโครงสร้างที่เรียกว่า propodeum ดังนั้นแมลงในอันดับย่อยนี้ อกจะประกอบไปด้วย 4 ปล้อง เรียกส่วนอกใหม่ว่า mesosoma ส่วนอกของแมลงสามารถแบ่งย่อยออกเป็นส่วนต่างๆ หลากหลาย ที่สำคัญได้แก่ส่วนหลัง (notum), ส่วนข้าง (pleuron มีอยู่ข้างละ 1 อัน), และส่วนท้อง (sternum) ในแมลงบางชนิดส่วนต่างๆ เหล่านี้จะประกอบด้วยแผ่นโครงกระดูกภายนอกอิสระ 1 อันหรือหลายอันโดยมีเยื่อแผ่นระหว่างกันเรียกว่า sclerites.

ใหม่!!: สัตว์และอก · ดูเพิ่มเติม »

อลาโมซอรัส

อลาโมซอรัส (Alamosaurus) เป็นหนึ่งในไดโนเสาร์ซอโรพอดชนิดสุดท้าย ค้นพบฟอสซิลที่อเมริกาเหนือ ยาวประมาณ 25 เมตร อาศัยอยู่ในปลายยุคครีเทเชียส เมื่อประมาณ 66 ล้านปีก่อน กินพืชเป็นอาหาร รักสงบ หนัก 30 ตัน มีหัวคล้ายกับคามาราซอรัส หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส.

ใหม่!!: สัตว์และอลาโมซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

อวัยวะ

อวัยวะ เป็นกลุ่มของเนื้อเยื่อที่มีหน้าที่คล้ายกัน พืชและสัตว์ต้องพึ่งอวัยวะหลายชิ้นในระบบอวัยวะ หน้าที่ของระบบอวัยวะมักจะมีหน้าที่ทับซ้อนกัน เช่น ไฮโปทาลามัส (hypothalamus) เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ทั้งในระบบประสาท (nervous system) และระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine system) ทำให้การศึกษาทั้งสองระบบมักจะทำร่วมกันเรียกว่า ระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ (neuroendocrine system) เช่นเดียวกันกับ ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก (musculoskeletal system) ซึ่งเป็นความเกี่ยวข้องกันระหว่างระบบกล้ามเนื้อ (muscular system) และ ระบบโครงกระดูก (skeletal system).

ใหม่!!: สัตว์และอวัยวะ · ดูเพิ่มเติม »

ออมนิทริกซ์

ออมนิทริกซ์ (Omnitrix) เป็นอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว จากการ์ตูนทีวีแอนิเมชันของประเทศสหรัฐอเมริกาเรื่องเบ็นเท็น มีลักษณะคล้ายๆกับกำไลข้อมือ ซึ่งเบ็น ตัวเอกของเรื่องหรือตัวละครอื่นๆในเรื่อง ใช้มันเปลี่ยนร่างเป็นเอเลี่ยนที่ถูกเก็บอยู่ข้างใน ซึ่งนิสัยมักจะนึกคิดของตัวเองอยู่เสมอ.

ใหม่!!: สัตว์และออมนิทริกซ์ · ดูเพิ่มเติม »

ออริกซ์

ออริกซ์ (oryx) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกีบคู่เคี้ยวเอื้อง จำพวกแอนทิโลปหรือกาเซลล์ พบกระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกาและคาบสมุทรอาหรับ มีลักษณะเด่น คือ เป็นแอนทิโลปขนาดใหญ่ และมีเขาที่บิดเป็นเกลียวยาวแหลม เห็นได้ชัดเจน มีใบหน้ารวมถึงลำตัวช่วงขาที่เป็นลายสีเส้นดำพาดผ่าน ขณะที่ตามลำตัวเป็นสีขาวหรือสีสว่าง.

ใหม่!!: สัตว์และออริกซ์ · ดูเพิ่มเติม »

ออร์นิทิสเกีย

ออร์นิทิสเกีย (Ornithischia) เป็นการจัดอันดับของสัตว์เลื้อยคลานที่สูญพันธุ์ไปแล้วในยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือ ไดโนเสาร์กินพืชที่มีโครงสร้างของโครงกระดูกคล้ายนก อันเป็นหนึ่งในการจัดอันดับของไดโนเสาร์อย่างใหญ่ โดยถูกจัดมาตั้งแต..

ใหม่!!: สัตว์และออร์นิทิสเกีย · ดูเพิ่มเติม »

ออร์นิโทไมมัส

ออร์นิโทไมมัส (Ornithomimus) ค้นพบที่รัฐมอนแทนา สหรัฐอเมริกา เป็นเหยื่อที่วิ่งเร็วที่สุดของทีเร็กซ์ โดยสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็ว 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขนาดประมาณ 2 เมตร อาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนปลายเมื่อประมาณ 75-65 ล้านปีก่อน.

ใหม่!!: สัตว์และออร์นิโทไมมัส · ดูเพิ่มเติม »

ออร์โธเนคทิดา

ออร์โธเนคทิดา เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:สัตว์ หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:ไฟลัม.

ใหม่!!: สัตว์และออร์โธเนคทิดา · ดูเพิ่มเติม »

ออสตราโลพิเทคัส เซดีบา

ออสตราโลพิเทคัส เซดีบา เป็นสปีชีส์ในสกุล Australopithecus จากบนพื้นฐานของซากดึกดำบรรพ์ที่พบอายุ 1.78 ถึง ปีมาแล้วในยุคไพลสโตซีน.

ใหม่!!: สัตว์และออสตราโลพิเทคัส เซดีบา · ดูเพิ่มเติม »

ออสตราโคเดิร์ม

ภาพวาดของออสตราโคเดิร์ม (เฉพาะรูปด้านบนเท่านั้น รูปด้านล่างเป็นภาพวาดของปลามีเกราะหรือพลาโคเดิร์ม ซึ่งไม่ใช่ออสตราโคเดิร์ม) ออสตราโคเดิร์ม (Ostracoderm) เป็นปลาโบราณที่สูญพันธุ์ไปแล้ว เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เกิดขึ้นเป็นกลุ่มแรกๆ พบเป็นซากฟอสซิลอายุระหว่างยุคออร์โดวิเชียนจนถึงยุคดีโวเนียน ในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป ถือเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เกิดก่อนสัตว์กลุ่มอื่นๆ ความยาวไม่เกิน 30 ซม..

ใหม่!!: สัตว์และออสตราโคเดิร์ม · ดูเพิ่มเติม »

อะมีบา

อะมีบา (อังกฤษ amoeba, ameba) เป็นโปรโตซัวสกุลหนึ่ง สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยส่วนของลำตัวที่ยื่นออกมาชั่วคราว เรียกว่าเท้าเทียม (pseudopods) และถือว่าเป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่รู้จักกันดี คำว่า อะมีบา นั้นมีการใช้หลากหลาย หมายถึงสัตว์เช่นนี้ และสัตว์จำพวกอื่นที่มีความใกล้ชิดในทางชีววิทยา ปัจจุบันจัดกลุ่มเป็น อะบีโบซัว (Amoebozoa) หรือหมายถึงโปรโตซัวทั้งหมด ที่เคลื่อนไหวได้ด้วยเท้าเทียม หรืออาจเรียกว่า อมีบอยด(amoeboids) อะมีบา เองนั้นพบได้ในน้ำจืด โดยปกติอยู่ในพืชผักที่เน่าเปื่อย จมอยู่ในลำน้ำ แต่ไม่ได้พบมากเป็นพิเศษในธรรมชาติ แท้จริงแล้วอะมีบาที่ก่อให้เกิดโรคในคนได้ เป็นอะมีบาที่อาศัยเป็นอิสระ ในธรรมชาติตามแหล่งน้ำ ดิน โคลนเลน มีด้วยกัน 2 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์เนจีเรีย ฟาวเลอรี่ (Naegleria fowleri) และสายพันธุ์อะคันธามีบา (Acantham.

ใหม่!!: สัตว์และอะมีบา · ดูเพิ่มเติม »

อะนอฟธัลมัส ฮิตเลริ

อะนอฟธัลมัส ฮิตเลริ (Anophthalmus hitleri; Hitlerjev brezokec)  คือ สปีชีส์ของด้วงถ้ำตาบอดพบได้เพียงใน 5 ถ้ำที่มีความชุ่มชื้นในประเทศสโลวีเนียเท่านั้น ด้วงถ้ำตาบอดนี้อยู่ในสกุลเดียวกับ 41 สปีชีส์อื่น และ 95 วงศ์ย่อยที่ไม่ซ้ำกัน สมาชิกของวงศ์ย่อย (Trechinae) กินสัตว์อื่นเป็นอาหารเหมือนกับวงศ์คาราบิดี้ส่วนใหญ่ ดังนั้นอะนอฟธัลมัส ฮิตเลริทั้งที่โตเต็มที่และตัวอ่อนคาดว่ากินสัตว์ในถ้ำที่เล็กกว่าเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และอะนอฟธัลมัส ฮิตเลริ · ดูเพิ่มเติม »

อะแพโทซอรัส

อะแพทโทซอรัส หรือ อะแพตโตซอรัส (Apatosarus) หรือชื่อที่คุ้นเคยกันในอดีตว่า บรอนโตซอรัส (Brontosaurus) เป็นไดโนเสาร์ยักษ์ในยุคจูแรสซิก กินพืชเป็นอาหาร เคยมีสมญาว่า ยักษ์ใหญ่ไร้พิษสง อาศัยอยู่บนโลกนี้เมือประมาณ 190-135 ล้านปีที่ผ่านมา ชื่อของไดโนเสาร์ชนิดนี้เมื่อแปลออกมาแล้วจะมีความหมายว่า "กิ้งก่าปลอม" อะแพโทซอรัสเป็นไดโนเสาร์ที่ตัวใหญ่มาก เมื่อโตเต็มที่จะยาวถึง 75 ฟุต สูงกว่า 15 ฟุต (แต่ขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยพบคือ 85 ฟุต) หางยาวอะแพโทซอรัสมีน้ำหนัก 24-35 ตัน ถูกค้นพบในยุคแรก ๆ ของสงครามล่ากระดูกไดโนเสาร์ในอเมริกา ปลายคริสศตวรรษที่ 19 (สูสีกับดิพโพลโดคัสมากนะครับ) ลักษณะตามแบบตระกูลซอโรพอด คือ คอยาว หางยาวมาก ๆ ประมาณ 23-26 เมตร หัวเล็ก ดูเผิน ๆ เหมือนกับนกไม่มีหัว ขา 4 ข้างใหญ่เหมือนเสา สามารถรับน้ำหนักตัวมันได้ แม้จะอยู่บนบก หรือ ยืน 2 ขาขึ้นเพื่อหาใบไม้อ่อนยอดสูงกิน ที่เท้าหน้าของอะแพโทซอรัสมีเล็บแหลมตรงนิ้วโป้ง ซึ่งปัจจุบันนักโบราณชีววิทยาสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นอาวุธใช้ป้องกันตัวต่อสู้กับพวกอัลโลซอรัส ด้วยการยืน 2 ขา แล้วใช้เล็บแหลมนี้ทิ่มจิกนักล่า ลักษณะที่สำคัญไดโนเสาร์ชนิดนี้มีความประหลาดมาก คือมีหัวใจ 7-8 ดวงเรียงจากอกถึงลำคอเพื่อช่วยในการสูบฉีดเลือดเพราะมีลำตัวยาวมาก นอกจากนี้ พวกนี้มีฟันรูปร่างคล้ายแท่งดินสอที่ไม่แข็งแรงเคี้ยวอะไรไม่ได้ นอกจากพืชน้ำที่นิ่มที่สุดเท่านั้น (บางข้อมูลก็เชื่อว่า มันใช้ฟันแท่งดินสอเหล่านี้รูดใบไม้อ่อนตามยอดต้นไม้กิน) หัวของมันก็เล็กจิ๋ว เมื่อเทียบกับความใหญ่โตของลำตัว สมองของอะแพโทซอรัสจึงจิ๋วตามหัวไปด้วย แต่รูจมูกของมันจะอยู่กลางกระหม่อม สันนิษฐานว่าเพื่อประโยชน์ในการใช้ชีวิตในแหล่งน้ำ ทำให้อะแพโทซอรัสสามารถดำน้ำได้นาน เพราะขณะดำน้ำ มันจะชูคอโผล่แต่กระหม่อมขึ้นมาเหนือน้ำ ส่วนตัวก็อยู่ใต้น้ำ ที่มันต้องดำน้ำก็เพราะที่อยู่ของเจ้าอะแพโทซอรัสเป็นถิ่นที่อยู่ของไดโนเสาร์กินเนื้อพันธุ์ดุร้ายมากมายนั่นเอง และใต้น้ำก็มีต้นไม้อ่อน ๆ นิ่ม ๆ ไม่เหมือนต้นไม้บนบกที่มีใบแข็ง มันจึงต้องดำน้ำหรืออยู่ใกล้แหล่งน้ำเสมอ อย่างไรก็ดี ทฤษฎีการดำน้ำของอะแพโทซอรัสหรือซอโรพอดอื่น ๆ เริ่มเป็นที่ถกประเด็นในยุคหลังว่าเป็นได้จริงแค่ไหน โดยนักชีววิทยามีความเห็นว่า หากซอโรพอดต้องหลบศัตรูโดยดำน้ำลงไปลึกเกือบ 10 เมตรจริง ลำคอและปอดของมันจะทนทานแรงกดดันของน้ำลึกได้ขนาดนั้นหรือไม่ ภาพพจน์ในอดีตของอะแพโทซอรัสถูกมองว่าเป็นยักษ์ไร้พิษสง มักจะพบภาพของมันถูกวาดให้โดนไดโนเสาร์นักล่าตะครุบขย้ำเป็นอาหาร (ในจำนวนนี้ มีมากที่เป็นภาพไทรันโนซอรัสกำลังล่าอะแพโทซอรัส ผิดจากความเป็นจริงที่ว่า เหยื่อกับนักล่า 2 พันธุ์นี้มีชีวิตอยู่คนละยุคห่างกันหลายสิบล้านปี ไม่สามารถมาเผชิญหน้ากัน) เนื่องจากลักษณะของมันไม่มีอาวุธป้องกันตัวที่เด่น เช่น เขาขนาดใหญ่แบบไทรเซอราทอปส์ หรือหนาม-ตุ้มที่หางแบบไดโนเสาร์หุ้มเกราะ แต่การค้นคว้าสมัยหลัง ๆ เชื่อว่า มันไม่ใช่เหยื่อตัวยักษ์ที่หวานหมูนักล่าขนาดนั้น ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่กว่านักล่าหลายเท่านั้นก็เป็นอุปสรรคแก่นักล่าระดับหนึ่งแล้ว เช่นเดียวกับช้างในปัจจุบัน อะแพโทซอรัสมีหางที่ยาวมากเพื่อถ่วงคานน้ำหนักกับส่วนคอที่ยาวของมัน คำนวณกันมาว่า หากไม่มีส่วนหาง อะแพโทซอรัสจะไม่สามารถยกคอมันขึ้นจากพื้นได้ นอกจากนี้ หางใหญ่ของมันยังเป็นอาวุธป้องกันตัวสำคัญใช้ฟาดอย่างแรงเมื่อถูกอัลโลซอรัสหรือนักล่าอื่น ๆโจมตี ส่วนตรงปลายหางที่เรียวเล็กก็ใช้หวดต่างแส้ได้เช่นกัน หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคจูแรสซิก.

ใหม่!!: สัตว์และอะแพโทซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

อะแคนโธเซฟาลา

อะแคนโธเซฟาลา เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จำพวกหนอนปรสิตมักรู้จักกันอีกชื่อนึงว่า อะแคนโธเซฟาลัน,หรือ หนอนหัวหนาม ลักษณะเด่นของสัตว์ชนิดนี้คือ "งวงที่มีหนาม" ซึ่งมีไว้สำหรับเจาะผนังลำไส้ของเหยื่อจำพวกปลา(พบมากใน ปลาบลูฟิช(Blue Fish)),สัตว์เลี้อยคลาน,สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หมวดหมู่:สัตว์ หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:ไฟลัม.

ใหม่!!: สัตว์และอะแคนโธเซฟาลา · ดูเพิ่มเติม »

อะแนปซิดา

อะแนปซิดา หรือ อะแนปซิด (ชั้นย่อย: Anapsida, Anapsid) เป็นชั้นย่อยของสัตว์สี่ขาในชั้นสัตว์เลื้อยคลาน (Reptilia) ชั้นหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anapsida อะแนปซิดา มีลักษณะของช่องเปิดกะโหลกที่ไม่มีช่องขมับเลย โดยกระดูกพาไรทัลที่เป็นหลังคาของกะโหลกเชื่อมต่อกับกระดูกสคาโมซัลที่อยู่ด้านข้างและกับกระดูกซูปราออคซิพิทัลที่อยู่ด้านท้ายจึงไม่มีช่องเปิดบริเวณขมับ ลักษณะของสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่ในชั้นย่อยนี้ ได้แก่ เต่า (Testudines) และสัตว์เลื้อยคลานในหลายอันดับที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ อะแนปซิดา ได้ปรากฏขึ้นมาครั้งแรกในยุคคาร์บอนิเฟอรัสจนถึงปัจจุบัน.

ใหม่!!: สัตว์และอะแนปซิดา · ดูเพิ่มเติม »

อัลปากา

อัลปากา (Alpaca; ชื่อวิทยาศาสตร์: Vicugna pacos) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในวงศ์อูฐ (Camelidae) มีลักษณะคล้ายคลึงกับตัวยามา อัลปากาเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูง พบได้ในที่สูงบริเวณแถบเทือกเขาแอนดีสในทวีปอเมริกาใต้ซึ่งได้แก่ ตอนใต้ของประเทศเปรู ตอนเหนือของประเทศโบลิเวีย ประเทศเอกวาดอร์ และตอนเหนือของประเทศชิลี อัลปากาเป็นสัตว์ที่มีความทรหดอดทนมาก โดยจะอยู่บริเวณที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 3,500 เมตร (11,000 ฟุต) ถึง 5,000 เมตร (16,000 ฟุต).

ใหม่!!: สัตว์และอัลปากา · ดูเพิ่มเติม »

อัลโลซอรัส

อัลโลซอรัส (Allosaurus) ไดโนเสาร์นักล่าก่อนยุคไทรันโนซอรัสแต่ตัวเล็กกว่า อาศัยอยู่ในยุคจูราสสิคเมื่อ 155-145 ล้านปีก่อน ขนาดทั่วไปมีความยาวประมาณ 8.5 เมตร (29 ฟุต) สูงจากพื้นถึงไล่ประมาณ 3.2 เมตร แต่ก็มีพบขนาดใหญ่ที่สุดมากกว่า 10 เมตร (34 ฟุต) มีหน้าตาคล้ายกิ้งก่าขนาดใหญ่ มีปุ่มเขาขนาดเล็กเหนือดวงตา ขากรรไกรทรงพลังมีฟันเรียงราย แม้จะไม่เทียบเท่าตระกูลไทรันโนซอรัสในยุคหลัง ร่างกายมีความสมดุลโดยยาวและหางหนัก ตามคุณสมบัติของตระกูล อัลโลซอร์ มันมีญาติอันตรายอย่าง คาร์ชาโรดอนโทซอรัส และ กิก้าโนโตซอรัสในไทยอาจมีญาติของอัลโลซอรัสคือ สยามโมไทรันนัส ที่สันนิษฐานไว้.

ใหม่!!: สัตว์และอัลโลซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

อัลไพน์ซาลาแมนเดอร์

ระวังสับสนกับ: อัลไพน์ นิวต์ อัลไพน์ซาลาแมนเดอร์ หรือ ซาลาแมนเดอร์ แอททร้า (Alpine salamander, Golden salamander) สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชนิดหนึ่ง จำพวกซาลาแมนเดอร์ จัดเป็นซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็ก หรือนิวต์ (Salamandridae) อัลไพน์ซาลาแมนเดอร์ เป็นซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็ก มีลักษณะเด่นคือ มีสีดำตลอดทั้งตัว มี 5 นิ้ว ปลายนิ้วไม่มีเล็บ มีหัวใจทั้งหมด 3 ห้อง ผิวหนังเปียกชื้นไม่มีเกล็ด เหมือนซาลาแมนเดอร์ทั่วไป พบกระจายพันธุ์ในแถบเทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรป ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,800 เมตร พบได้ในประเทศแอลเบเนีย, ออสเตรีย, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, โครเอเชีย, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ลิกเตนสไตน์, มอนเตเนโกร, เซอร์เบีย และสวิสเซอร์แลนด์ ในลำธารที่สภาพอากาศหนาวเย็น โดยปกติทางตอนใต้ของเทือกเขาแอลป์ จะไม่ค่อยพบในที่ ๆ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลต่ำกว่า 900 เมตร และมีรายงานว่าพบในที่ ๆ สูงที่สุด คือ 2,430 เมตร ในฝรั่งเศส และ 2,800 เมตร ที่ออสเตรีย คาเรนทันนี กินอาหารจำพวกสัตว์น้ำขนาดเล็ก ได้แก่ แมลง, หนอนแดง, ไส้เดือนน้ำ และหอยขนาดเล็ก อัลไพน์ ซาลาแมนเดอร์ ในช่วงฤดูหนาวจะขุดรูเพื่อจำศีล ในโพรงดินลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร เพื่อรักษาความชื้นของผิวหนัง โดยสภาพร่างกายในช่วงนี้จะอยู่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหว อัตราเมแทบอลิซึมต่ำ อัตราการใช้ออกซิเจนจะลดลงอย่างมาก อาจเป็น 1/3 หรือ 1/100 ของอัตราปกติ หัวใจเต้นนาทีละไม่กี่ครั้ง ซึ่งอาจจะอยู่ในภาวะเช่นนี้ได้หลายเดือน จนกระทั่งเมื่ออุณหภูมิขึ้นสูงในระดับ 12-14 องศาเซลเซียส จึงจะขยับตัวออกมา ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่ง ของอัลไพน์ซาลาแมนเดอร์ คือ ขยายพันธุ์ด้วยการออกลูกเป็นตัว โดยการผสมพันธุ์ภายนอกลำตัว จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 2-3 ปี โดยตัวผู้จะปล่อยสเปิร์มทิ้งไว้ตามใบไม้ริมน้ำหรือไม้น้ำ หรือก้อนหินที่เปียกชื้นริมน้ำ แล้วจะเปลี่ยนตัวเองให้มีสีที่สวยขึ้น คือ สีทอง เพื่อดึงดูดใจตัวเมีย เมื่อปฏิสนธิแล้ว ไข่จะพัฒนาตัวเองเป็นตัวอ่อนอยู่ในร่างกายของแม่ก่อนที่จะออกมาสู่โลกภายนอก ทั้งนี้เป็นเพราะการปรับตัวให้เข้ากับสถานที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นที่ ๆ หนาวเย็น จนบางครั้งแหล่งน้ำที่อาศัยอยู่แข็งเป็นน้ำแข็ง อัลไพน์ซาลาแมนเดอร์ ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยง นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงSalamandra atra... จิ้งจกน้ำสีนิลแห่งเทือกเขาแอลป์ โดย สุริศา ซอมาดี คอลัมน์ Aqua Survey, หน้า 76-81 นิตยสาร Aquarium Biz ปีที่ 2 ฉบับที่ 28: ตุลาคม 2012.

ใหม่!!: สัตว์และอัลไพน์ซาลาแมนเดอร์ · ดูเพิ่มเติม »

อัลไพน์นิวต์

อัลไพน์นิวต์ (Alpine newt) เป็นซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ประเภทนิวต์ จัดอยู่ในกลุ่มนิวต์หางใบพาย (เดิมเคยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Triturus alpestris และMesotriton alpestris แต่ปัจจุบันได้มีการอนุกรมวิธานกันใหม่ จึงกลายเป็นชื่อพ้องไป และทำให้กลายเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Ichthyosaura) ตัวอ่อน อัลไพน์นิวต์ มีลักษณะลำตัวสีน้ำเงินเข้ม เจือด้วยจุดกลมเล็ก ๆ สีดำและขาว โดยเฉพาะในช่วงฤดูผสมพันธุ์สีจะยิ่งเข้มสวยขึ้น แต่โดยปกติแล้วสีตามลำตัวจะเป็นสีน้ำตาล มีความยาวเต็มที่ประมาณ 9-12 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในป่าแถบเทือกเขาแอลป์ ในระดับความสูงที่ไม่มากนัก หรือพบได้กระทั่งสวนหลังบ้านที่มีแอ่งน้ำขัง หรือพื้นที่ชุ่มน้ำในพื้นที่ราบ ในเวลากลางวันจะหลบซ่อนอยู่ใต้ดิน ออกหากินในเวลากลางคืน มีถิ่นกระจายพันธุ์ทั้งในทวีปยุโรปตอนใต้และตอนเหนือ อัลไพน์นิวต์เป็นนิวต์ หรือซาลาแมนเดอร์ชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และอัลไพน์นิวต์ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับบ่าง

อันดับบ่าง (Colugo, Flying lemur) เป็นอันดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในชั้นย่อยยูเทอเรีย (Eutheria) อันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dermoptera (/เดอ-มอป-เทอ-รา/ แปลว่า "ปีกหนัง") และถือเป็นอันดับที่อยู่ถัดมาจากอันดับโพรซีเมียน (Prosimian) ถือว่า บ่างเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใกล้เคียงกับสัตว์ในอันดับไพรเมต อันได้แก่ ทาร์เซีย, ลิงและเอป ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ด้วย และเชื่อกันว่า บ่างเป็นต้นบรรพบุรุษของค้างคาว ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงจำพวกเดียวที่บินได้ ซึ่งอยู่ในอันดับ Chiroptera ด้วย ลักษณะของสัตว์ในอันดับนี้ คือ มีรูปร่างคล้ายกับกระรอกบินหรือค้างคาวหรือลีเมอร์ แต่มีจุดเด่น คือ มีแผ่นหนังบาง ๆ ที่เชื่อมติดกันระหว่างคอ, ขาหน้า, ขาหลัง และหาง รวมถึงนิ้วทุกนิ้วอีกด้วย โดยที่ไม่มีหัวแม่มือ ซึ่งเมื่อกางออกจะเป็นแผ่นคล้ายว่าว ทำให้สามารถร่อนถลาได้เหมือนกระรอกบินหรือชูการ์ไกลเดอร์ ซึ่งเป็นสัตว์ต่างอันดับกัน บ่าง เป็นสัตว์ที่มีดวงตากลมโตสีแดง ส่วนจมูกและใบหน้าแหลม รวมทั้งมีสีขนที่เลอะ เพื่อแฝงตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี ทำให้แลดูน่าเกลียดน่ากลัว แต่เป็นสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร ได้แก่ ยอดไม้, ดอกไม้ รวมถึงแมลง และลูกไม้เนื้ออ่อน เป็นอาหาร มีฟันที่เขียนเป็นสูตรได้ว่า มีส่วนหางที่สั้น มีเล็บที่นิ้วที่แหลมคมใช้สำหรับในการปีนต้นไม้และเกาะเกี่ยวกับกิ่งไม้ รวมถึงสามารถห้อยหัวลงมาได้เหมือนค้างคาว บ่างจะหากินในเวลากลางคืนหรือโพล้เพล้ ส่วนในเวลากลางวันจะนอนหลับอยู่ตามโพรงไม้หรือคอมะพร้าว บ่าง ออกลูกครั้งละ 1 ตัว เนื่องจากแม่บ่างสามารถรับน้ำหนักได้เพียงแค่นี้ ลูกบ่างจะเกาะติดกับหน้าอกแม่ดูดนมจากเต้านมแม่ซึ่งมี 2 คู่ แม้แต่เมื่อหากินหรือระหว่างร่อน ใช้เวลาโตเต็มที่ประมาณ 2-3 ปี บ่างแรกเกิดมักมีการพัฒนาไม่มากนักคล้ายสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้อง (Marsupialia) แม่บ่างจะเลี้ยงลูกไว้โดยให้เกาะที่ท้อง เวลาเกาะอยู่กับต้นไม้ โดยใช้ผังผืดระหว่างขาช่วงล่างสุดห่อคล้ายร่มหรือถุงเหมือนสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง ในช่วงที่แม่บ่างเลี้ยงลูกจะยังไม่มีลูกใหม่ จนกว่าลูกตัวเดิมจะแยกตัวออกไปหากินเอง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี แม่บ่างจะเลียฉี่และมูลของลูก ขณะที่ลูกบ่างจะกินมูลของแม่ด้วย ซึ่งภายในมีแบคทีเรียที่ช่วยในการย่อยอาหารซึ่งได้แก่ พืช ส่วนต่าง ๆ แต่พฤติกรรมการผสมพันธุ์ยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่ชัดบ่าง, "สีสันสัตว์โลก สเปเชี่ยล", สารคดีทางช่อง 9: 17 ธันวาคม 2556 บ่างอาศัยอยู่ในป่าดิบที่มีความอุดมสมบูรณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ใน 2 สกุล และมีอีก 1 สกุล ซึ่งมี 2 ชนิด ที่ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับบ่าง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับช้าง

อันดับช้าง เป็นอันดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่อันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Proboscidea (/โพร-โบส-ซิ-เดีย/) มีลักษณะเด่น คือ เป็นสัตว์กินพืชที่มีร่างกายใหญ่โต มีจมูกและริมฝีปากบนยาว เรียกว่า "งวง" ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ใช้สำหรับหายใจ หยิบจับสิ่งของ และจับอาหารเข้าปาก มีฟันซี่หน้า 2 ซี่ บนขากรรไกรบนยาวใหญ่ และเจริญไปเป็น "งา" ฟันกรามมีขนาดใหญ่ โดยมากไม่เกิน 1 คู่ ขณะที่บางสกุล บางชนิด หรือบางวงศ์มีมากกว่านั้น ไม่มีฟันเขี้ยว ขาใหญ่ตรงลักษณะคล้ายต้นเสา ขาหน้ามีกระดูกเรเดียส และอัลนาร์สมบูรณ์ ขาหลังก็มีกระดูกทิเบีย และฟิบูลาสมบูรณ์ เท้ามีนิ้วข้างละ 5 นิ้ว แต่เล็บนิ้วก้อยบางตัวนั้น เมื่อโตขึ้นจะหายไป มีกระเพาะอาหารแบบธรรมดา ไม่ได้เป็นกระเพาะอาหารที่แบ่งเป็นห้อง ๆ แบบสัตว์เคี้ยวเอื้อง ตัวผู้มีลูกอัณฑะอยู่ในท้อง ไม่อยู่ในถุงห้อยออกมาอย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป ขณะที่ตัวเมียมีมดลูกแยกเป็นไบคอร์เนาท์ มีเต้านม 1 คู่ อยู่ที่หน้าอกระหว่างขาหน้าทั้ง 2 ข้าง ปัจจุบัน หลงเหลือสัตว์ที่อยู่ในอันดับนี้เพียงวงศ์เดียว คือ Elephantidae 3 ชนิด (ไม่นับชนิดย่อย) คือ ช้างเอเชีย (Elephas maximus) ที่พบในทวีปเอเชีย, ช้างพุ่มไ้ม้แอฟริกา (Loxodonta africana) และช้างป่าแอฟริกา (L. cyclotis) พบในทวีปแอฟริกา ซึ่งจัดเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน นอกจากนี้แล้ว สัตว์ในอันดับช้างยังมีความคล้ายคลึงกับสัตว์ในอันดับไฮแรกซ์ (Hyracoidea) ซึ่งเป็นสัตว์ขนาดเล็กคล้ายหนูตะเภาที่พบในแอฟริกาอีก ด้วยการที่มีฟันกรามและข้อต่อนิ้วเท้าที่คล้ายคลึงกัน.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับช้าง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับพะยูน

อันดับพะยูน เป็นอันดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่อันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sirenia เดิมที สัตว์ในอันดับนี้ถูกจัดให้อยู่ในอันดับเดียวกับอันดับวาฬและโลมา (Cetacea) ด้วยเห็นว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเล และมีรูปร่างคล้ายคลึงกัน แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 1816 อ็องรี มารี ดูว์ครอแต เดอ แบล็งวีล นักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส เป็นบุคคลแรกที่ทำการแยกความแตกต่างระหว่างพะยูนกับโลมาและวาฬ ออกจากกันและจัดพะยูนเข้าไว้ในกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกีบในอันดับ Sirenia โดยนับว่าพะยูนมีบรรพบุรุษร่วมกันกับช้างมาก่อน คือ Paenungulata รวมถึงการศึกษาซากดึกดำบรรพ์ของพะยูนสกุล Eotheroides ที่พบในประเทศอียิปต์ พบว่ามีลักษณะบางอย่างเหมือนและใกล้เคียงกันกับ Moeritherium ซึ่งเป็นต้นตระกูลของช้างยุคอีโอซีนตอนต้น (ประมาณ 40 ล้านปีมาแล้ว) Eotheroides เป็นสัตว์มี 4 ขา มีฟันครบและอาศัยอยู่ในน้ำ ต่อมามีวิวัฒนาการเพื่อให้อาศัยอยู่ในน้ำได้ดีขึ้น โดยที่ขาหลังจะลดขนาดลงและหายไปในที่สุด ส่วนขาหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปมีลักษณะคล้ายใบพายเพื่อให้เหมาะสมกับการว่ายน้ำ จากนั้นก็มีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นพะยูนในปัจจุบัน อีกทั้ง แอนสท์ แฮคเคิล นักชีววิทยาชาวเยอรมันได้วิจัยเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน โดยพบว่าตัวอ่อนของสัตว์ทั้งสองนี้มีโครงสร้างทางสรีระที่คล้ายกันมากจนในอดีตเมื่อ 40 ล้านปีก่อน ช้างและพะยูนมีต้นตระกูลร่วมกัน ถึงวันนี้มันก็ยังมีงวงและจมูกที่ใช้หายใจเหมือนกัน มีพฤติกรรมสืบพันธุ์ที่คล้ายคลึงกัน และเลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนกัน ปัจจุบัน พะยูนได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 วงศ์ คือ Dugongidae และTrichechidae แบ่งได้เป็น 2 สกุล 4 ชนิด กระจายพันธุ์ไปในทะเลและแม่น้ำสายใหญ่ในเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก กินอาหารจำพวก หญ้าทะเล, สาหร่ายและตะไคร่น้ำ เป็นอาหาร โดยพะยูนชนิดที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา คือ วัวทะเลชเตลเลอร์ (Hydrodamalis gigas) ที่อยู่ในวงศ์ Dugongidae ที่มีความยาวถึง 7 เมตร แต่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อราว 300 ปีก่อน โดยคำว่า "Sirenia" นั้นมาจากคำว่า "ไซเรน" ซึ่งเป็นอสูรกายที่อาศัยอยู่ในทะเลในเทพปกรณัมกรีก.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับพะยูน · ดูเพิ่มเติม »

อันดับกบ

กบ เป็นอันดับของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anura (/อะ-นู-รา/) มีรูปร่างโดยรวม คือ เป็นสัตว์ไม่มีหาง เพราะกระดูกสันหลังส่วนหางได้เชื่อมรวมเป็นชิ้นเดียวยาว กระดูกสันหลังลดจำนวนลงมาจากสัตว์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เพราะมีไม่เกิน 9 ปล้อง มีขาหลังยาวจากการยืดของกระดูกทิเบียกับกระดูกฟิบูลาและของกระดูกแอสทรากากัสกับกระดูกแคลลาเนียม โดยมีบางส่วนเชื่อมติดกันและเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแข็งแรง เพื่อใช้ในการกระโดด มีส่วนหัวที่ใหญ่และแบนราบ ปากกว้างมาก กบในระยะวัยอ่อนจะมีลักษณะแตกต่างไปจากตัวเต็มวัยอย่างชัดเจน เรียกว่า "ลูกอ๊อด" โดยมีรูปร่างคล้ายปลา มีส่วนหัวที่โตมาก มีหาง ไม่มีฟัน โดยในส่วนโครงสร้างของจะงอยปากเป็นสารประกอบเคอราติน หายใจด้วยเหงือกเหมือนซาลาแมนเดอร์ พฤติกรรมการกินอาหารของลูกอ๊อดจะแตกต่างกันไป โดยอาจจะกินแบบกรองกิน หรือกินพืช และกินสัตว์ เมื่อเปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวเต็มวัยจึงเปลี่ยนลักษณะการกิน รวมทั้งเปลี่ยนสภาพโครงสร้างของอวัยวะระบบย่อยอาหารรวมทั้งระบบอวัยวะอย่างอื่น ซึ่งการเปลี่ยนรูปร่างของกบนั้นจะต่างจากซาลาแมนเดอร์เป็นอย่างมาก การสืบพันธุ์ของกบนั้นมีหลากหลายมาก ส่วนการปฏิสนธิจะเกิดขึ้นภายนอกตัว โดยทั้ง 2 เพศมีพฤติกรรมกอดรัดกันระหว่างผสมพันธุ์ กบส่วนมากจะป้องกันดูแลไข่ นอกจากบางชนิดเท่านั้นที่เก็บไข่ไว้บนหลัง ที่ขา ในถุงบนหลัง หรือในช่องท้อง หรือบางชนิดวางไข่ติดไว้กับพืชน้ำที่เติบโตในน้ำหรือบนกิ่งไม้ของต้นไม้เหนือน้ำและเฝ้าไข่ไว้ การปฏิสนธิที่เกิดขึ้นภายในตัวจะพบเพียงกับกบบางชนิดเท่านั้น เช่น Ascaphus truei เป็นต้น และการเจริญของเอมบริโอภายในไข่และวัยอ่อนที่ออกจากไข่มีรูปร่างเป็นเหมือนตัวเต็มวัยเลย โดยไม่ผ่านขั้นการเป็นลูกอ๊อดเกิดขึ้นกับหลายสกุลในหลายวงศ์ อาทิ สกุล Hemiphractus และStefania เป็นต้น กบ เป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดมาแล้วราว 200 ล้านปีก่อน และเป็นสัตว์ที่อยู่รอดพ้นมาได้จากการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เมื่อ 65 ล้านปีก่อน ที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ โดยนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาถึงเรื่องนี้ เชื่อว่า เพราะกบเป็นสัตว์ที่หลบซ่อนตัวอยู่ใต้ดินได้อย่างเป็นดี และเป็นสัตว์ที่ปรับตัวได้ดีให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศแบบใหม่ จากการศึกษาพบว่า กบในยุคปัจจุบันราวร้อยละ 88 เป็นกบที่มีที่มาจากอดีตที่สามารถย้อนไปไกลได้ถึง 66–150 ล้านปีก่อน โดยศึกษาจากการตรวจสอบทางพันธุกรรมและเปรียบเทียบระดับยีนและโมเลกุลระหว่างกบในยุคปัจจุบัน และซากดึกดำบรรพ์ของกบในยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยพบว่า กบใน 3 วงศ์ คือ Microhylidae หรืออึ่งอ่าง, Natatanura ที่พบในทวีปแอฟริกา และHyloidea ที่พบในทวีปอเมริกาใต้ เป็นกบที่สืบสายพันธุ์มาจากกบในยุคก่อนประวัติศาสตร์ และปัจจุบันได้มีการสืบสายพันธุ์และแตกแขนงทางชีววิทยาไปทั่วโลก ปัจจุบัน ได้มีการอนุกรมวิธานกบออกเป็นวงศ์ทั้งหมด 27 วงศ์ ใน 419 สกุล ปัจจุบันพบแล้วกว่า 6,700 ชนิด นับว่าเป็นอันดับที่มีความหลากหลายมากที่สุดของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และก็ยังคงมีการค้นพบชนิดใหม่ขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ประมาณ 60 ชนิดต่อปี โดยกบส่วนใหญ่จะพบในเขตร้อน โดยใช้หลักการพิจารณาจาก โครงสร้างกระดูก, กล้ามเนื้อขา, รูปร่างลักษณะของลูกอ๊อด และรูปแบบการกอดรัด เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับกบ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับกระต่าย

อันดับกระต่าย (Rabbit, Hare, Pika; ชื่อวิทยาศาสตร์: Lagomorpha-ออกเสียงว่า /ลา-โก-มอร์-ฟา/ มาจากภาษากรีกคำว่า "λαγος" หมายถึง กระต่ายป่า และ "μορφή" หมายถึง ลักษณะ, รูปร่าง) เป็นอันดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันดับหนึ่ง มีลักษณะโดยรวมคล้ายกับสัตว์ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) เช่น หนู หรือกระรอก ด้วยว่ามีฟันในลักษณะฟันแทะเหมือนกัน ซึ่งเดิมเคยถูกรวมไว้อยู่ด้วนกัน แต่ว่าสัตว์ในอันดับนี้มีฟันแทะที่แตกต่างจากสัตว์ฟันแทะ คือมี ฟันตัดบนหรือฟันหน้า 2 คู่ (4 ซี่ คู่แรกอยู่ด้านหน้า คู่หลังจะซ่อนอยู่ข้าง ๆ ภายในกรามบน) ขณะที่ สัตว์ฟันแทะมี 1 คู่ (2 ซี่) เท่านั้น ทำให้การเคี้ยวของอาหารของสัตว์ทั้งสองอันนี้ไม่เหมือนกัน กล่าวคือ สัตว์ในอันดับกระต่ายจะใช้ฟันทั้ง 2 คู่นี้เคี้ยวสลับกัน จึงจะเห็นเมื่อเวลาเคี้ยวจะใช้กรามสลับข้างกันซ้าย-ขวา อีกทั้งพฤติกรรมการกินก็ต่างกันออกไป เนื่องจาก สัตว์ฟันแทะจะกินได้ทั้งพืชและสัตว์ แต่สัตว์ในอันดับกระต่ายจะกินได้เพียงพืชเท่านั้น และลักษณะเด่นอีกประการหนึ่ง ก็คือ ในตัวผู้ สัตว์ในอันดับกระต่ายจะมีถุงหุ้มอัณฑะอยู่หน้าอวัยวะเพศ แต่สัตว์ฟันแทะจะมีถุงหุ้มอัณฑะอยู่หลังอวัยวะเพศ และอวัยวะเพศของสัตว์ในอันดับกระต่าย จะไม่มีแท่งกระดูกอยู่ภายใน แต่ในสัตว์ฟันแทะจะมี ปัจจุบัน มีเพียง 2 วงศ์ เท่านั้น โดยสูญพันธุ์ไปแล้ว 1 วงศ์ (ดูในตาราง) กระจายพันธุ์ไปในทุกพื้นที่ของโลก แม้กระทั่งอาร์กติก ซึ่งสัตว์ในอันดับนี้ เป็นสัตว์ที่มนุษย์รู้จักเป็นอย่างดี ก็คือ กระต่าย ซึ่งนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงทั้งในแง่ของความเพลินเพลิน สวยงาม และบริโภคเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับกระต่าย · ดูเพิ่มเติม »

อันดับกระแต

ฟันของกระแต กระแต (1920.) เป็นอันดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กอันดับหนึ่ง ใช้ชื่ออันดับว่า Scandentia กระแต มีลักษณะโดยรวมคล้ายกับกระรอก ซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) รวมทั้งมีพฤติกรรมความเป็นอยู่ที่คล้ายกัน หากแต่กระแตมีปากยื่นยาวกว่ากระรอก มีฟันเล็กหลายซี่ ไม่ได้เป็นฟันแทะ แบ่งออกเป็นฟันตัด 4 ซี่ ที่ขากรรไกรบน และ 6 ซี่ที่ขากรรไกรล่าง สามรถเขียนเป็นสูตรได้ว่า จึงไม่สามารถที่จะกัดแทะผลไม้หรือไม้เปลือกแข็งอย่างกระรอกได้ และมีนิ้วที่ขาคู่หน้า 5 นิ้ว ที่เจริญและใช้ในการหยิบจับได้ดี เหมือนเช่นสัตว์ในอันดับไพรเมต (Primate) หรืออันดับวานร กระแตมีขนปกลุมลำตัวสีเขียวหรือสีน้ำตาลเหมือนกระรอก มีหางยาวประมาณ 12-19 เซนติเมตร กระแต นั้นหากินทั้งบนพื้นดิน โคนต้นไม้ และบนต้นไม้ กินได้ทั้งพืช และสัตว์เล็ก ๆ อย่าง แมลง หรือหนอน เป็นอาหาร โดยมากจะหากินในเวลากลางคืน และอาศัยอยู่ตามลำพังเพียงตัวเดียว แต่บางครั้งก็พบอยู่ด้วยกัน 2-3 ตัว เป็นฝูงเล็ก ๆ ออกลูกครั้งละ 2-3 ตัว โดยที่ก็ตกเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่กว่า เช่น ชะมด หรืออีเห็น, แมวป่า หรือนกล่าเหยื่อ อย่าง เหยี่ยว หรืออินทรี ด้วย กระแต กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในป่าทวีปเอเชียแถบเอเชียใต้และเอเชียอาคเนย์ มีทั้งหมด 19 ชนิด 5 สกุล แบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ (ดูในตาราง) พบในประเทศไทย 5 ชนิด คือ กระแตเหนือ (Tupaia belangeri) และกระแตใต้ หรือกระแตธรรมดา (T. glis), กระแตเล็ก (T. minor), กระแตหางขนนก (Ptilocercus lowii) และกระแตหางหนู (Dendrogale murina) เดิม กระแตเคยถูกจัดรวมอยู่อันดับเดียวกับอันดับสัตว์กินแมลง (Insectivora) เช่น หนูผี แต่ปัจจุบันได้ถูกแบ่งออกเป็นอันดับต่างหาก และกระแตถูกสันนิษฐานว่ามีบรรพบุรุษร่วมกันกับอันดับไพรเมตด้วย ด้วยมีนิ้วที่เท้าหน้าคล้ายคลึงกัน โดยวิวัฒนาการแยกออกจากกันในยุคอีโอซีนตอนกลาง.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับกระแต · ดูเพิ่มเติม »

อันดับกิ้งก่าและงู

อันดับกิ้งก่าและงู (Lizard and Snake) เป็นอันดับของสัตว์เลื้อยคลานที่ยังคงสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันนี้ ใช้ชื่อว่า Squamata (/สะ-ควอ-มา-ตา/) นับเป็นอันดับที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดและพบได้หลากหลายกว้างขวางมากที่สุด โดยอันดับนี้แบ่งได้เป็น 2 อันดับย่อย คือ Lacertilia หรือ อันดับย่อยกิ้งก่า กับ Serpentes หรือ อันดับย่อยงู การที่รวมสัตว์เลื้อยคลานทั้ง 2 ประเภทนี้ไว้ด้วยกัน เหตุเพราะมีโครงสร้างบางอย่างที่ร่วมกันถึง 70 ประการ โดยงูนั้นมีวิวัฒนาการมาจากกิ้งก่าในวงศ์ Amphisbaenidae ที่มีการลดรูปของขา นอกจากนั้นแล้วยังมีกล้ามเนื้อ, กระดูก, กะโหลก, อวัยวะถ่ายอสุจิที่เป็นถุงพีนิสคู่ แต่มีความแตกต่างกันทางด้านสรีระ พฤติกรรม และการทำงานของโครงสร้างอวัยวะ ทั้งกิ้งก่าและงูมีเกล็ดปกคลุมลำตัว โดยมีปริมาณ ลักษณะ และจำนวนที่ปกคลุมอวัยวะแต่ละส่วนแตกต่างกันตามลักษณะทางอนุกรมวิธาน กิ้งก่าบางชนิดมีกระดูกในชั้นหนังซ้อนอยู่ใต้เกล็ดซึ่งไม่มีในงู พื้นผิวลำตัวของกิ้งก่ามีต่อมผิวหนังไม่มากแต่บริเวณด้านหน้าช่องเปิดทวารร่วมและทางด้านในของต้นขาหลังของกิ้งก่าหลายชนิดมีต่อมผิวหนังค่อนข้างมาก ซึ่งสังเคราะห์สารเคมีเพื่อใช้ในการกำหนดอาณาเขตและหน้าที่ประการต่าง ๆ ซึ่งจำนวนต่อมดังกล่าวนี้อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งแตกต่างกันระหว่างเพศ โดยตัวผู้จะมีมากกว่าและใหญ่กว่า ซึ่งต่อมดังกล่าวนี้ยังใช้เป็นลักษณะในการจำแนกประเภทอีกด้วย กิ้งก่าและงูหลายชนิดสามารถปล่อยท่อนหางให้หลุดจากลำตัวเพื่อหนีเอาตัวรอดจากศัตรูได้ เช่น ในวงศ์จิ้งเหลน (Scincidae) บางตัวอาจหลุดได้หลายครั้งในช่วงชีวิต เหตุที่หลุดและงอกใหม่ได้เนื่องจากลักษณะการเรียงตัวของกล้ามเนื้อกับเนื้อเยื่อที่เกี่ยวพันซึ่งอาจมีตำแหน่งเดียวหรือหลายตำแหน่ง เมื่อหางหลุดไปแล้วอาจงอกขึ้นมาใหม่สั้นกว่าเดิมหรือใช้เวลานานกว่าจะเท่าเดิม เพราะมีแกนเป็นแท่งกระดูกอ่อนทดแทนปล้องของกระดูกสันหลังแทน แต่ส่วนของงูแล้วเมื่อหลุดไปแล้วไม่อาจงอกใหม่ได้ กิ้งก่าในหลายวงศ์ ได้ลดรูปของขาลงจนหดเล็กสั้นจนดูเหมือนไม่มีขา รวมทั้งนิ้วด้วย เพื่อเป็นประโยชน์ในการอาศัยอยู่ในโพรงดิน เช่น จิ้งเหลนด้วง เป็นต้น อวัยวะถ่ายอสุจิของตัวผู้ของกิ้งก่าและงูจะมีลักษณะเป็นถุงพีนิสอยู่ทางด้านท้ายของช่องเปิดทวารร่วม พื้นผิวด้นนอกจะเป็นร่องเพื่อใช้เป็นเส้นทางในการลำเลียงตัวอสุจิเข้าสู่ช่องทวารร่วมของตัวเมียขณะผสมพันธุ์ ซึ่งถุงนี้มีลักษณะเป็นหนามและเป็นสันซึ่งอยู่ทางด้านหน้าของถุง ซึ่งลักษณะรูปร่างและหนามของถุงนี้จะแตกต่างกันไปตามวงศ์ เช่น กิ้งก่าในวงศ์เหี้ย (Varanidae) มีแท่งกระดูกอยู่ภายในถุงเพื่อเสริมให้มั่นคงขณะผสมพันธุ์ ขณะเดียวกันในตัวเมียก็มีกระดูกดังกล่าว แต่มีขนาดเล็กมาก ขยายพันธุ์ได้ด้วยการวางไข่และตกลูกเป็นตัว ซึ่งปริมาณและจำนวนที่ออกมาแตกต่างกันไปตามวงศ์, สกุล และชนิด แต่ในส่วนของกิ้งก่าแล้วมีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่ตกลูกเป็นตัว อีกทั้งยังมีบางส่วนที่เกิดได้โดยไม่ผ่านการผสมพันธุ์ด้วย เช่น ในวงศ์เหี้ย, Leiolepidinae หรือ แย้ หรืองูในวงศ์ Typhlopidae.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับกิ้งก่าและงู · ดูเพิ่มเติม »

อันดับฐานปูไม่แท้จริง

อันดับฐานปูไม่แท้จริง หรือ อันดับฐานปูไม่แท้ (False crab; อันดับฐาน: Anomura) เป็นอับดับฐานของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกหนึ่ง ในไฟลัมย่อยครัสเตเชียน ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anomura มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปู หรือ Brachyura จนหลายชนิดมีชื่อสามัญเรียกนำหน้าว่า ปู แต่ความจริงแล้ว สัตว์กลุ่มนี้ยังมีลักษณะที่แตกต่างไปจากปูแท้จริง อีกหลายประการ ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับฐานปูไม่แท้จริง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับย่อยสัตว์เคี้ยวเอื้อง

ัตว์เคี้ยวเอื้อง (ruminant) เป็นอันดับย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับสัตว์กีบคู่ (Artiodactyla) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ruminantia สัตว์เคี้ยวเอื้องประกอบไปด้วยสัตว์ส่วนใหญ่ในอันดับนี้ ได้แก่ วัว, ควาย, แพะ, แกะ, กวาง และแอนทิโลป ลักษณะร่วมของสัตว์เคี้ยวเอื้อง ก็คือ มี กระเพาะ 4 ห้อง ที่เมื่อกินอาหารไปแล้ว คือ หญ้า คายออกมาเคี้ยวอย่างช้า ๆ อีกครั้งในเวลากลางคืน ก่อนจะถูกนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยกระเพาะของสัตว์เคี้ยวเอื้องจะแบ่งออกเป็น 4 ห้อง คือ Rumen (ผ้าขี้ริ้ว), Reticulum (รังผึ้ง), Omasum (สามสิบกลีบ) และ Abomasum (กระเพาะแท้ หรือกระเพาะจริง).

ใหม่!!: สัตว์และอันดับย่อยสัตว์เคี้ยวเอื้อง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับย่อยซาลาแมนเดอร์

อันดับย่อยซาลาแมนเดอร์ (Advanced salamander) เป็นอันดับย่อยของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกซาลาแมนเดอร์และนิวต์ ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Salamandroidea เป็นอันดับย่อยของซาลาแมนเดอร์ส่วนใหญ่ พบกระจายพันธุ์ในทุกภูมิภาคของโลกยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกา, ตอนใต้ของซาฮาร่า และโอเชียเนีย มีลักษณะโครงสร้างของร่างกายแตกต่างจากซาลาแมนเดอร์ในอันดับย่อย Cryptobranchoidea ซึ่งเป็นซาลาแมนเดอร์ที่มีโครงสร้างเหมือนกับซาลาแมนเดอร์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยซาลาแมนเดอร์ในอันดับย่อยนี้ จะมีกระดูกเพียร์ติคูลาร์เป็นเชิงมุม ในขากรรไกรล่างเชื่อมติดกันและทุกชนิดมีการปฏิสนธิภายในตัว ตัวเมียจะถูกปฏิสนธิจากสเปิร์มจากถุงสเปิร์ม ถุงสเปิร์มจะติดอยู่ที่ช่องทวารรวม สเปิร์มจะถูกเก็บไว้ในถุงเก็บสเปิร์มของตัวเมียบนด้านหลังของช่องทวารรวมเป็นสิ่งจำเป็นในเวลาที่วางไข่ ฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดของซาลาแมนเดอร์ในอันดับย่อยนี้ คือ Beiyanerpeton jianpingensis ที่พบในชั้นเทียวจิซาน ฟอร์เมชั่น ตรงกับยุคจูราซซิคยุคปลาย ราว 157 ล้านปีมาแล้ว (บวกลบไม่เกิน 3 ล้านปี).

ใหม่!!: สัตว์และอันดับย่อยซาลาแมนเดอร์ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับย่อยซาลาแมนเดอร์ยักษ์

อันดับย่อยซาลาแมนเดอร์ยักษ์ (Primitive salamander) เป็นอันดับย่อยของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกซาลาแมนเดอร์ ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cryptobranchoidea เป็นซาลาแมนเดอร์กลุ่มที่พบกระจายพันธุ์ในประเทศสหรัฐอเมริกา และหลายพื้นที่ของทวีปเอเชีย อาทิ จีน, ญี่ปุ่น, เกาะไต้หวัน, เกาหลี, อัฟกานิสถาน และอิหร่าน มีลักษณะบางอย่างทางโครงสร้างของร่างกายเหมือนกับซาลาแมนเดอร์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีพฤติกรรมการผสมพันธุ์คล้ายคลึงกัน คือ มีการปฏิสนธิเกิดขึ้นภายนอกลำตัว และไม่มีพฤติกรรมในการเกี้ยวพาราสี ตัวผู้ในบางสกุลแสดงความสนใจในตัวเมียต่อเมื่อมีถุงไข่โผล่ออกมาจากช่องทวารร่วมของตัวเมีย ในช่วงเวลาที่ตัวเมียปล่อยถุงไข่ติดกับวัสดุใต้น้ำและพยายามทำให้ถุงไข่หลุดออกจากช่องทวารร่วมนั้น ตัวผู้หลายตัวจะเข้าไปกลุ้มรุมตัวเมียและพยายามดันตัวเมียให้พ้นไปจากถุงไข่เพื่อถ่ายสเปิร์ม.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับย่อยซาลาแมนเดอร์ยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับย่อยปลากระโทง

อันดับย่อยปลากระโทง (Swordfish, Marlin, Billfish) เป็นอันดับย่อยของปลากระดูกแข็งทะเล ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Xiphioidei เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่ เมื่อโตเต็มที่แล้วมีขนาดลำตัวเกินกว่า 1 เมตร มีจุดเด่น คือ มีจะงอยปากบนยาวแหลมใช้สำหรับไล่ต้อนปลาขนาดเล็กเป็นอาหาร และสำหรับป้องกันตัว เป็นปลาที่ว่ายน้ำได้รวดเร็วว่องไวมาก แบ่งออกเป็น 2 วงศ์ คือ.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับย่อยปลากระโทง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับย่อยปลากะพง

อันดับย่อยปลากะพง (Bass, Perch, Snapper, Trevally) เป็นอันดับย่อยของปลากระดูกแข็งในอันดับปลากะพง (Perciformes) จัดเป็น 1 ใน 18 อันดับย่อยของอันดับนี้ ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Percoidei เป็นปลาส่วนใหญ่ในอันดับนี้ พบได้ทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย, ทะเล.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับย่อยปลากะพง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับย่อยปลากัด ปลากระดี่

อันดับย่อยปลากัด ปลากระดี่ (อันดับย่อย: Anabantoidei) เป็นอันดับย่อยของปลาที่อยู่ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ซึ่งทั้งหมดเป็นปลาที่อยู่ในน้ำจืดทั้งหมด โดยจะพบในทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย โดยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anabantoidei (/อะ-นา-เบน-ทอย-เดีย/) ส่วนมากเป็นปลาที่มีขนาดเล็ก ขนาดเมื่อโตเต็มที่ไม่เกินฝ่ามือของมนุษย์ แต่จะมีบางสกุลเท่านั้นที่ใหญ่ได้ถึงเกือบหนึ่งเมตร ได้แก่ Osphronemus หรือสกุลปลาแรด ปลาในอันดับนี้จะถูกเรียกในชื่อสามัญในภาษาอังกฤษว่า "Labyrinth fish" หรือ "ปลาที่มีอวัยวะช่วยในการหายใจ" เพราะปลาในอันดับนี้จะมีอวัยวะช่วยในการหายใจอยู่ในเหงือก เรียกว่า "อวัยวะเขาวงกต" (Labyrinth organ) จึงทำให้สามารถฮุบอากาศจากบนผิวน้ำได้โดยตรง โดยไม่ต้องรอให้ออกซิเจนละลายในน้ำผ่านซี่กรองเหงือกเหมือนปลาทั่วไป Pinter, H. (1986).

ใหม่!!: สัตว์และอันดับย่อยปลากัด ปลากระดี่ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับย่อยปลาทูน่า

อันดับย่อยปลาทูน่า (Tuna, Mackerel) เป็นอันดับย่อยของปลาทะเลกระดูกแข็ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scombroidei แบ่งออกเป็นวงศ์ต่าง ๆ ได้ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับย่อยปลาทูน่า · ดูเพิ่มเติม »

อันดับย่อยปลาขี้ตังเบ็ด

อันดับย่อยปลาขี้ตังเบ็ด หรือ อันดับย่อยปลาขี้ตัง (Surgeonfish) อันดับย่อยของปลาทะเลกระดูกแข็งอันดับหนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Acanthuroidei ปลาในอันดับย่อยนี้ ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ ปลาขี้ตังเบ็ด, ปลาขี้ตัง, ปลาค้างคาว เป็นต้น บางชนิดสามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดสนิทได้.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับย่อยปลาขี้ตังเบ็ด · ดูเพิ่มเติม »

อันดับย่อยปลานกขุนทอง

อันดับย่อยปลานกขุนทอง (Wrasse, Cichlid, Parrotfish, Damsel) เป็นอันดับย่อยของปลาทะเลกระดูกแข็ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Labroidei เป็นปลาที่มีลักษณะร่วมกัน คือ มีริมฝีปากหนา พบได้ทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล ซึ่งปลาในอันดับย่อยนี้ ที่เป็นที่รู้จักดี คือ ปลานกขุนทอง, ปลานกแก้ว, ปลาสลิดหิน, ปลาการ์ตูน และปลาหมอสี.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับย่อยปลานกขุนทอง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับย่อยเม่น

ม่น เป็นอันดับย่อยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hystricomorpha โดยคำว่า Hystricomorpha นั้นมาจากภาษาละตินคำว่า hystrix หมายถึง "เม่น" และภาษากรีกคำว่า morphē หมายถึง "ลักษณะ" โดยสัตว์ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีของอันดับย่อยนี้ คือ เม่น ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดกลางค่อนข้างไปทางใหญ่ ที่มีจุดเด่น คือ ขนบนตัวที่เป็นหนามแหลม ใช้สำหรับป้องกันตัว กระจายพันธุ์ไปในเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วทั้งโลก คือ ทวีปเอเชีย, แอฟริกา, อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้อีกเป็น 2 วงศ์ เม่น เป็นสัตว์ที่มีความเชื่อว่าสามารถสะบัดขนเข้าใส่ศัตรูได้แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อเม่นพบศัตรูจะรีบหันหลังให้แล้ววิ่งหนีไปพร้อมทั้งสั่นขนให้เกิดเสียงดังกราว ๆ เป็นการเตือน ไม่ให้ศัตรูเข้าใกล้ แต่ถ้าศัตรูยังวิ่งไล่อยู่เม่นจะรีบหยุดทันที พร้อมทั้งพองขนให้ตั้งชัน และวิ่งถอยหลังเข้าหา ศัตรูที่วิ่งตามไม่สามารถจะหยุดได้ทันจึงถูกขนเม่นทิ่มตำ ขนเม่นจะหลุดจากตัวเม่นได้ง่ายมาก มักจะติดไปกับสัตว์ที่เข้ามาทำอันตรายเสมอและอาจทำให้ศัตรูตายได้ ในอดีต พรานป่าที่เข้าไปล่าสัตว์มักจะนำสุนัขไปด้วยเพื่อช่วยดมกลิ่นและค้นหาสัตว์ป่าถ้าพบเห็นเม่นมันจะวิ่งไล่ทันที เมื่อเม่นหยุดวิ่ง สุนัขจะวิ่งชนเม่นทันทีจึงมักได้รับบาดเจ็บและมีขนเม่นติดตามตัว เมื่อเจ้าของสุนัขพบเข้าจึงคิดว่าเม่นสะบัดขนเข้าใส่ ทำให้เกิดความเชื่อผิด ๆ ตามกันมา สำหรับในประเทศไทย พบเม่นได้ 2 ชนิด คือ เม่นใหญ่แผงคอยาว (Hystrix brachyura) และเม่นหางพวง (Atherurus macrourus) ซึ่งทั้งหมดจัดอยู่ใน วงศ์เม่นโลกเก่า (Hystricidae).

ใหม่!!: สัตว์และอันดับย่อยเม่น · ดูเพิ่มเติม »

อันดับย่อยเต่า

อันดับย่อยเต่า (Turtle, Tortoise, Soft-shell turtle) เป็นอันดับย่อยของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับเต่า (Testudines) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cryptodira ลักษณะร่วมของเต่าในอันดับย่อยนี้ คือ สามารถยืดหรือหดหัวหรือส่วนคอเข้าไปในกระดองได้ แต่สามารถกระทำได้ในแนวดิ่งขึ้นลงหรือซ้อนทางด้านบนได้เท่านั้น ซึ่งเป็นลักษณะของเต่าส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางวงศ์ที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากมีส่วนหัวที่ใหญ่ ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับย่อยเต่า · ดูเพิ่มเติม »

อันดับย่อยเต่าคองู

อันดับย่อยเต่าคองู (Side-necked turtle) เป็นอันดับย่อยของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับเต่า (Testudines) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pleurodira ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 อันดับ สำหรับเต่าที่อยู่ในอันดับย่อยนี้ จะมีลักษณะเด่น คือ สามารถที่จะหดหรือยืดหรือหันคอหรือหัวไปทางด้านข้างหรือในแนวราบของลำตัวได้ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 วงศ์ ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับย่อยเต่าคองู · ดูเพิ่มเติม »

อันดับลิ่น

ลิ่น หรือ นิ่ม หรือที่นิยมเรียกกันว่า ตัวลิ่น หรือ ตัวนิ่ม จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วย ชั้ ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนนม ที่อยู่ในอันดับ Pholidota จัดเป็นสัตว์ที่มีเพียงวงศ์เดียว คือ Manidae และสกุลเดียว คือ Manis ลิ่นเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับอาร์มาดิลโล หรือ สัตว์ที่อยู่ในอันดับ Cingulata ที่พบได้ในทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ขณะที่ลิ่นจะพบได้ที่ทวีปเอเชียและแอฟริกา ลิ่นทุกชนิดจะมีส่วนหน้าที่ยาว มีปากขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นรูเล็ก ๆ ไม่มีฟัน กินอาหารโดยการใช้ลิ้นที่ยื่นยาวและน้ำลายที่เหนียวตวัดกินแมลงตามพื้นดิน จำพวก มดและปลวกหรือหนอนขนาดเล็ก และมีลำตัวที่ปกคลุมด้วยเกล็ดเป็นชิ้น ๆ เหมือนกับสัตว์เลื้อยคลาน ทำหน้าที่เหมือนชุดเกราะเพื่อใช้ในการป้องกันตัว เมื่อถูกรุกรานลิ่นจะลดลำตัวเป็นวงกลม ขณะที่ส่วนท้องจะไม่มีเกล็ด ซึ่งจะถูกโจมตีได้ง่าย ลิ่นมีเล็บที่แหลมคมและยื่นยาว ใช้สำหรับขุดพื้นดินหาอาหารและขุดโพรงเป็นที่อยู่อาศัยและพักผ่อน และปีนต้นไม้ เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน ลิ่นออกลูกเป็นตัว ครั้งละ 1-2 ตัว ตั้งท้องนานราว 130 วัน เมื่อแรกเกิด ลูกลิ่นจะมีเกล็ดติดตัวมาตั้งแต่เกิด และจะเกาะกับแม่ตรงบริเวณโคนหาง ซึ่งลูกลิ่นวัยอ่อนจะยังไม่มีเกล็ดแข็งเหมือนกับลิ่นวัยโต แต่จะค่อย ๆ แข็งขึ้นเรื่อย ๆ ตามการเจริญเติบโต ลิ่นมีทั้งหมด 8 ชนิด (ดูในตาราง) กระจายพันธุ์ไปในทวีปแอฟริกาและเอเชีย สำหรับในประเทศไทยพบ 2 ชนิด คือ ลิ่นซุนดา หรือ ลิ่นชวา (M. javanica) ที่พบได้ทั่วไปทุกภาค กับลิ่นจีน (M. pentadactyla) ที่มีรายงานการพบเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น บริเวณอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เมื่อปี พ.ศ. 2483 ซึ่งมีขนาดลำตัวที่เล็กกว่า หางสั้นกว่า และมีสีที่คล้ำกว่า ลิ่นซุนดา ในปัจจุบัน เป็นสัตว์ป่าที่นิยมอย่างมากในการรับประทานในหมู่ของผู้ที่นิยมรับประทานสัตว์ป่าหรือของแปลก ๆ โดยมีราคาขายสูงถึงกิโลกรัมละ 2,000-3,000 บาท หากตัวไหนที่มีน้ำหนักมากอาจมีราคาสูงถึง 3,500 บาท ทำให้มีการลักลอบค้าตัวลิ่นอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด และอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า เป็นต้น และในความเชื่อของชาวจีน เชื่อว่า เกล็ดของลิ่นช่วยในการรักษาโรคกระเพาะ โดยผู้ที่เข้าป่าหาตัวลิ่นจะใช้สุนัขดมกลิ่นตามล่า หากลิ่นปีนขึ้นต้นไม้ ก็จะใช้การตัดต้นไม้ต้นนั้นทิ้งเสีย โดยการค้าตัวลิ่นถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะลิ่นไม่ว่าชนิดไหน ในประเทศไทย ถือว่าเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 และมีกฎหมายคุ้มครองระหว่างประเทศอีกด้วย ผู้กระทำผิดจะได้รับโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท จำคุก 4 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งคำว่า "Pangolin" ซึ่งเป็นคำศัพท์ในภาษาอังกฤษที่เรียกลิ่นนั้น มาจากภาษามลายูคำว่า Peng-goling แปลว่า "ไอ้ตัวขด".

ใหม่!!: สัตว์และอันดับลิ่น · ดูเพิ่มเติม »

อันดับวาฬและโลมา

ซีทาเซีย (Order Cetacea) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง เป็นอันดับหนึ่งใน 18 อันดับของชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับซีทาเซีย ได้แก่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีลักษณะคล้ายปลา เช่นวาฬ โลมา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีลักษณะภายนอกคล้ายปลา จนมักเรียกติดปลาว่า ปลาวาฬ และ ปลาโลมา ซึ่งผิดหลักอนุกรมภิธาน บรรพบุรุษของสัตว์ตระกูลนี้เป็นสัตว์บกที่วิวัฒนาการกลับลงไปในทะเล.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับวาฬและโลมา · ดูเพิ่มเติม »

อันดับวานร

อันดับวานร หรือ อันดับไพรเมต (Primate) เป็นอันดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม อันได้แก่ สัตว์จำพวกลีเมอร์, ลิง และลิงไม่มีหาง ซึ่งรวมถึงมนุษย์ด้วย มีชื่อสามัญเรียกกันโดยทั่วไปว่า ไพรเมต จึงกล่าวได้ว่าสามารถพบไพรเมตได้ทั่วโลก โดยไพรเมตที่ไม่ใช่มนุษย์ ส่วนใหญ่จะอยู่ในแอฟริกา, ตอนล่างของทวีปเอเชีย, อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ แต่จะพบไพรเมตอยู่เพียงไม่กี่ชนิดในแถบตอนเหนือของทวีปเอเชีย จนถึงตอนเหนือของญี่ปุ่น หรือตอนเหนือของอเมริกา และเม็กซิโก โดยที่ไม่พบในทวีปยุโรป และทวีปออสเตรเลีย โดยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Primates.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับวานร · ดูเพิ่มเติม »

อันดับสัตว์ฟันแทะ

อันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodent, ชื่อวิทยาศาสตร์: Rodentia) เป็นอันดับในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอันดับหนึ่ง ที่มีความหลากหลายมาก ใช้ชื่ออันดับว่า Rodentia ลักษณะโดยรวมของสัตว์ในอันดับนี้ คือ มีฟันหน้าในขากรรไกรบน 2 ซี่ และขากรรไกรล่าง 2 ซี่ ลักษณะของฟันหน้ามีรูปร่างคล้ายสิ่ว มีความแข็งแรงมาก ใช้สำหรับกัด ขุด และแทะอาหาร ไม่มีฟันเขี้ยว ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันหน้าและฟันหน้ากราม ผิวเคลือบทางด้านนอกของฟันหน้าเป็นอีนาเมล จึงทำให้ฟันแข็งแรง นอกจากนี้ฟันหน้าของสัตว์ในอันดับนี้ยังเป็นรูทเลสส์ โดยที่ฟันจะไม่หยุดการเจริญเติบโต เฉลี่ย 12 เซนติเมตรครึ่งต่อปี เนื่องจากมีเลือดมาหล่อเลี้ยงฟันตลอดเวลา จึงต้องแทะฟันเสมอ ๆเพื่อให้ฟันสึกกร่อน มิฉะนั้นฟันจะทะลุออกมานอกปาก ทำให้การหุบปากและการกินอาหารลำบากทำให้อดตายได้ รูปร่างลักษณะภายนอกของสัตว์ในอันดับนี้แตกต่างกัน รวมทั้งแหล่งอาศัย บางจำพวกก็อาศัยอยู่บนต้นไม้ ขุดรูอยู่ใต้ดินหรือบนดิน เช่นเดียวกับชนิดของอาหาร ซึ่งอาจจะเป็นผลไม้เปลือกแข็ง, เมล็ดไม้, รากไม้ หรือกินทุกสิ่งทุกอย่างทั้งพืชและเนื้อสัตว์ ซึ่งสัตว์ในอันดับนี้ที่มนุษย์รู้จักกันเป็นอย่างดี ได้แก่ หนู, กระรอก, เม่น, บีเวอร์ เป็นต้น พบกระจายพันธุ์ไปในทุกพื้นที่ทั่วโลก ในภูมิประเทศที่หลากหลาย ขณะที่กระต่าย, กระแตและตุ่นหรือหนูผี หรือชูการ์ไกลเดอร์ แม้จะมีรูปลักษณะภายนอกคล้ายคลึงกัน แต่ถูกจัดออกมาเป็นอันดับต่างหาก สัตว์ในอันดับนี้ที่มีขนาดเล็กที่สุด คือ หนูจิ๋วแอฟริกัน (Mus minutoides) พบในทวีปแอฟริกา ที่มีขนาดใหญ่เต็มที่จากส่วนหัวจรดปลายหาง 30-80 มิลลิเมตร (1.2-3.1 นิ้ว) ความยาวหาง 20-40 มิลลิเมตร (0.79-1.6 นิ้ว) น้ำหนักประมาณ 3-12 กรัม (0.11-0.42 ออนซ์) และที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ คาปิบารา (Hydrochoerus hydrochaeris) พบในอเมริกาใต้ ที่มีน้ำหนักได้มากถึง 65 กิโลกรัม และมีรายงานว่าพบมากถึง 91 กิโลกรัม.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับสัตว์ฟันแทะ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับสัตว์กินแมลง

อก (''Erinaceus europaeus'') จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เคยถูกจัดให้อยู่ในอันดับนี้ อันดับสัตว์กินแมลง (อันดับ: Insectivora, อ่านออกเสียง /อิน-เซค-ทิ-วอ-รา/, โดยมาจากภาษาละตินคำว่า insectum หมายถึง "แมลง" และ vorare หมายถึง "ไปกิน") เป็นอันดับของสัตว์ที่จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Insectivora มีลักษณะโดยรวมคือ เป็นสัตว์ขนาดเล็ก กินแมลงเป็นอาหาร มีทั้งพวกที่ออกหากินในเวลากลางวัน และออกหากินในเวลากลางคืน อาศัยอยู่บนพื้นและบนต้นไม้ ยืนด้วยฝ่าเท้า มีสมองส่วนรับกลิ่นเจริญดี แต่สายตาไม่ดี นอกจากกินแมลงแล้วยังอาจจะยังกินสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร ตัวอย่างเช่น หนูผี, หนูเหม็น, ตุ่น เป็นต้น สัตว์ในอันดับนี้ ช่วยทำลายศัตรูป่าไม้ ต้นไม้ในป่าจะมีศัตรูตามธรรมชาติเสมอ ๆ เช่น โรคพืชที่จากแมลง เป็นต้น แต่ศัตรูเหล่านี้จะไม่ระบาด โดยเฉพาะแมลงหากมีตัวทำลายสัตว์ป่าหลายชนิดเป็นตัวกำจัดแมลง กินแมลงที่มาทำลายใบ ดอก และผล ตุ่นและหนูผี จะกินหนอนที่มากินรากและลำต้นใต้ดิน แต่ในปัจจุบัน อันดับนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้วโดยได้แยกออกมาเป็นอันดับต่างหากเอง 5 อันดับ คือ Afrosoricida, Erinaceomorpha, Macroscelidea, Scandentia, Soricomorpha แต่ในบางข้อมูลยังคงจัดเป็นอันดับอยู.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับสัตว์กินแมลง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับสัตว์กีบคู่

อันดับสัตว์กีบคู่ เป็นอันดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Artiodactyla (/อา-ทิ-โอ-แดค-ทิ-ล่า/) มีลักษณะเด่น คือ มีนิ้วเท้าที่เป็นกีบที่เป็นคู่ แตกต่างไปจากสัตว์ที่อยู่ในอันดับสัตว์กีบคี่ (Perissodactyla) ซึ่งมีกีบนิ้วเท้าเป็นจำนวนคี่ ทั้งสองอันดับล้วนแต่เป็นสัตว์กินพืช ที่จะกินพืชลักษณะแตกต่างกันออกไปตามสกุลและวงศ์ หรือชนิด กระจายพันธุ์ออกไปในทุกทวีปทั่วโลก ยกเว้นโอเชียเนีย ปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 10 วงศ์ ราว 220 ชนิด โดยแบ่งออกได้เป็น 3 อันดับย่อย โดยแบ่งตามลักษณะของกระเพาะอาหาร โดยแบ่งออกเป็นห้อง ๆ หรือส่วน คือ.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับสัตว์กีบคู่ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง

ัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง หรือ สัตว์มีถุงหน้าท้อง (อันดับ: Marsupialia; Marsupial) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับหนึ่ง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นอันดับต่าง ๆ ได้อีกจำนวนหนึ่ง (ดูในตาราง) สัตว์ในอันดับนี้ มีความแตกต่างและหลากหลายในแง่ของรูปร่าง ลักษณะ และขนาดเป็นอย่างมาก แต่มีลักษณะเด่นที่มีความเหมือนกันประการหนึ่ง คือ จะออกลูกเป็นตัว โดยตัวเมียมีถุงหน้าท้อง ตัวอ่อนของสัตว์ในอันดับนี้เจริญเติบโตในมดลูกในช่วงระยะเวลาสั้น มีสะดือและสายรกด้วย แล้วจะคลานย้ายมาอยู่ในถุงหน้าท้องดูดกินนมจากแม่ ก่อนจะเจริญเติบโตในถุงหน้าท้องหรือกระเป๋าหน้าท้องนี้จนโต บางครั้งเมื่อยังโตไม่เต็มที่ จะเข้า-ออกระหว่างข้างออกกับกระเป๋าหน้าท้องเป็นปกติ ซึ่งสัตว์ในอันดับนี้ที่เป็นที่รู้จักดี ได้แก่ จิงโจ้, โคอาลา, โอพอสซัม, ชูการ์ไกลเดอร์, วอมแบต, แทสเมเนียนเดวิล เป็นต้น ซึ่งสัตว์ในอันดับนี้ล้วนแต่จะพบเฉพาะในทวีปออสเตรเลียและบางส่วนของนิวกินี และพบในบางส่วนของทวีปอเมริกา ทั้งอเมริกาเหนือ, อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ หลายชนิดก็สูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น หมาป่าแทสมาเนีย (Thylacinus cynocephalus) หรือไดโปรโตดอน (Diprotodon spp.) เป็นต้น โดยคำว่า Marsupialia นั้นมาจากภาษาละติน แปลว่า "กระเป๋า หรือ ถุง".

ใหม่!!: สัตว์และอันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับหนูผีช้าง

หนูผีช้าง เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง พบในทวีปแอฟริกา มีรูปร่างคล้ายหนูซึ่งเป็นสัตว์ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) แต่กลับมีจมูกยื่นยาวเหมือนงวงช้าง ซึ่งในความจริงแล้ว หนูผีช้างเดิมเคยถูกจัดเป็นสัตว์ในอันดับตุ่น (Soricomorpha) และอันดับสัตว์กินแมลง (Insectivora) แต่ปัจจุบัน ถูกแยกออกมาเป็นอันดับต่างหาก คือ อันดับ Macroscelidea หนูผีช้าง มีชื่อเรียกในภาษาเบนตูว่า เซงกิส (Sengis) เป็นสัตว์ที่พบเห็นได้ยาก ออกหากินในเวลากลางคืน ปัจจุบันพบมีทั้งหมด 15 ชนิด ในทั้งหมด 4 สกุล และวงศ์เดียว โดยชนิดที่พบล่าสุด ได้ถูกอนุกรมวิธานเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน 2 คน ซึ่งได้พบเจอครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2005 ที่ป่าใจกลางประเทศแทนซาเนีย ทางแอฟริกาตะวันออก และได้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhynchocyon udzungwensis นับว่าเป็นการค้นพบหนูผีช้างชนิดใหม่ในรอบ 126 ปี หนูผีช้าง กินแมลงตามพื้นดินเป็นอาหาร เป็นสัตว์ที่พบอยู่เฉพาะในทวีปแอฟริกาเท่านั้น มีพฤติกรรมที่ครองคู่เพียงตัวเดียวตลอดชีวิต จากการศึกษาในระดับโมเลกุลในห้องปฏิบัติการพบว่ามีความใกล้ชิดกับช้างมากกว่าสัตว์ในอันดับใด ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยจัดเป็นสัตว์ที่อยู่ในอันดับใหญ่ แอโฟรธีเรีย (Afrotheria) ที่มีวิวัฒนาการอยู่ในแอฟริกามากว่า 100 ล้านปีแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับหนูผีช้าง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับห่าน

อันดับห่าน หรือ อันดับเป็ด (Duck, Goose, Swan, Teal, Screamer, Waterfowl) เป็นอันดับของสัตว์ปีกอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anseriformes นกในอันดับหานมีขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญมาก มีขนาดลำตัวยาวตั่งแต่ 29 – 152 เซนติเมตร ไดแก ห่านและนกเป็ดน้ำตาง ๆ ปากของนกในอันดับนี้แตกตางจากปากของนกในอันดับอื่นอยางชัดเจนคือ ปากแบนและกวาง ปลายปากมีลักษณะคลายเล็บและเปนขอเล็กนอย รูจมูกทะลุถึงกัน นิ้วมี 4 นิ้ว เหยียดไปขางหลัง 1 นิ้ว และเหยียดไปขางหนา 3 นิ้ว นิ้วหนามีพังผืด นิ้วแบบตีนพัด นิ้วหลังเปนนิ้วตางระดับ ขนปลายปกมี 10 เสน ขนกลางปกเปนแบบไมมีขนกลางปกเสนที่ 5 ขนแตละเสนมีแกนขนรองเล็กหรือไมมี ดานขางของคอมีขน ตัวเต็มวัยมีขนอุยปกคลุมลำตัว มีตอมน้ำมันลักษณะเปนพุมขน ทำให้เมื่อลงน้ำแล้วขนจะไม่อุ้มน้ำ ไม่ทำให้ตัวหนัก นกในอันดับหานเปนนกน้ำหรือกึ่งน้ำกึ่งบก สามารถวายน้ำรวมถึงดำน้ำไดดี อาหารไดแก สัตวตัวเล็กต่าง ๆ และพืช ปกติทำรังโดยใชขนวางตามพื้นดิน บางชนิดทำรังตามโพรงตนไม วางไขครอกละ 3 – 15 ฟอง เปลือกไขสีขาวหรือสีเนื้อหรือสีออกเขียวเปนมัน ลูกนกแรกเกิดมีสภาพเปนลูกออนเดินได มีกระจายพันธุ์ทั่วทั้งโลกประมาณ 140 – 150 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับห่าน · ดูเพิ่มเติม »

อันดับอาร์ดวาร์ก

อันดับอาร์ดวาร์ก (Aardvark; อันดับ: Tubulidentata) เป็นอันดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tubulidentata (/ทู-บู-ลิ-เดน-ทา-ทา/) มีอยู่เพียงวงศ์เดียวเท่านั้น คือ Orycteropodidae มีรูปร่างโดยรวมคล้ายกับสัตว์ในอันดับ Cingulata หรืออาร์มาดิลโล แต่ที่จริงแล้วเป็นสัตว์ที่มีสายวิวัฒนาการแยกกันโดยชัดเจน โดยคำว่า "Tubulidentata" แปลว่า "มีฟันเป็นท่อ" อันเนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีจมูกและปากยาวเหมือนท่อ มีฟันลักษณะเป็นรูปหกเหลี่ยมฝังตัวอยู่ด้านในของปาก ลักษณะเหมือนหมุดที่แบนราบ จำนวน 20 ซี่ และเคลือบไว้ด้วยเคลือบรากฟัน ซึ่งเป็นสารปกติที่อยู่ในฟัน เป็นสัตว์ที่หากินแมลงตามพื้นดินเป็นอาหาร เป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดมาจากในยุคไมโอซีน ซึ่งปัจจุบันได้สูญพันธุ์กันไปหมดแล้วในยุคไพลโอซีน เหลือเพียงแค่ชนิดเดียวเท่านั้นที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ คือ อาร์ดวาร์ก (Orycteropus afer) พบในแอฟริก.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับอาร์ดวาร์ก · ดูเพิ่มเติม »

อันดับจระเข้

อันดับจระเข้ (Crocodile, Gharial, Alligator, Caiman) เป็นอันดับของสัตว์เลื้อยคลานโบราณที่ยังคงสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crocodilia หรือ Crocodylia ที่รู้จักกันดีในชื่อของ "จระเข้" โดยอันดับนี้ปรากฏขึ้นมาบนโลกมาตั้งแต่ยุคครีเตเชียส (84 ล้านปีมาแล้ว) จนถึงปัจจุบัน เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ มีแผ่นแข็งและหนาปกคลุมลำตัวคล้ายเกล็ด แผ่นแข็งที่ปกคลุมลำตัวด้านหลังมีกระดูกชิ้นใหญ่อยู่ในชั้นหนังซึ่งในหลายชนิดมีกระดูกในชั้นหนังทางด้านท้องด้วย แผ่นแข็งของวงศ์ Crocodylidae และวงศ์ Gavialidae มีแอ่งทำหน้าที่รับรู้ความรู้สึกสัมผัสได้ ส่วนของปลายหัวยื่นยาวและมีฟันอยู่ในแอ่งของขากรรไกร ตามีแผ่นหนังโปร่งใสคลุมทับขณะดำน้ำ หางมีขนาดใหญ่ ขามีขนาดใหญ่แต่สั้นและแข็งแรงและมีแผ่นหนังเรียกว่าพังผืดยิดติดระหว่างนิ้ว ใช้ในการว่ายน้ำ ในวงศ์ Crocodylidae และวงศ์ Gavialidae มีต่อมขจัดเกลืออยู่บนลิ้น เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำหรือพื้นที่ชุ่มน้ำ แบ่งออกได้เป็น 3 วงศ์ (ดูในตาราง) ปัจจุบันพบทั้งหมด 25 ชนิด แต่ในบางข้อมูลอาจจัดให้อยู่ในวงศ์เดียวกันหมด แต่แบ่งออกมาเป็นวงศ์ย่อย โดยเฉพาะความสัมพันธ์กันระห่างสกุล Tomistoma กับ สกุล Gavialis เพราะการวิเคราะห์ทางกายภาคจัดว่า Tomistoma นั้นอยู่ในวงศ์ Crocodylidae แต่การวิเคราะห์ทางโมเลกุล พบว่าใกล้เคียงกับสกุล Gavialis ที่อยู่ในวงศ์ Gavialidae มากกว่า (ในบางข้อมูลอาจจะยังจัดให้อยู่ในวงศ์ Crocodylidae) เป็นสัตว์กินเนื้อ ที่หากินในน้ำเป็นหลัก จึงมีสภาพของร่างกายใช้ชีวิตได้ดีเมื่ออยู่ในน้ำ กล่าวคือ ช่องเปิดจมูกอยู่ทางด้านบนตรงส่วนปลายสุดของส่วนหัวที่ยื่นยาวและช่องเปิดจมูกมีแผ่นลิ้นปิดได้อยู่ใต้น้ำ อุ้งปากมีเพดานปากทุติยภูมิเจริญขึ้นมาจึงแยกปากออกจากโพรงจมูกได้สมบูรณ์ โพรงจมูกทางด้านท้ายสุดของเพดานปากทุติยภูมิมีแผ่นลิ้นปิดเช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้สามารถหายใจได้เมื่ออยู่ในน้ำขณะที่คาบอาหารอยู่ นอกจากนี้แล้วยังมีแผ่นเยื่อแบ่งแยกช่องอกออกจากช่องท้องซึ่งแผ่นเยื่อนี้ทำหน้าที่เหมือนกะบังลมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแต่เจริญจากเนื้อเยื่อที่ต่างกัน ปอดจึงมีถุงลมที่เจริญกว่าปอดของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับอื่น การแลกเปลี่ยนก๊าซจึงมีประสิทธิภาพสูงกว่า หัวใจมี 4 ห้องและมีลักษณะโครงสร้างคล้ายคลึงกับหัวใจของสัตว์ปีก ซึ่งเป็นสัตว์ในชั้นที่วิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานจำพวกไดโนเสาร์เช่นกัน แต่การปะปนกันของเลือดยังคงเกิดขึ้นบ้างทางช่องตรงตำแหน่งที่หลอดเลือดแดงซีสทีมิกซ้ายและหลอดเลือดแดงซิสทีมิกขวาทอดข้ามกัน และสามารถควบคุมการไหลเวียนของเลือดให้ไปเฉพาะสมองได้ขณะดำน้ำ ขณะอยู่บนบกแม้ไม่คล่องเท่าอยู่ในน้ำ แต่ก็เดินหรือวิ่งได้ดี โดยจะใช้ขายกลำตัวขึ้น และมีรายงานว่า จระเข้น้ำจืดออสเตรเลีย (Crocodylus johnsoni) สามารถกระโดดเมื่ออยู่บนบกได้ด้วย ภาพของสัตว์ในอันดับจระเข้ชนิดต่าง ๆ เมื่อเทียบกับมนุษย์ (สีแดง & สีส้ม-สูญพันธุ์ไปแล้ว) ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ในดินหรือทรายริมตลิ่งที่ปะปนด้วยพืชจำพวกหญ้าหรือวัชพืชต่าง ๆ ปกคลุม หรือในบางพื้นที่อาจวางไข่ในแหล่งน้ำหรือพื้นที่เปิดโล่ง ทั้งตัวผู้และตัวเมียช่วยกันดูแลไข่จนกระทั่งฟักออกมา ซึ่งมีความรักและผูกพันต่อลูกมาก ซึ่งเป็นลักษณะการดูแลลูกของสัตว์ในอันดับอาร์โคซอร์ เช่นเดียวกับสัตว์ปีกและไดโนเสาร์ การกำหนดเพศของตัวอ่อนขึ้นอยู่กับปัจจัยทางอุณหภูมิ อาหารส่วนมากเป็นสัตว์น้ำ แต่ก็อาจจะกินสัตว์อย่างอื่นหรือแม้กระทั่งสัตว์ที่ใหญ่กว่าได้ โดยมีมักหากินในเวลากลางคืน โดยลากลงไปในน้ำและใช้วิธีกดให้เหยื่อจมน้ำตายก่อนแล้วจึงกิน นับเป็นสัตว์กินเนื้อที่มีประสิทธิภาพในการล่าเหยื่อสูงมากจำพวกหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ในเขตอบอุ่นและเขตร้อนทั่วโลก และพบได้จนถึงแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำเค็ม เช่น ปากแม่น้ำหรือป่าโกงกาง แม้ส่วนใหญ่จะอาศัยและหากินในน้ำจืดเป็นหลักก็ตาม.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับจระเข้ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับทัวทารา

อันดับทัวทารา (Tuatara) เป็นอันดับของสัตว์เลื้อยคลานอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhynchocephalia สัตว์เลื้อยคลานในอันดับนี้ เดิมเคยมีอยู่หลากหลายชนิด และหลายวงศ์ มีการแพร่กระจายพันธุ์อย่างกว้างขวาง แต่จนถึงปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปเกือบหมดแล้ว ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่เพียงวงศ์เดียว และมีถิ่นกำเนิดและกระจายพันธุ์เฉพาะในหมู่เกาะของนิวซีแลนด์เท่านั้น สันนิษฐานว่าสัตว์เลื้อยคลานในอันดับทัวทาราเป็นบรรพบุรุษของ Squamata หรือ งูและกิ้งก่า เนื่องจากมีลักษณะร่วมกันหลายประการ เช่น ช่องเปิดทวารร่วมเป็นรอยผ่าตามขวางลำตัว, ลิ้นมีรอยหยักทางด้านหน้า, กระบวนการลอกของผิวหนัง, การเกาะติดของฟันติดกับพื้นผิวกระดูกโดยตรง, ตำแหน่งที่ปล่อยหางหลุดจากลำตัว, มีถุงขนาดเล็กที่อยู่ด้านท้ายของห้องทวารร่วมซึ่งเปรียบเทียบได้กับถุงพีนิสของงูและกิ้งก่า รวมทั้งโครงสร้างทางกายวิภาคหลายประการ แต่ก็ยังมีลักษณะที่แตกต่างไปออกจาก Squamata เช่น กระดูกควาเดรทเป็นชิ้นเล็ก, มีกระดูกแกสทราเลียในกล้ามเนื้อผนังช่องท้อง, ฟันบนกระดูกพาลาทีนมีขนาดใหญ่, ก้านกระดูกโคโรนอยด์ของขากรรไกรล่างเป็นชิ้นใหญ่ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับทัวทารา · ดูเพิ่มเติม »

อันดับของขนาด (ความยาว)

ไม่มีคำอธิบาย.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับของขนาด (ความยาว) · ดูเพิ่มเติม »

อันดับด้วง

้วง หรือ แมลงปีกแข็ง (Beetle) จัดเป็นแมลงในอันดับ Coleoptera ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นอันดับย่อยอีก 4 อันดับ (ดูในตาราง) จัดเป็นแมลงที่มีวงจรชีวิตสมบูรณ์ คือ เป็น ไข่, หนอน, ดักแด้ และตัวเต็มวัย ด้วง หรือ แมลงปีกแข็งนั้น นับเป็นแมลงที่มีจำนวนมากที่สุดในโลก กล่าวคือ มีประมาณร้อยละ 40 ของแมลงที่มีอยู่ทั้งหมด (ประมาณ 400,000 ชนิด) มีลักษณะเด่นโดยรวม คือ ในวัยเต็มตัวจะมีปีก 2 คู่ โดยปีกคู่หน้าเป็นปีกที่มีความแข็งเท่ากันหรือเกือบเท่ากันตลอดทั้งแผ่น เรียกว่า Elytra ซึ่งมาจากภาษากรีก (ἔλυτρον) ซึ่งหมายถึง แผ่น หรือ ปีก ส่วนปีกคู่หลังเป็นแผ่นปีกใหญ่ค่อนข้างโปร่งแสง เมื่อเวลาเกาะอยู่ปีกคู่หลังจะพับซ้อนกันอย่างมีระเบียบและซ่อนอยู่ภายใต้ปีกคู่หน้าอย่างมิดชิด และเมื่อต้องการบิน ปีกคู่หลังนี้จะกางออก โดยการเปิดกางออกของปีกคู่หน้าขึ้นก่อนที่จะเหยียดกางปีกคู่หลังนี้ออกมาบินอย่างรวดเร็ว เมื่อเวลาที่จะเกาะหรือคลาน จะหุบปีกโดยปีกคู่หน้าจะประกบกันสนิทเป็นเส้นตรงอยู่ตรงกลางลำตัว ปีกคู่หน้าจึงทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันตัวและปีกคู่หลัง ในขณะที่บินปีกคู่หน้านี้จะไม่ช่วยในการบินแต่จะช่วยในการทรงตัว อย่างไรก็ตาม จะมีด้วงบางชนิดที่ปีกคู่หน้าเชื่อมติดกัน จึงไม่สามารถบินได้ และบางชนิดก็มีปีกคู่หน้าเล็กหรือสั้นกว่าลำตัวมากจนไม่สามารถปิดส่วนท้องได้สนิท.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับด้วง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับตุ่น

อันดับตุ่น (อันดับ: Soricomorpha) เป็นอันดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันดับหนึ่ง การอนุกรมวิธานของสัตว์ในอันดับนี้ ถูกแยกออกจากอันดับสัตว์กินแมลง (Insectivora) พร้อมกับอันดับเทนเรค (Afrosoricida), อันดับหนูผีช้าง (Macroscelidea) และอันดับเฮดจ์ฮอก (Erinaceomorpha) ขณะที่ข้อมูลบางแหล่งยังถือว่าอยู่ในอันดับสัตว์กินแมลงอยู่ สัตว์ที่อยู่ในอันดับนี้ ถูกแบ่งออกด้วยกันเป็น 4 วงศ์ ได้แก่ หนูผี (Soricidae), ตุ่น (Talpidae) และโซเลนโนดอน (Solenodontidae) ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมลักษณะคล้ายหนูผี แต่ถูกแยกออกจากกันเป็นคนละวงศ์ ซึ่งเป็นสัตว์หายาก พบได้เฉพาะที่ประเทศคิวบาเท่านั้น และสูญพันธุ์ไป 1 วงศ์ คือ Nesophontidae.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับตุ่น · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลากระเบน

อันดับปลากระเบน (อันดับ: Myliobatiformes) เป็นอันดับของปลากระดูกอ่อนกลุ่มหนึ่ง ในอันดับใหญ่ Batoidea ถือเป็น 1 ใน 4 อันดับในอันดับใหญ่นี้ ซึ่งปลาที่อยู่ในอันดับนี้ มีรูปร่างโดยรวม คือ มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ พบทั้งในทะเล, น้ำกร่อย และน้ำจืด ลำตัวแบนลงมาก ครีบอกแผ่ออกด้านข้าง มีเหงือกประมาณ 5 คู่ อยู่ด้านล่างของส่วนหัว บริเวณถัดจากส่วนท้ายของนัยน์ตามีรูเปิดข้างละช่อง มีส่วนหางที่ยื่นยาวเหมือนแส้ในบางวงศ์ หรือ บางวงศ์มีครีบที่แผ่ออกไปด้านข้างลำตัวเหมือนปีกของนกหรือผีเสื้อ ทำให้ว่ายน้ำได้เหมือนการโบยบินของนก บางสกุลหรือบางวงศ์มีหางที่สั้น ลำตัวแบนกลมเหมือนจานข้าวหรือแผ่นซีดี โดยมากเป็นปลาที่หากินตามหน้าดิน โดย อาหารหลักได้แก่ ครัสเตเชียนและหอยชนิดต่าง ๆ ในบางวงศ์เท่านั้น ที่หากินในระดับใกล้ผิวน้ำและกินอาหารเป็นแพลงก์ตอนด้วยการกรองเข้าปาก.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลากระเบน · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลากะพง

อันดับปลากะพง (อันดับ: Perciformes; Bass, Snapper, Perch, Jack, Grunter) เป็นการจำแนกอันดับของปลาจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Perciformes (/เพอร์-ซิ-ฟอร์-เมส/) ซึ่งเป็นปลากระดูกแข็ง คิดเป็นร้อยละ 40 ของปลากระดูกแข็งทั้งหมด ลักษณะเด่นของปลาในอันดับนี้คือ เป็นปลากินเนื้อ เกล็ดมีลักษณะสากขอบเป็นหยักแข็ง ปากยาวมีลักษณะยืดหดได้ มีก้านครีบแข็ง หรือ Spine ที่ครีบหลังตอนหน้า พบได้ทั้ง น้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล สำหรับวงศ์ปลาที่อยู่ในอันดับนี้มีอยู่มากมายถึง 156 วงศ์ (ดูในเนื้อหา) โดยสามารถแบ่งได้เป็นอันดับย่อยลงไปอีก (ดูในตาราง).

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลากะพง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาลิ้นกระดูก

อันดับปลาลิ้นกระดูก (อังกฤษ: Bony tongues fish) เป็นอันดับของปลากระดูกแข็งจำพวกหนึ่งที่มีวิวัฒนาการไม่ต่างจากปลาในยุคก่อนประวัติศาสตร์มากนัก ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Osteoglossiformes (/ออส-ที-โอ-ฟอร์-เมส/) จากฟอสซิลอายุกว่า 60 ล้านปี ที่ค้นพบในทวีปอเมริกาเหนือ บรรพบุรุษของปลาในอันดับนี้มีขนาดใหญ่ ยาวกว่า 14 ฟุต มีลักษณะพิเศษคือ บริเวณส่วนหัวและลิ้นเป็นกระดูกแข็ง อันเป็นที่มาของชื่อ ทั้งหมดเป็นปลาน้ำจืด ไม่พบในทะเล เป็นปลากินเนื้อ มีการกระจายพันธุ์ทั่วโลกในเขตร้อนและเขตอบอุ่น พบทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียใต้, ทวีปแอฟริกา, ทวีปอเมริกาใต้, ทวีปออสเตรเลี.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาลิ้นกระดูก · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาสเตอร์เจียน

Peipiaosteidae - ''Yanosteus longidorsalis'' อันดับปลาสเตอร์เจียน (อันดับ: Acipenseriformes, Sturgeon, Paddlefish) เป็นอันดับของปลากระดูกแข็งอันดับหนึ่ง ที่อยู่ในชั้นย่อย Chondrostei เช่นเดียวกับปลาในอันดับ Polypteriformes หรือ ปลาไบเคอร์ ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดที่พบในทวีปแอฟริกา ปลาในอันดับปลาสเตอร์เจียน นี้เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ อาจยาวเมื่อโตเต็มที่ได้ถึง 5-10 เมตร เป็นปลาน้ำจืดที่จัดเป็นปลาสองน้ำ ที่มีวงจรชีวิตในช่วงวัยอ่อนอยู่ในชายฝั่งหรือปากแม่น้ำ มีรูปร่างโดยทั่วไปภายนอกคล้ายปลาฉลาม ที่เป็นปลากระดูกอ่อน ลักษณะโดยรวมของปลาในอันดับนี้ คือ มีเกล็ดเป็นแบบกานอยด์ คือ เกล็ดสาก ซึ่งเป็นเกล็ดที่พบในปลามีกระดูกสันหลังในยุคแรก มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมรูปว่าวและมีส่วนยื่นรับกับข้อต่อ ระหว่างเกล็ดแต่ละชิ้น มีลำไส้ที่ขดเป็นเกลียวมากกว่าปลากระดูกแข็งในอันดับอื่น ๆ ในปัจจุบัน เหลือปลาในอันดับเพียง 2 วงศ์เท่านั้น คือ วงศ์ปลาสเตอร์เจียน (Acipenseridae) และ วงศ์ปลาฉลามปากเป็ด (Polyodontidae) พบทั้งหมดราว 28 ชนิด จากที่เคยมีทั้งหมด 4 วงศ์ แต่ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาสเตอร์เจียน · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาหลังเขียว

อันดับปลาหลังเขียว (อันดับ: Clupeiformes) เป็นอันดับของปลากระดูกแข็งอันดับหนึ่ง ใช้ชื่ออันดับว่า Clupeiformes เป็นปลาที่มีถุงลมมีท่อนิวเมติกเชื่อมต่อไปยังลำไส้ เส้นข้างลำตัวมักขาด แต่มีเกล็ดและครีบเช่นปลาในอันดับอื่น ๆ โดยมากแล้วมักจะมีลำตัวสีเงิน และมีส่วนหลังสีเขียว อันเป็นที่มาของชื่อ อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยมากแล้วจะกินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร โดยผ่านซี่กรองเหงือก และไม่มีฟัน แต่ก็มีบางชนิดหรือบางวงศ์ที่กินเนื้อเป็นอาหารและมีฟัน เช่นกัน พบทั้งหมด 6 วงศ์ ประมาณ 300 ชนิด ซึ่งปลาในอันดับนี้จะมีชื่อที่เป็นที่รู้จักกันในภาษาไทยเรียกรวม ๆ กันว่า "ปลาหลังเขียว", "ปลาตะลุมพุก", "ปลามงโกรย", "ปลากะตัก", "ปลาไส้ตัน", "ปลาทราย", "ปลากล้วย" เป็นต้น ในขณะที่ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า "Herring", "Sardine", "Anchovy" หรือ " Shad" เป็นต้น พบได้ทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล เป็นปลาที่มีความสำคัญต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากจะถูกจับนำมาบริโภคในฐานะปลาเศรษฐกิจและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ปลากระป๋องหรือน้ำปลา เป็นต้น โดยคำว่า Clupeiformes นั้นมาจากภาษาละติน "clupea" หมายถึง "ปลาซาร์ดีน" กับคำว่า "forma" หมายถึง "แหลมคม".

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาหลังเขียว · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาหัวตะกั่ว

อันดับปลาหัวตะกั่ว หรือ อันดับปลาออกลูกเป็นตัว (Toothcarp) เป็นอันดับของปลากระดูกแข็งขนาดเล็กอันดับหนึ่ง พบกระจายพันธุ์โดยทั่วไปในแหล่งน้ำจืดและน้ำกร่อยของเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก ใช้ชื่ออันดับว่า Cyprinodontiformes โดยมากแล้วเป็นปลาที่มีขนาดเล็กมีความยาวโดยเฉลี่ยไม่เกิน 10 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินและอาศัยบริเวณผิวน้ำ โดยเฉพาะริมฝั่งที่มีไม้น้ำหรือร่มไม้ขึ้นครึ้ม ส่วนมากมีสีสันสวยงาม มีความแตกต่างระหว่างตัวผู้และตัวเมียค่อนข้างชัดเจน พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในทวีปอเมริกาเหนือ, อเมริกากลางจนถึงอเมริกาใต้, แอฟริกา และบางส่วนในทวีปเอเชีย เช่น เอเชียใต้ และเอเชียอาคเนย์ ปลาในอันดับนี้ส่วนมากออกลูกเป็นไข่ แต่มีบางชนิดออกลูกเป็นตัว ชนิดที่ออกลูกเป็นตัวจะมีลักษณะเฉพาะ คือ ตัวผู้จะมีอวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งมีการพัฒนาลักษณะโครงสร้างมาจากก้านครีบก้นคือ จะมีลักษณะแหลมยาวเรียกว่า โกโนโพเดียม ซึ่งจะใช้เป็นอวัยวะนี้ผสมพันธุ์กับตัวเมียส่วนอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกของตัวเมียจะมีช่องเพศอยู่บริเวณหน้าครีบก้น ซึ่งตัวผู้จะใช้อวัยวะที่เรียกว่าโกโนโพเดียม สอดเข้าไปในช่องเพศของตัวเมีย และส่งน้ำเชื้อเข้าไปผสมกับไข่ของตัวเมียหรืออาจจะถูกเก็บไว้ในท่อนำไข่ ปลาในอันดับนี้สามารถออกลูกเป็นตัว โดยไข่ที่อยู่ในท้องของตัวเมียจะถูกผสมโดยน้ำเชื้อของตัวผู้ และไข่ก็จะพัฒนาอยู่ในท้องของตัวเมียจนกระทั่งฟักออกเป็นตัว ซึ่งปลาตัวเมียที่ได้ผสมกับปลาตัวผู้เพียงครั้งเดียว จะสามารถให้ลูกได้ต่อไปอีกหลายครั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับการผสมพันธุ์กับตัวผู้อีกเลย โดยไข่จะผสมพันธุ์กับน้ำเชื้อที่ถูกกักเก็บไว้ในท่อนำไข่ ซึ่งการที่ปลาออกลูกเป็นตัวตัวเมียสามารถกักเก็บน้ำเชื้อตัวผู้ได้ยาวนานนั้นขึ้นอยู่ชนิดและความสมบูรณ์ของตัวแม่ปลา ปลาในอันดับนี้โดยรวม เป็นที่รู้จักกันดีของมนุษย์ โดยมิได้นำมารับประทานเป็นปลาเศรษฐกิจ แต่มีการนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามกันมาอย่างยาวนานแล้ว เพราะเลี้ยงง่าย มีความสวยงาม เนื่องจากเป็นปลาขนาดเล็ก และมักว่ายอยู่บรเวณผิวน้ำ ซึ่งในปัจจุบันมีการเพาะขยายพันธุ์กันอย่างกว้างขวางนเกิดเป็นสายพันธุ์แปลก ๆ และสวยงามกว่าที่มีอยู่ในธรรมชาติจริง ๆ มากมาย อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการกำจัดลูกน้ำซึ่งเป็นตัวอ่อนของยุงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยปลาในวงศ์นี้ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ วงศ์ปลาหัวตะกั่ว (Aplocheilidae) และ วงศ์ปลาสอด (Poeciliidae) ซึ่งรวมถึงปลาหางนกยูง (Poecilia reticulata) ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาหัวตะกั่ว · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาหนัง

อันดับปลาหนัง หรือ ตระกูลปลาหนัง (Catfish) เป็นอันดับทางอนุกรมวิธานของปลากระดูกแข็งอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Siluriformes (/ซิ-ลู-ริ-ฟอร์-เมส/) อันดับปลาหนังเป็นอันดับที่มีจำนวนปลามากถึง 35 วงศ์ และ 2,867 ชนิด ซึ่งประกอบไปด้วยปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น ปลาดุก, ปลาสวาย, ปลาบึก, ปลาเนื้ออ่อน, ปลาก.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาหนัง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ

อันดับปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ เป็นอันดับปลากระดูกแข็งอันดับหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syngnathiformes ปลาในอันดับนี้มีรูปร่างประหลาดไปกว่าปลาในอันดับอื่น ๆ กล่าวคือ มีรูปร่างที่เรียวยาวเหมือนหลอดหรือกิ่งไม้ เป็นปลาขนาดเล็ก ในปากไม่มีฟัน ไม่มีขากรรไกร แต่จะมีลักษณะคล้ายท่อดูด ไว้สำหรับดูดอาหารจำพวก แพลงก์ตอนสัตว์ขนาดเล็กหรือสัตว์น้ำขนาดเล็กชนิดอื่น ๆ มีขนาดโดยเฉลี่ยเต็มที่ไม่เกิน 30 เซนติเมตร พบได้ทั้งในน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล ซึ่งคำว่า "Syngnathiformes" นั้นมาจากภาษากรีก แปลว่า "ติดกับขากรรไกร" โดยมาจากภาษากรีกโบราณ คำว่า συν แปลว่า ด้วยกัน กับ γνάθος แปลว่า ขากรรไกร และ "formes" มาจากภาษาลาตินที่หมายถึง "รูปแบบที่คล้ายคลึงกัน".

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาคาราซิน

อันดับปลาคาราซิน (Characins) หรือ อันดับปลาตะเพียนกินเนื้อ เป็นอันดับปลาน้ำจืดวงศ์หนึ่งที่พบในทวีปอเมริกาเหนือจรดถึงทวีปอเมริกาใต้และทวีปแอฟริกา โดยใช้ชื่ออันดับว่า Characiformes สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็นหลายวงศ์ โดยมี วงศ์ปลาคาราซิน (Characidae) เป็นวงศ์หลักที่มีจำนวนสมาชิกมาก หลายชนิดเป็นปลาที่รู้จักดี เช่น ปลาปิรันย่า, ปลาเปคู หรือ ปลาขนาดเล็ก ที่เป็นปลาสวยงาม เช่น ปลานีออน เป็นต้น ซึ่งปลาในขนาดเล็กในอันดับนี้มักถูกเรียกชื่อสามัญในภาษาอังกฤษว่า "เตตร้า" (Tetra) จุดเด่นของปลาในอันดับนี้ คือ มีครีบไขมัน ซึ่งเป็นครีบขนาดเล็กที่เป็นร่องรอยเหลือจากวิวัฒนาการในอดีตหลงเหลืออยู่ ที่ปัจจุบันนี้ไม่ได้ใช้งานแล้ว ปรากฏอยู่ระหว่างครีบหลังก่อนถึงต้นครีบหาง วงศ์ในอันดับปลาคาราซินมีตามนี้.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาคาราซิน · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาคางคก

ปลาคางคก (อังกฤษ: Toadfishes, Frogfishes) เป็นปลาทะเลจำพวกปลากระดูกแข็งกลุ่มหนึ่ง ในอันดับ Batrachoidiformes และวงศ์ Batrachoididae ซึ่งมีเพียงวงศ์เดียวเท่านั้นที่อยู่ในอันดับนี้.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาคางคก · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาตะเพียน

อันดับปลาตะเพียน หรือ อันดับปลากินพืช (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cypriniformes, Carp, Barb, Loach, Minnow, Chinese suckerfish, Garra) เป็นอันดับของปลาจำพวกหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยปลาตะเพียน, ปลาทอง, ปลาคาร์ป, ปลาซิว เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ Cyprinidae มีลักษณะโดยรวมคือ ลำตัวมีเกล็ด ส่วนใหญ่แบนข้าง สันท้องกลมหรือเป็นสันคม ไม่มีหนามที่สันท้อง ตาไม่มีหนังคลุม ปากมีหลายตำแหน่งทั้งอยู่ตรงด้านหน้า เฉียงขึ้น หรืออยู่ทางด้านล่าง บางชนิดยืดหดได้เล็กน้อย บางชนิดมีลักษณะคล้ายปากดูด ส่วนใหญ่ไม่มีฟันบนขากรรไกรหรือบางชนิดที่มีก็มีไม่เกิน 8 ซี่ รอยต่อส่วนปลายของขากรรไกรล่างมีปมยื่นออกมาเรียกว่า ซิมไซซีล นอบ ริมฝีปากบางอาจมีหรือไม่มีติ่งเนื้อ บางชนิดไม่มีริมฝีปาก ไม่มีหนามใต้ตา หรือหน้าตา ช่องเปิดเหงือกกว้างกระดูกโอเพอร์เคิล เจริญดี มีหนวด 1-2 คู่ หรือไม่มี ก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายของครีบหลังอาจแข็ง หรือไม่แข็ง อาจมีหยักด้านในหรือไม่มี ไม่มีครีบไขมัน มีฟันที่หลอดคอ 1-3 แถว ขอบปากเป็นกระดูกพรีแมคซิลลา ขากรรไกรบนยืดหดได้ บางชนิดครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยว มีครีบหลังตอนเดียว ถุงลมมีขนาดค่อนข้างใหญ่ส่วนใหญ่แบ่งออกเป็นสองตอน ไม่ถูกแผ่นกระดูกปกคลุมไว้ เป็นปลาที่กระจายอยู่ทั่วไปในทุกภูมิภาคของโลก ทั้งอเมริกาเหนือ, ทวีปยูเรเชียและทวีปเอเชีย มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ พบในน้ำจืดมากกว่าทะเล ส่วนใหญ่เป็นปลาที่กินพืชเป็นอาหาร ไม่มีกระเพาะอาหาร แต่ก็มีหลายชนิดที่กินเนื้อหรือแพลงก์ตอน เป็นปลาที่มนุษย์คุ้นเคยมานานเพราะใช้เป็นอาหาร นอกเหนือจากปลาในวงศ์ Cyprinidae แล้ว ยังมีปลาในวงศ์อื่นอีกที่อยู่ในอันดับนี้ประมาณ 5-6 วงศ์ ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาตะเพียน · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาตาเหลือก

อันดับปลาตาเหลือก (Tarpon, Ladyfish; อันดับ: Elopiformes) เป็นอันดับของปลากระดูกแข็งขนาดใหญ่อันดับหนึ่ง ใช้ชื่ออันดับว่า Elopiformes มีรูปร่างโดยรวม คือ มีปากกว้าง ที่ใต้คางระหว่างกระดูกกรามล่างมีแผ่นกระดูกแข็ง 1 ชิ้น เกล็ดมีสีเงินแวววาวตลอดทั้งลำตัว ตามีขนาดโต และมีเยื่อไขมันคลุมตาในบางชนิด เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร ในเมื่อยังเป็นปลาวัยอ่อน จะมีรูปร่างคล้ายกับปลาไหล ปัจจุบัน เหลือเพียง 2 วงศ์ 2 สกุล 9 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาตาเหลือก · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาฉลามฟันเลื่อย

ปลาฉลามฟันเลื่อย (Sawsharks, Sawfishes) เป็นอันดับของปลากระดูกอ่อนอันดับหนึ่ง ในชั้นย่อยปลาฉลาม ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pristiophoriformes มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลาฉนาก (Pristiformes) ซึ่งเป็นปลากระดูกอ่อนเช่นเดียวกัน หากแต่ถูกจัดให้อยู่ในชั้นย่อยปลากระเบน (Batoidea) คือ มีจุดเด่น มีอวัยวะที่ยื่นออกมาเป็นกระดูกแข็งจากส่วนหน้าที่มีลักษณะแบนราบแต่มีหนามแหลมอยู่ข้าง ๆ เป็นซี่ ๆ คล้ายฟันเลื่อยหรือกระบองแข็ง แต่ต่างจากปลาฉนากตรงที่มีหนวดยาวอยู่ 2 เส้นอยู่ด้วย และมีซี่กรองเหงือกอยู่หลังตาเหมือนปลาในชั้นย่อยปลาฉลาม มีครีบหลัง 2 ครีบ และครีบก้น แบ่งออกได้เป็น 2 สกุล คือ Pliotrema ซึ่งมีซี่กรองเหงือก 6 ช่อง กับ Pristiophorus มีซี่กรองเหงือก 5 ช่อง เหมือนเช่นปลาฉลามทั่วไป มีความเต็มที่ประมาณ 170 เซนติเมตร ปลาฉลามฟันเลื่อย พบกระจายพันธุ์อยู่ตามพื้นทะเล ในเขตของทะเลญี่ปุ่น, แอฟริกาใต้ จนถึงแอฟริกาใต้ มีพฤติกรรมความเป็นอยู่ทั่วไปคล้ายกับปลาฉนาก โดยหากินสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ ตามหน้าดินและปลาต่าง ๆ เป็นอาหาร ออกลูกเป็นตัว อยู่ในความลึกตั้งแต่ 40 เมตรจนถึงลึกกว่านั้น โดยคำว่า Pristis เป็นภาษากรีกแปลว่า "เลื่อย" รวมกับคำว่า pherein แปลว่า "เพื่อนำมา".

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาฉลามฟันเลื่อย · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาฉลามกบ

อันดับปลาฉลามกบ (Carpet shark, อันดับ: Orectolobiformes) เป็นอันดับของปลากระดูกอ่อนอันดับหนึ่ง อยู่ในชั้นปลาฉลาม ใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Orectolobiformes มีลักษณะโดยรวม คือ มีครีบหลัง 2 อัน ไม่มีหนามแข็งที่ครีบหลัง มีครีบหลัง 2 ครีบ มีครีบก้น ปากเล็กอยู่ทางด้านล่าง มีหนวดอยู่ทางด้านหน้าของปาก มีร่องเชื่อมระหว่างจมูกและปาก เรียกว่าโอโรนาซัล กรูฟ หรือ นาโซรัล กรูฟ มีช่องดึงน้ำเข้าจากทางด้านบนบริเวณหลังตา ตั้งแต่ขนาดใหญ่จนถึงขนาดเล็กอยู่ด้านหลังของตา ยกเว้นบางชนิดที่มีช่องเปิดเหงือก 5 ช่อง โดยที่ช่องที่ 4 และช่องที่ 5 อยู่หลังจุดเริ่มต้นของครีบหู ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บริเวณพื้นท้องน้ำ ชอบหลบอยู่ระหว่างก้อนหินหรือสาหร่ายหรือแนวปะการัง แต่บางชนิดก็กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร มีทั้งหมด 43 ชนิด ใน 13 สกุล แบ่งออกเป็น 7 วงศ์ ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาฉลามกบ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาฉลามหลังหนาม

อันดับปลาฉลามหลังหนาม (Dogfish shark, วงศ์: Squaliformes) เป็นอันดับของปลากระดูกอ่อนในชั้นปลาฉลามอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Squaliformes มีลักษณะโดยรวม คือ มีลำตัวเป็นรูปทรงกระบอก ส่วนหัวเป็นรูปกรวยไม่แผ่ออกทางด้านข้าง ช่องรับน้ำด้านหลังตามีขนาดเล็กจนถึงมีขนาดใหญ่ จมูกและปากไม่มีร่องเชื่อมติดต่อกัน ตาอยู่ทางด้านข้างของส่วนหัว ปากค่อนข้างกว้างและโค้ง มีหนังที่บริเวณมุมปาก ฟันมีขนาดค่อนข้างใหญ่มีหลายขนาด มีครีบหลัง 2 ตอน ด้านหน้าครีบหลังอาจมีหรือไม่มีหนามแข็งหน้าครีบหลัง ไม่มีครีบก้น ส่วนใหญ่เป็นปลาฉลามที่มีขนาดเล็ก แบ่งออกได้เป็น 7 วงศ์ 97 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาฉลามหลังหนาม · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาฉลามหัววัว

อันดับปลาฉลามหัววัว (อันดับ: Heterodontiformes) เป็นอันดับของปลาในชั้นปลากระดูกอ่อน ในชั้นย่อยปลาฉลามจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Heterodontiformes รูปร่างโดยรวมของปลาฉลามในอันดับนี้ คือ มีช่องเปิดเหงือก 3 ช่องสุดท้ายอยู่เหนือจุดเริ่มต้นของครีบอก ช่องรับน้ำมีขนาดเล็กอยู่ทางด้านหลังของตา ไม่มีหนวด มีร่องลึกเชื่อมระหว่างจมูกกับปาก แผ่นเนื้อที่อยู่ทางด้านหน้าของปากยาวถึงปาก ไม่มีแผ่นหนังปิดตา มีส่วนหัวที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมและสั้นคล้ายกับส่วนหัวของวัวอันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีครีบหลัง 2 ครีบ ซึ่งมีเงี่ยงที่มีรายงานว่ามีพิษ เป็นปลาฉลามขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 1.50 เซนติเมตร อาศัยและหากินตามพื้นทะเล และเป็นปลาที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคจูแรซซิก ออกลูกเป็นไข่ ไข่มีลักษณะคล้ายกับเกลียวที่เปิดจุกไวน์มีสีคล้ำ ตามกอสาหร่าย ไข่บางส่วนจะถูกกระแสน้ำซัดขึ้นไปเกยหาดไม่มีโอกาสฟักเป็นตัว ในส่วนที่ฟักเป็นตัวจะใช้เวลาประมาณ 9 เดือน.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาฉลามหัววัว · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาฉลามขาว

อันดับปลาฉลามขาว (Mackerel shark) เป็นอันดับของปลากระดูกอ่อนในชั้นปลาฉลามอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อว่า Lamniformes มีลักษณะโดยรวม คือ มีช่องเปิดเหงือกด้านละ 5 ช่อง ช่องเปิดเหงือกช่องที่ 4 และช่องที่ 5 อยู่เหนือฐานของครีบอก ไม่มีช่องรับน้ำบริเวณด้านหลังของตาหรือถ้ามีจะมีขนาดเล็ก จมูกไม่มีหนวด และไม่มีร่องเชื่อมระหว่างจมูก และปาก nตาอยู่ทางด้านข้างของส่วนหัวเยื้องขึ้นมาทางด้านบนเล็กน้อย ครีบหลังทั้งสองครีบไม่มีหนามแข็งอยู่ทางด้านหน้า มีครีบหลัง 2 ครีบ มีครีบก้น ปากกว้างเป็นแบบพระจันทร์เสี้ยวมุมปากอยู่ทางด้านหลังของตา จะงอยปากแหลมเป็นรูปกรวย มีทั้งหมดทั้งสิ้น 7 วงศ์ 60 ชนิดที่ยังคงมีชีวิตมาจนถึงปัจจุบันนี้.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาฉลามขาว · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาฉลามครุย

อันดับปลาฉลามครุย (อันดับ: Hexanchiformes, Frilled shark, Cow shark) เป็นอันดับของปลาในชั้นปลากระดูกอ่อนอันดับหนึ่ง ในชั้นย่อยปลาฉลาม ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hexanchiformes มีลักษณะแตกต่างจากปลาฉลามในอันดับอื่น คือ มีเหงือกและช่องเหงือก 6 หรือ 7 ช่องในแต่ละด้าน ซึ่งปลาฉลามที่ส่วนใหญ่มีเพียงแค่ 5 และไม่มีเยื่อหุ้มตา มีเพียงครีบหลังครีบเดียว เป็นปลาฉลามที่ถือกำเนิดมาจากในยุคจูราซซิค แบ่งออกเป็น 3 วงศ์ (ดูในตาราง) อาศัยอยู่ในเขตน้ำลึก ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ 6 ชนิด เพราะได้สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยมีหลักฐานเป็นฟอสซิล ซึ่งปลาฉลามในอันดับนี้ที่ได้ปรากฏมาและเป็นที่ฮือฮาในเขตทะเลญี่ปุ่น คือ ปลาฉลามครุย (Chlamydoselachus anguineus) ที่มีลำตัวเรียวยาวคล้ายปลาไหล และมีปากที่กว้างมาก.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาฉลามครุย · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาฉลามครีบดำ

อันดับปลาฉลามครีบดำ (Ground shark) เป็นอันดับของปลากระดูกอ่อนในชั้นย่อยปลาฉลาม ใช้ชื่ออันดับว่า Carcharhiniformes มีลักษณะโดยรวม คือ มีครีบหลังสองตอน ไม่มีหนามแข็งหน้าครีบหลัง มีช่องเปิดเหงือกห้าช่องอยู่ทางด้านข้างของส่วนหัว ส่วนใหญ่มีช่องรับน้ำขนาดเล็กอยู่หลังตา หรือบางชนิดไม่มี ไม่มีหนวดที่จมูก ไม่มีร่องเชื่อมระหว่างจมูกและปาก ไม่มีแผ่นหนังบริเวณมุมปาก ปากมีขนาดใหญ่ กว้าง โค้งแบบพระจันทร์เสี้ยว ฟันมีหลายรูปแบบด้านหน้าเป็นแบบฟันเขี้ยวแหลมคมทางตอนท้ายมักเป็นฟันบด ช่องที่ 3-5 มักอยู่เหนือฐานครีบอก ไม่มีซี่กรองเหงือก ตามีหนังหุ้ม ลำไส้เป็นแบบบันไดวน หรือ แบบม้วน สามารถแบ่งออกได้เป็น 8 วงศ์ คือ.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาฉลามครีบดำ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาซีกเดียว

อันดับปลาซีกเดียว (Flatfish) ปลากระดูกแข็งในกลุ่มปลาที่มีก้านครีบ พบได้ทั้งทะเล, น้ำกร่อย และน้ำจืด ในภาษาไทยมักเรียกปลาในอันดับนี้รวม ๆ กัน เช่น "ลิ้นหมา", "ซีกเดียว", "ยอดม่วง", "ลิ้นเสือ", "ลิ้นควาย", "ใบไม้" หรือ "จักรผาน" เป็นต้น โดยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pleuronectiformes.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาซีกเดียว · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาปักเป้า

อันดับปลาปักเป้า (Puffers, Sunfishes, Triggerfishes, Filefishes) เป็นชื่อเรียกของปลาอันดับ Tetraodontiformes มีอยู่หลายชนิด หลายวงศ์ หลายสกุล อาศัยอยู่ทั้งในทะเล น้ำกร่อย และน้ำจืด โดยมากมีลำตัวกลม ครีบและหางเล็ก จึงว่ายน้ำได้เชื่องช้าดูน่ารัก หัวโต ฟันแหลมคมใช้สำหรับขบกัดสัตว์น้ำมีเปลือกต่าง ๆ เป็นอาหาร คนที่ลงเล่นน้ำจึงมักถูกกัดทำร้ายเป็นแผลบ่อย ๆ เมื่อตกใจหรือข่มขู่สามารถสูดน้ำหรือลมเข้าช่องท้องให้ตัวพองออกได้หลายลูกโป่ง ในบางชนิดมีหนามด้วย แต่การที่ปลาพองตัวออกเช่นนี้ จะมีผลกระทบต่ออวัยวะภายใน ในบางครั้ง เช่น ปลาตกใจอาจไปกระทบกับถุงลมซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ใช้ในการทรงตัวเมื่ออยู่ใต้น้ำ ให้แตกได้ ปลาปักเป้าที่เป็นเช่นนี้จะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ แต่จะลอยตัวอยู่บนผิวน้ำไปอย่างนั้น จนกระทั่งตาย เนื่องจากไม่สามารถป้องกันตัวหรือหากินได้อีก ปลาในอันดับนี้ที่รู้จักกันดี คือ ปลาปักเป้า ปักเป้าทุกชนิดเป็นปลาที่มีพิษในตัว โดยเฉพาะอวัยวะภายในและรังไข่ แม้บริโภคเพียงเล็กน้อยก็อาจถึงแก่ความตายได้ แต่บางชนิดในบางแหล่งน้ำหรือบางภูมิภาคก็มีผู้จับมาบริโภค โดยต้องรู้วิธีชำแหละเป็นพิเศษ เช่น ประเทศญี่ปุ่น นิยมบริโภคปลาปักเป้าโดยทำเป็นซูชิ จนเป็นอาหารประจำชาติญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเป็นที่รู้จัก วงศ์ปลาปักเป้ามีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 วงศ์ คือ Diodontidae ปลาในวงศ์นี้มีฟัน 2 ซี่ Tetraodontidae ปลาในวงศ์นี้มีฟัน 4 ซี่ และ Triodontidae ปลาในวงศ์นี้ลักษณะลำตัวแบนข้าง สำหรับในประเทศไทยพบปลาทั้ง 3 วงศ์นี้ ทั้งหมด 42 ชนิด เป็นชนิดในน้ำจืด 9 ชนิด อีก 33 ชนิด เป็นชนิดในน้ำกร่อยรวมถึงทะเล ในประเทศไทย มีการนำปลาปักเป้ามาจำหน่ายในท้องตลาดในชื่อปลาเนื้อไก่ ซึ่งผู้บริโภคอาจได้รับพิษทำให้รู้สึกชาที่ริมฝีปาก ลิ้น ปลายนิ้วมือ คลื่นไส้วิงเวียน แขนขาไม่มีแรง ยืนและเดินไม่ได้ หายใจลำบาก หมดสติ และอาจจะอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วได้ เนื่องจากสารพิษชื่อว่า เตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) ในหนังปลา ไข่ปลา เนื้อปลา ตับ และลำไส้ มีความทนต่อความร้อนสูง ความร้อนในการปรุงอาหาร การหุงต้ม การแปรรูป ไม่สามารถทำลายสารพิษดังกล่าวได้ ส่วนปลาในวงศ์อื่นแต่อยู่ในอันดับนี้ คือ ปลาแสงอาทิตย์ (Mola mola) ซึ่งเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดในอันดับนี้ด้วย รวมทั้งปลาวัว (Balistidae) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาปักเป้า · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลานวลจันทร์ทะเล

อันดับปลานวลจันทร์ทะเล (Milkfish) เป็นอันดับของปลากระดูกแข็งอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gonorynchiformes ลักษณะสำคัญของปลาในอันดับนี้ คือ มีช่องปากเล็ก ไม่มีฟันบนกระดูกขากรรไกร ตามีเยื่อไขมันใสคลุม ครีบอกอยู่ในตำแหน่งทางด้านล่างของลำตัว ครีบท้องอยู่ในตำแหน่งท้อง มีเกล็ดแบบอซิลลารี่ ขนาดใหญ่ที่ฐานของครีบท้องและครีบอก ไม่มีก้านครีบแข็งที่ครีบ มีกระดูกค้ำจุนกระพุ้งแก้ม 4 อัน มีกระเพาะลม ไม่มีกระดูกออร์บิทอสเฟนอย กระดูกพาร์ไรทัลมีขนาดเล็ก ไม่มีฟันบนกระดูกเซอราโทแบรนชิล คู่ที่ 5 กระดูกสันหลังสามข้อแรกเชื่อมติดต่อกัน.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลานวลจันทร์ทะเล · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาแมงป่อง

อันดับปลาแมงป่อง หรือ อันดับปลาสิงโต (Mail-cheeked fish, Scorpion fish, Sculpin, Stonefish) เป็นอันดับของปลาทะเลกระดูกแข็งอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scorpaeniformes ทั้งหมดเป็นปลากินเนื้อเป็นอาหาร มีลักษณะเด่น คือ ปากกว้าง มีลำตัวป้อม สามารถที่จะพรางตัวกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ ขณะที่หลายชนิดมีสีสันฉูดฉายลายตา มีครีบต่าง ๆ แผ่กางใหญ่ ครีบอกและครีบหางกลม บริเวณส่วนหัวมักมีหนามหรือติ่ง บางชนิดมีพัฒนาการของผิวหนังให้เป็นเส้นหรือแผ่นยื่นยาวออกมา มีทั้งว่ายน้ำได้ ซึ่งชนิดที่ว่ายน้ำนั้นมักจะว่ายช้า ๆ และนอนนิ่ง ๆ บนพื้นทราย เพื่อรอปลาเล็ก ๆ หลงเข้ามา โดยมีเงี่ยงพิษร้ายแรงที่บริเวณปลายครีบไว้เป็นอาวุธป้องกันตัวจากศัตรูผู้ล่า มิได้มีไว้เพื่อล่าอาหารแต่อย่างใด ซึ่งสามารถทำอันตรายต่อมนุษย์ได้ด้วย โดยพิษนั้นจะอยู่ที่ก้านครีบโดยเฉพาะครีบแหลมที่บนหลัง ครีบข้างลำตัว ครีบพิษเหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับการทิ่มแทงเหยื่อ เมื่อตกใจจะสะบัดครีบทิ่มแทงผู้รุกราน เมื่อครีบทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อ หนังหุ้มครีบจะลอกออก ต่อมพิษก็จะทำการฉีดพิษเข้าไปในบาดแผลผู้รุกราน ซึ่งเป็นสารประกอบโปรตีน พิษร้ายแรงนี้จะสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ที่โดนแทง จะมีอาการเจ็บปวดและอาจทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบประสาท, ระบบการเต้นของหัวใจล้มเหลวซึ่งจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ในส่วนของผู้บาดเจ็บทั่วไปอาจจะมีอาการเจ็บปวดนานราว 24 ชั่วโมงแล้วอาการก็จะทุเลาลง ในขณะที่บางรายอาจจะมีอาการเจ็บปวดไปอีกหลายวัน ปลาในอันดับนี้ ที่เป็นที่รู้จักดี คือ ปลาหิน, ปลาแมงป่อง, ปลาสิงโต ซึ่งสามารถจำแนกออกได้อีก 26 วงศ์ ใน 7 อันดับย่อ.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาแมงป่อง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาโรนัน

อันดับปลาโรนัน (อันดับ: Rajiformes, Skate, guitarfish) เป็นอันดับย่อยของอันดับ Batoidea ซึ่งจัดอยู่ในชั้นปลากระดูกอ่อน ปลาที่อยู่ในอันดับนี้มีลักษณะโดยรวมที่แตกต่างไปจากปลาในอันดับ Batoidea อันดับอื่น คือ มีครีบอกที่ใหญ่กว่า แผ่ขยายมากกว่า และอยู่ใกล้กับส่วนหัวซึ่งแบนราบอย่างเห็นได้ชัด มีตาอยู่บนด้านบนของหัว และซี่เหงือกอยู่ด้านล่างเหมือนปลากระเบนทั่วไป มีฟันใช้สำหรับบดอาหาร จำพวก ครัสเตเชียนและหอยชนิดต่าง ๆ ส่วนใหญ่เมื่อให้กำเนิดลูก ตัวอ่อนจะพัฒนาในแคปซูลที่มีรูปร่างเหมือนเขาสัตว์ ที่ถูกเรียก "กระเป๋านางเงือก" (Mermaid's purse) ซึ่งปลาที่อยู่ในอันดับนี้ที่เป็นรู้จักเป็นอย่างดี คือ ปลาโรนัน และ ปลาโรนิน รวมถึงปลากระบาง ซึ่งอันดับนี้เคยรวมเป็นอันดับเดียวกับ อันดับปลากระเบน คือ ปลากระเบนทั่วไป และ Pristiformes หรือปลาฉนากมาก่อนด้วย โดยคำว่า Rajiformes นั้น มาจากภาษาลาตินคำว่า "raja" ที่หมายถึง ปลากระเบน กับคำว่า "forma" ที่หมายถึง แหลมคม.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาโรนัน · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาไหล

อันดับปลาไหล หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ในชื่อสามัญว่า ปลาไหล เป็นปลากระดูกแข็งจำพวกหนึ่ง จัดอยู่ในอันดับใหญ่ที่ใช้ชื่อว่า Anguilliformes มีรูปร่างโดยรวมยาวเหมือนงู พบได้ทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย หรือน้ำเค็ม สามารถแบ่งออกได้เป็นอีกหลายอันดับย่อย ในหลายวงศ์ เช่น ในวงศ์ปลาตูหนา (Anguillidae), วงศ์ปลาไหลมอเรย์ (Muraenidae), วงศ์ปลาไหลทะเล (Ophichthidae), วงศ์ปลาไหลยอดจาก (Muraenesocidae), วงศ์ปลาไหลสวน (Congridae) เป็นต้น เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร ผิวหนังโดยมากเกล็ดจะมีขนาดเล็กแทบมองไม่เห็นและฝังอยู่ใต้ผิวหนัง มีลักษณะลื่น ครีบทั้งหมดมีขนาดเล็กและสั้น มักจะซุกซ่อนตัวอยู่ในวัสดุใต้น้ำประเภทต่าง ๆ เช่น ปะการัง, ก้อนหิน, โพรงไม้ หรือ ซากเรือจม ปลาที่อยู่ในอันดับปลาไหลนี้ พบแล้วประมาณ 4 อันดับย่อย, 19 วงศ์, 110 สกุล และประมาณ 800 ชนิด อนึ่ง ปลาบางประเภทที่มีรูปร่างยาวคล้ายปลาไหล แต่มิได้จัดให้อยู่ในอันดับปลาไหลได้แก่ ปลาไหลนา (Monopterus albus) ที่จัดอยู่ในอันดับปลาไหลนา (Synbranchiformes), ปลาปอด ถูกจัดอยู่ในอันดับ Lepidosireniformes และ Ceratodontiformes, ปลาไหลไฟฟ้า (Electrophorus electricus) อยู่ในอันดับ Gymnotiformes, ปลาไหลผีอะบาอะบา (Gymnarchus niloticus) อยู่ในอันดับ Osteoglossiformes, ปลางู (Pangio spp.) อยู่ในอันดับ Cypriniformes หรือแม้กระทั่ง ปลาแลมป์เพรย์ และแฮคฟิช ถูกจัดอยู่ในชั้น Agnatha ซึ่งอยู่คนละชั้นเลยก็ตาม เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาไหล · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาไหลนา

อันดับปลาไหลนา (Swamp eel) เป็นอันดับของปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยกระดูกแข็งอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Synbranchiformes มีรูปร่างโดยรวมเรียวยาวคล้ายปลาในอันดับปลาไหล (Anguilliformes) หรือปลาไหลแท้ ที่มีขนาดใหญ่กว่าและพบได้ในทะเลด้วย แต่ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย เกล็ดมีขนาดเล็ก แบบบางเรียบ หรือบางชนิดไม่มีเกล็ด ขอบปากของขากรรไกรบนเจริญมาจากกระดูกพรีแม็กซิลลา และกระดูกแม็กซิลลา คู่ขนานกันกับกระดูกฮูเมอรัล อาร์คไม่สามารถยืดหดได้ มีฟันบนขากรรไกร และเพดานปาก ไม่มีครีบท้อง ช่องเปิดเหงือกมีขนาดเล็กอยู่ทางด้านล่างของส่วนหัว หรือบริเวณคอหอย มีกระดูกแกนเหงือก 3-4 อัน อาจมีอวัยวะพิเศษช่วยในการหายใจ ครีบเดี่ยวอาจเสื่อมไป หรือมีหนังคลุม อาจมีหรือไม่มีครีบคู่ ไม่มีกระเพาะลม เส้นข้างลำตัวสมบูรณ์ แผ่นหนังหุ้มกระดูกกระพุ้งแก้มเชื่อมต่อกับคอคอด ตามีขนาดเล็ก พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทวีปแอฟริกาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และที่เกาะบอร์เนียว โดยแบ่งออกได้เป็น 3 วงศ์ คือ.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาไหลนา · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาไหลไฟฟ้า

อันดับปลาไหลไฟฟ้า (South American knifefish, Electric eel) เป็นอันดับของปลากระดูกแข็ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gymnotiformes โดยที่คำว่า Gymnotiformes นั้นมาจากภาษากรีกคำว่า "Gymnos" (Γυμνος) หมายถึง "เปลือย" และภาษาละตินคำว่า "forma" หมายถึง "คม" ปลาที่อยู่ในอันดับนี้มีลำตัวเรียวยาวคล้ายปลาไหล มีจุดเด่นคือไม่มีครีบหลัง ขณะที่ชายครีบก้นจะยาวมาก และมีมากกว่า 140 ก้านครีบ ซึ่งครีบก้นนี้ จะเริ่มตั้งแต่ตำแหน่งของครีบอก ครีบก้นของปลาในอันดับนี้จะถูกใช้ในการเคลื่อนไหวไปข้างหน้า และถอยหลัง โดยการโบกพริ้วอย่างรวดเร็ว ช่องทวาร จะอยู่บริเวณใต้ปลาพอดี รวมทั้งมีอวัยวะในการสร้างกระแสไฟฟ้า เพื่อใช้ในการนำทางในน้ำที่ขุ่นมัว, การสื่อสาร และล่าเหยื่อ โดยจะรับรู้ถึงวัตถุต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาได้ทางผิวหนัง โดยมากแล้วจะเป็นกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ เป็นปลาน้ำจืด กระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้ แบ่งเป็นวงศ์ได้ทั้งหมด 6 วงศ์ 2 อันดับย่อย โดยปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และอาจถือได้ว่าเป็นที่รู้จักดีที่สุดของอันดับนี้ คือ ปลาไหลไฟฟ้า ที่ยาวเต็มที่ได้ถึง 8.2 ฟุต และปล่อยกระแสไฟฟ้าได้แรงถึง 800 โวลต์ นับว่าสูงสุดในอันดับนี้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาไหลไฟฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาเหล็กใน

อันดับปลาเหล็กใน (Stickleback, Seamoth) เป็นอันดับของปลากระดูกแข็งอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gasterosteiformes มีลักษณะคล้ายกับปลาในอันดับปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ (Syngnathiformes) คือ เกล็ดที่ลำตัวแข็งเป็นปล้องคล้ายเกราะ จะงอยปากมีลักษณะเป็นท่อยาว ปากมีขนาดเล็ก บางชนิดมีเหงือกเป็นแผ่น มีหรือไม่มีครีบหลัง ไม่มีกระดูกซี่โครง ลำตัวแคบมักมีเกราะหุ้ม กระดูกสันหลังข้อที่ 3-6 ข้อแรกยาวเป็นพิเศษ ไตมีส่วนของกโลเมเรลูสมาก มีช่องพิเศษสำหรับฟักไข่ ในเพศผู้ พบได้ทั้งในน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล แบ่งออกได้เป็น 5 วงศ์ คือ.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาเหล็กใน · ดูเพิ่มเติม »

อันดับปลาเข็ม

อันดับปลาเข็ม เป็นอันดับของปลากระดูกแข็งจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Beloniformes มีลักษณะโดยรวม คือ เป็นปลาขนาดเล็ก มักว่ายรวมฝูงหรือหากินกันบริเวณผิวน้ำ เมื่อตกใจสามารถกระโดดหรือเหินขึ้นเหนือผิวน้ำได้สูงและไกลเหมือนการบินของนกหรือแมลงได้ในบางวงศ์ มีลำตัวยาวมาก ยกเว้นในบางวงศ์ ลำตัวค่อนข้างยาว ลำตัวรูปเหลี่ยม ครีบท้องอยู่ตรงข้ามครีบก้นค่อนไปทางด้านท้ายของลำตัว ครีบหูอยู่ระดับสูงของลำตัว ครีบท้องอยู่ในตำแหน่งท้องริมฝีปากบนและริมฝีปากล่างอาจยื่นยาว ถ้าไม่ยื่นยาวครีบหูหลังท้อง และครีบหางอาจขยายออกไป มีเกล็ดเป็นแบบขอบบางเรียบ แบ่งออกเป็น 5 วงศ์ พบได้ทั้งในทะเล, น้ำกร่อย และน้ำจืด ในเขตอบอุ่นและเขตร้อนทั่วโลก ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับปลาเข็ม · ดูเพิ่มเติม »

อันดับนกกระสา

อันดับนกกระสา (Bittern, Ibis, Heron, Spoonbill, Stork) เป็นอันดับของนกจำพวกนกน้ำอันดับหนึ่ง ใช้ชื่ออันดับว่า Ciconiiformes ประกอบด้วยนกน้ำตั้งแต่ขนาดเล็กถึงกลาง และขนาดใหญ่ มีลักษณะเด่น คือ ขายาว ปากใหญ่ ได้แก่ นกกระสา, นกยาง, นกปากห่าง มีวิวัฒนาการเพื่อการดำรงชีวิตตามพื้นหาดทรายชายเลนและท้องทุ่งชายน้ำ พบกำเนิดในตอนปลายสมัยอีโอซีนถึงปัจจุบัน แบ่งออกได้เป็นวงศ์ต่าง ๆ ได้ 5 วงศ์ (ดูในตาราง) ในประเทศไทยพบ 3 วงศ์ 36 ชนิด เดิมเคยมีวงศ์ในอันดับนี้มากกว่านี้ อาทิ นกปากซ่อม แต่ปัจจุบันแบ่งออกมาต่างหาก.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับนกกระสา · ดูเพิ่มเติม »

อันดับนกกระทุง

อันดับนกกระทุง (Pelican, Cormorant, Ibis, Spoonbill) เป็นอันดับของนกขากรรไกรแบบใหม่อันดับหนึ่ง ใช้ชื่ออันดับว่า Pelecaniformes ลักษณะร่วมกันหลายอย่างของนกในอันดับนี้ คือ นิ้วตีนทั้ง 4 มีแผ่นพังผืดขึงติดต่อกัน เรียกว่า "Totipalmate foot" และลำคอเปลือยเปล่าหย่อนยานเป็นถุงหนัง ซึ่งเรียกว่า "Gular pouch" มีไว้สำหรับล่าหาอาหารและเก็บอาหาร เป็นนกที่พบกระจายพันธุ์ไปในทุกภูมิภาค ทุกทวีปทั่วโลก ยกเว้นเฉพาะทางเหนือของประเทศแคนาดาและทางเหนือของทวีปเอเชียซึ่งมีอากาศหนาวเย็น, เกาะต่าง ๆ บางแห่งในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง และทวีปแอนตาร์กติกาซึ่งมีอากาศหนาวเย็น เป็นนกที่หากินและอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำเนื่องจากหากินสัตว์น้ำประเภทต่าง ๆ เช่น ปลา, กุ้ง, ปู หรือสัตว์อื่น ๆ ขนาดเล็ก กินเป็นอาหาร เช่น บึง, หนอง, คลอง, ชายทะเล หรือเกาะกลางทะเล ว่ายน้ำได้เก่งและดำนำได้ดี แบ่งออกเป็นวงศ์ต่าง ๆ ได้ 5 วงศ์ (ข้อมูลบางแห่งจัดให้มี 6 วงศ์) ซึ่งวงศ์ที่มีจำนวนสมาชิกที่สุดคือ Phalacrocoracidae หรือนกกาน้ำ ที่มีจำนวนชนิดมากถึง 38-39 ชนิด นับว่ามีมากกว่าครึ่งของสมาชิกในอันดับนี้ รองลงไปคือ Sulidae หรือนกบูบบี ที่มี 9 ชนิด แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลบางแหล่งจะจัดให้วงศ์ในอันดับนี้ มีอันดับของตัวเองแตกต่างกันออกไป A Phylogenomic Study of Birds Reveals Their Evolutionary History.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับนกกระทุง · ดูเพิ่มเติม »

อันดับนกหัวขวานและนกโพระดก

อันดับนกหัวขวานและนกโพระดก เป็นอันดับของนกขากรรไกรแบบใหม่อันดับหนึ่ง ใช้ชื่ออันดับว่า Piciformes โดยลักษณะทั่วไปของนกในอันดับนี้ คือ เป็นนกขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง (16-60 เซนติเมตร) มีลักษณะเด่น คือ รูจมูกทะลุไม่ถึงกันเพราะมีผนังกั้น ตัวเต็มวัยไม่มีขนอุย ขนแต่ละเส้นมีแกนขนรอง ขนปลายปีกมี 9-10 เส้น มีขนกลางปีกเส้นที่ 5 ขนหางมี 10-12 เส้น ขาสั้น การจัดเรียงนิ้วเป็นแบบนิ้วคู่สลับ ทำรังตามโพรงไม้หรือโพรงดิน ไข่มีรูปร่างกลม สีขาว ลูกนกแรกเกิดมีสภาพช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ โดยนกในอันดับนี้ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ นกหัวขวาน (Picidae) และนกโพระดก (Megalaimidae) เป็นต้น ในประเทศไทย พบนกในอันดับนี้ 3 วงศ์ ได้แก่ นกหัวขวาน (Picidae), นกโพระดก (Megalaimidae) และนกพรานผึ้ง (Indicatoridae) รวมกันแล้วประมาณ 52 ชนิด ขณะที่ทั่วโลกพบมากกว่า 400 ชนิด ใน 67 สกุล.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับนกหัวขวานและนกโพระดก · ดูเพิ่มเติม »

อันดับนกตะขาบ

อันดับนกตะขาบ เป็นอันดับของนกขากรรไกรแบบใหม่อันดับหนึ่ง ใช้ชื่ออันดับว่า Coraciiformes โดยที่คำว่า "Coraciiformes" นั้น หมายถึง "เหมือนนกเรเวน" หรืออีกบริบทคือ "อีกา" (อีกาจัดเป็นนกเกาะคอน) โดยมาจากคำว่า "Corax" ในภาษาละติน มีความหมาย "อีกา" และคำว่า "Forma" หมายถึง "รูปแบบ" ซึ่งเป็นคำลงท้ายในการตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเป็นนกที่มีลักษณะคล้ายกับอีกา เป็นนกที่มีขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ มีลักษณะโดยร่วมกัน คือ จะงอยปากมีหลายรูปแบบ คือ ปากตรง ปากแบนข้าง ปากโค้ง ปากเป็นรูปขอ รูจมูกไม่ทะลุถึงกันเพราะมีผนังกั้น หางยาวปานกลางจนถึงยาวมาก ปลายหางมนหรือเป็นหางตัด ปีกยาวปานกลางจนถึงยาวมาก ปลายปีกมักแหลม ขนปลายปีกมี 10-11 เส้น มีขนกลางปีกเส้นที่ 5 ยกเว้นในบางชนิด ขายาวปานกลางหรือขาสั้น แข้งสั้น หน้าแข้งด้านหน้าปกคลุมด้วยเกล็ดขนาดใหญ่แบบเกล็ดซ้อน โดยเกล็ดแต่ละชิ้นมีขนาดไม่เท่ากัน นิ้วหลังสั้นกว่านิ้วหน้า โคนนิ้วเป็นแบบนิ้วติด ยกเว้นในบางวงศ์ แกนขนรองมีขนาดเล็กหรือไม่มี หัวอาจมีหงอนหรือมีขนก็ได้ มีพฤติกรรมทำรังตามโพรงไม้หรือโพรงดินตามริมฝั่งแม่น้ำ ไข่มีเปลือกสีขาวหรือสีน้ำเงิน วางไข่ครั้งละ 2-8 ฟอง ลูกนกแรกเกิดไม่สามารถที่จะเดินหรือช่วยเหลือตัวเองได้ กินผลไม้เป็นอาหารหลัก และเสริมด้วยสัตว์ขนาดเล็ก ๆ เช่น หนู หรือกิ้งก่า และแมลงต่าง ๆ พบกระจายพันธุ์อยู่แทบทุกภูมิภาคของโลก ยกเว้นเกาะฮาวาย ประกอบไปด้วยวงศ์ทั้งหมด 11 วงศ์ โดยนกที่เป็นที่รู้จักกันดีในอันดับนี้ ได้แก่ นกเงือก (Bucerotidae) ซึ่งเป็นนกที่มีหงอนบนหัวและมีขนาดใหญ่, นกตะขาบ (Coraciidae), นกกะรางหัวขวาน (Upupidae), นกกระเต็น (Alcedinidae) เป็นต้น (แต่ในบางข้อมูลจะจัดนกเงือก, นกกระเต็น และนกกะรางหัวขวาน แยกออกเป็นอันดับต่างหาก) ในประเทศไทย พบทั้งสิ้น 5 วงศ์ ประมาณ 38 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับนกตะขาบ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับนกแก้ว

นกแก้ว หรือ นกปากขอ (ภาษาไทยถิ่นเหนือ: นกแล) เป็นอันดับของนกอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psittaciformes เป็นนกที่มีความแตกต่างกันมากทางสรีระ คือมีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงใหญ่ (19-100 เซนติเมตร) มีหัวกลมโต ลำตัวมีขนอุยปกคลุมหนาแน่น ขนมีแกนขนรอง ต่อมน้ำมันมีลักษณะเป็นพุ่มขน ผิวหนังค่อนข้างหนา มีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากนกอันดับอื่น ๆ คือ จะงอยปากที่สั้นหนา และทรวดทรงงอเป็นตะขอหุ้มปากล่าง มีความคมและแข็งแรง อันเป็นที่ของชื่อสามัญ ใช้สำหรับกัดแทะอาหารและช่วยในการปีนป่าย เช่นเดียวกับกรงเล็บ รูจมูกไม่ทะลุถึงกัน สันปากบนหนาหยาบและแข็งทื่อ ขนปลายปีกมี 10 เส้น ขนกลางปีกมี 8-14 เส้น ไม่มีขนกลางปีกเส้นที่ 5 ขนหางมี 12-14 เส้น หน้าแข้งสั้นกว่าความยาวของนิ้วที่ยาวที่สุด แข้งปกคลุมด้วยเกล็ดชนิดเกล็ดร่างแห นิ้วมีการจัดเรียงแบบนิ้วคู่สลับกัน คือ เหยียดไปข้างหน้า 2 นิ้ว (นิ้วที่ 2 และ 3) และเหยียดไปข้างหลัง 2 นิ้ว (นิ้วที่ 1 และนิ้วที่ 4) ซึ่งนิ้วที่ 4 สามารถหมุนไปข้างหน้าได้ เป็นนกที่อาศัยและหากินบนต้นไม้ กินผลไม้และเมล็ดพืช บินได้ดีและบินได้เร็ว พบอาศัยอยู่เป็นคู่หรือเป็นฝูง ทำรังตามโพรงต้นไม้ ไข่สีขาว ลักษณะทรงกลม วางไข่ครั้งละ 2-6 ฟอง ลูกนกแรกเกิดมีสภาพเป็นลูกอ่อนเดินไม่ได้ พบกระจายพันธุ์ตามเขตร้อนทั่วโลก ในบางชนิดมีอายุยืนได้ถึง 50 ปี โดยเฉพาะนกแก้วชนิดที่มีขนาดใหญ่ และจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่า นกแก้วขนาดใหญ่มีความเฉลียวฉลาดเทียบเท่ากับเด็กอายุ 4 ขวบPets 101: Pet Guide, สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต ทางทรูวิชั่นส์: พฤหัสบดีที่ 3 มกราคม 2556 เป็นนกที่มนุษย์รู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องด้วยนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถฝึกหัดให้เลียนเสียงตามแบบภาษามนุษย์ในภาษาต่าง ๆ ได้ ประกอบกับมีสีสันต่าง ๆ สวยงามตามชนิด ซึ่งนกแก้วไม่มีกล่องเสียง แต่การส่งเสียงมาจากกล้ามเนื้อถุงลมและแผ่นเนื้อเยื่อ เมื่ออวัยวะส่วนนี้เกิดการสั่นสะเทือน จึงเปล่งเสียงออกมาได้ แบ่งออกได้ราว 360 ชนิด ใน 80 สกุล ในประเทศไทยพบเพียงวงศ์เดียว คือ Psittacidae หรือนกแก้วแท้ พบทั้งหมด 7 ชนิด ใน 3 สกุล อาทิ นกแขกเต้า (Psittacula alexandri), นกแก้วโม่ง (P. eupatria) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีนกเพียงชนิดเดียวในอันดับนี้ที่บินไม่ได้ และหากินในเวลากลางคืนด้วย คือ นกแก้วคาคาโป (Strigops habroptila) ที่พบเฉพาะบนเกาะนิวซีแลนด์เท่านั้น โดยเป็นนกรูปร่างใหญ่ บินไม่ได้ นอกจากจะหากินในเวลากลางคืนแล้ว ยังมีเสียงร้องประหลาดที่คล้ายกบหรืออึ่งอ่างอีกด้วย ปัจจุบันมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์มากแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับนกแก้ว · ดูเพิ่มเติม »

อันดับไก่

อันดับไก่ เป็นอันดับของสัตว์ปีกอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Galliformes สัตว์ปีกหรือนกในนี้มีขนาดลำตัวตั้งแต่เล็กมากจนถึงใหญ่มาก ตั้งแต่ 12 – 223 เซนติเมตร จะงอยปากสั้น ปลายปากทู่ จะงอยปากบนโค้งเล็กน้อย รูจมูกไม่ทะลุถึงกัน ขาใหญ่ แข้งปกคลุมด้วยเกล็ดแบบเกล็ดซ่อน นิ้วหลังอยู่ในระดับเดียวกับนิ้วหน้า เล็บทู่ ปากสั้น ปลายปากมนและเว้าเข้าข้างใน ขนปลายปากแข็งและโค้ง มี 10 เส้น และมีขนกลางปากเส้นที่ 5 ขนหางมี 8 – 32 เส้น ขนแต่ละเส้นมีแกนขนรอง ตัวเต็มวัยลำตัวมีขนอุยปกคลุมห่าง ๆ ต่อมน้ำมันเป็นพุ่มขน แต่บางชนิดก็ไม่เป็นพุ่มขน มีพฤติกรรมเป็นนกที่คุยเขี่ยหาอาหารตามพื้นดิน อาศัยตามต้นไม้ อาหารได้แก่ เมล็ดธัญพืช ผลไม้ เมล็ดพืช แมลง และสัตว์ขนาดเล็ก ทำรังตามพื้นดินหรือกิ่งไม้ วางไข่คราวละ 1 – 20 ฟอง ไข่มีสีเนื้อหรือสีขาว อาจมีลายจุด ลูกอ่อนในระยะแรกเกิดมีขนอุยปกคลุมเต็มลำตัว สามารถเดินตามพ่อแม่ไปหาอาหารได้ทันทีหลังจากขนแห้ง.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับไก่ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับไฮแรกซ์

อันดับไฮแรกซ์ (Hyraxes, Dassies "Hyracoidea" in Grzimek's Animal Life Encyclopedia, Vol.) เป็นอันดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กอันดับหนึ่ง ที่เรียกชื่อสามัญว่า ไฮแรกซ์ หรือ ตัวไฮแรกซ์ ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hyracoidea (/ไฮ-รา-คอย-เดีย/).

ใหม่!!: สัตว์และอันดับไฮแรกซ์ · ดูเพิ่มเติม »

อันดับเหยี่ยว

อันดับเหยี่ยว (Accipitriformes) เป็นอันดับที่ประกอบด้วยนกล่าเหยื่อเวลากลางวันส่วนมาก เช่น เหยี่ยวนกเขา, อินทรี และ แร้ง มีประมาณ 225 ชนิด ในอดีตจะรวมเหยี่ยวในอันดับ Falconiformes แต่ผู้แต่งบางคนแยกมาไว้ในอันดับ Accipitriformes การศึกษา DNA ในปัจจุบันแสดงว่า เหยี่ยวปีกแหลมไม่ได้เป็นญาติใกล้ชิดกับนกในอันดับ Accipitriformes แต่ใกล้ชิดกับนกแก้วและนกเกาะคอน ตั้งแต่การแบ่งแยก (แต่ก็ไม่ได้วางเหยี่ยวถัดจากนกแก้วหรือนกเกาะคอน) ได้รับการยอมรับโดยคณะกรรมการการการจัดแบ่งประเภทอเมริกาใต้แห่งสมาคมนักปักษีวิทยาแห่งอเมริกา (American Ornithologists' Union) (SACC), คณะกรรมการการจัดแบ่งประเภทอเมริกาเหนือ (NACC), และ การประชุมปักษีนานาชาติ (IOC) บนพื้นฐานของ DNA และการจัดประเภทของ NACC และ IOC ได้จัดแร้งโลกใหม่ใน Accipitriformes, ขณะที่ SACC ได้จัดแร้งโลกใหม่อยู่ในอันดับอื่น การจัดวางแร้งโลกใหม่นั้นยังคงเป็นปัญหามาตั้งแต่ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 1990.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับเหยี่ยว · ดูเพิ่มเติม »

อันดับเหยี่ยวปีกแหลม

อันดับเหยี่ยวปีกแหลม (Falconiformes) เป็นกลุ่มของนกมีประมาณ 290 สปีชีส์ ประกอบด้วย นกล่าเหยื่อในเวลากลางวัน การระบุนกล่าเหยื่อเป็นเรื่องยากและการถืออันดับมีหลายรูปแ.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับเหยี่ยวปีกแหลม · ดูเพิ่มเติม »

อันดับเฮดจ์ฮอก

อันดับเฮดจ์ฮอก (Hedgehog, Gymnure, อันดับ: Erinaceomorpha) เป็นอันดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Erinaceomorpha เป็นอันดับที่แยกตัวออกมาจากอันดับสัตว์กินแมลง (Insectivora) ลักษณะโดยรวมของสัตว์ที่อยู่ในอันดับนี้ เป็นสัตว์ขนาดเล็ก กินแมลงเป็นอาหาร มีทั้งออกหากินในเวลากลางวัน และออกหากินในเวลากลางคืน อาศัยอยู่บนพื้นและบนต้นไม้ ยืนด้วยฝ่าเท้า มีสมองส่วนรับกลิ่นเจริญดี แต่สายตาไม่ดี นอกจากกินแมลงแล้วยังอาจจะยังกินสัตว์ขนาดเล็กกว่าหรือพืชและผลไม้เป็นอาหาร จำแนกออกได้เพียงวงศ์เดียว คือ Erinaceidae 10 สกุล (ดูในตาราง) 24 ชนิด โดยที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ เฮดจ์ฮอก (Erinaceinae) ซึ่งเป็นสัตว์ขนาดเล็กมีขนที่เป็นหนามแข็งขนาดเล็กคล้ายเม่นซึ่งอยู่ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคยุโรป สำหรับในประเทศไทยพบ 2 เท่านั้น คือ หนูเหม็น (Echinosorex gymnurus) หรือสาโท ที่มีลักษณะคล้ายหนูแต่มีขนาดใหญ่กว่า และมีกลิ่นตัวเหม็นอย่างรุนแรงคล้ายกับกลิ่นของแอมโมเนีย และหนูผีหางหมู (Hylomys suillus).

ใหม่!!: สัตว์และอันดับเฮดจ์ฮอก · ดูเพิ่มเติม »

อันดับเทนเรค

อันดับเทนเรค เป็นอันดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Afrosoricida (มาจากภาษากรีก-ละติน หมายความว่า "ดูคล้ายหนูผีแอฟริกา") ซึ่งอันดับนี้เดิมเคยถูกรวมกับสัตว์อื่นที่มีความใกล้เคียงกัน คือ อันดับสัตว์กินแมลง (Insectivora) รูปร่างลักษณะของสัตว์ในอันดับนี้จะเหมือนกับสัตว์จำพวกอื่นที่เคยถูกจัดรวมเป็นอันดับสัตว์กินแมลงเหมือนกันในอดีต เช่น ตุ่น, หนูผี, เฮดจ์ฮอก หรือแม้แต่กระทั่งผสมกันระหว่างนาก ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ กับหนูผีก็มี ซึ่งจากการศึกษาด้านพันธุกรรมและดีเอ็นเอพบว่า สัตว์ในอันดับนี้มีการวิวัฒนาการที่แยกออกไป จึงได้ถูกจัดแยกออกมาเป็นอันดับต่างหาก ซึ่งการที่มีวิวัฒนาการเป็นของตัวเองแต่กลับมีรูปร่างลักษณะเหมือนกับสัตว์ที่มีวิวัฒนาการที่แตกต่างออกไป การวิวัฒนาการเช่นนี้เรียกว่า "วิวัฒนาการแบบเข้าหากัน" พบกระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา และเป็นสัตว์เฉพาะถิ่นของเกาะมาดากัสการ์ ซึ่งบรรพบุรุษของสัตว์ในอันดับนี้ก็เดินทางมาจากแผ่นดินใหญ่เหมือนกับลีเมอร์หรือสัตว์อื่น ๆ ที่เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นของเกาะมาดากัสการ์เช่นเดียวกันMadagascar, "Mutant Planet" สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต.

ใหม่!!: สัตว์และอันดับเทนเรค · ดูเพิ่มเติม »

อาการกลัวสัตว์

อาการกลัวสัตว์ (zoophobia.) หมายถึงความกลัวต่อสัตว์อย่างรุนแรงและไม่สมเหตุสมผล ซึ่งเป็นความเชื่องมงายชนิดหนึ่งและเกี่ยวข้องกับอาการกลัวการรับประทานสัตว์ อาการกลัวซากสัตว์ตาย อาการกลัวสวนสัตว์ เป็นต้น ชนิดย่อยของอาการกลัวสัตว์คือ อาการกลัวช้าง (Elephaphobia สืบค้นเมื่อ 3 ก.พ. 2561.) ซึ่งหมายถึงอาการกลัวจำเพาะช้าง และ อาการกลัวแรด (Rhinophobia สืบค้นเมื่อ 3 ก.พ. 2561.) ซึ่งหมายถึงอาการการกลัวจำเพาะแร.

ใหม่!!: สัตว์และอาการกลัวสัตว์ · ดูเพิ่มเติม »

อาการปวดต่างที่

อาการปวดต่างที่ (Referred pain, reflective pain) เป็นความเจ็บปวดต่างที่จากส่วนร่างกายซึ่งได้รับสิ่งเร้าอันก่อความเจ็บปวด ตัวอย่างหนึ่งก็คือ อาการปวดเค้นหัวใจ (angina pectoris) ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด (หัวใจวาย) แต่มักจะทำให้รู้สึกปวดคอ ไหล่ และหลัง ไม่ใช่ที่อกซึ่งเป็นแหล่งปัญหา แต่องค์การมาตรฐานนานาชาติ (รวมทั้ง International Association for the Study of Pain) ก็ยังไม่ได้นิยามคำนี้ ดังนั้น ผู้เขียนต่าง ๆ อาจใช้คำโดยความหมายที่ไม่เหมือนกัน มีการกล่าวถึงอาการเช่นนี้ตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1880 แล้ว แม้จะมีวรรณกรรมในเรื่องนี้เขียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่กลไกการทำงานของมันก็ยังไม่ชัดเจน ถึงจะมีสมมติฐานต่าง.

ใหม่!!: สัตว์และอาการปวดต่างที่ · ดูเพิ่มเติม »

อาย-อาย

อาย-อาย (Aye-aye) เป็นไพรเมตชนิดหนึ่ง จำพวกลีเมอร์ โดยที่อาย-อาย เป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Daubentonia และวงศ์ Daubentoniidae (มีอยู่ชนิดหนึ่ง คือ อาย-อายยักษ์ ที่มีความยาวกว่า 2.5 เมตร แต่ได้สูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 2,000 ปีก่อน และมีน้ำหนักมากกว่า อาย-อาย หลายเท่า).

ใหม่!!: สัตว์และอาย-อาย · ดูเพิ่มเติม »

อาร์มาดิลโล

รงกระดูกอาร์มาดิลโลเก้าแถบ อาร์มาดิลโล (armadillo) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับ Cingulata ในอันดับใหญ่ ซีนาร์ทรา อาร์มาดิลโลมีลักษณะเด่น คือ มีส่วนหน้าและจมูกที่ยาว มีปากขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นรูเล็ก ๆ มีกรงเล็บที่แหลมคมทั้งตีนหน้าและตีนหลัง ใช้สำหรับขุดทำโพรงอยู่อาศัยและขุดหาอาหารกิน กินอาหารโดยการใช้ลิ้นที่ยื่นยาวและน้ำลายที่เหนียวตวัดกินแมลงจำพวกมด ปลวก และหนอนตามพื้นดิน และมีเกราะหุ้มอยู่ตามตัวเป็นแผ่น ๆ มีข้อต่อเชื่อมต่อกันเหมือนชุดเกราะ โดยเฉพาะที่หัวไหล่และด้านท้ายลำตัว ทำให้ดูเหมือนกับลิ่นซึ่งเป็นสัตว์ในอันดับ Pholidota มาก แต่ทั้งอาร์มาดิลโลและลิ่นเป็นสัตว์ที่อยู่ต่างอันดับกัน และอยู่ในอันดับใหญ่คนละอันดับกันด้วย โดยอาร์มาดิลโลมีความใกล้เคียงกับสลอทหรือตัวกินมดมากกว่า แต่ในอดีตทั้งอาร์มาดิลโลและลิ่นเคยถูกจัดอยู่ในอันดับเดียวกัน คือ Edentata ซึ่งแปลว่า "ไม่มีฟัน" แต่ความจริงแล้ว อาร์มาดิลโลมีฟัน เป็นฟันกรามที่มีขนาดเล็ก และไม่แข็งแรง บรรพบุรุษของอาร์มาดิลโลที่สูญพันธุ์ไปแล้วราว 10,000 ปีก่อน มีชื่อว่า "คลิปโตดอน" ที่มีขนาดตัวใหญ่เท่ากับรถยนต์คันเล็ก ๆ คันหนึ่ง คลิปโตดอนอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ มีเกราะที่หุ้มตัวเป็นชิ้น ๆ รูปหกเหลี่ยม ไม่เหมือนกับอาร์มาดิลโลในปัจจุบัน ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีโครงกระดูกของคลิปโตดอนที่สมบูรณ์แบบจัดแสดงอยู่ เป็นตัวอย่างที่ชาลส์ ดาร์วิน ได้ส่งมาให้เมื่อครั้งเดินทางไปสำรวจที่ทวีปอเมริกาใต้ เมื่ออาร์มาดิลโลถูกคุกคามแล้วจะขดตัวเป็นวงกลมคล้ายลูกบอล โดยเก็บส่วนหน้าและขาทั้ง 4 ข้างไว้ เหมือนกับลิ่น โดยที่ชื่อ armadillo นั้นในภาษาสเปนออกเสียงว่า "อาร์มาดีโย" และมีความหมายว่า "ตัวหุ้มเกราะน้อย" ขณะที่ชาวแอซเท็ก จะเรียกว่า azotochtli หมายถึง "กระต่ายเต่า" แต่ชื่อในภาษาถิ่นของชาวลาตินอเมริกาในปัจจุบันจะเรียกว่า ปีชี (Pichi) This book used the term "azotochtli", but that word is wrong.

ใหม่!!: สัตว์และอาร์มาดิลโล · ดูเพิ่มเติม »

อาร์ดวาร์ก

อาร์ดวาร์ก (Aardvark) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Orycteropodidae ในอันดับ Tubulidentata จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่จนถึงปัจจุบัน ในวงศ์และอันดับนี้ จึงจัดเป็นฟอสซิลที่มีชีวิตชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์ที่อาศัยและกระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา ตั้งแต่แอฟริกากลางลงไป อาร์ดวาร์ก มีชื่อเรียกในภาษาแอฟริคานส์ว่า "aarde varken" แปลว่า "หมูดิน" มีจมูกและส่วนปากยาวเป็นท่อเหมือนอาร์มาดิลโลหรือลิ่น มีฟันลักษณะเป็นรูปหกเหลี่ยมฝังตัวอยู่ด้านในของปาก ลักษณะเหมือนหมุดที่แบนราบ จำนวน 20 ซี่ และเคลือบไว้ด้วยเคลือบรากฟัน ซึ่งเป็นสารปกติที่อยู่ในฟัน ซึ่งฟันจะมีลักษณะเหมือนกับสัตว์ฟันแทะคือจะงอกขึ้นมาเรื่อย ๆ มีใบหูยาวเหมือนลา มีอุ้งเท้าคล้ายกับกระต่าย และมีหางคล้ายหนู อาร์ดวาร์ก เป็นสัตว์ที่มีประสาทการรับกลิ่นและรับฟังอย่างดีเยี่ยม โดยหูสามารถรับฟังเสียงเคลื่อนไหวของแมลงซึ่งอยู่ใต้ดินได้ โดยจะออกหากินในเวลากลางคืนหรือพลบค่ำ ด้วยการสูดกลิ่นไปเรื่อย ๆ กินอาหารจำพวกแมลงที่อยู่ตามพื้นดิน เช่น มดหรือปลวก โดยใช้กรงเล็บที่แหลมคมขุดหรือเซาะทำลายจอมปลวก แล้วใช้ลิ้นเลียเข้าปาก ซึ่งวัน ๆ หนึ่งอาจเดินหากินได้ไกล 48 กิโลเมตร และกินปลวกได้มากถึงวันละ 5 ลิตร จัดว่าเป็นสัตว์ที่มีความสามารถในการหลบหลีกซ่อนตัวได้อย่างว่องไวมาก อาร์ดวาร์กจะเลี้ยงดูลูกอ่อนจนกระทั่งอายุได้ 6 เดือน แล้วจึงจะปล่อยให้ออกหากินเองเป็นอิสระ นอกจากนี้แล้วอาร์ดวาร์กยังมีความสัมพันธ์กับแตงกวาชนิดหนึ่ง คือ แตงกวาอาร์ดวาร์ก (Cucumis humifructus) เหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะ อาร์ดวาร์กจะขุดดินลงไปกินแตงกวาชนิดนี้ในยามที่อาหารขาดแคลน แล้วจึงฝังมูลเอาไว้.

ใหม่!!: สัตว์และอาร์ดวาร์ก · ดูเพิ่มเติม »

อาร์คีออปเทอริกซ์

อาร์คีออปเทอริกซ์ (Archaeopteryx) หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาเยอรมันว่า Urvogel (ออกเสียง:อูร์ฟอเกิล, แปลว่า "นกต้นกำเนิด" หรือ "นกชนิดแรก") เป็นสกุลของไดโนเสาร์เทอโรพอดซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับนก ชื่อมาจากภาษากรีกโบราณ (archaīos) แปลว่า "เก่าแก่โบราณ" และ (ptéryx) แปลว่า "ขน" หรือ "ปีก" --> อาร์คีออปเทอริกซ์มีชีวิตอยู่ในช่วงปลายของยุคจูแรสซิกหรือประมาณ 150 ล้านปีมาแล้ว ในสถานที่ที่ปัจจุบันอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี ในช่วงเวลาที่ยุโรปมีสภาพเป็นหมู่เกาะ เป็นทะเลตื้น ที่มีภูมิอากาศแบบเขตร้อน และอยู่ใกล้กับแนวเส้นศูนย์สูตรมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มีขนาดและรูปร่างคล้ายกับนกสาลิกาปากดำ ตัวใหญ่ที่สุดอาจมีขนาดเท่านกเรเวน อาร์คีออปเทอริกซ์มีความยาวของลำตัวได้ถึง 0.5 เมตร (1.6 ฟุต) กล่าวคือเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก มีปีกกว้าง และอนุมานได้ว่ามีความสามารถในการบินหรือร่อนได้ อาร์คีออปเทอริกซ์มีลักษณะกระเดียดไปทางไดโนเสาร์ในมหายุคมีโซโซอิกขนาดเล็กมากกว่าลักษณะของนกในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันมีลักษณะหลายประการที่เป็นลักษณะร่วมกับไดโนเสาร์ในกลุ่มของไดโนนายโคซอร์ (โดรมีโอซอร์ และ ทรูดอนติด) ได้แก่ลักษณะของกรามที่มีฟันแหลมคม มีนิ้วสามนิ้ว และมีกงเล็บ มีกระดูกหางยาว มีนิ้วเท้านิ้วที่สองยื่นยาวออกไปมากเป็นพิเศษ (killing claws) มีขนแบบนก (ซึ่งแสดงลักษณะของสัตว์เลือดอุ่น) และลักษณะโครงกระดูกอื่นๆ อีกหลายประการ ลักษณะดังกล่าวข้างต้นทำให้อาร์คีออปเทอริกซ์เป็นตัวแทนชิ้นแรกที่มีความชัดเจนของฟอสซิลในการส่งผ่านจากไดโนเสาร์สู่นก - Jamie Headden, Scott Hartman, and Rutger Jansma's skeletal restorations of most of the specimens.

ใหม่!!: สัตว์และอาร์คีออปเทอริกซ์ · ดูเพิ่มเติม »

อาร์โคซอร์

อาร์โคซอร์ (อังกฤษ: Archosaur, มาจากภาษากรีกแปลว่า กิ้งก่าผู้ครองโลก) ได้แก่กลุ่มของสัตว์เลื้อยคลานจำพวกหนึ่งซึ่งมีกะโหลกแบบ diapsid (มีสองโพรงในแต่ละด้าน) ซึ่งในอดีตรวมไปถึงไดโนเสาร์ ส่วนสัตว์พวกอาร์โคซอร์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ จระเข้ และ นก ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า อาร์โคซอร์ ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อไร พวกที่จัดให้สัตว์เลี้อยคลาย Archosaurus rossicus และ/หรือ Protorosaurus speneri ว่าเป็นอาร์โคซอร์เต็มตัว จะถือเอายุคเพอร์เมียนตอนปลายเป็นจุดเริ่มต้น ในขณะที่อีกกลุ่มจัดสัตว์เลื้อยคลานข้างตนเป็นพวก อาร์โคซอริฟอรมส์ (archosauriformes) และนับให้อาร์โคซอร์วิวัฒนาการต่อจาก archosauriformes อีกที ยึดเอายุคโอลีนีเคียน (Olenekian, ตรงกับยุคไทรแอสซิกตอนต้น) เป็นจุดกำเนิด อาร์โคซอร์เป็นสัตว์ที่ครองโลกในยุคไทรแอสซิก หมวดหมู่:สัตว์เลื้อยคลานยุคก่อนประวัติศาสตร์.

ใหม่!!: สัตว์และอาร์โคซอร์ · ดูเพิ่มเติม »

อาร์เจนติโนซอรัส

อาร์เจนติโนซอรัส (Argentinosaurus) เป็นไดโนเสาร์ซอโรพอด กลุ่มไททันโนซอร์ที่ใหญ่ที่สุด ยาวถึง 35 เมตร เป็นไดโนเสาร์ที่ใหญ่รองลงมาจาก พาตาโกไททันที่ยาวถึง 37-40 เมตร อาร์เจนติโนซอรัส หนักถึง 75-80 ตัน ถูกค้นพบโดย กัลลิเมอร์ เฮเลเดีย ที่ประเทศ อาร์เจนตินา ชื่อมีความหมายว่ากิ้งก่าแห่งอาร์เจนตินา เป็นเหยื่อที่ใหญ่ที่สุดของกิก้าโนโตซอรัส ค้นพบฟอสซิลที่ประเทศอาร์เจนตินา อาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนต้นเมื่อประมาณ 97-94 ล้านปีก่อน.

ใหม่!!: สัตว์และอาร์เจนติโนซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

อาร์เคีย

อาร์เคีย เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายแบคทีเรีย แต่เชื่อว่ามีวิวัฒนาการแยกมา เพราะมีเยื่อหุ้มเซลล์ที่แปลกออกไป เป็นโปรคาริโอตที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายและในมหาสมุทร ผนังเซลล์ไม่มีเปบทิโดไกลแคน กรดไขมันในเยื่อหุ้มแตกกิ่ง ไม่ไวต่อยาปฏิชีวนะ ยีนไม่มีอินทรอน RNA polymerase มีหลายชนิด บางส่วนเหมือนยูคาริโอต rRNA บางส่วนคล้ายกับของยูคาริโอตด้วยเช่นกัน กลุ่มของอาร์เคียที่สำคัญได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และอาร์เคีย · ดูเพิ่มเติม »

อาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง

อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (อังกฤษ: Weapon of Mass Destruction, WMD) คืออาวุธที่สามารถสังหารมนุษย์, สัตว์หรือพืชในจำนวนมาก และอาจทำลายสภาพแวดล้อมของโลกอย่างมหาศาล ซึ่งจำแนกได้เป็นอาวุธหลายประเภทด้วยกันได้แก่ อาวุธปรมาณู, อาวุธชีวภาพ, อาวุธเคมี รวมไปถึงอาวุธกัมมันตภาพรังสี (ต่างจากอาวุธปรมาณูตรงที่ให้แรงระเบิดน้อยกว่ามาก แต่แพร่กัมมันตรังสีในปริมาณที่เทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับอาวุธปรมาณู) ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นจากกองกำลังที่มีอำนาจทางการเงินและเทคโนโลยีที่ด้อยกว่า (เช่น ผู้ก่อการร้าย) เป็นที่โต้เถียงกันว่าศัพท์นี้ (ในภาษาอังกฤษ ส่วนในภาษาไทยนั้น ไม่ค่อยพบเห็นการใช้คำนี้มากนัก) ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อใด โดยนิยามนี้อาจถูกใช้ครั้งแรกใน พ.ศ. 2480 (เมื่ออ้างอิงถึงการทำลายล้างเมืองเกอร์นิคาในสเปนด้วยการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดในสงครามกลางเมืองสเปน) หรือใน พ.ศ. 2488 (เมื่ออ้างอิงถึงการที่สหรัฐอเมริกาใช้อาวุธปรมาณูกับเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิในญี่ปุ่น) และเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลง ศัพท์นี้ก็ถูกใช้กับอาวุธอื่นนอกจากอาวุธตามปกติมากขึ้น แต่คำนี้ถูกใช้มากที่สุดในการรุกรานอิรักใน พ.ศ. 2546 ที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำการโจมตี (โดยอ้างเหตุในการรุกรานว่าอิรักนั้นครอบครองอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง).

ใหม่!!: สัตว์และอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง · ดูเพิ่มเติม »

อาวุธปืนในเพชรพระอุมา

อาวุธปืนในเพชรพระอุมา เป็นการรวบรวมรายละเอียดของปืนที่ใช้ในเรื่องเพชรพระอุมา จากความรู้และทักษะความสามารถทางด้านอาวุธปืนของพนมเทียน ในการนำเอาอาวุธปืนประเภทต่าง ๆ และกระสุนที่ใช้จากประสบการณ์จริง มาผูกเสริมเติมแต่งให้แก่ตัวละครในเพชรพระอุมา รวมทั้งกำหนดลักษณะและผลของการใช้ของปืนแต่ละประเภท ซึ่งปืนที่ใช้ในเพชรพระอุมานั้น มีจำนวนมากมายหลากหลายขนาด รวมทั้งยี่ห้อและรุ่น เช่นปืนไรเฟิล วินเชสเตอร.375 โมเดล 70 ปืนลูกซอง ปืนสั้นกึ่งออโตแมติกหรือแม้แต่ปืนเอ็ม 16 ที่ใช้ในการสงคราม รวมทั้งรายละเอียดและความรู้ทางด้านปืนของแต่ละกระบอก เช่น วิถีกระสุนในการปะทะเป้าหมาย แรงปะทะของปืน ฯลฯ อาวุธปืนที่ใช้ในเพชรพระอุมา มีดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และอาวุธปืนในเพชรพระอุมา · ดูเพิ่มเติม »

อาหาร

อาหาร หมายถึงสิ่งที่รับประทานเข้าไป ซึ่งบริโภคเพื่อเสริมโภชนาการให้แก่ร่างกาย อาหารมักมาจากพืชหรือสัตว์ และมีสารอาหารสำคัญ เช่น คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน วิตามิน หรือแร่ธาตุ สิ่งมีชีวิตย่อยและดูดซึมสสารที่เป็นอาหารเข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปสร้างพลังงาน คงชีวิต และ/หรือ กระตุ้นการเจริญเติบโต ในอดีต มนุษย์ได้มาซึ่งอาหารด้วยสองวิธีการ คือ การล่าสัตว์และเก็บเกี่ยว (hunting and gathering) และเกษตรกรรม ปัจจุบัน พลังงานจากอาหารส่วนใหญ่ที่ประชากรโลกบริโภคนั้นผลิตจากอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทข้ามชาติซึ่งใช้เกษตรประณีต และอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตของระบบให้ได้มากที่สุด สมาคมระหว่างประเทศเพื่อคุ้มครองอาหาร สถาบันทรัพยากรโลก โครงการอาหารโลก องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ และสภาข้อมูลอาหารระหว่างประเทศเป็นหน่วยงานเฝ้าสังเกตความปลอดภัยของอาหารและความมั่นคงทางอาหาร องค์การทั้งหลายนี้จัดการกับประเด็นปัญหาอย่างความยั่งยืน ความหลากหลายทางชีวภาพ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เศรษฐศาสตร์สารอาหาร การเติบโตของประชากร ทรัพยากรน้ำ และการเข้าถึงอาหาร สิทธิในการได้รับอาหารเป็นสิทธิมนุษยชนซึ่งกำหนดขึ้นจากกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) โดยตระหนักถึง "สิทธิที่จะมีมาตรฐานการครองชีพอย่างพอเพียง รวมทั้งอาหารที่เพียงพอ" เช่นเดียวกับ "สิทธิขั้นพื้นฐานที่จะปลอดจากความหิวโหย".

ใหม่!!: สัตว์และอาหาร · ดูเพิ่มเติม »

อาหารสัตว์

ตัวอย่างอาหารสัตว์ที่ผลิตขึ้นเอง อาหารสัตว์มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการเจริญเติบโตของสัตว์ อาหารของสัตว์อาจได้มาทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและหรือเกิดขึ้นจากการแปรรูปที่ได้จากพืช หรือสัตว์ เป็นสิ่งที่มีสารอาหารและเป็นประโยชน์ในการบำรุงร่างกายแก่สัตว์ ซึ่งอาหารสัตว์ส่วนมากจะได้มาจากพืช ได้แก่ มันสำปะหลัง รำ ปลายข้าว เป็นต้น อาหารสัตว์มี 2 ประเภท ได้แก่ แบ่งตามส่วนประกอบทางเคมีของสารอาหารและแบ่งตามปริมาณเยื่อใย อาหารสัตว์มี 2 แบบ คือ แบบหยาบและแบบข้น เมื่อสัตว์ได้กินอาหารเข้าไปแล้วและอาหารก็เปลี่ยนเป็นพลังงาน และพร้อมที่จะนำไปใช้ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ การเจริญเติบโต อาหารสัตว์ถูกใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นส่วนของหนัง โครงกระดูก และอวัยวะภายใน สัตว์แต่ละวัยมีความต้องการของจำนวนและปริมาณของอาหารที่ต่างกัน จึงควรจัดหาอาหารให้ถูกต้องและประหยัด การดำรงชีพ การให้พลังงานในการทำงานของอวัยวะส่วนต่าง ๆ เพื่อสามารถให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เช่น การหายใจ การเคลื่อนไหว การสืบพันธุ์ สัตว์ที่มีวัยที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ จำเป็นต้องการอาหารเพื่อให้กระบวนการของอวัยวะสืบพันธุ์ทำงานได้เป็นปกติ ทั้งสัตว์เพศผู้และเพศเมีย การให้ผลผลิต เมื่ออาหารเข้าสู่ร่างกายแล้วจะส่งเสริมให้สุขภาพ ร่างกายของสัตว์มีความเจริญเติบโต ไม่ว่าจะเป็นเนื้อของสัตว์ ปริมาณนมจากสัตว์ เป็นต้น ดังนั้นอาหารสัตว์จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องมีการพัฒนาอาหารสัตว์ให้มีคุณค่าแก่สัตว์มากที่สุด เช่น การนำมันสำปะหลังมาทำเป็นมันหมัก หมวดหมู่:อาหาร หมวดหมู่:อาหารสัตว์.

ใหม่!!: สัตว์และอาหารสัตว์ · ดูเพิ่มเติม »

อาหารหมา

อาหารสุนัข คือวัตถุจากพืชหรือสัตว์ที่มีไว้เพื่อจุดประสงค์ในการให้สุนัขหรือสัตว์จำพวกสุนัขอื่นๆ กิน อาหารสุนัขพิเศษที่ใช้ในการให้เป็นรางวัลให้กับสุนัขนั้นไม่ใช่อาหารสุนัขและมักเรียกกันว่าขนมสุนัข คนบางคนทำอาหารสุนัขเองโดยการนำวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในร้านค้าทั่วไปนำมาผสมกันให้สุนัขกิน และคนบางกลุ่มคงยังใช้อาหารสุนัขแบบผลิตขายอยู่ มีการถกเถียงกันหลายครั้งหลายคราว่าอาหารของสุนัขที่ดีที่สุดควรจะเป็นอย่างไร บางคนเผยว่าสุนัขได้กินอาหารเหลือของมนุษย์มาเป็นล้านๆ ปีแล้วซึ่งก็ทำให้สุนัขมีสุขภาพดีไม่มีปัญหาและยังบอกอีกว่าอาหารสุนัขแบบผลิตหรือแบบเม็ดนั้นมีเนื้อคุณภาพต่ำ สารเจือปนอาหาร และส่วนประกอบอื่นๆ ที่สุนัขไม่ควรได้รับและไม่ได้สร้างมาตามธรรมชาติเพื่อสุนัขอย่างแท้จริง.

ใหม่!!: สัตว์และอาหารหมา · ดูเพิ่มเติม »

อาณาจักร (ชีววิทยา)

ในชีววิทยา, อาณาจักร เป็นระดับหรือหมู่ที่ใหญ่เกือบที่สุดของสิ่งมีชีวิต ใช้ในการการจัดหมวดหมู่สิ่งมีชีวิตในโลก นักอนุกรมวิธานมีความเห็นในการจัดหมวดหมู่แตกต่างกันไป เช่น แบ่งออกเป็น 5 อาณาจักร 6 อาณาจักร หรือ 8 อาณาจักร (แคมป์เบลล์, 1996) ซึ่งระบบที่เป็นที่นิยมใช้ในอดีตและปัจจุบันระบบหนึ่งคือระบบ 5 อาณาจักร ส่วนอีกระบบที่เริ่มแพร่หลายและคาดว่าจะได้รับความนิยมต่อไป คือระบบ 6 อาณาจักร 3 โดเมน.

ใหม่!!: สัตว์และอาณาจักร (ชีววิทยา) · ดูเพิ่มเติม »

อิกัวนา

อิกัวนา (อังกฤษและiguana) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่าในสกุล Iguana ในวงศ์อิกัวนา (Iguanidae) และในวงศ์ย่อย Iguaninae พบกระจายพันธุ์ในเม็กซิโก, อเมริกากลาง รวมทั้งเกาะต่าง ๆ ในภูมิภาคแคริบเบียนและพอลินีเซีย กิ้งก่าสกุลนี้ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในเชิงวิทยาศาสตร์เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และอิกัวนา · ดูเพิ่มเติม »

อิกัวนาบก

อิกัวนาบก (Land iguana) เป็นกิ้งก่าสกุลหนึ่ง ในวงศ์อิกัวนา (Iguanidae) จัดอยู่ในสกุล Conolophus (มาจากภาษากรีกสองคำ: conos (κώνος) หมายถึง "หนาม" และ lophos (λοφος) หมายถึง "หงอน" โดยมีความหมายถึง หนามบนสันหลัง) จัดเป็นสัตว์ถิ่นเดียวที่พบเฉพาะบนหมู่เกาะกาลาปาโกสเท่านั้น โดยถือว่าเป็นอิกัวนาอีกจำพวกหนึ่งที่มีความโดดเด่นของที่นี่นอกเหนือไปจากอิกัวนาทะเล ซึ่งอิกัวนาบกนั้นมีรูปร่างลักษณะ ตลอดจนพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากอิกัวนาทะเลพอสมควร เนื่องจากเป็นสัตว์ที่หากินแต่เฉพาะบนบก กินพืชเป็นอาหาร โดยพืชที่นิยมกินเป็นพืชจำพวกกระบองเพชร โดยเฉพาะกระบองเพชรซันตาเฟ ซึ่งก็เป็นพืชถิ่นเดียวของหมู่เกาะกาลาปาโกสเช่นเดียวกัน ดังนั้นกระบองเพชรซันตาเฟจึงมีลักษณะลำต้นและกิ่งก้านที่สูงและยาว รวมถึงมีหนามแหลมเพื่อป้องกันตัวเองจากการกินของอิกัวนา ดังนั้น อิกัวนาบกเองก็มีวิวัฒนาการของตัวเอง โดยปรับตัวให้สามารถกินอาหารได้หลากหลายขึ้น เช่น เปลี่ยนมากินแมลงเล็ก ๆ เป็นอาหารด้วย อิกัวนาบก เป็นสัตว์ที่ไม่มีอุปนิสัยดุร้าย แม้จะมีรูปร่างหน้าตาที่น่ากลัวเหมือนกับอิกัวนาทะเล โดยพบกระจายพันธุ์ได้น้อยกว่าอิกัวนาทะเลพอสมควร โดยธรรมชาติเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยขยับเขยื้อนตัว เนื่องจากเป็นสัตว์กินพืช จึงจะขยับตัวหรือเคลื่อนไหวต่อเมื่อกินอาหารเท่านั้น เกาะที่สามารถพบอิกัวนาบกได้มากที่สุด คือ เกาะซันตาเฟ หรือเกาะบาร์ริงตัน และเกาะเซาท์พลาซา สามารถจำแนกได้เป็น 3 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และอิกัวนาบก · ดูเพิ่มเติม »

อิกัวนาฟีจี

อิกัวนาฟีจี (Fiji banded iguana) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่าชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Brachylophus fasciatus ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีสีสันสวยงามที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง ในตัวผู้จะมีแถบสีขาวอมฟ้าคาดที่กลางลำตัวลงไปถึงช่วงท้องประมาณ 2-3 แถบ ในขณะที่ลำตัวทั้งตัวจะเป็นสีเขียวอ่อนทั้งตัว ในส่วนของตัวเมียจะไม่ปรากฏแถบดังกล่าว ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 60-80 เซนติเมตร โดยมีความยาวหางคิดเป็น 2 ใน 3 ส่วนของขนาดความยาวทั้งตัว มีหนามเล็ก ๆ เรียงกันเป็นแถวเดียวตั้งแต่ส่วนบริเวณเหนือมุมปากไปจนถึงต้นตอ จากนั้นจะกลายเป็นแค่สันแถวเดียวไปจรดปลายหาง ใช้ชีวิตส่วนอาศัยอยู่บนต้นไม้ กินอาหารจำพวกผลไม้และดอกไม้ได้หลากหลายประเภทเป็นอาหารหลัก แต่ก็สามารถกินแมลงบางชนิดได้เป็นอาหารเสริมเช่นกัน พบกระจายพันธุ์เฉพาะในหมู่เกาะฟีจีและตองงา ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้แห่งเดียวเท่านั้น โดยเชื่อว่าในอดีตบรรพบุรุษคงมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ห่างไกลออกไปประมาณ 6,000 กิโลเมตร ด้วยการเกาะวัสดุที่ลอยตามน้ำมาจากพายุ พร้อมกับสัตว์จำพวกอื่น จนวิวัฒนาการมาเป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นที่นี่ เป็นกิ้งก่าที่ได้รับความนิยมเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างมากเนื่องจากความสวยงามและหายาก ทำให้มีราคาซื้อขายกันในแวดวงสัตว์เลี้ยงสูงมาก ซึ่งพฤติกรรมในสถานที่เลี้ยงนั้น อิกัวนาฟีจีแทบไม่ปรากฏความก้าวร้าวต่อผู้เลี้ยงเลย แต่สถานะในธรรมชาติปัจจุบันนั้น อิกัวนาฟีจีกำลังใกล้สูญพันธุ์แล้ว เนื่องจากถิ่นที่อยู่ที่จำกัดถูกคุกคามจากมนุษย์ และยังได้รับผลกระทบจากสัตว์นักล่าขนาดใหญ่กว่าที่มิใช่สัตว์พื้นเมือง เช่น พังพอนหรือแมวบ้าน เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และอิกัวนาฟีจี · ดูเพิ่มเติม »

อิกัวนาสีชมพู

อิกัวนาสีชมพู, อิกัวนาบกสีชมพูกาลาปาโกส หรือ อิกัวนากาลาปาโกสสีกุหลาบ (Pink iguana, Galápagos pink land iguana, Galapagos rosy iguana) สัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งจำพวกกิ้งก่า ในวงศ์อิกัวนา (Iguanidae) อิกัวนาสีชมพูเป็นอิกัวนาจำพวกอิกัวนาบกชนิดหนึ่ง มีความยาวเต็มที่ประมาณ 1 เมตร และน้ำหนักราว 12 กิโลกรัม เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นที่พบได้ที่หมู่เกาะกาลาปาโกสเท่านั้น เป็นอิกัวนาที่ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และอิกัวนาสีชมพู · ดูเพิ่มเติม »

อิกัวนาสีฟ้า

Blue Iguana หรือ Grand Cayman Iguana (Cyclura lewisi) เป็นกิ้งก่าที่อยู่ภาวะใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤติ จัดอยู่ในจีนัส Cyclura เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นของเกาะ Grand Cayman เคยถูกจัดให้เป็นสปีชีส์ย่อยของ Cuban Iguana ต่อมาถูกจำแนกออกเป็นสปีชีส์ต่างหาก หลังจากมีการค้นพบความแตกต่างจากพันธุกรรมเมื่อ..

ใหม่!!: สัตว์และอิกัวนาสีฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

อิกัวนาหมวกเหล็ก

อิกัวนาหมวกเหล็ก หรือ กิ้งก่าบาซิลิสก์หมวกเหล็ก (Helmeted iguana, Helmeted basilisk) เป็นกิ้งก่าสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Corytophanes ในวงศ์กิ้งก่าบาซิลิสก์ (Corytophanidae) มีลักษณะต่างจากกิ้งก่าบาซิลิสก์ ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกัน คือ มีสันบนหัวทั้งตัวผู้และตัวเมีย ซึ่งใช้ประโยชน์จากสันนี้เพื่อป้องกันตัวโดยหันข้างลำตัวให้กับสัตว์ผู้ล่าหรือศัตรู เพื่อลวงให้เห็นว่ามีขนาดตัวใหญ่ เป็นกิ้งก่าที่อาศัยอยู่บนต้นไม้เท่านั้น และจะลงมาหากินบนพื้นดินเฉพาะวางไข่เท่านั้น พบกระจายพันธุ์เฉพาะอเมริกากลาง คือ ตอนใต้ของเม็กซิโก ไปจนถึงตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้เท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และอิกัวนาหมวกเหล็ก · ดูเพิ่มเติม »

อิกัวนาทะเล

อิกัวนาทะเล หรือ อิกัวนาทะเลกาลาปาโกส (Marine iguana, Galápagos marine iguana) เป็นสัตว์เลื้อยคลานทะเลจำพวกกิ้งก่าชนิดหนึ่งในวงศ์อิกัวนา (Iguanidae) จัดเป็นกิ้งก่าเพียงชนิดเดียวในปัจจุบันนี้ที่พบอาศัยอยู่ได้ในทะเล และเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Amblyrhynchus.

ใหม่!!: สัตว์และอิกัวนาทะเล · ดูเพิ่มเติม »

อิกัวนาแรด

อิกัวนาแรด หรือ ไรนอเซอรัสอิกัวนา (Rhinoceros iguana, Horned ground iguana) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกอิกัวนา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cyclura cornuta อยู่ในวงศ์ Iguanidae มีจุดเด่นอยู่ที่ตรงหัวขนาดใหญ่ที่มีเขาที่ดั้งจมูกเหมือนกับนอแรดอันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีลำตัวที่มีขนาดใหญ่ หนา บึกบึน ลำตัวมีสีน้ำตาล หรือสีเขียวมะกอกหรือสีดำ ขณะที่บางตัวมีส่วนหางสีฟ้า ในตอนเล็กจะมีสีเทาอมฟ้าแซมตลอดทั้งตัว ในตัวผู้จะมีสีสันบริเวณกล้ามเนื้อที่หลังคอหนามาก และมีกล้ามเนื้อบริเวณกรามที่ใหญ่มากจนปูดออกมาบริเวณหัวอย่างชัดเจน ภายในปากเป็นสีม่วงดำสำหรับใช้ขู่ โดยการขู่จะใช้วิธีอ้าปากขู่และงับกรามลงแรง ๆ จัดเป็นอิกัวนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุล Cyclura ด้วยมีความยาวที่สุดได้ถึง 1.5 เมตร และมีน้ำหนักได้ถึง 15 กิโลกรัม กระจายพันธุ์อยู่ในที่ที่แห้งแล้งแถบเกาะฮิสปันโยลา, หมู่เกาะแคริบเบียน และดอมินีกา มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ชนิดย่อย ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้วหนึ่งชนิด และอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งหนึ่งชนิด เป็นอิกัวนาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ขนาดเล็ก หรือ ไข่นก เป็นอาหารได้ แต่จะกินพืชเป็นหลัก เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่เป็นที่นิยมเลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ แต่ว่าเป็นอิกัวนาที่มีนิสัยก้าวร้าว ไม่ค่อยเชื่อง และอาจกัดทำร้ายผู้เลี้ยงได้ โดยขณะที่สถานะการอนุรักษ์ในธรรมชาติ อิกัวนาแรด มีศัตรูตามธรรมชาติ คือ พังพอน สุนัข แมว และหนู ที่จะทำลายและกัดกินไข่และรัง แต่ปัจจุบันได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายที่เข้มงวด และการได้รับการเอาใจใส่จากผู้คนในท้องถิ่น ประกอบกับการสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว ทำให้มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น.

ใหม่!!: สัตว์และอิกัวนาแรด · ดูเพิ่มเติม »

อิกัวโนดอน

อิกัวโนดอน (Iguanodon) เป็นสิ่งมีชีวิตสกุลหนึ่งในกลุ่มของไดโนเสาร์กินพืช มีขาหลังใหญ่และแข็งแรง ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ในปลายยุคจูแรสซิกและต้นยุคครีเทเชียส (ประมาณ 135 ถึง 110 ล้านปีมาแล้ว) ในพื้นที่กว้างใหญ่ตั้งแต่ทวีปยุโรป ไปจนถึงตอนเหนือของทวีปแอฟริกา และเอเชียตะวันออก กิเดียน แมนเทล แพทย์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ค้นพบอิกัวโนดอนเมื่อ พ.ศ. 2365 (ค.ศ. 1822) นับเป็นไดโนเสาร์ชนิดแรก ๆ ที่พบ และมีรายงานทางวิทยาศาสตร์เผยแพร่ในสามปีต่อมา ที่ตั้งชื่อว่าอิกัวโนดอนเพราะฟันของมันคล้ายกับฟันของอิกัวนา และเป็นหลักฐานชิ้นแรกที่แสดงว่าไดโนเสาร์พัฒนามาจากสัตว์เลื้อยคลาน อิกัวโนดอนเป็นสิ่งมีชีวิตสกุลที่มีขนาดใหญ่และพบกระจัดกระจายอยู่เป็นบริเวณกว้างมากที่สุดเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตวงศ์เดียวกัน ลำตัวของมันยาวกว่า 10 เมตร เมื่อยืดตัวขึ้นจะมีความสูง 5 เมตร หนัก 4-5 ตัน สันนิษฐานว่าอิกัวโนดอนเคลื่อนที่โดยใช้ขาทั้ง 4 ขา แต่ก็อาจเดินได้โดยใช้เพียงสองขา มือที่ขาหน้าของอิกัวโนดอนมี 5 นิ้ว หัวแม่มือแข็งแรงและชี้ขึ้นตั้งฉากกับฝ่ามือ ซากดึกดำบรรพ์และรอยเท้าที่พบทำให้เชื่อว่าอิกัวโนดอนมักอยู่เป็นฝูง.

ใหม่!!: สัตว์และอิกัวโนดอน · ดูเพิ่มเติม »

อิกทิโอซอรัส

อิกทิโอซอรัส (Ichthyosaurus; Ichthyo.

ใหม่!!: สัตว์และอิกทิโอซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

อิมพาลา

อิมพาลา (Impala) เป็นสัตว์กีบคู่มีเขาใหญ่เป็นเกลียว ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Aepycerotinae ในวงศ์ใหญ่ Bovidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับวัวหรือแพะ, แกะ จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์ย่อยนี้และสกุลนี้ คำว่า "อิมพาลา" มาจากภาษาซูลู ซึ่งเป็นชื่อสามัญที่ใช้เรียกสัตว์ชนิดนี้ ถูกบันทึกไว้ครั้งแรกเป็นลายลักษณ์อักษรในปี..

ใหม่!!: สัตว์และอิมพาลา · ดูเพิ่มเติม »

อิริอาเตอร์

อิริอาเตอร์ (Irritator) อยู่ในสกุลสไปโนซอร์หรือพวกฟันจระเข้ที่กินปลา มีเอกลักษณ์อยู่ตรงที่หงอนรูปครีบปลาของมันบนหัว เล็บขนาดใหญ่ของมันมีไว้เพื่อล่าเทอโรซอร์และปลา ฟอสซิลของมันค้นพบที่บราซิล อาสัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนต้นเมื่อประมาณ 123-125 ล้านปี มีชื่อชนิดต้นแบบว่า I. challengeri ซึ่งตั้งตามศาสตราจารย์ชาลเลนเจอร์ ตัวละครใน The Lost World ของเซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์Isaak, Mark (2008).

ใหม่!!: สัตว์และอิริอาเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

อิคิดนา

อีคิดนา (Echidna) หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ ตัวกินมดหนาม (Spiky Anteater) เป็นสัตว์ประจำท้องถิ่นของออสเตรเลีย พบในนิวกินีและออสเตรเลีย นอกจากตุ่นปากเป็ดแล้วมีเพียงอีคิดนาเท่านั้น ที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับโมโนทรีมาตา (Monotremata) ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงสองชนิดเท่านั้นที่ออกลูกเป็น.

ใหม่!!: สัตว์และอิคิดนา · ดูเพิ่มเติม »

อิคีเนอเดอร์เมอเทอ

อิคีเนอเดอร์เมอเทอ เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีสมาชิกได้แก่ ดาวทะเล ดาวเปราะ ปลิงทะเล เม่นทะเล พลับพลึงทะเลและเหรียญทะเล เป็นไฟลัมที่พบเฉพาะในทะเล ชื่อของไฟลัมหมายถึง "สัตว์ที่มีผิวหนังเป็นหนาม" (Echinos.

ใหม่!!: สัตว์และอิคีเนอเดอร์เมอเทอ · ดูเพิ่มเติม »

อินทรี

อินทรี เป็นนกจำพวกนกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ ในวงศ์ Accipitridae อันดับ Accipitriformes (วงศ์และอันดับเดียวกับ เหยี่ยว) มีโครงสร้างทางกายภาพที่แข็งแรง ประกอบด้วยโครงกระดูก กล้ามเนื้อ ส่วนต่าง ๆ ขน และกรงเล็บเป็นหลัก จัดอยู่ในประเภทนกที่ล่าเหยื่อเป็นอาหาร มีขนาด ปีก และ หาง ที่กว้าง ลักษณะปลายปีกแหลมหรือปีกแตก จะงอยปากงองุ้มเป็นตะขอ อินทรีเป็นนกที่มีลักษณะสวยงาม แข็งแรง สายตาคม บินเร็ว โจมตีแม่นยำ มองเห็นเป้าหมายได้จากระยะไกล มีเพดานบินตั้งแต่พื้นราบจนถึงความสูง 2,100 เมตร และจัดได้ว่าเป็นสัตว์ที่มีสายตาดีที่สุดในโลก อีกทั้งยังถือเป็นนกหรือสัตว์ปีกที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกอีกด้วย โดยมีอายุได้มากถึง 70 ปี ส่วนใหญ่จะมีสีเข้มและสร้างรังบนหน้าผาที่สูงชัน อินทรีเป็นนกที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรง เป็นนกที่กินเนื้อเป็นอาหาร ซึ่งได้แก่ ปลา, งู, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนาดเล็กเช่น หนู และเป็นนกนักล่าซึ่งล่านกด้วยกัน และไข่นกที่มีขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร อินทรีพบอาศัยกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่เขตต่าง ๆ ทั่วทุกแห่งในโลก ยกเว้นพื้นที่ในทวีปแอนตาร์กติก ที่มีอากาศหนาวเย็น ในประเทศไทย มีอินทรีอยู่ด้วยกันจำนวนหนึ่ง อาทิ นกออก (Haliaeetus leucogaster), อินทรีหัวนวล (H. leucoryphus), อินทรีดำ (Ictinaetus malaiensis), อินทรีปีกลาย (Clanga clanga) เป็นต้น เนื่องจากเป็นนกขนาดใหญ่ น่าเกรงขาม และบินได้สูงและกว้างไกล ทำให้มีความสง่างาม ในเชิงของการเป็นสัญลักษณ์แล้ว อินทรีถูกมนุษย์ใช้ในเชิงสัญลักษณ์เป็นระยะเวลายาวนาน ในหลายวัฒนธรรมของทุกมุมโลก เช่น เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ชนิดหนึ่งของไทย หรือ สหรัฐอเมริกาได้ใช้อินทรีหัวขาว (Haliaeetus leucocephalus) เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และอินทรี · ดูเพิ่มเติม »

อินทรีกินงู

อินทรีกินงู หรือ เหยี่ยวรุ้ง (Serpent eagle) เป็นสกุลของนกล่าเหยื่อจำพวกเหยี่ยวหรืออินทรีสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Spilornis ในวงศ์เหยี่ยวและอินทรี (Accipitridae) นกที่โตเต็มที่จะมีกระหม่อมสีคล้ำ มีดวงตาสดใสสีเหลือง เป็นนกล่าเหยื่อขนาดกลางพบกระจายพันธุ์ได้ในป่าของทวีปเอเชียตอนใต้และเอเชียอาคเนย์ เป็นนกที่ล่างูเป็นอาหารหลัก แม้กระทั่งงูพิษ จึงเป็นที่มาของชื่อในภาษาอังกฤษที่ว่า "Serpent eagle".

ใหม่!!: สัตว์และอินทรีกินงู · ดูเพิ่มเติม »

อินทรีหัวขาว

อินทรีหัวขาว หรือ อินทรีหัวล้าน (White-Head Eagle, Bald Eagle, American Eagle) เป็นนกอินทรีชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในจำพวกอินทรีทะเล มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Haliaeetus leucocephalus เป็นนกขนาดใหญ่ มีจุดเด่น คือ ขนส่วนหัวจนถึงลำคอเป็นสีขาว ตัดกับสีขนลำตัวและปีกซึ่งเป็นสีดำ และปลายหางสีขาว ขณะที่กรงเล็บ รวมทั้งจะงอยปากเป็นสีเหลือง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 70-102 เซนติเมตร (28-40 นิ้ว) ความยาวปีกเมื่อกางปีก 1.8-2.3 เมตร (5.9-7.5 ฟุต) และมีน้ำหนักประมาณ 2.5 ถึง 7 กิโลกรัม (9-12 ปอนด์) ขณะที่ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ประมาณร้อยละ 25 สามารถบินได้เร็วประมาณ 48 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีสายตาที่สามารถมองได้ไกลประมาณ 1 ไมล์ (1.6 กิโลเมตร) จัดเป็นนกที่มีความสวยงามและสง่างามมากชนิดหนึ่ง มีถิ่นกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาเหนือตลอดไปจนถึงเม็กซิโกตอนเหนือ และทะเลแคริบเบียน มักอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือชายทะเล เพราะกินปลาเป็นอาหารหลัก มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 25-30 ปี ในขณะที่ยังเป็นนกวัยอ่อนจนถึง 5 ขวบ ขนบริเวณหัวและปลายหางจะยังเป็นสีน้ำตาล ไม่เปลี่ยนไปเป็นสีขาว อินทรีหัวขาวมีพฤติกรรมการเกี้ยวพาราสีกันค่อนข้างโลดโผน โดยนกทั้งคู่จะใช้กรงเล็บเกาะเกี่ยวกันกลางอากาศ แล้วทิ้งตัวดิ่งลงสู่พื้นดิน แต่เมื่อใกล้จะถึงพื้น ก็จะผละแยกออกจากกัน ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้เป็นไปเพื่อต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของคู่ของตน ซึ่งจะทำให้ได้ลูกนกที่เกิดมาใหม่นั้นเป็นนกที่แข็งแรง อีกทั้งยังเป็นคู่ที่จับคู่กันตลอดชีวิตอีกด้วย เว้นแต่ตัวใดตัวหนึ่งตายไปเสียก่อน จึงจะหาคู่ใหม่ อินทรีหัวขาวถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยปรากฏในตราประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และอีกหลายหน่วยงานราชการในประเทศ อินทรีหัวขาว เป็นนกที่ได้รับการคุ้มครองในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี..

ใหม่!!: สัตว์และอินทรีหัวขาว · ดูเพิ่มเติม »

อินทรีหางขาว

อินทรีหางขาว หรือ อินทรีทะเลหางขาว (White-tailed eagle, White-tailed sea-eagle) นกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกอินทรีทะเล ในวงศ์เหยี่ยวและอินทรี (Accipitridae) อินทรีหางขาว จัดเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งในทวีปยุโรป เมื่อโตเต็มที่อาจมีความสูงได้ถึง 1 เมตร มีดวงตาสีทอง มีถิ่นแพร่กระจายพันธุ์ในยุโรปตะวันออกเช่น เบลารุส, รัสเซีย หรือไครเมีย มีการผสมพันธุ์วางไข่ครั้งละ 2 ฟองในช่วงฤดูร้อน โดยรังจะมีขนาดใหญ่และลึก อาจมีน้ำหนักได้มากถึง 1 ตัน แขวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ดังนั้นจึงอาจสุ่มเสี่ยงต่อการพังทะลายลงมา บางครั้งจะทำรังใกล้กับนกล่าเหยื่ออื่น ๆ เช่น เหยี่ยวออสเปร แต่จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน และบางครั้งอาจมีการรบกวนซึ่งกันและกัน พ่อและแม่นกช่วยกันเลี้ยงลูก เมื่อถึงช่วงฤดูหนาว อินทรีหางขาวบางตัวจะอพยพบินไปยังสถานที่ ๆ อบอุ่นกว่า และจะกลับมาในช่วงฤดูร้อนเพื่อจะผสมพันธุ์วางไข่ ในขณะที่บางตัวเลือกที่จะอยู่ที่เดิม ซึ่งปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบชัดเจนว่าเพราะอะไร รังที่วางเปล่าบนต้นไม้ที่เนเธอร์แลนด์ อาหารหลักได้แก่ ปลา อินทรีหางขาวขนาดโตเต็มที่มีความต้องการอาหารมากถึงวันละ 2 กิโลกรัม รวมถึงอาจกินซากสัตว์ตายได้ด้วย รวมถึงการล่านกด้วยกันชนิดอื่นกินเป็นอาหาร และมีพฤติกรรมการแย่งอาหารกันเองหรือแย่งชิงอาหารจากนกชนิดอื่นบนอากาศ ในช่วงฤดูหนาวที่อุณหภูมิติดลบ น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติต่าง ๆ แข็งเป็นน้ำแข็ง นกน้ำหลายชนิดตายลงเนื่องจากทนความหนาวเย็นไม่ได้ เช่น หงส์ แต่ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตของอินทรีหางขาวจึงทำให้เก็บความร้อนไว้ในตัวได้มาก จึงสามารถทนกับความหนาวเย็นและผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวนี้ได้ พ่อแม่นก จะแยกจากลูกนกขณะที่ลูกนกยังไม่โตเต็มที่ แต่ก็โตพอที่จะช่วยเหลือและดูแลตัวเองได้ โดยจะผละจากรังไป เมื่อลูกนกหิวจึงจะเริ่มขยับบินและออกไปใช้ชีวิตตามลำพังด้วยตัวเอง นอกจากนี้แล้ว อินทรีหางขาวยังสามารถที่จะว่ายน้ำได้ด้วย แม้จะไม่คล่องแคล่วก็ตาม เพื่อกำจัดปรสิตที่เกาะติดตามขน อินทรีหางขาว อาจพบได้ในประเทศไทย โดยถือว่าเป็นนกพลัดหลงที่หาได้ยาก.

ใหม่!!: สัตว์และอินทรีหางขาว · ดูเพิ่มเติม »

อินทรีฮาสท์

อินทรีฮาสท์ (Haast's Eagle; คืออินทรีสายพันธุ์หนึ่งซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว ครั้งหนึ่งมันเคยอาศัยอยู่ที่เกาะใต้ของนิวซีแลนด์ เป็นสายพันธุ์อินทรีที่เชื่อกันว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมา อินทรีฮาสท์มีถิ่นกำเนิดในนิวซีแลนด์ ได้ชื่อว่าเป็นนกอินทรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมันมีความยาวจากปลายปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งกว่า 10 ฟุต หรือสามเมตร น้ำหนักราว 15 -20 กิโลกรัม กรงเล็บของอินทรีฮาสท์มีขนาดพอ ๆ กับเล็บเสือโคร่ง จัดว่าเป็นนักล่าที่น่ากลัวที่สุดของนิวซีแลนด์ เนื่องจากนกอินทรีชนิดนี้อาศัยอยู่ในเกาะใต้ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยป่าหนาทึบ มันจึงมีปีกที่ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบตามสัดส่วนร่างกาย ทั้งนี้เพื่อให้เป็นประโยชน์ขณะที่บินล่าเหยื่อในป่า ช่วงปีกค่อนข้างสั้นและแผ่กว้างทำให้อินทรีฮาสท์ไม่ร่อนหาเหยื่อจากที่สูงเหมือนอย่างพวกแร้ง แต่มักจะบินไปตามแนวป่ามากกว่า เหยื่อสำคัญของอินทรีฮาสท์คือบรรดานกโมอาชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะนกโมอายักษ์ที่หนักกว่า 250 กิโลกรัม แม้ว่าโมอายักษ์จะใหญ่กว่าอินทรีฮาสท์หลายเท่า แต่มันก็ค่อนข้างเชื่องช้าและยังมีคอและศีรษะขนาดเล็กทำให้ง่ายต่อการโจมตี โดยอินทรีฮาสต์จะโฉบลงที่ลำคอหรือไม่ก็ศีรษะของเหยื่อ ก่อนใช้กรงเล็บสังหารเหยื่อของมัน เนื่องจากเหยื่อของมันมีขนาดใหญ่มาก อินทรีฮาสต์จึงมักกินเหยื่อที่พื้นและอยู่กับซากเป็นเวลาหลายวัน การที่อินทรีฮาสต์ล่าเหยื่อขนาดใหญ่อย่างนกโมอายักษ์ ก็เพราะว่าในนิวซีแลนด์ มันเป็นนักล่าที่ใหญ่ที่สุดของดินแดนแห่งนี้ ตามปกติสัตว์จำพวกเหยี่ยวและนกอินทรีจะล่าเหยื่อที่มีขนาดเล็กกว่าพวกมันเพื่อให้ง่ายต่อการนำขึ้นไปกินบนกิ่งไม้สูงทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ถูกสัตว์นักล่าบนพื้นดินชนิดอื่นที่แข็งแรงกว่ามาแย่งเหยื่อไป แต่ในนิวซีแลนด์ไม่มีสัตว์นักล่าบนพื้นดิน ที่แข็งแกร่งกว่าอินทรีฮาสท์ ทำให้พวกมันสามารถกินเหยื่อบนพื้นดินได้โดยไม่ต้องกลัวถูกแย่งไป ไม่เคยมีชาวผิวขาวคนใดได้เห็น นกอินทรีฮาสท์ คงมีเพียงชาวมาวรีเท่านั้นที่เคยเห็นมัน พวกมาวรีเรียกนกอินทรีชนิดนี้ว่า "โปวาไก" (Pouakai). Museum of New Zealand: Te Papa Tongarewa. Retrieved 27 October 2010. ในตำนานพื้นบ้านเล่าว่า มันจะเกาะอยู่บนยอดไม้สูง เมื่อมนุษย์เดินผ่าน มันจะพุ่งเข้าจู่โจมโดยใช้กรงเล็บขยุ้มที่ศีรษะเหยื่อ และเมื่อเหยื่อตายแล้วมันจะนำกลับไปที่รัง เมื่อดูจากกรงเล็บและขนาดของมันแล้ว ก็พอจะกล่าวได้ว่า ตำนานนี้ไม่เกินจริงนัก ภาพวาดนกอิทรียักษ์ฮาสท์กำลังล่านกโมอา กระดูกของอินทรียักษ์ ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1871 ระหว่างการขุดค้นกระดูกนกโมอาที่บึงเกลมมาร์ก (Glemmark) ในแคนเทอร์บรี (Canterbury) จากนั้นได้มีการศึกษา และตั้งชื่อในปีต่อมา กระดูกของอินทรีฮาสท์ไม่ได้พบทั่วไป แต่มีอยู่เฉพาะในเกาะใต้ และทางตอนใต้ของเกาะเหนือของประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่านกอินทรีฮาสท์เป็นนกนักล่าที่น่ากลัวที่สุดของนิวซีแลนด์ พวกมันสามารถล่าเหยื่อขนาดใหญ่อย่างนกโมอาที่หนักกว่า 250 กิโลกรัมได้ โดยนกอินทรีฮาสท์จะใช้วิธีพุ่งเข้าชนเหยื่อ แรงปะทะของมันจะทำให้นกโมอาเสียหลักล้มลง จากนั้นมันจึงเล่นงานด้วยกรงเล็บ นอกจากนี้พวกมันก็อาจเล่นงานชาวพื้นเมืองเหมือนดังในตำนานก็ได้ จากหลักฐานที่พบ สรุปได้ว่าอินทรีฮาสท์สูญพันธุ์ไปเมื่อ 500 ปีก่อน สาเหตุของการสูญพันธุ์น่าจะเกี่ยวเนื่องกับการเข้ามาของชาวมาวรี ทั้งนี้เมื่อเหยื่อขนาดใหญ่อย่างนกโมอาถูกมนุษย์ล่า ทำให้นกอินทรีขาดแหล่งอาหาร นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่า ชาวมาวรีล่าอินทรีเหล่านี้เพื่อใช้ขนทำเสื้อด้วย อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 1800 มีผู้อ้างว่า ได้ยิงอินทรียักษ์สองตัว แม้ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ก็พอจะพูดได้ว่านั่นเป็นข่าวการพบเห็นครั้งสุดท้าย เพราะนับแต่นั้นมาก็ไม่เคยมีใครพบนกอินทรีชนิดนี้อีกเล.

ใหม่!!: สัตว์และอินทรีฮาสท์ · ดูเพิ่มเติม »

อินทรีทะเล

ระวังสับสนกับ: เหยี่ยวปลา อินทรีทะเล (Sea eagle, Fish eagle บางครั้งเรียก Erne หรือ Ern ซึ่งมาจากอินทรีหางขาว) เป็นนกล่าเหยื่อในสกุล Haliaeetus ในวงศ์ Accipitridae อินทรีทะเลมีหลายขนาด ตั้งแต่อินทรีทะเลแซนฟอร์ดซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 2–2.7 กิโลกรัม ถึงอินทรีทะเลสเตลเลอร์ซึ่งหนักถึง 9 กิโลกรัมdel Hoyo, J., Elliott, A., & Sargatal, J., eds.

ใหม่!!: สัตว์และอินทรีทะเล · ดูเพิ่มเติม »

อินทรีทะเลหัวนวล

อินทรีทะเลหัวนวล หรือ อินทรีหัวนวล (Pallas's fish eagle, Pallas's sea eagle, Band-tailed fish eagle) เป็นนกอินทรีชนิดหนึ่ง มีขนาดยาวลำตัวประมาณ 68-81 เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะเหมือนกัน แต่ตัวเมียจะมีขนาดเล็กกว่า หัวมีสีน้ำตาลอ่อน ปีกกว้างมีสีน้ำตาลดำ ตามีแถบคาดขนาดใหญ่สีเทา กลางหางก็มีแถบสีขาวอยู่ 1 แถบ เมื่อยังเป็นตัวไม่เต็มจะมีขนสีอ่อนกว่า ที่หัวและคอมีสีน้ำตาลเข้มกว่า แถบคาดตาก็มีสีน้ำตาลดำ เป็นนกอินทรีทะเลชนิดหนึ่ง กินอาหาร จำพวก ปลาและสัตว์น้ำ กระจายพันธุ์อยู่ในเอเชียกลาง ระหว่างอ่าวเปอร์เซียและทะเลเหลือง จากคาซัคสถานและมองโกเลีย จนถึงแนวเทือกเขาหิมาลัย, บังกลาเทศ จนถึงอินเดีย ในช่วงฤดูหนาวจะมีการอพยพหนีหนาวมาสู่ภูมิภาคที่อุ่นกว่า เช่น ประเทศไทย เป็นต้น ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 อินทรีทะเลหัวนวล จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และอินทรีทะเลหัวนวล · ดูเพิ่มเติม »

อินทรีทุ่งหญ้าสเตปป์

อินทรีทุ่งหญ้าสเตปป์ (Steppe eagle) เป็นนกอินทรีชนิดหนึ่ง มีขนาดลำตัวประมาณ 76-80 เซนติเมตร ความยาวปีก 1.7-2.1 เมตร จัดเป็นนกอินทรีทีมีขนาดใหญ่ มีท้ายทอยมีแถบสีน้ำตาลแดง คอบางส่วนสีอ่อน มุมปากลึกเกินกึ่งกลางดวงตา ปีกและหางยาว ขนคลุมใต้ปีกสีน้ำตาลเข้มตัดกับขนคลุมปลายปีกสีดำ ขนปีกบนมีลายขวาง ปลายปีกและขอบปีกด้านหลังสีเข้ม ในนกวัยอ่อน หัวและขนลำตัวสีน้ำตาลแกมเทากว่านกเต็มวัย มีแถบขาวจากปลายขนต่างจากนกอินทรีชนิดอื่น ๆ ที่มีแถบสีขาวใหญ่กลางปีกตามแนวขนคลุมใต้ปีก อายุเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ 6 ปี จึงค่อยมีสีเหมือนนกตัวเต็มวัย เป็นนกประจำถิ่นของภูมิภาคเอเชียกลางจนถึงทวีปยุโรป โดยมักจะอาศัยหากินอยู่ตามทุ่งหญ้าหรือทุ่งหญ้าสเตปป์ รวมถึงพื้นที่เกษตรกรรมเปิดโล่งในพื้นที่ต่ำ เช่น นาข้าว อันเป็นที่มาของชื่อเรียก กินหนูนาเป็นอาหารหลัก แต่ก็มีรายงานพบในที่ ๆ มีความสูงถึง 2,100 เมตร จากระดับน้ำทะเล สำหรับในประเทศไทย จัดเป็นนกอพยพที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง มีปริมาณการพบเห็นปีละไม่เกิน 2 ตัว ในแถบจังหวัดเพชรบุรีและนครสวรรค์ ในช่วงฤดูหนาว และจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และอินทรีทุ่งหญ้าสเตปป์ · ดูเพิ่มเติม »

อินทรีดำ

อินทรีดำ (Black eagle, Indian black eagle) เป็นนกล่าเหยื่อขนาดใหญ่จำพวกอินทรี และจัดเป็นนกเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Ictinaetus (แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย-ดูในตาราง) มีขนปกคลุมลำตัวสีดำสนิท ขนคลุมทั้งจมูก และตีนมีสีเหลือง หางมีลายแถบสีอ่อนคาด ขณะบินปีกกว้าง ปลายปกแตกเป็นรูปนิ้วมือชัดเจน หางยาวมาก ขณะที่ยังเป็นนกที่โตไม่เต็มวัยจะมีสีน้ำตาลหม่น ปากสั้นปลายแหลม มีเล็บนิ้วเท้าแหลมคมและแข็งแรงมาก ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 69-81 เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะเหมือนกัน พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่อนุทวีปอินเดียและภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยจะพบได้ตามป่าในแนวเขาตั้งแต่เหนือจรดใต้ได้ไม่ยากนัก โดยเฉพาะทางป่าตะวันตก แต่ปัจจุบันก็มีจำนวนลดน้อยลงจากเดิมเนื่องจากถิ่นที่อยู่ถูกทำลาย อินทรีดำ มีพฤติกรรมล่าเหยื่อที่แตกต่างไปจากอินทรีหรือเหยี่ยวชนิดอื่น คือ การบินมาเกาะใกล้รังนกเล็กหรือกระรอก แล้วไต่กิ่งไปล่าเหยื่อในรัง รวมทั้งไข่นก นอกเหนือจากจากโฉบเหยื่อที่เป็นพฤติกรรมโดยปกติ จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และอินทรีดำ · ดูเพิ่มเติม »

อินดรี

อินดรี หรือ อินดรี อินดรี (Indri, Indri indri, Babakoto) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานร (Primate) ชนิดหนึ่ง จำพวกลีเมอร์ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Indri indri อยู่ในวงศ์อินดรี (Indriidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Indri มีลำตัวขนาดใหญ่ ขนาดประมาณเท่าลูกหมี มีความยาวตั้งแต่หัวจรดโคนหางประมาณ 64–72 เซนติเมตร (2.10–2.36 ฟุต) และอาจยาวได้ถึง 120 เซนติเมตร (3.9 ฟุต) น้ำหนักตัวเต็มที่ประมาณ 6–9.5 กิโลกรัม (13–21 กรัม) ลำตัวมีขนสีขาว–ดำ ส่วนหางสั้น มีใบหูกลมคล้ายแพนด้า กินอาหารจำพวกใบไม้ และหน่ออ่อนของต้นไม้เป็นอาหารหลัก ออกหากินในเวลากลางวัน มีขาแข็งแรงเพราะต้องใช้ในการปีนป่ายต้นไม้ จัดเป็นลีเมอร์ชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีเสียงร้องที่ดังที่สุด ซึ่งอาจได้ยินไปไกลถึง 3 กิโลเมตร อินดรีจะส่งเสียงร้องทุก ๆ เช้าเพื่อสื่อสารกันและประกาศอาณาเขต โดยจะเริ่มจากจ่าฝูงก่อน เมื่ออินดรีกระโดดครั้งเดียวอาจไกลได้ถึง 30 ฟุต ในการสัญจรไปมาระหว่างต้นไม้ เนื่องจากมีขาหลังที่ยาวและทรงพลัง ซึ่งขาหลังของอินดรีมีความยาวกว่าความยาวลำตัวรวมกับหัวด้วยซ้ำThe Night Stalker, "Nick Baker's Weird Creatures" สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต.

ใหม่!!: สัตว์และอินดรี · ดูเพิ่มเติม »

อึ่งอ่าง

อึ่งอ่าง หรือ อึ่งยาง (accessdate) เป็นสกุลของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกกบในสกุล Kaloula ในวงศ์อึ่งอ่าง (Microhylidae) วงศ์ย่อย Microhylinae พบกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย เช่น เอเชียใต้, เอเชียตะวันออก และเอเชียอาคเนย์ ลักษณะโดยทั่วไป มีผิวหนังมันลื่น มีสีนํ้าตาลลายขาว ขนาดเมื่อโตเต็มที่มีความยาวประมาณ 7 เซนติเมตร มักทําตัวพองเมื่อถูกรบกวน มักร้องเสียงดังเมื่อนํ้านองโดยเฉพาะหลังฝนตกที่มีอากาศเย็นชื้น เสียงร้องดังระงม.

ใหม่!!: สัตว์และอึ่งอ่าง · ดูเพิ่มเติม »

อึ่งอ่างบ้าน

อึ่งอ่างบ้าน หรือ อึ่งยาง หรือที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า อึ่งอ่าง เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ในวงศ์อึ่งอ่าง (Microhylidae) มีลำตัวอ้วนกลม ไม่มีคอ หัวกว้าง และปลายปากแหลมไม่มาก ขาและแขนค่อนข้างสั้น มีความยาวไล่เลี่ยกัน นิ้วมือและนิ้วเท้า ตอนปลายแผ่แบน และตัดตรงทางด้านหน้า ผิวหนังเรียบลื่น มีปุ่มเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วหลังและมากในขาคู่หลัง ใต้ฝ่าเท้ามีแผ่นแข็งยาวสองแผ่นใช้ในการขุดดิน ลำตัวด้านหลังสีออกน้ำตาลคล้ำ หรือน้ำตาลแกมแดง มีลายแถบกว้างสีน้ำตาลอ่อนพาด ตั้งแต่เหนือลูกตาจนถึงโคนขาทั้งสองข้าง ตรงปลายบนสุดแต่ละแถบยังเชื่อมต่อกันระหว่างลูก ตาทั้งสองข้าง ปลายล่างสุดในบางตัวลายแถบจะแตกออกเป็นปื้น ๆ แต่ยังอยู่ในแนวเดิม ใต้ ท้องสีออกคล้ำ โดยเฉพาะใต้คางมีสีเกือบดำ บริเวณอื่น ๆ เป็นลายตาข่ายสีออกม่วงคล้ำ ๆ เห็นไม่ชัดเจนนัก ยกเว้นในบางตัวที่มีขนาดใหญ่มาก มีขนาดความยาวจัดจากปลายปากจนถึงก้นประมาณ 58–70 มิลลิเมตร มีอายุยืนเต็มที่ประมาณ 10 ปี มีการแพร่กระจายพันธุ์ค่อนข้างกว้างขวาง ตั้งแต่อินเดีย, ศรีลังกา, จีนตอนใต้, พม่า, เวียดนาม, ลาว, กัมพูชา, ไทย จนถึงคาบสมุทรมลายู ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ด้วยการขุดดินลึกลงไปซ่อนตัวอยู่ เลือกดินที่ชื้นและร่วนซุย เมื่อฝนตกจึงจะออกมาหากินเมื่อมีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน มักพบในช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกรกฎาคม เมื่อถูกรบกวนจะพองตัวออกจนกลมป่องคล้ายลูกบอล เสียงร้องจะเรียงเสียงว่า "อึ่ง ๆ " อันเป็นที่มาของชื่อเรียก ในช่วงชุกชุมมักถูกจับกินเป็นอาหารสำหรับบางพื้นที่ โดยเฉพาะกินในตัวที่มีไข่อยู่เต็มท้อง ก็จะมีราคาขายที่สูงด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และอึ่งอ่างบ้าน · ดูเพิ่มเติม »

อึ่งผี

อึ่งผี หรือ อึ่งกรายลายเลอะ หรือ อึ่งกรายหมอสมิธ (Smith's litter frog) สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ในวงศ์อึ่งกราย (Megophryidae) อาศัยอยู่บริเวณพื้นป่าและบริเวณใกล้ลำธารในป่าดิบแล้งถึงป่าดิบเขา มีลักษณะเด่นคือ ดวงตาด้านบนมีสีแดงหรือส้มเหลืองวาว ตาโปน หัวมีขนาดใหญ่กว่าลำตัว ขาค่อนข้างสั้น ผิวหนังด้านหลังมีลายสีเข้มบนพื้นมีเทา ส่งเสียงร้องดังคล้ายเสียงเป็ดและไม่เกรงกลัวมนุษย์ ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกกลัว จึงเป็นที่มาของชื่อ "อึ่งผี" ส่วนคนท้องถิ่นเรียกชื่อตามเสียงร้องว่า "ย่าก๊าบ" แพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่แนวป่าตะวันตกของประเทศไทยจนถึงแหลมมลายู ตั้งแต่ภาคใต้ของไทยลงไป และพบได้จนถึงเกาะลังกาวี ในประเทศมาเลเซีย อึ่งผีถูกพบครั้งแรกของโลกที่ต้นน้ำตกพลู บนเขาช่อง จังหวัดตรัง เมื่อปี ค.ศ. 1999 ถูกตั้งชื่อสามัญและชื่อวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นเกียรติแก่ มัลคอล์ม อาเธอร์ สมิธ นักวิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชาวอังกฤษที่เข้ามาศึกษาสัตว์ประเภทนี้ในประเทศไทยและคาบสมุทรมลายู ปัจจุบันอึ่งผีได้ลดปริมาณลงมาก สาเหตุเนื่องจากคนท้องถิ่น นิยมบริโภคลูกอ๊อดที่ขายังไม่งอก เนื่องจากลูกอ๊อดของอึ่งผีมีขนาดใหญ่กว่าลูกอ๊อดทั่วไป.

ใหม่!!: สัตว์และอึ่งผี · ดูเพิ่มเติม »

อึ่งปากขวด

อึ่งปากขวด หรือ อึ่งเพ้า (Truncate-snouted burrowing frog, Balloon frog) เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชนิดหนึ่ง จำพวกอึ่งอ่าง จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Glyphoglossus มีความยาวจากหัวจรดถึงก้นประมาณ 73 มิลลิเมตร ลำตัวอ้วนป้อม มีลักษณะเด่นคือ หน้าสั้นมาก ปากแคบและทู่ไม่มีฟัน ไม่เหมือนกับกบหรืออึ่งอ่างชนิดอื่น ๆ ตาเล็ก ขาสั้น แผ่นเยื่อแก้วหูเห็นไม่ชัด ลำตัวสีน้ำตาลดำหรือสีเทาดำ ใต้ท้องสีขาว บางตัวอาจมีจุดกระสีเหลืองกระจายอยู่ทั่ว เท้าทั้ง 4 ข้างมีพังผืดเกาะติดอยู่ ใช้สำหรับว่ายน้ำ และมีสันใต้ฝ่าเท้าหลังใช้สำหรับขุดดิน อึ่งปากขวดพบในภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยจะพบเฉพาะพื้นที่ที่อยู่เหนือจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขึ้นไป โดยมีพฤติกรรมอาศัยโดยขุดโพรงดินที่เป็นดินปนทรายและอาศัยอยู่ภายใน ในป่าที่มีความชุ่มชื้นใกล้กับพื้นที่ชุ่มน้ำ ในฤดูร้อนจะซ่อนตัวในโพรงแทบตลอด เมื่อฝนตกจะออกมาหากิน โดยหากินในเวลากลางคืน ผสมพันธุ์และวางไข่ในช่วงต้นฤดูฝน และจะผสมพันธุ์วางไข่เร็วกว่าอึ่งอ่างหรือกบชนิดอื่น ลูกอ๊อดมีลำตัวป้อมและโปร่งแสง ลำตัวเป็นสีเหลือง มีส่วนบนและส่วนล่างเป็นสีดำ หากินอยู่ในระดับกลางน้ำ โดยจะว่ายทำมุมประมาณ 45 องศา อยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ไปไหนมาไหนพร้อมกันเป็นฝูง อึ่งปากขวดไม่จัดว่าเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง แต่ในปัจจุบันมีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เพราะถูกจับมาบริโภค โดยเฉพาะอย่างมากในช่วงฤดูฝนที่จะสร้างรายได้แก่ผู้ที่จับมาได้วันละหลายหมื่นบาท (แต่มักจะเรียกปนกันว่า "อึ่งอ่าง" หรืออึ่งยาง ซึ่งเป็นอึ่งคนละชนิด) กอรปกับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไป ปัจจุบันกรมประมงได้สนับสนุนให้เลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐก.

ใหม่!!: สัตว์และอึ่งปากขวด · ดูเพิ่มเติม »

อึ่งน้ำเต้า

อึ่งน้ำเต้า (Ornate Narrow-mouthed Frog) เป็นอึ่งชนิดหนึ่ง ในสกุล Microhyla พบในเอเชียใต้.

ใหม่!!: สัตว์และอึ่งน้ำเต้า · ดูเพิ่มเติม »

อุรังอุตัง

อุรังอุตัง (Orangutan) เป็นไพรเมตจำพวกลิงไม่มีหาง ที่อยู่ในสกุล Pongo (/พอง-โก/) เป็นสัตว์พื้นเมืองของเกาะบอร์เนียวและเกาะสุมาตรา ในประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น มีขนาดใหญ่คล้ายมนุษย์ ไม่มีหาง หูเล็ก แขนและขายาว ตัวผู้มีน้ำหนัก 75–200 กิโลกรัม ส่วนตัวเมียหนัก 50–80 กิโลกรัม มีขนหยาบสีแดงรุงรัง เมื่อโตขึ้นกระพุ้งแก้มจะห้อยเป็นถุงขนาดใหญ่ มันชอบอยู่บนต้นไม้โดดเดี่ยว เว้นแต่ช่วงผสมพันธุ์จะอยู่เป็นคู่ ชอบห้อยโหนจากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่ง มีการสร้างรังนอน แบบเดียวกับชิมแปนซี เชื่อง ไม่ดุ หัดง่ายแต่เมื่อเติบโตแล้วจะดุมาก เมื่ออุรังอุตังอายุ 10 ปี จะสามารถผสมพันธุ์ได้ ออกลูกทีละ 1 ตัว และอายุยืนถึง 40 ปีเลย ปัจจุบัน เป็นสัตว์หายาก อาหารหลักคือผลไม้ชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะทุเรียน นอกจากนี้ยังกินแมลง ไข่นก สัตว์เล็ก ๆ อื่น ๆ อีกด้วย แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ (สูญพันธุ์ไป 1).

ใหม่!!: สัตว์และอุรังอุตัง · ดูเพิ่มเติม »

อุรังอุตังบอร์เนียว

อุรังอุตังบอร์เนียว หรือ อุรังอุตังบอร์เนียน (Bornean orangutan) เป็นชนิดหนึ่งของอุรังอุตัง มีถิ่นกำเนิดในเกาะบอร์เนียว มีลักษณะคล้ายคลึงกับอุรังอุตังสุมาตรา (P. abelii) แต่มีขนาดใหญ่กว่า อุรังอุตังบอร์เนียวมีอายุยืนถึง 35 ปี ในป่า ในกรงเลี้ยงสามารถมีอายุยืนยาวได้ถึง 60 ปี จากการสำรวจอุรังอุตังบอร์เนียวในป่า พบว่า เพศผู้มีน้ำหนักโดยเฉลี่ย 75 กก.

ใหม่!!: สัตว์และอุรังอุตังบอร์เนียว · ดูเพิ่มเติม »

อุรังอุตังสุมาตรา

อุรังอุตังสุมาตรา (Sumatran orangutan) เป็นหนึ่งในอุรังอุตังสองสปีชีส์ ซึ่งพบเฉพาะบนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น อุรังอุตังชนิดนี้หายากและมีขนาดตัวเล็กกว่าอุรังอุตังบอร์เนียว (P. pygmaeus) อุรังอุตังสุมาตราเพศผู้มีความสูงได้ถึง 1.4 เมตร และหนัก 90 กิโลกรัม ขณะที่เพศเมียจะมีขนาดตัวเล็กกว่า โดยเฉลี่ยแล้วจะสูง 90 เซนติเมตร และหนัก 45 กิโลกรัม.

ใหม่!!: สัตว์และอุรังอุตังสุมาตรา · ดูเพิ่มเติม »

อุรังอุตังตาปานูลี

อุรังอุตังตาปานูลี (Tapanuli orangutan) เป็นสายพันธุ์ของอุรังอุตังที่อาศัยอยู่ในอำเภอตาปานูลีใต้ จังหวัดสุมาตราเหนือ ประเทศอินโดนีเซีย และเป็นสายพันธุ์ที่สามของอุรังอุตังบนเกาะสุมาตรา หลังจากที่อุรังอุตังตาปานูลีนั้นได้รับการระบุให้เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่แตกต่างจากอุรังอุตังสุมาตราและอุรังอุตังบอร์เนียวเมื่อ..

ใหม่!!: สัตว์และอุรังอุตังตาปานูลี · ดูเพิ่มเติม »

อุทยานแห่งชาติตาดโตน

อุทยานแห่งชาติตาดโตน ได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 97 ตอนที่ 208 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2523 เป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 23 ของประเทศไทย เนื้อที่ 135,737.50 ไร่ หรือ ประมาณ 217.18 ตารางกิโลเมตร โดยกำหนดที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ป่าภูแลนคาด้านทิศใต้ ท้องที่ ตำบลนาฝาย ตำบล นาเสียว ตำบลห้วยต้อน และตำบลท่าหินโงม อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติตาดโตน โดยทาง ทิศเหนือ จรด ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าภูแลนคาด้านทิศใต้ ตำบลท่าหินโงม อำเภอเมืองชัยภูมิ และตำบลเก่าย่าดี อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ทางทิศตะวันออก จรด ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเตรียมการสงวนหมายเลข 10 แปลง 1 (ป่าภูโค้ง) อำเภอแก้งคร้อ และตำบลนาเสียว อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ทางทิศใต้ จรด ตำบลนาฝาย อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ทางทิศตะวันตก จรด ทางหลวงจังหวัด หมายเลข 2159 สายชัยภูมิ-หนองบัวแดง ตำบลห้วยต้อน อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ พืชพรรณและสัตว์ป่า พันธุ์พืช ที่ปรากฏมีดังนี้ อุทยานแห่งชาติตาดโตน ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงระหว่าง 200 - 945 เมตร จากระดับ น้ำทะเลปานกลาง ดังนั้น สภาพสังคมพืชจึงแตกต่างไปตามระดับความสูง พอจำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ ป่าเต็งรัง ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติตาดโตน พบป่าชนิดนี้ขึ้นกระจัดกระจาย มีเนื้อที่ประมาณ 94.93 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ร้อยละ 43.71 ของพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติ ความสูงของเรือนยอด ชั้นบนประมาณ 15 - 20 เมตร พันธุ์ไม้ที่สำคัญในชั้นนี้ ได้แก่ ยางพลวง รัง แดง ตะแบกเลือด มะกอกเกลื้อน ก่อแพะ และมะค่าแต้ ส่วนเรือนยอดในชั้นรอง มีไม้ขนาดเล็กมีความสูงประมาณ 5 - 10 เมตร พันธุ์ไม้ที่สำคัญในชั้นนี้ได้แก่ ชิงชัน ตาลเหลือง ยอเถื่อน กระท่อมหมู มะม่วงป่า ติ้วแดง และขว้าว ไม้พื้นล่างประกอบด้วย ลูกไม้ของไม้ชั้นบนเป็นส่วนใหญ่ และหญ้าเพ็กขึ้นอยู่ทั่วไป พันธุ์ไม้ชนิดอื่น เช่น กระดูกอึ่ง ลูกใต้ใบ เฟิร์น หมักหม้อ นางนวล กาวเครือ และหนอนตายหยาก เป็นต้น ป่าดิบแล้ง ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติตาดโตนพบป่าชนิดนี้ขึ้นกระจัดกระจายตามลำห้วย มีพื้นที่ประมาณ 35.01 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณร้อยละ 16.12 ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มีลักษณะทางด้านตัวเรือนยอด แบ่งเป็น ชั้นเรือนยอดชั้นบนสูง 25 - 30 เมตร ไม้สำคัญ ได้แก่ พะองค์ กระบก จิกดง หาด ตีนเป็ดเขา ค้างคาว และติ้วแดง เรือนยอดไม้ชั้นรองมีความสูงประมาณ 20 - 25 เมตร พันธุ์ไม้สำคัญในชั้นนี้ ได้แก่ พะยอม มะกล่ำต้น หว้า กระเบากลัก กีบตอง มะส้าน และก่อเดือย เรือนยอดไม้ชั้นสามมีความสูงประมาณ 15-20 เมตร พันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ยางแดง มะแฟน เสม็ดเขา พลองกินลูก ลำดวน และกะอวม ส่วนเรือนยอดในชั้นของไม้ขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 10 - 15 เมตร พันธุ์ไม้ที่สำคัญ เช่น แดง มะหาด มะพอก เปล้าน้อย เปล้าใหญ่ พุดป่า และ พีพวน เป็นต้น สัตว์ ที่ปรากฏมีดังนี้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ได้แก่ หมูป่า เก้ง อีเห็นหางลาย พังพอนธรรมดา อ้นเล็ก กระต่ายป่า กระรอกบินเล็กแก้มแดง กระจ้อน เป็นต้น สัตว์ปีก ได้แก่ นกจับแมลงหัวเทา นกจับแมลงคอแดง นกจับแมลงอกสีฟ้า นกปรอดเหลืองหัวจุก นกแซงแซวหางปลา นกนางแอ่นบ้าน นกโพระดกธรรมดา นกกระปูดใหญ่ นกตะขาบทุ่ง นกหัวขวานสี่นิ้วหลังทอง นกเปล้าธรรมดา เหยี่ยวขาว ไก่ป่า นกกระทาทุ่ง นกกางเขนบ้าน นกเค้าโมงหรือนกเค้าแมว เป็นต้น สัตว์เลื้อยคลาน ได้แก่ ตะกวด งูเห่า งูทับสมิงคลา งูเหลือม งูกะปะ กิ้งก่าบินปีกสีส้ม จิ้งเหลน จิ้งเหลนภูเขาลายจุด จิ้งจกบ้านหางหนาม เป็นต้น แมลง ได้แก่ ผีเสื้อหางตุ้มอดัมสัน ผีเสื้อหางตุ้มจุดชมพู ผีเสื้อหนอนมะนาว ผีเสื้อสะพายฟ้า ผีเสื้อม้าลาย ผีเสื้อธรรมดา ผีเสื้อจรกา ผีเสื้อหนอนยี่โถ แมลงทับ ด้วงต่าง ๆ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และอุทยานแห่งชาติตาดโตน · ดูเพิ่มเติม »

อุทยานแห่งชาติไซออน

หุบเขาไซออน มองจากยอดของ Angels Landing ยามดวงอาทิตย์ตก อุทยานแห่งชาติไซออน (Zion National Park) เป็นอุทยานแห่งชาติทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ใกล้กับ Springdale รัฐยูทาห์ เมื่อ พ.ศ. 2452 ประธานาธิบดี William Howard Taft ได้ประกาศบริเวณนี้ให้เป็น National monument เพื่ออนุรักษ์พื้นที่หุบเขา ภายใต้ชื่อว่า Mukuntuweap National Monument ต่อมาใน พ.ศ. 2461 acting director จาก National Park Service ที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ได้เปลี่ยนชื่ออุทยานเป็น Zion เนื่องจากชื่อเดิมไม่เป็นที่ไม่เป็นที่นิยมในท้องถิ่น Zion เป็นคำในภาษาฮิบรูโบราณ หมายถึง สถานที่หลบลี้ภัย ซึ่งชื่อนี้ได้รับการต้อนรับเชิงบวกมากขึ้นจากสาธารณชน ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 United States Congress ได้ประกาศให้ monument แห่งนี้เป็นอุทยานแห่งชาติ จนกระทั่ง พ.ศ. 2480 Kolob section ได้ประกาศ Zion National Monument แยกต่างหากอย่างเป็นทางการ แต่ได้นำมาผนวกรวมเข้ากับอุทยานเมื่อ พ.ศ. 2499 อุทยานแห่งนี้มีพื้นที่ 593 ตร.กม.

ใหม่!!: สัตว์และอุทยานแห่งชาติไซออน · ดูเพิ่มเติม »

อุปสมบท

อุปสมบท (อ่านว่า อุปะ-, อุบปะ-) แปลว่า การเข้าถึง คือการบวช เป็นศัพท์เฉพาะในศาสนาพุทธ ใช้หมายถึงการบวชเป็นภิกษุและภิกษุณี เรียกเต็มว่า อุปสมบทกรรม อุปสมบทเป็นสังฆกรรมอย่างหนึ่ง ในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงวางหลักเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติไว้รัดกุมและละเอียดมากโดยทรงบัญญัติให้สวดอนุสาวนาไม่ต้องระบุนามแต่ระบุเพียงโคตร (สกุล) ได้และสวดประกาศครั้งละ 2-3 รูปได้โดยมีอุปัชฌายะ และทรงอนุญาตให้นับอายุผู้บวชว่าครบ 20 ปี โดยคิดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ศาสนทายาทที่ดีไว้สืบสานพระพุทธศาสนา ในประเทศไทยจะถือเป็นประเพณีเลยว่า ลูกชายของครอบครัวเป็นพุทธต้องบวชสักครั้งในชีวิตเพื่อให้แม่เกาะชายผ้าเหลือง ชดใช้ค่าน้ำนม อันเป็นสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาโดยเปลี่ยนจากผู้นับถือพระรัตนตรัยขึ้นไปเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรั.

ใหม่!!: สัตว์และอุปสมบท · ดูเพิ่มเติม »

อูฐ

อูฐ (Camel; جمليات, ญะมัล) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในสกุล Camelus จัดอยู่ในวงศ์ Camelidae เป็นสัตว์ที่มีความอดทนสูง สามารถอาศัยอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหารหรือน้ำเลย 2 สัปดาห์ เพราะมีไขมันสะสมไว้ในหนอกและร่างกายเก็บรักษาน้ำได้เป็นอย่างดี จึงสามารถอยู่ในที่ทุรกันดารเช่นทะเลทรายได้เป็นอย่างดี กินอาหารประเภทใบไม้ในทะเลทราย ตัวโตเต็มที่มีความสูงถึงบ่าประมาณ 1.85 เมตร และหนอกสูงอีก 75 เซนติเมตร ความสามารถ วิ่งได้เร็ว 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเดินด้วยความเร็วคงที่ประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบกน้ำหนักได้ 150-200 กิโลกรัม อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลงได้จาก 34 องศาเซลเซียสในตอนกลางคืนมาเป็น 41 องศาเซลเซียสในตอนกลางวัน ปัจจุบันสัตว์ในตระกูลอูฐได้ถูกนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจในบางประเทศ แต่ใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ เป็นอาหาร ตัดขน รีดนม และใช้เนื้อเพื่อบร.

ใหม่!!: สัตว์และอูฐ · ดูเพิ่มเติม »

อูฐสองหนอกป่า

อูฐสองหนอกป่า หรือ อูฐแบคเตรียป่า (Wild bactrian camel) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกสัตว์กีบคู่ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายคลึงกับอูฐสองหนอก (C. bactrianus) ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ อูฐสองหนอกป่า เป็นอูฐสองหนอกที่เป็นสัตว์ป่า และถือเป็นต้นสายพันธุ์ของอูฐสองหนอกในปัจจุบัน มีสองหนอกเพื่อใช้ในการเก็บไขมันเป็นพลังงานสำรองเป็นอูฐทั่วไป โดยไม่ได้ใช้เก็บน้ำ ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่ทนทรหดมากที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีสถานะใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดแล้วชนิดหนึ่งของโลก เนื่องจากเป็นสัตว์ที่พบกระจายพันธุ์เฉพาะในทะเลทรายทางตอนเหนือของประเทศจีนและมองโกเลีย เช่น ทะเลทรายโกบี, ทะเลทรายทากลามากัน และบางส่วนในคาซัคสถาน (และพบได้ตลอดฝั่งแม่น้ำในไซบีเรีย โดยมีการอพยพข้ามน้ำ) ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ มีอุณหภูมิต่างกันสุดขั้ว โดยในช่วงเวลากลางวันอาจมีอุณหภูมิสูงถึง 40-50 องศาเซลเซียส ในขณะที่ช่วงกลางคืนในฤดูหนาวอาจมีอุณหภูมิถึง -40 หรือ -50 องศาเซลเซียสได้ แต่อูฐสองหนอกป่าสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยกินเพียง พืชขนาดเล็ก ๆ ตามพื้นดิน และกินน้ำจากแหล่งน้ำที่เป็นน้ำเค็มจนเป็นเกล็ดเกลือกลางทะเลทราย เช่น ทะเลสาบลอปนอร์ได้ มีขนตายาว 2 ชั้นเพื่อป้องกันดวงตาจากฝุ่นทราย กีบเท้ามี 2 กีบแยกกันชัดเจนเวลาเมื่อเดิน เพื่อใช้สำหรับรับน้ำหนักบนพื้นทราย อูฐสองหนอกป่าสามารถนอนหลับในชั้นหิมะหนา ๆ ได้ในฤดูหนาว จัดเป็นอูฐที่ทนทรหดกว่าอูฐหนอกเดียว ที่พบในภูมิภาคอาหรับมาก อูฐสองหนอกป่า เป็นสัตว์ที่หากินเพียงลำพังตัวเดียวหรือเป็นฝูงเล็ก ๆ เป็นสัตว์ที่หาได้ยากที่สุดชนิดหนึ่งในโลก จนได้ชื่อว่า "อูฐผี" โดยถือว่าหายากกว่าแพนด้ายักษ์ คาดว่ามีเพียงไม่เกิน 2,000 ตัวเท่านั้นในโลก โดยพบในจีนประมาณ 600 ตัว และในมองโกเลียราว 300-350 ตัวเท่านั้น ในฤดูผสมพันธุ์ คือ ฤดูใบไม้ร่วงจะมารวมตัวกันนับร้อยตัว แต่ในฤดูใบไม้ผลิจะแยกย้ายกันอยู่ โดยในพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตรอาจได้เพียง 5 ตัวเท่านั้น อูฐสองหนอกป่าเป็นสัตว์ที่ขี้อายมาก วิ่งได้เร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถมองเห็นสิ่งที่ปรากฏบนเส้นขอบฟ้าได้ไกลถึง 20 กิโลเมตร จากการศึกษาทางพันธุกรรม พบว่าทั่วทั้งทวีปเอเชีย มีอูฐสองหนอกซึ่งเป็นสายพันธุ์แท้ ๆ ของอูฐสองหนอกป่าเพียง 30 ตัวเท่านั้น โดยผลการศึกษาพบว่าอูฐสองหนอกในปัจจุบันนั้นมีสายพันธุกรรมที่แตกต่างจากอูฐสองหนอกป.

ใหม่!!: สัตว์และอูฐสองหนอกป่า · ดูเพิ่มเติม »

อูราโนซอรัส

อูราโนซอรัส (Ouranosaurus) ชื่อของมันมีความหมายว่า กิ้งก่าผู้กล้าหาญ ตรงกลางที่หลังมีกระดูกที่เหมือนกับหนามโผล่ขึ้นมาเรียงเป็นแถวและมีหนังห่อหุ้มอยู่ เหมือนพวกสไปโนซอริดซ์ แต่กลับเป็นพวกอิกัวโนดอน ครีบนี้มีหน้าที่ปรับอุณภูมิของร่างกาย ขนาด 7 เมตร อยู่ในยุคครีเทเชียสตอนต้น เมื่อประมาณ 110 ล้านปีก่อน พบที่ทวีปแอฟริกาเป็นเหยื่อที่ล่าง่ายๆของสไปโนซอรัสที่ยาว 17 เมตร หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส.

ใหม่!!: สัตว์และอูราโนซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

อีกา

thumb อีกา หรือ กา (jungle crow, large-billed crow, thick-billed crow, แปลว่านกกาที่มีปากใหญ่) เป็นนกกาที่กระจายพันธุ์เป็นวงกว้างในเอเชีย ปรับตัวได้เก่ง สามารถกินอาหารได้หลากหลาย ทำให้ขยายไปยังพื้นที่ใหม่ได้ง่าย บางครั้งถูกมองว่าเป็นสัตว์รังควานโดยเฉพาะในเกาะต่าง ๆ มีปากใหญ่ ทำให้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า macrorhynchos ซึ่งเป็นคำกรีกโบราณแปลว่า ปากใหญ่ และมีชื่ออังกฤษว่า large-billed crow (นกกาปากใหญ่) หรือ thick-billed crow (นกกาปากหนา) บางครั้งมองผิดว่าเป็น นกเรเวน นกมีพันธุ์ย่อยถึง 11 ชนิด ที่แตกต่างกันทางเสียงร้อง ทางสัณฐาน และทางพันธุกรรม ทำให้มีแนวคิดว่า จริง ๆ อาจจะเป็นนกหลายพันธุ์ พันธุ์ตัวอย่างเช่น.

ใหม่!!: สัตว์และอีกา · ดูเพิ่มเติม »

อีลาสโมซอรัส

อีลาสโมซอรัส ((จากภาษากรีก ελασμος elasmos 'แผ่นบาง' (หมายถึง แผ่นบาง ๆ ในกระดูกเชิงกราน) + σαυρος sauros 'กิ้งก่า') เป็นสัตว์เลื้อยคลานทะเลในสกุล Elasmosaurus ในตระกูลเพลสิโอซอร์ เป็นสัตว์ประเภทคอยาว โดยมีคอยาวกว่าครึ่งหนึ่งของลำตัวเสียอีกอาศัยอยู่ยุคครีเทเชียสตอนปลายเมื่อราว 80.5 ล้านปีก่อน ในสถานที่ ๆ ปัจจุบัน คือ ทวีปอเมริกาเหนือ โครงกระดูก อีลาสโมซอรัส มีลำตัวยาวประมาณ 10.3 เมตร (37 ฟุต) มีลักษณะเด่น คือ มีคอยาวถึง 5 เมตร (ประมาณ 16 ฟุต) ส่วนขาเป็นครีบ 4 ข้าง ความยาวของลำตัวมากกว่าครึ่งเป็นส่วนคอ ประกอบด้วยกระดูกมากกว่า 70 ชิ้น ซึ่งมีจำนวนกระดูกคอมากกว่าสัตว์ทุกชนิด ส่วนหัวค่อนข้างเล็ก และฟันคมกร.

ใหม่!!: สัตว์และอีลาสโมซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

อีแก

อีแก (House crow, Colombo crow) เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกกา (Corvidae).

ใหม่!!: สัตว์และอีแก · ดูเพิ่มเติม »

อีแลนด์

อีแลนด์ (Eland) เป็นสกุลของสัตว์กีบคู่จำพวกแอนทีโลปสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Taurotragus อีแลนด์ จัดเป็นแอนทีโลปขนาดใหญ่ที่สุดที่พบได้ในทวีปแอฟริกา น้ำหนักตัวหลายร้อยกิโลกรัม (ประมาณ 800-900 กิโลกรัมในตัวผู้ และ 300-500 กิโลกรัมในตัวเมีย) อีแลนด์มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 2 เมตร และความยาวลำตัวได้ถึง 2.4-3.4 เมตร มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย เขาของตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่า แต่เขาของตัวเมียมีความยาวกว่า เนื้อของอีแลนด์มีโปรตีนมากกว่าเนื้อวัวและไขมันน้อยกว่า และนมของอีแลนด์มีระดับแคลเซียมสูงมาก ด้วยเหตุนี้อีแลนด์จึงได้รับการคัดเลือกว่ามีคุณภาพและปริมาณเนื้อนมในแอสคาเนีย-โนวาสวนสัตว์ในยูเครน แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจในยุโรป แต่อีแลนด์ในแอฟริกาบางท้องถิ่นชาวพื้นเมืองได้เลี้ยงไว้เพื่อทำการทำไร่ไถ่นาเหมือนกับควายในทวีปเอเชี.

ใหม่!!: สัตว์และอีแลนด์ · ดูเพิ่มเติม »

อีแลนด์ธรรมดา

อีแลนด์ธรรมดา หรือ อีแลนด์ใต้ หรือ อีแลนด์แอนทีโลป (Common eland, Eland, Southern eland, Eland antelope) สัตว์กีบคู่ชนิดหนึ่ง เป็นแอนทีโลปจำพวกวัวและควาย จัดเป็นอีแลนด์ชนิดหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นแอนทีโลปขนาดใหญ่ที่สุดที่พบได้ในทวีปแอฟริกา แพร่กระจายพันธุ์ทั่วไปในอุทยานแห่งชาติและเขตอนุรักษ์แห่งชาติในเคนยา, แทนซาเนีย, รวันดา, อูกันดา, นามิเบีย และแอฟริกาใต้ มีรูปร่างใหญ่บึกบึน ตัวผู้มีน้ำหนักตัวประมาณ 500-900 กิโลกรัม หรือมากกว่า 1 ตัน ตัวเมีย 330-500 กิโลกรัม มีความสูงเฉลี่ย 1.4-1.8 เมตร ความยาวลำตัวประมาณ 2.4-3.4 เมตร อายุขัยเฉลี่ยตั้งแต่ 5-20 ปี อีแลนด์ธรรมดา มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่ตัวผู้จะมีเขาใหญ่กว่า ขณะที่ตัวเมียเขาจะยาวกว่าเล็กน้อย อาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าที่โล่งกว้างและป่าละเมาะที่ไม่หนาทึบมากนัก มักเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยไปเรื่อย ๆ เพื่อหาหญ้า, ใบไม้, กิ่งไม้ และผลไม้ กินเป็นอาหาร ความชื้นจากอาหารเหล่านี้ช่วยหล่อเลี้ยงให้อีแลนด์ธรรมดาอดน้ำได้เป็นเวลานาน แม้จะมีรูปร่างที่ใหญ่ แต่ลูกอีแลนด์ธรรมดาหรืออีแลนด์ธรรมดาตัวเมียก็ยังตกเป็นอาหารของสิงโต และไฮยีน่า ที่ล่าเป็นฝูง.

ใหม่!!: สัตว์และอีแลนด์ธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

อีเห็น

อีเห็น หรือ กระเห็น(Palm civet.; อีสาน: เหง็น; ใต้: มูสัง) เป็นสกุลของสัตว์กินเนื้อสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Paradoxurus ในวงศ์ชะมดและอีเห็น (Viverridae) อีเห็น มีความแตกต่างจากชะมด (Viverra spp.) ซึ่งเป็นสัตว์อีกสกุลในวงศ์นี้ คือ อุ้งตีนมีลักษณะเหมาะสมสำหรับการปีนป่าย โดยเฉพาะนิ้วที่ 3 และ 4 ของตีนหลังบางส่วนมีพังผืดเชื่อมติดกัน อุ้งตีนแยกออกเป็น 4 ส่วน อีเห็นจะมีนิ้วตีนทั้งหมดที่อุ้งตีนข้างละ 5 นิ้ว มีเล็บคมยาวไว้ปีนป่าย ขนาดอุ้งตีนของอีเห็นจะเล็กกว่าชะมด เพราะอีเห็นจะปีนป่ายต้นไม้หากินมากกว่าชะมด ที่หากินตามพื้นดิน แต่ทั้ง 2 สกุลนี้ เมื่อลงพื้นดิน โดยเฉพาะดินที่อ่อนนุ่ม จะฝากรอยเท้าทิ้งเอาไว้ให้สังเกตเห็นได้ง่าย อีกทั้ง อีเห็นจะเป็นสัตว์กินพืชและผลไม้มากกว่าชะมด ขณะที่ชะมดจะกินสัตว์ต่าง ๆ เช่น กบ หรือเขียด หรือปลา เป็นอาหารมากกว่าพืช อีเห็น เป็นสัตว์ที่กระจายพันธุ์ทั้งแต่เอเชียใต้ จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งที่เป็นแผ่นดินใหญ่ และหมู่เกาะต่าง ๆ นอกจากนี้แล้วในบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย หรือ เวียดนาม มีการเลี้ยงอีเห็นในสกุลนี้ให้กินเมล็ดกาแฟ เมื่อถ่ายมูลออกมาแล้ว เมล็ดกาแฟจะไม่ถูกย่อยสลาย จะออกมาเป็นเมล็ดเหมือนเดิม จากนั้นจะนำไปล้างและคั่วเป็นกาแฟสำหรับจำหน่าย ซึ่งกาแฟลักษณะนี้เรียกว่า "กาแฟขี้ชะมด" เป็นกาแฟที่มีรสชาติกลมกล่อม หอมหวาน อร่อยกว่ากาแฟทั่วไป จึงมีราคาขายที่แพงกว่ากาแฟปกติทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากในระบบย่อยอาหารของอีเห็นมีเอนไซม์ที่ทำให้เมล็ดกาแฟมีรสชาติที่หอมหวาน.

ใหม่!!: สัตว์และอีเห็น · ดูเพิ่มเติม »

อีเห็นลายเสือโคร่ง

อีเห็นลายเสือโคร่ง หรือ อีเห็นลายพาด (Banded palm civet) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งในอันดับสัตว์กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemigalus derbyanus มีรูปร่างหน้าตาเหมือนสัตว์จำพวกอีเห็นหรือชะมดทั่วไป แต่มีหน้ายาวและมีรูปร่างเพรียวบางกว่า ขนตามลำตัวสีน้ำตาลอ่อน มีลักษณะเด่น คือ มีแถบสีดำ 7-8 แถบพาดขวางลำตัว โดยแถบดังกล่าวมีรูปทรงเป็นสามเหลี่ยมยาว ๆ และมีแถบสีดำพาดยาวผ่านใบหน้าและหน้าผาก 2 เส้น ด้านล่างของลำตัวและขามีสีอ่อนกว่าบริเวณหลัง มีหูยาวและมีประสิทธิภาพในการฟังเสียงที่สูง ตามีขนาดใหญ่ ส่วนโคนหางจะมีแถบสีดำเป็นปล้อง ๆ มีต้อมกลิ่นขนาดเล็ก สามารถหดเล็บเก็บได้เหมือนพวกแมว มีความยาวลำตัวและหัว 45-50 เซนติเมตร ความยาวหาง 25-32.5 เซนติเมตร น้ำหนัก 1-3 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ภาคใต้ของพม่า ภาคตะวันตกและภาคใต้ของไทย, มาเลเซีย, เกาะสุมาตราและเกาะบอร์เนียว มักอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นใกล้แหล่งน้ำ มักอาศัยและออกหากินตามลำพัง นอกจากในฤดูผสมพันธุ์ หรือ มีลูกอ่อนที่อาจพบว่ามีอยู่ด้วยกัน 2 หรือ 3 ตัว ออกหากินในเวลากลางคืน มีลิ้นที่สากเหมือนพวกแมว กินสัตว์ขนาดเล็กจำพวกแมลง, ไส้เดือน, มด, แมงมุม, สัตว์น้ำขนาดเล็ก หอยทาก รวมทั้งพืช อย่าง ผลไม้เป็นต้น ปัจจุบัน การศึกษานิเวศวิทยาของอีเห็นลายเสือโคร่งนั้นยังมีอยู่น้อยมาก เนื่องจากเป็นสัตว์ที่พบเห็นตัวได้ยาก เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535.

ใหม่!!: สัตว์และอีเห็นลายเสือโคร่ง · ดูเพิ่มเติม »

อีเห็นลายเสือโคร่งอินโดจีน

อีเห็นลายเสือโคร่งอินโดจีน หรือ อีเห็นลายเมฆอินโดจีน (Owston's palm civet) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งในอันดับสัตว์กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chrotagale owstoni มีรูปร่างหน้าตาคล้ายอีเห็นลายเสือโคร่ง (Hemigalus derbyanus) แต่ลำตัวมีขนาดใหญ่และมีขนที่ยาวกว่า สีขนตามลำตัวจะมีสีออกเทาอมเหลือง ซึ่งแตกต่างไปจากอีเห็นลายเสือโคร่งที่มีสีน้ำตาลอมเหลือง มีลักษณะเด่น คือ ขนหางค่อนข้างยาวและมีจุดสีดำขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วไปตามลำตัวและขาทั้งสี่ข้าง จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Chrotogale มีความยาวลำตัวและหัว 50-64 เซนติเมตร ความยาวหาง 38-48 เซนติเมตร น้ำหนัก 2-3 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ภาคใต้ของจีนบริเวณที่ติดต่อกับลาวและเวียดนาม ภาคเหนือของเวียดนามและลาว มีพฤติกรรมหาอาหารโดยการใช้จมูกขุดคุ้ยหาแมลงและสัตว์ขนาดเล็กอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ใต้ดินเป็นอาหาร มักใช้เล็บขีดข่วนให้ปรากฏเห็นเป็นร่องรอยอยู่ตามพื้นดินเสมอ ออกลูกครั้งละ 2-4 ตัว ปัจจุบันเป็นสัตว์ที่หายากและกำลังใกล้สูญพัน.

ใหม่!!: สัตว์และอีเห็นลายเสือโคร่งอินโดจีน · ดูเพิ่มเติม »

อีเห็นหน้าขาว

อีเห็นหน้าขาว หรือ อีเห็นหูด่าง (Small-toothed palm civet) เป็นสัตว์จำพวกชะมดและอีเห็น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Arctogalidia trivirgata มีรูปร่างหน้าตาคล้ายอีเห็นเครือ (Paguma larvata) แต่มีขนาดเล็กกว่า มีสีขนที่แตกต่างหลากหลายออกไป ในบางตัวอาจมีสีน้ำตาลแดง บางตัวเป็นสีน้ำตาลดำ มีลักษณะเด่นคือ ขอบใบหูจะมีสีขาว บริเวณหลังมีแถบสีดำ 3 เส้นพาดเป็นทางยาวจนถึงโคนหาง บางตัวอาจมีลายเส้นสีขาวพาดยาวมาจรดปลายจมูก หางมีความยาวมากใช้สำหรับทรงตัวบนต้นไม้ ตัวเมียจะมีเต้านม 2 คู่ และมีต่อมกลิ่นด้วย มีความยาวลำตัวและหัว 43-53 เซนติเมตร ความยาวหาง 51-56 เซนติเมตร น้ำหนัก 2-2.5 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่รัฐอัสสัม, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, เกาะสุมาตรา, เกาะชวาและเกาะบอร์เนียว มีชนิดย่อยทั้งหมด 14 ชนิด (ดูในตาราง) มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ในป่าที่อุดมสมบูรณ์ เช่น ป่าดิบชื้น, ป่าเบญจพรรณ ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ตามลำพังและหากินบนต้นไม้เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นในช่วงผสมพันธุ์หรือมีลูกอ่อนที่จะอยู่ด้วยกันเป็นคู่ ออกหากินในเวลากลางคืน มีความปราดเปรียวว่องไวกว่าอีเห็นธรรมดา (Paradoxurus hermaphroditus) มาก โดยมักล่าสัตว์ที่อยู่บนต้นไม้เป็นอาหาร เช่น หนู, กระรอก, นก และช่วยควบคุมปริมาณกระรอกที่ทำลายสวนมะพร้าวไม่ให้มีมากไป สามารถผสมพันธุ์ได้ทั้งปี ใช้เวลาตั้งท้องนาน 45 วัน ออกลูกครั้งละ 2-3 ตัว จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และอีเห็นหน้าขาว · ดูเพิ่มเติม »

อีเห็นข้างลาย

อีเห็นข้างลาย หรือ อีเห็นธรรมดา หรือ มูสังหอม ในภาษาใต้ (Asian palm civet) เป็นอีเห็นขนาดเล็ก สีขนตามลำตัวเป็นสีเทาเข้มจนเกือบดำ ยกเว้นบริเวณรอบจมูก หู ขา และปลายหางมีสีดำมีลายสีขาวพาดขวางบริเวณหน้าผาก หลังมีจุดเล็ก ๆ สีดำเรียงตัวเป็นแนวยาว 3 เส้น จากไหล่ถึงโคนหาง หางมีความยาวพอ ๆ กับลำตัว ขนปลายหางบางตัวอาจมีสีขาว มีต่อมน้ำมันและจะส่งกลิ่นออกมาเมื่อเวลาตกใจ ซึ่งต่อมน้ำมันนี้จะแตกต่างจากชะมดหรืออีเห็นชนิดอื่น ๆ ตัวเมียมีเต้านม 3 คู่ มีความยาวลำตัวและหัว 43–71 เซนติเมตร ความยาวหาง 40.6–66 เซนติเมตร น้ำหนัก 2–5 กิโลกรัม อีเห็นข้างลายมีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางมาก โดยพบตั้งแต่รัฐชัมมูและกัศมีร์ และภาคใต้ของอินเดีย, ศรีลังกา, เนปาล, รัฐสิกขิม, ภูฏาน, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, เกาะสุมาตรา, เกาะชวา, เกาะบอร์เนียว, เกาะซูลาเวซี และหมู่เกาะซุนดาน้อย และมีชนิดย่อยมากถึง 30 ชนิด (ดูในตาราง) มีพฤติกรรมมักอาศัยและหากินตามลำพัง สามารถปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ ตั้งแต่ ป่าดิบชื้น, ป่าดิบแล้ง ไปจนถึงชายป่าที่ใกล้กับพื้นที่เกษตรกรรมของมนุษย์ กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น สัตว์ขนาดเล็กจำพวกแมลง และน้ำหวานของเกสรดอกไม้ ออกหากินในเวลากลางคืน นอนหลับในเวลากลางวัน ใช้เวลาส่วนมากตามพื้นดินและจะใช้เวลาน้อยมากอยู่บนต้นไม้ ออกลูกครั้งละ 2–4 ตัว โดยจะเลี้ยงลูกอ่อนไว้ตามโพรงไม้หรือโพรงหิน อีเห็นข้างลายไม่ได้ถูกจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2546 ปัจจุบันทางสวนสัตว์เชียงใหม่ได้มีโครงการในการเพาะเลี้ยงอีเห็นข้างลาย เพื่อผลิต "กาแฟขี้ชะมด" ซึ่งเป็นกาแฟที่ได้จากมูลของอีเห็นข้างลาย มีราคาซื้อขายที่สูงมาก และในการเพาะเลี้ยงเพื่อใช้ประโยชน์ในการนี้ที่จังหวัดตรังโดยเอกชนด้วยหน้า 27, อะเมซซิง..."กาแฟขี้ชะมดตรัง" โดย มนตรี สังขาว.

ใหม่!!: สัตว์และอีเห็นข้างลาย · ดูเพิ่มเติม »

อีเห็นน้ำมลายู

อีเห็นน้ำมลายู หรือ อีเห็นน้ำซุนดา (Otter civet) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อยู่ในอันดับสัตว์กินเนื้อ มีรูปร่างอ้วน ขาสั้น ขนตามลำตัวเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือดำสนิท ลักษณะเด่นคือ หัวค่อนข้างแบน จมูกและปากยื่นออกมามีสีขาว จมูกมีขนาดใหญ่ รูจมูกด้านบนเปิดขึ้นและสามารถปิดได้เมื่ออยู่ใต้น้ำ ใบหูมีขนาดเล็กและมีลิ้นปิดหูไม่ให้น้ำเข้าขณะว่ายน้ำ ห่างค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับความยาวลำตัว มีพังผืดยืดระหว่างนิ้วคล้ายกับนิ้วเท้าของนากเล็กเล็บสั้น (Amblonyx cinerea) มีความยาวลำตัวและหัว 70-80 เซนติเมตร ความยาวหาง 12-20 เซนติเมตร น้ำหนัก 3-5 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์อยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำของภาคใต้ของไทย, มาเลเซีย, เกาะสุมาตรา, เกาะชวาและเกาะบอร์เนียว มีพฤติกรรมอาศัยและหากินตามลำพัง โดยล่าพวกสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เช่น กุ้ง, หอย, ปู, ปลา และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น หนู สามารถปรับตัวให้อาศัยแบะหากินอยู่ในน้ำได้ดีเช่นเดียวกับนาก มักอาศัยอยู่ในป่าพรุหรือพื้นที่ชุ่มน้ำอื่น ๆ ปีนต้นไม้ได้เก่ง บางครั้งพบว่าอาจปีนต้นไม้เพื่อกินผลไม้สุกได้.

ใหม่!!: สัตว์และอีเห็นน้ำมลายู · ดูเพิ่มเติม »

อีเห็นน้ำอินโดจีน

อีเห็นน้ำอินโดจีน หรือ อีเห็นน้ำตังเกี๋ย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งในอันดับสัตว์กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cynogale lowei เป็นสัตว์ที่มีข้อมูลน้อยมาก เนื่องจากพบเห็นได้ยากและมีรายงานการพบเห็นตัวเพียงไม่กี่ครั้ง ข้อมูลเท่าที่มีบ่งให้รู้ว่ารูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับอีเห็นน้ำมลายู (C. bennettii) แต่ต่างกันตรงสีขน กล่าวคือ อีเห็นน้ำอินโดจีนมีขนสั้นหนา และมีสีขนที่อ่อนกว่าอีเห็นน้ำมลายู โดยจมูกใต้คอและหน้าอกมีสีขาว ส่วนข้อมูลอื่น ๆ เช่น ขนาดและน้ำหนักนั้นไม่มี มีผู้เก็บซากอีเห็นน้ำอินโดจีนได้ทางภาคเหนือของเวียดนาม และเคยมีรายงานพบเห็นที่ภาคใต้ของจีน และคาดว่าอาจมีอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จังหวัดเลย ของไทยด้วย มีรายงานการพบเห็นใกล้กับแหล่งน้ำ เช่น ทะเลสาบหรือแม่น้ำ ปัจจุบันสันนิษฐานว่า อีเห็นน้ำอินโดจีนได้สูญพันธุ์จากโลกไปนานแล้ว เพราะปัญหาการพัฒนาและขยายพื้นที่เกษตรกรรมอย่างรวดเร็ว ทำให้อีเห็นน้ำอินโดจีนสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ปัจจุบัน เชื่อว่าอาจจะเป็นชนิดเดียวกันหรือชนิดย่อยของอีเห็นน้ำมลายูก็ได้.

ใหม่!!: สัตว์และอีเห็นน้ำอินโดจีน · ดูเพิ่มเติม »

อีเห็นเครือ

อีเห็นเครือ (Masked palm civet) สัตว์จำพวกชะมดและอีเห็นชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Paguma larvata จัดเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ในสัตว์จำพวกนี้ ขนตามลำตัวสีน้ำตาลเข้ม ไม่มีจุดหรือลวดลายใด ๆ บริเวณท้องมีสีอ่อนกว่าส่วนหลัง หลังหูและหลังคอมีสีเข้ม ม่านตามีสีน้ำตาลแดง มีหนวดเป็นเส้นยาวบริเวณจมูกและแก้ม ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย ตัวเมียมีเต้านม 2 คู่ ขนาดลำตัวและหัวยาว 50.8-76.2 เซนติเมตร ความยาวหาง 50.8-63.6 เซนติเมตร น้ำหนัก 3-5 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวาง พบตั้งแต่ภาคเหนือของอินเดีย, ปากีสถาน, ตะวันออกของอัฟกานิสถาน, ไต้หวัน, ตะวันออกของจีน, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, เกาะสุมาตรา, เกาะบอร์เนียว, ตะวันตกของพม่า, สิกขิม, ภูฐาน, เนปาล มีชนิดย่อยทั้งหมด 4 ชนิด (ดูในตาราง) สามารถปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ ตั้งแต่ป่าเบญจพรรณ, ป่าดิบแล้ง ไปจนถึงชายป่าที่ติดกับพื้นที่ทำการเกษตรกรรม สามารถปีนต้นไม้ได้คล่องแคล่ว และจะใช้เวลาส่วนใหญ่บนต้นไม้ โดยจะกินทั้งพืชและสัตว์ แต่ในบางครั้งอาจมาหากินบนพื้นดินด้วย จากการศึกษาในเนปาลพบว่า มีการผสมพันธุ์กันในฤดูร้อน โดยในช่วงปลายฤดูฝนอีเห็นเครือตัวเมียจะสร้างรังในโพรงไม้ เพื่อใช้เลี้ยงดูลูกอ่อน ใช้เวลาตั้งท้องนาน 2 เดือน ออกลูกครั้งละ 2-4 ตัว อีเห็นเครือถูกสันนิษฐานว่าเป็นสัตว์ที่เป็นต้นตอแพร่เชื้อของโรคซาร์สที่ระบาดในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ ในช่วงปี พ.ศ. 2546 เพราะชาวจีนนิยมกินเนื้ออีเห็นเครือและสัตว์ในตระกูลนี้มาก ถูกจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และอีเห็นเครือ · ดูเพิ่มเติม »

อนุกรมวิธาน

อนุกรมวิธานวิทยา (อังกฤษ: Taxonomy) เป็นการจัดจำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ตามสายวิวัฒนาการ อนุกรมวิธานเป็นวิชาที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์เกี่ยวกับ ในการศึกษาอนุกรมวิธานจะมีศัพท์ที่ใช้เรียกแตกต่างกันออกไป ถ้าหากการศึกษาเป็นไปในทางรวบรวมตัวอย่าง (specimen) บิดาแห่งอนุกรมวิธานวิทยา คือ คาโรลัส ลินเนียส นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน.

ใหม่!!: สัตว์และอนุกรมวิธาน · ดูเพิ่มเติม »

อ้น

อ้น หรือ หนูอ้น (Bamboo rat, Root rat) เป็นสัตว์ฟันแทะจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในเผ่า Rhizomyini ในวงศ์ย่อย Rhizomyinae ในวงศ์ Spalacidae มีรูปร่างคล้ายหนูขนาดใหญ่ มีรูปร่างโดยรวม คือ มีลำตัวกลม อ้วน ป้อม ขนสีน้ำตาล ตาและหูเล็กมาก ขาและหางสั้นไม่มีขน อาศัยอยู่ใต้ดินหรือโพรงไม้ฟันแทะคู่หน้ามีขนาดใหญ่เห็นได้ชัด มีทั้งหมด 4 ชนิด ใน 2 สกุล ที่พบในทวีปเอเชีย แถบภูมิภาคเอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีนตอนใต้ ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และอ้น · ดูเพิ่มเติม »

อ้น (สกุล)

อ้น (Bamboo rat, Root rat) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกสัตว์ฟันแทะในสกุล Rhizomys ในวงศ์ Spalacidae (หรือ Rhizomyidae) มีรูปร่างโดยรวม คือ มีรูปร่างอ้วนป้อมคล้ายหนูตะเภา ใบหูเล็ก ดวงตาเล็ก ขนตามลำตัวสีน้ำตาล มีฟันแทะที่แข็งแรง แลเห็นได้ชัดเจน มีขาและหางสั้นไม่มีขน แพร่กระจายพันธุ์อยู่ในทวีปเอเชียตั้งแต่อินเดีย, จีนตอนใต้ จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำรังโดยการขุดรูอยู่ใต้ดินหรือในโพรงไม้ แบ่งออกเป็นห้องได้หลายห้อง กินพืชหลายชนิดเป็นอาหาร มีขนาดใหญ่สุดได้ถึง 60 เซนติเมตร น้ำหนักมากกว่า 8 กิโลกรัม.

ใหม่!!: สัตว์และอ้น (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

อ้นกลาง

อ้นกลาง (Hoary bamboo rat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) ในวงศ์ Rhizomyinae เป็นอ้นขนาดกลาง มีรูปร่างคล้ายอ้นชนิดอื่นทั่วไป มีความยาวจากปลายจมูกถึงรูทวาร ประมาณ 26-35 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในป่าไผ่ พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนใต้ของจีน, ในประเทศไทย ในภาคเหนือ แนวป่าตะวันตกและตามแนวเขาหินปูนในภาคกลาง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคใต้ และหลายประเทศในภูมิภาคอินโดจีน.

ใหม่!!: สัตว์และอ้นกลาง · ดูเพิ่มเติม »

อ้นใหญ่

อ้นใหญ่ (Bamboo rat, Large bamboo rat, Indomalayan bamboo rat) เป็นสัตว์ฟันแทะที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhizomys sumatrensis อยู่ในวงศ์ Spalacidae มีลำตัวกลมอ้วนป้อมสีน้ำตาล มีตาและหูเล็กมาก ขาและหางสั้น เพื่อความสะดวกในการขุดโพรงอยู่ใต้ดิน อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือโพรงไม้ มีฟันแทะคู่หน้ามีขนาดใหญ่เห็นได้ชัด กินหน่อไม้และไม้ไผ่เป็นอาหาร มีการแพร่กระจายพันธุ์ทั่วไปในป่าไผ่หรือป่าโปร่ง ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ โดยในโพรงจะมีด้วยกันหลายห้อง ใช้ประโยชน์ต่างกัน อ้นใหญ่นับเป็นอ้น 1 ใน 3 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย ซึ่งประกอบไปด้วย อ้นใหญ่, อ้นกลาง (R. pruinosus) และอ้นเล็ก (Cannomys badius) อ้นใหญ่นับเป็นอ้นชนิดที่ใหญ่ที่สุด โดยวัดจากปลายหัวจรดปลายหางได้ถึง 48 เซนติเมตร เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1 ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 ในประเทศไทย ที่วัดหนองปรือ จังหวัดกำแพงเพชร พระสงฆ์ที่พำนักอยู่ที่วัดแห่งนี้ได้ทำการเลี้ยงดูอ้นใหญ่จำนวนกว่า 10 ตัวในบ่อปูนซีเมนต์ ความสูงประมาณ 150 เซนติเมตร โดยทำการเลี้ยงมานานกว่า 6 ปี จนกระทั่งเชื่อง สามารถอุ้มเล่นได้ ให้อาหารเป็นมันแกวกับข้าวโพด ตัวที่ใหญ่ที่สุดมีความยาวประมาณ 50-60 เซนติเมตร น้ำหนักมากกว่า 8 กิโลกรัม โดยเริ่มจากขอซื้อจากชาวบ้านที่กำลังจะฆ่าเพื่อนำไปรับประทานเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และอ้นใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

อ้นเมืองจีน

อ้นเมืองจีน หรือ อ้นจีน (Chinese bamboo rat) เป็นสัตว์ฟันแทะชนิดหนึ่ง จำพวกอ้น นับเป็นอ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยมีความยาวได้ถึง 50 เซนติเมตร น้ำหนักได้ถึง 40 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์ในป่าไผ่ของมณฑลยูนานตอนล่าง เช่น สิบสองปันนา ในประเทศจีน และเขตที่ติดต่อกับพม่า และเวียดนาม.

ใหม่!!: สัตว์และอ้นเมืองจีน · ดูเพิ่มเติม »

อ้นเล็ก

อ้นเล็ก (Lesser bamboo rat) เป็นสัตว์ฟันแทะในอยู่ในวงศ์ย่อย Rhizomyinae ในวงศ์ Spalacidae จัดเป็นอ้นชนิดที่มีขนาดเล็กที่สุด และจัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในสกุล Cannomys มีความแตกต่างไปจากอ้นที่อยู่ในสกุล Rhizomys คือ ฝ่าเท้าจะเรียบ และมีลายสีขาวบริเวณหน้าผากและหัวคล้ายหนูตะเภา ในขณะที่มีขนอ่อนนุ่มสีน้ำตาล โดยขนที่ท้องจะมีสีเข้มกว่าขนที่หลัง มีความยาวตั้งแต่ปลายจมูกจรดหางประมาณ 15-30 เซนติเมตร หางมีขนาดสั้นยาวประมาณ 6-7 เซนติเมตร น้ำหนักตัวโดยเฉลี่ยประมาณ 0.5 กิโลกรัม มีจุดเด่นคือ ฟันแทะคู่หน้าที่ยาวอย่างเห็นได้ชัดเจน ใช้สำหรับขุดโพรงใต้ดินเพื่ออยู่อาศัยและใช้กัดแทะอาหาร ซึ่งได้แก่ ไม้ไผ่และหน่อไม้ รวมถึงผลไม้ประเภทต่าง ๆ ด้วยที่หล่นบนพื้นดิน บริเวณปากโพรงที่อ้นอยู่อาศัยจะมีกองดินปิดไว้ มักจะขุดโพรงในป่าบริเวณใกล้แหล่งน้ำหรือบริเวณที่เป็นป่าไผ่ ออกหากินในเวลากลางคืนและพลบค่ำ ออกลูกครั้งละ 3-5 ตัว พบกระจายพันธุ์ในอนุทวีปอินเดียตั้งแต่ เนปาล, บังกลาเทศ, รัฐอัสสัมในอินเดีย, ภูมิภาคอินโดจีน สำหรับในประเทศไทยพบกระจายพันธุ์อยู่เหนือบริเวณคอคอดกร.

ใหม่!!: สัตว์และอ้นเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

ฮอรัสซอร์นิทเด

อรัสซอร์นิทเด (Horusornithidae) เป็นนกล่าเหยื่อในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในอันดับทางชีววิทยาของฟัลคอนิฟอร์มส ชื่อของมันหมายถึง "นก-ฮอรัส" ซึ่งเป็นเทพตามความเชื่อของอียิปต์ที่ได้พรรณาถึงนกเหยี่ยวฟอลคอน ฮอรัสซอร์นิส เวียนีเลียอูเด เป็นเพียงสปีชีส์เดียวที่รู้จักกันในปัจจุบัน ซึ่งมันได้ใช้ชีวิตกันอยู่ในช่วงประมาณปลายยุคอีโอซีน ราว 35 ล้านปีก่อน ที่ซึ่งตรงกับตำแหน่งของประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน โดยซากฟอสซิลของมันถูกค้นพบในตำบลเควอซี ความสัมพันธ์ที่มีระหว่างเหยี่ยวฟอลคอนกับนกล่าเหยื่ออื่นๆ (เช่น เหยี่ยวฮอว์ค และนกอินทรี) ต่างไม่ได้มีการสรุปมติเป็นที่น่าพอใจนัก ซึ่ง ฮอรัสซอร์นิส อาจเกิดการเชื่อมโยงที่หายไปต่อการรวมเข้ากับเหยี่ยวฟอลคอน, เหยี่ยวฮอว์ค ตลอดจนนกเลขานุการ หากเหยี่ยวฟอลคอนมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเด่นชัดมากกว่านกล่าเหยื่อชนิดอื่น ฮอรัสซอร์นิสก็จะมีความสัมพันธ์ขั้นมูลฐานต่อเหยี่ยวฮอว์คมากกว่า ซึ่งคล้ายกับว่าเหยี่ยวฟอลคอนมีวิวัฒนาการที่มาบรรจบกันในภายหลัง.

ใหม่!!: สัตว์และฮอรัสซอร์นิทเด · ดูเพิ่มเติม »

ฮอร์โมนพืช

right ฮอร์โมนพืช หรืออาจเรียกว่า ไฟโตฮอร์โมน เป็นสารเคมีที่ควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ฮอร์โมนพืชเป็นโมเลกุลที่ใช้ส่งสัญญาณและถูกผลิตขึ้นในต้นพืชเองและถูกพบในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำมาก ฮอร์โมนจะควบคุมกระบวนการที่เกี่ยวกับเซลล์ในเซลล์เป้าหมายเฉพาะที่ ฮอร์โมนยังช่วยกำหนดรูปทรงของพืช, การงอกของเมล็ด, การออกดอก, เวลาการออกดอก, เพศของดอก, การแตกกิ่ง, การแตกใบ, การสลัดใบ, การเจริญเติบโต และการสุกของผลอีกด้วย พืชจะต่างกับสัตว์ตรงที่พืชไม่มีต่อมสำหรับหลั่งฮอร์โมน แต่เซลล์แต่ละเซลล์ของพืชจะมีความสามารถในการผลิตฮอร์โมนออกมาได้ ฮอร์โมนจะส่งผลกับกับลักษณะของพืชโดยทั่วไปเช่น การแตกกิ่ง, การอายุขัย, การสร้างใบ หรือแม้แต่การตายของพืชก็ตาม.

ใหม่!!: สัตว์และฮอร์โมนพืช · ดูเพิ่มเติม »

ฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม

อลลีวูด วอล์ก ออฟ เฟม ฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม (Hollywood Walk of Fame) เป็นทางเท้าที่อยู่สองข้างทางถนน ฮอลลีวูด บูเลวาร์ด ในทิศตะวันออก-ตะวันตก และไวน์ สตรีท ในทิศเหนือ-ใต้ ตั้งอยู่ในฮอลลีวูด ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียสหรัฐอเมริกา เป็นระยะทางเดินเท้าทั้งสิ้น 3.5 ไมล์ ฮอลลีวูด วอล์ก ออฟ เฟม ประดับด้วยแผ่นหินตบแต่งเป็นรูปดาวห้าแฉก จำนวนเกือบ 5,000 ดวง จารึกชื่อของนักแสดง และบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการมายา จาก 5 วงการ ซึ่งถือเป็นเกียรติสูงสุด สำหรับผู้ได้รับคัดเลือกให้จารึกชื่อ คือ.

ใหม่!!: สัตว์และฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม · ดูเพิ่มเติม »

ฮันนีพอสซัม

ันนีพอสซัม (honey possum) เป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Tasipes และวงศ์ Tarsipedidae ฮันนีพอสซัม เป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่สัุตว์ที่ใกล้เคียงกันชนิดอื่น ๆ ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว มีรูปร่างคล้ายหนูหรือหนูผี มีความยาวเพียง 6.5–9 เซนติเมตร จัดเป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ฮันนีพอสซัม มีอายุขัยโดยเฉลี่ยเพียง 1–2 ปีเท่านั้น เป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน พบกระจายพันธุ์เฉพาะพื้นที่ที่แห้งแล้งทางตะวันตกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย โดยกินน้ำต้อยและเกสรจากดอกของต้นแบงเซีย ซึ่งเป็นพืชดอกพื้นเมืองของออสเตรเลีย โดยใช้ลิ้นที่ยาวที่บริเวณตอนปลายมีลักษณะคล้ายแปรงหรือหวีตวัดกิน จากจะงอยปากที่ไม่มีฟัน และยาวบาง ฮันนีพอสซัมตัวเมียสามารถกินน้ำต้อยได้มากถึงร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวในแต่ละคืน ฮันนีพอสซัม จึงเป็นสัตว์ที่ช่วยในการผสมเกษรของต้นแบงเซีย นอกจากจะเป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องขนาดเล็กแล้ว ตัวอ่อนแรกเกิดของฮันนีพอสซัมยังถือเป็นตัวอ่อนของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เล็กมากที่สุดอีกด้วย โดยมีน้ำหนักตัวไม่เกิน 5 มิิลลิกรัมเท่านั้นAustralia.

ใหม่!!: สัตว์และฮันนีพอสซัม · ดูเพิ่มเติม »

ฮันนี่แบดเจอร์

ันนี่แบดเจอร์ (Honey badger, Ratel) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับสัตว์กินเนื้อ จัดอยู่ในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) ชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Mellivora และวงศ์ย่อย Mellivorinae (บางข้อมูลจัดให้อยู่ในวงศ์ย่อย Mustelinae) มีถิ่นแพร่กระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา, ตะวันออกกลาง และอนุทวีปอินเดี.

ใหม่!!: สัตว์และฮันนี่แบดเจอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ฮาลิซอรัส

ลิซอรัส (Halisaurus) เป็นสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์แล้ว ของตระกูลโมซาซอร์ มันมีความยาวประมาณ 3-4 เมตร (10 -13 ฟุต) มันอาจจะเป็นโมซาซอร์ที่เล็กที่สุด เมื่อเทียบกับโมซาซอร์ชนิดอื่น ฮาลิซอรัสอาศัยอยู่ในช่วงยุคครีเทเชียส เมื่อประมาณ 85-65 ล้านปีก่อน ชื่อของมันมีความหมายว่า กิ้งก่าทะเล เหยื่อของมันอาจจะเป็นนกทะเลดึกดำบรรพ์ที่ชื่อ เฮสเปอร์รอร์น.

ใหม่!!: สัตว์และฮาลิซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ฮิปโปโปเตมัส

ปโปโปเตมัส หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ฮิปโป (Hippopotamus; Hippo) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินพืชชนิดหนึ่ง ในอันดับสัตว์กีบคู่ จัดอยู่ในวงศ์ฮิปโปโปเตมัส (Hippopotamidae) โดยเป็นสัตว์เพียง 1 ใน 2 ชนิดของวงศ์นี้ที่ยังสืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน (อีกชนิดนั้นคือ ฮิปโปโปเตมัสแคระ (Choeropsis liberiensis) ที่พบในป่าดิบชื้นของแอฟริกาตะวันตก) ชื่อ "ฮิปโปโปเตมัส" มาจากภาษากรีกคำว่า ἵππος (hippos) หมายถึง "ม้า" และ ποταμός (potamos) หมายถึง "แม่น้ำ" รวมแล้วหมายถึง "ม้าแม่น้ำ" หรือ "ม้าน้ำ" (ἱπποπόταμος) เนื่องจากมีส่วนหัวคล้ายม้ามาก โดยเฉพาะยามเมื่ออยู่ในน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และฮิปโปโปเตมัส · ดูเพิ่มเติม »

ฮิปโปโปเตมัสแคระ

ปโปโปเตมัสแคระ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ฮิปโปแคระ (Pygmy hippopotamus; หรือ Hexaprotodon liberiensis) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินพืชชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ฮิปโปโปเตมัส (Hippopotamidae) ฮิปโปโปเตมัสแคระ จัดเป็นสัตว์เพียง 1 ใน 2 ชนิดเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์นี้ ที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน อีกชนิดหนึ่งนั้นคือ ฮิปโปโปเตมัส (Hippopotamus amphibius) ซึ่งถือเป็นญาติสนิท ฮิปโปโปเตมัสแคระมีรูปร่างทั่วไปคล้ายฮิปโปโปเตมัส แต่ว่ามีรูปร่างแตกต่างกันมากทีเดียว โดยมีขนาดเพียง 1 ใน 10 ของฮิปโปโปเตมัสเท่านั้น มีความสูงจากกีบเท้าจนถึงหัวไหล่ไม่เกิน 1 เมตร (3 ฟุต) มีความยาวลำตัวประมาณ 75–100 เซนติเมตร (2.46–3.28 ฟุต) และน้ำหนักประมาณ 180–275 กิโลกรัม (397–606 ปอนด์) อายุขัยไม่เป็นที่ทราบแน่นอน แต่อายุในที่เลี้ยงสูงสุด 30–55 ปี เชื่อว่าในธรรมชาติไม่น่าจะมีอายุได้ยาวนานขนาดนี้ มีสีผิวที่เข้มกว่าฮิปโปโปเตมัส คือ มีสีเขียวเข้มหรือน้ำตาลเข้ม ส่วนหัวกลมกว่าฮิปโปโปเตมัส ส่วนหลังโค้งขึ้นและลาดต่ำลงมาทางก้น ผิวหนังเรียบลื่น ตามลำตัวแทบไม่มีขน ยกเว้นขนเพียงไม่กี่เส้น ที่บริเวณริมฝีปากและหาง เบ้าตาอยู่ด้านข้างของหัว และมีเหงื่อใส ไม่เข้มเป็นสีแดงเหมือนเลือดแบบฮิปโปโปเตมัส อีกทั้งฮิปโปโปเตมัสแคระ ยังมีอุปนิสัยและพฤติกรรมต่างจากฮิปโปโปเตมัสอีกด้วย กล่าวคือ เป็นสัตว์ที่รักสันโดษ อยู่ตามลำพังเพียงตัวเดียว ขี้อาย และหวาดกลัวมนุษย์ เป็นสัตว์ที่แม้ประสาทการมองเห็นไม่ดี แต่ประสาทการดมกลิ่นนั้นดีเยี่ยม กินอาหารจำพวก พืชผักชนิดต่าง ๆ เช่น มันเทศ, ผลไม้ที่หล่นตามพื้น, หญ้า รวมถึงกินดินโป่งเพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ร่างกายเหมือนกับสัตว์กินพืชชนิดอื่นด้วย โดยจะพบกระจายพันธุ์ได้เฉพาะในพื้นที่ชุ่มน้ำในป่าดิบชื้นของภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกเท่านั้น คือ แถบประเทศไลบีเรีย, กินี, เซียร์ราลีโอน และโกตดิวัวร์ พฤติกรรมโดยทั่วไปยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด รวมถึงมีภาพบันทึกความเป็นอยู่ในธรรมชาติทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ภาพเท่านั้น เท่าที่ทราบ คือ เป็นสัตว์หากินกลางคืน ในเวลากลางวันจะหลบซ่อนตัวหรือแช่น้ำ จะรวมตัวกันเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ มีแหล่งอาศัยโดยใช้เขี้ยวคู่หน้าที่แหลมยาวขุดโพรงดินริมตลิ่งน้ำใช้เป็นที่อยู่อาศัย ในที่ ๆ มีกิ่งไม้หรือรากไม้หรือวัสดุธรรมชาติต่าง ๆ มาปกปิดไว้ ความยาวของโพรงอาจยาวได้ถึง 9 เมตร นับว่าใหญ่กว่าขนาดตัวของฮิปโปโปเตมัสแคระมาก และอาจมีทางเข้ามากกว่าหนึ่งทาง โดยจะดำน้ำเข้าไป และเชื่อว่าใช้เป็นที่เลี้ยงดูลูกอ่อนด้วย ลักษณะของหัวกะโหลก ฮิปโปโปเตมัสแคระคู่ แม้ฮิปโปโปเตมัสแคระจะเป็นสัตว์ที่สันโดษ อยู่อาศัยและหากินเพียงตัวเดียว แต่จากการศึกษาก็พบว่า ฮิปโปโปเตมัสแคระสามารถใช้เส้นทางการหากินร่วมกันมากกว่าหนึ่งตัวได้ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย แม้จะไม่ใช่ฤดูผสมพันธุ์ ฮิปโปโปเตมัสแคระมีการประกาศอาณาเขตด้วยการถ่ายปัสสาวะและมูลโดยใช้หางสะบัดใส่ตามโคนต้นไม้หรือตามทางเดินหาอาหาร และมีทฤษฎีว่า ฮิปโปโปเตมัสแคระมีพฤติกรรมในการปล่อยฟีโรโมนคล้ายแมว เมื่อฮิปโปโปเตมัสแคระตัวเดิมเดินมาพบกับฟีโรโมนของตัวเอง จะเป็นแรงกระตุ้นให้รู้สึกสดชื่นและคึกคัก ปัจจุบัน สถานะในธรรมชาติของฮิปโปโปเตมัสแคระจัดว่าเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากถูกคุกคามถิ่นที่อยู่อาศัยเพราะการตัดไม้ทำลายป่า อีกทั้งยังถูกล่าเพื่อเอาเนื้อมาบริโภค และนำหนังมาทำเป็นแส้ของชาวพื้นเมืองแอฟริกาด้วย โดยฮิปโปโปเตมัสแคระมีการคุ้มครองที่อุทยานแห่งชาติตาอีในโกตดิวัวร์ แต่ในไลบีเรียที่อยู่ติดกันกลับไม่มีกฎหมายคุ้มครอง เนื้อของฮิปโปโปเตมัสแคระนั้นมีรสชาติอร่อยเหมือนเนื้อหมูป่า จึงนิยมซื้อขายกันในตลาดค้าสัตว์ป่าเถื่อน ฮิปโปโปเตมัสแคระ ในธรรมชาติปัจจุบันเหลือเพียงไม่เกิน 3,000 ตัว แต่ส่วนที่เลี้ยงในสวนสัตว์ทั่วทั้งโลกมีประมาณ 350 ตัว และมีการคลอดลูก ในประเทศไทยมีเลี้ยงเช่นที่ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว และสวนสัตว์เชียงใหม่ โดยชื่อเรียกสามัญในภาษาอังกฤษคล้ายกับวัว คือ ตัวผู้เรียกว่า bull ตัวเมียเรียกว่า cow ขณะที่ลูกฮิปโปโปเตมัสแคระเรียกว่า calf ส่วนฝูงฮิปโปโปเตมัสแคระเรียกว่า herd หรือ bloa.

ใหม่!!: สัตว์และฮิปโปโปเตมัสแคระ · ดูเพิ่มเติม »

ผึ้ง

ำหรับผึ้งในความหมายอื่น ดูที่: ผึ้ง ผึ้ง จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมอาร์โธรพอด จัดเป็นแมลงชนิดหนึ่งอาศัยรวมกันอยู่เป็นฝูง โดยส่วนใหญ่จะออกหาอาหารเป็นน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพืชในการผสมพันธุ์ ผึ้งทำงานกันเป็นระบบ มีผึ้งนางพญาเป็นหัวหน้าใหญ่ มนุษย์รู้จักผึ้งมานาน 7000 ปีแล้ว ฟาโรห์เมเนสของอียิปต์โปรดให้ผึ้งเป็นสัญลักษณ์แห่งอาณาจักรของพระองค์ คาดว่าผึ้งมีมากกว่า 30,000 ชนิด ซึ่งมากกว่ามนุษย์, ปลา และสัตว์เลื้อยคลานรวมกันเสียอีก ลักษณะทั่วไปของผึ้ง แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน คือ.

ใหม่!!: สัตว์และผึ้ง · ดูเพิ่มเติม »

ผึ้งมิ้ม

ผึ้งมิ้ม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Apis florea เป็นผึ้งขนาดเล็ก เป็นผึ้งที่ช่วยผสมเกสรพืชโดยเฉพาะมะม่วง ชมพู่ และงา ทำให้พืชมีผลิตผลมากขึ้น มีอยู่ทั่วไปแถบเอเชียใต้ เอเชียตะวันตก เอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ผึ้งมิ้มชอบสร้างรังบนต้นไม้และในซุ้มไม้ที่ไม่สูงจนเกินไปนัก ลักษณะรวงรังมีชั้นเดียว มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือผู้ใหญ่กางเต็มที่ (ขนาดประมาณ 20 – 30 เซนติเมตร) ผึ้งมิ้มมักจะปกปิดรังของมันอยู่ในซุ้มไม้และกิ่งไม้เพื่อพรางตาป้องกันศัตรู.

ใหม่!!: สัตว์และผึ้งมิ้ม · ดูเพิ่มเติม »

ผีเสื้อ (แมลง)

ผีเสื้อ (ภาษาไทยถิ่นเหนือ: แมงก่ำเบ้อ) เป็นแมลงทุกชนิดในอันดับเลพิดอปเทรา (Lepidoptera) มีวงชีวิตเริ่มแรกตั้งแต่ระยะไข่ ระยะหนอน ระยะดักแด้ ตราบจนระยะการเปลี่ยนสัณฐานเข้าสู่ระยะการโตเต็มวัยที่มีปีกหลากสีต้องตาผู้คน ในทางกีฏวิทยาการจัดจำแนกแมลงกลุ่มนี้จะใช้เส้นปีกในการจัดจำแนก.

ใหม่!!: สัตว์และผีเสื้อ (แมลง) · ดูเพิ่มเติม »

ผีเสื้อหางดาบตาลไหม้

ผีเสื้อหางดาบตาลไหม้ (Brown gorgon) แมลงจำพวกผีเสื้อชนิดหนึ่ง ในวงศ์ผีเสื้อหางติ่ง (Papilionidae) ในกลุ่มผีเสื้อหางติ่ง เป็นผีเสื้อกลางวันขนาดกลาง ปีกทั้งสองข้างแผ่กางออกกว้างประมาณ 105–115 มิลลิเมตร หนวดค่อนข้างสั้น ลำตัวสีออกเขียว หัวและใต้ส่วนอกสีน้ำตาลแดง เล็บตีนแยกออกเป็นสองแฉก ตัวผู้มีรูปทรงของปีกและสีปีกแตกต่างจากตัวเมีย โดยมีปีกหน้ายาวโค้งเรียวกว่าตัวเมียมาก ทั้งสองเพศปีกหลังมีหางยาว ตัวผู้สีปีกน้ำตาลไหม้และขอบปีกสีดำ มีจุดสีน้ำตาลเหลืองเรียงตามขอบปีกและบริเวณกลางปีก ตัวเมียมีแถบสีขาวพาดกลางปีก พบอาศัยตามป่าบนยอดเขาสูงในประเทศไทย เช่น ดอยอินทนนท์ และดอยผ้าห่มปก และในเขตประเทศพม่า มีถิ่นการกระจายพันธุ์ตั้งแต่รัฐสิกขิม ในประเทศอินเดีย และหลายประเทศในเอเชียอาคเนย์ จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535.

ใหม่!!: สัตว์และผีเสื้อหางดาบตาลไหม้ · ดูเพิ่มเติม »

ผีเสื้อหนอนม้วนใบเขานัน

ผีเสื้อหนอนม้วนใบเขานัน (ชื่อสามัญ: Khao Nan Leaf Rollers) เป็นสัตว์จัดเป็นผีเสื้อกลางคืน หรือ มอสขนาดเล็ก (Microlepidoptera) ในวงศ์ผีเสื้อหนอนม้วนใบ (Family Tortricidae) ที่พบเฉพาะประเทศไทย ซึ่งถูกค้นพบโดย ผศ.ดร.นันทศักดิ์ ปิ่นแก้ว.

ใหม่!!: สัตว์และผีเสื้อหนอนม้วนใบเขานัน · ดูเพิ่มเติม »

ผีเสื้อหนอนถั่ว

ผีเสื้อหนอนถั่ว เป็นผีเสื้อในวงศ์ผีเสื้อสีน้ำเงิน (Lycaenidae) กระจายพันธุ์ในทวีปยุโรป, แอฟริกา, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงออสเตรเลีย พบตามชายป่า ทุ่งหญ้าหรือทุ่งดอกไม้จนถึงบนภูเขาที่สูง 2,700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ผีเสื้อหนอนถั่วเป็นผีเสื้อขนาดเล็ก เพศผู้มีความยาวปีก 24–32 มิลลิเมตร เพศเมียมีความยาวปีก 24–34 มิลลิเมตร ด้านบนปีกของเพศผู้จะมีแต้มสีน้ำเงินม่วงขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย ทั้งสองเพศมีหางเล็กยาวและจุดสีดำสองจุดที่ปลายปีกคู่หลัง Simon Coombes ไข่ของผีเสื้อชนิดนี้มีลักษณะกลมสีขาว เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5 มิลลิเมตร หนอนผีเสื้อมีความยาว 14-15 มิลลิเมตร สีเขียวถึงสีน้ำตาลแดง ดักแด้มีขนาด 9-10 มิลลิเมตร สีเทาอ่อนถึงน้ำตาล อาหารของตัวอ่อนผีเสื้อหนอนถั่วได้แก่พืชหลายสกุลในวงศ์ถั่ว เช่น สกุล Medicago, Crotalaria, Polygala เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และผีเสื้อหนอนถั่ว · ดูเพิ่มเติม »

ผีเสื้อหนอนใบกระท้อน

ผีเสื้อหนอนใบกระท้อน หรือ ผีเสื้อยักษ์ (Atlas moth) เป็นผีเสื้อที่อยู่ในวงศ์ Saturniidae จัดเป็นผีเสื้อกลางคืนชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ ระยะที่เป็นตัวหนอนกินใบกระท้อน, ฝรั่ง, ขนุน และใบดาหลา ตัวเมียวางไข่บนใบพืชอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และผีเสื้อหนอนใบกระท้อน · ดูเพิ่มเติม »

ผีเสื้อหนอนใบรักธรรมดา

ผีเสื้อหนอนใบรักธรรมดา (doi, African queen) ผีเสื้อในวงศ์ย่อยนี้ทั้งหมดมีพิษในตัว คาดว่าได้รับการสะสมจากการกินใบไม้ที่มียางในช่วงระยะที่เป็นตัวหนอน ซึ่งได้แก่ใบของต้นรัก สลิด ไทรย้อย กระทุงหมาบ้า ฯลฯ ลักษณะที่เหมือนกันของผีเสื้อในวงศ์ย่อยนี้คือส่วนอกเป็นลายจุดดำ – ขาว ปีกบน พื้นปีกสีน้ำตาลส้ม มุมปลายปีกหน้า ของปีกคู่หน้ามีสีน้ำตาลเข้ม ถัดเข้ามามีแถบสีขาวพาดขวาง ขอบปีกด้านข้างสีดำ มีจุดสีขาวเรียงกัน บนสีดำ ปีกล่าง คล้ายปีกบน แต่มุมปลายปีกหน้าของปีกคู่หน้าสีอ่อนกว่า ระยะที่เป็นตัวหนอนกินใบรัก,ตัวเมียวางไข่บนใบพืชอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และผีเสื้อหนอนใบรักธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

ผีเสื้อจักรพรรดิ

ผีเสื้อจักรพรรดิหรือผีเสื้อโมนาร์ช (Monarch butterfly) อยู่ในสายพันธุ์ Nymphalidaeมันเป็นผีเสื้อที่รู้จักกันดีในทวีปอเมริกาเหนือพวกมันจะผสมเกสรดอกไม้ทำให้ดอกไม้แพร่พันธุ์ได้ดีมันมีปีกสีขาว,ส้ม.ดำและมีขนาดประมาณ 8.9-10.2 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และผีเสื้อจักรพรรดิ · ดูเพิ่มเติม »

ผีเสื้อขอบปีกเลื่อยจุดแดง

ผีเสื้อขอบปีกเลื่อยจุดแดง (อังกฤษ: Red-spot Sawtooth) เป็นแมลงจำพวกผีเสื้อชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prioneris philonome อยู่ในวงศ์ผีเสื้อหนอนกะหล่ำ (Pieridae) ลักษณะเป็นผีเสื้อที่ปีกด้านบนมีสีขาว มีเส้นปีกลายสีดำพากสลับตามยาว ที่ปีกด้านล่างคล้ายกันกับปีกด้านบน ปีกคู่หลังมีสีเหลือง เกือบทั่วปีกด้านหลัง บริเวณโคนปีกแต้มด้วยสีแดงสด มีหนวดสองเส้น ตั้งตรงเป็นรูปตัว V มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 80-90 มิลลิเมตร จึงจัดเป็นผีเสื้อที่ยาวมากชนิดหนึ่ง กินอาหารที่เป็นของเหลว เช่น เศษใบไม้ น้ำหวานจากดอกไม้ โดยใช้ปากที่เป็นหลอดดูดเพื่อดูดกินอาหาร มีพฤติกรรมมักอาศัยอยู่ตามที่โล่งแจ้ง ตามชายป่า สวนดอกไม้ทั่วไป เป็นผีเสื้อที่ไม่ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม พบเห็นได้ทั่วไป หากินตามบริเวณพื้นดินมากกว่าบนต้นไม้ ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุก.

ใหม่!!: สัตว์และผีเสื้อขอบปีกเลื่อยจุดแดง · ดูเพิ่มเติม »

ผีเสื้อแดง

ผีเสื้อแดง (Red Admiral Butterfly) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมอาร์โธรพอด เป็นแแมลงบินได้ชนิด ผีเสื้อกลางวัน.

ใหม่!!: สัตว์และผีเสื้อแดง · ดูเพิ่มเติม »

ผีเสื้อใบไม้ใหญ่อินเดีย

ผีเสื้อใบไม้ใหญ่อินเดีย (Orange Oakleaf) เป็นผีเสื้อที่พบได้ในทวีปเอเชีย มีลักษณะเด่นคือปีกคล้ายใบไม้แห้ง จึงสามารถอำพรางตัวในธรรมชาติได้เป็นอย่างดี มีความยาวประมาณ 8.5-11 เซนติเมตร ปีกส่วนบนจะเป็นสีน้ำเงิน ปลายปีกมีสีดำพาดด้วยสีส้มเหลืองระหว่างกลาง ปีกล่างมีสีน้ำตาลลักษณะจะเหมือนใบไม้แห้ง มีหนวดสีน้ำตาลเข้ม.

ใหม่!!: สัตว์และผีเสื้อใบไม้ใหญ่อินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ผีเสื้อเหยี่ยวบอนเขียว

ผีเสื้อเหยี่ยวบอนเขียว (Pergesa acteus) ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Pergesa acteus (Cramer, 1779) เป็นสมาชิกในวงศ์สฟิงยิดี้ (Sphingidae) หรือผีเสื้อเหยี่ยว และ ผีเสื้อกะโหลก (hawk moths, sphinxes) พบได้ทั่วไป มีเขตแพร่กระจายอยู่ทางตอนใต้และตะวันเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย จากรายงานการค้นพบในอินเดีย ศรีลังกา เนปาล เวียดนาม ตะวันออกและทางใต้ของจีน ทางใต้ของญี่ปุ่น ไต้หวัน มะละกา ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย (เพนนินซูลา) อินโดนีเซีย (สุมาตรา, จาวา, สุลาเวสี) และไทย เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และผีเสื้อเหยี่ยวบอนเขียว · ดูเพิ่มเติม »

ผนังเซลล์

แผนภูมิเซลล์พืช แสดงผนังเซลล์ด้วยสีเขียว ผนังเซลล์ (Cell wall) คือ ชั้นที่ล้อมเซลล์ซึ่งอยู่ถัดจากชั้นของเยื่อหุ้มเซลล์ มักพบอยู่ในพืช แบคทีเรีย อาร์เคีย เห็ดรา สาหร่าย แต่ไม่พบในสัตว์และโพรทิสต์ ผนังเซลล์ทำหน้าที่เป็นตัวค้ำจุนโครงสร้าง ปกป้องเซลล์ คัดกรองสาร และยังมีหน้าที่ป้องกันการขยายตัวมากเกินไปหากน้ำไหลผ่านเข้าสู่ภายในเซลล.

ใหม่!!: สัตว์และผนังเซลล์ · ดูเพิ่มเติม »

จระเข้

ระเข้ (Crocodile, อีสาน: แข้) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ ใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Crocodylidae อยู่ในอันดับจระเข้ (Crocodilia) มีลักษณะโดยรวมคือ ส่วนปลายของหัวแผ่กว้างหรือเรียวยาว ขากรรไกรยาวและกว้าง เมื่อหุบปากแล้วจะเห็นฟันซี่ที่ 4 ของขากรรไกรล่างเนื่องจากขอบปากบนตรงตำแหน่งนี้เป็นรอยหยักเว้า ส่วนปลายของขากรรไกรล่างข้างซ้ายและข้างขวาเชื่อมต่อกันเป็นพื้นที่แคบ กระดูกเอนโทพเทอรีกอยด์อยู่ชัดกับแถวของฟันที่กระดูกแมคซิลลา กระดูกพาลามีนมีก้านชิ้นสั้นอยู่ทางด้านหน้าและไม่ถึงช่องในเบ้าตา พื้นผิวด้านบนของลิ้นไม่มีสารเคอราติน ต่อมขจัดเกลือบนลิ้นมีขนาดใหญ่ มีก้อนเนื้อที่ปลายปากนูนสูงที่ช่องเปิดรูจมูกเรียกว่า "ก้อนขี้หมา" หรือ "หัวขี้หมา" ซึ่งจะแตกต่างออกไปตามชนิดและเพศหรือขนาด โคนหางเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่และแข็งแรงเรียกว่า "บ้องตัน" ใช้ในการฟาดเพื่อป้องกันตัว หางแบนยาวใช้โบกว่ายน้ำ จระเข้ ถือเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาาหร เนื่องจากเป็นสัตว์ผู้ล่ากินเนื้อขนาดใหญ่ ที่ไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ ยกเว้นจระเข้ในวัยอ่อน ที่ตกเป็นอาหารของสัตว์ขนาดใหญ่กว่าชนิดต่าง ๆ ได้ จระเข้ตัวโตเต็มวัยจะมีพฤติกรรมกินอาหารแบบหมุนตัว กล่าว คือ เมื่อจับเหยื่อที่มีขนาดใหญ่ขณะอยู่ใต้น้ำและต้องการกินเหยื่อจะใช้ปากงับไว้และหมุนตัวเองเพื่อฉีกเนื้อเหยื่อออกเป็นชิ้น ส่วนเหยื่อที่มีขนาดเล็กถูกบดให้แหลกด้วยลิ้นขนาดใหญ่โดยใช้ลิ้นดันเหยื่ออัดแน่นกับเพดานของอุ้งปาก นอกจากนี้แล้วจระเข้ยังกลืนก้อนกรวดหรือก้อนหินเข้าไปในกระเพาะเพื่อช่วยในการบดอาหารด้วย แบ่งออกได้เป็น 3 สกุล 14 ชนิด พบได้ในเขตอบอุ่นและเขตร้อนของทุกทวีปทั่วโลก นับว่ามีจำนวนสมาชิกมากและหลากหลายที่สุดของอันดับจระเข้ที่ยังพบคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันนี้ มักอาศัยบริเวณป่าริมน้ำหรือพื้นที่ชุ่มน้ำ เพราะหากินในน้ำเป็นหลัก บางชนิดหรือบางพื้นที่อาจพบได้ในแหล่งน้ำกร่อยหรือป่าชายเลนหรือปากแม่น้ำใกล้ทะเล ในประเทศไทยพบ 3 ชนิด คือ จระเข้บึง หรือ จระเข้น้ำจืด (Crocodylus siamensis), อ้ายเคี่ยม หรือ จระเข้น้ำเค็ม (C. porosus) และ จระเข้ปากกระทุงเหว หรือ ตะโขง (Tomistoma schlegelii) ซึ่งมิได้ถูกจัดอยู่ในวงศ์นี้.

ใหม่!!: สัตว์และจระเข้ · ดูเพิ่มเติม »

จระเข้อเมริกา

ระเข้อเมริกา (American crocodile) เป็นจระเข้ที่พบในเขตร้อนของโลกใหม่ มีการกระจายพันธุ์มากที่สุดในจระเข้ 4 ชนิดที่พบในทวีปอเมริกา อาศัยอยู่ตามพื้นที่ชายฝั่งขนาดใหญ่ พบตั้งแต่ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรแปซิฟิกทางตอนใต้ประเทศเม็กซิโกถึงทวีปอเมริกาใต้ ไกลถึงประเทศเปรูและประเทศเวเนซุเอลา นอกจากนี้ยังพบในแม่น้ำหลายสายของประเทศคิวบา, ประเทศจาเมกา, และเกาะฮิสปันโยลา ในสหรัฐอเมริกา จระเข้อเมริกาพบในตอนใต้ของรัฐฟลอริดาเท่านั้น ซึ่งคาดว่ามีประชากรจำนวน 2000 ตัว แม้จะอยู่ใกล้กับเกาะฮิสปันโยลาแต่ไม่พบจระเข้อเมริกาในเปอร์โตริโก จระเข้อเมริกาเป็นจระเข้ที่มีขนาดใหญ่กว่าจระเข้อื่นหลายชนิด มีรายงานการพบจระเข้ตัวผู้ยาวถึง 6.1 เมตรในอเมริกากลางและอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และจระเข้อเมริกา · ดูเพิ่มเติม »

จระเข้ตีนเป็ด

แอลลิเกเตอร์ หรือ จระเข้ตีนเป็ด (Alligators; เรียกสั้น ๆ ว่า เกเตอร์: Gators) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานในอันดับจระเข้ (Crocodilia) ในวงศ์ Alligatoridae ใช้ชื่อสกุลว่า Alligator แอลลิเกเตอร์เป็นจระเข้ที่อยู่ในวงศ์ Alligatoridae ซึ่งแยกมาจากจระเข้ทั่วไปส่วนใหญ่ที่จะอยู่ในวงศ์ Crocodylidae ซึ่งแยกออกมาจากกันราว 200 ล้านปีก่อน ในมหายุคมีโซโซอิก และไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่าง แอลลิเกเตอร์จึงจัดเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตจำพวกหนึ่ง แอลลิเกเตอร์ มีลักษณะที่แตกต่างไปจากจระเข้ในวงศ์ Crocodylidae หรือจระเข้ทั่วไป คือ เมื่อมองจากด้านบนจะเห็นจะงอยปากสั้นและเป็นรูปตัวยู รูจมูกมีขนาดใหญ่ และเมื่อหุบปากแล้วฟันล่างจะไม่โผล่ออกมาให้เห็น เพราะมีส่วปลายของหัวแผ่กว้างและขากรรไกรยาว ส่วนปลายของขากรรไกรล่างซ้ายและขวาเชื่อมต่อกันเป็นพื้นที่แคบ กระดูกแอนโทพเทอรีกอยด์อยู่ห่างจากแถวของฟันที่กระดูกแมคซิลลาเป็นช่องกว้าง กระดูกพาลาทีนมีก้านกระดูกชิ้นยาวอยู่ทางด้านหน้าและยื่นเลยช่องในเบ้าตา พื้นผิวด้านบนของลิ่นมีสารเคอราติน ไม่มีต่อมขจัดเกลือบนลิ้น ปัจจุบัน แอลลิเกเตอร์ มีอยู่ 2 ชนิดเท่านั้น คือ แอลลิเกเตอร์อเมริกัน (Alligator mississippiensis) ซึ่งถือเป็นสัตว์จำพวกจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดที่พบได้ในทวีปอเมริกาเหนือ และแอลลิเกเตอร์จีน (A. sinensis) ที่พบในลุ่มแม่น้ำแยงซีในประเทศจีนเท่านั้น และเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์มากแล้ว ซึ่งคำว่า แอลลิเกเตอร์นั้น มาจากภาษาสเปนคำว่า "Lagarto" หมายถึง "สัตว์เลื้อยคลาน".

ใหม่!!: สัตว์และจระเข้ตีนเป็ด · ดูเพิ่มเติม »

จระเข้น้ำจืด

ระเข้น้ำจืด, จระเข้บึง, จระเข้สยาม หรือ จระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทย (freshwater crocodile, Siamese crocodile) มีถิ่นกำเนิดในบริเวณเวียดนาม, กัมพูชา, ลาว ไทย, กาลีมันตัน, ชวา และสุมาตรา จัดเป็นจระเข้ขนาดปานกลางค่อนมาทางใหญ่ (3 - 4 เมตร) มีเกล็ดท้ายทอด มีช่วงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 10-12 ปี จระเข้ชนิดนี้วางไข่ครั้งละ 20-48 ฟอง โดยมีระยะเวลาฟักไข่นาน 68-85 วัน เริ่มวางไข่ในช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม โดยขุดหลุมในหาดทรายริมแม่น้ำ ใช้เวลาเฉลี่ยราว 80 วัน ชอบอยู่และหากินเดี่ยว โดยปกติจระเข้น้ำจืดจะกินปลาและสัตว์อื่นที่เล็กกว่าเป็นอาหาร จะไม่ทำร้ายมนุษย์หากไม่ถูกรบกวนหรือมีอาหารเพียงพอ ในอดีตในประเทศไทยเคยพบชุกชุมในแหล่งน้ำทั่วทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะในแถบที่ราบลุ่มภาคกลาง เช่น ที่บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่จระเข้ชุม เคยมีรายงานว่าพบจระเข้ถึง 200 ตัว หรือในวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องต่าง ๆ เช่น ไกรทอง ของจังหวัดพิจิตร เป็นต้น แต่ปัจจุบันได้สูญหายไปจนหมดแล้ว แต่ในต่างประเทศยังคงพบอยู่เช่นที่ทะเลสาบเขมร ประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะทิวเขาพนมกระวาน ซึ่งช่วงแรกค้นพบเพียง 3 ตัว จนนำไปสู่การค้นพบจระเข้นับร้อยตัวที่อาศัยโดยไม่พึ่งพาอาศัยมนุษย์ แต่ที่นี่ก็ประสบปัญหาการจับจระเข้ไปขายฟาร์มจำนวนมาก สถานะในอนุสัญญาของไซเตส ได้ขึ้นบัญชีจระเข้น้ำจืดไว้อยู่ในบัญชีหมายเลข 1 (Appendix 1) ปัจจุบัน จระเข้สายพันธุ์นี้แท้ ๆ ก็ยังหายากในสถานที่เลี้ยง เนื่องจากถูกผสมสายพันธุ์กับจระเข้สายพันธุ์อื่นจนเสียสายพันธุ์แท้ไปด้วยจากเหตุผลทางด้านเศรษฐก.

ใหม่!!: สัตว์และจระเข้น้ำจืด · ดูเพิ่มเติม »

จระเข้น้ำเค็ม

ระเข้น้ำเค็ม หรือ จระเข้น้ำกร่อย หรือ ไอ้เคี่ยม หรือ จระเข้ทองหลาง(Saltwater crocodile, Estuarine crocodile) เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ในอันดับจระเข้ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Crocodylidae เป็นจระเข้ 1 ใน 3 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย (อีก 2 ชนิด คือ จระเข้น้ำจืดและตะโขง) มีลักษณะทั่วไปคล้ายจระเข้น้ำจืด จุดที่แตกต่างกันคือ ขาคู่หลังมีลักษณะแข็งแรงกว่าขาคู่หน้าและมีเพียง 4 นิ้วมีพังผืดระหว่างนิ้วตีนมากกว่าจระเข้น้ำจืด จะงอยปากยาวและส่วนปลายค่อนข้างแหลม มีฟันประมาณ 60 ซี่ ลักษณะแตกต่างจากจระเข้น้ำจืดคือไม่มีเกล็ด 4 เกล็ดที่ท้ายทอย ปากยาวกว่าจระเข้น้ำจืดอย่างเห็นได้ชัด มีสันเล็ก ๆ ยื่นจากลูกตาไปตามความยาวของส่วนหัวจนถึงตำแหน่งของปุ่มจมูก หรือที่เรียกว่าก้อนขี้หมา สีลำตัวออกเหลืองอ่อนหรือสีขาว และมีการเรียงตัวที่ส่วนหาง ดูคล้ายตาหมากรุก ตัวผู้มีความยาวหางยาวกว่าตัวเมีย แต่ลำตัวของตัวผู้ผอมเพรียวกว่าแต่โดยรวมแล้วขนาดลำตัวของตัวเมียจะเล็กกว่าเมื่อเทียบกันตัวต่อตัว และระยะห่างของโหนกหลังตาจะกว้างกว่าหัวของตัวผู้ดูป้อมสั้น ตัวเมียจะดูหัวยาวเรียว จระเข้น้ำเค็มจัดว่าเป็นสายพันธุ์จระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โตเต็มที่ได้ถึง 4-5 เมตร พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ภูมิภาคเอเชียใต้จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศออสเตรเลียทางตอนเหนือ บริเวณนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี มักอาศัยอยู่ในป่าโกงกางหรือป่าชายเลนในที่ที่เป็นน้ำกร่อยหรือน้ำเค็ม ตัวผู้จะถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 16 ปี ตัวเมียอายุ 10 ปี แต่จะให้ไข่ที่สมบูรณ์เมื่ออายุ 12 ปี มีขนาดยาว 2.2 เมตร มีการผสมพันธุ์ในฤดูร้อนและวางไข่ในฤดูฝน ครั้งละ 25-90 ฟอง การวางไข่จะใช้เวลาประมาณ 20-25 นาที ใช้ระยะเวลาในการฟักไข่ประมาณ 80 วัน ขนาดของไข่จระเข้น้ำเค็มจะใหญ่กว่าจระเข้น้ำจืดเล็กน้อย มีน้ำหนักประมาณ 110-120 กรัม จระเข้น้ำเค็มมีอุปนิสัยดุร้ายมาก สามารถโจมตีสัตว์ที่โดยปกติไม่ใช่อาหารได้ เช่น มนุษย์ เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางถิ่นของออสเตรเลียที่ขึ้นชื่ออย่างยิ่งในเรื่องการโจมตีมนุษย์ของจระเข้น้ำเค็ม อีกทั้งมีการกัดของกรามได้อย่างรุนแรงมากที่สุดในโลก โดยมีแรงมากถึง 1,700 ปอนด์ และสามารถกระโดดงับเหยื่อได้ ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ในสัตว์เลื้อยคลายขนาดใหญ่เช่นนี้ จนกระทั่งมีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า "Man Eater" ซึ่งในสวนสัตว์บางแห่งได้ใช้ความสามารถพิเศษอันนี้หลอกล่อให้จระเข้กระโดดงับเหยื่อที่แขวนล่อไว้เพื่อแสดงแก่ผู้ที่มาเยี่ยมชม ในทางอุตสาหกรรม หนังของจระเข้น้ำเค็มมีคุณสมบัติเหมาะสมในการทำเครื่องหนังมากกว่าจระเข้น้ำจืด เพราะมีหนังที่เหนียวทนทานกว่า จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เศรษฐกิจ แต่ทว่าด้วยความที่ต้องใช้ระยะเวลานานในการจระเข้จะโตและให้ผลผลิตที่ดีได้ จึงนิยมผสมข้ามสายพันธุ์กับจระเข้สายพันธุ์อื่นเพื่อให้ได้จระเข้ลูกผสมที่จะให้ผลผลิตที่เร็วกว.

ใหม่!!: สัตว์และจระเข้น้ำเค็ม · ดูเพิ่มเติม »

จระเข้แม่น้ำไนล์

ระเข้แม่น้ำไนล์ (Nile crocodile) เป็นจระเข้ชนิดหนึ่ง ที่มีขนาดใหญ่ จระเข้แม่น้ำไนล์ เป็นจระเข้ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองรองมาจากจระเข้น้ำเค็ม (C. porosus) ตัวผู้มีความยาวเฉลี่ย 3-5 เมตร แต่ตัวที่ยิ่งมีอายุมากจะยาวได้มากกว่านั้น ขณะที่ตัวเมียจะมีความยาวได้ตั้งแต่ 2.4-4 เมตร น้ำหนักตั้งแต่ 225-500 กิโลกรัม แต่ตัวผู้ที่ใหญ่อาจหนักได้ถึง 750 กิโลกรัม มีรายงานพบตัวที่ยาวที่สุดในแทนซาเนียมีความยาว 6.47 เมตร น้ำหนักประมาณ 1,090 กิโลกรัมWood, The Guinness Book of Animal Facts and Feats.

ใหม่!!: สัตว์และจระเข้แม่น้ำไนล์ · ดูเพิ่มเติม »

จระเข้แคระ

ระเข้แคระ (Dwarf crocodile) เป็นจระเข้ที่พบในทวีปแอฟริกา และเป็นชนิดของจระเข้ที่เล็กที่สุดในโลก ปัจจุบันจากการสุ่มตัวอย่างตรวจพบถึงการระบุประชากรที่แตกต่างกันสามกลุ่มพันธุกรรม ซึ่งการค้นพบนี้อาจยกชนิดย่อยขึ้นเป็นชน.

ใหม่!!: สัตว์และจระเข้แคระ · ดูเพิ่มเติม »

จะเข้

้ของกัมพูชา จะเข้ของมอญ ในวัดพุทธมอญ เมืองฟอร์ตเวย์น, รัฐอินดีแอนา, สหรัฐ จะเข้ เป็นเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องดีด มี 3 สาย สันนิษฐานกันว่าได้รับอิทธิพลมาจากมอญ และได้ปรับปรุงแก้ไขมาจากพิณ คือ กระจับปี่ซึ่งมี 4 สาย นำมาวางดีดกับพื้นเพื่อความสะดวก มีประวัติและมีหลักฐานครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา จะเข้ได้นำเข้าร่วมบรรเลงอยู่ในวงมโหรีคู่กับกระจับปี่ในสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีผู้นิยมเล่นจะเข้กันมาก ทำให้กระจับปี่ค่อย ๆ หายไปในปัจจุบัน เนื่องจากหาผู้เล่นเป็นน้อย ตัวจะเข้ทำเป็นสองตอน คือตอนหัวและตอนหาง โดยลักษณะทางตอนหัวเป็นกระพุ้งใหญ่ ทำด้วยไม้แก่นขนุน หนาประมาณ 12 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และจะเข้ · ดูเพิ่มเติม »

จับให้ได้ถ้านายแน่

ับให้ได้ถ้านายแน่ เป็นรายการโทรทัศน์ประเภทเกมโชว์ที่จะมาท้าทายความแน่ เพราะทุกอย่างบนเวทีจะกลายเป็นคำถามสำหรับคุณ ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม..

ใหม่!!: สัตว์และจับให้ได้ถ้านายแน่ · ดูเพิ่มเติม »

จักจั่น

ักจั่น เป็นแมลงที่มีตาขนาดใหญ่ อยู่ด้านข้างของหัว มีประสาทการรับรู้ที่ดีอยู่บนปีก ค้นพบประมาณ 1,300 ชนิดแล้วบนโลก จักจั่นอาศัยอยู่ในบริเวณเขตร้อน เป็นแมลงที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะมีขนาดที่ใหญ่และสามารถส่งเสียงที่ไพเราะได้ บางครั้งจะถูกสับสนกับ ตั๊กแตนหนวดสั้น (locust) ไม่มีเหล็กในไว้ต่อย และไม่กัดมนุษย์ บางพื้นที่ จักจั่นถือว่าเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมและยังจัดเป็นอาหารที่ใช้เป็นยาอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และจักจั่น · ดูเพิ่มเติม »

จักจั่นทะเล

ักจั่นทะเล (Mole crab, Sand crab) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จำพวกอาร์โธพอด ในไฟลัมย่อยครัสตาเชียน อันดับฐานปูไม่แท้ โดยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hippoidea จักจั่นทะเล เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกับจักจั่นที่เป็นแมลง ตัวขนาดเท่าแมลงทับ แต่อาศัยอยู่ในทะเลอันเป็นที่มาของชื่อสามัญ ซึ่งตามพจนานุกรมฉบับ เปลื้อง ณ นคร ได้อธิบายไว้ว่า จักจั่นทะเล ขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้ง มีกระดองแข็งคล้ายปู มีขาทั้งหมด 5 คู่ แต่ส่วนของขาว่ายน้ำไม่ได้ใช้ว่ายน้ำ แต่ใช้ในการพยุงรักษาไข่เหมือนปูมากกว่า ส่วนหัวมีกรี แต่ไม่แข็งเหมือนกุ้ง ไม่มีก้ามหนีบ เป็นสัตว์ที่กินแพลงก์ตอน, สัตว์น้ำขนาดเล็ก และพืชน้ำจำพวกสาหร่ายที่ลอยมากับกระแสน้ำเป็นอาหาร โดยปกติแล้วจะอาศัยอยู่ในพื้นทรายที่ใกล้ชายฝั่งทะเลทั่วโลก เมื่อพบกับศัตรูผู้รุกรานจะมุดตัวลงใต้ทรายอย่างรวดเร็ว โดยโผล่มาแค่ก้านตา จะมีร่องรอยที่มุดลงทรายเป็นรูปตัวยู (U) หรือตัววี (V) มีพฤติกรรมการขยายพันธุ์ ด้วยการที่ตัวผู้จะฉีดน้ำเชื้อเข้าไปผสมกับไข่ของตัวเมีย ที่เกาะอยู่ใต้ท้องเหมือนกับสัตว์จำพวกอื่นในไฟลัมย่อยครัสตาเชียนเหมือนกัน โดยวางไข่ใต้พื้นทรายลึกลงไปริมชายหาด เมื่อฟักเป็นตัวอ่อนก็ถูกกระแสคลื่นน้ำพัดพาออกไปใช้ชีวิตเบื้องต้นเหมือนแพลงก์ตอน จากนั้นเมื่อเจริญเติบโตขึ้นก็ถูกกระแสน้ำพัดกลับเข้าฝั่งเป็นวงจรชีวิต จักจั่นทะเลตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้มาก โดยตัวผู้จะมีขนาดใหญ่ประมาณ 10 มิลลิเมตรเท่านั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 วงศ์ ด้วยกัน ได้แก่;Albuneidae Stimpson, 1858.

ใหม่!!: สัตว์และจักจั่นทะเล · ดูเพิ่มเติม »

จากัวรันดี

กัวรันดี (Jaguarundi) เป็นแมวป่าขนาดเล็ก มีถิ่นอาศัยในทวีปอเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้ ลำตัวผอมเพรียว หัวเล็กแบน หางยาว ปลายหางเรียว ตัวเตี้ย ขาสั้นเล็ก ขนสั้นเกรียนและเรียบไม่มีลวดลาย สีมีสามแบบ คือดำ เทาอมน้ำตาล และน้ำตาลแดง หูสั้นกลมและอยู่ห่างกันมาก ตาเล็กอยู่ชิดกัน ม่านตาสีเหลืองเข้มหรือน้ำตาล.

ใหม่!!: สัตว์และจากัวรันดี · ดูเพิ่มเติม »

จามรี

มรี (Yak, Grunting ox; як; 犛牛; พินอิน: Máoniú; มองโกล: Сарлаг; ฮินดี: याक) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์วัวและควาย (Bovidae).

ใหม่!!: สัตว์และจามรี · ดูเพิ่มเติม »

จิงโจ้

งโจ้ (Kangaroo) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องในตัวเมียสำหรับแพร่ขยายพันธุ์และเป็นที่อยู่อาศัยของลูกอ่อน นับเป็นสัตว์ในประเภทนี้ที่มีขนาดใหญ่ และเป็นสัตว์ประจำท้องถิ่นของออสเตรเลีย จิงโจ้นั้นจัดออกได้เป็นหลากหลายประเภท ในหลายวงศ์, หลายสกุล แต่ทั้งหมดจัดอยู่ในอันดับ Macropodiformes หรือที่เรียกในชื่อสามัญว่า "แมคโครพอด" (Macropod) ที่หมายถึง "ตีนใหญ่" แต่ทั้งหมดก็มีรูปร่างคล้ายกัน (แต่โดยปกติแล้ว จิงโจ้จะหมายถึงแมคโครพอดที่อยู่ในสกุล Macropus) คือ มีขาหลังที่ยาวแข็งแกร่ง ทรงพลัง ใช้ในการกระโดด และมีส่วนหางที่แข็งแรง ใช้ในการทรงตัว และใช้ในการกร.

ใหม่!!: สัตว์และจิงโจ้ · ดูเพิ่มเติม »

จิงโจ้ต้นไม้

งโจ้ต้นไม้ (Tree-kangaroo) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกระเป๋าหน้าท้องจำพวกแมคโครพอด ในวงศ์แมคโครโพดิดี (Macropodidae) เช่นเดียวกับจิงโจ้ จิงโจ้ต้นไม้วิวัฒนาการมาจากไซโนเดลฟิส สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีรูปร่างคล้ายหนู พบซากฟอสซิลที่จีน อายุราว 125 ล้านปีก่อน เช่นเดียวกับจิงโจ้หรือสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องอื่น ๆ แต่แทนที่จะมาใช้ชีวิตอยู่บนพื้นดิน แต่จิงโจ้ต้นไม้กลับขึ้นไปใช้ชีวิตอยู่บนต้นไม้ เหมือนกับไซโนเดลฟิส และวิวัฒนาการร่างกายให้เข้ากับการใช้ชีวิตบนต้นไม้ เชื่อกันว่าจิงโจ้ที่หากินบนพื้นดินหรือวอลลาบี ก็วิวัฒนาการมาจากจิงโจ้ต้นไม้อีกที จิงโจ้ต้นไม้ มีรูปร่างคล้ายกับลิงโลกใหม่หรือลีเมอร์มากกว่าจะเหมือนจิงโจ้หรือสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องทั่วไป มีหางยาวเอาไว้ถ่วงน้ำหนักขณะทรงตัวบนต้นไม้ มีอุ้งตีนที่อ่อนนุ่มและเล็บตีนหน้าแหลมยาวแข็งแรงใช้ในการเกาะเกี่ยวต้นไม้ จิงโจ้ต้นไม้สามารถกระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่งได้อย่างคล่องแคล่ว ได้ไกลถึง 30 ฟุต และสามารถกระโดดขึ้นต้นไม้ที่สูงกว่าถึง 60 ฟุตได้อย่างสบาย ๆ รวมถึงการกระโดดลงมาในแนวดิ่งด้วย แต่ในพื้นราบจะไม่คล่องแคล่วเท่า จิงโจ้ต้นไม้กินใบไม้, เปลือกไม้ และแมลงเล็ก ๆ เป็นอาหาร แพร่ขยายพันธุ์ด้วยการออกลูกครั้งละตัว ลูกอ่อนอาศัยอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของแม่จนอายุ 10 เดือน จึงออกมาหากินข้างนอก จิงโจ้ต้นไม้ พบกระจายพันธุ์ในป่าทึบของนิวกินี และออสเตรเลียทิศตะวันออกเฉียงเหนือแถบรัฐควีนส์แลนด์ และยังพบได้ในเกาะต่าง ๆ ใกล้เคียงกัน เช่น เกาะสุลาเวสี มีขนาดประมาณ 14–77 เซนติเมตร (16–30 นิ้ว) ความยาวหาง 40–87 เซนติเมตร (16–34 นิ้ว) น้ำหนักมากกว่า 14.5 กิโลกรัม (32 ปอนด์) ขึ้นไป ตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย จิงโจ้ต้นไม้ที่มีอายุยาวนานที่สุดในโลก มีชื่อว่า "แพ็ตตี" อาศัยอยู่ในสวนสัตว์ไมอามี ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ในเดือนตุลาคม..

ใหม่!!: สัตว์และจิงโจ้ต้นไม้ · ดูเพิ่มเติม »

จิงโจ้น้ำ

งโจ้น้ำ (Water Striders / Pond Skaters) เป็นแมลงที่จัดอยู่ในกลุ่มประเภทมวนอยู่ในอันดับ Hemiptera วงศ์ Gerridae ชื่อสามัญ Water Striders หรือ Pond skaters มีชื่อเรียกต่างกันคือ จิงโจ้น้ำ มวนจิงโจ้น้ำ แมงกะพุ้งน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และจิงโจ้น้ำ · ดูเพิ่มเติม »

จิงโจ้แดง

งโจ้แดง (Red kangaroo) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง (Marsupialia) ชนิดหนึ่ง จำพวกจิงโจ้.

ใหม่!!: สัตว์และจิงโจ้แดง · ดูเพิ่มเติม »

จิตพยาธิวิทยาสัตว์

ตพยาธิวิทยาสัตว์ (Animal psychopathology) เป็นการศึกษาโรคจิตและพฤติกรรมในสัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์ โดยประวัติแล้ว ศาสตร์มักจะเอามนุษย์เป็นศูนย์ (มานุษยประมาณนิยม) เมื่อศึกษาจิตพยาธิวิทยาในสัตว์เพื่อใช้เป็นแบบจำลองสำหรับโรคจิตในมนุษย์ แต่จากมุมมองทางวิวัฒนาการ จิตพยาธิของสัตว์จะพิจารณาได้อย่างเหมาะสมกว่าว่า เป็นพฤติกรรมที่ไม่ปรับตัว (non-adaptive) เพราะความพิการทางความรู้คิด ความพิการทางอารมณ์ หรือความทุกข์บางอย่าง บทความนี้แสดงจิตพยาธิสัตว์จำนวนหนึ่งแต่ไม่สมบูรณ.

ใหม่!!: สัตว์และจิตพยาธิวิทยาสัตว์ · ดูเพิ่มเติม »

จิ้งหรีด

้งหรีด หรือ จังหรีด (Cricket; วงศ์: Gryllidae) เป็นแมลงจำพวกหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Gryllidae ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นวงศ์ย่อยต่าง ๆ อีกจำนวนหนึ่ง (ดูในตาราง) จิ้งหรีดถือเป็นแมลงที่มีขนาดลำตัวปานกลางเมื่อเทียบกับแมลงโดยทั่วไป มีปีก 2 คู่ คู่หน้าเนื้อปีกหนากว่าคู่หลัง ปีกเมื่อพับจะหักเป็นมุมที่ด้านข้างของลำตัว ปีกคู่หลังบางพับได้แบบพัดสอดเข้าไปอยู่ใต้ปีกคู่หน้า ปากเป็นชนิดกัดกิน หัวกับอกมีขนาดกว้างไล่เลี่ยกัน ขาคู่หลังใหญ่และแข็งแรงใช้สำหรับกระโดด ตัวผู้มีอวัยวะพิเศษสำหรับทำเสียงเป็นฟันเล็ก ๆ อยู่ตามเส้นปีกบริเวณกลางปีก ใช้กรีดกับแผ่นทำเสียงที่อยู่บริเวณท้องปีกของปีกอีกข้างหนึ่ง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่เป็นที่รู้จักกันดีของจิ้งหรีด ขณะที่ตัวเมียจะไม่สามารถทำเสียงดังนั้นได้ และจะมีอวัยวะสำหรับใช้วางไข่เป็นท่อยาว ๆ บริเวณก้นคล้ายเข็ม เห็นได้ชัดเจน จิ้งหรีดสามารถพบได้ในทั่วโลก โดยเฉพาะในเขตร้อนชื้น พบแล้วประมาณ 900 ชนิด ในประเทศไทยก็พบได้หลายชนิด จิ้งหรีดเป็นแมลงที่กัดกินพืชชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร สามารถกินได้หลายชนิด มักออกหากินในเวลากลางคืน มักจะอาศัยโดยการขุดรูอยู่ในดินหรือทราย ในที่ ๆ เป็นพุ่มหญ้า แต่ก็มีจิ้งหรีดบางจำพวกเหมือนกันที่อาศัยบนต้นไม้เป็นหลัก สำหรับในประเทศไทย พบจิ้งหรีดได้ทั่วทุกภูมิภาค ชนิดของจิ้งหรีดที่พบ ได้แก่ จิ้งหรีดทองดำ (Gryllus bimaculatus), จิ้งหรีดทองแดง (G. testaceus), จิ้งโกร่ง หรือ จิ้งกุ่ง (Brachytrupes portentosus) เป็นต้น จิ้งหรีดเป็นแมลงที่มีวงจรชีวิตแบบไม่ต้องผ่านการเป็นหนอนหรือดักแด้ ตัวอ่อนที่เกิดมาจะเหมือนตัวเต็มวัย เพียงแต่ยังไม่มีปีก และมีสีที่อ่อนกว่า ต้องผ่านการลอกคราบเสียก่อน จึงจะมีปีกและทำเสียงได้ จิ้งหรีดจะผสมพันธุ์เมื่อเป็นตัวเต็มวัย การผสมพันธุ์และวางไข่แต่ละรุ่นจะใช้เวลาประมาณ 15 วันต่อครั้ง ในแต่ละรุ่น เมื่อหมดการวางไข่รุ่นสุดท้ายแล้วตัวเมียก็จะตาย โดยตัวผู้จะทำเสียงโดยยกปีกคู่หน้าถูกันให้เกิดเสียง เพื่อเรียกตัวเมีย จังหวะเสียงจะดังเมื่อตัวเมียเข้ามาหา บริเวณที่ตัวผู้อยู่ ตัวผู้จะเดินไปรอบ ๆ ตัวเมียประมาณ 2-3 รอบ ช่วงนี้จังหวะเสียงจะเบาลง แล้วตัวเมียจะขึ้นคร่อมตัวผู้ จากนั้นตัวผู้จะยื่นอวัยวะเพศแทงไปที่อวัยวะเพศตัวเมีย หลังจากนั้นประมาณ 14 นาที ถุงน้ำเชื้อก็จะฝ่อลง แล้วตัวเมียจะใช้ ขาเขี่ยถุงน้ำเชื้อทิ้งไป เมื่อไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว ตัวเมียใช้อวัยวะวางไข่ที่แทงลงในดินที่มีลักษณะเรียวยาวคล้ายเมล็ดข้าวสาร ใช้เวลาประมาณ 7 วัน ก็จะฟักออกเป็นตัวอ่อน ตลอดอายุไข่จิ้งหรีดตัวเมียสามารถวางไข่ได้ตั้งแต่ 600-1,000 ฟอง ซึ่งจะวางไข่เป็นรุ่น ๆ ได้ประมาณ 4 รุ่น จิ้งหรีดถือเป็นแมลงที่เป็นศัตรูพืชอย่างหนึ่ง แต่ก็มีความเกี่ยวพันธ์กับมนุษย์ในแง่ของเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงมาอย่างยาวนาน ในหลายวัฒนธรรม ในหลายประเทศ มีการเลี้ยงจิ้งหรีดเพื่อฟังเสียงร้อง และเลี้ยงไว้สำหรับการกัดกัน โดยถือว่าเป็นแมลงจำพวกหนึ่งที่สามารถนำมาต่อสู้กันได้อย่างด้วงกว่าง อีกทั้งยังปรากฏในนิทานอีสปในเรื่อง มดกับจิ้งหรีด เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ในปัจจุบัน ยังนิยมใช้เพื่อการบริโภคเป็นอาหาร และใช้เป็นอาหารสัตว์ จึงมีการส่งเสริมให้เลี้ยงจิ้งหรีดในฐานะเป็นสัตว์เศรษฐกิจ โดยนิยมเลี้ยงกันในบ่อปูนซีเมนต์วงกลม โดยมีแหล่งใหญ่อยู่ที่อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม.

ใหม่!!: สัตว์และจิ้งหรีด · ดูเพิ่มเติม »

จิ้งหรีดทองดำ

้งหรีดทองดำ (House cricket, African cricket, Mediterranean field cricket, Two-spotted cricket) เป็นแมลงชนิดหนึ่ง จำพวกจิ้งหรีด (Gryllidae) มีรูปร่างสั้น หัวกลม หนวดยาวแบบเส้นด้าย ลำตัวมีสีดำ ขาสีดำสนิท มีจุดเด่นคือ จุดสีเหลืองบริเวณโคนปีก 2 จุด มีปากแบบกัดกิน ส่วนปีกมีความยาว เท่ากับส่วนท้อง ขาหลังใหญ่แข็งแรง และกระโดดได้เก่ง ตัวผู้ทำเสียงโดยใช้ขอบปีกคู่หน้าที่มีรอยหยักเห็นชัดเจนสีกัน มีอวัยวะฟังเสียงอยู่ที่ขาคู่หน้า ตัวเมียมีอวัยวะวางไข่ยาวเท่ากับความยาวของลำตัว ไม่สามารถทำเสียงได้ เพราะขอบปีกไม่มีรอยหยัก ปกติขุดรูอาศัยตามทุ่งหญ้า ออกหากินในเวลากลางคืน ชอบเล่นแสงไฟ กินรากไม้และกล้าอ่อนเป็นอาหาร สามารถกัดกินพืชได้แทบทุกชนิด แพร่ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ โดยตัวเมียจะใช้ท่อวางไข่ปักลงในดิน ลูกจิ้งหรีดเมื่อแรกเกิด ตัวจะสีขาวกว่าตัวเต็มวัย และจะยังไม่มีปีก จนกว่าจะลอกคราบเป็นตัวเต็มวัย ระยะที่ไข่ฟักเป็นตัวตั้งแต่ 10-17 วัน ตามแต่ฤดูกาล จิ้งหรีดทองดำ นับเป็นจิ้งหรีดชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง เพื่อฟังเสียงร้อง และนำมากัดต่อสู้กัน นิยมกันในหลายวัฒนธรรมของหลายประเทศ ทั้ง ยุโรป, จีน, ญี่ปุ่น หรือไทย ปัจจุบัน มีการนำมาบริโภคกันทั้งทอด, คั่ว หรือเป็นอาหารสัตว์แก่สัตว์เลี้ยงชนิดต่าง ๆ เช่น ปลาอะโรวาน่า, แมงมุม, แมงป่อง, สัตว์เลื้อยคลาน จึงมีการส่งเสริมการเลี้ยงกันเป็นสัตว์เศรษฐก.

ใหม่!!: สัตว์และจิ้งหรีดทองดำ · ดูเพิ่มเติม »

จิ้งหรีดทองแดงลาย

้งหรีดทองแดงลาย หรือ จิ้งหรีดขาว หรือ แมงสะดิ้ง ในภาษาอีสาน (House cricket) เป็นแมลงชนิดหนึ่ง จำพวกจิ้งหรีด (Gryllidae) เป็นจิ้งหรีดขนาดเล็ก มีลำตัวสีน้ำตาล ลักษณะคล้ายกับจิ้งหรีดทองแดง (Gryllus testaceus) แต่มีขนาดเล็กกว่า ตัวเมียมีปีกคู่หน้าสั้นครึ่งลำตัว ไม่ชอบบิน เคลื่อนไหวไม่รวดเร็วเท่าจิ้งหรีดชนิดอื่น ๆ โดยทั่ว ๆ ไปลำตัวกว้างประมาณ 0.5 เซนติเมตร ยาว 2.05 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 0.53 กรัม หรือประมาณ 1,890 – 2,235 ตัว ต่อ 1 กิโลกรัม มีการแพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่ยุโรป, เอเชียตะวันตกเฉียงใต้จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก โดยดั้งเดิมเป็นสัตว์ท้องถิ่นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ไปแพร่กระจายพันธุ์ที่ยุโรปตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ด้วยการติดไปกับกระถางต้นไม้ในเรือสำเภาขนส่งสินค้า จากนั้นก็ได้แพร่ขยายพันธุ์ไปยังอเมริกาเหนือ เป็นจิ้งหรีดอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง และเป็นชนิดที่มีการเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจมากที่สุด เพราะจิ้งหรีดทองแดงลาย เป็นจิ้งหรีดที่มีขนาดเล็ก ให้ไข่เยอะ จึงมีความมันกว่าจิ้งหรีดชนิดอื่นเมื่อรับประทาน.

ใหม่!!: สัตว์และจิ้งหรีดทองแดงลาย · ดูเพิ่มเติม »

จิ้งจกบ้าน

้งจกบ้าน หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า จิ้งจก เป็นสัตว์เลื้อยคลาน ที่อยู่ในสกุล Hemidactylus พบมากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแพร่พันธุ์ไปในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งแอฟริกาตะวันออก, นิวกินี, เม็กซิโก, มาดากัสการ์, ออสเตรเลีย และหลายพื้นที่ทั่วโลก สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามที่พักอาศัย สำหรับชนิดที่พบได้บ่อยและแพร่หลายที่สุดในประเทศไทย คือ จิ้งจกบ้านหางแบน (H. platyurus) และจิ้งจกบ้านหางหนาม (H. frenatus) มีสี่เท้า มีลำตัวขนาดเล็ก ลำตัวแบน หัวสั้น และมีหาง ไม่มีม่านตา โดยเฉลี่ยลำตัวจะมีความยาว 3 นิ้ว ตัวเต็มวัยอาจจะถึง 5 นิ้ว มีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงเข้ม ลิ้นสั้นแต่ยืดออกได้ ผิวหนังค่อนข้างละเอียด ตัวมักมีสีขาวหรือคล้ำ สามารถปรับตัวให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม เท้าเหนียวช่วยให้ไต่ไปตามเพดานหรือข้างฝาได้ มักอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน (2004):.

ใหม่!!: สัตว์และจิ้งจกบ้าน · ดูเพิ่มเติม »

จิ้งจกบ้านหางหนาม

้งจกบ้านหางหนาม (Spiny-tailed house gecko, Common house gecko) สัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง จำพวกจิ้งจกบ้าน อยู่ในวงศ์จิ้งจกและตุ๊กแก (Gekkonidae) จิ้งจกบ้านหางหนาม นับเป็นจิ้งจกอีกชนิดหนึ่งที่พบได้หลากหลายและกว้างขวางที่สุด เป็นจิ้งจกที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเริ่มแพร่พันธุ์ในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งแอฟริกาตะวันออก, นิวกินี, เม็กซิโก, มาดากัสการ์ และออสเตรเลีย พบเห็นได้ทั่วไปตามที่พักอาศัย เช่น บ้านเรือน โดยเฉลี่ยลำตัวจะมีความยาว 3 นิ้ว ตัวเต็มวัยอาจจะถึง 5 นิ้ว มีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงเข้ม หางค่อนข้างกลม มีหนามอยู่บริเวณด้านข้าง ตัวเมียวางไข่คราวละ 2 ฟอง ไข่จะใช้เวลาฟักประมาณ 50-65 วัน ตัวอ่อนที่ออกจากไข่จะมีขนาดประมาณ 2 นิ้ว วงจรชีวิตมีอายุประมาณ 5-10 ปี การงอกใหม่ของหางจิ้งจกใช้เวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์ ระยะเวลาขึ้นอยู่กับขนาดของหางที่ขาดหายไป.

ใหม่!!: สัตว์และจิ้งจกบ้านหางหนาม · ดูเพิ่มเติม »

จิ้งจกบ้านหางแบน

้งจกบ้านหางแบน (Flat-tailed house gecko) สัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง จำพวกจิ้งจกบ้าน ในวงศ์จิ้งจกและตุ๊กแก (Gekkonidae) มีลักษณะและพฤติกรรมทั่วไปรวมถึงขนาดเหมือนกับจิ้งจกบ้านหางหนาม (H. frenatus) ซึ่งเป็นจิ้งจกบ้านอีกชนิดหนึ่งที่พบได้กว้างขวางและหลากหลายเช่นเดียวกัน หากแต่จิ้งจกบ้านหางแบนพังผืดที่ตีนจะมีมากกว่า และส่วนหางที่เหยียดหางตรงและมีขอบหางค่อนข้างแบน และรูปร่างลำตัวโดยรวมแบนข้างมากกว่า และหากเมื่อเกาะักับวัสดุที่มีสีอ่อนหรือมีแสงสว่าง จะเปลี่ยนสีลำตัวออกไปทางเหลืองอ่อน จิ้งจกบ้านหางแบน พบได้ทั่วไปตามบ้านเรือนในทวีปเอเชีย และมีบางส่วนแพร่ขยายพันธุ์ในสหรัฐอเมริกาด้วย โดยถูกนำเข้าไปในฐานะสัตว์เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และจิ้งจกบ้านหางแบน · ดูเพิ่มเติม »

จิ้งจกดิน

้งจกดิน (Leaf-toed gecko, Indochinese leaf-toed gecko) สัตว์เลื้อยคลานสกุลหนึ่ง ในวงศ์จิ้งจกและตุ๊กแก (Gekkonidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Dixonius โดยตั้งชื่อมาจาก เจมส์ อาร์. ดิกสัน นักวิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกแห่งมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม จัดเป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก มักจะหากินอยู่ตามพื้นดิน, กองหิน, โคนต้นไม้, ตอไม้ รวมถึงผาหินในระดับต่ำ หากินในเวลากลางคืน ตอนกลางวันมักจะซ่อนตัวตามซอกหิน, โพรงไม้ หรือกองใบไม้เหนือพื้นดิน วางไข่ครั้งละ 2 ฟอง พบได้ทั้งในป่าและรวมถึงในตัวเมือง เช่น สวนสาธารณะ พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้าน เ่ช่น กัมพูชา, เวียดนาม.

ใหม่!!: สัตว์และจิ้งจกดิน · ดูเพิ่มเติม »

จิ้งจกดินลายจุด

้งจกดินลายจุด หรือ จิ้งจกดินสยาม (Siamese leaf-toed gecko) สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกจิ้งจกดิน ในวงศ์จิ้งจกและตุ๊กแก (Gekkonidae) เป็นจิ้งจกขนาดเล็ก ลำตัวค่อนข้างยาว ผิวหนังปกคลุมด้วยเกล็ดละเอียด มีแถวของตุ่มเกล็ดเรียงตัวตลอดแนวของลำตัว นิ้วตีนเรียวไม่มีพังผืดระหว่างนิ้ว สีลำตัวมีความหลากหลาย เช่น สีเทา, สีน้ำตาลเหลือง, สีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำ มีลวดลายเป็นแต้มสีน้ำตาลจนถึงดำกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบทั่วตัว ซึ่งช่วยให้สามารถพรางตัวกับต้นไม้ หรือพื้นดินได้เป็นอย่างดี อีกทั้งปรับความเข้มอ่อนของสีตัวให้กลมกลืนตามลักษณะพื้นผิวที่เกาะได้ในระดับหนึ่ง แพร่พันธุ์โดยการวางไข่ครั้งละ 2 ฟอง ใต้กองวัสดุเหนือพื้นดิน เปลือกไข่จะบอบบางกว่าไข่ของจิ้งจกที่พบได้ตามบ้าน พบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย แต่พบได้น้อยในภาคใต้ รวมถึงประเทศอื่น ๆ ใกล้เคียง เช่น พม่า, เวียดนาม, ลาว, กัมพูชา พบได้ทั้งในป่าและตามที่รกร้างต่าง ๆ ในเขตเมือง เช่น สวนสาธารณะ, สวนหย่อมภายในบ้านเรือน โดยจะมีพฤติกรรมหากินในเวลากลางคืน ตามโคนต้นไม้, พื้นดิน หรือพื้นที่เหนือพื้นดินระดับต่ำ ๆ ในเวลากลางวันจะหลบซ่อนตัว Bauer A.M.; Good D.A.; Branch W.R. 1997: The taxonomy of the Southern African leaf-toed geckos (Squamata: Gekkonidae), with a review of Old World "Phyllodactylus" and the description of five new genera.

ใหม่!!: สัตว์และจิ้งจกดินลายจุด · ดูเพิ่มเติม »

จิ้งจอกแร็กคูน

้งจอกแร็กคูน (raccoon dog) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nyctereutes procyonoides อยู่ในวงศ์ Canidae อันเป็นวงศ์เดียวกับสุนัข จัดเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในสกุล Nyctereutes ที่ยังดำรงสายพันธุ์อยู.

ใหม่!!: สัตว์และจิ้งจอกแร็กคูน · ดูเพิ่มเติม »

จิ้งเหลน

้งเหลน (Skink, ชื่อวิทยาศาสตร์: Scincidae) เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่จัดอยู่ในอันดับ Squamata เช่นเดียวกับงูและกิ้งก่า จัดอยู่ในวงศ์ Scincidae มีรูปร่างโดยรวม คือ ลดรูปรยางค์ขาแตกต่างกันหลายระดับเพราะบางชนิดมีขาใหญ่ บางชนิดมีขาเล็กมาก และบางชนิดไม่มีขา มีรูปร่างแตกต่างกันตั้งแต่ลำตัวป้อมและขาใหญ่ไปจนถึงลำตัวเรียวยาวคล้ายงู เกล็ดปกคลุมลำตัวด้านหลังและด้านท้องรูปร่างกลมและเรียบเป็นมัน เกล็ดเรียงซ้อนเหลื่อมกันและมีกระดูกในชั้นหนังรองรับโดยมีลักษณะจำเพาะ คือ เกล็ดแต่ละแผ่นมีกระดูกในชั้นหนังหลายชิ้นซึ่งแตกต่างจากกิ้งก่าวงศ์อื่น ๆ ที่มีชั้นเดียว ลักษณะจำเพาะและแตกต่างจากกิ้งก่าวงศ์อื่นอีกประการ คือ หลายชนิดของวงศ์นี้มีเพดานปากแบบทุติยภูมิเจริญขึ้นมา กระดูกหัวไหล่มีกระดูกอินเตอร์ควาวิเคิลเป็นรูปโค้งหรือไม่มีกระดูกชิ้นนี้และกระดูกไหปลาร้าเป็นรูปหักมุม หางค่อนข้างยาว หลายชนิดปล่อยหางหลุดจากลำตัวได้เหมือนเช่น จิ้งจก เพื่อเอาตัวรอดจากศัตรู โดยตำแหน่งที่ปล่อยหางอยู่ทางด้านหน้าของก้านกระดูกทางด้านข้างของก้านกระดูกทางด้านข้างของกระดูกสันหลังส่วนหาง พื้นผิวด้านบนของลิ้นเป็นตุ่มยาว ฟันที่ขากรรไกรเกาะติดกับร่องที่ขอบด้านในของกระดูกขากรรไกร กระดูกพเทอรีกอยด์มีฟันหรือไม่มีฟัน วงศ์จิ้งเหลนนี้ถือว่าเป็นวงศ์ที่ใหญ่มาก สามารถแบ่งออกได้เป็นวงศ์ย่อย ๆ ได้อีก 4 วงศ์ (ดูในตาราง) แบ่งออกได้เป็นสกุลต่าง ๆ ได้ถึง 116 สกุล และเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ราว 1,000 ชนิด ซึ่งจำนวนนี้ไม่แน่นอน เพราะการค้นพบใหม่ ๆ ขึ้นทุกปี สำหรับสัตว์ในวงศ์นี้ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ จิ้งเหลนบ้าน (Eutropis multifasciata) ที่สารถพบได้ทั่วไปในประเทศไทย เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และจิ้งเหลน · ดูเพิ่มเติม »

จิ้งเหลนบ้าน

้งเหลนบ้าน (East Indian brown mabuya, Many-lined sun skink, Many-striped skink, Common sun skink, Golden skink; ชื่อวิทยาศาสตร์: Eutropis multifasciata) เป็นสัตว์เลื้อยคลานในวงศ์จิ้งเหลน (Scincidae) นับเป็นจิ้งเหลนชนิดที่ได้ง่ายและบ่อยที่สุดในประเทศไทย มีลำตัวหนา แต่หลังแบนจึงดูคล้ายว่ามีลำตัวเป็นรูปสี่เหลียมทรงกระบอก หัวและลำตัวมีสีน้ำตาลเหลือบทอง เกล็ดมีความเงางาม มีลายเส้นสีดำข้างลำตัวตั้งแต่ 5-7 ขีด ปลายปากเรียวแหลมและเล็ก ด้านข้างลำตัวเป็นสีน้ำตาลเข้มมีจุดสีขาว ขณะที่บางตัวเป็นสีส้ม มีหางเรียวยาว ใต้ท้องสีขาวเทาหรือออกเหลือง มีความยาวลำตัวประมาณ 81–90 มิลลิเมตร หางยาวประมาณ 142–156 มิลลิเมตร จิ้งเหลนบ้านเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่พบได้ทั่วไปในหลากหลายภูมิประเทศ ตั้งแต่ในป่าทึบจนถึงพื้นที่ในสังคมเมืองใหญ่ เช่น สวนสาธารณะหรือสวนหลังบ้าน เป็นสัตว์ที่กินอาหารได้หลากหลาย แต่นิยมกินแมลงมากที่สุด แต่อาจจะกินสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างเขียดได้ด้วย โดยมักหากินบนพื้นดินเป็นหลัก มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวาง ตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย, เอเชียอาคเนย์, จีนตอนใต้ จนถึงออสเตรเลีย วางไข่โดยการผสมพันธุ์ในฤดูฝน ตัวเมียที่มีขนาดเล็กกว่าจะเข้าไปในถิ่นอาศัยของตัวผู้ และมีการวิ่งไล่กันสักพักจึงจะมีการผสมพันธุ์เกิดขึ้น เริ่มวางไข่ในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม จิ้งเหลนบ้านยังมีชื่อเรียกแตกต่างออกไปในแต่ละถิ่นว่า "จักเล้อ" หรือ"ขี้โก๊ะ" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และจิ้งเหลนบ้าน · ดูเพิ่มเติม »

จิ้งเหลนจระเข้

้งเหลนจระเข้ (Crocodile skink) สัตว์เลื้อยคลานสกุลหนึ่ง จำพวกจิ้งเหลน (Scincidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Tribolonotus เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก มีลักษณะเด่นคือ ลำตัวมีผิวเรียบลื่นเหมือนจิ้งเหลนทั่วไป แต่ว่ามีเกล็ดแข็งที่เป็นหนามแหลมลักษณะคล้ายกับเกล็ดของจระเข้ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ.

ใหม่!!: สัตว์และจิ้งเหลนจระเข้ · ดูเพิ่มเติม »

จิ้งเหลนจระเข้ตาแดง

้งเหลนจระเข้ตาแดง หรือ จิ้งเหลนจระเข้ตาส้ม หรือ จิ้งเหลนจระเข้ตาเหลือง (ตัวย่อ: Trib) เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tribolonotus gracilis อยู่ในวงศ์ Scincidae หรือจิ้งเหลน มีผิวลำตัวเรียบลื่นเหมือนจิ้งเหลนทั่วไป แต่มีหนามแข็งคล้ายจระเข้ทั่วทั้งตัวจรดหาง หัวมีขนาดใหญ่ เป็นรูปทรงสามเหลี่ยม ลำตัวคล้ายทรงสี่เหลี่ยม มีสีน้ำตาลเข้มจนถึงสีดำ ดวงตามีขนาดกลมโต มีจุดเด่น คือ มีวงแหวนสีส้มหรือแดงรอบดวงตา บางตัวอาจเป็นสีน้ำตาลทอง ที่บริเวณใบหน้าและเท้า อันเป็นที่มาของชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 7-10 นิ้ว โดยเป็นส่วนหัวและลำตัวประมาณ 3 นิ้ว และส่วนหาง 2 นิ้วเท่านั้น ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ซึ่งแตกต่างไปจากจิ้งเหลนชนิดอื่น ๆ ที่มักออกลูกเป็นตัว เมื่อแรกเกิดที่ฟักออกจากไข่จะมีขนาดราว 2 นิ้ว โตเต็มวัยเมื่อมีอายุประมาณ 6-8 เดือน ตั้งท้องนานประมาณ 20 วัน มีอายุยืนประมาณ 10-15 ปี มีถิ่นกระจายพันธุ์อยู่ที่นิวกินี ในป่าดิบชื้น ที่มีความชื้นพอสมควร หากินตามพื้นดินไม่ค่อยขึ้นต้นไม้ โดยกินสัตว์ขนาดเล็ก เช่น จิ้งหรีด, ทาก, ลูกกบ, หนอน, ตั๊กแตน, ไส้เดือน, หนู หรือแมลงปีกแข็ง เป็นต้น ปัจจุบัน นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง สำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแปลก ๆ หรือสัตว์เลื้อยคลาน เป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย นิสัยไม่ดุร้าย ซึ่งนิยมเลี้ยงกันในตู้กระจก โดยจัดสภาพแวดล้อมให้คล้ายกับถิ่นที่อยู่ในธรรมชาติจริง.

ใหม่!!: สัตว์และจิ้งเหลนจระเข้ตาแดง · ดูเพิ่มเติม »

จุลประติมากรรม

ลประติมากรรมพหุรงค์ของนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์จากคริสต์ศตวรรษที่ 18 จุลประติมากรรม (Figurine) “Figurine” เป็นคำที่แผลงมาจากคำว่า “Figure” ที่หมายถึงประติมากรรมขนาดเล็ก (Statuette) ในรูปของมนุษย์, เทพ หรือ สัตว์ จุลประติมากรรมจะเป็นได้ทั้งสัจศิลป์ หรือ สัญลักษณศิลป์ (icon) ขึ้นอยู่กับความชำนาญ/ความสามารถ หรือความตั้งใจของผู้สร้าง งานจุลประติมากรรมในสมัยแรกทำจากหินหรือดินเหนียว แต่เมื่อมาถึงสมัยต่อมาก็อาจจะเป็นเซอรามิค, โลหะ, แก้ว, ไม้ หรือ พลาสติกก็ได้ จุลรูปที่มีส่วนที่เคลื่อนไหวได้เช่นแขน หรือ ขามักจะเรียกว่าตุ๊กตา, หุ่นจัดท่า หรือ action figure; หรือ หุ่นยนต์ หรือ หุ่นกล (Automaton) ถ้าเคลื่อนไหวเองได้ จุลประติมากรรม หรือ จุลรูป บางครั้งก็ใช้ใน เกมกระดาน เช่น หมากรุกเป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และจุลประติมากรรม · ดูเพิ่มเติม »

จงโคร่ง

และวงศ์หมาน้ำ จงโคร่ง หรือ หมาน้ำ หรือ กง หรือ กระทาหอง หรือ กระหอง (ปักษ์ใต้) (อังกฤษ: Giant jungle toad, Asian giant toad; ชื่อวิทยาศาสตร์: Phrynoidis aspera) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกคางคกขนาดใหญ่ที่พบในประเทศไทยชนิดหนึ่ง จงโคร่งนับเป็นคางคกชนิดที่ใหญ่ที่สุดที่พบได้ในประเทศไทย บริเวณหลังมีน้ำพิษเห็นเป็นปุ่มชักเจน ตาใหญ่ ตัวมีสีน้ำตาลดำ ตัวผู้มักปรากฏลายสีเข้มเป็นแถบทั้งขาหน้า และขาหลัง บริเวณใต้ท้องมีสีขาวหม่น ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 22 เซนติเมตร ขายาว 6-8 นิ้ว ขาหน้าสั้นกว่าขาหลัง นิ้วเท้ามี 4 นิ้ว สามารถเปลี่ยนสีลำตัวได้ตามสภาพแวดล้อม โดยตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ จงโคร่งเป็นสัตว์ที่พบได้เฉพาะในป่าดิบชื้น โดยจะอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำในป่า เช่น ลำธารน้ำตกหรือลำห้วย โดยมักใช้ชีวิตอยู่ในน้ำมากกว่าอยู่บนบก มักหลบอยู่ตามขอนไม้หรือก้อนหินขนาดใหญ่ หากินในเวลากลางคืน อาหารหลักได้แก่ แมลงและสัตว์น้ำขนาดเล็ก มีเสียงร้องคล้ายสุนัขเห่า จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "หมาน้ำ" โดยมีพฤติกรรมร้องเป็นจังหวะ ๆ ละ 6-10 วินาที ลักษณะไข่เป็นฟองกลม ๆ อาจติดอยู่ตามขอบแหล่งน้ำที่อาศัย โดยฤดูกาลผสมพันธุ์อยู่ในช่วงฤดูฝนจนถึงต้นฤดูหนาว พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในป่าดิบชื้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทย พบได้ในภาคเหนือ, ภาคตะวันตกและภาคใต้ ในความเชื่อของคนปักษ์ใต้ จงโคร่งหรือกงเป็นสัตว์นำโชค หากเข้าบ้านใครถือเป็นลางมงคล แต่ในบางท้องถิ่นมีการเอาหนังของจงโคร่งมาตากแห้งแล้วมวนผสมกับใบยาสูบสูบเหมือนยาสูบทั่วไป มีฤทธิ์แรงกว่ายาสูบหรือบุหรี่ทั่วไป โดยมีความแรงเทียบเท่ากับกัญชา ในฟิลิปปินส์ก็นิยมทำเช่นเดียวกัน ปัจจุบัน มีสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และจงโคร่ง · ดูเพิ่มเติม »

ธรรมชาติวิทยา

ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ธรรมชาติวิทยา หรือ ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ หมายถึงคำรวมที่ใช้เรียกสรรพสิ่งทั้งหลายที่ปัจจุบันมองว่าเป็นศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์ที่มีความเฉพาะชัดเจน นิยามเกือบทั้งหมดรวมถึงการศึกษาสิ่งมีชีวิต (เช่น ชีววิทยา รวมทั้งพฤกษศาสตร์และสัตววิทยา) นิยามอื่นได้ขยายเนื้อหารวมไปถึง บรรพชีวินวิทยา นิเวศวิทยา ดาราศาสตร์ หรือชีวเคมี รวมทั้งธรณีวิทยาและฟิสิกส์ หรือแม้แต่อุตุนิยมวิทยา บุคคลผู้สนใจในธรรมชาติวิทยาเรียกว่า "นักธรรมชาติวิทยา".

ใหม่!!: สัตว์และธรรมชาติวิทยา · ดูเพิ่มเติม »

ธาตุ

ในทางเคมี ธาตุ คือ สารบริสุทธิ์ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานเลขอะตอม อันเป็นจำนวนของโปรตอนในนิวเคลียสของธาตุนั้น ตัวอย่างธาตุที่คุ้นเคยกัน เช่น คาร์บอน ออกซิเจน อะลูมิเนียม เหล็ก ทองแดง ทองคำ ปรอทและตะกั่ว จนถึงเดือนพฤษภาคม..

ใหม่!!: สัตว์และธาตุ · ดูเพิ่มเติม »

ทรูโอดอน

ทรโอดอน (Troodon หรือ Troödon) เป็น ไดโนเสาร์ กินเนื้อที่จัดว่าเป็นไดโนเสาร์ทีมีความฉลาดมากที่สุด ไดโนเสาร์โทรโอดอนเป็นไดโนเสาร์ที่มีชีวิตอยู่ใน ช่วงครีเตเชียสตอนปลาย พบได้ ในประเทศอเมริกาและคานาดา ไดโนเสาร์โทรโอดอนจัดว่าเป็นไดโนเสาร์ที่มีขนาดเล็กกว่า ไดโนเสาร์พันธุ์อื่น ๆ เพราะโครงสร้างที่บอบบาง ลำตัวมีความยาวประมาณ 1.8 เมตร ข้างกะโหลกศีรษะของมัน ค่อนข้างแตกต่างจากไดโนเสาร์พันธุ์อื่น ๆ เพราะบริเวณด้านหลังและด้านข้างของจมูก จะมีโครงกระดูกแหลมโผล่ออกมา ฟันมีลักษณะแหลมและเป็นซี่เล็ก ๆ ตาโต ทำให้สามารถ มองเห็นวัตถุต่าง ๆ ได้ดี มีนิ้วมือสำหรับตะครุบ ด้วยความฉลาดและมีนิ้วมือสำหรับตะครุบ ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และทรูโอดอน · ดูเพิ่มเติม »

ทฤษฎีใหม่

วนที่จัดแสดง "แนวพระราชดำริ'''ทฤษฎีใหม่'''" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในงานราชพฤกษ์ 2549 เกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับการจัดพื้นที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและมีชีวิตอย่างยั่งยืน โดยมีแบ่งพื้นที่เป็นส่วน ๆ ได้แก่ พื้นที่น้ำ พื้นที่ดินเพื่อเป็นที่นาปลูกข้าว พื้นที่ดินสำหรับปลูกพืชไร่นานาพันธุ์ และที่สำหรับอยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ ในอัตราส่วน 3:3:3:1 เป็นหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และทฤษฎีใหม่ · ดูเพิ่มเติม »

ทวีปแอนตาร์กติกา

วเทียมของทวีปแอนตาร์กติกา แอนตาร์กติกา (Antarctica) เป็นทวีปที่อยู่ใต้สุดของโลกตั้งอยู่ในภูมิภาคแอนตาร์กติกในซีกโลกใต้และเป็นที่ตั้งขั้วโลกใต้ทางภูมิศาสตร์ เกือบทั้งหมดอยู่ในวงกลมแอนตาร์กติกและล้อมลอบด้วยมหาสมุทรใต้ มีพื้นที่ประมาณ 14,000,000 ตารางกิโลเมตร เป็นทวีปที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกใหญ่กว่าทวีปออสเตรเลียถึง 2 เท่า พื้นที่ 98% ของทวีปปกคลุมด้วยน้ำแข็งหนาเฉลี่ย 1.9 กิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เกือบจะถึงเหนือสุดของคาบสมุทรแอนตาร์กติก โดยค่าเฉลี่ยแล้วแอนตาร์กติกาเป็นทวีปที่หนาวที่สุด แห้งแล้งที่สุด ลมแรงที่สุดและมีความสูงโดยเฉลี่ยมากที่สุด แอนตาร์กติกาเป็นทะเลทรายที่มีหยาดน้ำฟ้าเฉลี่ย 200 มิลลิเมตรต่อปีตามแนวชายฝั่งและพื้นที่ภายใน แม้ว่าช่วงที่หนาวสุดของปีจะมีอุณหภูมิเฉลี่ย −63 °C แต่อุณหภูมิอาจต่ำถึง −89.2 °C (และอาจถึง -94.7 ° C หากวัดจากอากาศ) บางสถานที่มีคนราว 1,000 ถึง 5,000 คนอาศัยในสถานีวิจัยที่กระจายอยู่ทั่วที้งทวีปตลอดทั้งปี สิ่งมีชีวิตในแอนตาร์กติกาจะเป็นพวกสาหร่าย แบคทีเรีย เห็ดรา พืช โพรทิสต์และสัตว์บางชนิดเช่นตัวเห็บ ตัวไร นีมาโทดา เพนกวิน สัตว์ตีนครีบและหมีน้ำส่วนพืชก็จะเป็นพวกทันดรา แม้ว่ามีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับการมีอยู่ของดินแดนใต้ตั้งแต่ยุคโบราณ แอนตาร์กติกาถูกระบุว่าเป็นดินแดนสุดท้ายบนโลกในประวัติศาสตร์ที่ถูกค้นพบเพราะไม่มีใครเคยพบเลยจนกระทั่ง..

ใหม่!!: สัตว์และทวีปแอนตาร์กติกา · ดูเพิ่มเติม »

ทอมสันส์กาเซลล์

ทอมสันส์กาเซลล์ (Thomson’s gazelle) เป็นกาเซลล์ชนิดหนึ่งในวงศ์ Antilopinae ในวงศ์ใหญ่ Bovidae โดยได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่โจเซฟ ทอมสัน นักสำรวจชาวสกอต ทอมสันส์กาเซลล์จัดเป็นแอนทิโลปขนาดเล็ก ลำตัวยาวประมาณ 1 เมตร หางยาวประมาณ 25 เซนติเมตร มีความสูงจากพื้นถึงไหล่ประมาณ 70 เซนติเมตร ขนเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองมีแถบสีดำพาดอยู่ทั้งสองข้างของลำตัว ขนที่บริเวณท้องเป็นสีขาว หางมีสีดำ มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่เขาของตัวเมียจะเล็กและสั้นกว่าตัวผู้ น้ำหนักเต็มที่อยู่ที่ประมาณ 20-40 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในบริเวณภาคตะวันออกของทวีปแอฟริกา เช่น เคนยา, แทนซาเนีย มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมเป็นฝูงขนาดใหญ่ตามทุ่งหญ้าที่หญ้าไม่สูงมากนักหรืออยู่ตามทุ่งโล่งที่มีพุ่มไม้ขึ้นกระจัดกระจาย เป็นสัตว์ที่ปราดเปรียวโดยสามารถวิ่งได้เร็วถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อแรกเกิด ลูกทอมสันส์กาเซลล์จะหมอบซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้า โดยแม่จะแวะมาให้นมเป็นระยะ ประมาณ 5-6 วัน จนกว่าจะแข็งแรงพอที่จะวิ่งตามฝูงได้ และจะเริ่มผสมพันธุ์เมื่ออายุได้ประมาณ 8-9 เดือน มีระยะตั้งท้องนาน 5.5-6 เดือน ออกลูกได้ปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 ตัว ทอมสันส์กาเซลล์มีนิสัยการกินแบบเดียวกับสัตว์ในวงศ์ Bovinae มากกว่าการกินใบไม้พุ่มแบบสัตว์ในวงศ์ Caprinae มีประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารหยาบเป็นเนื้อสูง ในธรรมชาติ ทอมสันส์กาเซลล์จะตกเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้ออยู่เสมอ ๆ เช่น สิงโต, เสือดาว, เสือชีตาห์ หรือไฮยีนา เป็นต้น ในประเทศไทย ทอมสันส์กาเซลล์กำลังจะเป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดใหม่ จากการสนับสนุนโดยกรมปศุสัตว์ให้เกษตรกรได้เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และทอมสันส์กาเซลล์ · ดูเพิ่มเติม »

ทอร์วอซอรัส

วาดของทาร์วอซอรัสเมื่อขณะยังมีชีวิต ขนาดของทาร์วอซอรัสเมื่อเทียบกับมนุษย์และสัตว์อื่น (สีฟ้า) ทอร์วอซอรัส (อังกฤษ:Torvosaurus) เป็นหนึ่งใน เทอโรพอดขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ในช่วงปลาย ยุคจูลาสสิค ชื่อ ทอร์วอซอรัส มาจาก ทอร์วัส ในภาษาละติน แปลว่า อำมหิต ซากดึกดำบรรพ์ของ ทอร์วอซอรัส มีการค้นพบในทวีปอเมริกาเหนือและโปรตุเกส ทอร์วอซอรัส มีความยาวระหว่าง 9-11เมตร (30-36ฟุต) น้ำหนักประมาณ 2 ตัน เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อที่ใหญ่สุดในยุคจูลาสสิค รองจาก ซอโรเพกาแนกซ์ และ อัลโลซอรัสคู่แข่งร่วมยุคของมัน ถูกพบครั้งแรกโดย เจมส์ เจนเซ่น และ เคนเน็ท แสตทแมน ในปี 1972 ที่ชั้นหินตะกอน มอร์ริสัน ฟอร์เมชั่นชั้น (Morrison Formation) ทางตะวันตกที่ราบสูงของโคโลร.

ใหม่!!: สัตว์และทอร์วอซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ทะนุกิ

ทะนุกิ หรือ จิ้งจอกแรคคูนญี่ปุ่น (อังกฤษ: Japanese raccoon dog, Tanuki; ญี่ปุ่น: 狸, タヌキ, たぬき) เป็นชนิดย่อยของจิ้งจอกแรคคูน (N. procyonoides) ชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และทะนุกิ · ดูเพิ่มเติม »

ทัวทารา

ทัวทารา (Tuatara) เป็นสัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์ที่สืบเชื้อสายมาจากสัตว์เลื้อยคลานโบราณยุคเดียวกับไดโนเสาร์ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อกว่า 220 ล้านปีก่อน จัดเป็นสัตว์หายาก และอายุยืน สามารถปรับสภาพตัวเองจนอยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้ คาดการณ์ว่าปัจจุบันมีจำนวนประชากรเหลืออยู่ในธรรมชาติราว 50,000 ตัว ทัวทารา จัดเป็นสัตว์ที่อยู่ในสกุล Sphenodon พบเฉพาะบนเกาะเหนือ ของนิวซีแลนด์เพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น มีทั้งหมด 3 ชนิด (สูญพันธุ์ไปแล้ว 1 ชนิด) เป็นสัตว์ที่สืบเผ่าพันธุ์มาจากไดโนเสาร์ที่อยู่ในอันดับ Sphenodontia ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 200 ล้านปีก่อน ขนาดลำตัวของทัวทาราเล็กกว่าบรรพบุรุษมาก โดยมีความยาวจากหัวถึงหางแค่ 32 นิ้วเท่านั้น ตรงแนวสันหลังจะมีรอยหยักขึ้นมาแบบเดียวกับไดโนเสาร์ เป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาวได้ถึง 200 ปี และเคลื่อนไหวช้าเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งคำว่า "ทัวทารา" เป็นภาษาเมารี หมายถึง "รอยหยักตรงแนวสันหลัง" เชื่อว่า บรรพบุรุษของทัวทาราเดินทางมาสู่นิวซีแลนด์จากออสเตรเลียด้วยการเกาะกับของขยะลอยน้ำมากลางทะเลพร้อม ๆ กับการกำเนิดขึ้นมาของผืนดินนิวซีแลนด์เมื่อกว่า 60 ล้านปีก่อน ทัวทารา มีความแตกต่างจากกิ้งก่า ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานส่วนใหญ่ในปัจจุบัน พอสมควร โดยลักษณะที่สำคัญ คือ ไม่มีช่องเปิดของหูชั้นนอก และไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศผู้ ใช้การผสมพันธุ์โดยให้ช่องเปิดใต้ท้องติดกัน และปล่อยน้ำเชื้อผ่านเข้าไป บนกลางหัวของทัวทารามีแผ่นหนังที่คล้ายกับดวงตา ที่ทำหน้าที่เหมือนกับดวงที่สาม เรียกว่า "ตาผนังหุ้ม" สามารถตรวจจับแสงและแรงสั่นสะเทือน รวมทั้งทำหน้าที่เหมือนกับตาของสัตว์ประเภทอื่น ๆ ได้ ทัวทารา ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ซุ่มโจมตีได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวช้า จึงกินแมลงต่าง ๆ ที่อยู่บนพื้นดิน ด้วยการซุ่มนิ่ง ๆ รวมทั้งลูกไม้บางชนิดที่อยู่บนต้น และยังกินแม้แต่ลูกทัวทาราที่เพิ่งฟักจากไข่ใหม่ ๆ ด้วย ทัวทารา เติบโตเต็มที่เมื่ออายุได้ 70 ปี และเริ่มผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่อายุ 20 ปี ซึ่งในปี ค.ศ. 2009 ที่สวนสัตว์ในประเทศอังกฤษ ทัวทาราเพศผู้ตัวหนึ่งอายุ 111 ปี ที่ถูกเลี้ยงในนั้นได้ผสมพันธุ์กับทัวทาราเพศเมีย และได้ไข่และฟักออกเป็นตัวทั้งหมด 11 ตัวด้วยกัน ทัวทาราเมื่อวางไข่เสร็จแล้ว จะไม่กลับมาดูแลหรือฟักไข่ แต่จะปล่อยให้ฟักเองโดยธรรมชาติ ไข่ของทัวทารามีลักษณะเปลือกหยุ่นคล้ายแผ่นหนัง และเมื่อฟักออกมาเป็นตัวแล้ว ทัวทาราขนาดเล็กซึ่งมีความยาวเพียง 3 นิ้ว จะรีบออกมาจากโพรงทันที มิเช่นนั้นจะตกเป็นเหยื่อของทัวทาราตัวโตกว่าได้ New Zealand ดินแดนแห่งนก, "Mutant Planet" ทางแอนิมอลแพลนเน็ต.

ใหม่!!: สัตว์และทัวทารา · ดูเพิ่มเติม »

ทัศนียภาพของเสียง

R.

ใหม่!!: สัตว์และทัศนียภาพของเสียง · ดูเพิ่มเติม »

ทากหนามม่วง

ทากหนามม่วง (Nudibranch, Purple-Red Flabellina) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกมอลลัสกา เช่นเดียวกับหอย และหมึก จัดอยู่ในชั้นหอยฝาเดี่ยว และเป็นกลุ่มของทากทะเล และอยู่ในอันดับ Nudibranchia.

ใหม่!!: สัตว์และทากหนามม่วง · ดูเพิ่มเติม »

ทากิฟูงุ

ทากิฟูงุ (Takifugu; トラフグ属.) เป็นชื่อวิทยาศาสตร์เรียกสกุลหนึ่งของปลาปักเป้าในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อสามัญภาษาญี่ปุ่นว่า "ฟูงุ" (河豚-แปลว่า หมูแม่น้ำ) เนื่องจากเป็นปลาปักเป้าสกุลที่นิยมนำมาทำซาชิมิหรือปลาดิบ อาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อไปทั่วโลก โดยใช้ชื่อสกุลว่า Takifugu.

ใหม่!!: สัตว์และทากิฟูงุ · ดูเพิ่มเติม »

ทากทะเล

ทากทะเล (Nudibranch, Sea slug) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกมอลลัสกา เช่นเดียวกับหอย และหมึก จัดอยู่ในชั้นหอยฝาเดี่ยว ในอันดับย่อย Nudibranchia ทากทะเล มีลักษณะเด่น คือ ไม่มีเปลือกห่อหุ้มลำตัว เพราะเปลือกลดรูปจนมีขนาดเล็กคลุมตัวไม่มิด หรือไม่มีเปลือกเลย ทากทะเลส่วนใหญ่มีสีสวยสดงดงาม บางชนิดมีหลายสีบนตัวเดียวกัน และสามารถปรับสีของตัวให้เข้ากับสภาพของแหล่งอาศัย สีที่ฉูดฉาดของทากทะเลทำให้สัตว์อื่นหลีกเลี่ยงที่จะกินเป็นอาหาร เพราะทากทะเลจะสร้างสารเคมีที่เป็นพิษสะสมไว้ตามผิว เพื่อป้องกันตัว บางชนิดมีอวัยวะช่วยหายใจอยู่ทางด้านบนของหัวหรือลำตัว ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นเส้น เป็นกระจุก หรือเป็นแผ่น หรือคล้ายเขา และเป็นสัตว์ที่ไม่มีตาสำหรับการมองเห็น ส่วนมากอาศัยอยู่ในแนวปะการัง และบริเวณใกล้เคียง กินอาหารพวกสาหร่าย, ฟองน้ำ, ดอกไม้ทะเล, ปะการังอ่อน, กัลปังหา และเพรียงหัวหอม ทั่วโลกพบประมาณ 2,000 ชนิด ในน่านน้ำไทยสำรวจพบประมาณ 100 ชนิด เช่น ทากเปลือย เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และทากทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ทาร์โบซอรัส

ทาร์โบซอรัส บาร์ทา เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อดุร้ายมากเหมือนไทรันโนซอรัส เป็นบรรพบุรุษของ ไทรันโนซอรัส พบได้ในเอเชีย มองโกเลีย และจีน ความยาวประมาณ 10-12 เมตร หนัก 5 - 7 ตัน สูงจากหัวถึงพื้น 3.3 เมตร อยู่ยุคครีเทเชียส 85 - 65 ล้านปีก่อน มันมีลักษณะไม่แตกต่างกับไทรันโนซอรัส เร็กซ์ เลย บางคนจึงเรียกมันว่าไทรันโนซอรัส บาร์ทา โดยทาร์โบซอรัส เป็นหนึ่งในบรรพบุรุษของไทรันโนซอรัส โดยเหยื่อของมันก็ไม่ต่างอะไรกับเหยื่อที่ไทแรนโนซอรัส ล่าเป็นอาหารแต่ต่างกันตรงที่ ทาร์โบซอรัส จะล่าเหยื่อที่มีขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง ซึ่งต่างจากทีเร็กซ์ที่จะล่าเหยื่อขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ ซึ่งความแตกต่างของ2นักล่าขนาดใหญ่นี้อยู่กะโหลก เพราะ กะโหลกของทาร์โบซอรัสนั้นบางกกว่ากะโหลกของทีเร็กซ์ ในทวีปเอเชียช่วงที่ทาร์โบซอรัสมีชีวิตอยู่ มันคือนักล่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในช่วงที่มันมีชีวิตอยู่ ภาพเปรียบเทียบระหว่าง กะโหลกของ ทาร์โบซอรัส(A) กับ กะโหลกของทีเร็กซ์(B) หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส.

ใหม่!!: สัตว์และทาร์โบซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ทาร์เซียร์

วีดีโอคลิปทาร์เซียร์ไม่ทราบชนิด ทาร์เซียร์ (tarsier) หรือ มามัก (mamag) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กในอันดับไพรเมตที่วิวัฒนาการมาจากยุคไอโอซีนจนมาถึงยุคปัจจุบัน ที่มีรูปร่างลักษณะไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก มีเพียงวงศ์เดียว คือ Tarsiidae และสกุลเดียวเท่านั้น คือ Tarsius.

ใหม่!!: สัตว์และทาร์เซียร์ · ดูเพิ่มเติม »

ทาร์เซียร์ฟิลิปปิน

ทาร์เซียร์ฟิลิปปิน (Philippine tarsier; เซบัวโน: mawmag; mamag; เดิมเคยใช้ชื่อสกุลว่า Carlito) เป็นสัตว์เลี้ยงด้วยนมขนาดเล็ก จำพวกไพรเมตชนิดหนึ่ง ในกลุ่มทาร์เซียร์ ทาร์เซียร์ฟิลิปปิน เป็นสัตว์ที่พบได้ในหมู่เกาะฟิลิปปิน ได้แก่ เกาะโบฮอล, เกาะมินดาเนา, เกาะเลย์เต และเกาะซามาร์ เป็นต้น ตัวเต็มวัยมีความยาวลำตัวเพียง 10 เซนติเมตรกว่า น้ำหนักเพียง 120 กรัมเท่านั้น จัดเป็นไพรเมตที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง ทาร์เซียร์ฟิลิปปิน อาศัยอยู่ในป่าดิบ ออกหากินในเวลากลางคืน โดยจะกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารเท่านั้น เช่น แมลง เป็นอาหารหลัก รวมถึงสัตว์เลื้อยคลานตัวเล็ก ๆ เช่น จิ้งจก, กิ้งก่าบิน เป็นต้น ทาร์เซียร์ฟิลิปปินโดยปกติจะอาศัยอยู่ตามลำพังหรือเป็นฝูงเล็ก ๆ ในเวลากลางวันจะหลบซ่อนตัวพักผ่อนในโพรงไม้หรือตามซอกไม้ตามต้นไม้ใหญ่ แต่สามารถกระโดดได้อย่างว่องไวเหมือนกบในเวลากลางคืน อันเป็นเวลาหากิน ซึ่งทาร์เซียร์ฟิลิปปินจะร้องส่งเสียงเพื่อเป็นการสื่อสารกันเอง ซึ่งจากการศึกษาพบว่า เป็นสัตว์ที่ส่งเสียงออกมาในย่านความถี่อัลตร้าสูงมากถึง 2,000 เฮิรตซ์ หรือ 20 กิโลเฮิรตซ์ อันเป็นย่านความถี่ที่หูมนุษย์ไม่ได้ยิน แต่โดยปกติแล้วเสียงร้องของทาร์เซียร์ร์ฟิลิปปินส่วนใหญ่มีความถี่อยู่ที่ระดับ 70 เฮิร์ตซ์ โดยมีช่วงต่ำสุดและสูงสุด 67-79 กิโลเฮิรตซ์ นอกจากนี้แล้วยังมีความเป็นไปได้ว่า อาจใช้ระบบเอคโคโลเคชั่นในการหาตำแหน่งของอาหารเหมือนค้างคาวด้วยหรือไม่ เนื่องจากแม้ทาร์เซียร์ฟิลิปปินจะมีดวงตาที่กลมโต แต่ทว่าไม่มีทาพีตัม ลูซิเดี่ยม เหมือนสัตว์หากินตอนกลางคืนจำพวกอื่น ๆ ที่จะช่วยรวบรวมแสงในที่มืดทำให้มองเห็นได้ดียิ่งขึ้น สถานภาพปัจจุบันของทาร์เซียร์ฟิลิปปินอยู่ในภาวะถูกคุกคาม อันเกิดจากการถูกทำลายถิ่นที่อยู่ แต่ปัจจุบันทางการฟิลิปปินส์ได้ทำการอนุรักษ์ และใช้เป็นตัวประชาสัมพันธ์ในเรื่องการท่องเที่ยวThe Real Gremlin, "Nick Baker's Weird Creatures".

ใหม่!!: สัตว์และทาร์เซียร์ฟิลิปปิน · ดูเพิ่มเติม »

ทาลามัส

ทาลามัส (Thalamus) เป็นศูนย์รวมกระแสที่ผ่านเข้าออก และแยกกระแสประสาทไปยังสมองที่เกี่ยวกับประสาทนั้น หรืออาจเรียกว่าเป็นสถานีถ่ายถอดกระแสประสาทเพื่อส่งไปยังจุดต่างๆ ในสมอง และยังทำหน้าที่ในการรับรู้ความเจ็บปวด ทำให้มีการสั่งการ และแสดงออกด้านพฤติกรรมด้านความเจ็บปวด ทาลามัสอยู่เป็นคู่ตั้งอยู่ใจกลางสมองของสัตว์มีกระดูกสันหลังรวมทั้งมนุษย์ด้วย ทาลามัสอยู่ระหว่างเปลือกสมองใหญ่ (Cerebral Cortex) กับสมองส่วนกลาง (Mid brain) ที่ตั้งอยู่ใจกลาง และเป็นศูนย์ศูนย์รวมประสาทสั่งการ มีหน้าที่ส่งผ่านกระแสประสาท ประสาทสัมผัสจำเพาะ(Special Sense)และส่งผ่านไปยัง(Cerebral Cortex)หรือเปลือกสมองใหญ่ เป็นไปตามภาวะปกติของความมีสติ (Conciousness) ในยามหลับและยามตื่น ทาลามัสจะห้อมล้อมรอบๆ เซอด เวนตริเคิล (Third Ventricle) มันเป็นผลผลิตหลักของเอ็มบริโอนิค ไดเอนซีฟาโลน (Cmbryonic Diencephalon) หรือตัวอ่อนของสมองส่วนกลางทาลามัสเป็นโครงสร้างใหญ่สุดของสมองส่วนกลาง ซึ่งเป็นส่วนของสมองที่ตั้งอยู่ระหว่างสมองส่วนกลาง (Mid brain) มีเซนซีฟาโลน และสมองส่วนหน้า เทเลซีฟาโลน (Telecephalon) ในมนุษย์ ครึ่งหนึ่งของทาลามัสแต่ละอันมีรูปร่างเหมือนจุกยางกลมๆคล้ายปลายเทอร์โมมิเตอร์ สามารถบีบและคลายตัวได้.

ใหม่!!: สัตว์และทาลามัส · ดูเพิ่มเติม »

ทาคิน

ทาคิน (Takin) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีกระดูกสันหลัง (Phylum Chordata) ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (Class Mammalia) เป็นสัตว์ประจำชาติของภูฏาน ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงในพื้นที่หนาวเย็น มีหน้าและเขาคล้ายแพะ แต่ว่าไม่มีเครา ตัวใหญ่ประมาณวัว เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัม ทาคินจะกินใบไผ่ หน่อไม้ เป็นอาหารหลัก.

ใหม่!!: สัตว์และทาคิน · ดูเพิ่มเติม »

ทางเดินอาหาร

PAGENAME ทางเดินอาหาร (gut, alimentary canal หรือ alimentary tract) ในทางสัตววิทยา เป็นท่อซึ่งสัตว์ที่มีสมมาตรด้านข้าง (bilateria) ส่งอาหารไปยังอวัยวะที่ทำหน้าที่ย่อยอาหาร ทางเดินอาหารในสัตว์ที่มีสมมาตรด้านข้างขนาดใหญ่มักมีทางออกด้วย คือ ทวารหนัก ซึ่งเป็นช่องทางที่สัตว์ถ่ายของเสียออกมาเป็นของแข็ง ส่วนสัตว์ที่มีสมมาตรด้านข้างขนาดเล็กมักไม่มีทวารหนักและขับของเสียออกด้วยวิธีการอื่น เช่น ทางปาก สัตว์ที่มีทางเดินอาหารถูกจัดเข้าเป็นพวกโปรโตสโตม (protostome) หรือดิวเทอโรสโตม (deuterostome) เพราะทางเดินอาหารวิวัฒนาการสองครั้ง เป็นตัวอย่างหนึ่งของวิวัฒนาการเบนเข้า (convergent evolution) การจำแนกดังกล่าวดูจากพัฒนาการของเอ็มบริโอ สัตว์พวกโปรโตสโตมจะวิวัฒนาปากก่อน ขณะที่ดิวเทอโรสโตมจะวิวัฒนาปากเป็นลำดับที่สอง โปรโตสโตม ได้แก่ พวกสัตว์ขาปล้อง (arthropod) สัตว์ในไฟลัมมอลลัสกา (mollusca) และแอนเนลิดา (annelida) ขณะที่พวกดิวเทอโรสโตม ได้แก่ สัตว์ในไฟลัมเอไคโนดอร์มาทา (echinodermata) และคอร์ดาตา (chordata).

ใหม่!!: สัตว์และทางเดินอาหาร · ดูเพิ่มเติม »

ทาแมนดัว

ทาแมนดัว เป็นตัวกินมดสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tamandua ซึ่งคำว่า tamanduá นี้เป็นภาษาตูเปียนแปลว่า "ตัวกินมด" ทาแมนดัว เป็นตัวกินมดที่มีขนาดกลาง มีความยาวเต็มที่ตั้งแต่ปลายปากจรดหางราว 100 เซนติเมตร หรือ 1 เมตร ทาแมนดัวมีลิ้นที่เรียวยาวสามารถยืดหดเข้าไปในปากได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตวัดเอาแมลงขนาดเล็กกินเป็นอาหาร ทาแมนดัว มีขนปกคลุมตลอดทั้งลำตัวและมีผิวหนังที่หนาเพื่อป้องกันตัวจากการถูกกัดหรือโจมตีโดยแมลงที่เป็นอาหาร แต่ปลายหางของทาแมนดัวนั้นเป็นเกล็ดขนาดเล็ก ๆ ซึ่งปลายหางนั้นสามารถใช้เกาะเกี่ยวกับกิ่งไม้หรือต้นไม้ได้เป็นอย่างดี เมื่อแลมองไกล ๆ จะเหมือนกับว่ามีแขนที่ 5 เนื่องจากทาแมนดัวเป็นตัวกินมดที่หากินและใช้ชีวิตอยู่บนต้นไม้เป็นหลัก มีกรงเล็บตีนหน้าที่แหลมคม ใช้สำหรับขุดคุ้ยหาแมลงกิน และใช้ในการปีนป่ายต้นไม้ ซึ่งทาแมนดัวเมื่ออาศัยหรือเข้าไปหากินในพื้นที่ใด ๆ ลิงหลายชนิดก็จะไม่เข้าใกล้ และจะหนีไป เนื่องจากทาแมนดัวเป็นตัวกินมดที่หากินบนต้นไม้เป็นหลัก ดังนั้นอาหารที่กินส่วนใหญ่จะเป็น มด มากกว่าจะเป็นปลวก ซึ่งเป็นแมลงที่ทำรังบนพื้นดินมากกว่า และถึงแม้ว่าทาแมนดัวจะไม่มีฟัน แต่เมื่อถูกคุกคามหรือถูกจับด้วยมนุษย์ ก็จะหันมากัดด้วยกราม ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาทาแมนดัวต้องสวมเครื่องป้องกันตลอดทั้งแขน นอกจากนี้แล้วยังสามารถที่จะยืนด้วย 2 ขาหลังได้ โดยยกกรงเล็บตีนหน้าขึ้นเพื่อการป้องกันตัว ทาแมนดัว เป็นสัตว์ที่กระจายพันธุ์ในป่าดิบตั้งแต่อเมริกากลาง จนถึงทวีปอเมริกาใต้ เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืนเป็นหลัก แต่ก็สามารถหากินในเวลากลางวันได้ด้วยเช่นกัน โดยปกติเป็นสัตว์ที่พบเห็นตัวได้ยาก เนื่องจากค่อนข้างเก็บตัวและขี้อาย และจากการค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ พบว่า ทาแมนดัวยังใช้กรงเล็บหน้าในการผ่าลูกปาล์มที่เพิ่งสุกแยกออก เพื่อใช้ลิ้นตวัดกินน้ำและเนื้อผลของลูกปาล์มกินเป็นอาหารได้อีกด้วย ซึ่งพฤติกรรมนี้เชื่อว่าเป็นพฤติกรรมที่มาจากการเรียนรู้ หรือสั่งสอนกันมาจากรุ่นต่อรุ่น เพื่อเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม.

ใหม่!!: สัตว์และทาแมนดัว · ดูเพิ่มเติม »

ทีนอนโตซอรัส

ที่นอนโตซอรัส (tenontosaurus) ชื่อของมันมีความหมายว่า กิ้งก่าเอ็นกล้ามเนื้อ ที่ชื่อของมันมีความหมายแบบนี้เพราะมีเส้นเอ็นแข็งๆ ตั้งแต่หลังไปจนถึงหาง พบในยุคครีเทเซียสตอนต้น ฟอสซิลของมันค้นพบที่อเมริกาเหนือและแอฟริกา ขนาด 5 เมตร เวลายืนมันใช้ขาหลัง เวลาเดินมันจะใช้ขาทั้งหมด หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส.

ใหม่!!: สัตว์และทีนอนโตซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ที่อยู่อาศัย

งส่วนของที่อยู่อาศัยของช้างแอฟริกา ที่หลงเหลืออยู่ ที่อยู่อาศัย (Habitat) หมายถึง พื้นที่ทางระบบนิเวศวิทยาหรือสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ พืช หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในสปีชีส์ที่เฉพาะเจาะจงDickinson, C.I. 1963.

ใหม่!!: สัตว์และที่อยู่อาศัย · ดูเพิ่มเติม »

ทีโนฟอรา

ทีโนฟอรา เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังพบตามชายฝั่งทะเล โครงสร้างคล้ายสัตว์ในไฟลัมไนดาเรียที่มีรูปร่างแบบกระดิ่งคว่ำ แต่ที่ต่างไปคือลำตัวเป็นทรงกลม มีด้านปากและด้านตรงข้ามปาก เทนทาเคิลไม่มีเข็มพิษ สืบพันธุ์แบบไม่แยกเพศ ปฏิสนธิภายนอก โดยไข่และสเปิร์มใช้ปากเป็นทางออก อยู่ในน้ำเค็มทั้งหมดว่ายน้ำอย่างอิสระ เคลื่อนที่โดยแผงหวี ได้แก่ หวีวุ้น โดยสัตว์เหล่านี้มีลักษณะ -ลำตัวโปรงใส -เคลื่อนที่โดยอาศัยการพัดโบกของชิเลีย (cilia) -มีเทนตาเคิล 2 เส้น -รอบตัวแบ่งเป็น 8 ส่วน โดยมีแถบชิเลียยาว 8 แถว มีลักษณะคล้ายชี่หวี.

ใหม่!!: สัตว์และทีโนฟอรา · ดูเพิ่มเติม »

ของเล่น

รูบิก ของเล่นลูกบาศก์ ของเล่น คือสิ่งของใด ๆ ที่สามารถนำมาใช้เล่นได้ โดยมากของเล่นมักจะมีความเกี่ยวข้องกับเด็กและสัตว์เลี้ยง การเล่นของเล่นช่วยให้เด็กปรับทัศนคติของชีวิตและสังคมที่พวกเขาอาศัย ของเล่นทำจากวัสดุที่แตกต่างกันเพื่อให้เหมาะกับอายุผู้เล่น สิ่งของหลายอย่างถูกออกแบบมาให้เป็นของเล่น แต่สิ่งของที่ผลิตเพื่อจุดประสงค์อื่นก็สามารถเป็นของเล่นได้ เช่น เด็กเล็กคนหนึ่งอาจหยิบของใช้ในบ้านแล้ว "ขว้าง" ขึ้นบนอากาศเพื่อแสร้งว่าเป็นเครื่องบิน ของเล่นบางชิ้นผลิตออกมาเพื่อเป็นเพียงของสะสม และตั้งใจไว้ตั้งแสดงเฉย ๆ เท่านั้น จุดกำเนิดของของเล่นมีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตุ๊กตาใช้แทนเด็กทารก สัตว์ และทหาร หรืออาจใช้แทนเครื่องมือต่าง ๆ สามารถพบได้ตามแหล่งโบราณคดี โดยหลักแล้ว ของเล่นทำขึ้นสำหรับเด็ก ของเล่น และการละเล่นโดยทั่วไปเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตและการเรียนรู้โลกรอบตัวเรา เด็ก ๆ เล่นของเล่นและการละเล่นเพื่อค้นหาตัวตนของตน ทำให้ร่างกายเติบโตแข็งแรง เรียนรู้เหตุและผล สร้างความสัมพันธ์ และฝึกฝนทักษะที่จำเป็นเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ใช้ของเล่นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในสังคม สอน จดจำและนำบทเรียนจากวัยเด็กมาใช้ ค้นหาตัวตนของตน ฝึกฝนจิตใจและร่างกาย สร้างความสัมพันธ์ ฝึกฝนทักษะ และตกแต่งที่อยู่อาศัย หรืออาจเรียกว.

ใหม่!!: สัตว์และของเล่น · ดูเพิ่มเติม »

ขา

แผนภาพของขาแมลง ขา เป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของสัตว์ที่รองรับน้ำหนักทั้งหมด อยู่ระหว่างข้อเท้าและสะโพก ใช้ในการเคลื่อนที่ ปลายสุดของขามักเป็นโครงสร้างที่พัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงเป็นโครงสร้างอื่นที่รับน้ำหนักของสัตว์บนพื้น (ดู เท้า) รยางค์ล่าง (lower limb) ของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีสองขา (bipedal vertebrate) มักจะเป็นขาของสัตว์นั้นๆ ส่วนรยางค์บน (upper limb) มักจะเป็นแขนหรือปีก จำนวนขาของสัตว์มักเป็นจำนวนคู่ นักอนุกรมวิธานอาจจัดสัตว์ออกเป็นกลุ่มตามจำนวน.

ใหม่!!: สัตว์และขา · ดูเพิ่มเติม »

ขำกลิ้งลิงกับหมา

ตเติ้ลรายการขำกลิ้งลิงกับหมา ภาพไตเติ้ลรายการขำกลิ้งลิงกับหมา ขำกลิ้งลิงกับหมา เป็นรายการโทรทัศน์ของ NTV ในประเทศญี่ปุ่น ที่ออกอากาศในช่วงรายการวาไรตี้เกี่ยวกับสัตว์ที่ชื่อว่า "เท็นไซ! ชิมูระโดบุทสึเอ็น" ในประเทศไทยเริ่มออกอากาศตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2550 ทุกวันเสาร์-วันอาทิตย์ เวลา 21.00 น. (ระยะแรกของรายการ ออกอากาศในเวลา 21.30 น.) ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ปัจจุบันการออกอากาศในช่วงแรกได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2550 รวมความยาว 43 ตอน จากนั้นยังนำมาอากาศซ้ำ ทุกวันพุธถึงศุกร์ และยังขยายเวลาเป็น ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลาประมาณ 17.10-17.35 น. ขำกลิ้งลิงกับหมา เป็นเรื่องของ ปัง (หรือ ปังคุง - แปลว่า เด็กชายปัง) ลูกลิงชิมแปนซีตัวน้อย กับ เจมส์ สุนัขบูลด๊อกคู่หู ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของครูฝึกสอนสัตว์ ชื่อ อัตสึชิ มิยาซาวะ โดยในแต่ละตอนจะมีการฝึกพัฒนาการของสัตว์เลี้ยงทั้งสองโดยมอบหมายภารกิจต่างๆ ให้ทำร่วมกัน เช่น ไปเที่ยวงานวัด ไปเที่ยวสวนสนุก ถ่ายรูป ซื้อของ เก็บเห็ด เป็นต้น รายการนี้นำออกอากาศในหลายประเทศ ในประเทศไทย มีตัวหนังสือพากย์ความคิดของสัตว์ คล้ายหนังสือการ์ตูน แต่ละตอนของรายการ จะมีพิธีกรชาวไทย 2 คน ออกมาดำเนินรายการ คือ เอก ฮิมสกุล (แฟนพันธุ์แท้ ฟุตบอลโลก) และ พุทธชาด พงศ์สุชาติ (ปัจจุบัน ไม่ได้จัดรายการนี้แล้ว)ส่วนผู้ให้เสียงบรรยายในรายการ คือ สัจจะ กาญจน์นิรันดร์ ทางรายการได้มีเว็บไซต์ ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และขำกลิ้งลิงกับหมา · ดูเพิ่มเติม »

ข้อโต้เถียงเรื่องอาหารดัดแปรพันธุกรรม

้อโต้เถียงเรื่องอาหารดัดแปรพันธุกรรม (Genetically modified food controversies) เป็นความขัดแย้งกันในเรื่องการบริโภคอาหารและผลิตภัณฑ์อย่างอื่น ๆ ที่ทำมาจากพืชดัดแปรพันธุกรรม ไม่ใช่จากพืชปลูกโดยวิธีตามที่เคยทำมาก่อน (คือแบบธรรมดา) และในเรื่องการใช้พันธุวิศวกรรมแบบอื่น ๆ ในกระบวนการผลิตอาหาร เป็นความขัดแย้งกันระหว่างผู้บริโภค เกษตรกร บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ องค์กรควบคุมของรัฐ องค์การนอกภาครัฐ และนักวิทยาศาสตร์ ข้อโต้เถียงสำคัญรวมทั้ง.

ใหม่!!: สัตว์และข้อโต้เถียงเรื่องอาหารดัดแปรพันธุกรรม · ดูเพิ่มเติม »

ดราวิโดซอรัส

ราวิโดซอรัส (Dravidosaurus) เป็นไดโนเสาร์สเตโกซอร์ชนิดเดียวที่อาศัยอยู่ในอินเดีย และยังเป็นสเตโกซอร์ชนิดเดียวที่อยู่ในยุคครีเทเซียสเมื่อ 75 ล้านปีก่อน ชื่อของมันมีความว่า"กิ้งก่าแห่งดราวิดานาดู"ตามชื่อสถานที่ค้นพบของมัน ดราวิโดซอรัสมีขนาดเพียง 6 เมตร มันกินพืชและรักสง.

ใหม่!!: สัตว์และดราวิโดซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ดอกไม้ทะเล

อกไม้ทะเล (Sea Anemones) เป็นสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลังหลายชนิดและหลายสกุล ในอันดับ Actiniaria อาศัยอยู่ภายใต้ท้องทะเลและมหาสมุทร ลักษณะของลำตัวที่มีรูปร่างคล้ายถุงรูปทรงกระบอก มีด้านหนึ่งเป็นฐานสำหรับยืด ด้านตรงข้ามเป็นช่องปาก(รูเปิด).

ใหม่!!: สัตว์และดอกไม้ทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ดัค

ัค (Douc, Douc langur; เป็นภาษาเวียดนามหมายถึง "ลิง") เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานรสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Pygathrix อยู่ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) จัดเป็นค่างจำพวกหนึ่ง ที่มีสีสันตามลำตัวสวยงาม โดยเฉพาะหน้าแข้งที่เป็นสีแดงเข้ม พบกระจายพันธุ์ในป่าดิบพรมแดนระหว่างประเทศลาวและเวียดนาม หางมีความยาว มีพฤติกรรมกินใบไม้และดอกไม้เป็นอาหารหลักได้หลากหลายถึง 450 ชนิด และพบได้ในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 200-1,400 เมตร แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด โดยจำแนกตามลักษณะสีขนที่แตกต่างออกไป (ในข้อมูลบางแหล่งจัดให้มีมากถึง 5 ชนิด แต่ปัจจุบันถูกจัดให้อยู่ในสกุล Rhinopithecus และในข้อมูลเก่าจัดให้มีเพียงชนิดเดียวแต่แบ่งเป็นชนิดย่อยของกันและกัน) ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และดัค · ดูเพิ่มเติม »

ดังโงะโมโมทาโร่

ังโงะโมโมทาโร่ เป็นของวิเศษของโดราเอมอน ซึ่งปรากฏอยู่ในการ์ตูนเรื่อง โดราเอมอน มีลักษณะเป็นขนมคิบิดังโงะแบบเดียวกับขนมที่โมโมทาโร่แบ่งให้สัตว์สหายทั้งสามกินในนิทาน ประสิทธิภาพคือเมื่อสัตว์ได้กินเข้าไปแล้วจะเชื่องกับมนุษย์ทันที เหมาะที่จะให้พวกสัตว์ป่าดุร้ายกินเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงจะบอกว่าเป็นขนมที่ทำให้สัตว์เชื่อง จริงๆแล้วมนุษย์ก็สามารถกินได้เหมือนกันเพราะไม่มีผลอะไรต่อร่างกาย จัดเป็น 1 ในของวิเศษที่โดราเอมอนใช้บ่อยมากไม่แพ้ คอปเตอร์ไม้ไผ่ หรือ ประตูทุกหนแห่ง เล.

ใหม่!!: สัตว์และดังโงะโมโมทาโร่ · ดูเพิ่มเติม »

ดังเคิลออสเตียส

ังเคิลออสเตียส (Dunkleosteus) เป็นสกุลของปลาในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ปัจจุบันนี้สูญพันธุ์ไปแล้วสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Dunkleosteus (มาจาก "(เดวิด) Dunkle" + osteus (οστεος, ภาษากรีก: กระดูก); หมายถึง "กระดูกของดังเคิล" ซึ่งตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ เดวิด ดังเคิล ภัณฑารักษ์แห่งพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาคลีฟแลนด์) ดังเคิลออสเตียส เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในปลายยุคดีโวเนียน (380-360 ล้านปีมาแล้ว) จัดเป็นปลาที่มีขากรรไกรที่เป็นปลานักล่ากินเนื้อขนาดใหญ่ที่เป็นเสมือนคู่แข่งตัวฉกาจของปลาฉลามในยุคต้นของการวิวัฒนาการเลยทีเดียว ดังเคิลออสเตียส ถือเป็นสกุลของปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่อยู่ในอันดับ Arthrodira รูปลักษณ์ภายนอกของปลาสกุลนี้แลดูดุดันน่ากลัวมาก ที่เห็นเด่นชัดสุดคงเป็นแผ่นขากรรไกรแข็งแรง ยืดหยุ่นได้ดี ไม่มีฟันแต่ที่ขอบปากมีลักษณะแหลมคล้ายเขี้ยวทั้งด้านบนและล่าง ทำให้เป็นเหมือนจะงอยปากไว้งับเหยื่อโดยไม่ต้องใช้ฟัน ในขณะที่มีลำตัวตัวยาว 3-9 เมตร และหนักได้ถึง 3.6-4 ตัน และมีโครงสร้างประกอบด้วยเกล็ดอย่างหนาและแข็งเสมือนชุดเกราะ มีทั้งหมด 7 ชนิด และเป็นชนิดที่เพิ่งได้รับการอนุกรมวิธานไปเมื่อปี ค.ศ. 2010 2 ชนิด (ดูในตาราง) ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์พบฟอสซิลจำนวนมากของดังเคิลออสเตียสในทวีปอเมริกาเหนือ, โปแลนด์, เบลเยียม และโมร็อกโก แต่มักเป็นฟอสซิลส่วนหัว ทำให้ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าท่อนล่างของลำตัวเป็นอย่างไร จากโครงสร้างเสมือนเกราะแข็งหนักของดังเคิลออสเตียสทำให้เชื่อว่าเป็นปลาที่ว่ายน้ำได้ไม่คล่องแคล่วว่องไวเหมือนปลาชนิดอื่น และชอบอาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่งมากกว่า นักวิทยาศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์ฟิล์ด มิวเซียม และมหาวิทยาลัยชิคาโก ศึกษาโครงสร้างขากรรไกรของดังเคิลออสเตียสแล้วมีความเห็นว่าต้องเป็นปลาที่มีพลังในการกัดมหาศาลเหนือกว่าปลาชนิดอื่นใด และเหนือกว่าปลาฉลามทั่วไป และแม้แต่ปลาฉลามขาว โดยมีแรงกดทับสูงถึง 8,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ซึ่งความร้ายกาจอันนี้จึงมักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับไดโนเสาร์กินเนื้อเช่น ไทรันโนซอรัส และจระเข้สมัยใหม่เสียมากกว่า นอกจากนี้ยังอ้าปากได้เร็วมากในอัตรา 1 ใน 50 ส่วนของวินาที ซึ่งทำให้มีพลังมหาศาลในการดูดเหยื่อเข้าไป ซึ่งลักษณะพิเศษเช่นนี้นี้ยังพบได้ในปลากระดูกแข็งสมัยใหม่ที่มีพัฒนาการก้าวหน้าโดยส่วนใหญ่ แต่ปลาในอันดับ Arthrodira นี้มีชีวิตอยู่บนโลกสั้นมาก กล่าวคือ อยู่ได้เพียงประมาณ 50 ล้านปีก็สูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็วในช่วงปลายยุคดีโวเนียน โดยปัจจุบันตามพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาต่าง ๆ ยังมีซากฟอสซิลดังเคิลออสเตียสเก็บแสดงอยู่ โดยที่ที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาคลีฟแลนด์ในสหรัฐอเมริกา และพิพิธภัณฑ์ควีนส์แลนด์ในออสเตรเลี.

ใหม่!!: สัตว์และดังเคิลออสเตียส · ดูเพิ่มเติม »

ดาว

ว อาจหมายถึง; วัตถุท้องฟ้.

ใหม่!!: สัตว์และดาว · ดูเพิ่มเติม »

ดาวมงกุฎหนาม

วมงกุฎหนาม หรือ ปลาดาวหนาม (Crown-of-thorns starfish) เป็นดาวทะเลชนิดหนึ่ง เป็นดาวทะเลขนาดใหญ่ มีแขนรวมกันทั้งหมด 16-21 แฉก มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 25-30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลเขตอินโด-แปซิฟิก ตามผิวหนังมีหนามยาวคล้ายเม่น ปากอยู่ทางด้านล่าง มีกระเพาะอยู่ด้านนอก ใต้แขนมีขาขนาดเล็ก ๆ คล้าย ๆ กับปุ่มที่หนวดปลาหมึกเป็นจำนวนมากยื่นออกมายึดเกาะพื้น ตรงกลางตัวด้านล่างมีปาก มีหนามแหลมคมปกคลุมที่ตัวทางด้านบน บนหนามมีสารซาโปนินเคลือบอยู่ ซึ่งมีพิษต่อสัตว์หลายชนิด เป็นสัตว์ที่แยกเพศ มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยตัวเมียปล่อยไข่ออกมานอกตัว และตัวผู้ปล่อยสเปอร์มออกมาผสมพันธุ์ ตัวเมียแต่ละตัวมีไข่ประมาณ 12-24 ล้านฟอง ฤดูกาลวางไข่ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ก็มีรายงานว่าดาวมงกุฎหนามที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟ วางไข่ในเดือนธันวาคม และมกราคม ดาวมงกุฎหนามเป็นสัตว์ที่กินปะการังเป็นอาหาร ในทางนิเวศวิทยาถือเป็นสัตว์ที่ควบคุมประชากรปะการังไม่ให้มากจนเกินไป แต่ในหลายพื้นที่ก็มีการแพร่ระบาดจนเกิดเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ที่เกาะกวม แนวปะการังถูกดาวมงกุฎหนามทำลายไปเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร ต่อเดือน บริเวณที่ถูกทำลายไปแล้วปะการังอาจฟื้นตัว ก่อตัวขึ้นใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 10-40 ปี หรือนานกว่านี้ หรือในประเทศญี่ปุ่น ได้ลงทุนกำจัดดาวมงกุฎหนามโดยใช้ทุนไป 600 ล้านเยน กำจัดดาวมงกุฏหนามไป 13 ล้านตัวที่เกาะริวกิว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970-ค.ศ. 1983 แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และจากการศึกษาในระยะหลัง มีการสรุปว่าปริมาณดาวมงกุฎหนามในพื้นที่ 1 เฮกตาร์ (10,000 ตารางเมตร) หากมีจำนวนเกิน 10 ตัว ก็ถือว่าอยู่ในระดับระบาดแล้ว ถ้าเกิน 30 ตัว ถือว่าระบาดรุนแรงมาก เมื่อดาวมงกุฎหนามระบาด ความเสียหายที่เกิดขึ้นในแนวปะการังจะแผ่เป็นบริเวณกว้างกว่าที่จะเกิดจากสาเหตุการทำลายโดยปัจจัยอื่น ๆ เพราะดาวมงกุฎหนามสามารถคืบคลานกินปะการังได้ทุกซอกทุกมุม แต่ดาวมงกุฎหนามเองก็มีศัตรูตามธรรมชาติ คือ หอยสังข์แตร (Charonia tritonis) ที่กินดาวมงกุฎหนามเป็นอาหาร ถือเป็นสัตว์ที่เป็นตัวควบคุมมิให้ปริมาณดาวมงกุฏหนามมีปริมาณมากเกินไปด้วย รวมถึงปูขนาดเล็กบางชนิดหนึ่งที่ซ่อนตัวในปะการัง ใช้ก้ามในการต่อสู้กับดาวมงกุฎหมายมิให้มากินปะการังอันเป็นที่หลบอาศัยด้วย แต่ก็ทำได้เพียงแค่ขับไล่ให้ออกไปเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และดาวมงกุฎหนาม · ดูเพิ่มเติม »

ดาวทรายหนาม

วทรายหนาม (Comb seastar, Sand sifting starfish) เป็นดาวทะเลชนิดหนึ่ง มีรูปร่างเป็นห้าแฉกหรือรูปดาว เหมือนดาวทะเลทั่วไป มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร อาศัยอยู่ตามพื้นทรายตามชายฝั่งทั่วไปในเขตอินโด-แปซิฟิก เพื่อหากินสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นอาหาร เช่น หนอนตัวแบน, หนอนท่อหรือลูกกุ้ง, ลูกปูขนาดเล็กหรือเคย และสาหร่าย ในบางครั้งเมื่อน้ำลดแล้ว จะพบดาวทะเลชนิดนี้ติดอยู่บนหาดทรายหรือแอ่งน้ำบนโขดหิน เช่นเดียวกับดาวทราย (A. indica) พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทะเลแดง, ทะเลญี่ปุ่น, ฮาวาย จนถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เป็นดาวทะเลอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง โดยคำว่า polyacanthus ที่ใช้เป็นชื่อชนิดนั้น มาจากภาษาละตินที่หมายถึง "มีหนามจำนวนมาก".

ใหม่!!: สัตว์และดาวทรายหนาม · ดูเพิ่มเติม »

ดาวทะเล

วทะเล หรือ ปลาดาว เป็นสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลัง ที่อยู่ในชั้น Asteroidea ลักษณะทั่วไป มีลำตัวแยกเป็นห้าแฉกคล้ายรูปดาวเรียกว่า แขน ส่วนกลาง มีลักษณะเป็นจานกลม ด้านหลังมีตุ่มหินปูน ขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วไป มีปากอยู่ด้านล่างบริเวณ จุดกึ่งกลางของ ลำตัว ใต้แขนแต่ละข้างมีหนวดสั้น ๆ เรียงตามส่วนยาว ของแขนเป็นคู่ ๆ มีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อที่เหนียวและแข็งแรงเรียกว่า โปเดีย ใช้สำหรับยึดเกาะกับเคลื่อนที่ มีสีต่าง ๆ ออกไป ทั้ง ขาว, ชมพู, แดง, ดำ, ม่วง หรือน้ำเงิน เป็นต้น พบอยู่ตามชายฝั่งทะเล โขดหิน และบางส่วนอาจพบได้ถึงพื้นทะเลลึก กินหอยสองฝา โดยเฉพาะ หอยนางรม, กุ้ง, ปู หนอน และ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่น ๆ เช่น ฟองน้ำหรือปะการัง เป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และดาวทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ดาวทะเลพระราชา

วทะเลพระราชา เป็นดาวทะเลสายพันธุ์หนึ่ง พบได้ในแถบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ดาวทะเลพระราชาอาศัยอยู่ในทะเลที่มีความลึกตั้งแต่ 0 - 200 เมตร ซึ่งบริเวณที่พบพวกมันได้มากที่สุด คือบริเวณไหล่ทวีป ที่มีความลึกระดับ 20–30 เมตร.

ใหม่!!: สัตว์และดาวทะเลพระราชา · ดูเพิ่มเติม »

ดาวทะเลปุ่มแดง

วทะเลปุ่มแดง (Red-knobbed starfish, Red spine star, African sea star, African red knob sea star, Linck's starfish) http://www.peteducation.com/article.cfm?c.

ใหม่!!: สัตว์และดาวทะเลปุ่มแดง · ดูเพิ่มเติม »

ดาวตะกร้า

วตะกร้า (Basket star) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเลจำพวกหนึ่ง จัดอยู่ในอันดับย่อย Euryalina เป็นสัตว์ทะเลที่มีวิวัฒนาการน้อยที่สุดในกลุ่มสัตว์ไฟลัมเอไคโนดอร์มาทา (Echinodermata) โดยถือกำเนิดมาจากยุคคอร์บอนิฟอรัส มีลักษณะคล้ายดาวเปราะ ทั่วไปอาศัยอยู่ตามพื้นทะเล มีแขนหลายแขน มีอายุยืนเต็มที่ได้ถึง 35 ปี และมีน้ำหนัก 5 กิโลกรัม เหมือนกับสัตว์จำพวกอื่นในไฟลัมเดียวกัน คือ แลกเปลี่ยนแก๊สและระบบไหลเวียนโลหิตตามท่อลำเลียง เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไฟลัมเอไคโนดอร์มาทา ซึ่งชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ Gorgonocephalus stimpsoni มีความยาวได้ถึง 70 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางลำตัว 14 เซนติเมตร แบ่งออกได้เป็น 4 วงศ์ คือ.

ใหม่!!: สัตว์และดาวตะกร้า · ดูเพิ่มเติม »

ดาวเปราะ

thumb โอฟิยูรอยด์ (Ophiuroidea) เป็นชั้นหนึ่งในไฟลัมเอไคโนดอร์มาทา ชนิดที่รู้จักกันโดยทั่วไปคือดาวเปราะและดาวตะกร้า เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยตามซอกหิน ปะการัง หลบซ่อนตัวตอนกลางวัน ออกหากินตอนกลางคืน ลำตัวเป็นแผ่นกลม แขนยื่นออกไป 5 แขน แบ่งเป็นข้อ ๆ เปราะและหักง่าย อาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็ก หอย และซากสัตว์ มีเบอร์ซา (bursa) ใช้ในการขับถ่ายของเสียและแลกเปลี่ยนก๊าซ ปฏิสนธิภายนอก ระยะตัวอ่อนไม่ยึดติดกับวัตถุใต้น้ำ หมวดหมู่:เอไคโนดอร์มาทา.

ใหม่!!: สัตว์และดาวเปราะ · ดูเพิ่มเติม »

ดิก-ดิก

ก-ดิก (Dik-dik) เป็นแอนทิโลปขนาดเล็ก ในสกุล Madoqua พบในทวีปแอฟริกา แถบภูมิภาคแอฟริกาใต้และตะวันออก มีน้ำหนักตัวประมาณ 4.5–5 กิโลกรัม ความสูงตั้งแต่ปลายกีบเท้าจนถึงหัวไหล่ 35–40 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 56 เซนติเมตร ความยางหาง 5 เซนติเมตร อายุโดยเฉลี่ย 10 ปี ดิก-ดิก ตัวผู้เท่านั้นที่จะมีเขา ลักษณะเขาแหลมสั้น ความยาวประมาณ 3–7.5 เซนติเมตร เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นพุ่มไม้ที่เป็นหนามแหลมจำพวกอะเคเซียเชื่อมต่อกับทุ่งหญ้าสะวันนา เพื่อป้องกันตัวเองจากสัตว์นักล่า โดยต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ดิก-ดิก เป็นสัตว์กินพืช โดยอาหารได้แก่ ใบไม้, หน่อไม้, พืชสมุนไพรต่าง ๆ, ดอกไม้, ผลไม้ และเมล็ดพืชต่าง ๆ และตกเป็นอาหารของสัตว์ขนาดใหญ่กว่า เช่น ไฮยีนา, สิงโต, แมวป่า, อินทรีและเหยี่ยวขนาดใหญ่ ตลอดจนงูเหลือม และตะกว.

ใหม่!!: สัตว์และดิก-ดิก · ดูเพิ่มเติม »

ดิอะเมซิ่งเรซ 12

อะเมซิ่ง เรซ 12 (The Amazing Race 12) เป็นฤดูกาลที่ 12 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส สำหรับรายการนี้เริ่มออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 โดยแทนที่รายการ Viva Laughlin ที่ถูกยกเลิก และตอนสุดท้ายออกอากาศเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2551 ณ เวลา 20 นาฬิกา ตามเวลามาตรฐานตะวันออก และเวลามาตรฐานแปซิฟิกของสหรัฐอเมริก.

ใหม่!!: สัตว์และดิอะเมซิ่งเรซ 12 · ดูเพิ่มเติม »

ดิอะเมซิ่งเรซ 15

อะเมซิ่ง เรซ 15 (The Amazing Race 15) เป็นฤดูกาลที่ 15 ของรายการ ดิ อะเมซิ่ง เรซ ซึ่งเป็นเกมโชว์ประเภทเรียลลิตี้โชว์ระดับรางวัลเอ็มมี 8 สมัยซ้อนทางโทรทัศน์ รายการนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเป็นทีมๆ ละ 2 คนซึ่งรู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำการแข่งขันโดยเดินทางรอบโลก โดยทีมที่ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกมส์โชว์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศในสหรัฐอเมริกาทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ซึ่งฤดูกาลนี้จะเริ่มฉายในวันที่ 28 กันยายน..

ใหม่!!: สัตว์และดิอะเมซิ่งเรซ 15 · ดูเพิ่มเติม »

ดีเอ็นเอ

กลียวคู่ดีเอ็นเอ กรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก (deoxyribonucleic acid) หรือย่อเป็น ดีเอ็นเอ เป็นกรดนิวคลีอิกที่มีคำสั่งพันธุกรรมซึ่งถูกใช้ในพัฒนาการและการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเท่าที่ทราบ (ยกเว้นอาร์เอ็นเอไวรัส) ส่วนของดีเอ็นเอซึ่งบรรจุข้อมูลพันธุกรรมนี้เรียกว่า ยีน ทำนองเดียวกัน ลำดับดีเอ็นเออื่น ๆ มีความมุ่งหมายด้านโครงสร้าง หรือเกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้ข้อมูลพันธุกรรมนี้ ดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอและโปรตีนเป็นหนึ่งในสามมหโมเลกุลหลักที่สำคัญในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ทราบ ดีเอ็นเอประกอบด้วยพอลิเมอร์สองสายยาวประกอบจากหน่วยย่อย เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ โดยมีแกนกลางเป็นน้ำตาลและหมู่ฟอสเฟตเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเอสเทอร์ ทั้งสองสายนี้จัดเรียงในทิศทางตรงกันข้าม จึงเป็น antiparallel น้ำตาลแต่ละตัวมีโมเลกุลหนึ่งในสี่ชนิดเกาะอยู่ คือ นิวคลีโอเบส หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เบส ลำดับของนิวคลีโอเบสทั้งสี่ชนิดนี้ตามแกนกลางที่เข้ารหัสข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลนี้อ่านโดยใช้รหัสพันธุกรรม ซึ่งกำหนดลำดับของกรดอะมิโนในโปรตีน รหัสนี้ถูกอ่านโดยการคัดลอกดีเอ็นเอเป็นกรดนิวคลีอิกอาร์เอ็นเอที่เกี่ยวข้องในขบวนการที่เรียกว่า การถอดรหัส ดีเอ็นเอภายในเซลล์มีการจัดระเบียบเป็นโครงสร้างยาว เรียกว่า โครโมโซม ระหว่างการแบ่งเซลล์ โครโมโซมเหล่านี้ถูกคัดลอกในขบวนการการถ่ายแบบดีเอ็นเอ ทำให้แต่ละเซลล์มีชุดโครโมโซมที่สมบูรณ์ของตัวเอง สิ่งมีชีวิตยูคาริโอต (สัตว์ พืช ฟังไจและโพรทิสต์) เก็บดีเอ็นเอส่วนมากไว้ในนิวเคลียส และดีเอ็นเอบางส่วนอยู่ในออร์แกเนลล์ เช่น ไมโทคอนเดรียและคลอโรพลาสต์ ในทางตรงข้าม โปรคาริโอต (แบคทีเรียและอาร์เคีย) เก็บดีเอ็นเอไว้เฉพาะในไซโทพลาสซึม ในโครโมโซม โปรตีนโครมาติน เช่น ฮิสโตนบีบอัดและจัดรูปแบบของดีเอ็นเอ โครงสร้างบีบอัดเหล่านี้นำอันตรกิริยาระหว่างดีเอ็นเอกับโปรตีนอื่น ช่วยควบคุมส่วนของดีเอ็นเอที่จะถูกถอดรหั.

ใหม่!!: สัตว์และดีเอ็นเอ · ดูเพิ่มเติม »

ดนตรีไทย

วงมโหรีโบราณเครื่องหก ดนตรีไทย เป็นศิลปะแขนงหนึ่งของไทย ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศต่าง ๆ เช่น อินเดีย, จีน, อินโดนีเซีย และอื่น ๆ เครื่องดนตรีมี 4 ประเภท ดีด สี ตี เป.

ใหม่!!: สัตว์และดนตรีไทย · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงกว่าง

้วงกว่าง หรือ กว่าง หรือ แมงกว่าง หรือ แมงกวาง หรือ แมงคาม เป็นแมลงในวงศ์ย่อย Dynastinae จัดอยู่ในวงศ์ใหญ่ Scarabaeidae ในอันดับแมลงปีกแข็ง (Coleoptera).

ใหม่!!: สัตว์และด้วงกว่าง · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงกว่างชน

้วงกว่างชน หรือ ด้วงกว่างโซ้ง (Siamese rhinoceros beetle, Fighting beetle) อยู่ในวงศ์ Dynastinae ลำตัวมีสีตั้งแต่สีน้ำตาลอมแดงจนถึงเกือบดำ ตัวผู้ที่มีขนาดใหญ่เรียกว่า กว่างโซ้ง หรือ กว่างชน มีเขาที่หลังอกยื่นยาวเป็นจะงอยเรียวไปทางด้านหน้าและโค้งลง ตรงปลายเป็น 2 แฉก กับที่หัวมีเขาเล็กยื่นออกไปเป็นเขาเดี่ยว โค้งขึ้นคล้ายนอแรด แต่ปลายแยกเป็น 2 แฉก บางตัวใต้ท้องอาจมีขนสีเหลืองอ่อนนุ่มคล้ายกำมะหยี่ ในตัวผู้ที่มีขนาดย่อมมีเขาสั้นเรียก กว่างกิ หรือ กว่างแซม ตัวเมียไม่มีเขาเรียก กว่างแม่ หรือ กว่างอีลุ่ม ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 1-2 นิ้ว ขณะที่ตัวเมียจะมีความเล็กกว่า พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชนิดย่อยทั้งหมด 4 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงกว่างชน · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงกว่างญี่ปุ่น

้วงกว่างญี่ปุ่น (Japanese rhinoceros beetle, Japanese horned beetle, Korean horned beetle, カブトムシ, โรมะจิ: Kabutomushi) เป็นแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Allomyrina dichotoma อยู่ในวงศ์ด้วงกว่าง (Dynastinae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Allomyrina นับเป็นด้วงกว่างอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะเด็ก ๆ ชาวญี่ปุ่น ซึ่งสามารถใช้ขวิดต่อสู้กันได้ ด้วงกว่างญี่ปุ่นมีจุดเด่น คือ เขาล่างมีความใหญ่กว่าเขาด้านบน โดยที่ปลายเขาจะมีแขนงแตกออกเป็น 2 แฉกด้วย มีการกระจายพันธุ์ในป่าดิบและป่าเบญจพรรณในทวีปเอเชีย เช่น อนุทวีปอินเดีย และจะพบมากที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, จีนแผ่นดินใหญ่, เกาหลี, ภาคเหนือของเวียดนาม เป็นต้น ในประเทศไทยพบได้ทางภาคเหนือของประเทศ อาทิ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย, อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง เป็นต้น (มีทั้งหมด 7 ชนิดย่อย แตกต่างกันที่ลักษณะของเขา–ดูในตาราง) ตัวผู้มีขนาดลำตัวใหญ่กว่าตัวเมียอย่างเห็นได้ชัด โดยตัวผู้มีขนาด 38.5-79.5 มิลลิเมตร ขณะที่ตัวเมียมีขนาด 42.2-54.0 มิลลิเมตร และไม่มีเขา หากินในเวลากลางคืนโดยกินยางไม้จากเปลือกของต้นไม้ใหญ่ในป่า ชอบเล่นไฟ แต่การต่อสู้กันของด้วงกว่างญี่ปุ่นจะแตกต่างไปจากด้วงกว่างชนิดอื่น ๆ คือ จะใช้เขาล่างในการงัดกันมากกว่าจะใช้หนีบกัน ผสมพันธุ์และวางไข่ในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางระบบนิเวศ คือ มีมูลสัตว์และซากไม้ผุผสมอยู่ ใช้เวลาฟักเป็นตัวหนอนราว 1 เดือน จากระยะตัวหนอนใช้เวลา 6-8 เดือนจึงจะเข้าสู่ช่วงดักแด้ซึ่งจะมีช่วงอายุราว 19-28 วัน จึงจะเป็นตัวเต็มวัยออกมาจากดิน ซึ่งตัวเต็มวัยมีอายุราว 2-3 เดือนเท่านั้น รวมช่วงชีวิตแล้วทั้งหมดประมาณ 1 ปี นับได้ว่าใกล้เคียงกับด้วงกว่างโซ้ง (Xylotrupes gideon) ซึ่งเป็นด้วงกว่างชนิดที่พบได้มากที่สุดในประเทศไทย โดยเมื่อตัวเต็มวัยจะปริตัวออกจากเปลือกดักแด้ ช่องดักแด้ในดินมักจะอยู่ในแนวตั้งเพื่อมิให้ไปกดทับปีกที่จะกางออก ซึ่งต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าปีกจะแข็งและสีของลำตัวจะเข้มเหมือนตัวเต็มวัยที่โตเต็มที่ ในช่วงฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่น (ราวกลางเดือนมิถุนายน-กันยายน) จะตรงกับด้วงกว่างญี่ปุ่นเป็นตัวเต็มวัยพอดี บางท้องที่ เช่น ทาซากิ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราว 130 กิโลเมตร จากกรุงโตเกียว ถึงกับมีเทศกาลของด้วงกว่างชนิดนี้ โดยราคาซื้อขายมีตั้งแต่ 500-28,000 เยน (190-10,000 บาท) ด้วงกว่างญี่ปุ่นเป็นแมลงปีกแข็งที่เป็นนิยมอย่างมากในวัฒนธรรมร่วมสมัยของญี่ปุ่นหลายประการ อาทิ อะนิเมะเรื่อง มูชิคิง ตำนานผู้พิทักษ์ป่า (Mushiking: Battle of the Beetles, 甲虫王者ムシキング) เป็นต้น และถูกอ้างอิงถึงในอีกหลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งในภาษาญี่ปุ่น ด้วงกว่างญี่ปุ่นจะถูกเรียกว่า "คาบูโตะมูชิ" ซึ่งคำว่า "คาบูโตะ" (甲虫) หมายถึง หมวกเกราะอันเป็นส่วนหนึ่งของชุดเกราะญี่ปุ่นแบบโบราณ.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงกว่างญี่ปุ่น · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงกว่างสามเขาจันทร์

้วงกว่างสามเขาจันทร์ หรือ ด้วงกว่างสามเขาคอเคซัส (Giant rhinoceros beetle) เป็นด้วงกว่างสามเขาสีดำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตัวที่ใหญ่ที่สุดพบเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แมลงของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน มีขนาดลำตัวยาวถึง 120 มิลลิเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงกว่างสามเขาจันทร์ · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงกว่างแอตลัส

้วงกว่างแอตลัส หรือ ด้วงกว่างสามเขาเขาใหญ่ (Atlas beetle) เป็นด้วงกว่างที่อยู่ในสกุลด้วงกว่างสามเขาชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chalcosoma atlas มีลักษณะคล้ายกับด้วงกว่างสามเขาชนิดอื่น ๆ แต่ตัวเมียซึ่งไม่มีเขา มีปีกนอกที่เป็นปีกแข็งค่อนข้างหยาบและไม่มีขนเป็นสีน้ำตาลเหมือนกำมะหยี่เหมือนด้วงกว่างสามเขาคอเคซัส (C. caucasus) ส่วนเขาที่สันคอหลังอกก็สั้นด้วยเช่นกัน ขณะที่ตัวผู้เขาหน้าจะโค้งเรียวตั้งขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่แตกเป็นฟันในขอบในเหมือนด้วงกว่างสามเขาจันทร์ ในขณะที่ตัวผู้ที่มีเขาขนาดเล็กจะแตกแขนงตรงปลายออกเป็นสามแฉก และขนาดตัวก็เล็กกว่าด้วย โดยจะมีขนาดประมาณ 20-130 มิลลิเมตร ขณะที่เป็นระยะตัวหนอนตามลำตัวจะมีขนอ่อนปกคลุม ไข่มีลักษณะกลมรีสีขาว ในประเทศไทยพบกระจายพันธุ์ทับซ้อนกับด้วงกว่างสามเขาจันทร์ และจะพบได้มากกว่าด้วย ขณะในต่างประเทศจะพบได้ตั้งแต่ภาคใต้ของจีน, อนุทวีปอินเดีย ไปจนถึงหมู่เกาะต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเหมือนด้วงกว่างชนิดอื่น ๆ และสามารถเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว มีชื่อเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และมีชื่อติดอยู่ในบัญชีรายชื่อหมายเลข 2 (Appendix II) ตามประกาศของไซเต.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงกว่างแอตลัส · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงกว่างเฮอร์คิวลีส

้วงกว่างเฮอร์คิวลีส เป็นด้วงกว่างที่มีความยาวและความใหญ่ที่สุดในโลก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dynastes hercules อยู่ในวงศ์ Scarabaeidae พบกระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้นตั้งแต่ภูมิภาคอเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้ นับเป็นด้วงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุล Dynastes ที่มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 ชนิด เป็นด้วงที่มีความแตกต่างระหว่างตัวผู้กับตัวเมียมาก ตัวผู้มีเขายาว และมีความยาวตั้งแต่ปลายเขาจรดลำตัว 45-178 มิลลิเมตร ขณะที่ตัวเมียไม่มีเขา และมีความยาวเพียงครึ่งหนึ่งของตัวผู้ คือ 50-80 มิลลิเมตร ด้วงกว่างเฮอร์คิวลีส มีชนิดย่อยทั้งหมด 13 ชนิด โดยชนิดที่มีความยาวที่สุด คือ D. h. hercules พบในเฟรนซ์ กัวดาลูเป้และดอมินีกา ที่ตัวผู้ยาวได้ถึง 178 มิลลิเมตร และมีบันทึกไว้ว่ายาวที่สุดคือ 190 มิลลิเมตร ตัวหนอนกินซากผุของต้นไม้เป็นอาหาร และมีระยะการเป็นตัวหนอนยาวนานถึง 16 เดือน ด้วงกว่างเฮอร์คิวลีสนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในต่างประเทศมาอย่างยาวนาน เช่นที่ ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ได้รับความนิยมโดยเฉพาะในหมู่เด็ก ๆ สำหรับในประเทศไทย ผู้ที่จะเลี้ยงยังต้องนำสั่งเข้ามาจากต่างประเทศแต่ในกลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 สามารถเพาะขยายพันธุ์เป็นผลสำเร็จครั้งแรกที่สวนแมลงสยาม ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงกว่างเฮอร์คิวลีส · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงกุหลาบ

ด้วงกุหลาบ เป็นด้วงขนาดเล็ก ที่ชอบบุกกัดกิน ดอกกุหลาบ พวกใบปาล์มเล็กๆ โดยเฉพาะในที่ดินที่เพิ่งบุกเบิกใหม่ๆ ถ้าหนักมากจะทำให้ชะงักการเจริญเติบโตได้ กระจายตัวในเดือนต่างๆและฤดูกาลต่างๆ พบได้มากในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนเมษายน พบในดินที่เพิ่งมีการบุกเบิกใหม่ๆเพื่อการทำปาล์มน้ำมัน และเกิดกับปาล์มในระยะแรกปลูกเท่านั้น ป้องกันและกำจัดได้โดยใช้สารฆ่าแมลงประเภท caพ่นทุก 7-10 วัน ในตอนเย็นทั้งใบและบริเวณโคนต้นrbaryI (Sevin 85% WP) อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หมวดหมู่:แมลง.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงกุหลาบ · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงยีราฟ

หมวดหมู่:ด้วง.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงยีราฟ · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงหมัดผัก

หมวดหมู่:ด้วง.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงหมัดผัก · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงงวง

หมวดหมู่:ด้วง หมวดหมู่:ด้วงงวง.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงงวง · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงงวงมะพร้าว

้วงงวงมะพร้าว หรือ ด้วงสาคู หรือ ด้วงลาน หรือ แมงหวัง ในภาษาใต้ (Red palm weevil, Red-stripes palm weevil, Asian palm weevil, Sago palm weevil) เป็นด้วงงวงชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhynchophorus ferrugineus จัดว่าเป็นด้วงงวงขนาดกลาง ตัวเต็มวัย ปีกมีสีน้ำตาลดำ อกมีสีน้ำตาลและมีจุดสีดำ มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 25-28 มิลลิเมตร ทั้งตัวผู้และตัวเมียมีขนาดและลักษณะภายนอกคล้ายคลึงกัน ต่างกันที่ตัวผู้มีขนที่ด้านบนของงวงใกล้ส่วนปลาย ตัวหนอนมีสีเหลืองปนน้ำตาล ดักแด้เป็นปลอกทำด้วยเศษชิ้นส่วนจากพืชที่กินเป็นอาหาร โดยด้วงงวงชนิดนี้นับเป็นแมลงศัตรูพืชที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะพืชจำพวกปาล์ม เช่น มะพร้าวหรือสาคู หรือลาน ในประเทศไทยพบมากที่ภาคใต้ ตัวหนอนจะอาศัยและกัดกินบริเวณยอดอ่อน ตัวเต็มวัยจะเกาะกินเนื้อเยื่อด้านในของลำต้นลึกจนเป็นโพรง ซึ่งอาจทำให้ต้นตายได้ โดยจะบินออกหากินในเวลากลางวัน สามารถบินได้ไกลถึง 900 เมตร และอาจซ้ำกินซ้ำเติมจากที่ด้วงแรดมะพร้าว (Oryctes rhinoceros) ซึ่งเป็นด้วงกว่างกินแล้วด้วย ตัวเมียใช้เวลาวางไข่นาน 5-8 สัปดาห์ ในปริมาณเฉลี่ย 400 ฟอง กระจายพันธุ์อยู่ตั้งแต่อินเดียจนถึงซามัว แต่ปัจจุบันได้แพร่กระจายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นไปในทวีปต่าง ๆ ของโลก ตัวหนอนในชามที่รอการบริโภค แต่ในปัจจุบัน ตัวหนอนของด้วงงวงชนิดนี้กำลังเป็นที่นิยมของการเพาะเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ โดยนิยมบริโภคกัน มีราคาซื้อขายที่สูงถึงกิโลกรัมละ 200-300 บาท โดยระยะจากไข่-หนอน-ดักแด้ใช้เวลา 60 วัน ตัวเต็มวัยมีอายุ 2-3 เดือน.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงงวงมะพร้าว · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงแรดมะพร้าว

ระวังสับสนกับด้วงงวงมะพร้าวหรือด้วงสาคู ดู ด้วงงวงมะพร้าว ด้วงแรดมะพร้าว หรือ ด้วงมะพร้าว (Coconut rhinoceros beetle, Indian rhinoceros beetle, Asian rhinoceros beetle) เป็นด้วงกว่างชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oryctes rhinoceros มีลำตัวสีน้ำตาลแดงเกือบดำ มีขนสีน้ำตาลอ่อนที่ด้านข้างของส่วนหัว อก ขา และด้านล่างของลำตัว ตัวผู้มีเขาคล้ายนอแรดที่ส่วนหัวค่อนข้างยาว ตัวเมียมีลักษณะคล้ายตัวผู้แต่มีเขาสั้นกว่า และที่ส่วนปลายของท้องด้านล่างมีขนเยอะกว่าตัวผู้ และมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ไม่มาก มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 37-45 มิลลิเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในอนุทวีปอินเดียและเอเชียอาคเนย์ โดยด้วงกว่างชนิดนี้ถือเป็นแมลงศัตรูพืชที่สำคัญมากของพืชจำพวกปาล์มและมะพร้าวในทวีปเอเชีย โดยตัวเต็มวัยจะเจาะกินยอดอ่อนในเวลากลางคืนทำให้ยอดอ่อนแตกออกมาเห็นใบหักเสียหาย ส่วนทางมะพร้าวหรือปาล์มที่ตัดทิ้งไว้บนดินภายในสวน ก็เป็นแหล่งเพาะอาศัยของตัวอ่อน โดยหลังจากวางไข่แล้วฟักเป็นตัวหนอนก็จะเจริญเติบโตกัดกินอยู่ด้านล่างหรืออยู่ในดิน ไข่มีทรงกลมมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4 มิลลิเมตร ฟักเป็นตัวในระยะเวลา 7-8 วัน หนอนมีสีขาวนวลมีอายุ 3-4 วัน มีส่วนหัวเป็นสีเหลืองปนน้ำตาล เป็นดักแด้ประมาณ 1 เดือน ตัวเต็มวัยมีอายุประมาณ 2-3 เดือน นับว่าเป็นด้วงกว่างที่มีระยะเวลาเจริญเติบโตเร็วมาก.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงแรดมะพร้าว · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงไฟ

้วงไฟ (Blister beetle).

ใหม่!!: สัตว์และด้วงไฟ · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงเสือ

้วงเสือ จัดอยู่ในอันดับโคลีออปเทอรา วงศ์ซิซินเดลิดี (Cicindelidae) ด้วงเสือมีหลายชนิด มีสีสันฉูดฉาดสะดุดตา บางชนิดมีสีแดง น้ำเงิน เขียว บางชนิดมีสีเหลืองและดำ ดัวงเสือเป็นแมลงนักล่าที่น่ากลัว มันมีเขี้ยวยาวโค้ง นิสัยดุร้าย ขายาว วิ่งได้เร็ว ตัวอ่อนของด้วงเสือก็ดุร้ายไม่แพ้ตัวเต็มวัย ด้วงเสือวางไข่ในดิน ตัวอ่อนที่ฟักออกมาจะขุดโพรงลึกลงไปถึง 60 เซนติเมตร และรอเหยื่ออยู่ในโพรง เมื่อพื้นดินสั่นสะเทือนแม้เพียงเล็กน้อยมันจะรีบพุ่งออกมา และลากเหยื่อลงไปกินในโพรง ด้วงเสือถือเป็นสุดยอดสิ่งมีชีวิตที่มีความเร็วมากที่สุด นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าถ้าด้วงเสือมีขนาดเท่ากับมนุษย์จะวิ่งได้เร็วประมาณ 494 กม./ชม.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงเสือ · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงเจาะเปลือกไม้สน

ด้วงเจาะเปลือกไม้สน เป็นหนึ่งในประมาณ 220 สกุล กับ 6,000 ชนิดของด้วงในวงศ์ย่อย Scolytinae หมวดหมู่:ด้วง.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงเจาะเปลือกไม้สน · ดูเพิ่มเติม »

ด้วงเต่าลาย

้วงเต่าลาย (ladybird beetles, Ladybugs) หรือที่นิยมเรียกกันว่า เต่าทอง จัดเป็นแมลงปีกแข็ง อยู่ในอันดับโคลีออฟเทอรา (Coleoptera) ในวงศ์ Coccinellidae ซึ่งยังแบ่งออกได้เป็นวงศ์ย่อย ๆ อีก 6 วงศ์ (ดูในตาราง) เต่าทองมีรูปร่างโดยรวม คือ จัดเป็นแมลงขนาดเล็กเมื่อเทียบกับแมลงปีกแข็งทั่วไป ตัวป้อม ๆ ลำตัวอ้วนกลม ส่วนใหญ่ที่พบในประเทศไทย มักมีปีกสีแดง ส้ม เหลือง และมักจะแต้มด้วยสีดำเป็นจุด เมื่อหุบปีกเข้าหากันจะจดกับด้านหลังทำให้มองคล้ายหลังเต่า มีหนวดแบบลูกตุ้ม.

ใหม่!!: สัตว์และด้วงเต่าลาย · ดูเพิ่มเติม »

คลิปสปริงเงอร์

ลิปสปริงเงอร์ (Klipspringer) เป็นแอนทิโลปขนาดเล็ก ในกลุ่มแอนทิโลปแคระ หรือแอนทิโลปเล็ก.

ใหม่!!: สัตว์และคลิปสปริงเงอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ควอกกา

วอกกา (quokka) เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่อยู่ในวงศ์ Setonix ซึ่งมีลักษณะเดียวกับสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้อง เช่น จิงโจ้ วอลลาบี (จิงโจ้ขนาดเล็ก) เป็นต้น แต่มีขนาดประมาณแมวบ้าน ควอกกาเป็นสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหารและออกหากินในเวลากลางคืน โดยอาศัยอยู่บนเกาะเล็ก ๆ และบริเวณชายฝั่งของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ระหว่างเมืองเพิร์ทกับเมืองแอลบานี ซึ่งบริเวณนี้ได้รับการกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และควอกกา · ดูเพิ่มเติม »

ควอล

วอล (quoll) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นสัตว์กินเนื้อชนิดหนึ่งอาศัยอยู่บริเวณออสเตรเลียและปาปัวนิวกินี ควอลมีขนาดตั้งแต่ 25–75 เซนติเมตร เมื่อโตเต็มวัย หางมีขนยาวประมาณ 25–30 เซนติเมตร เพศเมียจะมีหัวนม 6–8 หัว และมีถุงท้องในช่วงที่ตั้งครรภ์ ควอลอาศัยอยู่ในป่าและทุ่งร.

ใหม่!!: สัตว์และควอล · ดูเพิ่มเติม »

ควากกา

ม้าลายควากกา (Quagga) เป็นชนิดย่อยของม้าลายธรรมดา (E. quagga) ชนิดหนึ่ง ม้าลายควากกา เป็นม้าลายที่มีลวดลายหรือลักษณะที่จำแนกได้เด่นชัดที่สุดในบรรดาม้าลายทั้งหมด เพราะมีลายเฉพาะบริเวณส่วนหัวไล่ลงมาถึงต้นคอเท่านั้น จากนั้นจะจางลงจนเกือบขาวที่บริเวณขา และขนตามลำตัวเป็นสีน้ำตาลอมแดง ในอดีตม้าลายควากกา อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้ากึ่งแห้งแล้งร่วมกับสัตว์อื่น ๆ ในแอฟริกาใต้ เมื่อชาวเนเธอร์แลนด์เข้ามาตั้งรกรากในแอฟริกาใต้ ชาวบัวร์ได้ล่าสัตว์ชนิดต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ม้าลายควากกามีขนสวยงาม และอ่อนนุ่มกว่าม้าลายชนิดอื่น ๆ จึงกลายเป็นเป้าหมายของนักล่า ม้าลายควากกาถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก เพื่อนำเนื้อมาเป็นอาหาร และใช้หนังเพื่อทำกระเป๋า ม้าลายควากกาตัวสุดท้ายในป่า ถูกยิงตายในปี..

ใหม่!!: สัตว์และควากกา · ดูเพิ่มเติม »

ความหลากหลายทางชีวภาพ

วามหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) หมายถึง การมีสิ่งมีชีวิตน้อยนิด พันธุ์ในระบบนิเวศอันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย ซึ่งมีมากมายและแตกต่างกันทั่วโลก หรือง่ายๆ คือ การที่มีชนิดพันธุ์ (Species) สายพันธุ์ (Genetic) และระบบนิเวศ (Ecosystem.) ที่แตกต่างหลากหลายบนจักรวาล ความหลากหลายทางชีวภาพสามารถพิจารณาได้จากความหลากหลายระหว่างสายพันธุ์ ระหว่างชนิดพันธุ์ และระหว่างระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างสายพันธุ์ ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ ความแตกต่างระหว่างพันธุ์พืชและสัตว์ต่างๆ ที่ใช้ในการเกษตร ความแตกต่างหลากหลายระหว่างสายพันธุ์ ทำให้สามารถเลือกบริโภคข้าวเจ้า หรือข้าวเหนียว ตามที่ต้องการได้ หากไม่มีความหลากหลายของสายพันธุ์ต่างๆ แล้ว อาจจะต้องรับประทานส้มตำปูเค็มกับข้าวจ้าวก็เป็นได้ ความแตกต่างที่มีอยู่ในสายพันธุ์ต่างๆ ยังช่วยให้เกษตรกรสามารถเลือกสายพันธุ์ปศุสัตว์ เพื่อให้เหมาะสมตามความต้องการของตลาดได้ เช่น ไก่พันธุ์เนื้อ ไก่พันธุ์ไข่ดก วัวพันธุ์นม และวัวพันธุ์เนื้อ เป็นต้น ความหลากหลายระหว่างชนิดพันธุ์ สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไปถึงความแตกต่างระหว่างพืชและสัตว์แต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่อยู่ใกล้ตัว เช่น สุนัข แมว จิ้งจก ตุ๊กแก กา นกพิราบ และนกกระจอก เป็นต้น หรือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในป่าเขาลำเนาไพร เช่น เสือ ช้าง กวาง กระจง เก้ง ลิง ชะนี หมี และวัวแดง เป็นต้น พื้นที่ธรรมชาติเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างหลากหลาย แต่ว่ามนุษย์ได้นำเอาสิ่งมีชีวิตมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และอุตสาหกรรม น้อยกว่าร้อยละ 5 ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในความเป็นจริงพบว่ามนุษย์ได้ใช้พืชเป็นอาหารเพียง 3,000 ชนิด จากพืชมีท่อลำเลียง (vascular plant) ที่มีอยู่ทั้งหมดในโลกถึง 320,000 ชนิด ทั้งๆ ที่ประมาณร้อยละ 25 ของพืชที่มีท่อลำเลียงนี้สามารถนำมาบริโภคได้ สำหรับชนิดพันธุ์สัตว์นั้น มนุษย์ได้นำเอาสัตว์เลี้ยงมาเพื่อใช้ประโยชน์เพียง 30 ชนิด จากสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหมดที่มีในโลกประมาณ 50,000 ชนิด (UNEP 1995) ความหลากหลายระหว่างระบบนิเวศเป็นความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งซับซ้อน สามารถเห็นได้จากความแตกต่างระหว่างระบบนิเวศประเภทต่างๆ เช่น ป่าดงดิบ ทุ่งหญ้า ป่าชายเลน ทะเลสาบ บึง หนอง ชายหาด แนวปะการัง ตลอดจนระบบนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น ทุ่งนา อ่างเก็บน้ำ หรือแม้กระทั่งชุมชนเมืองของเราเอง ในระบบนิเวศเหล่านี้ สิ่งมีชีวิตก็ต่างชนิดกัน และมีสภาพการอยู่อาศัยแตกต่างกัน ความแตกต่างหลากหลายระหว่างระบบนิเวศ ทำให้โลกมีถิ่นที่อยู่อาศัยเหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ระบบนิเวศแต่ละประเภทให้ประโยชน์แก่การดำรงชีวิตของมนุษย์แตกต่างกัน หรืออีกนัยหนึ่งให้ 'บริการทางสิ่งแวดล้อม' (environmental service) ต่างกันด้วย อาทิเช่น ป่าไม้ทำหน้าที่ดูดซับน้ำ ไม่ให้เกิดน้ำท่วมและการพังทลายของดิน ส่วนป่าชายเลนทำหน้าที่เก็บตะกอนไม่ให้ไปทบถมจนบริเวณปากอ่าวตื้นเขิน ตลอดจนป้องกันการกัดเซาะบริเวณชายฝั่งจากกระแสลมและคลื่นด้วย เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และความหลากหลายทางชีวภาพ · ดูเพิ่มเติม »

ความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศบราซิล

นกทูแคนดำอกขาว เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นในเขตสะวันนาของบราซิล มีกบลูกศรพิษหลายพันธุ์ ดังเช่น กบพิษลายสีเหลืองตัวนี้ ที่สามารถพบได้ในป่าของประเทศบราซิล ความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศบราซิล ประกอบด้วยสัตว์, เห็ดรา และพืช ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในประเทศนี้ของทวีปอเมริกาใต้ โดยหลักแหล่งของพวกมันมีสภาพเป็นป่าดิบชื้นแอมะซอนถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณหนึ่งในสิบของสปีชีส์ทุกชนิดที่มีอยู่ในโลก นับได้ว่าประเทศบราซิล เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกว่าประเทศใด ๆ ในโลก โดยมีสายพันธุ์พืชซึ่งเป็นที่รู้จักราว 55,000 สปีชีส์, ปลาน้ำจืดราว 3,000 สปีชีส์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอีกกว่า 689 สปีชีส์ ประเทศนี้ยังได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับสามของประเทศที่มีจำนวนสายพันธุ์สัตว์ปีกมากที่สุดถึง 1,832 สปีชีส์ และอยู่ในอันดับสองของประเทศที่มีสายพันธุ์สัตว์เลื้อยคลานมากที่สุดถึง 744 สปีชีส์ ส่วนจำนวนของสายพันธุ์เชื้อรายังไม่ทราบแน่ชัด แต่ก็ถือว่ามีเป็นจำนวนมหาศาลDa Silva, M. and D.W. Minter.

ใหม่!!: สัตว์และความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศบราซิล · ดูเพิ่มเติม »

ความอยากรู้อยากเห็น

ลูกแมวตัวหนึ่งกำลังสำรวจ ความอยากรู้อยากเห็น เป็นอารมณ์อย่างหนึ่งของมนุษย์และสัตว์หลายชนิด ซึ่งส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่อยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติ เช่น การสำรวจ การสืบเสาะ และการเรียนรู้ คำนี้สามารถใช้แทนพฤติกรรมที่เกิดจากอารมณ์ดังกล่าวก็ได้ อารมณ์ที่อยากรู้อยากเห็นทำให้เกิดแรงผลักดันที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จนถือได้ว่าความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรงจูงใจของวิทยาศาสตร์และแขนงวิชาอื่นๆ ในการศึกษาของมนุษ.

ใหม่!!: สัตว์และความอยากรู้อยากเห็น · ดูเพิ่มเติม »

ความเจ็บปวด

วามเจ็บปวด (Pain) เป็นความทุกข์ทางกายที่เกิดเพราะสิ่งเร้าที่รุนแรงหรืออันตราย แต่เพราะมันเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อน ที่เป็นอัตวิสัย การนิยามมันจึงเป็นเรื่องยาก องค์การมาตรฐานสากล International Association for the Study of Pain (IASP) ได้กำหนดนิยามที่ใช้อย่างกว้างขวางว่า "ความเจ็บปวดเป็นประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและทางอารมณ์ ที่สัมพันธ์กับโอกาสหรือการเกิดขึ้นจริง ๆ ของความเสียหายในเนื้อเยื่อ หรือที่บอกโดยใช้คำซึ่งกล่าวถึงความเสียหายเช่นนั้น" Derived from ในการวินิจฉัยทางการแพทย์ ความเจ็บปวดพิจารณาว่าเป็นอาการของโรคที่เป็นเหตุ ความเจ็บปวดปกติจะจูงใจให้บุคคลถอยตัวออกจากสถานการณ์ที่ทำให้เสียหาย ให้ปกป้องรักษาอวัยวะที่บาดเจ็บเมื่อกำลังหาย และให้หลีกเลี่ยงประสบการณ์คล้าย ๆ กันในอนาคต ความเจ็บปวดโดยมากจะหายไปเองเมื่อหมดสิ่งเร้าอันตรายและเมื่อแผล/การบาดเจ็บหายดี แต่ก็อาจคงยืนต่อไปได้ ความเจ็บปวดบางอย่างสามารถเกิดแม้เมื่อไม่มีสิ่งเร้าอันตราย ไม่มีความเสียหาย และไม่มีโรค ในประเทศพัฒนาแล้ว ความเจ็บปวดเป็นเหตุสามัญที่สุดให้คนไข้หาหมอ มันเป็นอาการสามัญที่สุดในโรคต่าง ๆ และสามารถบั่นทอนคุณภาพและความเป็นอยู่ในชีวิตของคนไข้ ยาแก้ปวดธรรมดา ๆ ใช้ได้ในกรณี 20-70% ปัจจัยทางจิตอื่น ๆ รวมทั้งการได้ความช่วยเหลือจากสังคม การสะกดจิต ความตื่นเต้น หรือเครื่องล่อความสนใจต่าง ๆ มีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อความทุกข์เนื่องจากความเจ็บปว.

ใหม่!!: สัตว์และความเจ็บปวด · ดูเพิ่มเติม »

ความเครียด (ชีววิทยา)

วามเครียด ในความหมายทางจิตวิทยาและชีววิทยา เป็นคำยืมจากวิชาฟิสิกส์และวิศวกรรม ใช้ในบริบททางชีววิทยาครั้งแรกในคริสต์ทศวรรษ 1930 ซึ่งในทศวรรษหลังได้กลายมาเป็นคำใช้ทั่วไปในการสนทนา ความเครียดหมายความถึงผลสืบเนื่องจากการที่สิ่งมีชีวิต (ทั้งมนุษย์และสัตว์อื่น) ไม่สามารถตอบสนองอย่างพอเหมาะกับความต้องการทางจิต อารมณ์หรือกายได้อย่างพอเหมาะ ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือสมมติขึ้น สัญญาณของความเครียดอาจเกี่ยวเนื่องกับการรู้ทางอารมณ์ ทางกาย หรือทางพฤติกรรม สัญญาณอื่นมีตั้งแต่การตัดสินใจที่เลว ทัศนคติแง่ลบทั่วไป การวิตกกังวลเกินไป อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย ภาวะกายใจไม่สงบ การไม่สามารถพักผ่อนได้ ความรู้สึกโดดเดี่ยว การปลีกตัวหรือภาวะซึมเศร้า การปวดและความเจ็บปวด ท้องร่วงหรือท้องผูก อาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ เจ็บที่หน้าอก หัวใจเต้นเร็ว กินมากเกินหรือไม่พอ นอนมากเกินหรือไม่พอ การหลีกหนีสังคม การผลัดวันประกันพรุ่งหรือปฏิเสธความรับผิดชอบ การเพิ่มปริมาณบริโภคแอลกอฮอล์ นิโคตินหรือยาเสพติด และพฤติกรรมทางประสาท อย่างการกัดเล็บและการเจ็บที่คอ.

ใหม่!!: สัตว์และความเครียด (ชีววิทยา) · ดูเพิ่มเติม »

ควาย

| name.

ใหม่!!: สัตว์และควาย · ดูเพิ่มเติม »

ควายป่า

วายป่า เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bubalus arnee มีลักษณะคล้ายควายบ้าน (B. bubalis) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ควายป่าแต่มีลำตัวขนาดลำตัวใหญ่กว่า มีนิสัยว่องไวและดุร้ายกว่าควายบ้านมาก สีลำตัวโดยทั่วไปเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลดำ ขาทั้ง 4 สีขาวแก่หรือสีเทาคล้ายใส่ถุงเท้าสีขาว ด้านล่างของลำตัวเป็นลายสีขาวรูปตัววี (V) ควายป่ามีเขาทั้ง 2 เพศ เขามีขนาดใหญ่กว่าควายบ้านมาก วงเขากางออกกว้างโค้งไปทางด้านหลัง ด้านตัดขวางเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายเขาเรียวแหลม ตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่เกือบ 2 เมตร ความยาวหัวและลำตัว 2.40–2.80 เมตร ความยาวหาง 60–85 เซนติเมตร น้ำหนักมากกว่า 1,000 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์จากประเทศเนปาลและอินเดีย ไปสิ้นสุดทางด้านทิศตะวันออกที่ประเทศเวียดนาม ในประเทศไทยในอดีตเคยมีอยู่มากและกระจัดกระจายออกไป โดยพบมากที่บ้านลานควาย หรือบ้านลานกระบือ (ปัจจุบัน คือ อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร) แต่สถานะในปัจจุบันเหลืออยู่แค่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี เท่านั้น โดยจำนวนประชากรที่มีมากที่สุดในธรรมชาติในปัจจุบัน คือ ที่อุทยานแห่งชาติกาจิรังคา ในรัฐอัสสัม ของอินเดีย ประมาณ 1,700 ตัว หากินในเวลาเช้าและเวลาเย็น อาหารได้แก่ พวกใบไม้ หญ้า และหน่อไม้ หลังจากกินอาหารอิ่มแล้ว ควายป่าจะนอนเคี้ยวเอื้องตามพุ่มไม้ หรือนอนแช่ปลักโคลนตอนช่วงกลางวัน ควายป่าจะอยู่ร่วมกันเป็นฝูง ฤดูผสมพันธุ์อยู่ราว ๆ เดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ตกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนาน 10 เดือน ควายป่ามีนิสัยดุร้ายโดยเฉพาะตัวผู้และตัวเมียที่มีลูกอ่อน เมื่อพบศัตรูจะตีวงเข้าป้องกันลูกอ่อนเอาไว้ มีอายุยืนประมาณ 20–25 ปี โดยควายป่ามักตกเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อ โดยเฉพาะเสือโคร่ง ในอินเดีย ควายป่ามักอาศัยอยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกับแรดอินเดีย ซึ่งเป็นสัตว์ดุร้าย แม้จะเป็นสัตว์กินพืชเหมือนกัน แต่ก็มักถูกแรดอินเดียทำร้ายอยู่เสมอ ๆ จนเป็นบาดแผลปรากฏตามร่างกาย สถานภาพในประเทศไทย ปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และควายป่า · ดูเพิ่มเติม »

ควายป่าแอฟริกา

วายป่าแอฟริกา (African buffalo, Cape buffalo) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในวงศ์วัวและควาย (Bovidae) วงศ์ย่อยวัวและควาย (Bovinae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Syncerus ควายป่าแอฟริกามีลักษณะรูปร่างคล้ายกับควายป่า (Bubalus arnee) และควายบ้าน (B. bubalis) ที่พบในทวีปเอเชีย แต่ทว่ามีรูปร่างที่บึกบึนกว่ามาก มีนิสัยว่องไว่และดุร้ายยิ่งกว่างควายป่าเอเชียอย่างมาก และมีส่วนโคนเขาที่ย้อนเข้าหากัน ในตัวผู้จะหนา และโคนเขาชนกัน ขณะที่ตัวเมียจะมีเขาที่เล็กกว่า และโคนเขาไม่ชนกัน ลำตัวมีสีเข้ม กีบเท้ามีลักษณะโค้งกลมขนาดใหญ่ ลำตัวมีความยาว 2.1–3.4 เมตร น้ำหนักมากกว่า 700 กิโลกรัมขึ้นไป มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 22–25 ปี พบกระจายพันธุ์ในแอฟริกาใต้ บริเวณที่เป็นทุ่งหญ้าสะวันน่า และบึงน้ำขนาดใหญ่ทั่วไป กินหญ้าและใบไม้เป็นอาหาร เมื่อโตเต็มวัยมักอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ ชอบที่จะแช่ปลักโคลนเหมือนควายในทวีปเอเชีย โดยมีตัวเมียและลูกเป็นส่วนใหญ่ของฝูง โดยมีตัวผู้ที่มีอายุมากที่สุดเป็นจ่าฝูง มีระยะเวลาตั้งท้องนานประมาณ 340 วัน เมื่อถูกคุกคามจากสัตว์อื่น เช่น สิงโต ทั้งฝูงจะหันบั้นท้ายเข้าชนกัน เพื่อป้องกันลูกควายวัยอ่อนที่ยังป้องกันตัวไม่ได้ ให้อยู่ในวงล้อมป้องกันจากการถูกโจมตี ควายป่าแอฟริกาได้รับความสนใจในเชิงการท่องเที่ยวดูสัตว์ โดยถูกจัดให้เป็น 1 ใน 5 ผู้ยิ่งใหญ่ของสัตว์ป่าแอฟริกา อันประกอบไปด้วย สิงโต, ช้างแอฟริกา, ควายป่า, แรด และเสือดาว.

ใหม่!!: สัตว์และควายป่าแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

คอมมอนบรัชเทลพอสซัม

อมมอนบรัชเทลพอสซัม (common brushtail possum, silver-gray brushtail possum; -มาจากภาษากรีกแปลว่า "ขนฟู" และภาษาละตินแปลว่า "จิ้งจอกน้อย" เดิมเคยใช้ชื่อสกุลว่า Phalangista) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในอันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง จัดว่าเป็นพอสซัมชนิดหนึ่ง มีขนาดลำตัวไล่เลี่ยกับแมวบ้าน มีใบหูชี้แหลมขนาดใหญ่ หน้าแหลม ฟันมีลักษณะคล้ายกับฟันแทะ 4 ซี่ แต่ไม่มีความแหลมคม ขนมีความหนา ฟู และอ่อนนุ่มมาก และมีความหลากหลายของสี ตั้งแต่ สีน้ำตาลทอง, สีน้ำตาล จนถึงสีเทา ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 1.2–4.5 กิโลกรัม ถือได้ว่าใหญ่กว่าตัวเมีย และมีสีเข้มกว่า ตัวเมียมีกระเป๋าหน้าท้องสำหรับเลี้ยงลูกอ่อน ขาหน้ามีนิ้วที่มีเล็บที่มีความแหลมคมมากใช้สำหรับป่ายปีนต้นไม้ ตลอดจนหยิบจับอาหารเข้าปาก ส่วนเท้าหลัง มีนิ้วโป้งที่ไม่มีเล็บ และแยกออกจากอุ้งเท้าไปอยู่อีกข้าง ส่วนหางมีขนฟูเป็นพวงเหมือนแปรง อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ และมีความแข็งแรงมาก ใช้ในการยึดเกาะต้นไม้.

ใหม่!!: สัตว์และคอมมอนบรัชเทลพอสซัม · ดูเพิ่มเติม »

คอมป์ซอกนาทัส

อมป์ซอกนาทัส (Compsognathus) เป็นไดโนเสาร์เทอโรพอด สกุลไดโนเสาร์ที่ตัวเล็กที่สุดในโลก ลำตัวยาวประมาณ 70 เซนติเมตร และมีน้ำหนักเพียง 3 กิโลกรัม ฟอสซิลของมันพบในเหมืองที่ประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ยีงพบในประเทศไทยของเราด้วย พบเศษกระดูก 2 ชิ้นของกระดูกแข้งด้านซ้าย และกระดูกน่องด้านขวา มีความยาวประมาณ 3 เซนติเมตร พบที่หลุมขุดค้นที่ 1 ที่ภูประตูตีหมา อุทยานแห่งชาติภูเวียง อำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น พบอยู่ในเนื้อหินทรายหมวดหินเสาขัว ยุคครีเทเชียสตอนต้น ลักษณะของกระดูกที่พบมีลักษณะใกล้เคียงกับคอมพ์ซอกเนธัส ลองกิเปส มันล่าสัตว์ตัวเล็กอย่างแมลง หรือหนู อาศัยอยู่ปลายยุคจูแรสซิก วิ่งเร็ว เป็นไดโนเสาร์เทอราพอดขนาดเล็ก.

ใหม่!!: สัตว์และคอมป์ซอกนาทัส · ดูเพิ่มเติม »

คอยวูล์ฟ

อยวูล์ฟ (coywolf) เป็นคำที่ใช้เรียกลูกผสมระหว่างไคโยตี (Canis latrans) และหมาป่า (Canis lupus) หรือหมาป่าแดง (Canis lupus rufus) หมาป่าและไคโยตีสามารถให้กำเนิดลูกผสมที่สามารถสืบพันธุ์ได้ ถึงเกิดคำถามที่ว่าหมาป่าทั้ง 2 ชนิดควรแยกออกจากกันเป็นคนละชนิดหรือไม่ มีการทดลองผสมข้ามชนิดในประเทศเยอรมนี ระหว่างพุดเดิลและไคโยตี และหมาป่า, หมาใน ผลที่ได้คือลูกผสมไคโยตีมีโอกาสเป็นหมันสูงขึ้น มีปัญหาการส่งผ่านพันธุ์กรรมทำให้เป็นโรคภัยไข้เจ็บทางพันธุ์กรรมสูงขึ้นหลังจาก 3 รุ่นที่ผสมกันระหว่างลูกผสม ไม่เหมือนกับลูกผสมหมาป่า จึงสามารถสรุปได้ว่าสุนัขบ้านและหมาป่าเป็นสปีชีส์เดียวกันและไคโยตีเป็นชนิดที่แยกออกมา คอยวูล์ฟมีขนาดอยู่ระหว่างกลางของพ่อและแม่ มีขนาดใหญ่กว่าไคโยตีแต่เล็กกว่าหมาป่า จากการศึกษาพบว่าจาก 100 ตัวอย่างของไคโยตีในรัฐเมน มี 22 ตัวที่มีบรรพบุรุษเป็นหมาป่าถึงครึ่งหนึ่งหรือมากกว่าเล็กน้อย และมี 1 ตัวที่เหมือนหมาป่าถึง 89 % มีทฤษฎีที่เสนอว่าไคโยตีตะวันออกที่มีขนาดใหญ่ในประเทศแคนนาดาเป็นลูกผสมของไคโยตีตะวันตกที่มีขนาดตัวเล็กกว่ากับหมาป่าที่พบและจับคู่กันในทศวรรษที่ผ่านเมื่อไคโยตีตะวันตกอพยพไปสู่นิวอิงแลนด์ นักวิทยาศาสตร์บางคนคิดว่าหมาป่าแดงเป็นลูกผสมระหว่างไคโยตีและหมาป่ามากกว่าที่จะเป็นชนิด หลักฐานที่สำคัญคือจากการทดสอบพันธุกรรมแสดงว่าหมาป่าแดงมีรูปแบบของยีนต่างจากหมาป่าและไคโยตีเพียง 5 % การคำนวณระยะห่างทางพันธุกรรมแสดงว่าหมาป่าแดงอยู่ระหว่างกลางของไคโยตีและหมาป่า และมันคล้ายกับลูกผสมหมาป่าและไคโยตีในตอนใต้ของรัฐควิเบกและรัฐมินนิโซตา การวิเคราะห์ไมโทคอนเดรีย DNA แสดงว่าประชากรของหมาป่าแดงมีลักษณะเด่นของไคโยตีในต้นกำเนิด นักวิจัยในทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศแคนนาดากล่าวว่าคอยวูล์ฟกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ คอยวูล์ฟมีลักษณะการล่าเหมือนหมาป่าคือล่าเป็นฝูงมีความก้าวร้าวสามารถล่าเหยื่อขนาดใหญ่อย่างกวางได้ และมีลักษณะของไคโยตีคือไม่กลัวคน และดูเหมือนว่าจะฉลาดกว่าไคโยตี.

ใหม่!!: สัตว์และคอยวูล์ฟ · ดูเพิ่มเติม »

คอลลาเจน

อลลาเจนเกลียวสาม คอลลาเจนเป็นโปรตีนโครงสร้างหลักในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหลายชนิดในสัตว์ คอลลาเจนเป็นองค์ประกอบหลักของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ฉะนั้นจึงเป็นโปรตีนที่พบมากที่สุดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมด้วย โดยคิดเป็น 25% ถึง 35% ของปริมาณโปรตีนทั้งร่างกาย ส่วนใหญ่พบคอลลาเจนในรูปเส้นใยฝอยยืดในเนื้อเยื่อเส้นใย (fibrous tissue) เช่น เอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) เอ็น (ligament) และผิวหนัง ทั้งพบมากในกระจกตา กระดูกอ่อน กระดูก หลอดเลือด ทางเดินอาหารและหมอนกระดูกสันหลัง เซลล์สร้างเส้นใย (fibroblast) เป็นเซลล์ที่สร้างคอลลาเจนมากที่สุด ในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ คอลลาเจนเป็นองค์ประกอบหลักของเยื่อหุ้มใยกล้ามเนื้อ (endomysium) คอลลาเจนประกอบเป็น 1% ถึง 2% ของเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ และเป็น 6% ของน้ำหนักกล้ามเนื้อมีเอ็นที่แข็งแรง เจลาติน ซึ่งใช้ในอาหารและอุตสาหกรรม เป็นคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการสลายด้วยน้ำ (hydrolysis) แบบย้อนกลับไม่ได้.

ใหม่!!: สัตว์และคอลลาเจน · ดูเพิ่มเติม »

คอเลสเตอรอล

อเลสเตอรอล (Cholesterol) เป็นทั้งสารสเตอรอยด์ ลิพิด และแอลกอฮอล์ พบในเยื่อหุ้มเซลล์ของทุกเนื้อเยื้อในร่างกายและถูกขนส่งในกระแสเลือดของสัตว์ คอเลสเตอรอลส่วนใหญ่ไม่ได้มากับอาหารแต่จะถูกสังเคราะห์ขึ้นภายในร่างกาย จะสะสมอยู่มากในเนื้อเยื้อของอวัยวะที่สร้างมันขึ้นมาเช่น ตับ ไขสันหลัง สมอง และผนังหลอดเลือดแดง (atheroma) คอเลสเตอรอลมีบทบาทในกระบวนการทางชีวเคมีมากมาย ในอดีต-ปัจจุบันคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคอเลสเตอรอลเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจหลอดเลือด และภาวะคอเลสเทอรอลสูงในเลือด (Hypercholesterolemia) แต่กลุ่มนักโภชนาการบำบัดบางกลุ่มอ้างว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดโรค และภาวะดังกล่าวนั้น เกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป ส่งผลให้ของเสียของน้ำตาล นั่นก็คือ CO2 (คาร์บอนไดออกไซด์) ทำให้เกิดภาวะเป็นกรดในหลอดเลือด กัดเซาะผนังหลอดเลือดจนเสียหาย ร่างก่ายจึงต้องส่งคอเลสเตอรอลมาซ่อมแซมผนังหลอดเลือดที่เสียหาย ร่างกายใช้คอเลสเตอรอลเป็นสารเบื้องต้นในการสร้างฮอร์โมนเพศทุกชนิด สร้างน้ำดี สร้างสารสเตอรอลที่อยู่ใต้ผิวหนังให้เป็นเป็นวิตามินดี เมื่อโดนแสงแดด คอเลสเตอรอลจะพบมากในไข่แดง เครื่องในสัตว์ และอาหารทะเล ค่อนข้างสูง ร่างกายสามารถสังเคราะห์เองได้แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการ.

ใหม่!!: สัตว์และคอเลสเตอรอล · ดูเพิ่มเติม »

คัพภวิทยา

ตัวอ่อนระยะมอรูลา (Morula), ระยะ 8 เซลล์ '''1''' - มอรูลา (morula), '''2''' - บลาสตูลา (blastula) เอ็มบริโอมนุษย์ อายุครรภ์ 6 สัปดาห์หลังประจำเดือนครั้งสุดท้าย คัพภวิทยา หรือ วิทยาเอ็มบริโอ (Embryology) เป็นการศึกษาการเจริญของเอ็มบริโอ เอ็มบริโอคือขั้นหนึ่งของการเจริญของสิ่งมีชีวิตก่อนคลอดหรือออกจากไข่ หรือในพืชคือในระยะก่อนการงอก (germination) คัพภวิทยาหมายถึงการเจริญของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว (ไซโกต) และมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ หลังจากระยะแยก (cleavage) เซลล์ที่กำลังแบ่งตัว หรือมอรูลา (morula) จะกลายมาเป็นลูกบอลกลวง หรือบลาสตูลา (blastula) ซึ่งมีการเจริญของรูหรือช่องที่ปลายด้านหนึ่ง ในสัตว์ บลาสตูลาจะมีการเจริญแบ่งได้ออกเป็น 2 ทาง ทำให้สามารถแบ่งสัตว์ในอาณาจักรสัตว์ออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกคือหากมีการเจริญของรูในบลาสตูลา (บลาสโตพอร์ (blastopore)) กลายเป็นปากของสัตว์ จะเรียกว่าพวกโพรโตสโตม (protostome) แต่หากรูนั้นเจริญเป็นทวารหนัก จะเรียกว่าพวกดิวเทอโรสโตม (deuterostome) สัตว์พวกโพรโตสโตมได้แก่สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมลง หนอน และพวกหอยกับปลาหมึก ในขณะที่พวกดิวเทอโรสโตมได้แก่สัตว์ที่วิวัฒนาการสูงเช่นสัตว์มีกระดูกสันหลัง (vertebrates) บลาสตูลาจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นโครงสร้างที่เรียกว่า แกสตรูลา (gastrula) '''1''' - บลาสตูลา (blastula), '''2''' - แกสตรูลา (gastrula) และบลาสโตพอร์ (blastopore); '''สีส้ม'''แทนเอ็กโทเดิร์ม, '''สีแดง'''แทนเอนโดเดิร์ม แกสตรูลาและบลาสโตพอร์จะเจริญไปเป็นชั้นต่างๆ 3 ชั้น (germ layers) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอวัยวะและเนื้อเยื่อในร่างกายทั้งหม.

ใหม่!!: สัตว์และคัพภวิทยา · ดูเพิ่มเติม »

คาร์ชาโรดอนโทซอรัส

กะโหลกของคาร์ชาโรดอนโทซอรัส นั้นมีความสมบูรณ์มาก คาร์ชาโรดอนโทซอรัส (Carcharodontosaurus) เป็นหนึ่งในไดโนเสาร์กินเนื้อที่มีขนาดใหญ่โตและแข็งแรงที่สุดชนิดหนึ่ง มีขนาดโดยประมาณคือ 13.8 เมตร อาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกาเหนือเมื่อประมาณ 100-93 ล้านปีก่อน ชื่อ คาชาโรดอน มาจากภาษากรีกมีความหมาย ขรุขระ หรือ คม ซึ่งความหมายของชื่อคือ กิ้งก่าฟันฉลาม ขนาดของคาร์ชาโรดอนโทซอรัสเมื่อเทียบกันไดโนเสาร์กินเนื้ออื่น (สีม่วง).

ใหม่!!: สัตว์และคาร์ชาโรดอนโทซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

คาร์โนทอรัส

ร์โนทอรัส (Carnotaurus) ค้นพบที่ทุ่งราบปาตาโกเนียของอาร์เจนตินา มีเขาอยู่บนหัว 2 เขา เป็นลักษณะที่พิเศษของคาร์โนทอรัส และมีขาหน้าที่สั้นมากเมื่อเทียบกับเทอโรพอดชนิดอื่นๆ ชื่อของมันมีความหมายว่ากิ้งก่ากระทิง ขนาดประมาณ 7.5 เมตร หนักประมาณ 2 ตัน ซึ่งถือว่าเบาเมื่อเทียบกับขนาดตัว ซึ่งทำให้มันเป็นไดโนเสาร์ที่ปราดเปรียวและว่องไวอีกชนิด อาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนปลายเมื่อประมาณ 75-80 ล้านปีก่อน หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส.

ใหม่!!: สัตว์และคาร์โนทอรัส · ดูเพิ่มเติม »

คางคกบ้าน

งคกบ้าน (Asian common toad, Black-spined toad) หรือ ขี้คันคาก ในภาษาอีสานและภาษาลาว หรือที่นิยมเรียกโดยทั่วไปว่า คางคก เป็นสัตว์ในวงศ์คางคก (Bufonidae) ชนิดหนึ่ง จัดว่าเป็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในวงศ์นี้ มีผิวหนังที่แห้งและมีปุ่มปมทั้งตัว ที่เป็นปุ่มพิษ โดยเฉพาะหลังลูกตา มีรูปทรงกลมคล้ายเมล็ดถั่วขนาดยาวประมาณ 25 มิลลิเมตร กว้าง 10 มิลลิเมตร แผ่นหูมีลักษณะเห็นได้ชัดเจน ขนาดเล็กกว่าลูกตาเล็กน้อย มีสีผิวหนังเป็นสีน้ำตาลหรือสีเทาตลอดทั้งลำตัว บริเวณรอบปุ่มพิษจะมีสีเข้มกว่าบริเวณอื่น ๆ ใต้ท้องเป็นสีน้ำตาลเหลืองอ่อน ในขณะที่ยังเป็นวัยอ่อนจะเป็นสีขาวซีดกว่า มีขนาดวัดจากปลายปากจนถึงก้นประมาณ 68-105 มิลลิเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในวงกว้างในทวีปเอเชีย ตั้งแต่แนวเทือกเขาหิมาลัย, อินเดีย, จีนตอนใต้, พม่า, ทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และพบได้ทั่วไปในทุกสภาพแวดล้อม ทั้งในเมืองใหญ่และในป่าดิบ เป็นสัตว์ที่ไม่อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำยกเว้นการผสมพันธุ์และวางไข่ จะมีฤดูผสมพันธุ์และวางไข่ในช่วงฤดูร้อนจนถึงปลายฤดูฝน (มีนาคม-กันยายน) เป็นสัตว์ที่กินแมลงและอาหารได้หลากหลายมาก พบชุกชุมในช่วงฤดูฝน คางคก มักเป็นสัตว์ที่มีผู้นิยมรับมารับประทานทั้ง ๆ ที่มีพิษ มักมีผู้เสียชีวิตบ่อย ๆ จากการรับประทานเข้าไป โดยเชื่อว่าเป็นยาบำรุงและรักษาโรคต่าง ๆ ได้ โดยพิษของคางคกนั้นไม่สามารถทำให้หายไปได้ด้วยความร้อน.

ใหม่!!: สัตว์และคางคกบ้าน · ดูเพิ่มเติม »

คางคกหมอตำแย

งคกหมอตำแย หรือ กบหมอตำแย (Midwife toad) เป็นสกุลของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกกบหรือคางคก จัดอยู่ในสกุล Alytes ในวงศ์คางคกหมอตำแย (Alytidae) คางคกหมอตำแย เป็นกบขนาดเล็ก มีความยาวลำตัวประมาณ 4–5 เซนติเมตร เหตุที่ได้ชื่อว่า "หมอตำแย" เนื่องจากพฤติกรรมในการแพร่ขยายพันธุ์ เมื่อคางคกตัวผู้ผสมพันธุ์และกอดรัดกับตัวเมียอยู่บนบก เมื่อตัวเมียวางไข่และไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว คางคกตัวผู้จะกวาดไข่ขึ้นไปแบกไว้บนหลังของตัวเองหรือบนขาหลังแล้วแบกไข่ไว้ตลอดเวลา และจะลงน้ำเป็นบางครั้งเพื่อให้ไข่ได้รับความชุ่มชื้น เมื่อไข่ฟักเป็นลูกอ๊อดแล้ว คางคกตัวผู้ก็จะปล่อยลูกอ๊อดลงสู่แหล่งน้ำ พบกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคตะวันตกของทวีปยุโรป จนถึงตะวันออกกลางและตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา พบได้ในยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 5,000–6,500 ฟุต หมายเหตุ: เดิมคางคกหมอตำแยเคยจัดอยู่ในวงศ์ที่ใช้ชื่อว่า Discoglossidae แต่ปัจจุบันได้ใช้ชื่อวงศ์เป็นชื่อปัจจุบัน.

ใหม่!!: สัตว์และคางคกหมอตำแย · ดูเพิ่มเติม »

คางคกห้วย

งคกห้วย เป็นสกุลของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกในสกุล Ansonia (/เอน-โซ-เนีย-อา/) ในวงศ์คางคก (Bufonidae) จัดเป็นคางคกขนาดเล็ก อาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นใกล้แหล่งน้ำที่เป็นลำธารหรือน้ำตก ลูกอ๊อดอาศัยอยู่ในลำธารน้ำไหลเชี่ยว จึงมีแผ่นดูดอยู่โดยรอบของช่องปากเพื่อช่วยยึดติดลำตัวให้ติดอยู่กับก้อนหินในน้ำ พบกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชียตั้งแต่ตอนใต้ของอินเดีย, ภาคเหนือของไทยจนถึงคาบสมุทรมลายู, เกาะตีโยมัน, เกาะบอร์เนียว ไปจนถึงเกาะมินดาเนาในฟิลิปปิน.

ใหม่!!: สัตว์และคางคกห้วย · ดูเพิ่มเติม »

คางคกต้นไม้

งคกต้นไม้ (Tree toad, House's tree toad) สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ในวงศ์คางคก (Bufonidae) เป็นคางคกที่มีขนาดใหญ่ หนังเรียบ ลำตัวบึกบึน แผ่นปิดหูปรากฏชัดเจน ไม่มีต่อมพาโรตอยด์ นิ้วตีนหน้ามีแผ่นพังผืด แต่บริเวณโคนนิ้วนิ้วตีนมีพังผืดเต็มนิ้วยกเว้นนิ้วที่สี่ ซึ่งจะยาวที่สุดและปลายนิ้วค่อนข้างจะแผ่กว้าง ด้านบนของหัวเรียบ ส่วนบนหลังมีต่อมกระจายประปราย ตัวเมียใหญ่กว่าตัวผู้ประมาณ 2 เท่า ตัวเมียมีสีน้ำตาลทั้งตัวขณะที่ตัวผู้จะมีจุดสีเหลืองกระจาย มีความยาวจากปลา่ยปากจนถึงก้นประมาณ 64 เซนติเมตร อาศัยอยู่ตามกองใบไม้ใกล้ลำธารในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ของประเทศไทย พบตามแถบภูเขาเช่น จังหวัดพัทลุง, ยะลา และนราธิวาส ในต่างประเทศพบได้ตลอดคาบสมุทรมลายู จนถึงอินโดนีเซีย กินสัตว์ขนาดเล็กจำพวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นอาหาร มีสถานภาพเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามประกาศของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พื.

ใหม่!!: สัตว์และคางคกต้นไม้ · ดูเพิ่มเติม »

คางคกซูรินาม

งคกซูรินาม (Surinam toad, star-fingered toad; Aparo, Rana comun de celdillas) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ในวงศ์กบเล็บ (Pipidae) มีลักษณะเด่น คือ ลำตัวมีลักษณะแบนคล้ายสี่เหลี่ยม ส่วนหัวเป็นสามเหลี่ยม มีสีเทาถึงสีน้ำตาลเข้ม ขนาดใหญ่ได้ถึง 20 เซนติเมตร แต่โดยทั่วไปจะมีขนาด 10-13 เซนติเมตร ทำให้แลดูเผิน ๆ เหมือนใบไม้แห้ง หรือกบที่ถูกทับแบน มีพังพืดเชื่อมระหว่างนิ้วตีนหน้าขนาดเล็ก ทำให้นิ้วตีนแยกจากกันจนมีลักษณะคล้ายนิ้วแยกเป็นแฉกเหมือนดาว แต่ปลายนิ้วไม่มีเล็บ พบกระจายพันธุ์อยู่ในแหล่งน้ำในป่าดิบที่ราบต่ำของทวีปอเมริกาใต้ตอนบน โดยจะอาศัยหากินอยู่ในน้ำตลอดเวลา เนื่องจากไม่มีลิ้น จึงจะใช้ปากงับกินปลาหรือสัตว์น้ำขนาดเล็ก ๆ เป็นอาหาร ลูกคางคกที่ฝังอยู่ในผิวหนังแม่ ตัวที่มีลำตัวสีเทา คางคกซูรินามมีพฤติกรรมที่เป็นที่น่าสนใจ คือ ตัวเมียเมื่อผสมพันธุ์กับตัวผู้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตัวผู้จะว่ายขึ้นสู่ด้านบนของหลังตัวเมีย เพื่อนำไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ววางลงบนหลังตัวเมีย ซึ่งจะมีไข่ทั้งหมดราว 60-100 ฟอง ไข่จะฝังลงบนหลังของตัวเมีย ผ่านไป 10 วัน ไข่จะฟักเป็นลูกอ๊อด แต่ยังไม่ออกมาจากหลัง จนกระทั่งผ่านไปราว 10-20 สัปดาห์ที่พัฒนาเหมือนตัวเต็มวัยที่มีความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร จะผุดโผล่มาจากหลังตัวเมียจนผิวบนหลังเป็นรูพรุนเต็มไปหมด และแยกย้ายออกไปใช้ชีวิตเอง ด้วยลักษณะและพฤติกรรมที่แปลกเช่นนี้ ทำให้คางคกซูรินามได้รับความนิยมในการถ่ายทำเป็นสารคดี และเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในตู้ปล.

ใหม่!!: สัตว์และคางคกซูรินาม · ดูเพิ่มเติม »

คางคกซูรินาม (สกุล)

งคกซูรินาม (Surinam toad) เป็นสกุลของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในอันดับกบ (Aruna) ในวงศ์กบเล็บ (Pipidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Pipa (/ปี-ปา/) มีลักษณะสำคัญ คือ ลำตัวแบนราบเหมือนใบไม้ ไม่มีเล็บเหมือนสกุลอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน มีเส้นข้างลำตัวที่เจริญเป็นอย่างดี เนื่องจากใช้ชีวิตและหากินตลอดในน้ำ มีพฤติกรรมการขยายพันธุ์ ด้วยการที่ตัวผู้จะกอดรัดตัวเมียในน้ำได้หมุนตัวและกลับตัวเพื่อให้ไข่ที่รับได้การปฏิสนธิแล้วขึ้นไปติดอยู่กับผิวของตัวเมีย ต่อมาเนื้อเยื่อของผิวหนังบนหลังของตัวเมียจะแปรสภาพและเจริญขึ้นมาปกคลุมไข่แต่ละฟอง เมื่อไข่พัฒนาเป็นเอ็มบริโอแล้วจะเจริญภายในไข่ที่อยู่บนหลัง เมื่อฟักออกเป็นลูกอ๊อดแล้ว จึงจะแตกตัวออกจากหลังแม่ และใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะพัฒนาเหมือนตัวเต็มวัย ยกเว้นในชนิดคางคกซูรินาม (Pipa pipa) ที่ลูกอ๊อดจะยังอยู่บนหลังแม่ไปจนกว่าจะกลายสภาพเหมือนตัวเต็มวัย ถูกจำแนกออกเป็น 7 ชนิด กระจายพันธุ์อยู่ในทวีปอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และคางคกซูรินาม (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

คางคกแคระ

งคกแคระ หรือ คางคกหัวแบน เป็นสกุลของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกในสกุล Ingerophrynus ในวงศ์คางคก (Bufonidae) พบกระจายพันธุ์ในมณฑลยูนนาน และภูมิภาคอินโดจีน, ประเทศไทย, มาเลเซีย, เกาะสุมาตรา, เกาะชวา, เกาะบอร์เนียว, เกาะสุลาเวสี, เกาะไนแอส และเกาะฟิลิปปิน โดยเป็นสกุลที่แยกออกมาจากสกุล Bufo ซึ่งเป็นสกุลดั้งเดิมของคางคกในวงศ์นี้ 10 ชนิด โดยในชนิด Ingerophrynus gollum ซึ่งเป็นชนิดใหม่ ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ตามกอลลัม ตัวละครจากบทประพันธ์ของเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ลูกอ๊อดของคางคกสกุลนี้มีดวงตาขนาดใหญ่ ตัวสีน้ำตาลดำ มีจุดกระจายทั่วตัว มักพบตามแอ่งข้างลำธารที่มีเศษใบไม้ร่วงทับถมกัน ในประเทศไทยพบ 3 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และคางคกแคระ · ดูเพิ่มเติม »

คางคกโพรงเม็กซิกัน

งคกโพรงเม็กซิกัน (Mexican burrowing toad, Burrowing toad) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ในอันดับกบ (Anura) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Rhinophrynus และวงศ์ Rhinophrynidae มีลำตัวกลมและแบนราบ ส่วนหัวหลิมและมีแผ่นหนังที่ปลายของส่วนหัว ตามีขนาดเล็ก ไม่มีแผ่นเยื่อแก้วหู สามารถอ้าปากเพื่อให้ส่วนปลายของลิ้นพลิกกลับและยืดออกมาได้อย่างสะดวกมาก สำหรับกินมดหรือปลวกเป็นอาหาร มีกระดูกสันหลังหน้ากระดูกก้นกบ 8 ปล้อง กระดูกสันหลังมีเซนทรัลเป็นแบบอย่างของโอพิสโธซีลัส กระดูกหัวไหล่เป็นแบบอย่างของอาร์กซิเฟอรัล ไม่มีกระดูกหน้าอก กระดูกแอสทรากาลัสและกระดูกแคลคาเนียมเชื่อมรวมกันเฉพาะตัวและส่วนปลาย ไม่มีกระดูกแทรกระหว่างกระดูกนิ้ว 2 ชิ้นสุดท้าย ลูกอ๊อดมีช่องปากยาวและแคบ ไม่มีจะงอยปากและไม่มีตุ่มฟันบริเวณปาก ช่องเปิดห้องเหงือกมี 2 ช่องอยู่ทางด้านข้างของลำตัว กินอาหารด้วยการกรองเข้าปาก มีความยาวประมาณ 7.5-8.5 เซนติเมตร อาศัยโดยการขุดโพรงอยู่ในดิน โดยกินแมลงและแมงที่อยู่บนดินเป็นอาหาร ผสมพันธุ์ในแหล่งน้ำขังชั่วคราว โดยจะเป็นการผสมพันธุ์แบบหมู่เป็นกลุ่มก้อนจำนวนมาก โดยตัวผู้ส่งเสียงร้องเรียกตัวเมียขณะลอยตัวอยู่ในน้ำและกอดรัดตัวเมียบริเวณเอว ตัวเมียวางไข่เป็นจำนวนหลายพันฟอง ไข่ไม่ลอยเป็นแพที่ผิวน้ำแต่จะจมลงก้นบ่อ ลูกอ๊อดจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มตั้งแต่ 5-หลายร้อยตัว พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ใต้สุดของรัฐเทกซัสในสหรัฐอเมริกา จนถึงคอสตาริก.

ใหม่!!: สัตว์และคางคกโพรงเม็กซิกัน · ดูเพิ่มเติม »

คางคกไฟ

งคกไฟ (Lesser toad) สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชนิดหนึ่ง ในวงศ์คางคก (Bufonidae) จัดเป็นคางคกขนาดเล็ก มีจุดเด่น คือ ตัวผู้ในฤดูผสมพันธุ์ ลำตัวจะเปลี่ยนไปเป็นสีแดงสดอันเป็นที่มาของชื่อ พบกระจายพันธุ์ในป่าดิบของภาคใต้ของเมียนมา, ภาคใต้และตะวันออกของไทย, กัมพูชา และพบไปจนถึงแหลมมลายู, เกาะชวา, เกาะสุมาตรา โดยมีถิ่นอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นที่มีลำธารไหลผ่าน ผสมพันธุ์และวางไข่ในแอ่งน้ำหรือลำธารในป่า เป็นคางคกที่พบได้ทั่วไปในแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกเว้นอินโดนีเซี.

ใหม่!!: สัตว์และคางคกไฟ · ดูเพิ่มเติม »

คางคกไวโอมิง

งคกไวโอมิง (Wyoming toad; หรือ Bufo baxteri) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำหายากที่ปัจจุบันยังเหลือรอดเฉพาะในสถานที่เพาะเลี้ยง และในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าแห่งชาติทะเลสาบมอร์เทนสัน ในรัฐไวโอมิง สหรัฐอเมริกาเท่านั้น ถูกขึ้นทะเบียนอยู่ในรายชื่อสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เมื่อ..

ใหม่!!: สัตว์และคางคกไวโอมิง · ดูเพิ่มเติม »

คาเมเลี่ยนใบไม้แอฟริกา

ระฮัมโพเลียน (Rhampholeon) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นกิ้งก่าแคระ หรือคาเมเลี่ยนใบไม้แอฟริกา เป็นกิ้งก่าคาเมเลี่ยนขนาดเล็ก พบตามพื้นดิน ใบไม้บนพื้นดิน พุ่มไม้ และกอหญ้า ในป่าแถบแอฟริกาตะวันออกกลาง มีสีน้ำตาล สีเทา และสีเขียว หมวดหมู่:กิ้งก่า.

ใหม่!!: สัตว์และคาเมเลี่ยนใบไม้แอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

คิม พอสสิเบิล

ม พอสสิเบิล (Kim Possible) เป็นการ์ตูนทีวีแอนิเมชันที่ออกอากาศในประเทศไทยทางช่อง ดิสนีย์แชนแนลเอเชีย (ผ่านทางทรูวิชั่นส์) มีเรื่องราวเกี่ยวกับคิม พอสสิเบิล ผู้มีภารกิจที่จะต้องช่วยโลกและหยุดยั้งผู้ร้ายต่างๆ ในประเทศไทยเคยฉายทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 และมีเสียงพาทย์ไทยในช่องดิสนีย์แชนแนลเอเชีย ปีที่สี่ได้เริ่มในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 (ทางช่อง Disney Channel).

ใหม่!!: สัตว์และคิม พอสสิเบิล · ดูเพิ่มเติม »

คิงคองยักษ์

งคองยักษ์ (อังกฤษ: Gigantopithecus) เป็นสัตว์ที่สูญพันธ์ุไปเมื่อ 100,000 ปีก่อนเพราะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปและเป็นสัตว์ตระกูลลิงที่ใหญ่ที่สุดเป็นสัตว์นักล่าที่เก่งและฉลาดและถ้าเกิดสัตว์ตัวอื่นๆมาอยู่ในถิ่นของคิงคองยักษ์ ก็จะโดนพวกมันไล่ล่าและเป็นคิงคองที่ใหญ่ที่สุดในวงศ์ Primate.

ใหม่!!: สัตว์และคิงคองยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

คิงคาจู

งคาจู หรือ หมีน้ำผึ้ง (kinkajou, honey bear) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อชนิดหนึ่งในวงศ์แร็กคูน (Procyonidae) นับเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Potos แบ่งออกได้เป็น 7 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) คิงคาจูเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร มีขนสั้นและหนานุ่มสีน้ำผึ้งทองหรือสีน้ำตาล มีหัวและใบหูกลม ใบหน้าและดวงตากลมโตเหมือนแมว น้ำหนักตัวประมาณ 4-10 ปอนด์ ออกหากินในเวลากลางคืน ใช้เสียงในการสื่อสาร ปกติหากินและอาศัยอยู่ตามยอดไม้สูง ชอบกินผลไม้ เกสรดอกไม้ น้ำผึ้ง และน้ำต้อยจากดอกไม้ มีลิ้นที่ยาวมากถึง 7 นิ้ว ใช้สำหรับดูดกินน้ำผึ้งหรือน้ำต้อยของดอกไม้ และก็สามารถกินสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหารได้อีกด้วย สามารถใช้หางและเท้าเกาะเกี่ยวและทรงตัวบนต้นไม้และกิ่งไม้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะส่วนเท้าสามารถหมุนกลับด้านได้ถึง 180 องศา อีกทั้งยังมีต่อมกลิ่นพิเศษใกล้ปาก, คอ และพื้นท้อง ซึ่งจะใช้สำหรับแสดงอาณาเขตครอบครอง มีความยาวหางเท่ากับลำตัว โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์ของคิงคาจูนั้น มีความหมายว่า "นักดื่มสีทอง" อันหมายถึงสีขนและพฤติกรรมการกินอาหาร นอกจากเป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน จึงมีดวงตาที่กลมโตสำหรับใช้ในการรวมแสงเพื่อการมองเห็นในที่มืด ปกติในเวลากลางวันจะซึมเซาหรือหลับนอน แต่ในเวลากลางคืนจะตื่นตัว พบกระจายพันธุ์ในป่าทึบ และป่าหลากหลายประเภท เช่น ป่าเสื่อมโทรม พบได้ทั้งพื้นที่ราบและพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล ของทวีปอเมริกากลางและภาคเหนือของทวีปอเมริกาใต้ เป็นสัตว์ที่ออกลูกเป็นตัว ครั้งละตัว นาน ๆ ครั้งจึงจะมีเป็นฝาแฝด มีระยะเวลาตั้งท้องนาน 4 เดือน ลูกอ่อนใช้เวลานาน 2 สัปดาห์จึงจะลืมตา คิงคาจูเป็นสัตว์ที่รักสันโดษมักอาศัยอยู่ตัวเดียว เมื่อจะออกลูก จะออกในโพรงไม้ แต่ก็เป็นสัตว์ที่ดุร้ายเมื่อมีภัยใกล้ตัว คิงคาจูถูกล่าจากชาวพื้นเมืองเพื่อนำขนและหนังไปผลิตเป็นกระเป๋าและอานม้า รวมทั้งบริโภคเป็นอาหาร อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ โดยมีบันทึกว่ามีอายุสูงสุดในที่เลี้ยงได้ 23 ปี ขณะที่มีวงจรชีวิตนานที่สุดถึง 41 ปี ใบหน้าของคิงคาจู ในประเทศไทย คิงคาจูมีจัดแสดงเพียง 3 ที่เท่านั้นในสวนสัตว์ คือ สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์นครราชสีมา และเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี สำหรับเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีมีคิงคาจูมากถึง 11 ตัว และมีการแพร่ขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และคิงคาจู · ดูเพิ่มเติม »

คู่มือภาคสนาม

คู่มือภาคสนาม โดยทั่วไป หมายถึง หนังสือสำหรับจำแนกชนิด สัตว์ หรือ พืช หรือ วัตถุทางธรรมชาติ อื่นๆ เช่น หินแร่, เมฆ ท้องฟ้าและสภาพอากาศ, กลุ่มดาวและวัตถุทางดาราศาสตร์ เป็นต้น เช่น คู่มือภาคสนามของนกในประเทศไทย คู่มือภาคสนามของกล้วยไม้ป่าในประเทศไทย แต่อาจรวมไปถึงคู่มือระเบียบการปฏิบัติทางเทคนิคต่างๆ เช่น คู่มือภาคสนามสำหรับการสัมภาษณ์ผู้ป่วย ลักษณะของคู่มือสนามโดยทั่วไป มักแบ่งเป็น หมวดหมู่ และมีระบบ การอ้างอิงค้นหา ที่สะดวก เช่น การค้นหา ชนิดของนก จาก ลักษณะภายนอก ลักษณะการบิน ลักษณะสถานที่ที่พอเห็น เป็นต้น หมวดหมู่:หนังสือ.

ใหม่!!: สัตว์และคู่มือภาคสนาม · ดูเพิ่มเติม »

คูโบซัว

ูโบซัว (ชั้น: Cubozoa; Box jellyfish, Sea wasp) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชั้นหนึ่งของไฟลัมไนดาเรีย มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษเรียกโดยรวมว่า "แมงกะพรุนกล่อง" (Box jellyfish) หรือ "แมงกะพรุนสาหร่าย" หรือ "สาโหร่ง" (Sea wasp) เพราะมีพิษที่ร้ายแรงและมีรูปร่างคล้ายลูกบาศก์อันเป็นที่มาของชื่อ คูโบซัว จัดเป็นแมงกะพรุนที่แบ่งออกได้เป็น 2 อันดับใหญ่ ๆ โดยดูที่ลักษณะของหนวดที่มีพิษเป็นสำคัญ ได้แก่ พวกที่มีหนวดพิษเส้นเดี่ยวที่ขอบเมดูซ่า 4 มุม เช่น แมงกะพรุนอิรุคันจิ (Malo kingi) กับพวกที่มีหนวดเป็นกลุ่มที่ขอบเมดูซ่า 4 มุม มุมละ 15 เส้น ซึ่งจะเป็นหนวดที่ยาวมาก อาจยาวได้ถึง 3 เมตร ได้แก่ Chironex fleckeri มีเข็มพิษประมาณ 5,000,0000,000 เล่มที่หนวดแต่ละเส้น ซึ่งมีพิษร้ายแรงซึมเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ที่ถูกต่อยได้ โดยมากจะพบตามชายฝั่งของทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่น เช่น ออสเตรเลียทางตอนเหนือ, ปาปัวนิวกินี, หมู่เกาะฟิลิปปิน, หมู่เกาะฮาวาย ช่วงที่พบได้มากคือ เดือนตุลาคม-เมษายน และหลังช่วงพายุฝนที่จะถูกน้ำทะเลพัดพาเข้ามาจนใกล้ฝั่ง.

ใหม่!!: สัตว์และคูโบซัว · ดูเพิ่มเติม »

ค่าง

ง (อังกฤษ: Langur, Leaf Monkey) ชื่อสามัญของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานร โดยจัดอยู่ในวงศ์ย่อย Colobinae ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae).

ใหม่!!: สัตว์และค่าง · ดูเพิ่มเติม »

ค่างกระหม่อมขาว

งกระหม่อมขาว หรือ ค่างกระหม่อมทอง หรือ ค่างก๊าตบ่า (อังกฤษ: White-headed langur, Golden-headed langur, Cat Ba langur) เป็นลิงจำพวกค่างชนิดหนึ่ง มีรูปร่างเหมือนค่างทั่วไป แต่มีจุดเด่นคือ ขนบริเวณหัว, ต้นคอ, หัวไหล่ และสะโพกมีสีขาว แต่สีขนบริเวณสะโพกของตัวผู้บางตัวอาจมีสีส้มเทา มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 54.8 เซนติเมตร หางยาวประมาณ 84.9 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 15-20 กิโลกรัม ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย ค่างกระหม่อมขาว มีการกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะบนเกาะก๊าตบ่า ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กที่อยู่กลางอ่าวตังเกี๋ย ทางตอนเหนือของเวียดนามใกล้กับเมืองไฮฟอง และที่มณฑลกวางสี ประเทศจีนเท่านั้น โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย คือ T. p. poliocephalus ซึ่งมีขนส่วนหัว, แก้ม และลำคอเป็นสีเหลือง เป็นประชากรที่พบบนเกาะก๊าตบ่า และเป็นสีขาวในชนิด T. p. eucocephalus ที่พบในมณฑลกวางสี มีพฤติกรรมมักอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงตามหน้าผาที่สูงชันที่เป็นเขาหินปูน สำหรับสถานะของค่างกระหม่อมขาวในปัจจุบันนี้ นับว่าอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤตแล้ว จากการสำรวจของสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (Wildlife Conservation Society) พบว่าเหลือเพียงแค่ 59 ตัวเท่านั้นบนเกาะก๊าตบ่า และจัดเป็นหนึ่งใน 10 ชนิดของสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ของโลก.

ใหม่!!: สัตว์และค่างกระหม่อมขาว · ดูเพิ่มเติม »

ค่างสะโพกขาว

งสะโพกขาว (อังกฤษ: Delacour's langur, Delacour's leaf monkey) ค่างชนิดหนึ่ง มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับค่างชนิดอื่น ๆ ที่พบในภูมิภาคอินโดจีน ขนตามลำตัวเป็นสีดำสนิท มีลักษณะเด่นคือ มีขนสีขาวปกคลุมตามลำตัวตั้งแต่มุมปากถึงใบหู หางยาว ขนหางของค่างสะโพกขาวจะแตกต่างไปจากค่างชนิดอื่น คือ ยาวและฟูคล้ายหางของกระรอกมีขนสีขาวปกคลุมบริเวณสะโพกลงมาจนถึงเหนือหัวเข่า ลูกที่เกิดใหม่มีขนสีทองเหมือนเช่นค่างชนิดอืนที่อยู่ในสกุล Trachypithecus ทั่วไป มีความยาวลำตัวและหัว 55-83 เซนติเมตร ความยาวหาง 81-86 เซนติเมตร ปัจจุบัน ค่างสะโพกขาวพบได้เพียงแค่ป่าลึกทางตอนเหนือของเวียดนามเท่านั้น มีพฤติกรรมมักอาศัยรวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ประมาณ 3-6 ตัว ออกหากินในเวลากลางวัน กินใบไม้ชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร อาศัยอยู่บนต้นไม้สูงมากจากพื้น โดยหลับนอนตามถ้ำหรือที่ปลอดภัยตามหุบเขาหรือเทือกเขาหินปูน ข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับค่างชนิดนี้ยังมีอยู่น้อยมาก เนื่องจากหายากและจำนวนประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบัน เชื่อว่ามีจำนวนประชากรเหลือน้อยกว่า 320 ตัวเท่านั้นเอง.

ใหม่!!: สัตว์และค่างสะโพกขาว · ดูเพิ่มเติม »

ค่างสี่สี

งสี่สี (Gray-shanked douc) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง อันดับไพรเมต จำพวกค่าง ค่างสี่สี เป็นค่างที่มีลักษณะคล้ายกับค่างห้าสี (P. nemaeus) ที่พบในประเทศลาว และเคยถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยของค่างห้าสีมาก่อน มีขนาดและน้ำหนักรวมถึงพฤติกรรมความเป็นอยู่คล้ายกับค่างห้าสี ผิดกันที่ ขนบริเวณที่เหนือเข่าขึ้นมาถึงตะโพกมีสีเทาเข้มไม่เป็นสีแดงเข้มเหมือนกับค่างห้าสี อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง สมาชิกในฝูง ๆ หนึ่งประกอบด้วยทั้งตัวผู้และตัวเมีย มีจำนวนสมาชิกประมาณ 4-5 ตัว พบกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคกลางและภาคใต้ของประเทศลาวและเวียดนาม และในปี..

ใหม่!!: สัตว์และค่างสี่สี · ดูเพิ่มเติม »

ค่างหัวมงกุฎ

งหัวมงกุฎ หรือ ค่างฝรั่งเศส (อังกฤษ: Francois' langur, Francois' leaf monkey) เป็นค่างชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายค่างหงอก (T. cristala) และค่างดำมลายู (Presbytis femoralis) ขนตามลำตัวเป็นสีดำสนิท มีลักษณะเด่นคือ ขนบริเวณกลางกระหม่อมจะยาวฟูขึ้นไปแลดูคล้ายกับมงกุฎหรือหงอน ขนข้างแก้มตั้งแต่บริเวณใต้ใบหูลงไปจนถึงมุมปากเป็นสีขาว โดยมีขนสีดำขึ้นแทรกอยู่บ้าง ลูกที่เกิดขึ้นมีขนสีเหลืองทองแบบเดียวกับค่างชนิดอื่น ๆ และขนตามลำตัวจะค่อย ๆ กลายเมื่ออายุมากขึ้น ตัวผู้มีความยาวลำตัวและหัวประมาณ 54.8 เซนติเมตร ในขณะที่ตัวเมีย 55-59 เซนติเมตร ความยาวหางตัวผู้ 84.9 เซนติเมตร ตัวเมีย 85.2 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 5.66 กิโลกรัม ค่างหัวมงกุฎพบกระจายพันธุ์อยู่บริเวณภาคกลางของประเทศลาวและเวียดนาม รวมถึงในตอนล่างของจีนด้วย โดยพบเพียงแค่ 2 มณฑล คือ มณฑลกุ้ยโจว และมณฑลกวางสีเท่านั้น มีพฤติกรรมมักอยู่รวมกันเป็นฝูงตามป่าบนเทือกเขาหินปูน ออกหากินในเวลากลางวัน โดยจะหากินอยู่บนต้นไม้เป็นหลัก นานครั้งถึงจะลงไปหากินบนพื้นดิน ใช้เวลาหากินอยู่ในช่วงระยะเวลาราว 07.00-10.00 น. และ 15.00-16.00 น. ในแต่ละวัน และกินน้ำที่ไหลออกมาตามหน้าผา และหลับนอนตามถ้ำบนเทือกเขาหินปูนในเวลากลางคืนเพื่อความปลอดภัย โดยที่มีเสียงร้องประกาศอาณาเขตที่ดังมาก และเมื่ออายุยังน้อยมีเสียงร้องที่แปลกเฉพาะตัว.

ใหม่!!: สัตว์และค่างหัวมงกุฎ · ดูเพิ่มเติม »

ค่างหนุมาน

งหนุมาน (Hanuman langur, Gray langur; लंगूर) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับวานร จำพวกค่างสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Semnopithecus อยู่ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) ค่างหนุมาน เป็นค่างที่มีหางยาวมากใช้สำหรับทรงตัวบนต้นไม้ มีขนตามลำตัวสีขาวหรือสีเทา ขณะที่มีใบหน้าและหูสีคล้ำ แขนและขาเรียวยาว กระจายพันธุ์ทั่วไปในอนุทวีปอินเดีย เช่น อินเดีย, เนปาล, ปากีสถาน จนถึงอัฟกานิสถาน ตัวผู้มีความสูงเต็มที่ประมาณ 75 เซนติเมตร น้ำหนักราว 11-18 กิโลกรัม ขณะที่ตัวเมียมีขนาดเล็กลงมากว่าเล็กน้อย ค่างหนุมาน หากินได้ทั้งบนพื้นดินและต้นไม้ ในภูมิภาคแถบที่อาศัยอยู่ นับถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ โดยถือเป็นหนุมาน เทพเจ้าตามความเชื่อของศาสนาฮินดู จึงไม่มีภัยคุกคามจากมนุษย์ อีกทั้งเป็นค่างที่ปรับตัวได้ง่าย หากินง่าย จนทำให้ในบางชุมชนของมนุษย์ มีฝูงค่างหนุมานอยู่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จนเกิดเป็นปัญหา ค่างหนุมาน เป็นค่างที่มีความคล่องแคล่วว่องไวมาก จึงไม่มีศัตรูตามธรรมชาติเท่าใดนัก อีกทั้งสามารถกระโดดจากพื้นได้สูงถึง 5 เมตร เพื่อหลบหลีกศัตรูได้อีกด้วยสุดหล้าฟ้าเขียว, รายการ: เสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2555 โดย ปองพล อดิเรกสาร ทางช่อง 3.

ใหม่!!: สัตว์และค่างหนุมาน · ดูเพิ่มเติม »

ค่างห้าสี

thumb ค่างห้าสี (Red-shanked douc) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับวานร เป็นค่างที่มีสีสันต่าง ๆ ห้าสีตามชื่อ ตัวและหัวมีสีเทา แต่ตรงหน้าผากมีสีดำออกแดง หนวดเคราสีขาว หางและก้นสีขาว ผิวหน้าสีเหลือง หน้าแข้งสีแดง ได้ชื่อว่าเป็นค่างที่มีความสวยที่สุดในโลก มีความยาวลำตัวและหางรวมกัน 53-63 เซนติเมตร จัดอยู่ในบัญชีแดงของ สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) ซึ่งเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ตัวผู้ใหญ่กว่าตัวเมียราวสองเท่า และมีขนเป็นพู่ที่เอวทั้งสองข้าง ซึ่งตัวเมีย นิสัยเงียบขรึมขี้อาย ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง พบในพรมแดนระหว่างประเทศลาวและเวียดนาม อาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นลึกและป่าที่ราบสูงซึ่งมีความสูง 200-1,400 เมตร จากระดับน้ำทะเล อาหารหลักได้แก่ ดอกไม้ ยอดอ่อนของใบไม้ แมลง รวมทั้งผลไม้บางชนิด จากการศึกษาพบว่าค่างห้าสีสามารถกินอาหารได้ถึง 450 ชนิด อยุ่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ราว 4-5 ตัว การสืบพันธุ์ไม่แน่นอน ตั้งท้องประมาณ 196 วัน หรือ 7 เดือนครึ่ง ออกลูกครั้งละ 1 ตัว โดยลูกค่างจะมีสีคล้ายตัวเต็มวัยแต่ซีดกว่าเล็กน้อย ในสถานที่เลี้ยง สวนสัตว์ดุสิตในประเทศไทยเป็นสถานที่แรกที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ค่างห้าสีได้เป็นแห่งแรกในโลก.

ใหม่!!: สัตว์และค่างห้าสี · ดูเพิ่มเติม »

ค่างจมูกเชิดตังเกี๋ย

งจมูกเชิดตังเกี๋ย (Tonkin snub-nosed langur, Tonkin snub-nosed monkey, Dollman's snub-nosed monkey) เป็นค่างชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhinopithecus avunculus จัดเป็นค่างขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง โดยตัวผู้มีความยาวลำตัวและหัวประมาณ 65 เซนติเมตร ความยาวหาง 85 เซนติเมตร ในขณะที่ตัวเมีย 54 เซนติเมตร และมีความยาวหาง 65 เซนติเมตร ตัวผู้มีน้ำหนัก 14 กิโลกรัม ตัวเมีย 8.5 กิโลกรัม มีลักษณะเด่นคือ ขนที่บริเวณหัวไหล่ แขนด้านนอก หลังโคนขามีสีน้ำตาลเข้มถึงดำ ส่วนล่างของลำตัวมีสีเหลืองอ่อน ใบหน้ามีสีฟ้า ริมฝีปากสีชมพู หางยาวสีขาว ลูกที่เกิดใหม่ขนตามลำตัวจะเป็นสีขาวหรือเทาอ่อน ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อโตขึ้นตามวัย ค่างจมูกเชิดตังเกี๋ย พบได้เฉพาะทางตอนเหนือของเวียดนามเท่านั้น โดยอาศัยอยู่ตามป่าทึบตามเทือกเขาหินปูน ที่มีความสูงตั้งแต่ 200-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล อาหารหลักได้แก่ ผลไม้, ใบไม้ และเมล็ดพืช ออกหากินในเวลากลางวัน อาศัยอยู่กันเป็นฝูงประมาณ 25 ตัว จากการศึกษาพบว่ามีเสียงร้องที่ดังมาก และปัจจุบันพบว่ามีจำนวนประชากรเหลือเพียงไม่เกิน 250 ตัวเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และค่างจมูกเชิดตังเกี๋ย · ดูเพิ่มเติม »

ค่างดำมลายู

งดำมลายู หรือ ค่างดำ (Banded surili) เป็นค่างชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย มีรูปร่างทั่วไปคล้ายค่างชนิดอื่น ๆ ขนตามลำตัวสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ ขนบริเวณท้องอ่อนกว่าสีตามลำตัว หน้าอกมีสีขาว มีวงแหวนสีขาวรอบดวงตามากกว่าค่างชนิดอื่น ๆ เหมือนสวมแว่นตา ปลายหางมีรูปทรงเนียวเล็กและมีสีอ่อนกว่าโคนหาง ลูกเมื่อยังแรกเกิดจะมีขนสีทอง ส่วนหัวมีสีเทาเข้ม มีความยาวลำตัวและหัวประมาณ 48-58 เซนติเมตร ความยาวหาง 72-84 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 5-7 กิโลกรัม ค่างดำมลายูพบกระจายพันธุ์ตั้งแต่แหลมมลายูลงไปจนถึง เกาะบอร์เนียวและเกาะสุมาตรา ในอินโดนีเซีย มีนิเวศวิทยามักอาศัยในป่าที่ใกล้กับแหล่งน้ำ อาทิ บึงหรือชายทะเล บางครั้งอาจพบในป่าที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 600-2,200 เมตร อยู่รวมกันเป็นฝูง ในจำนวนสมาชิกไม่มากนักเมื่อเทียบกับค่างชนิดอื่น คือ ประมาณ 5-10 ตัวเท่านั้น สถานะของค่างดำมลายูในประเทศไทย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และค่างดำมลายู · ดูเพิ่มเติม »

ค่างแว่นถิ่นใต้

งแว่นถิ่นใต้ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Trachypithecus obscurus) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกค่าง ลักษณะทั่วไปคล้ายค่างแว่นถิ่นเหนือ (T. phayrei) คือ มีวงกลมสีขาวรอบตาเหมือนกับใส่แว่นอันเป็นที่มาของชื่อ มีขนาดของลำตัวยาว 45-57 เซนติเมตร หางยาว 66-78 เซนติเมตร มีน้ำหนัก 6-9 กิโลกรัม ค่างโตเต็มวัยมีขนบริเวณด้านหลังสีเทาเข้มเกือบดำ ขนบริเวณด้านข้างใบหน้าบริเวณปลายมือและปลายเท้ามีสีเทาเข้ม โคนขาและโคนแขนด้านนอกเป็นสีเทาจาง ลักษณะสำคัญที่ใช้จำแนกค่างชนิดนี้ คือสีขนหางสีดำ ลูกที่เกิดใหม่สีขนจะเป็นสีทอง ค่างแว่นถิ่นใต้แบ่งออกเป็นชนิดย่อย 7 ชนิดย่อยด้วยกัน (ดูในตาราง).

ใหม่!!: สัตว์และค่างแว่นถิ่นใต้ · ดูเพิ่มเติม »

ค่างแว่นถิ่นเหนือ

งแว่นถิ่นเหนือ เป็นค่างชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายกับค่างแว่นถิ่นใต้ (T. obscurus) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน มีสีขนที่หลากหลาย ตั้งแต่สีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีเทาเข้ม ในขณะที่บางตัวอาจจะเข้มมากจนดูคล้ายสีสนิม ขนบริเวณหลังและด้านบนลำตัวจะเข้มกว่าสีขนที่อยู่ด้านล่าง สีขนด้านล่างของบางตัวอาจเป็นสรเทาอ่อนหรือขาวขุ่น บริเวณใบหน้าจะมีสีดำหรือสีเทาอมฟ้า มีลักษณะเด่น คือ บริเวณรอบดวงตาและริมฝีปากมีสีน้ำเงินปนขาว แต่สีขาวรอบวงตานั้นบางตัวอาจไม่เป็นรูปวงกลม ในขณะที่บางตัวอาจจะมีริมฝีปากเป็นสีขาวขุ่น มือและเท้าโดยทั่วไปจะเข้มกว่าบริเวณหลัง มีความยาวลำตัวตั้งแต่หัวจรดโคนหาง 52-62 เซนติเมตร ความยาวหาง 58.5-88 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 6-9 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์ในประเทศบังกลาเทศ, ประเทศอินเดีย, ประเทศพม่า, ประเทศจีน, ประเทศไทย, ประเทศลาว และประเทศเวียดนาม ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ มีด้วยกัน 3 ชนิดย่อย คือ.

ใหม่!!: สัตว์และค่างแว่นถิ่นเหนือ · ดูเพิ่มเติม »

ค่างแว่นโฮส

งแว่นโฮส (Miller's grizzled langur, Hose's langur, Gray leaf monkey) เป็นค่างชนิด Presbytis hosei มีขนบริเวนใบหน้าสีดำและมีขนปุกปุยสีขาวคล้ายสวมเสื้อคลุมตั้งแต่คางลงไปตลอดหน้าท้อง จมูกและริมฝีปากสีชมพู มีสีขาวเป็นวงรอบดวงตาคล้ายสวมแว่นตา มีหางยาว มีอุปนิสัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ค่างแว่นโฮสเป็นสัตว์ที่ตกอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากถิ่นที่อยู่อาศัยในธรรมชาติถูกทำลายลงจากการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าของมนุษย์และไฟป่า รวมทั้งฆ่าเพื่อเอาหินบีซอร์ที่อยู่ในกระเพาะเพื่อใช้ในทำพิธีกรรมทางเวทมนตร์ตามความเชื่อ อันเนื่องจากค่างจะกินหินบีซอร์ลงไปเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร โดยจะพบได้เฉพาะทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว เกาะสุมาตรา เกาะชวา และคาบสมุทรมลายูเท่านั้น ในต้นปี ค.ศ. 2012 ได้มีการค้นพบค่างชนิดนี้โดยบังเอิญผ่านทางกล้องวงจรปิดขณะที่พาฝูงลงมากินดินโป่งในพื้นที่ป่าดิบทางตะวันออกสุดของเกาะบอร์เนียว โดยคณะนักวิจัยชาวตะวันตกจากมหาวิทยาลัยไซมอนเฟรเซอร์ของแคนาดาที่เจตนาตั้งกล้องเพื่อบันทึกภาพของลิงอุรังอุตังและเสือดาว สร้างความตื่นตะลึงและยินดีเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่ได้มีรายงานพบค่างชนิดนี้ในธรรมชาติมานานมากจนเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และค่างแว่นโฮส · ดูเพิ่มเติม »

ค่างเทา

งเทา หรือ ค่างหงอก (อังกฤษ: Silvered langur, Silvery lutung, Silvered leaf monkey) ค่างชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trachypithecus cristatus จัดเป็นลิงโลกเก่าชนิดหนึ่ง ค่างเทามีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับค่างดำมลายู (Presbytis femoralis) ขนตามลำตัวเป็นสีเทาเข้ม ปลายขนเป็นสีขาวหรือสีเงิน ทำให้แลดูคล้ายผมหงอกของมนุษย์ อันเป็นที่มาของชื่อ บนหัวจะมีขนยาวเป็นหงอนแหลม ใบหน้ามีสีดำไม่มีวงแหวนสีขาวรอบดวงตา มือและเท้าเป็นสีดำ ลูกค่างที่เกิดใหม่ขนตามลำตัวจะเป็นสีเหลืองทอง มีความยาวลำตัวถึงหัว 49-57 เซนติเมตร ความยาวหางประมาณ 72-84 เซนติเมตร น้ำหนัก 6-8 กิโลกรัม มีชนิดย่อยด้วยกัน 2 ชนิด มีพฤติกรรมอาศัยอยู่บนต้นไม้สูง ในบางครั้งอาจพบในป่าพรุด้วย อาหารของค่างชนิดนี้ได้แก่ ใบอ่อนของต้นไม้, ผลไม้ และแมลงตัวเล็ก ๆ จะออกหากินในเวลากลางวัน มักอยู่รวมเป็นฝูงประมาณ 10-15 ตัว มีการกระจายพันธุ์ในแถบภาคตะวันตก, ภาคเหนือของไทย, ภาคใต้ของลาว, พม่า, เวียดนาม, ตอนใต้ของจีน, กัมพูชา, มาเลเซีย, เกาะสุมาตรา, เกาะชวาและเกาะบอร์เนียว.

ใหม่!!: สัตว์และค่างเทา · ดูเพิ่มเติม »

คโลนะเซแพม

ลนะเซแพม (Clonazepam) เป็นยากันชักและรักษาโรคตื่นตระหนก และความผิดปกติของการเคลื่อนไหวที่เรียกว่า อาการนั่งไม่ติดที่ (akathisia) เป็นยากลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีน --> ใช้โดยการรับประทาน มีผลภายในหนึ่ง ชม.

ใหม่!!: สัตว์และคโลนะเซแพม · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาว

้างคาว จัดอยู่ในชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีลำตัวขนาดเล็กมีปีกบินได้ ค้างคาวเป็นอันดับใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยมีค้างคาวกว่า 1,100 สปีชีส์ หมายความว่า กว่า 20% ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นค้างคาว.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาว · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวกินแมลงนิ้วสั้น

ค้างคาวกินแมลงนิ้วสั้น (Nyctalus noctula) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หมวดหมู่:ค้างคาว หมวดหมู่:สัตว์ป่าคุ้มครอง หมวดหมู่:สัตว์ที่พบในทวีปยุโรป หมวดหมู่:สัตว์ที่พบในทวีปเอเชีย.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวกินแมลงนิ้วสั้น · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวยอดกล้วยผีเสื้อ

้างคาวยอดกล้วยผีเสื้อ หรือ ค้างคาวสี (Painted bat, Painted woolly bat) เป็นค้างคาวขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ค้างคาวกินแมลง (Vespertilionidae) เป็นค้างคาวขนาดเล็ก มีขนาดลำตัวและปีกพอ ๆ กับผีเสื้อ มีน้ำหนักประมาณ 10 กรัม ความยาวตลอดปลายปีกประมาณ 15 เซนติเมตร ขนตามลำตัวสีส้มสด ใบหูใหญ่ ปีกมีสีแดงแกมน้ำตาลบางส่วน ส่วนที่เหลือเหมือนค้างคาวทั่วไป ซึ่งชื่อวิทยาศาสตร์นั้น คำว่า "pict" เป็นรากศัพท์ภาษาละติน หมายถึง "ระบายสี" โดยรวมแล้วหมายถึง มีสีสันหลายสีในตัวเดียวกัน ค้นพบครั้งแรกในหมู่เกาะโมลุกกะ ประเทศอินโดนีเซีย กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปตั้งแต่อินเดีย, ศรีลังกา, พม่า, ตอนใต้ของประเทศจีน, เวียดนาม, ไทย, มาเลเชีย และอินโดนีเซีย สำหรับในประเทศไทยแล้ว เป็นค้างคาวที่พบได้น้อย แต่สามารถพบได้ทั่วทุกภาค มีพฤติกรรม มักเกาะอาศัยตามยอดใบกล้วยที่ม้วนเป็นหลอดหรือท่อ และจะย้ายไปเรื่อย ๆ เมื่อยอดกล้วยแก่ขยายออกไม่ม้วนเป็นหลอดแล้ว นอกจากนี้ยังพบเกาะตามใบไม้แห้งของต้นไม้, ยอดหญ้าพง, ยอดอ้อ และยอดอ้อย รวมทั้งมีรายงานเกาะตามรังของนกกระจาบธรรมดาตัวผู้ ซึ่งเป็นรูปหยดน้ำแขวนตามกิ่งก้านของต้นไม้ อยู่เป็นคู่หรือโดดเดี่ยว ออกหากินในเวลาเย็น โดยบินต่ำระดับยอดไม้พุ่ม ลักษณะการบินคล้ายผีเสื้อกลางคืนขนาดใหญ่ แต่บินเร็วกว่ามาก อาหารได้แก่แมลงต่าง ๆ โดยเฉพาะแมลงที่มีขนาดเล็ก มีพฤติกรรมจับคู่ผสมพันธุ์ในช่วงเดือนมิถุนายน ค้างคาวตัวผู้และตัวเมียรวมทั้งลูกอ่อนที่เกาะติดอกแม่ถูกจับได้พร้อมกันบนใบตองแห้งในเดือนสิงหาคม เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวยอดกล้วยผีเสื้อ · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวยอดกล้วยป่า

้างคาวยอดกล้วยป่า (Whitehead's woolly bat) เป็นค้างคาวกินแมลงชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวยอดกล้วยป่า · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวสเปกตรัม

ำหรับค้างคาวแวมไพร์แปลงอย่างอื่น ดูที่: ค้างคาวแวมไพร์แปลง ค้างคาวสเปกตรัม หรือ ค้างคาวแวมไพร์แปลง (Spectral bat, False vampire bat; – แวมไพรัม สเปกตรัม) เป็นค้างคาวขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง เป็นค้างคาวชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Vampyrum.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวสเปกตรัม · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวหางอิสระเม็กซิโก

้างคาวหางอิสระเม็กซิโก หรือ ค้างคาวหางอิสระบราซิล (Mexican free-tailed bat, Brazillian free-tailed bat) เป็นค้างคาวขนาดกลางชนิดหนึ่ง จำพวกค้างคาวกินแมลง อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกา เป็นสัตว์ที่บินได้เร็วที่สุดในโลก จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่า สามารถบินได้เร็วถึงประมาณ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยขนานหรือเป็นแนวนอนไปกับพื้น โดยพบตัวหนึ่งที่ทำความเร็วสูงสุดถึง 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง นับว่าทำลายสถิติความเร็วที่สุดในโลกของนกแอ่นที่เร็วประมาณ 112 กิโลเมตร/ชั่วโมง อีกทั้งนกแอ่นยังต้องใช้แรงดึงดูดและลมช่วยในการบินด้วย แต่ค้างคางชนิดนี้กลับไม่ต้อง ทั้งนี้เนื่องจากความที่เป็นค้างคาวที่ลำตัวเรียบลื่นเป็นมัน ปีกแคบ และสามารถกางปีกได้ยาวกว่าค้างคาวชนิดอื่น ๆ โดยสามารถกางได้ยาวถึง 28 เซนติเมตร (11 นิ้ว).

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวหางอิสระเม็กซิโก · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวหน้ายักษ์กุมภกรรณ

้างคาวหน้ายักษ์กุมภกรรณ (lesser great leaf-nosed bat หรือ lesser roundleaf bat; ชื่อวิทยาศาสตร์: Hipposideros turpis) เป็นสายพันธุ์ค้างคาวในวงศ์ค้างคาวหน้ายักษ์ ซึ่งพบในประเทศญี่ปุ่น, ไทย และเวียดนาม ที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกมันคือป่าเขตอบอุ่น และค้างคาวชนิดนี้ได้ถูกคุกคามโดยการทำลายถิ่นฐานธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวหน้ายักษ์กุมภกรรณ · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวหน้ายักษ์ทศกัณฐ์

้างคาวหน้ายักษ์ทศกัณฐ์ (great roundleaf bat; ชื่อวิทยาศาสตร์: Hipposideros armiger) เป็นสายพันธุ์ค้างคาวในวงศ์ค้างคาวหน้ายักษ์ ซึ่งพบในประเทศจีน, อินเดีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, ไต้หวัน, ไทย และเวียดนาม.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวหน้ายักษ์ทศกัณฐ์ · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวอีอาอีโอ

้างคาวอีอาอีโอ (Great evening bat) เป็นค้างคาวชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ia io อยู่ในวงศ์ Vespertilionidae หรือวงศ์ค้างคาวกินแมลง ซึ่งค้างคาวอีอาอีโอเป็นค้างคาวที่ใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งในวงศ์นี้ เป็นค้างคาวที่ไม่มีข้อมูลมากนัก ขนสีลำตัวเป็นสีน้ำตาล ฟันแหลมคม อาศัยอยู่ในถ้ำหินปูน พบกระจายทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีนตอนใต้ โดยกินแมลงเป็นอาหารเหมือนค้างคาวในวงศ์นี้ทั่วไป ค้างคาวอีอาอีโอ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อวิทยาศาสตร์สั้นที่สุด คือ อักษรเพียงแค่ 4 ตัว ออกเสียงเพียงแค่ 4 พยางค์เท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวอีอาอีโอ · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวผลไม้

้างคาวผลไม้ (Megabat, Fruit bat) เป็นอันดับย่อยของค้างคาวอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Megachiroptera โดยแบ่งออกไปได้เพียงวงศ์เดียว คือ Pteropodidae ลักษณะโดยรวมของค้าวคาวในอันดับและวงศ์นี้ ก็คือ มีความยาวได้ถึง 16 นิ้ว ระยะกางปีกสามารถกว้างได้ถึง 5 ฟุต มีจมูกยาว หูเล็ก ดวงตาที่โต ใบหน้าคล้ายกับหมาจิ้งจอก มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ลูกค้างคาวจะถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นของฤดูร้อน ตัวเมียหนึ่งตัวจะให้กำเนิดลูกค้างคาวหนึ่งตัว มักจะอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นอาณานิคมใหญ่ โดยปกติแล้วตัวผู้หนึ่งตัวจะอาศัยอยู่ร่วมกับตัวเมียได้ถึง 8 ตัว ออกหากินในเวลากลางคืน บินเป็นเส้นตรง เนื่องจากใช้สายตาเป็นเครื่องนำทาง มูลที่ถ่ายออกมาไม่เป็นก้อน เพราะกินพืชเป็นหลัก มักพบในพื้นที่ป่าทึบ หรือป่าที่ใกล้กับชุมชน หากินในเวลากลางคืน โดยที่จะห้อยหัวอยู่กับกิ่งไม้ในเวลากลางวัน โดยกินอาหาร คือ ผลไม้และน้ำหวานจากดอกไม้ และจะกินใบไม้หากผลไม้และดอกไม้นั้นขาดแคลน เป็นค้างคาวที่พบได้ทั่วทุกภูมิภาคของโลก ยกเว้นแถบขั้วโลก ในประเทศไทยชนิดที่รู้จักกันดี ก็คือ ค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน (Pteropus vampyrus) จัดเป็นศัตรูพืชของเกษตรกรชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวผลไม้ · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวท้องสีน้ำตาล

ค้างคาวท้องสีน้ำตาล จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หมวดหมู่:ค้างคาว หมวดหมู่:สัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวท้องสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวขอบหูขาวเล็ก

้างคาวขอบหูขาวเล็ก (อังกฤษ: Lesser Short-nosed Fruit Bat, Common Short-nosed Fruit Bat) ค้างคาวขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cynopterus brachyotis อยู่ในวงศ์ค้างคาวผลไม้ (Pteropodidae) เป็นค้างคาวขนาดเล็ก มีจุดเด่นคือขอบใบหูทั้งสองข้างมีขอบสีขาวอันเป็นที่มาของชื่อ มีใบหน้าคล้ายสุนัข จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "ค้างคาวหน้าหมา" (Lesser Dog-faced Fruit Bat) ขนตามลำตัวหลากหลายมีตั้งแต่สีเทาจาง, น้ำตาลจาง ๆ จนถึงน้ำตาลเข้ม มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 28-40 กรัม ค้างคาวตัวเมียตกลูกครั้งละ 1 ตัว พบกระจายพันธุ์ทั่วไปตั้งแต่อินเดีย, ศรีลังกา, หมู่เกาะนิโคบาร์ในทะเลอันดามัน, จีนตอนใต้, เอเชียอาคเนย์ พบได้ในภูมิประเทศที่มีความหลากหลายมาก ตั้งแต่ป่าดิบที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,600 เมตร จนถึงชุมชนในเมืองใหญ่ และสวนผลไม้ต่าง ๆ โดยมักจะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ตามต้นไม้ใหญ่หรือต้นผลไม้ กินอาหารจำพวก ผลไม้ เช่น มะม่วง และน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ จึงนับเป็นศัตรูของผลไม้ด้วยชนิดหนึ่ง แต่ก็มีประโยชน์ในการผสมพันธุ์และแพร่กระจายละอองเกสรดอกไม้และผลไม้ สำหรับในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภูมิภาค ยกเว้นภาคเหนือตอนบนและภาคอีสาน จากการกระจายพันธุ์ที่ค่อนข้างกว้างขวาง ทำให้มีชนิดย่อยมากมายด้วยกันถึง 7 ชนิดย่อย คือ C.b. altitudinis พบในที่ราบสูงคาแมรอน ในมาเลเซีย, C.b. brachysoma พบในหมู่เกาะอันดามัน, C.b. cylonensis พบในศรีลังกา, C.b. concolor ที่เกาะอังกาโน, C.b. hoffetti พบในเวียดนาม, C.b. insularum พบในหมู่เกาะคังเกียน, C.b. javanicus พบในเกาะชวา และ C.b. minutus พบบนเกาะนิเอ.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวขอบหูขาวเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวคุณกิตติ

้างคาวคุณกิตติ, ค้างคาวกิตติ หรือ ค้างคาวหน้าหมู (อังกฤษ: Kitti's hog-nosed bat, Bumblebee bat) เป็นค้างคาวที่จัดอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และเป็นค้างคาวเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในวงศ์ Craseonycteridae และสกุล Craseonycteris พบได้ทางตะวันตกของประเทศไทย และทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศพม่า อาศัยอยู่ตามถ้ำหินปูนริมแม่น้ำ ค้างคาวคุณกิตติเป็นค้างคาวและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก มีสีน้ำตาลปนแดงเรื่อๆ หรือสีเทา มีจมูกคล้ายจมูกหมู มีอุปนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เฉลี่ยแล้วกลุ่มละ 100 ตัวต่อถ้ำ ออกหากินเป็นช่วงสั้นๆในตอนเย็นและเช้ามืด หากินไม่ไกลจากถ้ำที่พักอาศัย กินแมลงเป็นอาหาร ตกลูกปีละหนึ่งตัว สภาวะของค้างคาวคุณกิตติในประเทศพม่าไม่เป็นที่แน่ชัด และประชากรที่พบในประเทศไทยก็พบว่าจำกัดอยู่ในเพียงจังหวัดเดียว ทำให้ค้างคาวคุณกิตติอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ สาเหตุหลักเกิดจากการคุกคามจากมนุษย์ และการลดลงของถิ่นที่อยู่อาศั.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวคุณกิตติ · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวแม่ไก่ภาคกลาง

้างคาวแม่ไก่ภาคกลาง (Lyle's flying fox) เป็นค้างคาวขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ค้างคาวผลไม้ (Pteropodidae) มีลักษณะเหมือนค้างคาวแม่ไก่ชนิดอื่น ๆ มีขนาดใหญ่กว่าค้างคาวแม่ไก่เกาะแต่เล็กกว่าค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน ขนส่วนท้องและหลังสีน้ำตาลทอง ปลายหูแหลม มีความยาวแขนถึงศอกประมาณ 14.5-16 เซนติเมตร มีน้ำหนักตัว 390-480 กรัม พบกระจายพันธุ์ในพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง, ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ของประเทศไทย โดยพบตั้งแต่พื้นที่อ่าวไทยตอนในจรดจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และพบได้ที่กัมพูชาและเวียดนาม โดยอาศัยรวมกันเป็นฝูงใหญ่ เกาะบนต้นไม้ จากการศึกษาพบว่า ค้างคาวแม่ไก่ภาคกลางในประเทศไทย มีพื้นที่อาศัยเกาะนอน 16 แห่ง โดยมักอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นหรือพื้นที่ใกล้สวนผลไม้ ในแต่ละคืน กินพืชเป็นอาหารประมาณ 3.38-8.45 ตัน ซึ่งถือว่ามีปริมาณที่ค่อนข้างมากและยากที่เกษตรกรจะยอมรับได้ โดยเป็นพืชเศรษฐกิจเสียส่วนใหญ่ ปัจจุบัน เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวแม่ไก่ภาคกลาง · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน

้างคาวแม่ไก่ป่าฝน (Large flying fox, Greater flying fox, Malayan flying fox, Malaysian flying fox, Large fruit bat) เป็นค้างคาวชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pteropus vampyrus อยู่ในวงศ์ Pteropodidae หรือค้างคาวผลไม้ เป็นค้างคาวขนาดใหญ่ มีหัวคล้ายหมาจิ้งจอก มีดวงตาโต จมูกและใบหูเล็ก ขนสีน้ำตาลแกมแดง และมีเล็บที่แหลมคมสามารถเกาะกิ่งไม้ได้ โดยจะใช้เล็บของนิ้วที่ 2 ที่เหมือนตะขอเป็นหลักในการป่ายปีนและเคลื่อนไหว มีฟันทั้งหมด 36 ซี่ ที่เขียนเป็นสูตรได้ว่า Lekagul B., J. A. McNeely.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวแวมไพร์

ำหรับแวมไพร์ที่หมายถึง ผีตามความเชื่อของชาวยุโรปยุคกลาง ดูที่: แวมไพร์ ค้างคาวแวมไพร์ หรือ ค้างคาวดูดเลือด (Vampire bat) เป็นค้างคาวกลุ่มหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลาง มีพฤติกรรมดูดเลือดสัตว์ชนิดอื่นเป็นอาหาร จากพฤติกรรมของทำให้ได้ชื่อว่าเป็นค้างคาวแวมไพร์ หรือค้างคาวดูดเลือด เหมือนแวมไพร์ ในความเชื่อของชาวยุโรปยุคกลาง ค้างคาวแวมไพร์ เป็นค้างคาวขนาดเล็กมีทั้งหมด 3 ชนิด ใน 3 สกุล จัดอยู่ในวงศ์ค้างคาวจมูกใบไม้โลกใหม่ (Phyllostomidae) เป็นค้างคาวที่ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อ 26 ล้านปีก่อน โดยมีความสัมพันธ์กับค้างคาวกินแมลง มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ในถ้ำในป่าดิบ ออกหากินในเวลากลางคืน โดยจะกินแต่เพียงเลือดของสัตว์เลือดอุ่นขนาดใหญ่กว่าเป็นอาหารเท่านั้น (บางชนิดจะกินนกเป็นอาหาร) โดยมีฟันแหลมคมซี่หน้าคู่หนึ่งกัด โดยมากสัตว์ที่ถูกดูดกิน จะเป็นปศุสัตว์ เช่น หมู หรือวัว เป็นต้น ซึ่งสายตาของค้าวคาวแวมไพร์จะมองเห็นเป็นภาพอินฟาเรด จากความร้อนของอุณหภูมิในร่างกายของเหยื่อ ทำให้มองเห็นในเวลากลางคืนได้ดีมาก และเป็นตัวนำไปสู่การเลือกตำแหน่งที่กัด ซึ่งจะเป็นอวัยวะส่วนต่าง ๆ เช่น ใบหู, ข้อศอก หรือหัวนม และขณะที่กัด ด้วยความคมของฟันประกอบกับมักจะกัดในเวลาที่เหยื่อนอนหลับ ทำให้เหยื่อไม่รู้ตัว และขณะที่ดูดเลือดอยู่นั้น ค้างคาวจะขับปัสสาวะไปด้วย เนื่องจากจะดูดเลือดในปริมาณที่มาก ทำให้ไม่สามารถบินได้ โดยปริมาณเลือดที่ค้างคาวดูดไปนั้น หากคำนวณว่าดูดเลือดหมูทุกคืน ภายในเวลา 5 เดือน จะมีปริมาณเท่ากับน้ำหนัก 5 แกลลอน ซึ่งเลือดที่ไหลออกมานั้นจะไหลผ่านลิ้นของค้างคาวที่มีร่องพิเศษช่วยให้เลือดไหลผ่านหลอดเลือดฝอยได้โดยง่าย และในน้ำลายค้างคาวจะมีเอนไซม์ทำให้เลือดไม่แข็งตัว ซึ่งค้างคาวแวมไพร์ก็อาจดูดเลือดมนุษย์ได้ด้วยเช่นกันในเวลาหลับ และถึงแม้จะน่ากลัว แต่ค้างคาวแวมไพร์ก็มีความผูกพันกับลูก พ่อและแม่ค้างคาวจะเลี้ยงดูลูกค้างคาวที่ยังบินไม่ได้นานถึง 9 เดือน โดยจะนำเลือดที่ดูดเหลือกลับมาฝาก และฝากไปยังค้างคาวตัวอื่น ๆ ในฝูงที่หากินได้ไม่อิ่มพอด้วย นอกจากนี้แล้ว ค้างคาวแวมไพร์ยังเป็นพาหะนำโรคกลัวน้ำ หรือโรคพิษสุนัขบ้า ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตได้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวแวมไพร์ · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวแวมไพร์ธรรมดา

้างคาวแวมไพร์ธรรมดา หรือ ค้างคาวดูดเลือดธรรมดา (Common vampire bat, Vampire bat) เป็นค้างคาวขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Desmodus rotundus (/เดส-โม-ดัส /โร-ทัน-ดัส/) จัดเป็นค้างคาวเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Desmodus เป็นค้างคาวแวมไพร์หรือค้างคาวดูดเลือด 1 ใน 3 ชนิดที่มีในโลก แต่ถือเป็นเพียงชนิดเดียวที่ดูดเลือดของสัตว์อื่นที่มีขนาดใหญ่กว่ากินเป็นอาหารเท่านั้น จัดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่กินเลือดเป็นอาหาร กระจายพันธุ์ในป่าดิบตั้งแต่อเมริกากลาง จนถึงทั่วไปในหลายพื้นที่ของทวีปอเมริกาใต้ ลักษณะทั่วไปของค้าวคาวแวมไพร์ธรรมดา คือ จะมีปากสั้นรูปกรวย ไม่มีปีกจมูกทำให้เผยเห็นโพรงจมูกเป็นรูปตัวยู และมีอวัยวะพิเศษ เรียกว่า "Thermoreceptors" ติดอยู่ที่ปลายจมูก สำหรับใช้ช่วยตรวจหาบริเวณที่มีเลือดไหลได้ดีใต้ผิวหนังของเหยื่อ อีกทั้งยังมีสายตาที่มองเห็นเป็นภาพอินฟาเรด จากอุณหภูมิความร้อนของตัวเหยื่อ และทำให้เห็นดีมากในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเวลาออกหากิน ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้Delpietro V. & Russo, R. G. (2002) "Observations of the Common Vampire Bat and the Hairy-legged Vampire Bat in Captivity", Mamm.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวแวมไพร์ธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาวแวมไพร์แปลงทองอารีย์

Category:Megadermatidae.

ใหม่!!: สัตว์และค้างคาวแวมไพร์แปลงทองอารีย์ · ดูเพิ่มเติม »

งู

งู เป็นสัตว์เลื้อยคลานอันดับหนึ่ง ไม่มีขา ไม่มีเปลือกตา มีเกล็ดปกคลุมผิวหนังทั่วทั้งลำตัว ลักษณะลำตัวยาวซึ่งโดยขนาดของความยาวนั้น จะขึ้นอยู่กับชนิดของงู ปราดเปรียวและว่องไวในการเคลื่อนที่ มีลิ้นสองแฉกเพื่อใช้สำหรับรับความรู้สึกทางกลิ่น จัดอยู่ในชั้น Reptilia, ตระกูล Squamata, ตระกูลย่อย Serpentes โดยทั่วไปแล้วงูจะกลัวและไม่กัด นอกเสียจากถูกรบกวนหรือบุกรุก จะเลื้อยหลบหนีเมื่อมีสิ่งใดเข้ามาใกล้บริเวณที่อยู่ ออกล่าเหยื่อเมื่อรู้สึกหิว โดยกินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเป็นอาหาร ยกเว้นงูบางชนิดที่กินงูด้วยกันเอง เช่น งูจงอาง สามารถมองเห็นได้ดีในที่มืดและในเวลากลางคืน โดยทั่วไปจะออกลูกเป็นไข่ ยกเว้นแต่งูที่มีพิษซึ่งมีผลโดยตรงทางด้านโลหิต (วงศ์งูหางกระดิ่ง((Viperidae)) ซึ่งจะออกลูกเป็นตัว เช่น งูแมวเซา ธรรมชาติโดยทั่วไป งูจะลอกคราบเมื่อมันเริ่มโตขึ้น ทำให้ผิวหนังของงูเริ่มแข็งและคับขึ้น ซึ่งงูจะลอกคราบบ่อยครั้งเมื่องูยังมีอายุไม่มากนัก ซึ่งภายหลังจากการลอกคราบของงู จะทำให้ผิวหนังเก่าหลุดออก แต่เซลล์สีที่ทำให้งูมีสีสันยังคงอยู่ในตัวงู ทำให้เกล็ดที่ปกคลุมผิวหนัง มีสีสันสดใสรวมทั้งทำให้เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน มีงูถูกค้นพบแล้วประมาณ 2,700 ชนิด แต่เป็นงูไม่มีพิษประมาณ 2,300 ชนิด สำหรับในประเทศไทยมีงูจำนวนมากตามสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิต ทั่วทุกภูมิภาพของประเทศไทยสามารถพบเห็นงูได้มากกว่า 180 ชนิด โดยเป็นงูที่มีพิษจำนวน 46 ชนิด และสามารถจำแนกงูที่มีพิษออกได้อีก 2 ประเภทคือ.

ใหม่!!: สัตว์และงู · ดูเพิ่มเติม »

งูบิน

งูบิน (Flying snakes) เป็นสกุลหนึ่งของวงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง (Colubridae) จัดเป็นงูเขียวอย่างหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Chrysopelea งูบินเป็นสัตว์มีพิษอย่างอ่อน และถือว่าไม่เป็นอันตรายเนื่องด้วยพิษของมันไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ กลุ่มอันดับของพวกมันอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ที่แผ่นดินใหญ่, หมู่เกาะซุนดาใหญ่กับหมู่เกาะซุนดาน้อย, หมู่เกาะโมลุกกะ และประเทศฟิลิปปินส์), ชายแดนภาคใต้ของประเทศจีน, อินเดีย และ ศรีลังกาDe Rooij, N. (1915).

ใหม่!!: สัตว์และงูบิน · ดูเพิ่มเติม »

งูพิษเฟีย

งูพิษเฟีย (Fea's viper; 白頭蝰亞科) เป็นงูเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์ย่อย Azemiopinae และสกุล Azemiops ในวงศ์ใหญ่ Viperidae งูชนิดนี้ถูกตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแด่ ลีโอนาร์โด เฟีย นักธรรมชาติวิทยาชาวอิตาเลียน โดยจอร์จ อัลเบิร์ต บุลเลเยอร์ นักมีนวิทยาและนักวิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชาวฝรั่งเศส-เบลเยียม มีลักษณะโดยรวมคือ ระหว่างตาและช่องจมูกไม่มีแอ่งรับคลื่นอินฟราเรด กระดูกพาลาทีนมีก้านกระดูกโคเอนัลชิ้นใหญ่ ทางด้านท้ายของกระดูกฟรีฟอนทัลและค่อนไปทางด้านในมีก้านกระดูกออร์ไบทัล มีสีลำตัวที่โดดเด่นชัดเจนมาก โดยตามลำตัวเป็นสีฟ้าเทาอมดำและมีแต้มระหว่างเกล็ดเว้นระยะห่างกันประมาณ 1-2 ชิ้น มีลายแถบสีส้มขาว หัวมีขนาดเล็กเป็นสีส้มเหลืองตัดกับลำตัว ม่านตาเป็นสีส้มเหลืองในแนวตั้ง มีขนาดความยาวประมาณ 60-70 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อยู่ตามกองใบไม้กิ่งไม้ตามพื้นดินของป่าที่มีความชื้นสูงและอุณหภูมิต่ำไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในป่าไผ่และป่าเฟิร์นบนภูเขาสูงในระดับ 800-1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล ออกหากินในเวลากลางคืนและกินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในแถบเทือกเขาตั้งแต่ตอนเหนือของเวียดนาม, ภาคใต้ของจีน (มณฑลฟูเจี้ยน, มณฑลกวางสี, มณฑลเจียงซี, มณฑลกุ้ยโจว, มณฑลยูนนาน, มณฑลเสฉวน และมณฑลเจ้อเจียง), ตอนใต้ของธิเบต และในรัฐคะฉิ่น ทางภาคเหนือของพม่า งูชนิดนี้มีพิษที่คล้ายคลึงกับพิษของงูชนิด Tropidolaemus wagleri และไม่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือ.

ใหม่!!: สัตว์และงูพิษเฟีย · ดูเพิ่มเติม »

งูกระด้าง

งูกระด้าง เป็นงูพิษอ่อนชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์งูน้ำ (Homalopsidae) ซึ่งจัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Erpeton.

ใหม่!!: สัตว์และงูกระด้าง · ดูเพิ่มเติม »

งูกรีนแมมบาตะวันออก

งูกรีนแมมบาตะวันออก (Eastern green mamba) เป็นงูขนาดกลางถึงใหญ่ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) มีพิษร้ายแรง มีถิ่นกำเนิดในชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกาใต้ไปจนถึงแทบทุกพื้นที่ของแอฟริกาตะวันออก.

ใหม่!!: สัตว์และงูกรีนแมมบาตะวันออก · ดูเพิ่มเติม »

งูกรีนแมมบาตะวันตก

งูกรีนแมมบาตะวันตก (Western green mamba, West African green mamba, Hallowell's green mamba) เป็นงูพิษร้ายแรงในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) เป็นงูที่มีสีเขียวตลอดทั้งตัว มีลักษณะคล้ายกับงูกรีนแมมบาตะวันออก (D. angusticeps) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน (Dendroaspis spp.) แต่ว่าถูกจัดให้เป็นชนิดต่างกัน เนื่องจากมีลักษณะทางกายภาพที่ต่างกัน คือ มีความยาวที่มากกว่างูกรีนแมมบาตะวันออก กล่าวคือ มีความยาวโดยเฉลี่ย 1.8 เมตร และมีโทนสีของลำตัวหลากหลายแตกต่างกันมากกว่า กล่าวคือ มีทั้งสีเขียวมรกต, สีเขียวมะกอก หรือแม้แต่สีเขียวอมฟ้า อีกทั้งมีอุปนิสัยที่ดุร้ายก้าวร้าวกว่างูกรีนแมมบาตะวันออก อาศัยและหากินเป็นหลักบนต้นไม้ งูกรีนแมมบาตะวันตก มีถิ่นกระจายพันธุ์อยู่ในทวีปแอฟริกาตอนกลางในฝั่งทิศตะวันตก ซึ่งเป็นคนละส่วนกับถิ่นแพร่กระจายพันธุ์ของงูกรีนแมมบาตะวันออก ซึ่งทั้งคู่เป็นงูที่มีพิษร้ายแรงต่อระบบประสาทเช่นเดียวกัน โดยมีพิษร้ายแรงใกล้เคียงกับงูเห่า (Naja spp.) ทั้งคู่มีการนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในหมู่ของผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์แปลก ๆ โดยที่งูกรีนแมมบาตะวันตกจะมีราคาซื้อขายแพงกว่างูกรีนแมมบาตะวันออก.

ใหม่!!: สัตว์และงูกรีนแมมบาตะวันตก · ดูเพิ่มเติม »

งูกะปะ

งูกะปะ เป็นงูพิษที่มีพิษรุนแรงมาก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Calloselasma rhodostoma จัดเป็นงูเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Calloselasma โดยไม่มีชนิดย่อ.

ใหม่!!: สัตว์และงูกะปะ · ดูเพิ่มเติม »

งูก้นขบ

งูก้นขบ (Red-tailed pipe snakeSpecies at The Reptile Database. Accessed 17 August 2007.) เป็นงูไม่มีพิษชนิดหนึ่ง ยาวได้ถึง 1 เมตรBurnie D, Wilson DE.

ใหม่!!: สัตว์และงูก้นขบ · ดูเพิ่มเติม »

งูลายสอ

งูลายสอ (Painted keelbacks) เป็นงูขนาดเล็กในสกุล Xenochrophis (/ซี-โน-โคร-ฟิส/) ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง (Colubridae) เป็นงูขนาดเล็กที่ไม่มีพิษ แต่มีนิสัยดุร้าย ลำตัวมักมีลายดำบนพื้นสีเหลือง อาศัยหากินอยู่ตามพื้นดินและในน้ำ ไม่ขึ้นต้นไม้ ออกหากินในเวลากลางวัน.

ใหม่!!: สัตว์และงูลายสอ · ดูเพิ่มเติม »

งูสมิงทะเล

งูสมิงทะเล หรือ งูสามเหลี่ยมทะเล (Sea kraits) เป็นสกุลของงูทะเลที่มีขนาดใหญ่สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Laticauda อยู่ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) โดยงูในสกุลนี้ ยังจัดว่าเป็นงูทะเลที่สามารถเลื้อยบนขึ้นมาบนบกได้ ด้วยเกล็ดท้องยังมีอยู่และค่อนข้างกว้างอย่างน้อยประมาณครึ่งหนึ่งของความกว้างลำตัว ทำให้สามารถเลื้อยขึ้นบนหาดทรายได้บ้าง นอกจากนี้ยังมีการสืบพันธุ์ด้วยการวางไข่โดยขึ้นมาวางไข่บนบก โดยจะไปวางไข่ในในโพรงหินหรือพนังถ้ำ มีรูปร่างโดยรวม มีหัวขนาดเล็ก ปากมีขนาดเล็ก ปลายหางแผ่แบนเหมือนครีบปลา เพื่อใช้ในการว่ายน้ำ ลำตัวมีลายปล้องดำสลับกันไปทั้งทั่ว จัดเป็นงูที่มีขนาดใหญ่ โดยมีความยาวได้ถึงเกือบ 3 เมตร งูสมิงทะเลพบกระจายพันธุ์อยู่ในทะเลที่ใกล้กับชายฝั่ง จะอาศัยหากินตามแนวปะการัง เป็นงูที่ว่ายได้ช้า จึงไม่สามารถจับปลาที่ว่ายไปมากินเป็นอาหารได้ จึงหาอาหารที่หลบซ่อนตามซอกหลีบปะการัง พบได้ตั้งแต่ทะเลในแถบเอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงหมู่เกาะโซโลมอน หรือเกาะอื่น ๆ ในแถบโอเชียเนีย และเอเชียตะวันออก มีเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบน้ำจืดบนหมู่เกาะโซโลมอน.

ใหม่!!: สัตว์และงูสมิงทะเล · ดูเพิ่มเติม »

งูสมิงทะเลปากดำ

งูสมิงทะเลปากดำ (Black banded sea snake, Brown-lipped sea krait) เป็นงูทะเลที่มีพิษร้ายแรงต่อระบบกล้ามเนื้อ ที่พบได้ในประเทศไทย มีความยาวได้ถึง 2 เมตร จึงจัดเป็นทะเลที่ใหญ่ที่สุดด้วยที่พบได้ในน่านน้ำไทย ลำตัวเป็นสีเทา หรือเทาเหลืองลายเป็นปล้องหรือลักษณะคล้ายชายธงขว้างตามตัว หัวมีขนาดเล็ก ส่วนหางเล็กเหมือนส่วนหัว ใช้สำหรับว่ายน้ำ ปกติจะใช้ชีวิตอยู่ในทะเลตลอดทั้งชีวิต แต่ก็สามารถคลานขึ้นมาบนชายหาดได้บ้าง เพราะมีเกล็ดส่วนท้องมีค่อนข้างกว้างอย่างน้อยประมาณครึ่งหนึ่งของความกว้างลำตัว สามารถใช้คลานได้ โดยมักอาศัยหากินปลาตามแนวปะการังใกล้ชายฝั่งที่เป็นบริเวณน้ำตื้น แต่เมื่อวางไข่จะขึ้นมาวางไข่บนบกในที่ ๆ เงียบสงบ เช่น ในโพรงถ้ำ โดยในน่านน้ำไทยจะพบที่อ่าวไทย สำหรับในต่างประเทศพบได้ที่ศรีลังกา, พม่า, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, โพลินีเซีย, ฟิจิ, ไต้หวัน, อ่าวเบงกอล, ปาปัวนิวกินี, นิวแคลิโดเนีย, หมู่เกาะโซโลมอน.

ใหม่!!: สัตว์และงูสมิงทะเลปากดำ · ดูเพิ่มเติม »

งูสมิงทะเลปากเหลือง

ไม่มีคำอธิบาย.

ใหม่!!: สัตว์และงูสมิงทะเลปากเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

งูสามเหลี่ยม

งูสามเหลี่ยม หรือ งูทับทางเหลือง (Banded krait; ชื่อวิทยาศาสตร์ Bungarus fasciatus) เป็นชนิดของงูมีพิษชนิดหนึ่ง พบในอินเดีย, บังคลาเทศ, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงเอเชียตะวันออก มีหัวกลม ลำตัวเรียวยาว 1 ถึง 2 เมตร ปลายหางมักทู่ บางตัวหัวแบนเล็กน้อย ลำตัวเป็นสันสามเหลี่ยมชัดเจน อันเป็นที่มาของชื่อเรียก เลื้อยช้าแต่ว่ายน้ำได้เร็ว เป็นงูที่มีความว่องไวปราดเปรียวในน้ำ สีของลำตัวเป็นปล้องดำสลับเหลืองทั้งตัว เวลากัดไม่มีการแผ่แม่เบี้ยเหมือนงูในสกุล Naja ในประเทศไทยจะพบได้ทุกภาค แต่จะพบได้มากในภาคใต้ รวมถึงป่าพรุโต๊ะแดง กินอาหาร จำพวก หนู, กบ, เขียด หรือปลา รวมถึงงูด้วยกันขนาดเล็กด้วย หากินในเวลากลางคืน มักขดนอนตามโคนกอไม้ไผ่, ป่าละเมาะ, พงหญ้าริมน้ำ เป็นงูที่ไม่ดุ ไม่ฉกกัด นอกจากจะมีคนเดินไปเหยียบหรือเดินผ่านขณะที่งูสามเหลี่ยมกำลังไล่กัดงูซึ่งเป็นอาหารก่อน งูกินปลา งูเขียว ปกติตอนกลางวันจะซึมเซา แต่ตอนกลางคืนจะว่องไว มีพิษทำลายระบบประสาทและโลหิตรวมกัน เมื่อถูกกัดจะมีอาการชักกระตุก ปวดช่องท้อง มีเลือดออกเป็นจุด ๆ ใต้ผิวหนัง มีเลือดออกตามไรฟันและไอเป็นเลือด มีการแพร่ขยายพันธุ์โดยการวางไข่ครั้งละ 8-12 ฟอง.

ใหม่!!: สัตว์และงูสามเหลี่ยม · ดูเพิ่มเติม »

งูสิง

งูสิง (Rat snakes) เป็นสกุลของงูไม่มีพิษหรือพิษอ่อนสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Ptyas ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง (Colubridae) งูสิง โดยทั่วไปเป็นงูที่มีลักษณะคล้ายกับงูเห่า โดยเมื่อถูกคุกคามมักจะขู่ฟ่อเหมือนงูเห่า แต่ไม่มีแม่เบี้ย และเมื่อถูกรบกวนหนักเข้าก็จะเลื้อยหนี เพราะไม่มีพิษ มีความว่องไวและคล่องแคล่วกว่างูเห่า งูสิง ได้ชื่อว่ามีเนื้อที่อร่อยและนิยมปรุงเป็นอาหาร โดยเฉพาะชาวชนบทโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานของไท.

ใหม่!!: สัตว์และงูสิง · ดูเพิ่มเติม »

งูสิงธรรมดา

งูสิงธรรมดา หรือ งูสิงบ้าน หรือ งูเห่าตะลาน (Indochinese rat snake) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกงูสิงชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง (Colubridae) มีความยาวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1,400 มิลลิเมตร และหางยาว 445 มิลลิเมตร หัวยาวและส่วนของหัวกว้างกว่าลำคอเล็กน้อย ส่วนปลายของหัวมน ตาใหญ่มาก ลำตัวกลมและยาว หางยาวและส่วนปลายหางเรียว ผิวหนังลำตัวมีเกล็ดปกคลุม เกล็ดบนหัวเป็นแผ่นกว้าง เกล็ดบนหลังทางส่วนต้นของลำตัวมีขนาดใหญ่และพื้นผิวเรียบ เกล็ดท้องขยายกว้าง เกล็ดใต้หางเป็นแถวคู่ เกล็ดรอบลำตัวในตำแหน่งกึ่งกลางตัวจำนวน 15 เกล็ด เกล็ดท้องจำนวน 170 เกล็ด และเกล็ดใต้หางจำนวน 125 เกล็ด ลำตัวมีด้านบนของหัวและบนหลังครึ่งทางด้านหน้าของลำตัวสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมเขียว ส่วนครึ่งทางด้านท้ายของลำตัวสีน้ำตาล เกล็ดปกคลุมลำตัวและหางมีขอบแผ่นเกล็ดสีจางหรือสีขาว ซึ่งสีขาวของขอบแผ่นเกล็ดได้ขยายกว้างขึ้นตามลำดับไปทางด้านท้ายลำตัวและหาง ทำให้ด้านท้ายของลำตัว โดยเฉพาะหาง เป็นสีขาวที่มีโครงข่ายร่างแหสีดำ คาง ใต้คอ และด้านท้องสีขาวอมน้ำตาล ด้านใต้หางสีขาว งูวัยอ่อนมีจุดเล็กสีขาวเรียงตัวเป็นแถวพาดขวาง (ไม่เป็นระเบียบ) เป็นระยะอยู่ทางส่วนต้นของลำตัว พบกระจายพันธุ์ในทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และอนุทวีปอินเดีย เป็นงูที่กินหนูเป็นอาหารหลัก ออกหากินในเวลากลางวันบนพื้นดิน แต่ขึ้นต้นไม้ได้ดีและรวดเร็ว ว่ายน้ำได้ ประกอบกับมีพฤติกรรมการขู่และชูหัวพร้อมส่งเสียงขู่ฟ่อคล้ายงูเห่า ซึ่งเป็นงูที่มีพิษร้ายแรงกว่า จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "งูเห่าตะลาน" เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และงูสิงธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

งูหลาม

งูหลาม หรือ งูหลามพม่า (Burmese python) เป็นงูขนาดใหญ่ ไม่มีพิษ.

ใหม่!!: สัตว์และงูหลาม · ดูเพิ่มเติม »

งูหลามบอล

งูหลามบอล หรือที่นิยมเรียกว่า บอลไพธอน (Ball python) เป็นงูในวงศ์งูหลาม งูเหลือม (Pythonidae) ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Python regius โดยที่ไม่มีชนิดย่อ.

ใหม่!!: สัตว์และงูหลามบอล · ดูเพิ่มเติม »

งูหลามต้นไม้สีเขียว

งูหลามต้นไม้สีเขียว (Green tree python) เป็นงูไม่มีพิษชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Morelia viridis อยู่ในวงศ์งูเหลือม (Pythonidae) งูเมื่อโตเต็มวัยแล้วจะมีสีของช่วงหลังเป็นสีเขียวสดใสหรือสีฟ้าเป็นแต้ม และช่วงท้องเป็นสีเหลืองอ่อนหรือสีขาวตลอดแนวกระดูกสันหลัง ในขณะที่ยังเป็นตัวอ่อนส่วนใหญ่จะเป็นสีเหลืองสดใสตลอดลำตัว แต่ในบางพื้นที่อาจจะมีช่วงหลังเป็นสีแดง, ส้มหรือเขียว ร่างกายมีกล้ามเนื้อแข็งแรงมีส่วนหัวและลำตัวสั้น ตามีขนาดใหญ่โดยที่มีม่านตาอยู่ในแนวตั้ง และมีแอ่งจับคลื่นความร้อนบริเวณริมฝีปากเช่นเดียวกับงูในวงศ์เดียวกันนี้ชนิดอื่น ๆ โดยใช้เป็นเครื่องมือตรวจจับคลื่นความร้อนจากสัตว์เลือดอุ่นโดยเฉพาะในเวลากลางคืนเพื่อจับเป็นอาหาร มีความยาวเต็มที่ประมาณ 150-200 เซนติเมตร เป็นงูที่สามารถพบได้ในหลายพื้นที่ของเกาะนิวกินีตลอดจนหลายเกาะของอินโดนีเซียจนถึงรัฐควีนส์แลนด์ ของออสเตรเลีย สามารถพบได้ทั้งในป่าพรุ, ป่าดิบแล้ง ตลอดจนถึงพื้นที่ทำการเกษตร โดยสามารถพบได้จนถึงพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,000 เมตร โดยมากจะหาอาหารในเวลากลางคืน ได้แก่ กิ้งก่าและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก โดยจะหากินหลักบนต้นไม้ แต่บางครั้งก็จะลงพื้นดินมาหาอาหารได้ด้วย จัดเป็นงูชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และงูหลามต้นไม้สีเขียว · ดูเพิ่มเติม »

งูหลามปากเป็ด

งูหลามปากเป็ด (Blood python) เป็นงูไม่มีพิษ มีลำตัวที่อ้วน หนา กว่างูหลามและงูเหลือม แต่มีหางที่สั้นแลดูไม่สมส่วน และมีลวดลายที่แปลกออกไป มีหลายหลากสี ทั้งน้ำตาล, แดง, เหลือง, ส้ม หรือ เขียว โดยงูแต่ละตัวจะมีสีสันและลวดลายต่างกันออกไป ขนาดโตเต็มที่ได้ประมาณ 1.50 เมตร จัดเป็นงูที่มีขนาดเล็กที่สุดในสกุลนี้Mehrtens JM.

ใหม่!!: สัตว์และงูหลามปากเป็ด · ดูเพิ่มเติม »

งูหลามแอฟริกา

งูหลามแอฟริกา (African rock python) เป็นงูขนาดใหญ่ไม่มีพิษชนิดหนึ่งจำพวกงูหลาม งูหลามแอฟริกาโดยทั่วไปจะมีสีน้ำตาลและมีลวดลายประจำตัวสีน้ำตาลอ่อนและเขียวเข้มปนเหลือง ด้านล่างลำตัวมีสีขาวครีม จัดเป็นงูอีกชนิดหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความยาวเฉลี่ย 6 เมตร (20 ฟุต) หรือมากกว่า พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทางตอนใต้ของซาฮาร่า, แอฟริกาตะวันออก, โมซัมบิก, ซิมบับเวและในภาคตะวันออกของแอฟริกาใต้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) งูหลามแอฟริกา จัดเป็นงูขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา กินสัตว์ขนาดใหญ่กว่าเป็นอาหารได้ เช่น แอนทิโลป, จระเข้ แม้กระทั่งวิลเดอบีสต์ และมีรายงานว่าทำร้ายและฆ่ามนุษย์ได้ด้วย ด้วยขากรรไกรที่ไม่เชื่อมต่อกันและกระดูกซี่โครงที่สามารถยืดขยายได้และไม่มีกระดูกช่วงอกเหมือนงูชนิดอื่น ๆ แต่โดยปกติแล้วจะกินอาหารจำพวกสัตว์ขนาดเล็ก เช่น นก, หนู, กระรอก เป็นอาหารมากกว่า ตัวเมียวางไข่ได้ถึง 100 ฟอง ระยะเวลาการกกไข่อยู่ที่ระหว่าง 2-3 เดือน ลูกงูที่เพิ่งฟักออกจากไข่มีความยาวประมาณ 50-60 เซนติเมตร ลูกงูที่เพิ่งฟักออกจากไข่จะมีสีเดียวกัน และจะมีสีที่เข้มขึ้นเมื่อเติบโตขึ้นตามวัย งูตัวเมียจะมีความดุร้ายอย่างในช่วงการกกไข่ งูหลามแอฟริกา มีความดุร้ายก้าวร้าวกว่างูหลามพม่า (P. bivittatus) และปัจจุบันมีรายงานการเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับงูหลามพม่าไปแล้ว โดยสามารถแพร่กระจายพันธุ์ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเอเวอร์เกลดส์ รัฐฟลอริดา และจากการศึกษาพบว่าสามารถที่จะผสมข้ามพันธุ์กับงูหลามพม่าได้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และงูหลามแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

งูหัวกะโหลก

งูหัวกะโหลก เป็นสกุลของงูพิษอ่อนจำพวกงูน้ำที่อยู่ในสกุล Homalopsis เดิมทีจัดเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียว แต่ปัจจุบันได้มีการพิจารณาใหม่และจำแนกออกได้เป็น 5 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และงูหัวกะโหลก · ดูเพิ่มเติม »

งูหัวจิ้งจก

งูหัวจิ้งจก (Vine snakes, Whip snakes) เป็นสกุลของงูเขียวที่อยู่ในสกุล Ahaetulla ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง (Colubridae) เป็นงูที่มีรูปร่างเรียวยาว ลำตัวโดยปกติสีเขียว แต่อาจจะผันแปรไปได้เป็นสีต่าง ๆ มีส่วนหัวใหญ่และปลายปากปากแหลมเหมือนจิ้งจก ปกติอาศัยและหากินอยู่บนต้นไม้ จัดเป็นงูที่มีพิษอ่อน และนิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง โดยคำว่า Ahaetulla เป็นภาษาสิงหลคำว่า ehetulla สำหรับ Ahaetulla nasuta ที่หมายถึง "ที่ดัดขนตา" เป็นงูที่กระจายพันธุ์ในเอเชียตะวันออก ตั้งแต่ศรีลังกา และอินเดียถึงจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงส่วนใหญ่ของหมู่เกาะแปซิฟิก.

ใหม่!!: สัตว์และงูหัวจิ้งจก · ดูเพิ่มเติม »

งูหางกระดิ่ง (สกุล)

งูหางกระดิ่ง (Rattlesnakes; Crótalo) เป็นสกุลของงูพิษที่อยู่ในวงศ์งูแมวเซา (Viperidae) และวงศ์ย่อยงูหางกระดิ่ง (Crotalinae) ใช้ชื่อสกุลว่า Crotalus (/โคร-ทา-ลัส/) โดยคำว่า Crotalus นั้นมาจากภาษากรีกคำว่า krotalon หมายถึง "สั่น" หรือ "Castanet" มีลักษณะเด่น คือ เมื่อลอกคาบแล้ว เกล็ดบางส่วนที่ปลายหางจะไม่ลอกหลุดหมดไป เกล็ดเหล่านี้จะมีลักษณะเป็นปล้อง ๆ เป็นสารประกอบเคอราติน เรียงตัวต่อเนื่องกันซึ่งเป็นส่วนซึ่งเมื่อสั่นเกล็ดส่วนนี้แล้วจะทำให้เกิดเสียงจากการปล้องแต่ละปล้องนั้นเสียดสีกระทบกัน เพื่อใช้เป็นสัญญาณเตือนและข่มขู่สัตว์ที่ใหญ่กว่าที่คุกคาม อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ นอกจากนี้แล้วยังมีหัวมีลักษณะแบน ดูคล้ายรูปสามเหลี่ยม รูม่านตาคล้ายรูม่านตาของแมว คือ เป็นรูปวงรีวางตัวในแนวตั้ง และจะมีความกว้างของหัวเป็นสองเท่าของลำคอ สามารถเห็นแอ่งรับรู้ความร้อนอินฟาเรดระหว่างตา และรูจมูกของแต่ละข้างของหัว ซึ่งเป็นบริเวณที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ทำให้งูสามารถรู้ตำแหน่งของเหยื่อได้แม้ในความมืด เนื่องจากเป็นงูที่หากินในเวลากลางคืน โดยกินเหยื่อเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น หนู, กระต่าย หรือแพรรีด็อก เป็นต้น และหากินตามพื้นดินมากกว่าขึ้นต้นไม้ เป็นงูที่ออกลูกเป็นไข่ แต่ไข่จะฟักในตัวแม่งู ลูกงูจะออกมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ครั้งละ 5-12 ตัว ลูกงูที่ออกมามีความยาวประมาณ 6-8 นิ้ว (15-20 เซนติเมตร) ลูกงูจะมีปล้องเกล็ดที่หาง 1 ปล้อง สามารถผลิตพิษได้แต่จำนวนน้อย และพิษยังไม่รุนแรงมาก และจะโตเต็มวัยเมื่ออายุได้ 3 ปี สีของลำตัวต่างกันไปตามชนิด และระยะของการลอกคราบ โดยมีสีสันที่หลากหลายได้แก่ สีน้ำตาล, สีเหลือง, สีเทา, สีดำ, สีคล้ายกับฝุ่นชอล์ก และสีเขียวมะกอก เป็นต้น Kardong, K. V. and Bels, V. L. (1998).

ใหม่!!: สัตว์และงูหางกระดิ่ง (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

งูหางกระดิ่งแคระ

งูหางกระดิ่งแคระ หรือ งูหางกระดิ่งเล็ก (Pigmy rattlesnakes, MassasaugasWright AH, Wright AA. 1957. Handbook of Snakes. Comstock Publishing Associates. (7th printing, 1985). 1105 pp. ISBN 0-8014-0463-0.) เป็นสกุลของงูพิษในสกุล Sistrurus ในวงศ์งูหางกระดิ่ง (Viperidae) จัดเป็นงูหางกระดิ่งจำพวกหนึ่ง ที่ไม่ใช่สกุล Crotalus ที่มีขนาดใหญ่กว่า โดยคำว่า Sistrurus แปลว่า "หางกระดิ่ง" (Σείστρουρος, Seistrouros) ซึ่งเป็นภาษากรีกที่มีที่มาจากเครื่องดนตรีของอียิปต์โบราณที่ชื่อซิสทรัม งูหางกระดิ่งแคระ มีลักษณะคล้ายกับงูหางกระดิ่งทั่วไป คือ ส่วนของปลายหางเป็นปล้องของสารประกอบเคอราตินที่เรียงตัวต่อเนื่องกันซึ่งเป็นส่วนของคราบผิวหนังลำตัวที่ยังเหลืออยู่จากการลอกคราบแต่ละครั้ง เมื่อสั่นหางจะเกิดเสียงดังจากการกระทบกันของปล้องของคราบผิวหนังเพื่อใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยแก่สัตว์อื่น แต่มีขนาดเล็กกว่า และมีการเรียงตัวของเกล็ดต่างกัน เกล็ดแผ่นใหญ่ที่ส่วนหัวมี 9 แผ่น (เหมือนกับสกุล Agkistrodon) ขณะที่งูหางกระดิ่งทั่วไป (รวมถึงงูสกุลอื่นในวงศ์เดียวกันเกือบทั้งหมด) หัวจะปกคลุมด้วยเกล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก พบกระจายพันธุ์ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแคนาดา, ภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา รวมถึงตอนเหนือและภาคกลางของเม็กซิโก.

ใหม่!!: สัตว์และงูหางกระดิ่งแคระ · ดูเพิ่มเติม »

งูหางกระดิ่งไซด์ไวน์เดอร์

งูหางกระดิ่งไซด์ไวน์เดอร์ หรือ งูไซด์ไวน์เดอร์ (Sidewinder, Sidewinder rattlesnake, Horned rattlesnakeCarr A. 1963. The Reptiles. Life Nature Library. Time-Life Books, New York. LCCCN 63-12781.) เป็นงูพิษขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่แถบทะเลทราย จัดเป็นงูจำพวกงูหางกระดิ่ง อยู่ในวงศ์งูแมวเซา (Viperidae) และวงศ์ย่อยงูหางกระดิ่ง (Crotalinae) จัดเป็นงูหางกระดิ่งชนิดที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 1.5-2.5 ฟุต แต่ตัวที่มีความยาวกว่า 30 นิ้ว มักไม่ค่อยพบ มีลักษณะเด่น คือ มีติ่งเล็ก ๆ เหนือตาคล้ายกับเขา ซึ่งเป็นอวัยวะที่ใช้ในการปกป้องดวงตา มีเกล็ดตามลำตัวสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลเข้ม สำหรับการปรับตัวให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม ที่เป็นทราย งูหางกระดิ่งไซด์ไวน์เดอร์ มีการเคลื่อนที่ด้วยการเหวี่ยงตัวไปข้าง ๆ ด้วยการควบคุมตัวให้ตกลงสู่พื้นในแนวดิ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการลื่นไถล เพื่อทำให้เกิดแรงผลักและทำให้ลำตัวเคลื่อนไปข้างหน้าขณะเดียวกันลำตัวถูกยกขึ้นสูงจากพื้นวัสดุแล้วตกลงในแนวดิ่ง จึงสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้ แต่ทิศทางการเลื้อยอาจดูเฉียงไปด้านข้างเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะรูปแบบการเคลื่อนที่แบบนี้เหมาะมากสำหรับการเคลื่อนที่ของสัตว์ที่ไม่มีขาบนพื้นทราย ที่อ่อนนุ่มแบบนี้ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญที่ใช้เรียกด้วย งูหางกระดิ่งไซด์ไวน์เดอร์ เป็นงูที่ออกหากินในเวลากลางคืน ด้วยการตรวจจับคลื่นอินฟาเรดจากความร้อนของตัวเหยื่อ ซึ่งเหยื่อ โดยมากจะได้แก่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น หนู หรือสัตว์ฟันแทะและกิ้งก่าชนิดต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย แพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่ภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา เช่น รัฐเท็กซัส, ยูทาห์, เนวาดา, อริโซนา, แคลิฟอร์เนีย และตอนเหนือของเม็กซิโก แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดย่อย ตามแต่ละถิ่นที่อยู่อาศัย (ดูในตาราง) รอยบนพื้นทราย ที่เป็นงูเหวี่ยงตัวผ่าน เป็นงูที่ออกลูกเป็นตัวได้มากกว่าครั้งละ 18 ตัว.

ใหม่!!: สัตว์และงูหางกระดิ่งไซด์ไวน์เดอร์ · ดูเพิ่มเติม »

งูหางแฮ่มกาญจน์

งูหางแฮ่มกาญจน์ (Kanburi pitviperGumprecht A, Tillack F, Orlov NL, Captain A, Ryabov S. 2004.) เป็นงูที่มีพิษที่มีขนาดใหญ่อยู่ในสกุลเดียวกันกับงูเขียวหางไหม้ วงศ์ย่อยงูหางกระดิ่ง อาศัยในบริเวณที่ชุ่มชื้นและป่าชายเลน พบในในประเทศไทย บริเวณเขตจังหวัดกาญจนบุรี เลย และระนอง ศูนย์รวบรวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และงูหางแฮ่มกาญจน์ · ดูเพิ่มเติม »

งูอนาคอนดา

งูอนาคอนดา หรือ งูโบอาน้ำ (Anacondas, Water Boas) เป็นชื่อสามัญและสกุลของงูขนาดใหญ่ 4 ชนิดที่อยู่ในวงศ์ย่อย Boinae ในวงศ์ใหญ่ Boidae ใช้ชื่อสกุลว่า Eunectes อาศัยอยู่ในหนอง บึง และแม่น้ำในป่าดิบชื้นในทวีปอเมริกาใต้และเกาะตรินิแดด โดยที่คำว่า Eunectes มาจากภาษากรีกคำว่า Eυνήκτης หมายถึง "ว่ายน้ำได้ดี".

ใหม่!!: สัตว์และงูอนาคอนดา · ดูเพิ่มเติม »

งูอนาคอนดาเหลือง

งูอนาคอนดาเหลือง (Yellow anaconda) เป็นงูไม่มีพิษขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกงูอนาคอนดา จัดอยู่ในวงศ์งูโบอา (Boidae) มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 3 เมตร นับว่าน้อยกว่างูอนาคอนดาเขียว (E. murinus) มาก แต่ก็มีตัวเมียที่ใหญ่ได้ถึง 6.3 เมตร พบในอาร์เจนตินาAnimal Planet Showcase.

ใหม่!!: สัตว์และงูอนาคอนดาเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

งูอนาคอนดาเขียว

งูอนาคอนดาเขียว หรือ งูอนาคอนดาธรรมดา (Green anaconda, Common anaconda) เป็นงูขนาดใหญ่มากที่สุดในโลกที่ยังคงสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Eunectes murinus อยู่ในวงศ์ย่อย Boinae ในวงศ์ใหญ่ Boidae สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) งูอนาคาคอนดาเขียวนับเป็นงูอนาคอนดา ชนิดที่ใหญ่ที่สุดและรู้จักดีที่สุด เมื่อโตเต็มที่อาจยาวได้ถึง 30 ฟุต และหนักได้ถึง 550 ปอนด์ มีผิวลำตัวสีเขียว มีลายเป็นวงกลมสีดำ ใต้ท้องเป็นสีขาว ตาเป็นสีดำ ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้มาก อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ เช่น ป่าอเมซอน, บราซิล, โบลิเวีย, กายอานา ในหนองน้ำ หรือบึง โดยมักจะอาศัยอยู่ในน้ำหรือหมกตัวในโคลนมากกว่าจะเลื้อยมาอยู่บนบก เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากทำให้งุ่มง่ามเชื่องช้ามากเมื่ออยู่บนบก แต่จะว่องไวกว่าเมื่ออยู่ในน้ำ ว่ายน้ำได้เก่ง บางครั้งอาจใช้วิธีการลอยน้ำอยู่บริเวณผิวน้ำแล้วปล่อยให้กระแสน้ำไหลพัดไป แต่มักจะขึ้นมาอาบแดดเป็นบางครั้งด้วยการเกาะเกี่ยวกับกิ่งไม้ริมน้ำ ล่าเหยื่อด้วยการใช้แอ่งรับความร้อนอินฟราเรดที่อยู่บริเวณหน้าผาก ในเวลากลางคืน โดยกินอาหารได้หลากหลายมาก ทั้ง สัตว์เล็กและสัตว์ใหญ่ ทั้ง คาปรีบารา, จระเข้ไคแมน, ปลา, กบ หรือแม้กระทั่งวัวหรือควาย หรือปศุสัตว์ต่าง ๆ ของชาวบ้าน โดยใช้วิธีการรัดเหยื่อด้วยลำตัวอย่างแน่น และกดลงไปในน้ำให้จมน้ำตายก่อนจะเขมือบกลืนเข้าไปทั้งตัว โดยเริ่มจากส่วนหัวก่อน ซึ่งอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง แต่กระนั้นก็จะทำให้ไม่ต้องกินอะไรอีกไปนานนับเดือน ในยามที่อาหารขาดแคลนเช่นในช่วงฤดูร้อน อาจอดอาหารได้นานถึง 7 เดือน หลังจากนั้นแล้วจะเร่งรีบกินเพื่อชดเชยพลังงานที่สูญเสียไปและผสมพันธุ์ โดยถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 3-4 ปี ฤดูผสมพันธุ์จะตกอยู่ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ตัวเมียจะปล่อยกลิ่นเพื่อดึงดูดตัวผู้ให้มาผสมพันธุ์ โดยอาจผสมพันธุ์กับตัวผู้ได้มากถึง 2-12 ตัว ใช้เวลาตั้งท้องนาน 6 เดือน ตกลูกเป็นตัว ซึ่งอาจออกได้ครั้งละ 40 ตัวหรือมากกว่านั้น ลูกงูที่ออกมาใหม่จะมีความยาวราว 2 ฟุต และจะไม่ถูกดูแลโดยแม่ ซึ่งอาจจะตกเป็นเหยื่อของสัตว์ที่ใหญ่กว่าหรือแม้กระทั่งงูอนาคอนดาด้วยกันเองกินก่อนที่จะโตต่อไปในอนาคต งูอนาคอนดาเขียวเป็นงูที่มนุษย์ให้ความสนใจมาก ด้วยขนาดที่ใหญ่โตและพละกำลังที่มากมายมหาศาล ดังนั้น เมื่อมีการจับงูชนิดนี้ได้ในแต่ละครั้งมักปรากฏเป็นข่าวโด่งดัง และถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ อาทิ Anaconda เมื่อปี ค.ศ. 1997 ของฮอลลีวู้ด เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และงูอนาคอนดาเขียว · ดูเพิ่มเติม »

งูผ้าขี้ริ้ว

งูผ้าขี้ริ้ว เป็นงูในจำพวกงูทะเลชนิดเดียวที่พบในประเทศไทยที่ไม่มีพิษ โดยที่มิได้อยู่ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) เหมือนงูทะเลทั่วไป มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Acrochordus granulatus ในวงศ์งูงวงช้าง (Acrochordidae) ตัวสีเทาลายเทาเข้มปนน้ำเงินหรือสีเทาดำสลับกับสีขาว เกล็ดที่หนังมีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ ที่ท้องไม่มีเกล็ด ลักษณะลำตัวเหมือนงูงวงช้าง (A. javanicus) ซึ่งเป็นงูในวงศ์เดียวกัน ลำตัวนุ่มนิ่มเหมือนผ้าขี้ริ้ว อันเป็นที่มาของชื่อ หนังย่นได้มาก สามารถพับงอตัวได้ดี ขณะยังเล็กอยู่จะมีลายสีเข้มและสีจางลง เมื่อโตขื้น ขนาดยาวเต็มที่ประมาณ 1.6 เมตร อาศัยอยู่ในเขตน้ำตื้นตามพื้นโคลนตามชายฝั่งทะเล, ป่าชายเลน หรือปากแม่น้ำ ชอบอาศัยอยู่ตามพื้นโคลนมากกว่าอยู่ในน้ำใส กินปลาเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์กว้างขวางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงทวีปออสเตรเลีย ในประเทศไทยพบทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน เป็นงูชนิดที่เคลื่อนไหวได้ดีในน้ำ แต่จะเชื่องช้าเมื่อขึ้นมาอยู่บนบก มีพฤติกรรมผสมพันธุ์ในเดือนกรกฎาคมไปจนถึงปลายปี ออกลูกเป็นตัว ลูกงูจะเกิดมาในช่วงเดือนมิถุนายนปีถัดมา โดยงูตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าและสามารถกินอาหารที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ มีอุปนิสัย ไม่ดุ มักติดอวนของชาวประมงอยู่บ่อย ๆ เมื่อถูกจับได้และขดตัวอยู่นิ่ง ๆ แสร้งทำเป็นตาย นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง พบขายตามร้านขายปลา มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "งูม้าลาย".

ใหม่!!: สัตว์และงูผ้าขี้ริ้ว · ดูเพิ่มเติม »

งูจงอาง

งูจงอาง (King Cobra) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชั้นสัตว์เลื้อยคลาน เป็นงูพิษขนาดใหญ่ โดยทั่วไปมีความยาวเฉลี่ยประมาณ 3.5 - 4.5 เมตร จัดเป็นงูพิษที่มีขนาดยาวที่สุดในโลก ซึ่งตัวที่ยาวเป็นสถิติโลกมีความยาวถึง 5.67 เมตร เป็นงูจงอางไทยลำตัวสีชมพู ถูกยิงได้ที่จังหวัดนครศรีธรรมร..

ใหม่!!: สัตว์และงูจงอาง · ดูเพิ่มเติม »

งูทะเล

งูทะเล เป็นชื่อสามัญที่ใช้เรียกสัตว์เลื้อยคลานจำพวกงู ที่อาศัยและดำรงชีวิตอยู่ในทะเลตลอดชีวิต ไม่เคยขึ้นมาบนบกเลย ยกเว้นการผสมพันธุ์และวางไข่ในบางชนิด งูทะเลเป็นงูที่อยู่ในวงศ์ย่อย Hydrophiinae และ Laticaudinae งูทะเลทุกชนิดอาศัยอยู่ในทะเลหรือปากแม่น้ำชายฝั่งหมด ยกเว้น ชนิด Hydrophis semperi และ Laticauda crokeri เท่านั้น ที่พบอาศัยอยู่ในทะเลสาบน้ำจืดในประเทศฟิลิปปิน.

ใหม่!!: สัตว์และงูทะเล · ดูเพิ่มเติม »

งูทะเลเอราบุ

งูทะเลเอราบุ (Common sea krait, China sea snake) เป็นงูทะเล มีถิ่นอาศัยอยู่ในชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น, ไต้หวัน, ทะเลจีนใต้.

ใหม่!!: สัตว์และงูทะเลเอราบุ · ดูเพิ่มเติม »

งูทับทาง

งูทับทาง หรือ งูสามเหลี่ยม (Kraits) เป็นสกุลของงูพิษสกุลหนึ่ง ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Bungarus มีลักษณะเด่นคือ มีลำตัวเป็นสันสามเหลี่ยมชัดเจน ลำตัวยาว อาศัยอยู่ตามพื้นดิน มีเขี้ยวพิษคล้ายกับงูเห่า (Naja spp.) ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกัน มีต่อมพิษอยู่บริเวณท้ายหัวทั้งสองข้าง พิษมีฤทธิ์มากในทางทำลายระบบประสาท มีอันตรายถึงแก่ชีวิต มีความยาวโดยเฉลี่ย 1–1.5 เมตร พบใหญ่ที่สุด 2 เมตร แต่ไม่มีตัวใดที่มีความยาวเกิน 4 เมตร เป็นงูที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร เช่น งู หรือสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก ออกหากินในเวลากลางคืน เมื่อกัดจะไม่มีการแผ่แม่เบี้ยหรือพังพานเหมือนงูเห่า พบกระจายพันธุ์ในเขตร้อนของทวีปเอเชีย เช่น ศรีลังกา, บังกลาเทศ, อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงอินโดนีเซีย และบอร์เนียว งูตัวเมียจะวางไข่ครั้งละ 12–14 ฟอง ในกองหรือเศษซากใบไม้กิ่งไม้ต่าง ๆ จนกว่าไข่จะฟักเป็นตัว.

ใหม่!!: สัตว์และงูทับทาง · ดูเพิ่มเติม »

งูทางมะพร้าวธรรมดา

งูทางมะพร้าว.

ใหม่!!: สัตว์และงูทางมะพร้าวธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

งูดิน

งูดิน (Blind snake, Thread snake) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกงูกลุ่มหนึ่ง จัดอยู่ในอันดับฐาน Scolecophidia จัดเป็นงูขนาดเล็กที่สุด เป็นงูไม่มีพิษ มีลักษณะลำตัวยาวเรียว ปกคลุมด้วยเกล็ดมันวาว ขนาดเท่ากันตลอดลำตัวรวมทั้งเกล็ดท้อง มักมีสีน้ำตาลหรือดำ ลิ้นมี 2 แฉก มีขนาดลำตัวตั้งแต่ความยาวไม่กี่เซนติเมตรลักษณะคล้ายไส้เดือนหรือไส้ดินสอ ไปจนถึงความยาวกว่า 30 เซนติเมตร ตาขนาดเล็กมากอยู่ใต้เกล็ด บางชนิดมองไม่เห็นเลยจนเสมือนว่าตาบอด งูดิน มักพบเจอได้บ่อย ๆ บนพื้นดินช่วงหลังฝนตกใหม่ ๆ ดำรงชีวิตโดยการกินไข่และตัวอ่อนของมดและปลวกรวมถึงสัตว์ขาปล้องขนาดเล็กเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และงูดิน · ดูเพิ่มเติม »

งูดินบ้าน

งูดินบ้าน หรือ งูดินธรรมดา (Brahminy blind snake, Common blind snake) เป็นงูดินชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ Typhlopidae ลำตัวเรียวยาวและกลมสม่ำเสมอตลอดความยาวลำตัว ส่วนของหัวกว้างเท่ากับลำตัว ส่วนปลายของหัวมน หางสั้นมากและส่วนปลายของหางมีหนามแข็ง ตาเล็กมากแต่มองเห็นได้ชัดเจน ผิวหนังลำตัวมีเกล็ดขนาดเล็กปกคลุมและพื้นผิวเกล็ดเรียบเป็นมัน เกล็ดรอบลำตัวในแนวกึ่งกลางตัว จำนวน 20 เกล็ด at the.

ใหม่!!: สัตว์และงูดินบ้าน · ดูเพิ่มเติม »

งูดินหางยาว

งูดินหางยาว (Long-tailed blind snake) งูดินจำพวกหนึ่ง อยู่ในสกุล Ramphotyphlops ในวงศ์งูดิน (Typhlopidae) งูดินในสกุลนี้ มีแท่งกระดูกอยู่ภายในถุงพีนิสซึ่งแตกต่างจากของสกุลอื่นที่มีเฉพาะตัวถุงพีนิส และในชนิด R. braminus มีชุดโครโมโซมเป็นไตรพลอยด์ และมีกระบวนการเกิดโดยไม่มีการปฏิสนธิได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายพันธุ์ของงูดินนี้กว้างมากเนื่องจากไข่ติดไปกับรากของต้นไม้ที่ถูกนำไปในพื้นที่อื่นรวมทั้งเกาะกลางมหาสมุทร เช่น หมู่้เกาะฮาวาย หรือเกาะมาดากัสการ์ สามารถแบ่งออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ 49 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และงูดินหางยาว · ดูเพิ่มเติม »

งูงวงช้าง

งูงวงช้าง (Elephant trunk snake) เป็นงูน้ำขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ไม่มีพิษ อยู่ในวงศ์ Acrochordidae จัดอยู่ในวงศ์เดียวและสกุลเดียวกับงูผ้าขี้ริ้ว (A. granulatus) ซึ่งในประเทศไทยพบเพียง 2 ชนิดนี้เท่านั้น งูงวงช้างมีผิวหนังย่นและสากแบบเปลือกขนุน หัวแบนเล็ก เกล็ดบนลำตัวมีลักษณะเป็นตุ่ม รวมถึงเกล็ดบริเวณด้านท้องซึ่งแตกต่างจากงูชนิดอื่น ท้องสีขาว ไม่มีลวดลาย ลำตัวป้อมอ้วนสั้น ฟันแหลมคม ถ้าอยู่พ้นน้ำจะมีสีเหลืองนวล แต่ถ้าอยู่ในน้ำจะมีสีน้ำตาลดำ มีความยาวประมาณ 1 เมตร เป็นงูที่อาศัยอยู่ในน้ำตลอดเวลา อาหารหลักคือ ปลา สามารถพบได้ตามแหล่งน้ำทุกภาคของประเทศไทย ในต่างประเทศพบได้ที่อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, กัมพูชา, พม่า, ลาว โดยจะขุดรูอยู่ตามริมตลิ่ง อุปนิสัยไม่ดุ ปกติมักอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเขยื้อน แต่ถ้าถูกรบกวนมักจะใช้ลำตัวรัดพัน ดังนั้นเมื่อมีคนลงไปว่ายน้ำในถิ่นที่งูงวงช้างอาศัยอยู่ มักจะถูกงูรัด ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นผีพรายมาฉุด ออกลูกเป็นตัว ครั้งละ 25-30 ตัว ลูกที่เกิดใหม่มีความยาวประมาณ 29 เซนติเมตร ซึ่งสามารถกินอาหารได้เล.

ใหม่!!: สัตว์และงูงวงช้าง · ดูเพิ่มเติม »

งูตาแมว

งูตาแมว หรือ งูแมว (Cat-eyed snakes, Cat snakes, Boigas) เป็นสกุลของงูในสกุล Boiga ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง (Colubridae) ในวงศ์ย่อยงูเขียว (Colubrinae) เป็นงูที่มีถิ่นกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย, อินเดีย และออสเตรเลีย เป็นงูที่มีพิษแต่ทว่าพิษไม่ร้ายแรงและเป็นอันตรายต่อมนุษย์ หากถูกรบกวนจะมีพฤติกรรมยกหัวและลําตัวสวนหนา (ประมาณ 1/3 ของความยาวลําตัว) สูงขึ้นมาจากพื้นดิน พับลําตัวไป-มาโดยมีหัวอยูในตําแหนงตรงกลางของรอยพับ พร้อมทั้งโยกลําตัวให้เอนไป-มาทางด้านหน้าและทางดานหลัง แกวงหางคอนข้างถี่และอ้าปากกว้าง ต่อจากนั้นยืดลําตัวและพุงเข้าฉกหรือกัดอยางรวดเร็ว แลวดึงลําตัวกลับไปอยู่ในตําแหนงเดิม ได้รับความนิยมในแง่ของการเป็นสัตว์เลี้ยงในหลายชนิด เป็นงูที่ออกลูกเป็นไข่ หากินในเวลากลางคืน จับสัตว์ขนาดเล็ก เช่น กิ้งก่า, จิ้งจก, งูขนาดเล็ก หรือนกเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และงูตาแมว · ดูเพิ่มเติม »

งูปล้องทอง

งูปล้องทอง (Mangrove snake, Gold-ringed cat snake) เป็นงูขนาดกลางมีความยาวประมาณ 170 เซนติเมตร ลำตัวมีสีดำเป็นมันและมีสีเหลืองเป็นวงเล็ก ๆ เป็นระยะ แต่ไม่รอบตัว หัวดำ ปากลายเสือและท้องมีเขี้ยวพิษใต้ตา เมื่อถูกฉกกัดบริเวณปลายปากจะไม่เป็นอันตราย นอกเสียจากถูกฉกติดและงับไปจนถึงเขี้ยวพิษ ผู้ถูกกัดไม่มีอันตรายมากนัก หากแต่เพียงมีอาการปวดบวม แต่ไม่ปรากฏเป็นรอยแผลเป็น งูปล้องทองมีนิสัยดุ เมื่อเข้าใกล้จะงอพับตัวเตรียมฉก สามารถแผ่หนังคอทางตั้งแล้วอ้าปากเพื่อให้อีกฝ่ายกลัว งูปล้องทองชอบอาศัยอยู่ตามป่าริมแม่น้ำและริมทะเลทางภาคใต้ ในเวลากลางวันจะขดตัวนอนตามพุ่มไม้ และออกหากินในเวลากลางคืน งูปล้องทองกินอาหารได้หลายอย่างเช่น หนู, นก, ตุ๊กแก, กิ้งก่า, ปลา พบมากในจังหวัดระนอง, ชุมพร, สตูล, ยะลา, ปัตตานี, ตรัง และนราธิวาส นอกจากประเทศไทยแล้วยังพบในมาเลเซียจนถึงฟิลิปปิน.

ใหม่!!: สัตว์และงูปล้องทอง · ดูเพิ่มเติม »

งูปล้องฉนวน

งูปล้องฉนวน (Wolf snakes) เป็นงูในสกุล Lycodon (/ไล-โค-ดอน/) จัดอยู่ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหลัง (Colubrida) มีลักษณะโดยรวมเป็นงูลำตัวเรียว มีความยาวประมาณ 40-60 เซนติเมตร มักมีลายเป็นปล้องสีนํ้าตาลหรือดําสลับขาว ไม่มีพิษ โดยคำว่า Lycodon มาจากภาษากรีกคำว่า "λύκος" (lykos) หมายถึง "หมาป่า" และ "οδόν" (odon) หมายถึง "ฟัน" อันหมายถึง ลักษณะของฟันที่ขากรรไกรและฟันคู่หน้าล่าง.

ใหม่!!: สัตว์และงูปล้องฉนวน · ดูเพิ่มเติม »

งูปะการังแปลง

งูปะการังแปลง หรือ งูคอรัลแปลง หรือ งูท่อ (False coral snake, Pipe snake, Red pipe snake) เป็นงูชนิดหนึ่ง และจัดเป็นเพียงชนิดเดียวและสกุลเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์ Aniliidae กระดูกพรีแมคซิลลามีฟัน กระดูกแมคซิลลาเรียงตัวตามยาวและมีฟัน ช่องเปิดตาอยู่ตรงรอยต่อกระดูกฟรอนทัลกับกระดูกพาไรทัล ขากรรไกรล่างมีกระดูกโครนอยด์และกระดูกเดนทารีมีฟัน มีกระดูกของรยางค์ขาคู่หลังที่ยังลดรูปไม่หมดและเป็นแท่งขนาดเล็กที่มองเห็นได้จากช่องเปิดทวารร่วม มีกระดูกเชิงกรานขนาดเล็กที่ยังลดรูปไม่หมดฝังอยู่ในกล้ามเนื้อลำตัว มีปอดข้างซ้ายแต่มีขนาดเล็ก มีท่อนำไข่ทั้งสองข้างและเจริญเท่ากัน เป็นงูที่มีลำตัวกลม มีความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร หางสั้นมาก มีเกล็ดปกคลุมลำตัวเรียบเป็นมัน เกล็ดด้านท้องใหญ่กว่าเกล็ดด้านหลังเล็กน้อย ลำตัวมีเป็นปล้องสีแดงสลับสีดำคล้ายคลึงกับงูปะการัง หรืองูคอรัล ซึ่งอยู่ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) ที่มีพิษร้ายแรง แต่ความกว้างของปล้องสีแดงและปล้องสีดำไม่เท่ากัน และขอบของปล้องไม่เป็นเส้นตรง อาศัยอยู่ในโพรงหรือหลบซ่อนตัวอยู่ใต้กองใบไม้ในพื้นที่ป่า ออกหากินในเวลากลางคืน แต่อาจพบได้ในพื้นที่เกษตรกรรมหรือพื้นที่ ๆ มีกิจกรรมของมนุษย์ กินงู และจิ้งเหลนด้วงเป็นอาหาร ออกลูกเป็นตัว พบกระจายพันธุ์อยู่ในบริเวณตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ จัดเป็นงูไม่มีพิษ งูปะการังแปลง ยังแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย คือ.

ใหม่!!: สัตว์และงูปะการังแปลง · ดูเพิ่มเติม »

งูปาล์ม

งูปาล์ม หรือ งูเขียวปาล์ม หรือ งูปาล์มแดง (Palm pit viper, Javanese pit viper, Flat-nosed pit viper) เป็นงูพิษชนิดหนึ่ง ในจำพวกงูเขียวหางไหม้ งูปาล์ม เป็นงูเขียวหางไหม้ขนาดเล็ก ยาวประมาณ 35 เซนติเมตร มีสีและลวดลายปะปนกันหลายสี มีสีพื้นสีเขียว สีน้ำตาล และสีน้ำตาลอมแดง มีจุดประสีขาว ส่วนท้องสีน้ำตาลม่วง มีสิ่งที่ทำให้แตกต่างจากงูเขียวหางไหม้ชนิดอื่น คือ มีเกล็ดจมูกเชิดงอนขึ้น เกล็ดบนตาแหลมสูงทำให้แลดูเด่นชัด ไม่เหมือนงูเขียวหางไหม้ชนิดอื่น ๆ ซึ่งในครั้งแรกเข้าใจว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของสีลวดลายหรือเป็นความแตกต่างระหว่างเพศของตัวผู้และตัวเมียของงูที่พบในเขตประเทศมาเลเซียและไม่พบในประเทศไทย แต่เมื่อนำมาเลี้ยงดูและศึกษาแล้วพบว่ามีลักษณะเช่นนี้เหมือนกันทั้งตัวผู้และตัวเมีย งูปาล์ม เดิมเคยเชื่อว่าเป็นงูถิ่นเดียวที่พบได้เฉพาะในภาคใต้ของไทย พบครั้งแรกโดยเกาะพาดอยู่กลางป่าหวาย ที่อำเภอท่าฉางเขตติดต่อกับจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้ชื่อว่า "งูปาล์ม" และได้ให้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trimeresurus wiroti เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ น.อ.(พิเศษ) วิโรจน์ นุตพันธุ์ นักวิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชาวไทย แต่แท้จริงแล้ว งูปาล์มพบได้ทั่วไปตั้งแต่ภาคใต้ของไทยไปจนถึงมาเลเซียตะวันออกและอินโดนีเซีย โดยตัวอย่างต้นแบบแรกพบที่เกาะชวา โดยที่ไม่มีชนิดย่อ.

ใหม่!!: สัตว์และงูปาล์ม · ดูเพิ่มเติม »

งูแบล็กแมมบา

งูแบล็กแมมบา (Black mamba, Common black mamba, Black-mouthed mamba) งูพิษร้ายแรงมากชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dendroaspis polylepis อยู่ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) พบกระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา ในแถบตอนใต้และตอนกลาง งูแบล็กแมมบา มีรูปร่างเพรียวยาว มีลำตัวสีน้ำตาลเทา ท้องมีสีเทาขาวจนไปถึงสีเหลืองหรือเขียว เส้นขอบปากมีสีน้ำตาลดำ คอแบน ภายในปากสีดำสนิท มีต่อมพิษขนาดใหญ่ ตากลมโตขนาดใหญ่ มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 2 เมตร แต่มีขนาดยาวเต็มที่เกือบ 4 เมตร งูแบล็กแมมบาเป็นงูที่มักไม่ขึ้นต้นไม้ แต่จะหากินและอาศัยบนพื้นเป็นหลัก เป็นงูที่เลื้อยคลานได้ไวมาก โดยสามารถเลื้อยได้ไวถึง 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง จึงถูกจัดให้เป็นงูที่ไวที่สุดในโลก นอกจากนี้แล้ว งูแบล็กแมมบายังได้ถูกจัดให้เป็นงูที่อันตรายและเป็นงูพิษที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา ด้วยความเป็นงูที่หากินบนพื้นเป็นหลัก คล่องแคล่วว่องไว อีกทั้งยังเป็นงูที่ไม่กลัวมนุษย์ มีอุปนิสัยดุร้ายก้าวร้าว เมื่อปะทะกับมนุษย์ซึ่ง ๆ หน้า จะไม่หลบหนีเหมือนงูชนิดอื่น ๆ โดยคำว่า "แมมบา" นั้น หมายถึง "โลงศพ" เนื่องจากมีส่วนหัวแลดูคล้ายโลงศพของชาวตะวันตก ซึ่งชื่อนี้มีนัยถึงถึง "ความตายที่มาเยือน" งูแบล็กแมมบา ใช้พิษในการหากินโดยใช้กัดเหยื่อให้ตาย แล้วจึงกลืนเข้าไปทั้งตัว ซึ่งได้แก่ กระต่าย, นก, ค้างคาว และสัตว์ฟันแทะ รวมถึงกบหรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำทั่วไป และยังกินงูด้วยกันเป็นอาหารได้อีกด้วย มีพฤติกรรมออกหากินในเวลากลางวัน พิษของงูแบล็กแมมบานั้นถือว่าร้ายแรงมาก ถูกจัดให้เป็นงูที่มีพิษอันตรายมากที่สุดติด 1 ใน 10 อันดับของโลก ก่อนหน้าที่จะมีการพัฒนาเซรุ่มแก้พิษนั้น ผู้ที่โดนกัดจะถึงแก่ความตายทั้งหมด โดยการกัดครั้งหนึ่งจะปล่อยพิษออกมาประมาณ 100-250 มิลลิกรัม มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ผู้ที่ถูกกัดจะเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลวในเวลาเพียง 20 นาที แต่โดยเฉลี่ยคือ 2-4 ชั่วโมง จากความล่าช้าของการรักษา งูแบล็กแมมบาสามารถที่จะฉกกัดได้อย่างว่องไว และสามารถขู่ แผ่แม่เบี้ย และชูหัวได้เหมือนกับงูเห่า (Naja spp.) หรืองูจงอาง (Ophiophagus hannah) ซึ่งอยู่ร่วมวงศ์กัน แม้จะไม่ใหญ่เท่า แต่ก็สามารถฉกและชูหัวได้สูงถึง 2 เมตร.

ใหม่!!: สัตว์และงูแบล็กแมมบา · ดูเพิ่มเติม »

งูแมมบา

งูแมมบา (Mambas) เป็นงูพิษร้ายแรงมากสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Dendroaspis จัดอยู่ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา งูในสกุลงูแมมบานั้น เป็นงูที่มีลำตัวเรียวยาว มีส่วนหัวขนาดเล็ก มีตากลมโต มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 1.5-2 เมตร พบใหญ่ที่สุดได้ถึง 4 เมตร และเป็นงูที่มีความว่องไวมาก สามารถเลื้อยคลานได้เร็วถึง 12-20 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนพื้นดิน จนถูกจัดให้เป็นงูที่เลื้อยไวที่สุดบนโลกมาแล้ว งูแมมบานั้น จะมีสีเดียวตลอดทั้งลำตัว โดยจะมีทั้งสีน้ำตาล, สีเขียว หรือเหลือบสีต่าง ๆ บนเกล็ด รวมถึงสีขาวอมเทาหรือเทาตุ่น ๆ ด้วย ในบางชนิด มีเกล็ดเรียบลื่น เกล็ดบนหัวมีขนาดใหญ่ มุมปากยาว ดวงตามีขนาดกลมโต มีความแตกต่างกันมากระหว่างเพศ โดยงูตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย เป็นงูที่ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ ดำรงชีวิตทั้งบนต้นไม้และพื้นดิน กินอาหารได้แก่ สัตว์ขนาดเล็กต่าง ๆ รวมทั้งงูด้วยกันเองด้วย งูแมมบานั้นได้ถูกอนุกรมวิธานออกเป็นชนิดได้ 4 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และงูแมมบา · ดูเพิ่มเติม »

งูแมวเซา

งูแมวเซา เป็นงูพิษชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Daboia siamensis ในวงศ์ Viperidae.

ใหม่!!: สัตว์และงูแมวเซา · ดูเพิ่มเติม »

งูแมวเซาอินเดีย

งูแมวเซาอินเดีย หรือ งูพิษรัสเซลล์ (botSomaweera A. 2007. Checklist of the Snakes of Sri Lanka. Peradeniya, Sri Lanka: Department of Zoology, Faculty of Science, University of Peradeniya. at. Retrieved 14 March 2007., Russell's viper at. Retrieved 20 October 2006.) งูพิษชนิดหนึ่ง ที่พบได้ในทวีปเอเชียในหลากหลายประเทศ จัดเป็นงูเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Daboia ในวงศ์ Viperidae โดยถูกตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่แพทริก รัสเซลล์ นักฟิสิกส์และธรรมชาติวิทยาชาวสกอต และชื่อสกุล Daboia มาจากภาษาฮินดีที่มีความหมายถึง "ซ่อนลวดลาย" หรือ "ผู้แฝงตัว"Weiner ESC, Simpson JA, Editors.

ใหม่!!: สัตว์และงูแมวเซาอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

งูแสมรัง

งูแสมรัง เป็นสกุลของงูพิษ จำพวกงูทะเลสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hydrophis (/ไฮ-โดร-พิส/) ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) เป็นงูที่มีพิษร้ายแรงมากสกุลหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และงูแสมรัง · ดูเพิ่มเติม »

งูแสมรังเกล็ดเบลเชอร์

งูแสมรังเกล็ดเบลเชอร์ (Faint-banded sea snake, Belcher's sea snake) เป็นงูชนิดหนึ่ง จำพวกงูทะเล ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) งูแสมรังเกล็ดเบลเชอร์ มีความยาวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 0.5-1 เมตร (ประมาณ 20-40 นิ้ว) ความยาวของผู้ใหญ่ มีลำปล้องสีเข้มตัดสลับกันไปทั้งตลอดลำตัว งูแสมรังเกล็ดเบลเชอร์กระจายพันธุ์ทั่วในมหาสมุทรอินเดีย, ทะเลฟิลิปปิน, อ่าวไทย, นิวกินี จนถึงตอนเหนือของออสเตรเลีย โดยถือว่าเป็นงูพิษที่มีพิษร้ายแรงมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมีพิษรุนแรงกว่างูไทปันโพ้นทะเล (Oxyuranus microlepidotus) ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกันถึง 100 เท่า โดยมีการประมาณกันว่า พิษเพียงน้อยนิดของงูแสมรังเกล็ดเบลเชอร์สามารถฆ่ามนุษย์ได้มากกว่า 1,000 ราย แต่โอกาสที่มีผู้ถูกกัดนั้นน้อยมาก เพราะตามธรรมชาติแล้วงูแสมรังเกล็ดเบลเชอร์มีนิสัยขี้อาย หาตัวยาก และปล่อยพิษในปริมาณที่น้อย มีเพียงชาวประมงโชคร้ายบางรายเท่านั้นที่โดนงูแสมรังเกล็ดเบลเชอร์ที่ติดอวนขึ้นมากัดเข้า และถ้าโชคร้ายหากถูกปล่อยพิษออกมา โอกาสรอดชีวิตนั้นมีน้อยมาก ผู้ที่โดนกัดจะมีอาการทางระบบกล้ามเนื้อเริ่มจากปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นอัมพาตและมักเสียชีวิตจากอาการไตว.

ใหม่!!: สัตว์และงูแสมรังเกล็ดเบลเชอร์ · ดูเพิ่มเติม »

งูแสงอาทิตย์

งูแสงอาทิตย์ (Sunbeam snake) เป็นงูไม่มีพิษ มีลำตัวยาวทรงกระบอก หัวแบนเรียว ตามีขนาดเล็ก ลำตัวมีความยาวประมาณ 120 เซนติเมตร ลำตัวสีดำถึงสีน้ำตาลเข้ม ส่วนท้องมีสีขาว ส่วนหัวแบนเรียว ตาเล็ก ลักษณะเด่นคือเกล็ดลำตัวเรียบเป็นเงาแวววาบสะดุดตาเมื่อสะท้อนแสงแดด อันเป็นที่มาของชื่อ พบได้ตั้งแต่ภาคใต้ของจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไม่มีชนิดย่อย ตัวอย่างต้นแบบแรกพบที่ชวา จัดเป็นงูโบราณจากลักษณะที่ยังคงปอดทั้งสองข้างเอาไว้ ซึ่งงูทั่วไปจะเหลือปอดซ้ายเพียงข้างเดียวเพื่อความสะดวกในการเก็บปอดภายในลำตัวแคบๆ ยาว ๆ มักพบเห็นได้ในพื้นที่ที่มีกิ้งก่า, กบ, หนู และสัตว์มีกระดูกสันหลังอื่น ๆ ซึ่งเป็นอาหาร รวมถึงกินงูด้วยกันชนิดอื่น เช่น ลูกงูเห่าจุดประกาย 7 WILD, งูแสงอาทิต.

ใหม่!!: สัตว์และงูแสงอาทิตย์ · ดูเพิ่มเติม »

งูไทปัน

งูไทปัน (Taipan) เป็นสกุลของงูในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Oxyuranus เป็นงูที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นงูกลุ่มที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก มีลำตัวยาวโดยประมาณ 2-3.6 เมตร ลักษณะลำตัวมีสีน้ำตาลปนดำ มักอาศัยอยู่ตามซอกหินในทะเลทรายของประเทศออสเตรเลี.

ใหม่!!: สัตว์และงูไทปัน · ดูเพิ่มเติม »

งูไทปันกลาง

งูไทปันกลาง (Central Ranges Taipan) เป็นงูไทปันชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่ เคลื่อนที่เร็ว เป็นงูออสตราเลเซียที่มีพิษร้ายแรง ถูกค้นพบในปี..

ใหม่!!: สัตว์และงูไทปันกลาง · ดูเพิ่มเติม »

งูไทปันธรรมดา

งูไทปันธรรมดา (Coastal taipan หรือ Common taipan) เป็นงูไทปันขนาดใหญ่ มีพิษร้ายแรงของวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า มันมีถิ่นกำเนิดในพื้นที่ชายฝั่งของทางเหนือและทางตะวันออกของประเทศออสเตรเลีย และเกาะนิวกินี มีความยาวได้ถึง 3 เมตร จากการศึกษาแอลดี 50 มันเป็นงูบกที่มีพิษร้ายแรงเป็นอันดับสามในโลก.

ใหม่!!: สัตว์และงูไทปันธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

งูไทปันโพ้นทะเล

งูไทปันโพ้นทะเล (Inland Taipan) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Small Scaled Snake และ Fierce Snake เป็นงูไทปันชนิดหนึ่ง ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า มีถิ่นกำเนิดในประเทศออสเตรเลีย เป็นงูพิษที่มีพิษร้ายแรงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จัดอันดับบนพื้นฐานปริมาณแอลดี 50ในหนู แม้ว่ามันจะมีพิษร้ายแรง แต่กลับเป็นสัตว์ขี้อายและสันโดษ และมักจะเลือกหลบหนีมากกว่า (ชื่อ "fierce (รุนแรง)" มาจากพิษที่รุนแรง ไม่ใช่อารมณ์ของมัน).

ใหม่!!: สัตว์และงูไทปันโพ้นทะเล · ดูเพิ่มเติม »

งูเส้นด้ายบาร์เบโดส

งูเส้นด้ายบาร์เบโดส (Barbados threadsnake) เป็นงูเส้นด้ายตาบอดสปีชีส์หนึ่งในวงศ์ Leptotyphlopidae เป็นงูขนาดเล็กที่สุดในโลก พบในเกาะในแคริบเบียนของประเทศบาร์เบโดส และพบในเมืองอาบูเกีย (Abu Qir) ในประเทศอียิปต์ http://species.asu.edu/2009_species04 งูชนิดนี้ได้รับการบรรยายและระบุแยกตัวเป็นสปีชีส์ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และงูเส้นด้ายบาร์เบโดส · ดูเพิ่มเติม »

งูเหลือม

งูเหลือม (Reticulated python) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลื้อยคลาน เป็นงูขนาดใหญ่ ลำตัวยาวเฉลี่ยประมาณ 3.5-6 เมตร จัดเป็นงูที่ยาวที่สุดของโลกซึ่งตัวที่ยาวที่สุดยาวถึง 9.6 เมตร ถูกจับได้เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และงูเหลือม · ดูเพิ่มเติม »

งูเหลือม (สกุล)

งูเหลือม หรือ งูหลาม (Pythons) เป็นสกุลของงูไม่มีพิษในวงศ์งูเหลือม (Pythonidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Python (/ไพ-ธอน/) มีทั้งหมด 10 ชนิด (ดูในตาราง) แพร่กระจายพันธุ์ทั้งแต่ทวีปแอฟริกา, เอเชีย และออสเตรเลีย ในแอฟริกาพบได้ตั้งแต่ใต้ทะเลทรายซาฮาราลงไป จนถึงแอฟริกาตอนใต้ และพบในเกาะมาดากัสการ์ ในเอเชีย พบได้ตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย, เอเชียอาคเนย์ทั้งที่เป็นแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะกลางทะเล และบางส่วนในเอเชียตะวันออก เช่น ภาคใต้ของจีน, ฮ่องกง และเกาะไหหลำ เป็นงูที่ใช้พละกำลังจากกล้ามเนื้อที่ลำตัวรัดเหยื่อจนกระดูกหักและขาดใจตาย ก่อนจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัว ในบางครั้งที่เหยื่อมีขนาดใหญ่อาจใช้เวลาหลายชั่วโมง โดยเหยื่อที่กินส่วนมากจะเป็นสัตว์เลือดอุ่น ทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหรือสัตว์ปีก แพร่ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ หาเหยื่อได้ทั้งบนดิน, ต้นไม้ และในน้ำ ซึ่งแตกต่างออกไปตามชนิด โดยคำว่า Python นั้น มาจากภาษากรีก คือคำว่า "πύθων/πύθωνας" มีที่มาจากเทพปกรณัมกรีก เมื่อมหาเทพซูสได้มีจิตปฏิพัทธ์ต่อ นางเลโต ทำให้ เทพีฮีรา มเหสีเอกเกิดความหึงหวงจึงกลั่นแกล้งด้วยการส่ง งูเหลือมที่เลี้ยงไว้ไปตามรังควาน นางจึงต้องอุ้มครรภ์หนีซอกซอนไปจนถึงเกาะดีลอส โปเซดอนมีความสงสารบันดาลให้เกาะผุดขึ้นในทะเล เพื่อให้นางได้ประสูติ เทพอพอลโล กับ เทพีอาร์เตมิส บนเกาะนั้น ทันทีที่ประสูติจากครรภ์มารดา เทพอพอลโล ก็จับงูเหลือมฆ่าทิ้งเสีย จึงได้รับการขนานนามว่า ไพธูส (Pytheus) ซึ่งแปลว่า “ผู้สังหารงูเหลือม”.

ใหม่!!: สัตว์และงูเหลือม (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

งูเหลือมอ้อ

งูเหลือมอ้อ หรือที่นิยมเรียกกันว่า งูหัวกะโหลก เป็นงูพิษอ่อนชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์งูน้ำ (Homalopsidae) อดีตเคยถูกจัดให้เป็นงูเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Homalopsis แต่ปัจจุบันได้มีการจำแนกออกใหม่เป็น 5 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และงูเหลือมอ้อ · ดูเพิ่มเติม »

งูเห่า

งูเห่า (Cobras) เป็นงูพิษขนาดกลางที่อยู่ในสกุล Naja ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) วงศ์ย่อย Elapinae ซึ่งเป็นสกุลของงูพิษที่อาจเรียกได้ว่าเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดอย่างหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และงูเห่า · ดูเพิ่มเติม »

งูเห่าพ่นพิษสยาม

งูเห่าพ่นพิษสยาม (Indo-Chinese cobra) เป็นงูเห่าจำพวกงูเห่าพ่นพิษ กล่าวคือ เป็นงูเห่าที่สามารถพ่นพิษได้ โดยสามารถพ่นพิษได้ไกล ถึง 5 – 8 เมตร เมื่อพ่นน้ำพิษหมดแล้ว สามารถผลิตน้ำพิษได้ในเวลา 10 นาที ก็สามารถพ่นน้ำพิษใหม่ได้ ขณะชูคอแผ่แม่เบี้ยขู่ ก็จะอ้าปากเพื่อเตรียมพ่นพิษใส่ศัตรู จะมีรูของเขี้ยวพิษ อยู่ทางด้านหน้า เพื่อสะดวกในการฉีดพ่นพิษออกไป และถ้าพิษเข้าตา ก็จะทำให้ตาบอดได้ ถ้าถูกพิษทางผิวหนังที่มีแผล ก็จะทำให้เกิดการอักเสบ แต่ไม่อันตรายมาก เพราะได้รับปริมาณพิษน้อ.

ใหม่!!: สัตว์และงูเห่าพ่นพิษสยาม · ดูเพิ่มเติม »

งูเห่าพ่นพิษสีทอง

งูเห่าพ่นพิษสีทอง (Equatorial spitting cobra) เป็นงูเห่าชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายงูเห่าพ่นพิษสยาม (N. siamensis) และงูเห่าพ่นพิษชนิดอื่น ๆ คือมี ขนาดที่เล็กกว่างูเห่าธรรมดา (N. kaouthia) ไม่มีดอกจันที่แม่เบี้ย ไม่มีลวดลายตามลำตัว สีพื้นลำตัวเป็นสีเหลืองหรือสีทองสวยงาม ท้องมีสีขาว พบมากทางภาคใต้ของประเทศไทย และพบไปจนถึงมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งงูที่พบในมาเลเซียและสิงคโปร์นั้นจะมีลำตัวสีดำ ความยาวเต็มที่ 1.6 เมตร มีชื่อเรียกอื่นอีกว่า "งูเห่าปลวก" นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้ที่ชื่นชอบการเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลาน.

ใหม่!!: สัตว์และงูเห่าพ่นพิษสีทอง · ดูเพิ่มเติม »

งูเห่าหม้อ

งูเห่าหม้อ หรือ งูเห่าไทย หรือ งูเห่าดง หรือ งูเห่าปลวก (Siamese cobra, Monocled cobra) เป็นงูพิษร้ายแรงชนิดหนึ่ง จำพวกงูเห่า อยู่ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) หัวมีลักษณะกลมเรียว หางเรียวยาว มีสีสันลำตัวต่าง ๆ ทั้ง สีดำ, เขียว หรือน้ำตาลเหลืองหรือน้ำตาลเข้ม รวมทั้งเป็นสีขาวนวลปลอดตลอดทั้งตัวด้วย โดยที่มิใช่เป็นงูเผือกเรียกว่า "งูเห่านวล" (N. k. var. suphanensis Nutaphand, 1986) มีทั้งที่มีลายตามตัว และไม่มีลาย ไม่มีดอกจัน พบที่แถบจังหวัดสุพรรณบุรี ตัวผู้หัวจะทู่ใหญ่ พังพานจะแผ่กว้างเป็นวงกลม ส่วนตัวเมียหัวจะหลิมปลายจมูกเรียว พังพานแคบกว่าตัวผู้ โดยงูเห่าชนิดนี้สามารถแผ่พังพานได้กว้างกว่างูเห่าชนิดอื่น ๆ และใกล้เคียงกับงูเห่าอินเดีย (N. naja) ที่พบได้ในประเทศอินเดีย และเมื่อยกตัวชูคอแผ่พังพานได้สูงที่สุดประมาณ 1 ใน 3 ของความยาวลำตัว เกล็ดบนหัวมีขนาดใหญ่ จัดเป็นงูเห่าที่มีขนาดใหญ่มากชนิดหนึ่ง โดยความยาวเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 100–180 เซนติเมตร โดยขนาดยาวที่สุดที่วัดได้ของสถานเสาวภา โดยสภากาชาดไทย คือ 225 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อย่างชุกชุมในประเทศไทย โดยพบได้ทุกภาค พบชุกชุมโดยเฉพาะภาคกลาง นอกจากนี้แล้วยังพบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่อินเดีย, เนปาล, พม่า, จีน, เวียดนาม, กัมพูชา, ลาว ไปจนถึงแหลมมลายู ในประเทศไทยถือเป็นงูเห่าชนิดที่พบได้ชุกชุมมากที่สุด โดยมักในบริเวณที่ลุ่มค่อนข้างชื้น มักอาศัยอยู่ในจอมปลวก, ทุ่งนา หรือพบบนภูเขาที่ระดับความสูง 900 เมตรจากระดับน้ำทะเล ออกหากินในเวลาพลบค่ำโดยหากินตามพื้นดิน ผสมพันธุ์ช่วงเดือนสิงหาคมถึงมกราคม วางไข่ครั้งละ 15–37 ฟอง ในช่วงเดือนตุลาคมถึงมีนาคม ระยะฟักไข่นาน 51–69 วัน (เฉลี่ย 60 วัน) เมื่อแรกเกิดมีน้ำหนัก 13.2–18.8 กรัม และความยาว 31.5–35.5 เซนติเมตร กินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเช่น หนู และ นก, กบ, เขียด และบางครั้งก็กินงูชนิดอื่นเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และงูเห่าหม้อ · ดูเพิ่มเติม »

งูเห่าอินเดีย

งูเห่าอินเดีย หรือ งูเห่าเอเชีย หรือ งูเห่าแว่น (Indian cobra, Asian cobra, Spectacled cobra) เป็นงูพิษชนิดหนึ่ง จำพวกงูเห่า ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) งูเห่าอินเดีย ถือว่าเป็นงูเห่าที่มีสายพันธุกรรมใกล้ชิดกับงูเห่าไทย (N. kaouthia) และงูเห่าพ่นพิษสยาม (N. siamensis) ซึ่งเดิม (หรือในบางข้อมูลจัดเป็นชนิดย่อยของกันและกัน) เคยเป็นชนิดเดียวกันมาก่อน งูเห่าอินเดีย พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในอนุทวีปอินเดียเช่น อินเดีย, ศรีลังกา, บังกลาเทศ, ปากีสถาน และเนปาล มักอาศัยอยู่ตามพื้นที่ราบ, ป่าโปร่ง หรือท้องทุ่ง, ทุ่งนา กินอาหารจำพวกสัตว์ที่มีขนาดเล็ก ได้แก่ หนู, คางคก, กบ, นก เป็นต้น งูเห่าอินเดียจะออกไข่ในช่วงเดือนเมษายน-กรกฎาคม โดยงูตัวเมียมักจะวางไข่ในรูหนู, จอมปลวก หรือเนินดิน เป็นจำนวน 10 ถึง 30 ฟอง มีระยะเวลาฟักไข่ 48 ถึง 69 วัน ปกติงูเห่าอินเดียมีความยาวประมาณ 1.9 เมตร แต่บางตัวก็ยาวมากถึง 2.4 เมตร แต่ค่อนข้างหายาก นอกจากนี้แล้วยังสามารถพบได้ในพื้นที่ ๆ สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,000 เมตร (ประมาณ 6,600 ฟุต)Whitaker, Romulus; Captain, Ashok (2004).

ใหม่!!: สัตว์และงูเห่าอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

งูเห่าอียิปต์

งูเห่าอียิปต์ (Egyptian cobra; كوبرا مصرية) งูพิษประเภทงูเห่าชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae).

ใหม่!!: สัตว์และงูเห่าอียิปต์ · ดูเพิ่มเติม »

งูเห่าน้ำ

งูเห่าน้ำ (Water cobras) เป็นสกุลของงูพิษสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Boulengerina ในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae) คำว่า Boulengerina ที่ใช้เป็นชื่อสกุลนั้น มาจากชื่อของจอร์จ อัลเบิร์ต บุนเลเยอร์ นักสัตววิทยาชาวเบลเยี่ยม-อังกฤษWallach, V., W. Wüster & D. Broadley 2009 In praise of subgenera: taxonomic status of cobras of the genus Naja Laurenti (Serpentes: Elapidae).

ใหม่!!: สัตว์และงูเห่าน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

งูเขียวพระอินทร์

ำหรับเขียวพระอินทร์อย่างอื่นดูที่: ปลาเขียวพระอินทร์ งูเขียวพระอินทร์ หรือ งูเขียวดอกหมาก (อังกฤษ: Golden tree snake; ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Chrysopelea ornata) เป็นงู ลักษณะลำตัวเรียวยาว ปราดเปรียว เกล็ดสีเขียวแกมเหลืองลายดำ สามารถเลื้อยไต่ไปบนกิ่งไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว มีพิษอ่อนแต่ไม่ร้ายแรงมาก ผู้ถูกกัดจะมีอาการอักเสบ และบวมที่บริเวณบาดแผล.

ใหม่!!: สัตว์และงูเขียวพระอินทร์ · ดูเพิ่มเติม »

งูเขียวหัวจิ้งจก

งูเขียวหัวจิ้งจก หรือ งูเขียวปากจิ้งจก (Oriental whipsnake) เป็นงูที่มีพิษอ่อนมากชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ahaetulla prasina ในวงศ์ Colubridae มีลักษณะลำตัวเรียวยาว หัวหลิม ปลายปากแหลม ขนาดเมื่อโตเต็มที่ได้ถึง 2 เมตร พื้นลำตัวโดยมากเป็นสีเขียว มักจะมีเส้นสีขาวข้างลำตัวบริเวณแนวต่อระหว่างเกล็ดตัวกับเกล็ดท้อง เส้นขาวยาวตั้งแต่บริเวณคอ จนถึงโคนหาง ท้องขาว ส่วนหางตั้งแต่โคนหางถึงปลายหางจะมีสีน้ำตาลหรือสีชมพู ตามีขนาดใหญ่ ม่านตาอยู่ในแนวนอน อาศัยอยู่ตามต้นไม้ พบทั่วไปในภูมิภาคเอเชียใต้จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค ในป่าทุกประเภท แม้กระทั่งสวนสาธารณะหรือสวนในบริเวณบ้านเรือนของผู้คนที่อยู่ในเมือง มีพิษอ่อนมาก โดยพิษจะสามารถทำอันตรายได้เฉพาะสัตว์เล็กที่เป็นอาหาร เช่น จิ้งจก, กิ้งก่า, นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เป็นต้น ขณะที่ลูกงูจะกินแมลงเป็นอาหาร โดยเป็นงูที่ออกลูกเป็นตัว ระยะเวลาการตั้งท้อง 4 เดือน ออกลูกได้ครั้งละ 6-10 ตัว การผสมพันธุ์จะเริ่มขึ้นในช่วงต้นฤดูฝน งูเขียวหัวจิ้งจก มีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกับงูอีก 2 ชนิด ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน คือ งูเขียวปากแหนบ (A. nasuta) และงูเขียวหัวจิ้งจกมลายู (A. mycterizans) โดยงูทั้ง 3 ชนิด นี้ จะมีความหลากหลายทางสีสันมาก โดยจะมีสีสันแตกต่างหลากหลายออกไป ทั้งสีเขียว, สีส้ม, สีเหลือง, สีน้ำตาล, สีเทา, สีฟ้า หรือ สีเหล่านี้ผสมกัน เป็นต้น โดยงูที่มีโทนสีส้ม จะถูกเรียกว่า "กล่อมนางนอน" ขณะที่งูที่มีโทนสีเทาจะถูกเรียกว่า "ง่วงกลางดง" ซึ่งชาวบ้านโดยทั่วไปเชื่อว่าเป็นงูที่มีพิษร้ายแรง แต่หาใช่เป็นความจริงไม่ นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้นิยมเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งมีราคาซื้อขายที่ไม่แพง.

ใหม่!!: สัตว์และงูเขียวหัวจิ้งจก · ดูเพิ่มเติม »

งูเขียวหัวจิ้งจกมลายู

งูเขียวหัวจิ้งจกมลายู (Malayan green whipsnake, Big-eye green whipsnake) เป็นงูพิษอ่อนชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ahaetulla mycterizans อยู่ในวงศ์ Colubridae มีลักษณะทางกายภาพทั่วไปคล้ายคลึงกับงูเขียวปากจิ้งจก (A. prasina) และงูเขียวปากแหนบ (A. nasuta) มาก โดยเป็นงูที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่งูเขียวหัวจิ้งจกมลายูไม่มีติ่งแหลมที่ปลายหัว ตามีขนาดใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลางตายาวเกินครึ่งหนึ่งของระยะจากปลายหัวถึงตา ตัวสีเขียวเข้ม หางสีเดียวกับลำตัว ใช้ชีวิตอาศัยส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ ขนาดยาวเต็มที่ประมาณ 1 เมตร พบกระจายพันธุ์ในแหลมมลายูเรื่อยไปจนถึงสิงคโปร์ เกาะสุมาตราและเกาะชวาในอินโดนีเซีย สำหรับในประเทศไทยพบตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานเช่นเดียวกับงูเขียวปากจิ้งจกและงูเขียวปากแหน.

ใหม่!!: สัตว์และงูเขียวหัวจิ้งจกมลายู · ดูเพิ่มเติม »

งูเขียวหางไหม้

ำหรับงูเขียวจำพวกอื่น ดูที่: งูเขียว งูเขียวหางไหม้ (Green pit vipers, Asian pit vipers Mehrtens JM.) เป็นงูที่อยู่ในสกุล Trimeresurus ในวงศ์งูพิษเขี้ยวพับ (Viperidae) มีรูปร่างโดยรวม คือ มีหัวยาวมนใหญ่เป็นรูปสามเหลี่ยม คอเล็ก ตัวอ้วนสั้น ปลายหางมีสีแดง ลำตัวมีสีเขียวอมเหลืองสด บางตัวมีสีเขียวอมน้ำเงิน หางสีแดงสด บางตัวมีหางสีแดงคล้ำเกือบเป็นสีน้ำตาล อันเป็นที่มาของชื่อ จัดเป็นงูพิษอ่อน ผิดไปจากงูสกุลหรือชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน โดยผู้ที่ถูกกัดจะไม่ถึงกับเสียชีวิต นอกจากเสียแต่ว่ามีโรคหรืออาการอื่นแทรกแซง โดยผู้ที่ถูกกัดจะมีอาการปวดอย่างรุนแรงทันทีที่ถูกกัด แล้วค่อย ๆหายใน 5-6 ชั่วโมง บริเวณที่ถูกกัดจะบวมอย่างรวดเร็วในระยะ 3-4 วันแรก จากนั้นจะค่อย ๆ ยุบบวมในเวลา 5-7 วัน อาจจะมีเลือดออกจากรอยเขี้ยว แต่ไม่มาก หากมีอาการมากกว่านี้ถือว่าเป็นอาการหนัก เป็นงูที่เลื้อยช้า ๆ ไม่รวดเร็ว มีนิสัยดุและฉกกัดเมื่อเข้าใกล้ ชอบอาศัยตามซอกชายคา, กองไม้, กระถางต้นไม้, กอหญ้า ออกหากินในเวลากลางคืนทั้งบนต้นไม้ และตามพื้นดินที่มีหญ้ารก ๆ โดยกิน นก, จิ้งจก, ตุ๊กแก, สัตว์ฟันแทะ รวมถึงสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร ขณะเกาะนอนบนกิ่งไม้ จะใช้ลำตัวและหางรัดพันยึดกับกิ่งไม้ไว้ โดยปกติ เป็นงูที่ออกลูกเป็นตัวครั้งละประมาณ 8-12 ตัว แต่ก็มีบางชนิดเหมือนกันที่ออกลูกเป็นไข่ พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงหมู่เกาะแปซิฟิก พบประมาณ 35 ชนิด ในประเทศไทย พบชุกชุมในภาคกลางและภาคตะวันออก เช่น งูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง (T. trigonocephalus), งูเขียวหางไหม้ลายเสือ (T. purpureomaculatus), งูหางแฮ่มกาญจน์ (T. kanburiensis), งูปาล์ม (T. puniceus) เป็นต้น โดยมีชนิดที่ค้นพบใหม่ คือ งูเขียวหางไหม้ภูเก็ต (T. phuketensis) ที่พบในป่าดิบชื้น ในจังหวัดภูเก็ต เมื่อเดือนตุลาคม..

ใหม่!!: สัตว์และงูเขียวหางไหม้ · ดูเพิ่มเติม »

งูเขียวหางไหม้ลายเสือ

งูเขียวหางไหม้ลายเสือ หรือ งูพังกา (Shore pit viperBrown JH.U.S. Navy. 1991. Poisonous Snakes of the World. US Govt. New York: Dover Publications Inc. 203 pp. ISBN 0-486-26629-X.) เป็นงูพิษชนิดหนึ่ง มีพิษอ่อน เมื่อเข้าใกล้จะสั่นหางขู่และฉกกัดอย่างรวดเร็ว ออกหากินในเวลากลางคืน อาศัยบนต้นไม้เป็นพุ่มเตี้ยๆ ตามป่าชายเลน หรือตามริมฝั่งคลองที่ติดกับทะเล พบในประเทศอินเดีย (รัฐอัสสัม, หมู่เกาะอันดามัน), ประเทศบังกลาเทศ, ประเทศพม่า, ประเทศไทย, มาเลเซียตะวันตก, ประเทศสิงคโปร์ และ ประเทศอินโดนีเซีย (เกาะสุมาตรา).

ใหม่!!: สัตว์และงูเขียวหางไหม้ลายเสือ · ดูเพิ่มเติม »

งูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง

งูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง (Green pit viper) เป็นงูพิษชนิดหนึ่ง ลำตัวสีเขียวอมเหลืองสด บนตัวสีเขียวอมน้ำเงิน หางสีแดงชัดเจน ท้องเหลืองหรือขาว งูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง ปกติเลื้อยช้าๆไม่รวดเร็ว มีนิสัยดุ สามารถจะฉกศัตรูเมื่อศัตรูเข้าใกล้ได้อย่างรวดเร็ว ชอบนอนขดอยู่ตามพุ่มไม้เตี้ยๆ กอหญ้า กระถางต้นไม้ขณะเกาะนอนบนไม้ จะใช้ลำตัวและหางรัดพันยึดกับกิ่งไม้ไว้ ออกหากินในเวลากลางคืนทั้งตามพื้นดินที่มีหญ้ารกๆ และบนต้นไม้ ชอบกินหนู กบ เขียด เป็นอาหาร ออกลูกเป็นตัวครั้งละ 7-15 ตัว พบงูหางเขียวไหม้ท้องเหลืองชุกชุมในจังหวัดภาคกลาง เช่น กรุงเทพฯ นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี อ่างทอง นอกจากประเทศไทยแล้วยังพบในอินเดีย จีน พม่า และ ศรีลังก.

ใหม่!!: สัตว์และงูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

งูเขียวปากแหนบ

งูเขียวปากแหนบ (Long-nosed whip snake, Green vine snake) เป็นงูพิษอ่อนชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ahaetulla nasuta ในวงศ์ Colubridae เป็นงูที่มีลักษณะคล้ายกับงูเขียวปากจิ้งจก (A. prasina) มาก โดยลำตัวเรียวยาวมีพื้นลำตัวส่วนใหญ่เป็นสีเขียว ตามีขนาดใหญ่ ม่านตาอยู่ในแนวนอน หางมีสีเขียวกับลำตัว แต่มีคความแตกต่างคือ งูเขียวปากแหนบจะมีจะงอยปากที่เรียวเล็กและแหลมกว่างูเขียวปากจิ้งจก และมีติ่งแหลมยื่นที่ปลายหัว ใช้ชีวิตอาศัยอยู่บนต้นไม้เป็นส่วนใหญ่ กินอาหารสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก กบ เขียด นก และหนูเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียใต้จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยพบทั่วทุกภาคยกเว้นภาคใต้ พบในป่าทุกประเภท รวมถึงสวนสาธารณะหรือสวนในบ้านเรือนผู้คนทั่วไปในเมืองใหญ่ด้วย นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลาน เช่นเดียวกับงูเขียวปากจิ้งจก โดยมีราคาซื้อขายที่ไม่แพง.

ใหม่!!: สัตว์และงูเขียวปากแหนบ · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบม่านลาย

ตะพาบม่านลาย (Narrow headed softshell turtles) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานจำพวกตะพาบ 3 ชนิด ใช้ชื่อสกุลว่า Chitra (/ชิ-ตร้า/) มีรูปร่างโดยรวมคือ เป็นตะพาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หัวและตามีขนาดเล็ก เมื่อโตเต็มที่ ขนาดกระดองยาวได้ถึงเมตรเศษ น้ำหนักกว่า 120–200 กิโลกรัม กระดองแบนเรียบสีครีมหรือสีเนื้อ มีจุดเด่นที่เป็นลักษณะสำคัญ คือ มีลายสีน้ำตาลแลดูสวยงาม ที่ขนาดและลักษณะแตกต่างออกไปในช่วงวัยและชนิดพันธุ์ หัวเล็ก เท้าเป็นแผ่นผังผืด มีเล็บใหญ่แข็งแรง กรามแข็งแรงใช้สำหรับขบกัดสัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็งและสัตว์มีกระดูกสันหลังบางประเภท เช่น กบหรือเขียด เป็นอาหารได้เป็นอย่างดี พบกระจายพันธุ์เฉพาะแม่น้ำขนาดใหญ่บางสายเท่านั้น ในอนุทวีปอินเดียและภูมิภาคอินโดจีน เช่น ไทย, พม่า, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ปัจจุบันจำแนกออกได้ 3 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบม่านลาย · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบม่านลายพม่า

ตะพาบม่านลายพม่า (Burmese narrow-headed softshell) เป็นตะพาบในสกุล Chitra จัดเป็นตะพาบชนิดใหม่ที่เพิ่งอนุกรมวิธานเมื่อปี ค.ศ. 2003 มีลักษณะคล้ายกับตะพาบม่านลายชนิดอื่น ๆ แต่ว่ามีลวดลายที่กระดองเป็นระเบียบกว่า โดยจะเป็นลายบั้ง ๆ และมีสีที่อ่อนกว่า กล่าวคือ จะมีกระดองเป็นสีเขียว อีกทั้งขนาดเมื่อโตเต็มที่ก็มีขนาดเล็กกว่าด้วย พบกระจายพันธุ์ในประเทศพม่า ที่แม่น้ำชินด์วิน และชายแดนที่ติดกับประเทศไทย มีการเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง โดยสามารถเพาะได้แล้วในสถานที่เลี้ยง และเก็บรวบรวมไข่จากธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบม่านลายพม่า · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบม่านลายอินเดีย

ตะพาบม่านลายอินเดีย (Indian narrow-headed softshell turtle, Small-headed softshell turtle; चित्रा इन्डिका) เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ตะพาบ (Trionychidae) ตะพาบม่านลายอินเดีย มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับตะพาบม่านลายไทย (C. chitra) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน ที่พบในประเทศไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งเดิมเคยถูกจัดให้เป็นชนิดเดียวกัน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1986 นาวาอากาศเอก (พิเศษ) วิโรจน์ นุตพันธุ์ นักวิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชาวไทย ได้ศึกษาความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 ชนิดนี้อย่างละเอียด และพบว่ามีความแตกต่างกันมากทั้งขนาดลำตัว, ลวดลาย และสีสัน โดยใช้การแยกแยะสัดส่วนของกะโหลก และสัดส่วนของกระดองหลัง โดยรวมแล้วตะพาบม่านลายอินเดียมีขนาดเล็กกว่าตะพาบม่านลายไทย และมีสีคล้ำอมเขียวกว่า ตะพาบม่านลายอินเดีย กระจายพันธุ์ในแม่น้ำสายหลักหลายประเทศในเอเชียใต้ เช่น อินเดีย, ปากีสถาน, เนปาล อาทิ แม่น้ำคงคา, แม่น้ำสินธุ, แม่น้ำมหานที เป็นต้น เป็นตะพาบอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง มีราคาซื้อขายที่สูง ซึ่งปัจจุบันสามารถเพาะเลี้ยงได้แล้วในที่เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบม่านลายอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบม่านลายไทย

ตะพาบม่านลายไทย (Asian narrow-headed softshell turtle, Siamese narrow-headed softshell turtle, Nutaphand's narrow headed softshell turtle) เป็นตะพาบที่มีลวดลายสวยและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีรูปร่างคล้ายตะพาบทั่วไป แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก หัวเล็กและลำคอยาว จมูกค่อนข้างสั้นยาว เมื่อขนาดเล็กมากจะมีแถบสีเหลืองปนน้ำตาลบนส่วนหัวและกระดองอย่างชัดเจน โดยสีสันนั้นอาจปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพแวดล้อม อาจจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมม่วงก็ได้ บนกระดองลายแถบจะพาดผ่านส่วนหัวยาวอย่างต่อเนื่องมาบนกระดอง ส่วนท้องจะมีสีขาวหรือขาวอมชมพู โดยโตเต็มที่อาจยาวได้ถึง 1.5 เมตร ความกว้างของกระดอง 1 เมตร และหนักถึง 100–120 กิโลกรัม ตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมียครึ่งต่อครึ่ง เชื่อว่ามีอายุยืนยาวได้กว่า 100 ปี มีถิ่นกำเนิดที่แม่น้ำแคว จังหวัดกาญจนบุรี, แม่น้ำแม่กลอง จังหวัดราชบุรี และแม่น้ำปิงในเขตภาคเหนือของประเทศไทยเท่านั้น และมีรายงานว่าพบที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในภาคกลาง และพบที่มาเลเซียและอินโดนีเซียด้วย (โดยแบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย) ตะพาบตัวเมียจะขึ้นมาวางไข่บนหาดทรายริมแหล่งน้ำ โดยขุดหลุมลึก 40–50 เซนติเมตร ออกไข่เสร็จแล้วจะปิดทรายไว้ปากหลุมทิ้งไว้ประมาณ 2 เดือน ไข่จะฟักออกเป็นตัว ลูกตะพาบจะวิ่งหาลงน้ำ และหาอาหาร ซึ่งได้แก่ ลูกปลา, ลูกกุ้งและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร เลี้ยงตัวจนถึงวัยเจริญพันธุ์ โดยพฤติกรรมในธรรมชาติจะฝังตัวอยู่ใต้ทรายในพื้นน้ำ โผล่มาแต่เฉพาะตาและจมูกเท่านั้น และจะหาเหยื่อด้วยวิธีการซุ่มนี้ สถานภาพปัจจุบันไม่พบรายงานในธรรมชาติมานานเป็นระยะเวลากว่า 30 ปีแล้ว จนเชื่อได้ว่าอาจสูญพันธุ์ไปแล้วจากแหล่งธรรมชาติ เนื่องจากถูกล่าเป็นอาหารและสัตว์เลี้ยงอย่างมาก รวมทั้งถูกคุกคามในเรื่องที่อยู่อาศัยในธรรมชาติด้วย และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 แต่ปัจจุบัน กรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ตะพาบม่านลายไทยได้สำเร็จในที่เลี้ยงได้แล้วในปี 2545 โดยให้ผสมพันธุ์ในน้ำและขึ้นมาวางไข่บนหาดทรายในฤดูหนาวช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ตะพาบม่านลายไทยอัตราการเจริญเติบโตเทียบกับเต่าหรือตะพาบชนิดอื่นแล้ว นับว่ามีอัตราการเจริญเติบโตที่ช้ากว่ามาก และในต้นปี 2553 แม่พันธุ์ตะพาบม่านลายไทยของกรมประมงก็ได้วางไข่สูงสุดถึง 305 ฟอง ซึ่งนับว่ามากสุดเท่าที่เคยมีมา ใช้เวลาฟัก 61–70 วัน โดยฟักเป็นตัวทั้งหมด 92 ฟอง คิด เป็นอัตราการฟักประมาณร้อยละ 30 ซึ่งทางกรมประมงตั้งเป้าหมายจะเพาะขยายพันธุ์ให้มากขึ้นกว่านี้เพื่อจะได้ปล่อยลูกตะพาบลงสู่ธรรมชาติ เพื่อมิให้เกิดการสูญพันธุ์ นอกจากนี้แล้ว ตะพาบม่านลายไทยยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกว่า "กริวลาย", "กราวด่าง", "ม่อมลาย", "มั่มลาย" เป็นต้น โดยที่ตะพาบม่านลายไทยเดิมถูกจัดเป็นชนิดเดียวและใช้ชื่อวิทยาศาสตร์เดียวกับ ตะพาบม่านลายอินเดีย (C. indica) ซึ่งเป็นชนิดที่พบในอินเดียและปากีสถาน แต่ทว่าได้ถูกอนุกรมวิธานใหม่จาก น.อ.(พิเศษ) วิโรจน์ นุตพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์ชาวไทย เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบม่านลายไทย · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง

ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง หรือ ตะพาบเซี่ยงไฮ้ (จีน: 斑鳖, พินอิน: Bān Bīe; ตรึงเวียด: Rùa mai mềm Thượng Hải) ตะพาบขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งที่ใกล้จะสูญพันธุ์มาก ๆ แล้วชนิดหนึ่งของโลก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rafetus swinhoei (มีชื่อวิทยาศาสตร์อีกชื่อหนึ่งเป็นชื่อพ้อง โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเวียดนามตั้งให้ว่า Rafetus leloii เพื่อเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิเลเลย) พบในแม่น้ำแยงซีเกียง ในประเทศจีน และมณฑลยูนนาน นอกจากนี้ยังพบได้ที่แม่น้ำแดง ในประเทศเวียดนามด้วย เป็นตะพาบที่มีขนาดใหญ่มาก และเป็นหนึ่งในเต่าน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนหัว ที่มีจมูกและปากคล้ายหมู ขนาดโตเต็มที่สามารถมีน้ำหนักมากถึง 136 กิโลกรัม ถึง 200 กิโลกรัม ยาวถึง 0.9144 เมตร และมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า 100 ปี สถานะในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์มาก ๆ แล้ว ในสถานที่เลี้ยงปัจจุบันมีเพียง 5 ตัวใน 2 ที่เท่านั้น คือที่สวนสัตว์ในประเทศจีน 4 ตัว และที่ทะเลสาบคืนดาบที่เมืองฮานอย 1 ตัว ปัจจุบันตะพาบน้ำแยงซีเกียงในทะเลสาบคืนดาบยังมีชีวิตอยู่ แต่น้ำในทะเลสาบกลับมีสภาพที่ย่ำแย่ ทั้งยังมีการปล่อยสิ่งปฏิกูลรวมไปถึงเต่าชนิดอื่นเข้าไปทำลายระบบนิเวศของทะเลสาบ ทำให้ตะพาบเกิดบาดแผลที่หัวและขาของมัน.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบยักษ์แยงซีเกียง · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบยูเฟรทีส

ตะพาบยูเฟรทีส (Euphrates softshell turtle) สัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ Trionychidae หรือ ตะพาบ เป็นตะพาบที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำไทกริสและยูเฟรทีส ใน อิรัก, ซีเรีย, ตุรกี และในจังหวัดคูเซสถาน ของอิหร่าน ตะพาบยูเฟรทีสเป็นที่รู้จักของนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกเมื่อนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส กีโยม อังตวน ออวิลีเย ยิงตัวอย่างได้ในขณะที่ข้ามแม่น้ำยูเฟรทีสใกล้อานาห์ ในเดือนมิถุนายน..

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบยูเฟรทีส · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบสวน

ตะพาบสวน หรือ ตะพาบธรรมดา หรือ ตะพาบไทย (อังกฤษ: Asiatic softshell turtle, Malayan softshell turtle) เป็นตะพาบชนิดหนึ่ง เป็นตะพาบชนิดที่พบได้บ่อยและทั่วไปที่สุดในประเทศไทย นอกจากนั้นยังพบในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว, เวียดนาม, กัมพูชา, พม่า, สิงคโปร์, มาเลเซีย, บรูไน และอินโดนีเซีย จัดเป็นตะพาบเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Amyda ที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่จนถึงปัจจุบัน มีลักษณะสีกระดองสีเขียว ใต้ท้องสีขาว ขนาดกระดองเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 75 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 35 กิโลกรัม โดยมีบันทึกว่ามีน้ำหนักสูงสุดถึง 40 กิโลกรัมที่เวียดนาม เมื่อยังเล็กกระดองมีสีเทาเข้มหรือเกือบดำ และมีจุดสีเหลืองเล็ก ๆ ประปรายทั้งกระดอง บนกระดองยังมีลายคล้ายดาว 4 - 5 แห่ง ท้องมีสีขาว มีขนาดเล็กและอ่อนนุ่ม พบได้ทั่วไปในทุกภาค ในแม่น้ำลำคลองและในท้องร่องสวน ในภาษาอีสานเรียกว่า "ปลาฝา" สถานภาพปัจจุบัน หาได้น้อยมาก ได้ถูกจัดให้เป็นสัตว์น้ำคุ้มครองตามประกาศของกรมประมง และถูกเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ที่ผู้คนโดยเฉพาะคนจีนนิยมบริโภคมาก เนื่องจากเชื่อว่าเป็นอาหารที่บำรุงร่างกาย แต่การเลี้ยงตะพาบสวนนั้นยังให้ผลผลิตไม่ดีสู้ ตะพาบไต้หวันไม่ได้ เนื่องจากโตช้ากว่า นอกจากนี้แล้วยังนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงามเพื่อความเพลิดเพลิน โดยเฉพาะในตัวที่มีจุดกระเหลืองเป็นจำนวนมาก จะถูกเรียกว่า "ตะพาบข้าวตอก" หรือ "ตะพาบดาว" ซึ่งอาจจะมีจุดเหลืองเหล่านี้จวบจนโตโดยไม่หายไป ซึ่งตะพาบที่มีลักษณะเช่นนี้ จะถูกเรียกชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trionyx nakornsrithammarajensis (วิโรจน์, 1979) ซึ่งมีรายงานว่าพบในภาคใต้ของไทย เช่นที่ จังหวัดนครศรีธรรมร.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบสวน · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบหับ

ตะพาบหับ (Flap-shelled turtles) เป็นชื่อสกุลของตะพาบ 3 ชนิด ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lissemys.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบหับ · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบหับพม่า

ตะพาบหับพม่า (Burmese flap-shell turtle) เป็นตะพาบชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lissemys scutata.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบหับพม่า · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบหับอินเดีย

ตะพาบหับอินเดีย หรือ ตะพาบหับปากีสถาน (Indian flap-shelled turtle) เป็นตะพาบหับชนิดหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ในอนุทวีปอินเดีย รูปร่างลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับตะพาบหับพม่า (L. scutata) เมื่อยังเล็ก บริเวณหลังกระดองจะมีจุดกลม ๆ สีเหลืองหรือสีทองกระจายอยู่ทั่วตัว ลำตัวและกระดองมีสีพื้นดำหรือน้ำตาลเข้ม เมื่อโตขึ้นในบางตัว จุดกลมเหล่านี้อาจกลายเป็นสีขาวหรือคงสีเหลืองแบบเดิมไว้ และเมื่อโตเต็มที่จุดกลมอาจหายไปในบางตัว ตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย จัดเป็นตะพาบขนาดเล็ก ที่ตัวผู้มีขนาด 145-162 มิลลิเมตร ตัวเมียมีขนาด 170-250 มิลลิเมตร น้ำหนักหนักได้ราว 4-4.5 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์ในอนุทวีปอินเดีย โดยใช้บริโภคในท้องถิ่น ซึ่งตะพาบหับอินเดียติดอยู่ในรายชื่อของสัตว์ป่า ในบัญชีหมายเลข 2 (Appendix II) ของไซเตส ซึ่งการจะค้าขายได้ต้องได้รับอนุญาตและควบคุมปริมาณจากประเทศที่เป็นต้นกำเนิดเสียก่อน นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง โดยสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบหับอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบหัวกบ

ตะพาบหัวกบ (Cantor's giant soft-shelled turtle) เป็นตะพาบชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายตะพาบทั่วไป จัดเป็นตะพาบขนาดใหญ่ ขนาดใหญ่สุดพบขนาดกระดองยาว 120 เซนติเมตร น้ำหนักถึง 50 กิโลกรัม นับว่าใหญ่ที่สุดในสกุลตะพาบหัวกบนี้ ลำตัวด้านบนสีน้ำตาลเขียว ด้านล่างสีอ่อน หัวมีลักษณะเล็กสั้นคล้ายกบหรืออึ่งอ่าง จึงเป็นที่มาของชื่อ ตามีขนาดเล็ก เมื่อยังเล็กสีของกระดอง จะมีสีน้ำตาลปนเขียวอ่อน ๆ มีจุดเล็ก ๆ สีเหลืองกระจายทั่วไป และค่อย ๆ จางเมื่อโตขึ้น รวมทั้งสีก็จะเข้มขึ้นด้วย พบได้ทั่วไปในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงทุกภาคของประเทศไทย ในแม่น้ำสายใหญ่ โดยเฉพาะแม่น้ำโขงในภาคอีสาน ปัจจุบันเป็นตะพาบที่พบได้น้อยมาก จนถูกจัดให้เป็นสัตว์น้ำคุ้มครองของกรมประมง และจัดอยู่ในบัญชีประเภทที่ 2 (Appendix II) ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ หรือ ไซเตส มีอุปนิสัย ดุร้าย มักฝังตัวอยู่นิ่ง ๆ ในพื้นทรายใต้น้ำเพื่อกบดานรอดักเหยื่อ ซึ่งได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ โดยโผล่ส่วนจมูกเพื่อขึ้นมาหายใจเพียงวันละ 2–3 ครั้งเท่านั้น ในภาษาอีสานเรียกว่า "ปลาปู่หลู่" ขณะที่ชื่อวิทยาศาสตร์ cantorii ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่นักสัตว์วิทยาชาวเดนมาร์ก ทีโอดอร์ เอ็ดวาร์ด แซนตอร์ และเชื่อว่ามีอายุยืนยาวได้กว่า 100 ปี ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง โดยในตัวที่กระดองมีจุดสีเหลืองอ่อนเป็นวงกระจายอยู่บริเวณขอบกระดอง โดยที่ไม่แปรเปลี่ยนไปตามวัย จะถูกเรียกว่า "กริวดาว" พบได้เฉพาะภาคกลางและภาคตะวันตกของไทยเท่านั้น ซึ่งหาได้ยากมาก สันนิษฐานว่าในอดีตสามารถพบได้ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ภาคเหนือมาจนถึงภาคกลาง.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบหัวกบ · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบหัวกบลาย

ตะพาบหัวกบลาย (New Guinea giant softshell turtle, Bibron's giant softshell turtle) เป็นตะพาบชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pelochelys bibroni จัดเป็นตะพาบอยู่ในสกุลตะพาบหัวกบ (Pelochelys) มีรูปร่างคล้ายตะพาบชนิดอื่น ๆ ในสกุลเดียวกัน แต่บางตัวมีลวดลายบนกระดองคล้ายกับตะพาบในสกุล Chitra หรือตะพาบม่านลายด้วย โดยพบได้บนเกาะนิวกินี, นิวกินีตะวันตก, ปาปัวนิวกินี และทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ขนาดโตเต็มที่มีขนาดเล็กกว่าตะพาบหัวกบ (P. cantorii) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้ในภูมิภาคอินโดจีน เล็กน้อย นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง สำหรับตัวที่มีลวดลายคล้ายกับตะพาบม่านลาย จะถูกเรียกว่า "ตะพาบม่านลายนิวกินี" สำหรับในประเทศไทยเคยมีการนำเข้ามาจำหน่ายเป็นสัตว์เลี้ยงประมาณ 10 ตัว อนึ่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ของตะพาบหัวกบลายนั้น บางข้อมูลใช้เป็นชื่อซ้ำซ้อนกับตะพาบหัวกบชนิด P. cantorii ซึ่งเป็นคนละชนิดกัน โดยที่ชนิดหลังนี้จะพบได้ในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบหัวกบลาย · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบฮหว่านเกี๊ยม

ตะพาบฮหว่านเกี๊ยม (Hoàn Kiếm turtle; Rùa Hồ Gươm, Cụ Rùa) ตะพาบขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง พบอาศัยอยู่ในทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยมหรือทะเลสาบคืนดาบ ใจกลางกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นชนิดที่แยกออกต่างหากหรือเป็นชื่อพ้องของตะพาบยักษ์แยงซีเกียง (R. swinhoei) ที่จัดอยู่ในสกุลเดียวกันFarkas, B and Webb, R.G. 2003.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบฮหว่านเกี๊ยม · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบจีน

ตะพาบจีน (Chinese softshell turtle) เป็นตะพาบในสกุล Pelodiscus (/เพ-โล-ดิส-คัส/) พบกระจายอยู่ในประเทศจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออก.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบจีน · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบแก้มแดง

ตะพาบแก้มแดง (Malayan solf-shell turtle) เป็นตะพาบชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย จัดเป็นตะพาบขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับสองที่พบในประเทศไทย (เล็กที่สุด คือ ตะพาบหับพม่า (Lissemys scutata)) กระดองสีเทาเข้มมีจุดสีดำทั่วไป หัวสีเทานวลมีรอยเส้นสีดำตลอดตามแนวกระดูกสันหลังจนถึงส่วนท้ายกระดอง มีสีแดงที่แก้มและข้างคอ เมื่อยังเล็กมีจุดสีดำคล้ายดวงตากระจายไปทั่วกระดองเห็นชัดเจน ตะพาบที่พบที่จังหวัดตากและกาญจนบุรีมีสีเข้มกว่าและไม่มีสีแดงที่แก้ม มีจมูกยาว หางสั้น และมีขาเล็ก จัดเป็นตะพาบเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Dogania ขนาดโตเต็มที่กระดองยาวประมาณ 1 ฟุต หนักประมาณ 15 กิโลกรัม ถิ่นที่อยู่อาศัย พบในพม่า, มาเลเซีย, บรูไน, สุมาตรา, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ สำหรับประเทศไทยพบบ้างที่จังหวัดตาก, กาญจนบุรี และพบมากทางภาคใต้ แถบจังหวัดชุมพร และจังหวัดนครศรีธรรมราช ชอบอยู่ในห้วยหนอง คลองบึงทั่วไป และมีชุกชุมตามลำธารบนภูเขา การสืบพันธุ์ออกไข่ครั้งละ 3-7 ฟอง ปัจจุบันเป็นสัตว์น้ำคุ้มครองตามประกาศของกรมประมง และสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 โดยมีชื่อเรียกในภาษาอีสานว่า "ปลาฝาดำ".

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบแก้มแดง · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบไบคอลโลไซต์

ตะพาบไบคอลโลไซต์ (Bicallosite softshell turtles) เป็นสกุลของตะพาบในสกุล Rafetus (/รา-เฟ-ตุส/) เป็นตะพาบที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ในทวีปเอเชีย เป็นตะพาบขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก เมื่อโตเต็มที่น้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม มีความยาวกว่า 0.9144 เมตร และมีอายุยืนยาวได้มากกว่า 100 ปี ปัจจุบัน ได้ถูกจำแนกออกเป็น 2 ชนิด โดยอีกชนิดหนึ่งนั้น คือ ตะพาบฮหว่านเกี๊ยม (Rafetus leloii, ชื่อพ้อง R. vietnamensis) มีตัวอย่างที่มีชีวิตที่รับรู้กันในปัจจุบันเพียงตัวเดียวเท่านั้น คือ ที่ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม ในประเทศเวียดนาม โดยถือเป็นชื่อพ้องรองของ ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง (Rafetus swinhoei) โดยนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบไบคอลโลไซต์ · ดูเพิ่มเติม »

ตะพาบไต้หวัน

ตะพาบไต้หวัน (Chinese softshelled turtle; 中華鱉; พินอิน: zhōnghuá biē) ตะพาบชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ตะพาบพันธุ์พื้นเมืองของไทย แต่เป็นตะพาบที่พบได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่น จีน, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, เกาหลีเหนือ, เกาหลีใต้ ตลอดจนรัสเซีย และเวียดนาม มีรูปร่างคล้ายตะพาบสวน (Amyda cartilaginea) ที่พบได้ในประเทศไทย แต่ตะพาบไต้หวันมีขนาดเล็กกว่า โตเต็มมีขนาดกระดองประมาณ 25 เซนติเมตร มีนิสัยดุร้าย ลักษณะกระดองเป็นทรงรีเล็กน้อย ลักษณะโครงร่างแบบผิวกระดองเรียบมีกระดองส่วนที่นิ่มหรือเชิงค่อนข้างมาก มีหัวใหญ่ คอ ยาวมาก ปากแหลม ฟันคมและแข็งแรง เมื่อยังเล็กกระดองเป็นสีเขียวเข้มด้านท้องจะมีสีส้มและสีดำสลับ 5-6 ตำแหน่ง ใต้ท้องมีสีขาว เมื่อโตเต็มวัยกระดองจะเป็นสีเขียวอมเหลือง บริเวณขอบตาจะมีสีเหลืองเห็นได้ชัดเจน ตรงกลางกระดองจะมีรอยขีดขวางลำตัว 6-7 ขีด ส่วนท้องอ่อนนุ่มมีสีขาวอมชมพูหรือสีเหลืองอ่อน ๆ นิยมรับประทานโดยทำเป็นซุป นิยมกันมากในแบบอาหารจีนและอาหารญี่ปุ่น ทำให้นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ที่ปัจจุบันนิยมเลี้ยงมากกว่าตะพาบสวน เพราะโตได้เร็วและแพร่ขยายพันธุ์ได้เร็วกว่า และยังนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงามอีกด้วย โดยเฉพาะในตัวที่เป็นเผือก แต่ในด้านสิ่งแวดล้อมขณะนี้พบเป็นเผ่าพันธุ์ต่างถิ่น ที่รุกรานที่อยู่อาศัยและที่วางไข่ของตะพาบและเต่าพื้นเมืองของไทย ปัจจุบัน มีฟาร์มเพาะเลี้ยงกันในประเทศไทยแถบจังหวัดภาคตะวันออก เช่น ระยอง, ชลบุรี, ตราด และเพชรบุรี.

ใหม่!!: สัตว์และตะพาบไต้หวัน · ดูเพิ่มเติม »

ตะกวด

ตะกวด, จะกวด หรือ จังกวด (อีสาน, ลาว, ใต้, เหนือ: แลน; เขมร: ตฺรอกวต) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลังชั้นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายเหี้ย (V. salvator) ซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่ในสกุลและวงศ์เดียวกัน โดยมักจำสับสนกับเหี้ยหรือเรียกสลับกัน แต่ตะกวดมีขนาดเล็กกว่าเหี้ยมาก และตำแหน่งของโพรงจมูก โดยโพรงจมูกของตะกวดจะอยู่ไม่ใกล้กับปลายปากเหมือนกับเหี้ย รวมถึงมีปลายปากที่มนทู่กว่า อีกทั้งสีสันของตะกวดจะมีสีน้ำตาลหรือสีดำ ซึ่งแตกต่างจากเหี้ยที่มีสีเหลืองผสมอยู่เป็นลาย อีกทั้งอุปนิสัยมักจะไม่ค่อยอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือชอบว่ายน้ำหรือหากินในน้ำเหมือนเหี้ย และไม่ดุร้ายเท่า ตะกวดมักอาศัยบนต้นไม้ ปีนต้นไม้เก่ง ชอบนอนผึ่งแดดตามกิ่งไม้ แต่หากินตามพื้นดิน มักอาศัยอยู่ตามป่าโปร่งมากกว่าป่าทึบ ในนิทานชาดก พระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเป็นตะกวดเช่นกัน.

ใหม่!!: สัตว์และตะกวด · ดูเพิ่มเติม »

ตะกวดบิตาตาวา

ตะกวดบิตาตาวา (Bitatawa monitor, Northern Sierra Madre Forest monitor lizard) เป็นสัตว์เลื้อยคลานในวงศ์เหี้ย (Varidae) ที่เพิ่งค้นพบเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และตะกวดบิตาตาวา · ดูเพิ่มเติม »

ตะกวดแม่น้ำไนล์

ตะกวดแม่น้ำไนล์(Nile monitor) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของทวีปแอฟริกา ลำตัวยาว 1-1.4 เมตร น้ำหนัก 4-7 กิโลกรัม ลำตัวเมื่อสัมผัสน้ำจะมีสีสันสดใส มีขา 4 ขา มีเล็บแหลมคมแข็งแรงและทรงพลัง สามารถว่ายน้ำได้รวดเร็ว เมื่อขึ้นจากน้ำจะชอบนอนผึ่งแดดให้ตัวแห้ง โดยจะสามารถพบได้ทั่วไปตามหนอง, บึง และแม่น้ำในป่าของทวีปแอฟริกา กินอาหารได้แทบทุกชนิดรวมทั้ง ปู, หอย, กบ และปลา ตลอดจนกินนกที่ทำรังบนพื้นดิน และไข่จระเข้ อย่างไรก็ตาม ตะกวดแม่น้ำไนล์มักตกเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่กว่า อย่าง นกอินทรี, จระเข้ หรืองูเหลือมได้ เมื่อยังมีขนาดเล็กหรือเมื่ออ่อนแอ ตะกวดแม่น้ำไนล์ ได้กลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในพื้นที่ฟลอริดาของสหรัฐอเมริกา ด้วยความที่เป็นสัตว์่ีที่ปรับตัวให้กับสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมได้อย่างดี โดยจะส่้งผลถึงการสูญพันธุ์ของสัตว์พื้นเมืองอย่าง นกฮูก, เต่าทะเล และสัตว์ป่าบางชน.

ใหม่!!: สัตว์และตะกวดแม่น้ำไนล์ · ดูเพิ่มเติม »

ตะกวดใต้

ตะกวดใต้ หรือ ตะกวดลายเมฆ (Clouded monitor; หรือ Varanus bengalensis nebulosus) เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่จำพวกกิ้งก่าชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Varanidae เป็นกิ้งก่าชนิดหนึ่งที่มีความคล้ายคลึงกับตะกวด (V. bengalensis) มาก อาจจะจัดได้ว่าเป็นชนิดย่อยของกันและกัน มีลักษณะทางกายภาพโดยทั่วไปคล้ายกับตะกวด แต่ต่างกันที่สี, ลาย และลักษณะของเกล็ดบริเวณเหนือตาและลำตัว เป็นต้น อีกทั้งมีพฤติกรรมการหากินที่แตกต่างออกไปจากตะกวด คือ มักชอบหากินและอาศัยอยู่บนต้นไม้ ขณะที่ตะกวดจะหากินตามพื้นดินมากกว่า เป็นสัตว์ที่กินซากได้เหมือนตะกวดหรือเหี้ย (V. salvator) แต่จะกินอาหารจำพวกแมลง, ไส้เดือนดิน รวมถึงพืชผักต่าง ๆ เช่น ยอดมะพร้าว เป็นหลักมากกว่า และเป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางวัน.

ใหม่!!: สัตว์และตะกวดใต้ · ดูเพิ่มเติม »

ตะกวดเหลือง

ตะกวดเหลือง (Yellow monitor) เป็นสัตว์เลื้อยคลานในวงศ์เหี้ย (Varanidae) ชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายสัตว์ในวงศ์นี้ทั่วไป แต่มีนิ้วเท้าที่สั้น และพื้นลำตัวสีเหลือง อีกทั้งมีพฤติกรรรมไม่ชอบอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือที่ชื้นแฉะเหมือนเหี้ย (V. salvator) โดยจะอยู่เฉพาะที่แห้งแล้งหรือพื้นทราย มีขนาดประมาณ 70-100 เซนติเมตร วางไข่จำนวน 30 ฟอง ใช้เวลาฟักเป็นตัวราว 149-155 วัน มีรายงานเคยพบในประเทศไทยในภาคใต้และภาคตะวันตกเมื่อนานมาแล้ว สถานภาพปัจจุบันพบมากใน อินเดีย, เนปาล, บังกลาเทศ และปากีสถาน ยังมีชื่อเรียกอื่น อีก เช่น "แลนดอน" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และตะกวดเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ตะกอง

ตะกอง หรือ ลั้ง หรือ กิ้งก่ายักษ์ (Chinese water dragon) เป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภทกิ้งก่า ในวงศ์กิ้งก่า (Agamidae) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบได้ในประเทศไทย มีรูปร่างทั่วไปคล้ายอีกัวน่าที่พบในอเมริกากลางและอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และตะกอง · ดูเพิ่มเติม »

ตะขาบ

ตะขาบ (อังกฤษ: Centipedes; พายัพ: จักขาบ; อีสาน: ขี้เข็บ) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่อยู่ในชั้น Chilopoda จัดอยู่ในไฟลัมอาร์โธรพอด เป็นสัตว์ขาข้อที่พบได้ในเขตร้อนชื้น อาศัยอยู่บนบก มีหลายขนาด ส่วนใหญ่ความยาวของลำตัวตั้งแต่ 3-8 เซนติเมตร (ขนาดใหญ่ที่สุดคือชนิด Scolopendra heros มีความยาว 8-10 นิ้ว) ลำตัวแบนราบ มีปล้อง 15-100 ปล้อง แต่ละปล้องมีขา 1 คู่ ส่วนหัวแยกจากลำตัวชัดเจน มีหนวด 1 คู่ และเขี้ยวพิษ 1 คู่ ซึ่งดัดแปลงมาจากปล้องแรกของลำตัว เขี้ยวพิษเชื่อมต่อกับต่อมพิษ เมื่อกัดเหยื่อจะปล่อยพิษออกมา ทำให้เหยื่อเจ็บปวดและเป็นอัมพาต เมื่อถูกตะขาบกัดจะพบรอยเขี้ยวสองรอย ลักษณะเป็นจุดเลือดออกตรงบริเวณที่ถูกกัด ตะขาบวางไข่ในที่ชื้นหรือต้นพืช ต้นหญ้า ใช้เวลาในการเจริญเติบโตนานโดยลอกคราบ 10 ครั้ง ตัวเต็มวัยมีอายุ 3-5 ปี ในเวลากลางวันจะซ่อนอยู่ในที่เย็นๆ เช่น ใต้ก้อนหิน ออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน กินแมลงเป็นอาหาร ในประเทศไทย พบทั้งหมด 48 ชนิด (ค.ศ. 2017).

ใหม่!!: สัตว์และตะขาบ · ดูเพิ่มเติม »

ตะขาบยักษ์ขาเหลืองเปรู

ตะขาบยักษ์ขาเหลืองเปรู หรือ ตะขาบยักษ์อเมซอน (Peruvian giant yellow-leg centipede, Amazonian giant centipede) เป็นตะขาบชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุล Scolopendra โดยปกติเมื่อโตเต็มที่จะยาว 26 เซนติเมตร (10 นิ้ว) แต่บางครั้งก็สามารถโตได้ถึง 30 เซนติเมตร (12 นิ้ว) ตะขาบชนิดนี้อาศัยอยู่ทางแถบเหนือและตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ และตามเกาะแก่งของประเทศตรินิแดดและจาไมกา เป็นสัตว์กินเนื้อ โดยกินจิ้งจก, กบ, นก, หนู และแม้แต่ค้างคาวเป็นอาหาร และขึ้นชื่อในเรื่องความดุร้าย ร่างกายประกอบไปด้วยปล้องจำนวน 21-23 ปล้อง ปล้องมีสีทองแดงหรือสีแดงอมม่วง แต่ละปล้องมีขาสีเหลืองอ่อน 1 คู่ ขาแต่ละข้างสามารถเดินได้อย่างรวดเร็ว (หรือแม้แต่วิ่ง) และจับเหยื่อได้อย่างแน่นหนาก่อนที่จะฆ่า ตะขาบชนิดนี้มีเขี้ยวที่เรียกว่า Forcipule เรียงเป็นแนวโค้งอยู่รอบ ๆ หัว ซึ่งพัฒนาให้สามารถปล่อยพิษเข้าไปในตัวเหยื่อได้ พิษประกอบด้วยสารอะเซทิลคอลีน ฮิสตามีน เซโรโทนิน ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายมนุษย์ ทำให้เกิดแผลเหมือนถูกตัวต่อต่อย แผลจะบวมอย่างรุนแรง และตามด้วยอาการไข้สูง ตะขาบยักษ์ขาเหลืองเปรู เป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นที่นิยมในบรรดาผู้นิยมสัตว์ประเภทสัตว์แปลก ๆ แต่ไม่ควรจับมันโดยไม่มีเครื่องป้องกัน แม้เพียงแค่ผิวหนังสัมผัสถูกผิดก็ทำให้เกิดอันตรายได้ อาการที่เกิดจากการถูกพิษของตะขาบในสกุลนี้เรียกว่า "Scolopendrism" ตะขาบขาเหลืองยักษ์เปรู ตัวเมียจะคอยดูแลและปกป้องรังที่มีไข่ของตนเอง ตัวอ่อนจะมีสีแดงเข้มหรือสีดำ ลำตัวบาง และมีหัวกลมใหญ่สีแดง มีวงจรชีวิตลอกคราบหลายครั้งก่อนที่จะโตเต็มวั.

ใหม่!!: สัตว์และตะขาบยักษ์ขาเหลืองเปรู · ดูเพิ่มเติม »

ตะโขง

ตะโขง หรือ จระเข้ปากกระทุงเหว หรือ ตะโขงมลายู (Malayan gharial, False gharial) เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ในอันดับจระเข้ อยู่ในวงศ์ตะโขง (Gavialidae) จัดเป็นหนึ่งในสองชนิดของวงศ์นี้ที่ยังสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน แต่จัดว่าเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในสกุล Tomistoma อนึ่ง บางข้อมูลได้จัดให้ตะโขงอยู่ในวงศ์จระเข้ (Crocodylidae).

ใหม่!!: สัตว์และตะโขง · ดูเพิ่มเติม »

ตะโขงอินเดีย

ตะโขงอินเดีย หรือ กาเรียล (Gharial, Indian gavial, Gavial; ฮินดี: घऱियाल; มราฐี: सुसर Susar) เป็นสมาชิกเพียงไม่กี่ชนิดที่เหลืออยู่ของวงศ์ตะโขง (Gavialidae) ซึ่งเป็นกลุ่มของจระเข้ที่มีปากแหลมเรียวยาว ตะโขงอินเดียได้รับการจัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกคุกคามอยู่ในขั้นวิกฤตโดย IUCNChoudhury, B.C., Singh, L.A.K., Rao, R.J., Basu, D., Sharma, R.K., Hussain, S.A., Andrews, H.V., Whitaker, N., Whitaker, R., Lenin, J., Maskey, T., Cadi, A., Rashid, S.M.A., Choudhury, A.A., Dahal, B., Win Ko Ko, U., Thorbjarnarson, J & Ross, J.P. (2007) Gavialis gangeticus. In: IUCN 2010.

ใหม่!!: สัตว์และตะโขงอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ตัวกินมด

ตัวกินมด (Anteater) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลุ่มหนึ่ง ที่จัดอยู่ในอันดับย่อย Vermilingua (แปลว่า "ลิ้นหนอน") ในอันดับ Pilosa หรือสลอธ ในอันดับใหญ่ Xenarthra ตัวกินมด เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับสัตว์จำพวกอื่นในอันดับใหญ่ทั่วไป คือ เป็นสัตว์ที่มีส่วนจมูกและปากยาวเหมือนท่อ ไม่มีฟันในกราม จึงไม่สามารถที่จะเคี้ยวอาหารได้ แต่ใช้ลิ้นที่ยาวเรียวและมีน้ำลายที่เหนียวตวัดกินแมลงขนาดเล็กตามต้นไม้ หรือพื้นดินกินเป็นอาหาร โดยใช้จมูกที่ไวต่อความรู้สึกหาแมลงไปเรื่อย ๆ เมื่อพบเจอแล้วจะใช้กรงเล็บตีนหน้าที่แหลมคมขุดคุ้ยหรือพังทลายรังของแมลงเหล่านี้ เช่นเดียวกับอาร์มาดิลโล ที่อยู่ในอันดับใหญ่เดียวกัน หรือลิ่น หรืออาร์ดวาร์ก ที่เคยมีบรรพบุรุษร่วมกันมาก่อนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ เนื่องจากตัวกินมดกินแมลง ซึ่งได้แก่ มด และปลวก ซึ่งให้พลังงานต่ำ ดังนั้นวัน ๆ หนึ่งจึงต้องกินมดในปริมาณมากที่อาจมากถึง 9,000 ตัวได้ ตัวกินมด มีขนที่หนาปกคลุมตลอดทั้งตัวและผิวหนังที่หนาที่ช่วยป้องกันตัวจากการโจมตีของมด แต่ก็ไม่สามารถที่จะใช้ป้องกันได้สมบูรณ์แ.

ใหม่!!: สัตว์และตัวกินมด · ดูเพิ่มเติม »

ตัวกินมดยักษ์

ตัวกินมดยักษ์ (Giant anteater) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ ที่กินแมลงเป็นอาหาร พบทางแถบในอเมริกากลาง, อเมริกาใต้ และทางตอนเหนือของอาร์เจนตินาทั้งในทุ่งหญ้าเขตร้อน, ป่าผลัดใบ และป่าฝน.

ใหม่!!: สัตว์และตัวกินมดยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ตัวกินมดซิลกี้

ตัวกินมดซิลกี้ หรือ ตัวกินมดขนนุ่ม หรือ ตัวกินมดแคระ (Silky anteater, Pygmy anteater) เป็นตัวกินมดชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่่านั้นที่อยู่ในสกุล Cyclopes และเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์ Cyclopedidae ที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน เพราะอีกสกุลหนึ่ง คือ Palaeomyrmidon นั้นได้สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคไมโอซีนที่อาร์เจนตินา ตัวกินมดซิลกี้ เป็นตัวกินมดที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก มีความยาวตั้งแต่ปลายปากจรดปลายหาง 35-40 เซนติเมตรเท่านั้น พบกระจายพันธุ์ในป่าของอเมริกากลาง จนถึงตอนเหนือของอเมริกาใต้ในหลายประเทศ แบ่งออกได้เป็น 7 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) พบได้ในหลายประเภทของป่า ตั้งแต่ป่าชายเลนในที่ราบต่ำ จนถึงที่ราบสูงที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,500 เมตร (4,900 ฟุต) ตัวกินมดซิลกี้ มีขนที่อ่อนนุ่มตลอดทั้งตัวสีเทาจนถึงสีเหลือง และมีสีที่หลากหลายออกไปตามแต่ละชนิดย่อย ตามีขนาดเล็กสีดำ มีกรงเล็บหน้าที่แหลมคมใช้สำหรับปีนป่ายต้นไม้ เนื่องจากเป็นตัวกินมดที่อาศัยและหากินบนต้นไม้เป็นหลัก โดยมักจะหากินบนปลา่ยยอดไม้สูง อาหารที่กินจะเป็น มด เป็นอาหารหลัก เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน ขณะที่เวลากลางวันจะนอนหลับด้วยการขดตัวเป็นวงกลมเหมือนลูกบอลบนต้นไม้ ตัวกินมดซิลกี้ สามารถใช้ปลายหางในการเกาะเกี่ยวต้นไม้เพื่อทรงตัวได้เป็นอย่างดี จึงสามารถป่ายปีนต้นไม้หรือกิ่งไม้ได้เป็นอย่างดี แม้กระทั้งตีลังกาห้อยหัวลงมา และสามารถที่จะยืนด้วยสองขาหลัง ชูขาหน้าและกรงเล็บได้ด้วยเพื่้อเป็นการป้องกันตัวAnteaters, "Nick Baker's Weird Creatures".สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต ทางทรูวิชั่นส์: พุธที่ 10 เมษายน 2556.

ใหม่!!: สัตว์และตัวกินมดซิลกี้ · ดูเพิ่มเติม »

ตัวรับความรู้สึกเจ็บปวด

นซิเซ็ปเตอร์ (nociceptor มาจาก nocere แปลว่า "ทำให้เจ็บ") เป็นปลายประสาทอิสระของเซลล์ประสาทรับความรู้สึกที่ตอบสนองโดยเฉพาะต่อตัวกระตุ้นที่อาจจะทำความเสียหายต่อร่างกาย/เนื้อเยื่อ โดยส่งสัญญาณประสาทไปยังระบบประสาทกลางผ่านไขสันหลังหรือก้านสมอง กระบวนการเช่นนี้เรียกว่า โนซิเซ็ปชั่น และโดยปกติก็จะก่อให้เกิดความเจ็บปวด โนซิเซ็ปเตอร์มีอยู่ทั่วร่างกายอย่างไม่เท่ากันโดยเฉพาะส่วนผิว ๆ ที่เสี่ยงเสียหายมากที่สุด และไวต่อตัวกระตุ้นระดับต่าง ๆ กัน บางส่วนไวต่อตัวกระตุ้นที่ทำอันตรายให้แล้ว บางส่วนตอบสนองต่อสิ่งเร้าก่อนที่ความเสียหายจะเกิด ตัวกระตุ้นอันตรายดังที่ว่าอาจเป็นแรงกระทบ/แรงกลที่ผิวหนัง อุณหภูมิที่ร้อนเย็นเกิน สารที่ระคายเคือง สารที่เซลล์ในร่างกายหลั่งตอบสนองต่อการอักเสบ เป็นต้น ความรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ขึ้นอยู่กับสัญญาณที่โนซิเซ็ปเตอร์ส่งเท่านั้น แต่เป็นผลของการประมวลผลความรู้สึกต่าง ๆ อย่างซับซ้อนในระบบประสาทกลาง ที่ได้รับอิทธิพลจากอารมณ์และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสถานการณ์ที่เกิดสิ่งเร้าและประสบการณ์ชีวิต แม้แต่สิ่งเร้าเดียวกันก็สามารถทำให้เกิดความรู้สึกต่าง ๆ กันในบุคคลเดียวกัน ทหารที่บาดเจ็บในสนามรบอาจไม่รู้สึกเจ็บเลยจนกระทั่งไปถึงสถานพยาบาลแล้ว นักกีฬาที่บาดเจ็บอาจไม่รู้ตัวจนกระทั่งการแข่งขันจบแล้ว ดังนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดจึงเป็นประสบการณ์ที่เป็นอัตวิสั.

ใหม่!!: สัตว์และตัวรับความรู้สึกเจ็บปวด · ดูเพิ่มเติม »

ตัวนำโชค

ตัวนำโชค หรือ การ์ตูนสัญลักษณ์ หรือ แมสคอต หรือ มาสคอต (mascot) คือสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งของบางอย่าง (โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นสัตว์หรือตัวละครที่เป็นมนุษย์) ที่ถูกใช้นำมานำเสนอหรือเป็นตัวแทนสู่สาธารณชน ส่วนใหญ่แล้วมักจะถูกใช้โดยโรงเรียน มหาวิทยาลัย (ในประเทศไทย บริษัทธุรกิจต่าง ๆ ได้มีการใช้แมสคอทเช่นกัน) ตัวนำโชคยังถูกเรียกแทนชื่อโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยนั้น ๆ เลยก็ได้เช่นกัน (ตัวอย่าง ช้าง สามารถใช้เรียกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น) ในวงการกีฬา เช่น การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก (Olympic Games) ได้มีการจัดทำตัวนำโชคแตกต่างกันไปในแต่ละปีเพื่อสื่อถึงที่มาและความสำคัญของประเทศเจ้าภาพ เช่น เอเชียนเกมส์ 2010 ณ เมืองกว่างโจว ประเทศจีน ได้จัดทำตัวนำโชคเป็นแพะ 5 ตัว ซึ่งหมายถึง "สันติภาพ, สามัคคี และความสุข ในทุก ๆ อย่างที่คุณปรารถนา".

ใหม่!!: สัตว์และตัวนำโชค · ดูเพิ่มเติม »

ตั๊กแตน

อวัยวะสืบพันธุ์ของตั๊กแตน ภาพของ ''Coryphistes ruricola'' ที่คล้ายตั๊กแตน ตั๊กแตน (Grasshopper) จัดอยู่ในไฟลัมอาร์โธรพอ.

ใหม่!!: สัตว์และตั๊กแตน · ดูเพิ่มเติม »

ตั๊กแตนตำข้าว

ตั๊กแตนตำข้าว หรือ ตั๊กแตนต่อยมวย (Mantis; ภาษาไทยถิ่นเหนือ: แมงม้า) เป็นอันดับของแมลงที่ประกอบไปด้วยแมลงมากกว่า 2,400 ชนิด 430 สกุล ใน 15 วงศ์ พบทั่วไปในภูมิอากาศเขตอบอุ่นและเขตร้อน ส่วนมากอยู่ในวงศ์ Mantidae.

ใหม่!!: สัตว์และตั๊กแตนตำข้าว · ดูเพิ่มเติม »

ตั๊กแตนตำข้าวกล้วยไม้สีชมพู

ตั๊กแตนตำข้าวกล้วยไม้สีชมพู หรือ ตั๊กแตนต่อยมวยกล้วยไม้สีชมพู (Walking flower mantis, Pink orchid mantis) เป็นแมลงจำพวกตั๊กแตนตำข้าวชนิดหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นตั๊กแตนตำข้าวที่มีสีสันและลักษณะสวยที่สุด โดยมีสีตลอดลำตัวเป็นสีชมพูหรือชมพูอ่อนเหลือบกับสีขาว บางตัวมีสีขาวล้วน และมีลักษณะพิเศษคือ สามารถเปลี่ยนสีได้ในระหว่างวัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม เช่น ความชื้นและความเข้มของแสง ตั๊กแตนตำข้าวกล้วยไม้มีส่วนขาขยายออกเพื่อเลียนแบบกลีบดอกไม้ ชอบอยู่อาศัยตามธรรมชาติที่มีไม้ดอกไม้ประดับสีขาวหรือสีชมพู หรือเป็นไม้พุ่ม สามารถซ่อนตัวจากศัตรูได้อย่างแนบเนียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้วยไม้ มักจะนิ่ง ๆ เพื่อรอเหยื่อที่หลงทาง หรือทำตัวเป็นนักล่า เมื่อพบว่าเหยื่อเห็น ตัวผู้จะว่องไว เคลื่อนไหวรวดเร็ว และในช่วงผสมพันธุ์หากตัวเมียไม่พร้อม ตัวผู้อาจถูกตัวเมียจับกินเป็นอาหารได้ ตัวเมียจะมีความยาวประมาณ 6-7 เซนติเมตร ขณะที่ตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าคือ 2.5 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในป่าดิบชื้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ส่วนหัวของตั๊กแตนตำข้าวกล้วยไม้สีชมพู ตัวเมียในวัยกึ่งโตเต็มวั.

ใหม่!!: สัตว์และตั๊กแตนตำข้าวกล้วยไม้สีชมพู · ดูเพิ่มเติม »

ตุ๊กกาย

ตุ๊กกาย หรือ ตุ๊กแกป่า (Curve-toed geckos) สัตว์เลื้อยคลานจำพวกหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายตุ๊กแก แต่มีขนาดเล็กกว่า อยู่ในวงศ์ Gekkonidae เช่นเดียวกับตุ๊กแกและจิ้งจก โดยอยู่ในสกุล Cyrtodactylus มีลักษณะสำคัญ คือ มีนิ้วเท้าและเล็บที่แหลมยาว ไม่มีปุ่มดูดจึงไม่สามารถดูดติดเกาะผนังได้เหมือนตุ๊กแกและจิ้งจก ใช้ได้เพียงแค่ปีนป่ายเหมือนกิ้งก่าเท่านั้น อาศัยอยู่ในถ้ำและป่า ของทวีปเอเชียไม่พบในเมือง มีประมาณ 89 ชนิด ปัจจุบันพบแล้วในประเทศไทยประมาณ 30 ชนิด สถานะปัจจุบันเป็นสัตว์หายากชนิดหนึ่ง เคยเป็นสัตว์ที่ถูกบรรจุชื่อไว้ในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 แต่เมื่อมีการปรับปรุงใหม่ในปี พ.ศ. 2546 ถูกถอดชื่อออกไป โดยคำว่า "ตุ๊กกาย" ผู้ที่บัญญัติชื่อนี้ขึ้นมา คือ นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล อดีตนักอนุรักษ์ธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของไท.

ใหม่!!: สัตว์และตุ๊กกาย · ดูเพิ่มเติม »

ตุ๊กตา

ตุ๊กตา ตุ๊กตา เป็นของเล่นสำหรับเด็ก ซึ่งอาจเป็นรูปร่างของ คน สัตว์ หรือ ตัวละครในนิยายที่ไม่มีอยู่จริง มักทำจากผ้าหรือพลาสติก โดยส่วนใหญ่นิยมทำมาในรูปแบบของเล่นมากกว่าหรือของตกแต่งสถานที่ เชื่อว่า ตุ๊กตามีที่มาจากเทวรูปหรือรูปเคารพตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตุ๊กตาในยุคแรกจะเป็นมนุษย์ขนาดเล็ก ไม่มีความน่ารักเหมือนเช่นปัจจุบัน ต่อมายุคอียิปต์โบราณ เด็ก ๆ ได้นำเอารูปเคารพเหล่านี้มาเล่น จึงหวั่นว่าเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการเปลี่ยนมาเป็นตุ๊กตาแทน ในราว 500 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคกรีกโบราณและโรมัน จึงมีตุ๊กตาที่แขนขาขยับได้ และมีผมที่ทำมาจากเส้นผมมนุษย์จริง ๆ โดยตุ๊กตาที่มีรูปลักษณ์เหมือนเด็กเล็กหรือเด็กทารกมีขึ้นในราว 300 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคกรีกโบราณ.

ใหม่!!: สัตว์และตุ๊กตา · ดูเพิ่มเติม »

ตุ๊กแก

ตุ๊กแก (Geckos, Calling geckos, Tropical asian geckos, True geckos) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานสกุลหนึ่ง ในวงศ์ย่อย Gekkoninae ในวงศ์ใหญ่ Gekkonidae ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gekko (/เก็ก-โค/) โดยสัตว์ที่อยู่ในสกุลนี้ จะอาศัยอยู่ในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ส่วนใหญ่มีสีสันและลวดลายบนลำตัว วางไข่ครั้งละ 2 - 7 ฟอง พบได้ทั้งในบ้านเรือนของมนุษย์และในป่าดิบ โดยปกติแล้วจะมีขนาดความยาวมากกว่า 10 เซนติเมตร มีรูปร่างที่แตกต่างกันหลากหลาย ส่วนใหญ่หากินบนต้นไม้และใต้นิ้วเท้ามีแผ่นหนังเรียงต่อกัน ที่มีเส้นขนจำนวนมาก ซึ่งแต่ละเส้นยาวประมาณ 60-90 ไมครอน ส่วนปลายของเส้นขนแตกแขนงและขยายออกเป็นตุ่ม เรียกว่า "เซต้า" ใช้สำหรับยึดเกาะติดกับผนังได้โดยแรงวานเดอร์วาลส์ โดยชนิดที่รู้จักกันดีที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุด คือ ตุ๊กแกบ้าน (G. gekko).

ใหม่!!: สัตว์และตุ๊กแก · ดูเพิ่มเติม »

ตุ๊กแกบิน

ตุ๊กแกบิน (Flying geckos, Parachute geckos, Gliding geckos) เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่ในอันดับ Squamata ในวงศ์ตุ๊กแกและจิ้งจก (Gekkonidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Ptychozoon.

ใหม่!!: สัตว์และตุ๊กแกบิน · ดูเพิ่มเติม »

ตุ๊กแกบินหางแผ่น

ตุ๊กแกบินหางแผ่น (Kuhl's flying gecko; ชื่อวิทยาศาสตร์: Ptychozoon kuhli) สัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งจำพวกตุ๊กแก มีรูปร่างคล้ายจิ้งจกบ้านทั่วไป แต่มีขนาดใหญ่กว่า มีความลำตัวประมาณยาว 9.5 เซนติเมตร หางยาว 9.5 เซนติเมตร มีพังผืดยึดระหว่างนิ้วเท้า ใต้เท้ามีแผ่นยึดเกาะเรียงเป็นแถวเดี่ยว ปลายนิ้วมีเล็บ มีแผ่นหนังแผ่กว้างออกมาจากข้างแก้มและลำตัวทำหน้าที่เหมือนปีกเครื่องร่อน หางแบนขอบหางหยัก ปลายหางแผ่เป็นแผ่นกว้างขอบเรียบและกว้างกว่าหาง ส่วนที่เป็นหยัก สันหางมีตุ่ม ลำตัวสีน้ำตาลหรือเทา มีแถบเข้มพาดขวางบนหลัง 4 แถบ หางมีลายพาด พบในป่าดิบในภาคใต้ของไทย ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช, จังหวัดปัตตานี พบได้จนถึงภาคเหนือของมาเลเซียจนถึงสิงคโปร์, หมู่เกาะนิโคบาร์ในอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังพบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียที่ติดกับพม่า และพบที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ทางภาคเหนือของไทยอีกด้วย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 แต่ก็นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานเช่นเดียวกับตุ๊กแกบินหางเฟิน (P. lionotum) ซึ่งเป็นตุ๊กแกในสกุลเดียวกันด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และตุ๊กแกบินหางแผ่น · ดูเพิ่มเติม »

ตุ๊กแกบินหางเฟิน

ตุ๊กแกบินหางเฟิน (Smooth-backed gliding gecko, Burmese flying gecko; ชื่อวิทยาศาสตร์: Ptychozoon lionotum) เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งจำพวกตุ๊กแกและจิ้งจก อยู่ในวงศ์ Gekkonidae มีรูปร่างและสีสันคล้ายจิ้งจกบ้านทั่วไป แต่มีขนาดใหญ่กว่า สามารถโตเต็มที่ได้ 8 นิ้ว ลำตัวแบนราบ ที่นิ้วเท้ามีลักษณะแบนราบและมีพังผืดต่อติดกันไปตลอดทั้งลำตัว ใช้ในการร่อนจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ หางมีลักษณะแบนยาวและมีแขนงแตกออกเป็นหยัก ๆ แลดูคล้ายใบของต้นเฟิน อันเป็นที่มาของชื่อ สามารถปรับสีสันของลำตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างดี เมื่อถูกรบกวนมักจะมุดหนีเข้าไปในซอกไม้หรือโพรงไม้ แล้วขดหางเป็นวงกลมแนบไว้กับลำตัว และหากถูกรบกวนอีกก็จะมุดลงไปลึกขึ้นอีก หากินในเวลากลางคืน มีความว่องไวมาก ในประเทศไทย พบเฉพาะในป่าดงดิบชื้นในชายแดนภาคตะวันตกติดกับพม่าและภาคใต้ติดกับมาเลเซียเท่านั้น สถานภาพในปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 แต่กระนั้น ตุ๊กแกบินหางเฟิน ก็ยังเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบการเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานอีกด้วย ตุ๊กแกบินหางเฟิน ยังมีชื่อเรียกอื่นอีก เช่น "ตุ๊กแกบินหางหยัก" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และตุ๊กแกบินหางเฟิน · ดูเพิ่มเติม »

ตุ๊กแกบ้าน

ำหรับความหมายอื่น ดูที่ Gecko ตุ๊กแกบ้าน (Tokay, Gecko, Calling gecko) หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า ตุ๊กแก หรือ ต๊กโต ในภาษาเหนือ หรือ กั๊บแก ในภาษาอีสาน.

ใหม่!!: สัตว์และตุ๊กแกบ้าน · ดูเพิ่มเติม »

ตุ๊กแกบ้านสีเทา

ตุ๊กแกบ้านสีเทา (Smith's green-eyed gecko, Large forest gecko) สัตว์เลื้อยคลานประเภทจิ้งจกและตุ๊กแกชนิดหนึ่ง เป็นตุ๊กแกขนาดใหญ่ ขนาดใหญ่เต็มที่ประมาณ 20-25 เซนติเมตร หัวมีขนาดใหญ่และค่อนข้างเรียว แต่ไม่กว้างเหมือนตุ๊กแกบ้าน (G. gekko) ตาโตสีเขียว ลำตัวสีน้ำตาลเทา ตุ๊กแกที่ยังไม่โตเต็มวัย จะมีจุดสีขาวทั่วลำตัว ตัวเต็มวัยตามลำตัว และหางจะมีแต้มสีขาว และมีลายเส้นสีดำรูปแบบไม่แน่นอนกระจายทั่ว พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ภาคใต้ของประเทศไทย เช่น จังหวัดกระบี่, พังงา, สตูล, ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส ไปตลอดแหลมมลายูจนถึงอินโดนีเซีย, พม่า, หมู่เกาะนิโคบาร์ โดยมีการค้นพบครั้งแรกที่เกาะปีนัง และตั้งชื่อวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นเกียรติแก่ แอนดรูว์ สมิธ นักสัตววิทยาชาวสกอต จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และตุ๊กแกบ้านสีเทา · ดูเพิ่มเติม »

ตุ๊กแกหางใบไม้

ตุ๊กแกหางใบไม้ หรือ ตุ๊กแกหางแบน (Leaf-tail gecko, Leaf-tailed gecko, Flat-tailed gecko) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกตุ๊กแก ที่อยู่ในสกุล Uroplatus โดยที่คำว่า Uroplatus เป็นภาษาละตินมาจากภาษากรีก 2 คำ คือ "ourá" (οὐρά) หมายถึง "หาง" และ "platys" (πλατύς) หมายถึง "แบน" ตุ๊กแกหางใบไม้ เป็นตุ๊กแกที่มีลักษณะเด่น คือ มีร่างกายที่บิดงอและแบนราบ ทำให้มีลักษณะกลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะส่วนหางที่แบนราบและมีลักษณะคล้ายกับใบไม้มาก จึงเป็นสัตว์ที่สามารถแฝงตัวตามธรรมชาติได้เป็นอย่างดี เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน มีดวงตากลมโตจึงสามารถมองเห็นในเวลากลางคืนได้เป็นอย่างดี โดยที่ไม่มีเปลือกตา ตุ๊กแกหางใบไม้มีความสามารถในการมองในที่มืดดีกว่ามนุษย์ถึง 350 เท่า และสามารถเห็นสีต่าง ๆ ได้แม้ในแสงจันทร์สลัว ๆ กินแมลงต่าง ๆ รวมถึงสัตว์ไม่มีกระดูกชนิดต่าง ๆ เป็นอาหารเหมือนตุ๊กแกทั่วไป ที่ฝ่าตีนและนิ้วมีปุ่มสุญญากาศใช้ยึดเกาะติดกับผนังได้เป็นอย่างดี โดยพฤติกรรมมักจะอยู่นิ่ง ๆ ทำตัวกลมกลืนไปกับต้นไม้หรือใบไม้ มีขนาดตั้งแต่ 30 เซนติเมตร รวมทั้งส่วนหาง จนถึง 10 เซนติเมตร ซึ่งเป็นขนาดเล็กสุด ตัวเมียวางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง จัดเป็นสัตว์เฉพาะถิ่น ที่พบได้บนเกาะมาดากัสการ์ที่เดียวเท่านั้น อาศัยอยู่ในป่าทั่วไปทั้งป่าดิบ หรือป่าเสื่อมโทรม.

ใหม่!!: สัตว์และตุ๊กแกหางใบไม้ · ดูเพิ่มเติม »

ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค

ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค (Satanic leaf-tailed gecko) สัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง จำพวกตุ๊กแก จัดเป็นตุ๊กแกหางใบไม้ชนิดหนึ่ง ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค พบกระจายพันธุ์เฉพาะบนเกาะมาดากัสการ์เท่านั้น เป็นตุ๊กแกที่มีลักษณะพิเศษ คือ สามารถพรางตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างดีเยี่ยม มีร่างกายที่บิดงอ ผิวหนังที่มีเส้นเลือดโปดปูน และส่วนหางที่แบนราบแลดูคล้ายใบไม้แห้งอย่างมาก ทำให้สามารถพรางตัวเป็นใบไม้แห้งได้อย่างแนบเนียน ผิวหนังมีหลายสีด้วยกัน เช่น สีเขียวมะกอก หรือสีน้ำตาลมีจุดดำกระจายอยู่ตามตัว ขนาดโตเต็มที่มีความยาวประมาณ 10-13 นิ้ว มีดวงตากลมใหญ่ไร้เปลือกตา โดยจะมีเพียงเยื่อใส ๆ ห่อหุ้มป้องกันดวงตาเท่านั้น ดวงตาสีน้ำตาลอมชมพู มีจุดสีแดงตรงกลาง ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค เป็นสัตว์หากินในเวลากลางคืน โดยพฤติกรรมจะซุ่มอยู่นิ่ง ๆ เกาะอยู่ตามต้นไม้หรือใบไม้หรือมอสในพื้นที่ป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกของเกาะมาดากัสการ์ กินแมลง และแมงหลายชนิดเป็นอาหาร ในตัวที่มีขนาดลำตัวใหญ่อาจกินสัตว์ที่มีขนาดใหญ่เช่น หนู หรือนกขนาดเล็กได้ด้วย ทำตัวกลมกลืนกับธรรมชาติ จำแนกเพศได้โดยการพิจารณาจากสีผิว ตัวเมียจะมีลำตัวสีเทา ขณะที่ตัวผู้จะเป็นสีน้ำตาลแกมเหลือง และมีปุ่มสองปุ่มคล้ายไข่บริเวณโคนหาง ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์แปลก โดยทำการเลี้ยงในตู้กระจกและปรับสภาพแวดล้อมเลียนแบบธรรมชาติเช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลานลักษณะคล้ายกัน จัดเป็นตุ๊กแกที่เลี้ยงง่าย ไม่มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว ผู้เลี้ยงสามารถป้อนอาหารให้กินด้วยมือได้ และสามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้ในที่เลี้ยง โดยไข่ใช้เวลาฟักประมาณ 30 วัน และนานที่สุด คือ 90-120 วัน โดยสถานที่แรกที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ คือ สวนสัตว์ซานดิเอโก ด้วยความแปลกทางรูปร่างตลอดจนพฤติกรรม ทำให้ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิคได้กลายเป็นอินเทอร์เน็ตมีม โดยถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีลักษณะคล้ายกับมังกร ซึ่งเป็นสัตว์ในจินตนาการไม่มีอยู่จริง และถูกตัดต่อภาพให้มีปีกเหมือนกับมังกร.

ใหม่!!: สัตว์และตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค · ดูเพิ่มเติม »

ตุ๊กแกตาเขียว

ตุ๊กแกตาเขียว หรือ ตุ๊กแกป่าไทย (Siamese green-eyed gecko) เป็นตุ๊กแกชนิดหนึ่ง มีรูปร่าง ลักษณะคล้ายตุ๊กแกบ้าน (G. gecko) ทั่วไป แต่มีรูปร่างเล็กกว่า มีส่วนหัวที่ยาวกว่า มีลวดลายที่เป็นระเบียบกว่าเป็นสีน้ำตาล และตามตัวและหางจะมีหนามเล็ก ๆ มีจุดเด่น คือ มีดวงตาโตสีเขียว จะพบได้เฉพาะในถ้ำหินปูนในแถบจังหวัดสระบุรี และไม่กี่จังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง ในประเทศไทยแห่งเดียวในโลกเท่านั้น ออกหากินในเวลากลางคืน อาหารได้แก่ แมลงและสัตว์ต่าง ๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า มีพฤติกรรมวางไข่บนต้นไม้ โดยจะวางไข่ได้เต็มที่ 2 ฟอง เท่านั้น ปัจจุบัน เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งที่หายาก ใกล้สูญพัน.

ใหม่!!: สัตว์และตุ๊กแกตาเขียว · ดูเพิ่มเติม »

ตุ๊ดตู่

ตุ๊ดตู่ (Dumeril's monitor) เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในวงศ์เหี้ย (Varanidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายเหี้ย (V. salvator) ซึ่งเป็นสัตว์ในวงศ์เดียวกัน เมื่อเล็กตั้งแต่ปลายปากถึงคอจะมีสีส้มหรือสีแดงเข้ม เมื่อโตสีจะจางลง มีขีดสีดำตั้งแต่ขอบตาถึงคอ ลำตัวมีขวั้นสีเหลืองตั้งแต่คอถึงปลายหาง เป็นสัตว์ที่มีความเชื่องช้า ไม่ค่อยออกไปหากินไกลจากที่อาศัย เมื่อหิวจึงจะออกหากิน แล้วก็กลับเข้าหลับนอนตามเดิม การวางไข่ วางไข่ครั้งละ 23 ฟอง ระยะฟักไข่ 203–230 วัน ถือได้ว่าเป็นสัตว์ที่เล็กที่สุดในวงศ์นี้ที่พบในประเทศไทย เป็นสัตว์ไม่มีพิษ โดยเต็มที่จะมีขนาด 50–125 เซนติเมตรเท่านั้น โดยชื่อสามัญในภาษาอังกฤษและชื่อวิทยาศาสตร์ตั้งขึ้นเป็นเกียรติแก่ อองเดรย์ มารี คอนสแตนต์ ดูเมรีล นักวิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชาวฝรั่งเศส เป็นสัตว์ขี้อาย มักอาศัยอยู่ในโพรงไม้ จนมีเอ่ยถึงในบทสร้อยสุภาษิตว่า ในประเทศไทยจะพบตั้งแต่จังหวัดกาญจนบุรีไปจนถึงคอคอดกระในภาคใต้ และพบไปจนถึงมาเลเซียและอินโดนีเซียCota, M.; Chan-ard, T.; Mekchai, S.; Laoteaw, S. (2008).

ใหม่!!: สัตว์และตุ๊ดตู่ · ดูเพิ่มเติม »

ตุ่น

ำหรับ ติ่ง ที่เป็นความหมายสแลงดูที่ ติ่งหู ตุ่น หรือ ติ่ง (Moles) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมวงศ์หนึ่ง ในอันดับตุ่น (Soricomorpha) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Talpidae ซึ่งครั้งหนึ่ง (หรือบางข้อมูล) จะจัดให้ตุ่นอยู่ในอันดับสัตว์กินแมลง (Insectivora) ตุ่น มีลักษณะคล้ายหนูตะเภาตัวอ้วน ๆ ซึ่งเป็นสัตว์ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) แต่ทว่าตุ่นมีอันดับแยกออกมาเองต่างหาก ซึ่งใกล้เคียงกับหนูผี (Soricidae) มากกว่า มีขนอ่อนนุ่ม สีคล้ำอย่างสีเทาหรือสีดำ ตลอดทั้งลำตัว ซึ่งขนนี้มีคุณลักษณะพิเศษที่สามารถบิดไปในทิศทางใดก็ได้ แตกต่างจากสัตว์ประเภทอื่น ๆ ส่วนหางสั้น ตุ่นอาศัยในโพรงใต้ดินตลอดเวลา จะไม่ขึ้นมาบนพื้นดิน หากไม่จำเป็น ดังนั้นจึงมีหูและตาเล็กมาก เพราะแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์ และถูกเก็บซ่อนอยู่ใต้ขน เพื่อป้องกันมิให้ดินเข้าเวลาขุดดิน ในบางชนิดจะมีหนังพิเศษปิดเหนือตาด้วย ขาคู่หน้าของตุ่นซ่อนอยู่ใต้ขน ซึ่งจะยื่นออกมาแต่ส่วนปลายเป็นข้อมือที่มีเล็บที่แข็งแรง 5 เล็บ ซึ่งใช้ในการขุดโพรงดิน แต่จะใช้เดินบนพื้นดินไม่ได้เลย หากตุ่นขึ้นมาบนดินจะทำได้เพียงแค่คืบคลาน ในโพรงใต้ดินของตุ่น มีทางยาวมาก โดยมักจะขุดให้ลึกไปจากผิวดินราว 3 นิ้วครึ่งถึงครึ่งฟุต เป็นทางยาวขนานไปกับผิวดิน และลึกจากหน้าดินราวหนึ่งฟุตก็มีอีกโพรงหนึ่งเป็นคู่ขนานด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งสองสายนี้เชื่อมไว้ด้วยทางเชื่อมเล็ก ๆ ในแนวตามจุดต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ แต่ในบางจุดอาจมีแนวดิ่งลึกลงไปถึง 4 ฟุต ผนังโพรงราบเรียบสม่ำเสมอกัน ที่ปลายสุดของโพรงจะใช้เป็นที่กลับตัว ซึ่งมีความกว้างเพียงขนาดเท่าตัวของตุ่น ดินที่ขุดขึ้นทำโพรงนั้นจะถูกอัดไปตามผนังโพรงเพื่อให้แน่นและแข็งแรง แต่บางส่วนก็จะถูกดันขึ้นไปเหนือพื้นดิน เห็นเป็นเนิน ๆ ซึ่งเรียกในภาษาไทยว่า "โขย" ตุ่น กินอาหารหลัก คือ ไส้เดือนดิน และก็สามารถกินอาหารอื่นได้ เช่น หนอน, หอยทาก และพืชประเภทหัว เช่น มัน หรือ แห้ว หลายชนิด ในวันหนึ่ง ๆ ตุ่นสามารถที่จะกินอาหารได้เท่ากับน้ำหนักตัว จึงเป็นสัตว์ที่ไม่อาจอดอาหารได้นาน ในฤดูแล้งที่อาหารขาดแคลน ตุ่นสามารถจะสะสมอาหารเป็นเสบียงได้ ในโพรงดินส่วนที่เป็นห้องเก็บอาหาร โดยมีรายงานว่า ตุ่นบางตัวเก็บหนอนไว้ในห้องเก็บอาหารนับร้อยตัว โดยที่หัวของหนอนเหล่านี้ถูกกัดจนหัวขาดแล้ว แต่ยังไม่ตาย ไม่อาจจะหนีไปไหนได้ ตามปกติ ตุ่นเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ลำพัง นอกจากในฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งในฤดูผสมพันธุ์ตัวผู้ต้องต่อสู้แย่งชิงตัวเมียเสียก่อน ตัวเมียจะเป็นฝ่ายสร้างรั งขนาดลูกรักบี้ที่บุด้วยใบไม้และฟางหรือกิ่งไม้เล็ก ๆ โดยจะอยู่ลึกจากหน้าดินประมาณ 2 ฟุต หรือตื้นกว่านั้น มีทางแยกออกจากรังหลายทาง เพื่อที่จะเข้าออกได้หลายทาง เพื่อความสะดวกและปลอดภัย ซึ่งรังของตุ่นจะสะอาดสะอ้านอยู่เสมอ ตุ่นมักจะมีลูกครอกละ 2-7 ตัว ลูกอ่อนที่เกิดใหม่จะยังไม่ลืมตา และขนจะเริ่มงอกเมื่อมีอายุได้สัก 10 วัน และลืมตาในเวลาต่อมา และจะออกจากรังเมื่อมีอายุได้ราว 5 สัปดาห์ มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 3 ปี ตุ่นกระจายพันธุ์ไปในทุกพื้นที่ทั่วโลก ยกเว้นในเขตขั้วโลกและโอเชียเนีย สามารถแบ่งออกได้เป็น 17 สกุล และ 3 วงศ์ย่อย (ดูในตาราง) พบประมาณ 44 ชนิด ซึ่งบางชนิดมีขนสีทอง บางชนิดมีส่วนหางยาว บางชนิดที่จมูกมีเส้นขนเป็นอวัยวะรับสัมผัสเป็นเส้น ๆ 22 เส้น ลักษณะคล้ายดาว และมีพฤติกรรมมักอาศัยอยู่บนดินและว่ายน้ำได้เก่งอีกด้วย ขณะที่บางชนิดก็สามารถปีนต้นไม้ได้ และอาศัยอยู่เป็นฝูง สำหรับในประเทศไทยพบเพียงชนิดเดียว คือ ตุ่นโคลส (Euroscaptor klossi).

ใหม่!!: สัตว์และตุ่น · ดูเพิ่มเติม »

ตุ่นจมูกดาว

ตุ่นจมูกดาว (Star-nosed mole) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในอันดับตุ่น (Soricomorpha) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Condylura แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) ตุ่นจมูกดาว มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับตุ่นชนิดอื่น ๆ แต่มีส่วนหางยาว โดยลักษณะเฉพาะตัวที่ดูโดดเด่น คือ เส้นขนที่จมูกที่บานออกเป็นแฉก ๆ คล้ายดาว ซึ่งทำหน้าที่เป็นประสาทสัมผัส 22 เส้นอยู่รอบรูจมูก โดยมีปลายสัมผัสที่เส้นขนเหล่านี้มากมายราวถึงหนึ่งแสนจุด ตุ่นจมูกดาว อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มชื้นแฉะ ในบริเวณภาคตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือระหว่างแคนาดาและสหรัฐอเมริกา โดยพบไปถึงชายฝั่งทะเลในรัฐจอร์เจีย โตเต็มวัยจะมีความยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 55 กรัม มีฟัน 44 ซี่ หากินด้วยการใช้กรงเล็บอันแข็งแรงขุดคุ้ยดินในพื้นที่ชุ่มน้ำหรือตะกอนลำธาร โดยใช้หนวดรอบจมูกคอยสอดส่องหา อันได้แก่ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก ๆ เช่น แมลงน้ำและตัวอ่อนชนิดต่าง ๆ, สัตว์จำพวกหอยและปลาหมึก เป็นต้น ซึ่งประสาทสัมผัสรอบจมูกนี้มีความว่องไวมาก ทำให้ตุ่นจมูกดาวสามารถจับเหยื่อเพื่อกินได้ในเวลาเพียง 120 มิลลิวินาทีเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว ตุ่นจมูกดาวยังเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่สามารถดมกลิ่นใต้น้ำได้อีกด้วย โดยจะใช้หนวดสำรวจหาเหยื่อตามก้นแหล่งน้ำ โดยจะพ่นฟองอากาศออกมาจากรูจมูกหลายครั้ง เพื่อให้โมเลกุลกลิ่นในน้ำผสมกับอากาศ จากนั้นก็ทำการสูดหายใจเอาฟองอากาศกลับเข้าไปอย่างรวดเร็วด้วยความถี่ประมาณ 10 ครั้งต่อวินาทีเพื่อตรวจหากลิ่นของเหยื่อในน้ำ อีกทั้งยังเป็นตุ่นที่มีพฤติกรรมชอบใช้ชีวิตและหากินบนพื้นดินมากกว่าจะขุดโพรงอยู่ใต้ดินเหมือนเช่นตุ่นชนิดอื่น ๆ อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และตุ่นจมูกดาว · ดูเพิ่มเติม »

ตุ่นปากเป็ด

ตุ่นปากเป็ด (Platypus, Watermole, Duckbill, Duckmole, Duck-billed platypus) เป็นสัตว์ประจำท้องถิ่นของออสเตรเลีย แม้ว่าตุ่นปากเป็ดจะมีเพียงสปีชีส์เดียว แต่มีชื่อเรียกมากมายหลายชื่อ เช่น และมีชื่อที่ชาวอะบอริจินตั้งให้อีกหลายชื่อ ได้แก่ mallangong, boondaburra และ tambreet พบตุ่นปากเป็ดเฉพาะในแถบตะวันออกของออสเตรเลียเท่านั้น ตุ่นปากเป็ดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับโมโนทรีมาตา (Monotremata) เช่นเดียวกับอีคิดน.

ใหม่!!: สัตว์และตุ่นปากเป็ด · ดูเพิ่มเติม »

ต่อ

ต่อ (wasp)คือแมลงสังคมซึ่งมีนางพญาเป็นจุดศูนย์กลางชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์ Vespidae มันถูกจัดให้เป็นแมลงประเภทที่ทั้งกินเนื้อและพืชเป็นอาหาร ต่อในโลกนี้มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ มนุษย์สามารถนำตัวอ่อนของต่อมาทำอาหารได้ ต่อทำรังด้วยเศษใบไม้กับน้ำลาย ลักษณะกลมและรี ขนาดของรังจะขึ้นอยู่กับเวลา และจำนวนประชากรต่อ หมวดหมู่:แมลง หมวดหมู่:แมลงที่รับประทานได้ hr:Ose ko:말벌상과 pl:Osa sr:Оса (инсект).

ใหม่!!: สัตว์และต่อ · ดูเพิ่มเติม »

ต่อเยอรมัน

3 จุด บนหน้าของต่อเยอรมัน ต่อเยอรมัน (German wasp หรือ European wasp, Vespula germanica) เป็นต่อที่พบได้มากในซีกโลกเหนือ เป็นสัตว์พื้นเมืองของยุโรป, แอฟริกาเหนือ และในเขตร้อนของเอเชีย ภายหลังได้กระจายเข้าไปในภูมิภาคอื่น และอาศัยเป็นถิ่นที่อยู่ถาวร ในหลายพื้นที่ เช่น อเมริกาเหนือ, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ต่อเยอรมันจัดอยู่ในวงศ์Vespidae บางครั้งเข้าใจผิดว่าเป็นต่อกระดาษ เพราะมันสร้างรังด้วยวัสดุเหมือนกระดาษสีเทา ซึ่งความจริงแล้ว ต่อกระดาษนั้นจัดอยู่ในวงศ์ย่อยPolistinae ในอเมริกาเหนือ เรียกต่อพวกนี้ว่า ต่อเสื้อคลุมเหลือง (yellowjacket).

ใหม่!!: สัตว์และต่อเยอรมัน · ดูเพิ่มเติม »

ต้นฝิ่น

ต้นฝิ่น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Papaver somniferum L. เป็นดอกป๊อปปี้พันธุ์หนึ่ง ในวงศ์ Papaveraceae ชื่อสกุล Papaver เป็นชื่อภาษาละตินสำหรับเรียกพืชที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า Opium poppy ส่วนชื่อชนิด somniferum แปลว่า ทำให้นอนหลั.

ใหม่!!: สัตว์และต้นฝิ่น · ดูเพิ่มเติม »

ซอริสเกีย

ซอริสเกีย (Saurischia,, จากภาษากรีกโบราณ σαυρος (sauros) แปลว่า 'กิ้งก่า' และ ισχιον (ischion) แปลว่า "ร่วมสะโพก") เป็นการจัดอันดับของสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปแล้วจำพวกไดโนเสาร์ นับเป็นอันดับของไดโนเสาร์ในวงกว้างหนึ่งในสองอันดับ (ร่วมกับออร์นิทิสเกียหรือไดโนเสาร์ที่มีโครงกระดูกสะโพกหรือเชิงกรานคล้ายนก) โดยเป็นการจัดมาตั้งแต่ปี..

ใหม่!!: สัตว์และซอริสเกีย · ดูเพิ่มเติม »

ซอร์เดส

ำลองของซอร์เดส ซอร์เดส (Sordes) เป็นเทอโรซอร์ตัวเล็กจากยุคจูราซซิกตอนปลายในประเทศคาซัคสถาน ชื่อสกุลถูกตั้งชื่อในปี..1971 โดย Aleksandr Grigorevich Sharov ชื่อสกุลต้นแบบของมันคือ Sordes pilosus.

ใหม่!!: สัตว์และซอร์เดส · ดูเพิ่มเติม »

ซอโรพอด

ซอโรพอด (sauropod Diermibot) คือ ไดโนเสาร์คอยาวชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่มาก ส่วนใหญ่แล้วจะมีคอยาวอย่างน้อย 5 เมตร มีอยู่หลายชนิด ชนิดที่ใหญ่ที่สุดคือแอมพิโคเลียส และเล็กที่สุดคือพลาทีโอซอรัส ซอโรพอดชนิดเรกอาศัยอยู่ในยุคไตรแอสสิคตอนปลาย และชนิดสุดท้ายอาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนปลายเมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน.

ใหม่!!: สัตว์และซอโรพอด · ดูเพิ่มเติม »

ซอโรโพไซดอน

ซอโรโพไซดอน (Sauroposeidon) มีชื่อมาจาก "เทพโพไซดอน" ของกรีก เป็นไดโนเสาร์ในสกุล ซอโรพอด ขนาดใหญ่ ถูกขุดพบในทวีปอเมริกาเหนือในทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐโอคลาโฮมาของสหรัฐอเมริกา ถูกค้นพบครั้งแรกในปี..1994 อาศัยอยู่ในยุค ครีเตเชียสเมื่อประมาณ 110 ล้านปีที่แล้ว การวิเคราะห์ของนักนิเวศวิทยาบรรพกาล (Paleoecological) ระบุว่า ซอโรโพไซดอน อาศัยอยู่บนชายฝั่งของอ่าวเม็กซิโกในปากแม่น้ำ เช่น เดียวกับ ซอโรพอดอื่นอย่าง แบรกคิโอซอรัส เป็นสัตว์ซึ่งกินพืชเป็นอาหาร คอมีลักษณะคล้ายกับสัตว์กินพืชในยุคปัจจุบันอย่างยีราฟ.

ใหม่!!: สัตว์และซอโรโพไซดอน · ดูเพิ่มเติม »

ซอโรโลฟัส

ซอโรโลฟัส (Saurolophus) เป็นไดโนเสาร์ตระกูลปากเป็ดมีหงอนเช่นเดียวกับพาราซอโรโลฟัสหรือคอริโธซอรัส มีความยาวประมาณ 10-13 เมตร ค้นพบที่อเมริกาเหนือ และมองโกเลีย จีน มีความหมายของชื่อว่ากิ้งก่าหงอนใหญ่ อาศัยอยู่ใน ยุคครีเทเชียสตอนต้นปลายประมาณ 80-75 ล้านปี ว่ายน้ำได้ดี หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส.

ใหม่!!: สัตว์และซอโรโลฟัส · ดูเพิ่มเติม »

ซอโรเพกาแนกซ์

ปรียเทียบ ซอโรฟากาแนกซ์กับญาติในตระกูลของอัลโลซอร์ ซอโรเพกาแนกซ์ (Saurophaganax) ชื่อมีความหมายว่านายพรานล่าซอโรพอด เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในยุคจูราสสิก ยาวประมาณ 13 เมตร(ยาวกว่าTyranosaurus rex) และหนักประมาณ 3-5 ตัน อยู่ในตระกูลอัลโลซอร์(allosauroids) มีเขี้ยวยาวถึง 25 เซนติเมตร ไว้สำหรับบดกระดูกเช่นเดียวกับไทรันโนซอรัส ค้นพบในรัฐโอคลาโฮมา ส่วนกระดูกขาอ่อนกระดูกสันหลังหลายหางและกระดูกสะโพกมีการพบในภาคเหนือของนิว เม็กซิโก มันถูกพบครั้งแรกเมื่อปี 1995 โดย ดร.คลัช ในครั้งแรกที่ดร.คลัช ค้นพบฟอสซิลยังไม่สมบูรณ์ แต่ในปี 2003 ได้มีการค้นพบฟอสซิลกระดูกเพิ่ม ซึ่งประมาณการความยาวได้ 11-13 เมตร หนักประมาณ 3-5ตัน สูง 4เมตร.

ใหม่!!: สัตว์และซอโรเพกาแนกซ์ · ดูเพิ่มเติม »

ซอโรเพลตา

ซอโรเพลตา (Sauropelta) ค้นพบในปี..1970 เป็นไดโนเสาร์ที่มีเกราะกำบังชนิดหนึ่ง ยาวประมาณ 5 เมตร อาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนต้น กินพืชเป็นอาหาร รักสงบ ค้นพบฟอสซิลที่ทวีปอเมริกาเหนือ ลักษณะคล้ายกับเอ็ดมันโทเนีย หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส.

ใหม่!!: สัตว์และซอโรเพลตา · ดูเพิ่มเติม »

ซัลตาซอรัส

ซัลตาซอรัส (Saltasaurus) ซัลตาซอรัส (กิ้งก่าจากซัลตา) เป็นไดโนเสาร์ตระกูลซอโรพอด ขนาดเล็กที่เหลืออยู่ถึงปลายยุคครีเตเซียส 75 - 65 ล้านปี และ เป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กลงมาอีก คือมีความยาวเพียง 12 เมตร หนัก 7 ตัน เช่นเดียวกับ ซอโรพอดจำพวกอื่น ซัลตาซอรัสมีฟันแท่งที่ทื่อ ช่วงคอ กับ ส่วนหางที่ยาว แต่ลักษณะเด่นของมันและซอโรพอดยุคหลังอื่นๆคือ ผิวหนังมันมีปุ่มกระดูกเกล็ดผุดขึ้นมาจากหนัง เพื่อประโยชน์เป็นเกราะ ป้องกันลำตัวมันจากนักล่า คล้ายๆกับ ไดโนเสาร์หุ้มเกราะ ค้นพบเมื่อปี..1980 หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส.

ใหม่!!: สัตว์และซัลตาซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ซันไก

ซันไก (Sangai) เป็นละองละมั่งชนิดย่อยชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นที่พบในรัฐมณีปุระ ประเทศอินเดีย ที่เดียวเท่านั้น ซันไก ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดยนายทหารชาวอังกฤษ คือ ร้อยตรีเพอร์ซี เอลด์ (Percy Eld) ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และซันไก · ดูเพิ่มเติม »

ซาลาแมนเดอร์

ซาลาแมนเดอร์ (salamander) เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่อยู่ในชั้นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ จัดอยู่ในอันดับ Caudata และ Urodela.

ใหม่!!: สัตว์และซาลาแมนเดอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ซาลาแมนเดอร์ยักษ์

ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ (Giant salamander) เป็นสกุลของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำขนาดใหญ่จำพวกซาลาแมนเดอร์ ใช้ชื่อสกุลว่า Andrias ในวงศ์ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ (Cryptobranchidae) มีลักษณะเฉพาะ คือ มีช่องเหงือก 1 คู่ ที่ปิด จัดเป็นซาลาแมนเดอร์และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยอาจยาวได้ถึงเกือบ 2 เมตร พบเฉพาะลำธารหรือแหล่งน้ำที่ใสสะอาด มีออกซิเจนละลายในปริมาณที่สูง และมีอุณหภูมิหนาวเย็น ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก 2 ประเทศเท่านั้น คือ จีน และญี่ปุ่น แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และซาลาแมนเดอร์ยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ญี่ปุ่น

กะโหลกซาลาแมนเดอร์ยักษ์ญี่ปุ่น ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ญี่ปุ่น (Japanese giant salamander; オオサンショウウオ, ハンザキ–โอซานโชอูโอ, ฮานซะกิ) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Andrias japonicus จัดอยู่ในวงศ์ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ (Cryptobranchidae).

ใหม่!!: สัตว์และซาลาแมนเดอร์ยักษ์ญี่ปุ่น · ดูเพิ่มเติม »

ซาลาแมนเดอร์ยักษ์จีน

ซาลาแมนเดอร์ยักษ์จีน (Chinese giant salamander; จีนตัวย่อ: 娃娃鱼; พินอิน: wāwāyú–หว่าหว้าหวี่ หมายถึง "ปลาทารก") เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่ยังคงสืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน มีลักษณะรูปร่างหัวกลมแบนใหญ่ ลำตัวแบน ตาเล็กมาก ปากกว้างมาก ภายในปากมีฟันขนาดเล็กจำนวนมาก ที่สามารถใช้ขบกัดได้เป็นอย่างดี หางยาวมีแผ่นหนังคล้ายครีบ ขาสั้น 4 ข้าง มีนิ้ว 4 นิ้ว ลำตัวสีน้ำตาลกระหรือดำและสามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อม โดยถือว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตอีกจำพวกหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่บนโลกเป็นเวลากว่า 300 ล้านปีมาแล้ว ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึงเกือบ 2 เมตร อาศัยอยู่เฉพาะลำธารน้ำที่มีคุณภาพน้ำในเกณฑ์ดี สภาพน้ำไหลแรง มีอุณหภูมิต่ำในป่าดิบทางตอนกลางและตอนใต้ของจีนเท่านั้น เช่น มณฑลส่านซี, มณฑลชิงไห่, มณฑลเสฉวน, มณฑลกวางตุ้ง, มณฑลเจียงซู และมณฑลกวางสี เป็นต้น หากินในเวลากลางคืน กินอาหารจำพวก ปลาและสัตว์มีกระดองชนิดต่าง ๆ โดยปกติแล้วเป็นสัตว์ที่อยู่อย่างสงบ แต่สามารถจะฉกกัดได้อย่างรุนแรงและดุร้ายเมื่อถูกรบกวน มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน วางไข่ได้ครั้งละ 500 ฟอง โดยที่ตัวผู้เป็นผู้ดูแล ไข่มีใช้เวลาฟักประมาณ 50-60 วัน และมีอายุยืนได้ถึง 30 ปี ซึ่งบางตัวพบมีสภาพเป็นอัลบิโน่ด้วย ในปลายปี..

ใหม่!!: สัตว์และซาลาแมนเดอร์ยักษ์จีน · ดูเพิ่มเติม »

ซาลาแมนเดอร์ไฟ

ำหรับซาลาแมนเดอร์ที่เป็นสัตว์ในตำนาน ดูที่: ซาลาแมนเดอร์ ซาลาแมนเดอร์ไฟ (Fire salamander) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำขนาดเล็กจำพวกซาลาแมนเดอร์ชนิดหนึ่ง จัดเป็นนิวต์ (Salamandridae) หรือซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็ก ชื่อซาลาแมนเดอร์ไฟนั้น สันนิษฐานว่ามาจากการที่มนุษย์ในสมัยโบราณ จะใช้ฟืน ที่นำมาจากกิ่งไม้หรือโพรงไม้ต่าง ๆ โยนเข้ากองไฟเพื่อสร้างความอบอุ่นยามหนาว บางครั้งจะพบซาลาแมนเดอร์ชนิดนี้ซุกซ่อนอยู่ภายใน เมื่อฟืนถูกไฟ ด้วยความร้อนซาลาแมนเดอร์ก็จะคลานออกมา เหมือนกับว่าคลานออกมาจากกองไฟ อันเป็นที่มาของสัตว์ในตำนานที่ว่า เมื่อโยนซาลาแมนเดอร์เข้าไปในกองไฟแล้วก็ไม่ตาย เนื่องจากมีความชื้นในรูปแบบของเมือกที่ปกคลุมตัวอยู่ ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ซาลาแมนเดอร์ไฟ นับเป็นซาลาแมนเดอร์ชนิดที่พบได้ง่ายกว่าซาลาแมนเดอร์ชนิดอื่น ๆ ในทวีปยุโรป มีลำตัวสีดำมีจุดสีเหลืองหรือลายเส้นที่แตกต่างกันออกไป บางตัวอาจจะมีสีเกือบดำสนิทในขณะที่บางตัวมีแถบสีเหลืองสดตัดกันโดดเด่น และบางตัวก็มีสีออกไปทางเหลืองเฉดแดง หรือสีส้ม มีขนาดความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ในตัวที่โตเต็มวัย และมีอายุขัยที่ยาวนานถึง 50 ปี นับว่ายาวนานกว่าซาลาแมนเดอร์ชนิดอื่น ๆ มาก นอกจากนี้แล้ว ยังสามารถปล่อยสารพิษประเภทอัลคาลอยด์ ในรูปแบบของต่อมพิษที่ผิวหนังเพื่อป้องกันตัวได้ด้วย มีผลทำให้กล้ามเนื้อชักเกร็ง, ความดันโลหิตสูง โดยต่อมพิษนี้กระจายอยู่ทั่วตัว และกระจุกในพื้นผิวบางส่วนของร่างกายเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนหัว และผิวหลังส่วนผิวหนังมักจะตรงกับต่อมเหล่านี้ ซึ่งสารประกอบในการหลั่งผิวหนังอาจจะมีผลต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราของผิวหนังชั้นนอก พบกระจายพันธุ์ตามแหล่งน้ำที่สะอาดต่าง ๆ ในป่าประเภท ป่าผลัดใบ หรือภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นป่าที่มีพืชชั้นต่ำประเภทมอสส์ปกคลุม ในหลายประเทศของทวีปยุโรป ตั้งแต่ประเทศแอลเบเนีย, ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, บัลแกเรีย, ฮังการี, โครเอเชีย, สาธารณรัฐเช็ก, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, กรีซ, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, มอนเตเนโกร, ยูโกสลาเวีย, เนเธอร์แลนด์, โปแลนด์, โปรตุเกส, โรมาเนีย, สเปน, สวิสเซอร์แลนด์ โดยพบไปได้ไกลถึงภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่น ตุรกี และอิหร่าน มีพฤติกรรมหากินในเวลากลางคืน กินสัตว์ขนาดเล็กกว่า เช่น แมลง, กุ้ง, ปู, ทาก หรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำด้วยกันขนาดเล็ก โดยปกติในเวลากลางวันจะหลบซ่อนตัวตามโขดหินและขอนไม้ จะออกมาหากินในเวลากลางวันบ้างก็ต่อเมื่อมีฝนตก ความชื้นในอากาศมีสูง ทั้งตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก ยกเว้นในช่วงฤดูผสมพันธุ์จะสามารถเห็นถึงความแตกต่างระหว่างเพศชัดเจนที่สุด คือ ต่อมบวมรอบ ๆ ระบายชายของตัวผู้ ต่อมนี้มีหน้าที่ผลิตถุงเก็บสเปิร์ม ซึ่งประกอบด้วยสเปิร์มจำนวนมากที่ตอนปลาย เมื่อซาลาแมนเดอร์ตัวเมียขึ้นมาบนบก ตัวผู้หลังจากปล่อยถุงสเปิร์มลงบนพื้นดินแล้วพยายามที่จะให้ตัวเมียรับเข้าไปผสมพันธุ์ หากประสบความสำเร็จทั้งไข่และสเปิร์มมีการปฏิสนธิกัน ซึ่งเกิดขึ้นภายในตัวของตัวเมีย ตัวอ่อนจะได้รับการเพาะฟักในแหล่งน้ำที่สะอาดต่อไป.

ใหม่!!: สัตว์และซาลาแมนเดอร์ไฟ · ดูเพิ่มเติม »

ซาวลา

ซาวลา หรือ วัวหวูกว่าง (sao la; Vu Quang ox; ลาว: ເສົາຫຼາ, ເສົາຫລາ) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่ชนิดใหม่ที่เพิ่งค้นพบในปี ค.ศ. 1992 มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseudoryx nghetinhensis มีรูปร่างคล้ายแพะผสมกับเลียงผา จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับวัว (Bovidae) จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Pseudoryx โดยที่ชื่อนี้ (รวมถึงชื่อวิทยาศาสตร์ทั้งหมด) มาจากภาษากรีกแปลว่า "ออริกซ์ปลอมแห่งเหงะติ๋ง" เนื่องจากมีเขาที่ดูคล้ายออริกซ์ แอนทิโลปเขาตรงที่พบในทวีปแอฟริกา โดย "ซาวลา" ซึ่งเป็นชื่อสามัญในภาษาเวียดนาม มาจากภาษาไต แปลว่า "เขาบิดเกลียว" อีกทั้งยังแฝงความหมายว่า "ล้ำค่าดุจเดือนและดาว" และยังได้สมญาว่าเป็น "ยูนิคอร์นแห่งเอเชีย".

ใหม่!!: สัตว์และซาวลา · ดูเพิ่มเติม »

ซิมโบสปอนไดลัส

ซิมโบสปอนไดลัส (Cymbospondylus) อยู่ในยุคไทรแอสสิค (248 - 206 ล้านปีก่อน) เป็นยุคที่ไดโนเสาร์บนผืนแผ่นดินกำลังวิวัฒนาการอยู่แต่ไดโนเสาร์ในยุคนี้ยังมีขนาดเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับไดโนเสาร์ในยุคจูราสสิค และเช่นเดียวกับยุคออร์โดวิเชียน ท้องทะเลในยุคไทรแอสสิกเต็มไปด้วยสัตว์ทะเลและนักล่า นักล่าที่รู้จักกันดีคือ สัตว์เลื้อยคลานอย่างเช่น กิ้งก่า นอโธซอร์ แต่นักล่าที่ร้ายที่สุดในยุคนี้ก็คือ ซิมโบสปอนไดลัส สัตว์ทะเลลำตัวยาว 10 เมตร รูปร่างคล้ายปลาโลมา แต่ไม่มีกระโดงและหางยาว ปลายหางคล้ายหางของปลาไหลทะเล.

ใหม่!!: สัตว์และซิมโบสปอนไดลัส · ดูเพิ่มเติม »

ซิมไฟลา

ซิมไฟลา (Class Symphyla) เป็นชั้นหนึ่งของไฟลัมอาร์โธรโพดา หมวดหมู่:สัตว์ขาปล้อง.

ใหม่!!: สัตว์และซิมไฟลา · ดูเพิ่มเติม »

ซิจิลมาซาซอรัส

ซิจิลมาซาซอรัส (อังกฤษ; Sigilmassaurus) ถูกค้นพบที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศโมร๊อคโค ในปี 1996, เบื้องต้น เนื่องจากค้นพบกระดูกคอและกระดูกสันหลังรวมกันเพียง 6 ชิ้น ทำให้มันถูกจัดไปเป็นสไปโนซอรัสวัยเยาว์แทนหลังการค้นพบไม่นาน แต่แล้วในปี 2016 นี้เอง ซิจิลมาซาซอรัสก็อาจกลับมาเป็นสปีซีย์แยกได้อีกครั้ง เพราะเมื่อเทียบอัตราส่วนกระดูกคอชิ้นแรกที่ติดกับกะโหลกกับกระดูกคอของญาติๆของมัน(บาริโอนิกส์และสไปโนซอรัส) เจ้าของกระดูกคอนี้จะมีกะโหลกยาวไม่เกิน 1.2 เมตร และคอของมันยังสั้นผิดปกติ ต่างไปจากคอของสไปโนซอร์ทั่วๆไปอีกด้วย หมวดหมู่:เทอโรพอด.

ใหม่!!: สัตว์และซิจิลมาซาซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ซิตตะโกซอรัส

''ซิตตะโกซอรัส สัตยารักษ์กี'' ซิตตะโกซอรัส (Psittacosaurus) หรือ ไดโนเสาร์ปากนกแก้ว มีชีวิตอยู่ในยุคครีเตเชียสตอนต้น พบได้ในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป เป็นสัตว์กินพืช 2 เท้าที่มีขนาดเล็ก เพราะมีความ ยาวลำตัวเพียง 2 เมตร กะโหลกศีรษะแคบ กระดูกแก้มมีลักษณะคล้ายเขา ตาและรูจมูกอยู่ค่อน ข้างสูง จะงอยปากมีลักษณะงองุ้มคล้ายปากของนกแก้ว จึงทำให้มันได้ชื่อว่า "ไดโนเสาร์นกแก้ว" หน้าตาของมันไม่ค่อยดุร้ายเหมือนไดโนเสาร์ตัวอื่น ๆ ในตระกูลเดียวกัน ในภายหลัง ได้มีการค้นพบไดโนเสาร์ปากนกแก้วชนิดใหม่ ที่หมวดหินโคกกรวด อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นการค้นพบซากฟอสซิลไดโนเสาร์ปากนกแก้วครั้งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้มีการตั้งชื่อให้กับไดโนเสาร์ปากนกแก้วชนิดใหม่นี้ว่า "ซิตตะโกซอรัส สัตยารักษ์กี" เพื่อเป็นเกียรติแด่นเรศ สัตยารักษ์ ซึ่งเป็นผู้ค้นพบซากฟอสซิลดังกล่าว.

ใหม่!!: สัตว์และซิตตะโกซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ซิโนซอรอปเทอริกซ์

ซิโนซอรอปเทอริกซ์ (Sinosauropteryx) เป็นไดโนเสาร์เทอโรพอดชนิดหนึ่ง มีชีวิตอยู่เมื่อ 120 ล้านปีก่อน ไดโนเสาร์ชนิดนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคิดว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างไดโนเสาร์กับนก มันเป็นหนึ่งในพวกเทอโรพอดที่มีขน แต่ขนของมันยังไม่ค่อยเหมือนนกยังเป็นคนที่ใช้สำหรับให้ความอบอุ่นหรือขนอ่อน ตอนที่ฟอสซิลของมันค้นพบลักษณะของมันอยู่ในท่าคดตัวเหมือนกำลังบิน เทอโรพอดชนิดนี้มีลักษณะเด่นคือมีหางที่ยาวออกมา ซึ่งคาดว่าน่าจะมีไว้ถ่วงลำตัว ชื่อของมันมีความหมายว่าบิดานกแห่งจีน ฟอสซิลของมันค้นพบครั้งแรกในปี..

ใหม่!!: สัตว์และซิโนซอรอปเทอริกซ์ · ดูเพิ่มเติม »

ซูโคไมมัส

ซูโคไมมัส เป็นไดโนเสาร์ที่อยู่ในสกุล สไปโนซอร์ ที่อาศัยอยู่ในแอฟริกา ประเทศอียิปต์,ไนเจอร์ Suchomimus มีปากที่มีความยาวต่ำและแคบเป็นจะงอย ฟันคมมาก และโค้งย้อนหลัง ออกหาอาหารบริเวณริมแม่น้ำ อาหารหลักของมันคือปลา และสัตว์น้ำในยุคดึกดำบรรณ์ Suchomimus มีความยาว 11 เมตร หนักประมาณ 2.9-4.8 ตัน อาศัยอยู่ในยุคครีเทเซียสตอนต้นเมื่อประมาณ 112 ล้านปีก่อน มันมีศัตรูขู้แข่งตามธรรมชาติที่อาศัยอยู่ในยุคเดียวกันอย่าง จระเข้ยักษ์ ซาร์โคซูคัส (Sarcosuchus) ที่อาศัยอยู่ริมน้ำและจะคอยดักซุ่มโจมตีเหยื่ออยู่ในน้ำ Suchomimus มีญาติไกล้ชิดอย่าง สไปโนซอรัส ที่มีความยาว 15 เมตร กับ อิริอาเตอร์ (อังกฤษ: Irritator) ยาว 8 เมตร (26ฟุต) ที่มีลักษณะรูปร่างและการดำรงชีวิตคล้ายกันแต่มีขนาดเล็กกว่า หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส.

ใหม่!!: สัตว์และซูโคไมมัส · ดูเพิ่มเติม »

ซูเปอร์แดนเซอร์ออนไลน์

ซูเปอร์แดนเซอร์ออนไลน์ (อังกฤษ: Super Dancer Online) หรือ SDO เป็นเกมส์ออนไลน์ประเภทเกมดนตรี ผลิตโดยบริษัทไนน์ยู (อังกฤษ: 9you) ประเทศจีน และออกจำหน่ายโดย บริษัท วินเนอร์ ออนไลน์ จำกัด และเป็นเกมออนไลน์ที่ให้ดาวน์โหลดได้โดยไม่ต้องเสียเงิน และมีวิธีเล่นที่คล้ายกับเกม แดนซ์ แดนซ์ เรโวลูชัน อย่างมาก เพียงแต่นำมาเล่นแบบออนไลน์เท่านั้น รูปแบบการเล่นของเกมนี้ในประเทศจีนได้พัฒนาไปมากเพื่อให้ตอบรับกับผู้เล่นที่หลากหลาย (จีนเป็นซีซั่น 3) เช่น โหมดการเล่นแบบเกมโอทูแจม โหมดการเล่นแบบลูกศรกลับฝั่ง (แบบตรง ไม่ใช่แบบเฉียงเหมือนในโหมดริเวอร์ โน้ต) การแก้ไขรูปตึกสำหรับให้ผู้เล่นได้ทำกิจกรรมต่างๆ (Community Street) ให้คล้ายกับเกมออดิชั่นอีกด้วย วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552 ในประเทศไทยเกมนี้ได้เปลี่ยนเวอร์ชันเป็น ฤดูกาลที่ 2 หรือ ซีซั่น 2 ซึ่งได้รับระบบและวิธีการเล่นใหม่ๆ มาจากจีนให้มีความหลากหลายมากขึ้นด้วยอีกเช่นกัน เช่นโหมดตีกลองคล้ายกับเกมอาร์เคด ไทโกะ มาสเตอร์ (ไทโกะ โน ทาสึจิน) และการเล่นในโหมดลูกศรเหมือนเกมออดิชั่น โหมดการเล่นในลักษณะที่คล้ายกับเกมมูพอัพ มีฉากใหม่ เปลี่ยนห้องส่วนตัวของผู้เล่นใหม่ สัตว์เลี้ยง พร้อมกับเพิ่มไอเทมต่างๆ ช่องทางการแจกจ่ายเกมในเวอร์ชันใหม่นี้ (ซีซัน 2) ได้แก่การให้ผู้เล่นขอรับดีวีดีตัวไฟล์เกม (Client) ล่วงหน้าในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551 และดาวน์โหลดผ่านทางเว็บไซต์ล่วงหน้าในวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552 และเปิดให้ทดลองเล่นในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552 วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ในประเทศฮ่องกง ทางทีมงาน Gamania Digital ได้ออกมาประกาศหน้าเว็บไซต์หลักถึงการปิดเซิร์ฟเวอร์ Dance Online (ซูเปอร์แดนเซอร์ออนไลน์) ซึ่งทางทีมงานจะเปิดให้ซื้อไอเทมมอลล์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ถึงจะทำการปิดเซิฟเวอร์เกม ในประเทศฮ่องกง ส่วนในสหรัฐอเมริกา เกมนี้ใช้ชื่อว่า Dance! Online นำเข้าโดยบริษัท Acclaim Games.

ใหม่!!: สัตว์และซูเปอร์แดนเซอร์ออนไลน์ · ดูเพิ่มเติม »

ซีโลไฟซิส

ซีโลไฟซิส (Coelophysis) เป็นไดโนเสาร์มีความสามารถในการวิ่งอย่างรวดเร็ว เพราะกระดูกของซีโลไฟซิสนั้นกลวง ซีโลไฟซิสยาวประมาณ 3.2 เมตร อาหารของพวกซีโลไฟซิสคือซากสัตว์ที่ตายแล้ว กิ้งก่า และแมลง แต่บางครั้งเมื่อหน้าแล้งมาถึงซึ่งเป็นช่วงหาอาหารลำบาก ซีโลไฟซิสจึงกินพวกเดียวกันด้วย ฟอสซิลของซีโลไฟซิสพบที่รัฐนิวเม็กซิโก ซีโลไฟซิสอยู่ในยุคไทรแอสซิกตอนปลาย เคยมีการพบฟอสซิลของซีโลไฟซิส 1,000 ตัวที่ทุ่งปีศาจ จึงกล่าวว่าซีโลไฟซิสอาจจะอยู่เป็นฝูง แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนค้านว่าซีโลไฟซิสไมได้อยู่เป็นฝูง เพียงแต่ตายในที่เดียวกันเท่านั้น หมวดหมู่:ไดโนเสาร์.

ใหม่!!: สัตว์และซีโลไฟซิส · ดูเพิ่มเติม »

ซีโทเทอเรียม

ซีโทเทอเรียม (Cetotherium) หมายถึงสัตว์ปลาวาฬ เป็นสกุลสูญพันธุ์ของวาฬกลุ่ม ซีทาเทอรีส (Cetatheres) มันอาศัยอยู่ในช่วงกลางยุคไมโอซีนเมื่อ 15-10 ล้านปีก่อน มันเป็นญาติของวาฬสีเทา และวาฬสีน้ำเงิน จากฟอสซิลของมันระบุว่ามันเป็นอาหารที่ล่าง่ายๆสำหรับ ฉลามขนาดยักษ์เมกะโลดอน และ ฉลามขาว มันมีความยาว 15 ฟุต (4.50 เมตร) และหนัก 1 ตัน อาหารของมันคือ แพลงก์ตอน วาฬชนิดนี้มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับชนิดอื่นมาก และมีน้ำหนักน้อยกว่าชนิดอื่นเช่นกัน มันถือเป็นสายพันธุ์วาฬดึกดำบรรพ์ที่เล็กที่สุด มันกรองแพลงตอนจากน้ำทะเล โดยใช้แผ่นกระดูกในปากของมัน.

ใหม่!!: สัตว์และซีโทเทอเรียม · ดูเพิ่มเติม »

ประชาน

ประชาน หรือ ปริชาน หรือ การรับรู้ (Cognition) เป็น "การกระทำหรือกระบวนการทางใจเพื่อให้ได้ความรู้ความเข้าใจผ่านความคิด ประสบการณ์ และประสาทสัมผัส" ซึ่งรวมกระบวนการต่าง ๆ รวมทั้ง.

ใหม่!!: สัตว์และประชาน · ดูเพิ่มเติม »

ประวัติวิชากายวิภาคศาสตร์

วาดทางกายวิภาคแสดงหลอดเลือดดำในร่างกาย ในสมัยปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ประวัติการศึกษาวิชากายวิภาคศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาตั้งแต่การผ่าร่างกายของเหยื่อจากการสังเวยในสมัยโบราณ ไปจนถึงการวิเคราะห์อย่างละเอียดซับซ้อนถึงการทำงานของร่างกายโดยนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ การศึกษาวิชานี้มีลักษณะเฉพาะมาเป็นเวลานาน และมีการพัฒนาถึงการทำความเข้าใจในหน้าที่และโครงสร้างของอวัยวะในร่างกายอย่างต่อเนื่อง การศึกษากายวิภาคศาสตร์มนุษย์มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่มีเกียรติและนับว่าเป็นสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพที่มีความโดดเด่นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 วิธีการศึกษาวิชากายวิภาคศาสตร์ก็มีการพัฒนาอย่างมากมายตั้งแต่การศึกษาในสัตว์ไปจนถึงการศึกษาในศพของมนุษย์ และการใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนในคริสต์ศตวรรษที่ 20.

ใหม่!!: สัตว์และประวัติวิชากายวิภาคศาสตร์ · ดูเพิ่มเติม »

ประตู

ประตู คือ สิ่งก่อสร้างแบบเคลื่อนที่ได้ใช้ปิดกั้นและเป็นทางเข้าไปยังพื้นที่ที่ถูกปิดไว้ เช่น อาคาร หรือยานพาหนะ โครงสร้างแบบคล้ายกันแต่อยู่ภายนอกเรียกว่า ประตูรั้ว โดยทั่วไป ประตูมีด้านในที่หันเข้าหาพื้นที่ว่าง และด้านนอกหันหน้าไปยังนอกพื้นที่ดังกล่าว ขณะที่บางครั้งด้านในประตูอาจจะมีรูปร่างเหมือนกับด้านนอก หรือทั้งสองด้านของประตูอาจแตกต่างกันก็ได้ เช่น ประตูยานพาหนะ ประตูมักประกอบด้วยแผงที่เหวี่ยงอยู่บนบานพับ หรือเลื่อน หรือหมุนสู่ด้านใน เมื่อประตูเปิด คน สัตว์ ระบบระบายอากาศ และ/หรือแสงจะสามารถเข้าไปภายในได้ ประตูมักใช้ควบคุมบรรยากาศภายในพื้นที่โดยปิดทางกระแสลม เพื่อที่ภายในจะได้มีอากาศเย็นลงหรือร้อนได้ขึ้นอย่างเหมาะสม ประตูเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันไม่ให้ไฟลุกลาม และยังเป็นเกราะป้องกันเสียงรบกวนด้วย ประตูจำนวนมากมักจะมีกลไกการล็อกประตูที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเข้าหรือออกได้ เพื่อความมีมารยาทและความสุภาพ คนจะเคาะประตูก่อนเปิดประตูและเข้าห้อง.

ใหม่!!: สัตว์และประตู · ดูเพิ่มเติม »

ปลา

ปลา (อังกฤษ: Fish) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำ เป็นสัตว์เลือดเย็น หายใจด้วยเหงือกและมีกระดูกสันหลัง สามารถเคลื่อนไหวไปมาด้วยครีบและกล้ามเนื้อของลำตัว บางชนิดมีเกล็ดปกคลุมทั่วตัว บางชนิดไม่มีเกล็ดแต่ปกคลุมด้วยเมือกลื่น ๆ หรือแผ่นกระดูก มีหัวใจสองห้องและมีขากรรไกร สัตว์ที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำบางประเภท ถูกเรียกติดปากว่าปลาเช่นเดียวกันเช่น ปลาดาว, โลมา, วาฬและหมึก ซึ่งสัตว์ทั้งหมดนี้ก็มีแหล่งอาศัยอยู่ในน้ำด้วยกันทั้งสิ้น แต่ไม่ได้จัดอยู่ในจำพวกเดียวกันกับปลา ด้วยลักษณะทางกายวิภาคและสรีรวิทยาที่แตกต่างกันเช่น ปลาดาวเป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังเช่นเดียวกับปลา มีโครงสร้างที่เป็นหินปูน โลมาและวาฬถูกจัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สามารถหายใจได้ทางปอดไม่ใช่ทางเหงือก และปลาหมึกจัดเป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง แต่ถูกจัดรวมอยู่กับสัตว์ประเภทเดียวกันกับหอ.

ใหม่!!: สัตว์และปลา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบอลด์โนโทเธน

ปลาบอลด์โนโทเธน (Bald notothen) เป็นปลาน้ำเค็มประเภทcryopelagicของมหาสมุทรใต้ โปรตีนต้านความแข็งตัวเป็นน้ำแข็งในป้องกันการแข็งตัวของเลือดในร่างกายทำให้ปลาบอลด์โนโทเธนดำรงชีวิตอยู่ได้ในบริเวณที่มีน้ำเย็นจัดของแอนตาร์กติกา ปลาบอลด์โนโทเธนพบใในทะเลเวดเดลล์, ทะเลรอส, ทะเลเดวิส, อ่าวแวงเชียง และรอบฝั่งบัดด์, คาบสมุทรแอนตาร์กติกา, หมู่เกาะเซาธ์ออร์คนีย์ และ หมู่เกาะเซาธ์เชทแลนด์ เมื่อโตเต็มที่จะยาวราว 28 เซนติเมตร มีลำตัวสีเหลืองและจุดสีดำ และลายขวาง ปลาบอลด์โนโทเธนมักจะดำรงตัวอยู่ในความลึกราว 550 เมตร โดยบริโภคcopepod และ ตัวเคย เป็นอาหาร แต่ปลาบอลด์โนโทเธนเองเป็นอาหารของ Ploughfish, Gymnodraco acuticeps, ปลาคอดแอนตาร์กติก, Dissostichus mawsoni และ เพนกวินจักรพรรดิ, Aptenodytes forsteri.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบอลด์โนโทเธน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาชะโอน

ปลาชะโอน เป็นชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ompok bimaculatus อยู่ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) มีรูปร่างหัวสั้นและแบนข้างเล็กน้อย ลำตัวแบนข้าง ส่วนหลังยกสูงเล็กน้อย ปากเล็ก ตาโตอยู่เหนือมุมปาก หนวดที่ริมฝีปากยาวถึงบริเวณท้อง หนวดใต้คางสั้น ครีบหลังเล็ก ครีบอกใหญ่ ครีบหางเว้าตื้นมีปลายแฉกมน ตัวมีสีตามสภาพน้ำ ปลาที่อาศัยในแหล่งน้ำใส ตัวมักมีสีคล้ำและมีจุดประสีคล้ำ ที่เหนือครีบอกมีแต้มกลมสีคล้ำ ในบริเวณน้ำขุ่นมักมีตัวสีขุ่น ขาวซีด ครีบใส มีแต้มสีคล้ำบริเวณโคนหาง มีขนาดประมาณ 15 - 20 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 40 เซนติเมตร อาศัยเป็นฝูงเล็ก ๆ ในแหล่งน้ำนิ่งและแม่น้ำของทุกภาค ตั้งแต่แม่น้ำแม่กลองถึงแม่น้ำโขง บริโภคโดยปรุงสด โดยเฉพาะทอดกรอบ มีรสชาติดีมาก ปลารมควัน และปลาเค็ม เคยเป็นสินค้ามีชื่อของทะเลสาบเขมรด้วย อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะปลาที่เป็นสีเผือก ปลาชะโอน มีชื่อเรียกต่างออกไปตามถิ่นต่าง ๆ เช่น "ปลาสยุมพร", "ปลาเนื้ออ่อน" ในภาษาอีสานเรียก "ปลาเซือม" และเรียกสั้น ๆ ในภาษาใต้ว่า "ปลาโอน" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาชะโอน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาชะโอน (สกุล)

ปลาชะโอน หรือ ปลาสยุมพร เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืดในอันดับปลาหนังจำพวกหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) ใช้ชื่อสกุลว่า Ompok (/ออม-พ็อก/) มีลักษณะสำคัญคือ นัยน์ตามีเยื่อใส ๆ คลุม โดยที่เยื่อนี้ติดกับขอบตา ปากแคบและเฉียงขึ้นด้านบน มุมปากยื่นไม่ถึงนัยน์ตา ครีบหลังมีก้านครีบแขนง 3-4 ก้าน มีหนวด 2 คู่ ที่ริมปากบน 1 คู่ และที่คาง 1 คู่ ฟันที่กระดูกเพดาปากชิ้นล่างมีสองกลุ่มแยกจากกันเห็นได้ชัด ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 7-8 ก้าน พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำของอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาชะโอน (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาชะโอนหิน

ปลาชะโอนหิน (Leaf catfish) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) ใช้ชื่อสกุลว่า Silurichthys (/ไซ-เลอร์-อิค-ธีส/) มีลักษณะสำคัญ คือ นัยน์ตามีเยื่อเหมือนวุ้นคลุม ปลายของครีบหางแยกเป็นสองแฉกและยาวไม่เท่ากัน ครีบก้นยาวและติดต่อรวมกันกับครีบหาง ครีบหลังอยู่หน้าครีบท้อง ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 7 ก้าน ฟันที่เพดานปากชิ้นกลางมีขนาดเล็กอยู่รวมกันเป็นกลุ่มกลม มีหนวดค่อนข้างยาว 2 คู่ ที่ริมฝีปากบน 1 คู่ และที่คาง 1 คู่ มีสีลำตัวคล้ำ มีขนาดยาวเต็มที่ประมาณ 14-15 เซนติเมตร พบในทวีปเอเชีย ในลำธารน้ำตกหรือพื้นที่ป่าพร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาชะโอนหิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาชะโอนถ้ำ

ปลาชะโอนถ้ำ หรือ ปลาชะโอนถ้ำวังบาดาล (Cave sheatfish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) เป็นปลาที่มีถิ่นอาศัยเพียงถิ่นเดียว มีลำตัวสีขาวเผือกอมเหลืองทั้งตัวคล้ายภาวะผิวเผือก ตามีขนาดเล็กมากและเป็นสีแดง โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มที่พบในถ้ำวังบาดาล ภายในอุทยานแห่งชาติเอราวัณ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งปลากลุ่มนี้จะมีลักษณะดังที่กล่าวข้างต้น และกลุ่มที่อยู่นอกถ้ำหรือพบในถ้ำอื่น จะมีลำตัวสีเทาอมน้ำตาลเท่านั้น มีขนาดยาวเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร ถูกค้นพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2529 ในถ้ำวังบาดาล ในอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งลักษณะของปากถ้ำเป็นช่องเขาขนาดเล็กบนเขา และวนลึกลงไปจนถึงระดับน้ำด้านล่าง ซึ่งเป็นแอ่งน้ำขนาดพื้นที่เท่าสนามเทนนิส ซึ่งคิดเป็นเพียงพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรเท่านั้น ปัจจุบัน ปลาชะโอนถ้ำ ถูกจำนวนลงมากสัมพันธ์กับปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก้นถ้ำเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จนไม่พอสำหรับมนุษย์ที่จะหายใจ ในปี พ.ศ. 2543 มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันได้เข้าไปสำรวจ และจับปลาได้เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น จากนั้นในปี พ.ศ. 2545 ได้มีคณะสำรวจชาวไทยเข้าไปสำรวจและจับปลามาได้ราว 10 ตัว จากนั้นก็ไม่เคยมีใครพบกับปลาชะโอนถ้ำนี้อีกเลย แม้จะมีความพยายามอื่นจากหลายคณะก็ตาม และมีสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทสัตว์น้ำตามประกาศของกรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พื..

ใหม่!!: สัตว์และปลาชะโอนถ้ำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาชะโด

ปลาชะโด เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa micropeltes อยู่ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ โดยมีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 1 เมตร หรือ 1.5 เมตร น้ำหนักถึง 20 กิโลกรัม มีรูปร่างลำตัวค่อนข้างกลมยาว พื้นลำตัวสีน้ำตาลอมเขียว มีลายประสีดำกระจายทั่วตัว ภายในปากมีฟันแหลมคม เมื่อยังเป็นปลาขนาดเล็กจะมีสีลำตัวเป็นสีน้ำตาลและมีแถบสีดำ, ส้ม และเหลืองพาดตามความยาวลำตัว 2 แถบ บริเวณหางสีแดงสด เมื่อเริ่มโตขึ้นมาสีและลายจะเริ่มจางหายไปกลายเป็นสีเขียวอมน้ำตาลคล้ายสีของเปลือกหอยแมลงภู่แทน โดยการที่สีของปลาเปลี่ยนไปตามวัยนี้ ปลาชะโดจึงมีชื่อเรียกต่างออกไปตามวัย เมื่อยังเป็นลูกปลาจะถูกเรียกว่า "ลูกครอก" หรือ "ชะโดป๊อก" เมื่อโตเต็มที่แล้วจะถูกเรียกว่า "ชะโดแมลงภู่" ตามสีของลำตัว หากสีดำจะเรียกว่า "ชะโดถ่าน" นอกจากจะเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้แล้ว ยังมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วที่สุดในวงศ์ปลาช่อน และยังมีอุปนิสัยดุร้ายมากที่สุดด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูผสมพันธุ์ปลาตัวผู้ซึ่งเป็นผู้ดูแลไข่และลูกอ่อน จะกัดและทำร้ายสัตว์ทุกชนิดที่ผ่านเข้ามาใกล้รัง ไม่เว้นแม้กระทั่งมนุษย์ จึงมักมีผู้ถูกปลาชะโดกัดทำร้ายบ่อย ๆ ในช่วงนี้ ฤดูผสมพันธุ์ของปลาชะโดจะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคม-กันยายน รังมีการตีแปลงใกล้ชายฝั่ง เรียกว่า "ชะโดตีแปลง" เป็นปลาที่พบได้ทุกภาคของประเทศ และพบในประเทศใกล้เคียงเช่น มาเลเซีย, อินโดนีเชีย ตอนใต้ของจีน และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วย ปลาชะโดมีการเลี้ยงในกระชังตามแม่น้ำสายใหญ่เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา, สะแกกรัง และอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์, เขื่อนวชิราลงกรณ์ จังหวัดกาญจนบุรี มักจะไม่นิยมบริโภคสด เพราะเนื้อจืด แข็ง คาว และมีก้างเยอะ จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าปลาช่อน ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกัน แต่มีขนาดเล็กกว่า หากจะบริโภคมักจะแปลงทำเป็นปลาเค็มและตากแห้งมากกว่า นอกจากเป็นปลาเศรษฐกิจแล้ว ยังมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย โดยเฉพาะลูกปลา พบมีขายในตลาดปลาสวยงามบ่อย ๆ และมีราคาถูก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาชะโด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาชะโดอินเดีย

ปลาชะโดอินเดีย (Malabar snakehead) ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) ปลาชะโดอินเดีย มีลักษณะคล้ายกับปลาชะโด (C. micropeltes) ที่พบในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ โดยถูกค้นพบครั้งแรกและอนุกรมวิธานโดย ฟรานซิส เดย์ นักมีนวิทยาชาวอังกฤษ เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาชะโดอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบัว

ปลาบัว ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Labeo dyocheilus อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลากา (L. chrysophekadion) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีส่วนหัวโตกว่า และมีจะงอยปากหนายื่นออกที่ปลายมีตุ่มเล็ก ๆ กระจัดกระจาย ปากค่อนข้างกว้างและเป็นรูปโค้งอยู่ด้านล่างของจะงอยปาก โดยมีส่วนหนังด้านบนคลุม ตามีขนาดเล็กอยู่ค่อนไปทางด้านบน มีหนวดสั้น ๆ 2 คู่ ลำตัวค่อนข้างกลม ครีบหลังเล็ก ไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบหางเว้าลึก ปลาวัยอ่อนมีสีเงินวาว โคนหางมีจุดสีดำเห็นชัดเจน ขนาดโดยเฉลี่ย 50 เซนติเมตร หากินโดยแทะเล็มตะไคร่หรือสาหร่ายที่เกาะตามโขดหินหรือลำธารที่น้ำไหลเชี่ยว เป็นปลาที่พบน้อย พบตั้งแต่แม่น้ำสาละวิน, แม่น้ำแม่กลอง, แม่น้ำโขง พบได้น้อยที่แม่น้ำเจ้าพระยา ปลาบัวมีชื่อเรียกในภาษาอีสานว่า "หว้าซวง", "สร้อยบัว" หรือ "ซวง" ในเขตแม่น้ำเพชรบุรีเรียก "งาลู".

ใหม่!!: สัตว์และปลาบัว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบิทเทอร์ลิ่ง

ปลาบิทเทอร์ลิ่ง (Bitterlings) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กในสกุล Rhodeus (/โร-ดี-อัส/) ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ในวงศ์ย่อย Acheilognathinae เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก โดยคำว่า Rhodeus ที่ใช้เป็นชื่อวิทยาศาสตร์เป็นภาษากรีก หมายถึง "ดอกกุหลาบ" เนื่องจากส่วนใหญ่มีลำตัวสีแดงหรือชมพูเหมือนสีกลีบกุหลาบ โดยเฉพาะช่วงโคนหางและช่วงท้องในปลาตัวผู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูการวางไข่เพื่อดึงดูดใจปลาตัวเมีย พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำจืดในแหล่งน้ำที่มีสภาพเย็นตั้งแต่แม่น้ำเนวาในรัสเซีย, แม่น้ำโรนในฝรั่งเศส และหลายแม่น้ำในภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยพบกระจายพันธุ์ในภาคพื้นยุโรปเพียงแค่ 2 ชนิดหน้า 82-86, Rosy Bitterling "ลูกน้อย (ใน) หอยกาบ" โดย สุริศา ซอมาดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบิทเทอร์ลิ่ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบึก

ปลาบึก (Mekong giant catfish; ປາບຶກ; ชื่อวิทยาศาสตร์: Pangasianodon gigas) เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ไม่มีเกล็ด อาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงตั้งแต่ประเทศจีน, ลาว, พม่า, ไทย เรื่อยมาตลอดความยาวของแม่น้ำรวมไปถึงแควสาขาต่าง ๆ เช่น แม่น้ำงึม, แม่น้ำมูล, แม่น้ำสงคราม แต่ไม่พบในตอนปลายของแม่น้ำโขงที่เป็นน้ำกร่อย ซึ่งเป็นจุดที่ไหลออกทะเลจีนใต้หน้า 24 เกษตร, ปลาบึก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบึก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบึก (สกุล)

ปลาบึก เป็นสกุลของปลาหนังน้ำจืด ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Pangasianodon (/แพน-กา-เซีย-โน-ดอน/).

ใหม่!!: สัตว์และปลาบึก (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่กลับหัว

ปลาบู่กลับหัว (Duckbill sleeper, Crazy fish, Upside down sleeper) เป็นปลากระดูกแข็งขนาดกลางชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาบู่ทราย (Eleotridae) มีส่วนใบหน้าแหลมยาว และไม่มีลายแถบตามยาวลำตัว ลำตัวสีน้ำตาลเข้มตลอดทั้งตัว มีความยาวเต็มที่ประมาณ 12 เซนติเมตร เป็นปลาที่มีพฤติกรรมหาอาหารโดยลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ ในระดับกลางน้ำ เพื่อรองับเหยื่อ ซึ่งได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ โดยการเอาหัวทิ่มลงตั้งฉากกับพื้น หรือลอยกลับหัว อันเป็นที่มาของชื่อเรียก พบกระจายพันธุ์ตามแหล่งน้ำกร่อย เช่น ปากแม่น้ำ พบกระจายพันธุ์กว้างขวางตั้งแต่ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก, ทวีปเอเชียจนถึงญี่ปุ่น และออสเตรเลียทางตอนเหนือ เป็นปลาที่นิยมนำมาเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเป็นปลาที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในที่เลี้ยงได้เป็นอย่างดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่กลับหัว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่กล้วย

ปลาบู่กล้วย หรือ ปลาบู่จุด (Knight goby, Spotted goby) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stigmatogobius sadanundio ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) มีลักษณะลำตัวค่อนข้างกลม หางแบน หัวโต นัยน์ตามีขนาดใหญ่ ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อนอมเหลือง ลำตัวมีจุดแต้มสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม มีลักษณะเด่น คือ มีจุดประสีเข้มขนาดเล็กกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบทั่วทั้งลำตัว ครีบหลังยาวแบ่งเป็นสองตอน ตอนหน้าเป็นเส้นยาว ตอนหลังแผ่กางมีจุดประสีดำกระจายทั่วอย่างเป็นระเบียบ ครีบหางใหญ่ปลายมนมีจุดประสีเข้มกระจายทั่ว ครีบท้องมีจุดประ ครีบอกใส ขนาดเฉลี่ยความยาวประมาณ 6 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในชายฝั่งทะเลของมหาสมุทรอินเดีย ตั้งแต่ อินเดีย, ศรีลังกา, พม่า ไปจนถึงอินโดนีเซียและสิงคโปร์ สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดสนิทได้ มีอุปนิสัยอยู่อยู่รวมกันเป็นฝูงตามชายทะเลหรือชะวากทะเล ในประเทศไทยพบได้ตั้งแต่ชายทะเลฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นต้นไป นับเป็นปลาสวยงามชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันในตู้ปลา โดยเฉพาะกับตู้ที่ปลูกพืชไม้น้ำไว้ โดยปลาจะมีพฤติกรรมนอนนิ่ง ๆ กับพ้น ในบางครั้งจะแผ่ครีบกางออกอวดสีสันสวยงามแต่ทว่าเมื่อเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นแล้วจะมีนิสัยดุร้ายมาก จะไล่กัดปลาชนิดอื่นและกินปลาขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร หากเลี้ยงรวมควรเลี้ยงรวมกับปลาบู่กล้วยด้วยกันเอง ซึ่งจากพฤติกรรมดัวกล่าวนี้เองทำให้ได้อีกชื่อเรียกหนึ่งว่า "ปลากัดทะเล".

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่กล้วย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่กล้วย (สกุล)

ปลาบู่กล้วย (Spotted goby, Knight goby) เป็นสกุลของปลาขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Stigmatogobius (/สติก-มา-โท-โก-เบียส/) เป็นปลาบู่ขนาดเล็ก มีขนาดความยาวเต็มที่ไม่เกิน 6 เซนติเมตร มีลำตัวทรงกระบอก หัวมีขนาดใหญ่ มีเกล็ดตามแนวลำตัว 24-36 แถว ครีบหางกลม เกล็ดที่แนวสันหลังยื่นเข้ามาอยู่ระหว่างนัยน์ตา บนกระดูกแก้มมีเกล็ดปกคลุม จัดเป็นปลาทะเลที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งที่ติดต่อกับน้ำจืด เช่น ป่าชายเลน, ชะวากทะเล หรือบางครั้งพบในแอ่งน้ำขังชั่วคราวในช่วงน้ำขึ้นน้ำลง สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดสนิทได้ เป็นปลาที่มีความสวยงาม จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม เป็นปลาที่มีพฤติกรรมลอยตัวหากินอยู่บริเวณกลางน้ำถึงผิวน้ำ พบมากในถิ่นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม พบในประเทศไทย 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่กล้วย (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่กุดทิง

ปลาบู่กุดทิง หรือที่บางท้องถิ่นเรียกว่า ปลาบู่น้อย เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในสกุล Neodontobutis ของวงศ์ Odontobutidae.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่กุดทิง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่มหิดล

ปลาบู่มหิดล เป็นปลาบู่ที่พบในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ที่อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เมื่อ พ.ศ. 2475 โดย ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่มหิดล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่ยาม

ปลาบู่ยาม หรือ ปลาบู่กุ้ง (Watchman goby, Prawn-goby) เป็นปลาทะเลในสกุล Cryptocentrus (/คริป-โต-เซน-ตรัส/) ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) จัดเป็นปลาบู่ทะเลขนาดเล็ก เหตุที่ได้ชื่อว่า "ปลาบู่ยาม" หรือ "ปลาบู่กุ้ง" เนื่องจากปลาบู่ในสกุลนี้มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ในโพรงที่พื้นทรายใต้ทะเลร่วมกับกุ้งดีดขัน (Alpheaus spp.) ซึ่งเป็นกุ้งขนาดเล็ก โดยเอื้อประโยชน์ต่อกันด้วยการระมัดระวังภัยให้แก่กันและขุดโพรงทำรัง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่ยาม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่รำไพ

ปลาบู่รำไพ (Queen of Siam goby, Queen Rambai's goby) ปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) มีลำตัวยาวทรงกระบอก หัวเล็ก ปากกว้างในตัวผู้ เกล็ดค่อนข้างใหญ่ ลำตัวมีสีคล้ำหรือสีน้ำตาล ขอบเกล็ดมีแต้มสีคล้ำหลังช่องเหงือกด้านบนมีดวงรีสีดำและขอบสีจาง ครีบหลังมีลายสีดำและขอบสีจาง ครีบหางมีลายเส้นสีคล้ำ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 3-6 เซนติเมตร มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกลุ่มกันเป็นฝูงใหญ่ใต้ท้องน้ำ พบกระจายพันธุ์อยู่ในอินเดีย, พม่า, ไทย, มาเลเซียจนถึงอินโดนีเซีย ในบริเวณปากแม่น้ำที่เป็นป่าจากหรือเป็นแหล่งน้ำกร่อย ในประเทศไทยพบได้ในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ทั้งฝั่งตะวันตก ส่วนฝั่งตะวันออกพบเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ปลาบู่รำไพ ถูกค้นพบครั้งแรกในคลองสายหนึ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และถูกอนุกรมวิธานโดย ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่รำไพ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่หมาจู

ปลาบู่หมาจู หรือ ปลาหมาจู (Bumblebee goby) เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งในสกุล Brachygobius (/บรา-ชี่-โก-บิ-อัส/) ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) มีลักษณะโดยรวม เป็นปลาที่มีขนาดเล็กมาก กล่าวคือ มีขนาดโดยเฉลี่ยราว 4-5 เซนติเมตร มีลำตัวเป็นทรงกระบอกคล้ายไม้เบสบอล หัวโต ตาโต ปากกว้าง มีอวัยวะพิเศษคือ มีครีบหนามอยู่ด้านหน้าครีบหลัง และมีการพัฒนาครีบหน้าไปเป็นอวัยวะที่มีรูปร่างคล้ายถ้วย ใช้สำหรับยึดเกาะกับวัตถุต่าง ๆ ใต้น้ำได้เป็นอย่างดี ไม่มีเส้นข้างลำตัว มีสีสันลำตัวเป็นสีเหลืองสลับดำหรือน้ำตาลเข้ม ครีบทุกครีบใสโปร่งแสง มีนิสัยชอบอยู่เป็นฝูง เป็นปลารักสงบ แต่ทว่ามีความก้าวร้าวกันในฝูงพอสมควร โดยจะหวงอาณาเขตตัวเองต่อเฉพาะปลาบู่ด้วยกัน กินอาหารจำพวก สัตว์น้ำขนาดเล็ก ปลาตัวผู้มีสีสันที่สดใสกว่า ส่วนตัวเมียจะมีขนาดลำตัวใหญ่กว่า วางไข่ประมาณ 150-200 ฟอง ภายในวัตถุต่าง ๆ ในน้ำ เช่น ขอนไม้, เปลือกหอย, หิน ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 4-5 วัน โดยที่ปลาตัวผู้จะเป็นผู้ดูแล พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย พบได้ในแม้กระทั่งร่องน้ำในสวนผลไม้ที่มีน้ำกร่อยไหลเข้ามาและแม่น้ำขนาดใหญ่ อย่าง แม่น้ำโขง มีทั้งหมด 9 ชนิด (บางข้อมูลแบ่งเป็น 8 ชนิด) พบในประเทศไทยราว 5 ชนิด เป็นปลาขนาดเล็กที่มีความสวยงามน่ารักจำพวกหนึ่ง จึงนิยมนำมาเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่หมาจู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่หมาจูดอเรีย

ปลาบู่หมาจูดอเรีย (Bumble bee goby, Golden-banded goby) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาบู่หมาจู ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) จัดเป็นปลาบู่หมาจูชนิดหนึ่ง มีความยาวประมาณ 0.36 เซนติเมตร มีสีพื้นลำตัวขาว-เหลือง ตัวผู้ในฤดูผสมพันธุ์สีอาจเปลี่ยนไปเป็นสีเข้มจนเป็นสีส้มได้ นับเป็นช่วงเวลาที่จะมีสีสันที่สวยที่สุด พบกระจายพันธุ์ทั้งในแหล่งน้ำจืด และน้ำกร่อยที่มีปริมาณความเค็มไม่เกิน 10 ppt เช่น ปากแม่น้ำ, ชะวากทะเล ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาตู้สวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ สามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้ จัดเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ไม่ค่อยมีโรค และมีความต้องการปริมาณอาหารไม่มากต่อวัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่หมาจูดอเรีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่หมาจูแม่น้ำโขง

ปลาบู่หมาจูแม่น้ำโขง หรือ ปลาบู่แคระครีบแดง (Mekong bumblebee goby) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Brachygobius mekongensis อยู่ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) สกุลปลาบู่หมาจู เป็นปลาที่มีขนาดเล็ก มีความยาวเพียง 1-2 เซนติเมตร เท่านั้น มีลักษณะลำตัวสั้น หัวกลมมน ปากเล็ก ตาโต เกล็ดเล็ก ลำตัวสีน้ำตาลอ่อนใส มีลายพาดยาวถึงโคนครีบหางประมาณ 4-5 แถบ ครีบใส ครีบหลังอันแรกมีสีคล้ำที่ขอบหน้า โคนครีบหลังและครีบหางมีสีแดงเรื่อ ๆ กินอาหารจำพวกแพลงก์ตอนสัตว์เป็นอาหาร วางไข่โดยที่ตัวผู้เป็นผู้ดูแล เป็นปลาที่พบได้เฉพาะลุ่มแม่น้ำโขงทางภาคอีสานของไทยเท่านั้น โดยอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำนิ่งที่มีคุณภาพน้ำดีมีพืชน้ำหนาแน่น ปลาบู่หมาจูแม่น้ำโขงถือเป็นปลาเฉพาะถิ่น เพิ่งค้นพบในปี พ.ศ. 2543 นี่เองตามรายงานของกองทุนสัตว์ป่าโลก สำนักงานประเทศไทย พร้อมกับปลาน้ำจืดชนิดใหม่ ๆ ของโลกอีกหลายชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่หมาจูแม่น้ำโขง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่หิน

ปลาบู่หิน เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งสกุล Glossogobius ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) พบกระจายพันธุ์ในน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล ตั้งแต่ทวีปแอฟริกาจนถึงชายฝั่งแปซิฟิกตะวันตก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่หิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่จักรพรรดิ์

ำหรับปลาบู่จากที่เป็นปลากลับหัว ดูที่ ปลาบู่จาก ปลาบู่จักรพรรดิ์ หรือ ปลาบู่จาก หรือ ปลาบู่หิน (Tank goby) ปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายปลาบู่ทราย แต่มีส่วนหัวแหลมกว่า ลำตัวทรงกระบอก ด้านท้ายของลำตัวแบนด้านข้าง ปากกว้าง ดวงตากลมโต ครีบท้องมี 2 อัน ครีบท้องเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ครีบหางปลายแหลม ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อน ส่วนหลังสีคล้ำ ด้านข้างลำตัวมีแถบสีคล้ำขนาดใหญ่จำนวน 4-5 แถบ ขอบเกล็ดมีสีคล้ำจึงแลดูเป็นลายคล้ายตาข่ายหรือร่างแห ครีบต่าง ๆ ใส มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 16-20 นิ้ว กระจายพันธุ์ในแถบน้ำกร่อยและน้ำจืดใกล้ชายฝั่งทะเลในแถบร้อนของทวีปเอเชียโดยทั่วไป ตั้งแต่ทะเลแดง จนถึงชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก ตลอดจนเอเชียใต้จนถึงตอนใต้ของจีนและออสเตรเลีย พบทั้งในชายฝั่งทะเลมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย (โดยในประเทศไทยมีรายงานพบที่แม่น้ำสาละวิน ซึ่งอยู่ห่างไกลจากทะเลนับเป็นพัน ๆ กิโลเมตรด้วย) เป็นปลาที่มีพฤติกรรมนอนนิ่ง ๆ กับพื้นตลอดทั้งวัน ส่วนมากจะอาศัยอยู่ในป่าชายเลน ในส่วนที่มีพืชน้ำขึ้นหนาแน่น ที่เป็นพื้นทราย เพื่อซุ่มล่าอาหาร ซึ่งอาหารได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ มีพฤติกรรมการวางไข่ จะวางไข่ยึดติดกับวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำ โดยพ่อปลาและแม่ปลาจะช่วยกันดูแลไข่จนฟักเป็นตัว เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ซึ่งสามารถเลี้ยงเติบโตได้เป็นอย่างในสภาพน้ำจืดสนิทหน้า 118, Amphidromous Story สุดยอดนักล่า ปลาสองน้ำ, "Wild Ambition" โดย ชวิน ตันพิทยคุปต์, กิตติพงษ์ จารุธาณินทร์, นันทวัฒน์ โชติสุวรรณ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่จักรพรรดิ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่จาก

ำหรับปลาบู่จากชนิดอื่น ดูที่ ปลาบู่จักรพรรดิ์ ปลาบู่จาก (Flathead gudgeon) เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Butis (/บู-ติส/) อยู่ในวงศ์ปลาบู่ทราย (Eleotridae) จัดเป็นปลาบู่ขนาดกลาง มีส่วนหัวและปลายปากที่แบนราบ พบอาศัยในแหล่งน้ำกร่อยถึงจืดสนิท เป็นปลาล่าเหยื่อแบบซุ่มโจมตี โดยใช้ลำตัวแปะแนบไปกับวัสดุใต้น้ำ มีพฤติกรรมชอบว่ายกลับหัวหรือใช้ท้องแปะซุ่มอยู่ใต้วัสดุใต้น้ำ พบมากในถิ่นอาศัยที่เหมาะสม พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ชายฝั่งทวีปแอฟริกา, เอเชีย จนถึงออสเตรเลียตอนเหนือ พบในประเทศไทยอย่างน้อย 3 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่จาก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่จุดคู่

ปลาบู่จุดคู่ (Dualspot gobies) เป็นปลาขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ในสกุล Redigobius (/เร-ดิ-โก-บิ-อัส/) ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคตะวันตกของอินโด-แปซิฟิก โดยพบได้ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของแปซิฟิกจากออสเตรเลียจนถึงทวีปแอฟริกาแต่บางชนิด ก็เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นที่พบได้เฉพาะเกาะฟิจิเท่านั้นโดยพบในแหล่งน้ำจืดบริเวณปากแม่น้ำ, ชะวากทะเล ที่ได้รับอิทธิพลจากกระแสน้ำขึ้นน้ำลง โดยมักหลบซ่อนตัวอยู่ตามพืชน้ำหรือเศษวัสดุต่าง ๆLarson, H. K. (2010).

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่จุดคู่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่ทราย

ปลาบู่ทราย หรือ ปลาบู่ทอง (Sleepy goby, Marbled sleeper) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oxyeleotris marmorata ในวงศ์ปลาบู่ทราย (Eleotridae) มีลักษณะลำตัวกลมยาว ความลึกลำตัวประมาณ 1 ใน 3.5 ของความยาวมาตรฐานลำตัว ส่วนหัวยาวเป็น 1 ใน 2.8 ของความยาวมาตรฐานของลำตัว หัวค่อนข้างโต และด้านบนของหัวแบนราบ หัวมีจุดสีดำประปราย ปากกว้างใหญ่เปิด ทางด้านบนตอนมุมปากเฉียงลงและยาวถึงระดับกึ่งกลางตา ขากรรไกรล่างยื่นยาวกว่าขากรรไกรบน ทั้งขากรรไกรบนและล่างมีฟันแหลมซี่เล็ก ๆ ลักษณะฟันเป็นฟันแถวเดียว ลูกตาลักษณะโปนกลมอยู่บนหัวถัดจากริมฝีปากบนเล็กน้อย รูจมูกคู่หน้าเป็นหลอดยื่นขึ้นมาอยู่ติดกับร่องที่แบ่งจะงอยปากกับริมฝีปากบน ครีบหูและครีบหางมีลักษณะกลมมนใหญ่ มีลวดลายดำและสลับขาว มีก้านอ่อนอยู่ 15-16 ก้าน ครีบหลัง 2 ครีบ ครีบอันหน้าสั้นเป็นหนาม 6 ก้าน เป็นก้านครีบสั้นและเป็นหนาม ครีบอันหลังเป็นก้านครีบอ่อน 11 ก้าน ครีบท้องหรือครีบอกอยู่แนวเดียวกับครีบหูและมีก้านครีบอ่อน 5 ก้าน สีลำตัวสีน้ำตาลเหลืองมีรอยปื้นสีดำกระจายไปทั่วตัว ในบางตัวสีอาจกลายเป็นสีเหลืองทองได้ จึงทำให้ได้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า "ปลาบู่ทอง" มีขนาดลำตัวประมาณ 30 เซนติเมตร ใหญ่ที่สุด 60 เซนติเมตร จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุล Oxyeleotris พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำจืดทุกประเภทของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาจพบได้ในแหล่งน้ำกร่อยด้วย สำหรับในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค มีพฤติกรรมชอบอยู่นิ่ง ๆ กับพื้นน้ำเพื่อล่าเหยื่อ อาหารได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่า ปลาบู่ทราย จัดเป็นปลาที่ผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยมากชนิดหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากนิทานพื้นบ้านของภาคกลางเรื่อง ปลาบู่ทอง เป็นต้น จัดเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่ง โดยนิยมใช้เนื้อบริโภคกันมาช้านาน มีราคาขายที่แพง ปัจจุบัน นิยมเพาะเลี้ยงกันอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้แล้วในตัวที่มีสีกลายไปจากสีปกติ เช่น สีทองหรือสีเงิน พบมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วยเช่นในภาคใต้จะมีการเลี้ยงไว้เพราะเชื่อว่าจะนำโชคลาภมาให้ และเรียกปลาชนิดนี้ว่าปลาครีบทอง ตามสีที่ปรากฏนี้เอง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่ทราย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่ทราย (สกุล)

ปลาบู่ทราย (Sleepy Goby, Gudgeon) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดและปลาน้ำกร่อย ในวงศ์ปลาบู่ทราย (Eleotridae) ใช้ชื่อสกุลว่า Oxyeleotris (/อ็อก-ซี-ลี-โอ-ทริส/) มีลักษณะสำคัญ คือ มีขอบกระดูกแก้มชิ้นหน้าเรียบ เกล็ดบนลำตัวด้านหน้าเป็นแบบบางเรียบ ส่วนเกล็ดด้านท้ายลำตัวเป็นแบบสาก กระดูกหัวระหว่างลูกนัยน์ตาเรียบ ลำตัวป้อมสั้น จำนวนแถวของเกล็ดบนเส้นข้างลำตัว 60 แถว หรือมากกว่า ฟันในปากแถวนอกมีขนาดใหญ่กว่าแถวใน พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำทั่วไปของทวีปเอเชียจนถึงตอนเหนือของออสเตรเลี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่ทราย (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่ปิดบัง

ปลาบู่ปิดบัง (Obscure goby Atlas of Living Australia.) เป็นปลาขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในสกุล Mugilogobius (/มู-กิ-โล-โก-บิ-อัส/) ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) พบกระจายพันธุ์ในแถบอินโด-แปซิฟิก พบได้ทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล มีหลายชนิดซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นพบในน้ำจื.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่ปิดบัง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่น้ำตก

ปลาบู่น้ำตก เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Rhinogobius (/ไร-โน-โก-บิ-อัส/; คำแปล rhino เป็นภาษากรีกแปลว่า "จมูก", gobius หมายถึง "ปลาบู่") โดยมากเป็นปลาขนาดเล็ก มีความแตกต่างระหว่างเพศเห็นชัดเจน มีลำตัวเรียวยาว พบกระจายพันธุ์เฉพาะในทวีปเอเชียทั้งเขตร้อนและเขตหนาว ทั้งในตอนใต้ของประเทศจีน, ไต้หวัน, ฮ่องกง และเวียดนาม บางชนิดพบได้ในน้ำกร่อยและทะเล มักอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่มีอุณหภูมิค่อนข้างเย็น หลายชนิดนิยมเป็นปลาสวยงาม สำหรับในประเทศไทย พบปลาบู่ในสกุลนี้อย่างน้อย 2 ชนิด คือ ปลาบู่น้ำตกเชียงใหม่ (Rhinogobius chiengmaiensis) และปลาบู่น้ำตกแม่โขง (R. mekongianus).

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่น้ำตก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่น้ำตกเชียงใหม่

ปลาบู่น้ำตกเชียงใหม่ (Chiangmai stream goby;; คำอ่าน /ไร-โน-โก-บิ-อัส-เชียง-ใหม่-เอ็น-ซิส/) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) ลำตัวทรงกระบอก แก้มมีจุดประคล้ายพริกไทยป่นสีคล้ำ ลำตัวสีน้ำตาลแดงและมีลายประสีคล้ำ ครีบหลังอันแรกมีลายแต้มสีดำบนลายสีอิฐ ครีบอื่นใส มีประสีอิฐหรือคล้ำ ครีบก้นสีเหลืองและขอบสีดำ อาศัยอยู่ในลำธารที่ตื้นและน้ำเชี่ยวปานกลาง มีกรวดหินและพื้นทราย อาหารได้แก่ แมลงน้ำขนาดเล็กและลูกปลาขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร จัดเป็นปลาเฉพาะถิ่นที่พบได้เฉพาะในลำธารน้ำไหลเชี่ยวบริเวณที่เป็นน้ำตกหรือป่าดิบในพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่ ในประเทศไทยเท่านั้น มีพฤติกรรมวางไข่ติดไว้กับผนังของก้อนหินในลำธารที่อยู่อาศัย ปลาตัวผู้จะทำหน้าที่คอยปกป้องดูแลไข่ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่น้ำตกเชียงใหม่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่น้ำตกเดาส์ปิลุส

ปลาบู่น้ำตกเดาส์ปิลุส (White cheek goby) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง เป็นปลาจำพวกปลาบู่น้ำตก มีความยาวโดยเฉลี่ย 4-5 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ได้ในฮ่องกง, ตอนใต้ของจีน และในตอนเหนือของเวียดนาม โดยแถบเมืองดานัง มีชนิดที่มีความใกล้เคียงกันมาก โดยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhinogobius cf.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่น้ำตกเดาส์ปิลุส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่เกาะสุรินทร์

ปลาบู่เกาะสุรินทร์ หรือ ปลาบู่ปาปัวนิวกินี (Aporos sleeper, Ornate sleeper, Snakehead gudgeon, Mud gudgeon) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาบู่ทราย (Eleotridae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Giuris มีรูปร่างคล้ายปลาบู่ทั่วไปผสมกับปลาช่อน คือ มีส่วนหัวใหญ่และกลมมน เป็นปลาที่มีสีสันสวยงามมากชนิดหนึ่ง ลำตัวเป็นสีเหลืองอมส้ม มีจุดประสีส้มและสีฟ้าอมน้ำเงิน ที่แก้มและคางมีสีส้มสด ครีบต่าง ๆ เป็นสีฟ้าหรือน้ำเงินแลดูสวยงาม มีขนาดความยาวเต็มที่ 40 เซนติเมตร ขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 20-25 เซนติเมตร ตัวผู้มีครีบและมีสีสดสวยกว่าตัวเมียอย่างเห็นได้ชัดเจน เป็นปลาที่พบแพร่กระจายพันธุ์อย่างกว้างขวาง โดยพบในลำธารหรือบริเวณปากแม่น้ำที่เป็นน้ำกร่อยติดกับทะเล ตั้งแต่ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียจากแอฟริกาตอนใต้ถึงอินโดนีเซีย รวมถึงหมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ปาปัวนิวกินี, เมลานีเซีย, ปาเลา, เกาะเซเลบีส, เกาะโอกินาวา ไปจนถึงตอนเหนือของออสเตรเลีย ส่วนในประเทศไทยพบเพียงที่เดียว คือ ในลำธารที่หมู่เกาะสุรินทร์ ในเขตทะเลอันดามัน เป็นปลาที่กินสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ รวมถึงแมลงน้ำ เป็นอาหาร ฟักไข่และวัยอ่อนเจริญเติบโตในทะเล ก่อนจะอพยพเข้าสู่น้ำจืดหรือน้ำกร่อยเมื่อเจริญวัยขึ้น นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ถือเป็นปลาที่มีความสวยงาม เลี้ยงได้ง่าย เนื่องจากอุปนิสัยที่ไม่หลบซ่อนตัว และไม่ดุร้ายก้าวร้าวต่อปลาอื่นในที่เลี้ยง อีกทั้งยังกินอาหารสำเร็จรูปได้อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่เกาะสุรินทร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบู่เหลือง

ปลาบู่เหลือง (Yellow prawn-goby, Watchman goby) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) เป็นปลาบู่ที่มีพฤติกรรมอยู่ตามโพรงตามพื้นทรายใต้ทะเล โดยอาศัยอยู่ร่วมกับกุ้งดีดขันลายเสือ (Alpheus bellulus) ซึ่งเป็นกุ้งที่มีสายตาที่ไม่ดีนักจึงอาศัยปลาบู่เหลืองทำหน้าที่เฝ้าระวังภัยให้ โดยทั้งคู่จะหากินอยู่เฉพาะบริเวณปากโพรง เมื่อไหร่ที่ถูกคุกคาม ปลาบู่เหลืองจะใช้หางโบกสะบัดเพื่อเป็นการเตือนกุ้งให้รู้ และทั้งคู่จะมุดลงโพรงพร้อม ๆ กัน และปลาก็ได้รับประโยชน์จากกุ้ง โดยกุ้งจะทำหน้าที่ขุดโพรงและดูแลโพรงให้เป็นที่อยู่อาศัยและหลบภัย เป็นปลาที่มีสีเหลืองสดใส มีจุดเล็ก ๆ สีฟ้ากระจายทั่วไปบริเวณครีบหลัง ลำตัวส่วนแรกและส่วนหัว เป็นปลาขนาดเล็กมีขนาดความยาวไม่เกิน 7-8 เซนติเมตร มีพฤติกรรมการกินอาหารด้วยการอมทรายและพ่นออกมา พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่น ในแถบอินโด-แปซิฟิก เป็นปลาที่มีความสวยงาม จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ด้วยพฤติกรรมการกินอาหารเสมือนทำความสะอาดตู้เลี้ยงให้สะอาดตลอดเวลาด้วย ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยง โดยไม่สามารถสังเกตเพศได้จากลักษณะภายนอก แต่พฤติกรรมปลาตัวผู้เมื่ออยู่รวมกันหลายตัว จะเป็นฝ่ายไล่ตัวอื่น โดยปลาจะผสมพันธุ์กันในเวลาเย็น แม่ปลาจะวางไข่ที่มีลักษณะเป็นพวงติดกับผนังด้านบนของโพรงที่อยู่อาศัย แล้วปลาตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าไปผสม จากนั้นปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลไข่เป็นหลัก ลูกปลาใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 4 วัน หลังจากที่ไข่ได้รับการผสม อัตราในการฟักอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 ตัว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบู่เหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อน

ปลาช่อน ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) มีส่วนหัวค่อนข้างโต รูปร่างทรงกระบอกยาว ครีบหางเรียวปลายมน ปากกว้าง ภายในปากมีฟันเขี้ยวบนเพดาน ลำตัวสีคล้ำอมมะกอกหรือน้ำตาลอ่อน มีลายเส้นทแยงสีคล้ำตลอดทั้งลำตัว 6-7 เส้น ด้านท้องสีจางตัดกับด้านบน ครีบสีคล้ำมีขอบสีเหลืองอ่อน ครีบท้องจาง มีขนาดลำตัวประมาณ 30-40 เซนติเมตร ใหญ่สุดได้ถึง 1 เมตร โดยปลาช่อนชนิดนี้มีความพิเศษไปกว่าปลาช่อนชนิดอื่น ๆ คือ สามารถแถกไถตัวคืบคลานไปบนบกเพื่อหาที่อยู่ใหม่ได้ รวมทั้งสามารถหลบอยู่ใต้ดินในฤดูฝนแล้งเพื่อรอฝนมาได้เป็นแรมเดือน โดยสะสมพลังงานและไขมันไว้ ที่เรียกว่า "ปลาช่อนจำศีล" พบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำทั่วประเทศไทย พบไปจนถึงเอเชียใต้, พม่าและอินโดนีเซีย นิยมนำมาบริโภค ปรุงเป็นอาหารได้หลากหลายทั้งสดและตากแห้ง เป็นปลาน้ำจืดเศรษฐกิจที่สำคัญจนอาจเรียกได้ว่าเป็นปลาน้ำจืดเศรษฐกิจอันดับหนึ่ง เลี้ยงได้ทั้งในบ่อและกระชังตามริมแม่น้ำ นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย โดยเฉพาะตัวที่สีกลายเป็นสีเผือกหรือปลาที่พิการตัวสั้นกว่าปกติ ปลาช่อนในบางพื้นที่ เช่น ที่จังหวัดสิงห์บุรี ขึ้นชื่อมาก เรียกกันว่า "ปลาช่อนแม่ลา" มีประเพณีพื้นถิ่นคือเทศกาลกินปลา โดยลักษณะเฉพาะของปลาช่อนแม่ลา คือ มีครีบหูหรือครีบอกสีชมพู ส่วนหางจะมีลักษณะมนเหมือนใบพัด ลำตัวอ้วน แต่หัวหลิม ไม่เหมือนปลาช่อนทั่วไป โดยเป็นปลาช่อนที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำลา อยู่ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำน้อย ในเขตจังหวัดสิงห์บุรี เป็นแหล่งน้ำที่น้ำนิ่ง มีความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอาหารตามธรรมชาติ ใต้ท้องน้ำปกคลุมไปด้วยพืชน้ำและวัชพืช ทำให้น้ำเย็น ดินก้นลำน้ำยังเป็นโคลนตมที่มีอินทรียวัตถุ แร่ธาตุที่ไหลมารวมกัน สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ปลาช่อนแม่ลาถึงมีรสชาติดีกว่าปลาช่อนที่อื่น ๆ ซึ่งปัจจุบันด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป มีการสร้างเขื่อนและประตูเปิด-ปิดน้ำ ทำให้แม่น้ำลาตื้นเขิน ปลาช่อนแม่ลาที่เคยขึ้นชื่อใกล้จะสูญพันธุ์ แต่ปัจจุบัน กรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว และมีการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติเพื่อเป็นการอนุรักษ์ ปลาช่อน มีชื่อเรียกตามภาษาถิ่นในแต่ละภาคว่า "ปลาหลิม" ในภาษาเหนือ "ปลาค้อ" หรือ "ปลาก๊วน" ในภาษาอีสาน เป็นต้น และเมื่อไม่นานมานี้มีการค้นพบว่าเนื้อปลาช่อนมีสารที่เป็นส่วนหนึ่งของคอลลาเจน มีฤทธิในการห้ามเลือดและระงับความเจ็บปวดได้คล้ายมอร์ฟีน จึงเหมาะอย่างยิ่งแก่การปรุงเป็นอาหารของผู้ป่วยหรือผู้ที่เพิ่งได้รับการผ่าตัด นอกจากนี้แล้วในหลายพื้นที่ของไทย เช่น อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์, อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา รวมถึงในพื้นที่ตำบลหัวดวง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร และอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ มีความเชื่อของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั้นว่า ปลาช่อนสามารถขอฝนได้ โดยต้องทำตามพิธีตามแบบแผนโบราณ ซึ่งจะกระทำกันในช่วงเกิดภาวะแห้งแล้ง ด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์เบื้องหน้าองค์พระประธาน และมีการโยงสายสิญจน์กับอ่างที่มีปลาช่อน 9 ตัว และสวดคาถาปลาช่อน เชื่อกันว่าระหว่างทำพิธี หากปลาช่อนดิ้นกระโดดขึ้นมา เป็นสัญญาณว่าฝนจะตกลงมาในเร็ววันนี้ นอกจากนี้แล้ว ที่อินเดียก็มีความเชื่อและพิธีกรรมที่คล้ายคลึงแบบนี้เหมือนกัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนบาร์กา

ปลาช่อนบาร์กา (Barca snakehead) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa barca ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) มีความยาวเต็มที่ประมาณ 90 เซนติเมตร เป็นปลาที่มีสีสันสวยงามมาก โดยมีสีเขียวและเหลืองประกอบกับจุดสีดำและแดงกระจายทั่วบริเวณส่วนหัว, ลำตัว และครีบ ส่วนหัวมีขนาดโตและปากกว้างมาก จนได้ชื่อว่าเป็นปลาช่อนที่มีความสวยงามที่สุดในโลก มีถิ่นกระจายพันธุ์อยู่ในแม่น้ำพรหมบุตรและแม่น้ำคงคาในรัฐอัสสัมและรัฐเบงกอลตะวันตก ในประเทศอินเดีย และบางส่วนของบังกลาเทศเท่านั้น ปลาช่อนบาร์กา เป็นที่รู้จักครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1822 โดย ฟรานซิส บูชาแนน แฮมิลตัน ซึ่งเป็นนายแพทย์และนักชีววิทยาประจำกองทัพจักรวรรดิอังกฤษที่ปกครองอินเดียอยู่ ได้ศึกษาธรรมชาติในรัฐเบงกอลและได้ค้นพบปลาน้ำจืดชนิดใหม่ ๆ ได้ถึง 100 ชนิด หนึ่งในนั้นคือ ปลาช่อนชนิดนี้ พร้อมกับได้เขียนภาพประกอบไว้ โดยได้ตีพิมพ์ในหนังสือชื่อ An account of the fishes found in the river Ganges and its branches โดยบรรยายไว้เกี่ยวกับปลาช่อนบาร์กาว่า ความยาวเต็มที่ได้ถึง 90 เซนติเมตร และทำรังโดยขุดรูขึ้นบริเวณริมฝั่งโผล่และเฉพาะส่วนหัวออกมาเพื่อหาอาหาร เพศของปลาชนิดนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสีแต่ขึ้นอยู่กับรูปร่างครีบปลาลำตัว แต่ในปลาตัวผู้นั้นจะมีครีบหลัง ครีบอก ครีบก้นที่ใหญ่กว่าตัวเมียและลำตัวผอมยาวอย่างเห็นได้ชัดแต่ตัวเมียนั้นมีครีบที่เล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด และในตัวเมียมีลำตัวมีลักษณะข้อนข้างป้อมสั้นกว่าตัวผู้ส่วนเรื่องสีของปลาชนิดนี้ก็จะขึ้นอยู่กับค่าน้ำสภาพแวดล้อม และอื่นๆ ปลาช่อนบาร์กา จัดไว้เป็นหนึ่งในปลาช่อนที่หายากที่สุดในโลก จากคุณสมบัติทั้งหมดดังกล่าว ทำให้เป็นปลาสวยงามที่มีราคาแพงมากชนิดหนึ่ง และสำหรับในประเทศไทยเป็นปลาที่มีการนำเข้ามาจำหน่ายเพียงแค่ไม่กี่ตัว และเคยมีการหลอกขายโดยเอาปลาช่อนชนิดอื่นมาขายกันแล้วในชื่อต่าง ๆ รวมทั้งเคยสับสนกับปลาช่อนชนิดอื่นที่มีความใกล้เคียงกันด้วย พฤติกรรมในที่เลี้ยงเป็นปลาที่มีดุร้ายก้าวร้าวมาก ไม่สามารถเลี้ยงรวมกันโดยเฉพาะตัวผู้หลาย ๆ ตัวได้เลย เพราะจะกัดกันทันทีแม้กระทั่งเพิ่งเทจากถุงลงตู้กระจก แต่การเลี้ยงรวมกับตัวเมียสามารถกระทำได้อย่างง่ายดาย เป็นปลาที่สามารถเลี้ยงในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะอาศัยอยู่ในที่ ๆ มีอุณหภูมิระหว่าง 10-24 องศาเซลเซียส มีพฤติกรรมการกินอาหารเพียงแค่ แมลง หรือกุ้งฝอย หรือเนื้อกุ้งชิ้นเท่านั้น โดยไม่กินปลาเหยื่อหรือลูกปลาขนาดเล็กเล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนบาร์กา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนบานคาน

ปลาช่อนบานคาน หรือ ปลาช่อนบังกา (Bangka snakehead) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) ปลาช่อนบานคาน เป็นปลาช่อนชนิดหนึ่ง มีลักษณะเหมือนปลากระสง (C. lucius) แต่ส่วนหัวไม่เรียวแหลมเหมือนปลากระสง และรูปทรงลำตัวค่อนข้างจะกลมเป็นทรงกระบอกมากกว่า มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 23.5 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในตอนใต้ของมาเลเซีย, เกาะสุมาตรา, เกาะกาลิมันตัน และเกาะบังกาในอินโดนีเซีย ในแหล่งน้ำในป่าพรุที่มีค่าพีเอช (pH) ไม่เกิน 4 เป็นปลาสวยงามที่หาได้ยาก ในประเทศไทยเคยมีเข้ามาจำหน่ายเพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยการเลี้ยงในตู้ปลาสามารถปรับค่าพีเอชของน้ำให้อยู่ที่ราว 5.5-6 ได้ สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในตู้กระจก โดยวางไข่แบบไข่ลอย แม่ปลาคอยดูแลลูกปลา กินอาหารจำพวกแมลง และปลาขนาดเล็ก มีอุปนิสัยดุร้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนบานคาน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนพัลชรา

ปลาช่อนพัลชรา หรือ ปลาช่อนพม่าจุดส้ม หรือ ปลาช่อนพม่าจุดแดง (Burmese peacock snakehead) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) เป็นปลาช่อนที่มีความสวยงามมากอีกชนิดหนึ่ง มีความยาวเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร พบในต้นน้ำของรัฐยะไข่ ประเทศพม่า เป็นปลาช่อนที่ถูกบรรยายลักษณะทางวิทยาศาสตร์หรืออนุกรมวิธานพร้อม ๆ กับปลาช่อนออนาติพินนิส (C. ornatipinnis) ซึ่งพบในพม่าและมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ทว่า ปลาช่อนพัลชราไม่มีจุดสีดำขนาดใหญ่กระจายทั่วตัวเหมือนปลาช่อนออนาติพินนิส โดยมีเพียงจุดประสีดำเล็ก ๆ จาง ๆ กระจายอยู่เพียงเล็กน้อย ครีบอกมีลายสีจางไม่ชัดเจน จุดสีดำบนครีบหลังสีจาง และมีจำนวนน้อยกว่าปลาช่อนออนาติพินนิส ด้วยความสวยงาม จึงทำให้นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม เป็นปลาช่อนที่ไม่มีนิสัยดุร้ายก้าวร้าว เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในตู้กระจก หรือในบ่อคอนกรีต วางไข่แบบไข่ลอย พ่อปลาและแม่ปลาช่วยกันเลี้ยงดูแลลูก กินอาหารได้หลากหล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนพัลชรา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนสจวร์ต

ปลาช่อนสจวร์ต (Stewart's snakehead, Assamese snakehead, golden snakehead) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) ปลาช่อนสจวร์ตเป็นปลาช่อนในกลุ่มปลาช่อนเล็กหรือปลาช่อนแคระอีกชนิดหนึ่ง โตได้เต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในลุ่มน้ำพรหมบุตรในอินเดียและบังกลาเทศ, แถบตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัยในอินเดียและเนปาล และลุ่มน้ำที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเนปาล ปลาช่อนสจวร์ตเป็นปลาช่อนอีกชนิดหนึ่งที่มีสีสันสวยงามมาก จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามและถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยหลายครั้ง เป็นปลาช่อนที่มีสีสันแตกต่างหลากหลายกันมากเนื่องจากมีถิ่นฐานการแพร่กระจายพันธุ์กว้างขวาง และยังมีอีกหลายแหล่งที่มีปลาที่มีความแตกต่างกันชัดเจน แต่ทว่ายังมิได้มีการบรรยายทางวิทยาศาสตร์ จึงมีการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์อย่างไม่เป็นทางการ แต่เป็นชื่อทางการค้าอย่างหลากหลาย แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของปลา เช่น Channa cf.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนสจวร์ต · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนออแรนติ

ปลาช่อนออแรนติ หรือ ปลาช่อนทองลายบั้ง หรือ ปลาช่อนเจ็ดสียักษ์ (Orange-spotted snakehead) เป็นปลาช่อนในสกุล Channa ชนิดหนึ่ง มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาช่อนบาร์กา (C. barca) แต่มีส่วนหัวโตและแบนกว่า สีพื้นของลำตัวและหัวเป็นสีเหลืองทอง แต่เกล็ดทั้งส่วนหัวและลำตัวมีจุดสีน้ำตาลเข้มขนาดใหญ่เกือบเต็มเม็ด ยกเว้นบริเวณข้างลำตัวที่เป็นลายแถบแนวขวางไม่เป็นระเบียบหรือเป็นแต้มกลมขนาดใหญ่ มีสีเหลืองทองเรียงกันในแนวยาว เกล็ดข้างลำตัวประมาณ 51-54 เกล็ด ใต้คางและท้องมีสีขาว มีจุดสีน้ำตาลเข้มกระจายอยู่ทั่ว ครีบหลังและครีบก้นมีสีเหลืองอ่อน ครีบหลังมีก้านครีบทั้งหมด 45-47 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบ 28-30 ก้าน ครีบอกสีส้มมีสีเหลืองทองมีลายเส้นขวาง 6-7 แถบ ปลาตัวผู้วัยโตเต็มที่จะมีครีบหลัง และครีบก้นขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย มีสีสันสดใสมากกว่ามากโดยเฉพาะสีเหลือบม่วงอมน้ำเงินบนหัวและครีบหลัง ขณะที่ปลาตัวเมียจะมีบั้งสีเหลืองเป็นหลัก เหลือบสีอื่น ๆ ไม่สดเท่าตัวผู้ เมื่อมองจากด้านบนตัวผู้จะมีลำตัวเพรียวยาว และส่วนหัวที่กว้างกว่าตัวเมีย สามารถเพาะขยายพันธุ์ในตู้กระจกได้แล้ว โดยปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายอมและฟักไข่ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 45 เซนติเมตร โตเต็มที่ได้ถึง 60 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำรามบุตรา ซึ่งเป็นแควสาขาของแม่น้ำพรหมบุตร ในตอนเหนือรัฐอัสสัมและรัฐอรุณาจัลประเทศของประเทศอินเดีย โดยในตอนแรกมักถูกสับสนกับปลาช่อนบาร์กาเนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงกันมากและพบในแหล่งน้ำเดียวกัน แต่ได้ถูกอนุกรมวิธานจาก ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนออแรนติ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนออเรียนตาลิส

ปลาช่อนออเรียนตาลิส หรือ ปลาช่อนศรีลังกา (Ceylon snakehead) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) เป็นปลาช่อนขนาดเล็กจำพวกปลาช่อนแคระ หรือปลาก้างชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับปลาก้าง (C. limbata) ที่พบในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ หรือปลาก้างอินเดีย (C. gachua) ที่พบในอินเดีย โดยไม่มีครีบท้อง ลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาก้างที่พบในเอเชียอาคเนย์มาก มีความยาวเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร พบเฉพาะบนเกาะซีลอน หรือศรีลังกาเท่านั้น พฤติกรรมการหากินและการแพร่ขยายพันธุ์เหมือนกับปลาช่อนแคระชนิดอื่น ๆ คือ ตัวผู้จะเป็นฝ่ายเฝ้าดูแลไข่และลูกอ่อนร่วมกับตัวเมีย โดยมีชื่อพื้นถิ่นในภาษาเบงกาลีว่า ulka Channa orientalis.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนออเรียนตาลิส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนจุดอินโด

ปลาช่อนจุดอินโด (Green spotted snakehead, Ocellated snakehead, Eyespot snakehead) เป็นปลาช่อนชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa pleurophthalma ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) มีรูปร่างเพรียวยาวในวัยอ่อน แต่เมื่อปลาโตขึ้นแล้วจะเปลี่ยนเป็นหัวแหลมแต่ส่วนลำตัวกลับป้อม คล้ายปลาชะโด (C. miropeltes) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน ปลาขนาดเล็กจะมีลำตัวสีเขียว, สีน้ำเงินหรือแกมน้ำตาลในบางตัว ส่วนท้องสีขาว เมื่อโตขึ้นจะมีลักษณะเด่น คือ มีจุดสีดำที่ล้อมด้วยวงสีส้มกลมคล้ายดวงตาขนาดใหญ่อันเป็นที่มาของชื่อ เรียงกันบริเวณข้างลำตัว โดยจุดแรกจะพบบนแก้มหรือกระดูกปิดเหงือก จุดสุดท้ายจะพบบริเวณคอดหาง โดยจะมีประมาณ 3-7 จุด ในปลาแต่ละตัวอาจมีไม่เท่ากัน หรือข้างสองก็ไม่เท่ากัน และเมื่อปลาโตเต็มวัยจุดเหล่านี้จะกลายเป็นกระจายเป็นจุดกระสีดำตามตัวแทน มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 40 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะสุมาตรา และยังพบในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะบอร์เนียว และในจังหวัดกาลีมันตัน พบมีการบริโภคในท้องถิ่น และยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ทว่าเป็นปลาที่เลี้ยงให้รอดได้ยาก เนื่องจากปลาขนาดเล็กมักจะปรับตัวให้กับสภาพน้ำในสถานที่เลี้ยงไม่ได้ เพราะเป็นปลาที่อยู่ในน้ำที่มีสภาพความเป็นกรดของน้ำค่อนข้างต่ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนจุดอินโด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนทรายแก้ว

ปลาช่อนทรายแก้ว หรือ ปลาทราย หรือ ปลาเห็ดโคน (Northern whiting, Silver sillago) ปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาเห็ดโคนหรือปลาซ่อนทราย และเป็นชนิดต้นแบบของปลาเห็ดโคนทั้งหมดด้วย โดยเก็บตัวอย่างต้นแบบทางวิทยาศาสตร์ได้จากทะเลแดง ของเยเมน เป็นปลาซึ่งมีลำตัวยาวเรียว ด้านข้างแบน หัวยาวเรียวจะงอยปากยาวแหลมใช้ในการขุดคุ้ยหาอาหาร ปากเล็กอยู่ปลายสุดและสามารถยืดหดได้ ครีบหลังมีฐานยาวและแยกเป็นสองอัน ครีบก้นมีขนาดใกล้เคียงกับครีบหลังอันที่สอง ครีบอกอยู่ใต้ครีบหู ครีบหางตัดตรง เกล็ดเล็กและหยาบสีลำตัวเป็นสีเนื้อหรือสีน้ำตาลอ่อน ขอบครีบหางทั้งบนและล่างมีแถบสีดำ มีความยาวประมาณ 10–30 เซนติเมตร เป็นปลาที่ว่ายน้ำได้ว่องไว อาศัยอยู่เป็นฝูงตามหน้าดินตามชายฝั่งทะเล ที่ซึ่งเป็นพื้นทรายหรือโคลนเลน โดยจะฝังตัวอยู่ในนั้นเหลือนัยน์ตาโผล่ขึ้นมาคอยจ้องจับสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร เช่น กุ้งขนาดเล็ก, โพลีคีทา หรือโคพีพอด รวมถึงครัสเตเชียนชนิดต่าง ๆ พบทั่วไปในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ตั้งแต่ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกจนถึงทะเลแดงหรืออ่าวเปอร์เซีย, เขตทะเลของปากีสถานและอินเดีย, อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์จนถึงออสเตรเลีย ในเขตน่านน้ำของไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ปลาช่อนทรายแก้ว เป็นปลาที่นิยมรับมารับประทานเป็นอาหาร สามารถปรุงได้หลากหลายทั้งทอดกระเทียม, ต้มยำ หรือแกงป่า รวมถึงแปรรูปเป็นอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ในปัจจุบันกรมประมงสามารถเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้เป็นผลสำเร็.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนทรายแก้ว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนทะเล

ปลาช่อนทะเล (Cobia, Black kingfish, Black salmon, Ling, Lemon fish, Crabeater, Aruan tasek) เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rachycentron canadum อยู่ในวงศ์ Rachycentridae อันดับปลากะพง (Perciformes) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์นี้และสกุลนี้ มีความยาวได้เต็มที่ถึง 2 เมตร มีน้ำหนักได้ถึง 68 กิโลกรัม ลำตัวมีรูปร่างยาวและกว้างในช่วงตอนกลางและแคบลงในตอนปลายหาง ส่วนหัวแบน ตามีขนาดเล็ก ขากรรไกรล่างยื่นยาวกว่าขากรรไกรบนเล็กน้อย มีฟันแบบเล็กละเอียดและเรียวขึ้นบนอยู่บนขากรรไกร, ลิ้น และเพดานปาก ลำตัวเรียบ มีเกล็ดเล็กละเอียด มีสีน้ำตาลเข้มแล้วจางเป็นสีขาวบริเวณ ส่วนท้อง ด้านข้างลำตัวมีแถบสีน้ำตาลเข้มเป็นแนวยาว 2 แถบ ซึ่งจะเห็นแถบได้ชัดในช่วงฤดูผสมพันธุ์วางไข่ ครีบหลังอันแรกเป็นหนามแหลมสั้น เรียงแยกกันเป็นอิสระ 6-9 อัน ซึ่งทำให้จัดอยู่ในวงศ์ต่างหาก ในวัยเจริญพันธุ์มีหางแบบเว้าลึก หรือแบบเสี้ยวพระจันทร์ ส่วนของครีบมีสีน้ำตาลเข้ม เป็นปลาที่ไม่มีถุงลมมีลักษณะคล้ายปลาเหาฉลาม (Echeneidae) แต่ไม่มีแผ่นเกาะด้านหลัง มีลำตัวที่แข็งแรง และมีส่วนหางที่พัฒนาดีกว่า โดยส่วนหางพัฒนาจากกลมมนเป็นเว้าลึกในตัวเต็มวัย ในปลาช่วงวัยรุ่นมีแถบสีขาวและดำชัดเจน เป็นมีพฤติกรรมชอบอาศัยอยู่บริเวณผิวน้ำ ชอบอยู่เดี่ยว ๆ ยกเว้นในช่วงผสมพันธุ์จะมารวมกันตามแนวหิน ซากปรักหักพัง ท่าเรือ แนวก่อสร้าง บางครั้งยังอพยพไปปากแม่น้ำและป่าชายเลนเพื่อหาสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ กินเป็นอาหาร วางไข่บริเวณผิวน้ำ โดยเป็นไข่ลอยขนาดเล็ก 0.12 มิลลิเมตร ล่องลอยเป็นอิสระตามกระแสน้ำจนกว่าจะฟักเป็นตัว ลูกปลาวัยอ่อนมีสภาพเหมือนแพลงก์ตอน ซึ่งในช่วงสัปดาห์แรกจะยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องรอจนกว่าตาและปากได้พัฒนาให้สมบูรณ์ขึ้น ในตัวผู้จะสมบูรณ์เพศเมื่ออายุ 2 ปี ส่วนในตัวเมียจะสมบูรณ์เพศเมื่ออายุ 3 ปี มีอายุขัยประมาณ 15 ปี หรือมากกว่านั้น การผสมพันธุ์วางไข่จะรวมกลุ่มบริเวณชายฝั่ง ในช่วงเดือนเมษายน-กันยายน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ พบกระจายพันธุ์ในเขตอบอุ่นและเขตร้อนทั่วโลก เป็นปลาที่นิยมตกกันเป็นเกมกีฬา และเป็นปลาเศรษฐกิจที่นิยมบริโภคกันด้วยมีเนื้อรสชาติอร่อย สามารถปรุงได้ทั้งสดและแปรรูปเป็นปลาแห้ง โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันเป็นปลาที่ทางการโดย กรมประมงสนับสนุนให้ชาวประมงเลี้ยงกันในเชิงพาณิชย์ ซึ่งในต่างประเทศมีการเพาะเลี้ยงกันมาอย่างยาวนานแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนข้าหลวง

ปลาช่อนข้าหลวง หรือ ปลาช่อนทอง (Emperor snakehead) เป็นปลาช่อนชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa marulioides อยู่ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) มีลักษณะคล้ายปลาช่อนงูเห่า (C. aurolineatus หรือ C. marulius) แต่ลำตัวสั้นป้อมกว่า ลำตัวสีเขียวอ่อน และมีลายสีเหลืองทองส้มสลับกับแต้มสีดำ ครีบมีจุดประสีเหลืองสด ท้องสีจาง ขนาดโตเต็มที่มีความยาวประมาณ 90 เซนติเมตร ในประเทศไทยพบเฉพาะภาคใต้เท่านั้น โดยเป็นปลาที่พบได้น้อยบริเวณเขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพบชุกชุมที่มาเลเซีย พบได้จนถึงอินโดนีเซีย เช่น เกาะสุมาตรา และเกาะบอร์เนียว มักอาศัยตามแม่น้ำสายใหญ่หรือลำธารขนาดใหญ่ในป่าหรือพรรณไม้ชายฝั่งหนาแน่น โดยจะหลบอยู่ใต้ร่มเงาของไม้นั้น เป็นปลาที่พบได้ไม่ยาก แต่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามมากกว่าจะนำมาบริโภค และมีราคาขายที่ค่อนข้างสูง โดยปลาที่พบที่เขื่อนรัชชประภาของไทยจะมีสีเหลืองสดสวยกว่าปลาที่พบในมาเลเซีย นอกจากนี้แล้วปลาที่พบในอินโดนีเซียบางแหล่ง ยังมีสีดำสนิทเหลือบสีฟ้า ซึ่งปลาจำพวกนี้บางครั้งพบว่าใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa melanoptera (Bleeker, 1855) ซึ่งเป็นปลาช่อนข้าหลวงที่มีครีบหลังสีดำ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าเป็นชื่อพ้องกัน เนื่องจากปลาที่พบในแต่ละแหล่งสามารถปรับสีลำตัวได้ตามสภาพอารมณ์หรือสภาพแวดล้อม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนข้าหลวง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนดำ

ปลาช่อนดำ (Black snakehead, Manu) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa melasoma อยู่ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) มีรูปร่างเหมือนปลาช่อน (C. striata) แต่ลำตัวผอมเพรียวกว่า หัวโต ตาสีดำ ตามตัวไม่มีลวดลาย สีลำตัวสีเขียวอมม่วง ครีบท้อง ครีบหาง และครีบหลังมีสีคล้ำมีขลิบขาวที่ครีบท้อง ขนาดโตเต็มที่ได้ 30 เซนติเมตร กินปลาขนาดเล็ก ลูกกุ้ง และสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ต่าง ๆ ในประเทศไทยพบได้เฉพาะป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส และแม่น้ำโกลก ในต่างประเทศพบได้ตั้งแต่มาเลเซีย, สิงคโปร์ไปจนถึงอินโดนีเซีย ปลาช่อนดำมีชื่อเรียกเฉพาะในแวดวงปลาสวยงามว่า "ปลาช่อนเจ้าฟ้า" และมีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า "พังกับ" แต่การเลี้ยงเป็นปลาสวยงามกลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เนื่องจากไม่มีความสวยงาม และเลี้ยงค่อนข้างยากเนื่องจากปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมไม่ค่อยได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนงูเห่า

ปลาช่อนงูเห่าในสวนสัตว์พาต้า ปลาช่อนงูเห่า หรือ ปลาช่อนดอกจันทน์ (Great snakehead) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) ไม่จัดว่าเป็นปลาเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นปลาหายาก พบไม่บ่อยนักในธรรมชาติ มีลักษณะลำตัวค่อนข้างกลมยาว หัวมีขนาดเล็กกว่าปลาช่อนชนิดอื่น ๆ สีลำตัวจะเปลี่ยนไปตามวัยและสภาพแวดล้อม ปกติพื้นลำตัวจะเป็นสีคล้ำเช่น น้ำตาลแกมเขียว หรือสีดำ เมื่อยังเป็นลูกปลาจะมีแถบสีส้มคาดตามความยาวจากหัวจรดโคนหาง โดยบริเวณโคนหางจะมีจุดสีดำล้อมรอบด้วยวงสีส้มสด แลดูคล้ายเครื่องหมายดอกจันทน์ เมื่อปลาเริ่มโตขึ้นจะมีแถบดำราว 5-6 แถบคาดขวางลำตัวส่วนที่อยู่ค่อนไปทางท้าย ใต้ท้องสีจาง ลำตัวด้านท้าย ครีบหลัง หาง และครีบท้องจะมีจุดสีตะกั่วเหลือบแวววาวกระจายอยู่ทั่ว ปลาช่อนชนิดนี้ มีขนาดโตเต็มที่ราว 40-90 เซนติเมตร แต่ก็มีบางรายงานพบว่ายาวได้ถึง 183 เซนติเมตร น้ำหนักถึง 30 กิโลกรัม มีรูปร่างเรียวยาวกว่าปลาช่อนชนิดอื่น ๆ ประกอบกับส่วนหัวที่เล็ก ทำให้แลดูคล้ายงูเห่า จึงเป็นที่มาของชื่อ "ปลาช่อนงูเห่า" เมื่อชาวบ้านจับปลาชนิดนี้ได้ บางคนไม่กล้ากินเนื่องจากเชื่อว่าเป็นปลาช่อนผสมงูเห่า มีพิษร้ายแรงกว่างูเห่าทั่วไป แต่ความเป็นจริงแล้ว ปลาช่อนงูเห่าไม่ได้มีพิษแต่อย่างใด มีการกระจายพันธุ์ในไทย, พม่า, กัมพูชา, มาเลเซีย โดยพฤติกรรมมักอยู่อาศัยตามแม่น้ำชายฝั่งที่มีพืชน้ำและพรรณไม้ขึ้นชายฝั่งมีเงาร่ม อาหารได้แก่ ปลา, กุ้ง, สัตว์น้ำขนาดเล็กและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำขนาดเล็ก เช่น กบ, เขียด รวมถึงแมลงชนิดต่าง ๆ ด้วย อุปนิสัยเป็นปลาที่ค่อนข้างดุร้ายก้าวร้าว โดยมักจะกบดานตัวนิ่ง ๆ กับพื้นท้องน้ำหรือไม่ก็ลอยตัวอยู่ปริมน้ำ เมื่อพบอาหารจะพุ่งฉกด้วยความเร็วและดุดัน ปลาช่อนงูเห่า นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามที่มีขายในตลาดปลาสวยงามเป็นบางครั้ง มีชื่อเรียกในภาษาถิ่นต่าง ๆ เช่น "หลิมหางกวั๊ก" ที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน "ก๊วน" ในภาษาเหนือและภาษาอีสาน "ล่อน", "กะล่อน" หรือ "อ้ายล่อน" ในภาษาใต้ เป็นต้น อนึ่ง ปลาช่อนงูเห่า ยังไม่มีชื่อวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องแน่นอน โดยมากจะใช้ชื่อว่า Channa marulius อันเป็นชื่อเดียวกับปลาช่อนงูเห่าอินเดีย แต่ในทัศนะของนักมีนวิทยาที่ทำการศึกษาเรื่องปลาช่อน เห็นว่า ควรใช้ Channa aurolineatus (Day, 1870) หรือ Channa aff.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนงูเห่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนงูเห่าอินเดีย

ปลาช่อนงูเห่าอินเดีย (Great snakehead, Bullseye snakehead) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa marulius ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) มีรูปร่างเพรียวยาวคล้ายกับปลาช่อนงูเห่า (C. aurolineatus) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ปลาช่อนงูเห่าอินเดียมีรูปร่างที่อ้วนป้อมกว่า สีของลำตัวก็เข้มกว่า โดยจะออกไปทางสีน้ำตาลแดง มีจุดสีดำขนาดใหญ่เรียงตัวกันประมาณ 5 จุึด ข้างลำตัว และมีจุดประสีขาวมากกว่า ส่วนท้องมีสีขาว และมีอุปนิสัยดุร้ายก้าวร้าวน้อยกว่า มีถิ่นกำเนิดในอนุทวีปอินเดียและปัจจุบันเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นแถบรัฐฟลอริดาของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากถูกนำเข้าไปเป็นปลาสำหรับเกมกีฬาตกปลา มีการขยายพันธุ์ด้วยการทำรังวางไข่ โดยพ่อแม่ปลาดูแลลูกปลาด้วยความดุร้าย ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 183 เซนติเมตร นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม นอกจากนี้แล้วปลาช่อนงูเห่าอินเดียที่พบในประเทศศรีลังกา อาจแบ่งออกได้เป็นชนิดย่อยว่า C. m. ara (Deraniyagala, 1945).

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนงูเห่าอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนแอฟริกา (สกุล)

ปลาช่อนแอฟริกา (African snakeheads) เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Parachanna (/พา-รา-ชาน-นา/) มีรูปร่างคล้ายคลึงกับปลาในสกุล Channa ที่พบในทวีปเอเชีย แต่ทว่าปลาในสกุลนี้จะมีขนาดลำตัวที่เล็กกว่า มีส่วนหัวที่เล็กและแบน และมีลายที่ลำตัวคล้ายลายไม้แบบเดียวกับ ปลากระสง (C. lucius) ที่อยู่ในสกุล Channa พบทั้งหมด 3 ชนิด โดยพบในตอนกลางและตอนตะวันตกของทวีปแอฟริกา ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนแอฟริกา (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนแอนดริว

ปลาช่อนแอนดริว หรือ ปลาช่อนบลูอัสสัม ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) เป็นปลาช่อนขนาดเล็กอีกชนิดหนึ่ง มีความยาวเต็มที่ประมาณ 15-20 เซนติเมตร โดยพบแพร่กระจายพันธุ์เพียงเฉพาะบึงเลฟรากูรี่ ในเมืองจัลไพกูรี่ รัฐเบงกอลตะวันตก ประเทศอินเดีย เท่านั้น โดยในอดีต ปลาช่อนแอนดริวมักจะถูกพบปะปนไปกับปลาช่อนเจ็ดสี (C. bleheri) ในฐานะของปลาสวยงามเสมอ ๆ จึงเคยได้ชื่อว่า "ปลาช่อนบลูเบลเฮอรี่" และได้ชื่อวิทยาศาสตร์อย่างไม่เป็นทางการต่าง ๆ เช่น C. sp.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนแอนดริว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนเชล

ปลาช่อนเชล หรือ ปลาช่อนบอร์นา หรือ ปลาช่อนแอมฟิเบียส (Chel snakehead, Borna snakehead) เป็นปลาช่อนชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) เป็นปลาที่อาศัยอยู่เฉพาะในแม่น้ำเชล ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำพรหมบุตร ใกล้กับเชิงเทือกเขาหิมาลัยในภูฏานและปากีสถาน ซึ่งจะอาศัยอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิค่อนข้างอุ่น ประมาณ 22-28 องศาเซลเซียส โดยคำว่า amphibeus ที่ใช้เป็นชื่อวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า มาจากพฤติกรรมการขึ้นเหนือน้ำและจับแมลงกินตามพื้นดินคล้ายสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ นับเป็นปลาช่อนขนาดกลางที่มีความสวยงามอีกชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับ C. barca และ C. aurantimaculata ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน มีสีสันที่ใกล้เคียงกัน แต่ว่ามีจำนวนก้านครีบหลัง 50 ก้าน ก้านครีบก้น 35 ครีบ มีเกล็ดข้างลำตัวมากถึง 81 เกล็ด นับว่ามากกว่าชนิดอื่น ๆ ขนาดโตเต็มที่มีความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร ซึ่งนับว่าเล็กกว่า 2 ชนิดข้างต้น เป็นปลาช่อนที่หาได้ยากมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก โดยมีการระบุทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกจาก จอห์น แมคคลีแลนด์ แพทย์ชาวอังกฤษ ด้วยการวาดภาพ และมีการเปลี่ยนสถานะหลายครั้ง จนกระทั่งในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนเชล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนเหนือ

ปลาช่อนเหนือ หรือ ปลาช่อนอากัส หรือ ปลาช่อนจีนลายจุด (Northern snakehead, Amur snakhead, Eastern snakehead) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) เป็นปลาช่อนชนิดหนึ่ง ที่พบกระจายพันธุ์ในซีกโลกทางเหนือและเอเชียตะวันออก ในที่ ๆ มีอุณหภูมิหนาวเย็น เช่น รัสเซีย, คาบสมุทรเกาหลี และจีน มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 90 เซนติเมตร เป็นปลาทีมีอุปนิสัยดุร้าย กินอาหารไม่เลือก ปรับตัวให้เข้ากับถิ่นที่อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี แพร่ขยายพันธุ์ด้วยการทำรังวางไข่ครั้งละมากกว่า 15,000 ฟอง โดยที่ปลาทั้งคู่จะช่วยกันดูแลลูกปลาด้วยตนเอง เป็นปลาที่นิยมรับประทานกันในร้านอาหาร หรือภัตตาคารทั่วไปในจีน, ไต้หวัน และฮ่องกง ในวัฒนธรรมเกาหลี ปลาช่อนเหนือมีชื่อเรียกในภาษาเกาหลีว่า "คามุลฉิ" (가물치; Gamulchi) ใช้เป็นอาหารยอดนิยมเพื่อสุขภาพ และเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว ปลาช่อนเหนือมีราคาซื้อขายที่ถูก และถูกนำไปแพร่กระจายพันธุ์จนเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในฐานะชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในหลายพื้นที่ ไม่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ยกเว้นในตัวที่มีสีขาวเงางามทั้งตัวเหมือนพลาตินัม ที่พบในมณฑลเสฉวน ซึ่งมีราคาซื้อขายที่แพง ปลาช่อนเหนือในลำธาร นอกจากนี้แล้ว ปลาช่อนเหนือยังมีปลาช่อนอีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกันคือ ปลาช่อนมาคูลาต้า (C. maculata) ซึ่งมีขนาดลำตัวสั้นกว่า และป้อมสั้นกว่า จุดแต้มบนลำตัวมีขนาดเล็กกว่า และกระจายไม่เป็นระเบี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนเหนือ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนเอเชีย

ปลาช่อนเอเชีย (Asiatic snakehead) สกุลปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) ปลาในสกุลนี้ มีรูปร่างโดยรวมคือ รูปร่างเรียวทรงกระบอก ส่วนหัวโตจะงอยปากยื่น ปากกว้าง ตาโต มีฟันเป็นเขี้ยวบนขากรรไกร หัวด้านบนราบ ถ้าดูจากตอนบนจะโค้งมนคล้ายงู ลำตัวค่อนข้างกลม ครีบหลังและครีบก้นยาว ครีบหางปลายมน ครีบอกใหญ่ ครีบท้องเล็ก เกล็ดใหญ่มีขอบเรียบ มีอวัยวะช่วยหายใจเป็นหลืบเนื้อสีแดงอยู่ในคอหอย เรียกว่า "Suprabranchia" จึงสามารถอยู่ในแหล่งน้ำที่มีออกซิเจนต่ำได้ ลำตัวมีลวดลายและสีสันแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิด ใช้ชื่อสกุลว่า Channa (/ชาน-นา/) ลักษณะสำคัญของสกุลนี้ คือ หัวและแก้มปกคลุมด้วยเกล็ด ฐานครีบหลังยาวกว่าฐานครีบก้น หัวกว้างและแบน ปากกว้าง มุมปากยาวเลยหลังตา นัยน์ตาอยู่ค่อยมาทางปลายจะงอยปาก แพร่กระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย พบได้ในภูมิภาคเอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงเอเชียตะวันออก มีขนาดรูปร่างแตกต่างกันอย่างมากตามแต่ละชนิด โดยพบมีความยาวตั้งแต่ 1.5 เมตร เช่น C. micropeltes หรือ C. aurolineatus ไปจนถึงไม่ถึงหนึ่งฟุต คือ ปลาช่อนแคร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนเอเชีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนเอเชียติกา

ปลาช่อนเอเชียติกา หรือ ปลาช่อนสีจีนใต้ (Small snakehead, Chinese snakehead) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) เป็นปลาช่อนอีกชนิดหนึ่งที่มีความสวยงามมาก พบกระจายพันธุ์ในแถบตอนกลางและตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี และแม่น้ำสวิ๋น ในมณฑลกวางสี และกวางตุ้ง ในประเทศจีน และยังพบในเกาะไหหลำไปจนถึงแม่น้ำแดงในประเทศเวียดนาม และยังมีรายงานพบในประเทศเวียดนาม และศรีลังกาอีกด้วย มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 35 เซนติเมตร เป็นปลาช่อนอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในฐานะของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งเป็นปลาที่มีราคาแพงมาก โดยเฉพาะในปลาที่มีความหลากหลายทางสีสันที่มีจุดสีแดงขนาดใหญ่ ที่ใช้ชื่อว่า "Red Spot" ที่พบในหมู่เกาะซะคิชิมะ จังหวัดโอะกินะวะ ประเทศญี่ปุ่น (ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเป็นชนิดใหม่) มีราคาซื้อขายแพงมากเป็นรองก็เพียงแค่ปลาช่อนบาร์กา (C. barca) เท่านั้น สำหรับในประเทศไทยเป็นปลาที่ไม่ค่อยมีการนำเข้ามาจำหน่ายมากนัก แต่การเลี้ยงในตู้เลี้ยงสามารถกระทำได้ไม่ยาก เนื่องจากเป็นปลาที่สามารถปรับตัวให้เข้าที่สภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี กินอาหารได้อย่างหลากหลาย แต่มีอุปนิสัยดุ ควรแก่การเลี้ยงลำพังเพียงตัวเดียว สามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้ โดยไข่เป็นการวางไข่แบบลอยน้ำ ตัวผู้มีการอมไข่เป็นบางครั้ง ปลาทั้งพ่อและแม่มีการดูแลเลี้ยงดูลูกปลาเป็นอย่างดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนเอเชียติกา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนเจ็ดสี

ปลาช่อนเจ็ดสี หรือ ปลาช่อนสายรุ้ง (Rainbow snakehead) เป็นปลาช่อนชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa bleheri (โดยคำว่า bleheri เป็นชื่อที่ตั้งเพื่อให้เกียรติแก่ ไฮโค เบลียร์ นักสำรวจปลาชาวเยอรมัน) ในวงศ์ปลาช่อน (Channide) จัดเป็นปลาช่อนขนาดเล็กเช่นเดียวกับปลาก้าง (C. limbata) และปลาก้างอินเดีย (C. gachua) คือ ขนาดเมื่อโตเต็มที่มีขนาดไม่เกิน 20 เซนติเมตร แต่ได้ชื่อว่าเป็นปลาช่อนขนาดเล็กที่มีสีสันสวยงามมาก โดยมีหลากหลายสีในตัวเดียวกัน ทั้ง ขาว, น้ำเงิน, แดง, ส้ม สลับกันไปบนพื้นลำตัวสีน้ำตาล อีกทั้งครีบต่าง ๆ โดยเฉพาะครีบหูก็มีลวดลายเป็นริ้ว ๆ สีดำอีกด้วย เป็นปลาที่พบได้เฉพาะลุ่มแม่น้ำพรหมบุตรในรัฐอัสสัมและรัฐอรุณาจัลประเทศ ประเทศอินเดียเท่านั้น โดยมีชื่อเรียกในภาษาอัสสัมว่า Sengeli นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเช่นเดียวกับปลาช่อนสวยงามทั่วไป โดยสามารถเลี้ยงรวมกับปลาช่อนสวยงามขนาดเล็กชนิดอื่น ๆ ได้ เนื่องด้วยปลาในกลุ่มนี้จัดว่ามีอุปนิสัยไม่ดุร้ายก้าวร้าว อีกทั้งยังมีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยพฤติกรรมในธรรมชาติ ปลาช่อนกลุ่มนี้จะอาศัยอยู่ในสภาพที่มีอุณหภูมิหลากหลายเปลี่ยนแปลงต่างขั้วกันในรอบปี ตั้งแต่ฤดูที่มีฝนตกหนัก ฤดูร้อนที่อุณหภูมิร้อนจัด ไปจนถึงฤดูหนาวที่มีการละลายของหิมะจากเทือกเขาสูงตามแนวเทือกเขาหิมาลัย จึงมีพฤติกรรมขุดโพรงลึกตามรากไม้เพื่อจำศีลเข้าสู่ฤดูที่เหมาะสมต่อการหากินและแพร่ขยายพันธุ์ต่อไป หน้า 103, CHANNA CRAZY คนคลั่งช่อน, "Wild Ambition" โดย ชวิน ตันพิทยคุปต์ และชัยพัทธ์ งามบุษบงโสภิน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนเจ็ดสี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนเข็ม

ปลาช่อนเข็ม (Giant pikehead) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Luciocephalus pilcher ในวงศ์ Osphronemidae มีรูปร่างคล้ายปลาช่อนผสมกับปลาเข็ม กล่าวคือ มีส่วนหัวและปากแหลมยาว มีลำตัวสีน้ำตาลเข้มและน้ำตาลเขียว หลังสีจางกว่า กลางลำตัวมีแถบดำใหญ่ขอบสีพางพาดยาวและมีแถบสีจางพาดบริเวณด้านหลัง โคนครีบหางมีจุดสีดำขอบสีขาว ท้องสีจาง ครีบหลังสีดำ ครีบหางมีลายประสีคล้ำ ครีบล่างใสโปร่งแสง มีขนาดความยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร โดยจะหากินบริเวณผิวน้ำ โดยอาหารได้แก่ แมลงน้ำขนาดเล็กและสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นปลาที่พบได้เฉพาะในป่าพรุตั้งแต่ภาคใต้ตอนล่างของไทย ไปจนถึงแหลมมลายู เป็นปลาที่พบได้ไม่บ่อยนัก นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ทว่าเลี้ยงให้รอดได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากมักจะปรับตัวไม่ได้ เพราะเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำที่มีสภาพเป็นความกรด (pH) ต่ำมาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนเข็ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาช่อนเข็ม (สกุล)

ปลาช่อนเข็ม (Pikehead fish) ชื่อสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ Luciocephalinae ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae ใช้ชื่อสกุลว่า Luciocephalus (/ลิว-ซิ-โอ-เซฟ-อา-ลัส/) มีรูปร่างแตกต่างไปจากปลาชนิดอื่นในวงศ์นี้อย่างเห็นได้ชัด โดยกลับมีรูปร่างคล้ายปลาช่อน แต่หัวและปากยื่นยาวแหลมเหมือนปลาเข็ม ลำตัวมีสีน้ำตาลไหม้หรือน้ำตาลเขียว ด้านหลังสีจางกว่า และมีแถบสีดำพาดยาวทางความยาวลำตัวอย่างเห็นได้ชัด ครีบทุกครีบบางใส และไม่มีถุงลม มีขนาดลำตัวตั้งแต่ 20 เซนติเมตร จนถึง 10 เซนติเมตร เป็นปลาที่หากินอยู่ตามผิวน้ำของพรุตั้งแต่ภาคใต้ตอนล่างของไทยไปจนถึงเกาะบอร์เนียว ในอินโดนีเซีย วางไข่โดยตัวผู้จะอมไว้ในปาก และเลี้ยงจนลูกปลาได้ขนาด 1 เซนติเมตร จึงปล่อยออกมา ขณะที่ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ มีอยู่ 2 ชนิดเท่านั้น คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาช่อนเข็ม (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบ้า

ปลาบ้า ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ มีรูปร่างยาว ลำตัวค่อนข้างกลม หัวโต นัยน์ตาค่อนข้างโต ปากกว้างมีหนวดขนาดเล็ก 2 คู่ เกล็ดมีขนาดใหญ่ ลำตัวมีสีน้ำตาลอมเหลือง ส่วนของหลังสีดำปนเทา ท้องสีขาวจาง ครีบหางสีแดงสดหรือชมพู ครีบอื่นสีแดงจาง ๆ มีขนาดความยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 80 เซนติเมตร อาหารได้แก่ เมล็ดพืช, แมลง และสัตว์น้ำขนาดเล็ก ปลาบ้าอาศัยอยู่ตามแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ทั่วประเทศ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำท่าจีน, แม่น้ำโขง, แม่น้ำน่าน, แม่น้ำมูล รวมถึงลำธารในป่าดงดิบ มักอยู่รวมเป็นฝูง โดยปลาชนิดนี้จะกินลูกลำโพงหรือลูกกระเบาเข้าไป แล้วสะสมพิษในร่างกาย เมื่อมีผู้นำไปกินจึงมีอาการมึนเมา อันเป็นที่มาของชื่อ จึงไม่เป็นที่นิยมรับประทานมากนัก แต่ที่มาเลเซียนิยมรับประทานมาก จนได้ชื่อว่า "ปลาสุลต่าน" มีฤดูวางไข่ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 15-18 ชั่วโมง ปลาบ้ายังมีชื่อเรียกที่ต่างออกไป เช่น "ปลาอ้ายบ้า", "ปลาพวง" ในภาษาอีสานเรียกว่า "ปลาโพง" นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย โดยมีชื่อเรียกเฉพาะในแวดวงว่า "ปลาแซมบ้า".

ใหม่!!: สัตว์และปลาบ้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาบ้า (สกุล)

ปลาบ้า (Leptobarbus) เป็นสกุลปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะที่สำคัญทางอนุกรมวิธาน คือ มีหัวกว้าง มีหนวดยาว 2 คู่ ปากค่อนข้างกว้าง มุมปากอยู่หน้านัยน์ตา เกล็ดมีขนาดปานกลาง เส้นข้างลำตัวอยู่ต่ำกว่าแนวกลางลำตัว ไปสิ้นสุดลงที่ส่วนล่างของโคนหาง ครีบหลังมีก้านครีบแขนง 7 ก้าน และที่ครีบก้นมีก้านครีบแขนง 5 ก้าน เป็นปลาที่กินพืช โดยเฉพาะเมล็ดพืชเป็นอาหาร สกุลปลาบ้ามีทั้งหมด 4 ชนิด พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศไทย ไปจนถึงเกาะบอร์เนียว และเกาะสุมาตรา นับเป็นปลาจำพวกปลาซิวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ สำหรับในประเทศไทยพบเพียงแค่ชนิดเดียว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาบ้า (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฟันสุนัข

ปลาฟันสุนัข (Dogtooth characin) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Hydrolycus (/ไฮ-โดร-ไล-คัส/) ในวงศ์ปลาฟันสุนัข (Cynodontidae) โดยคำว่า Hydrolycus มาจากภาษากรีกคำว่า Hydro (ὕδωρ) หมายถึง "น้ำ" และ lycus (Λύκος) หมายถึง "สุนัข" หรือ "หมาป่า" อันอธิบายถึงลักษณะฟันของปลาในสกุลนี้ เป็นปลากินเนื้อ มีส่วนหัวใหญ่ ปากกว้าง ภายในปากเต็มไปด้วยฟันแหลมคมที่เมื่อหลุดหรือหักไปแล้วสามารถงอกใหม่ทดแทนได้ พบกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟันหน้าคู่ล่างที่แหลมคมและยาวกว่าซี่อื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด ใช้สำหรับกัดถุงลมของปลาตัวอื่นที่เป็นเหยื่อ เพื่อให้เหยื่อนั้นว่ายน้ำทรงตัวไม่ได้และลอยตัวขึ้นเหนือน้ำ จากนั้นจึงตามไปจัดการ และจากเขี้ยวที่ยาวนั้นขากรรไกรบนจึงมีร่องพิเศษใช้สำหรับเก็บเขี้ยวคู่นี้ แบ่งออกได้เป็น 4 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฟันสุนัข · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฟิงเกอร์

ปลาฟิงเกอร์ หรือ ปลาเฉี่ยวแอฟริกา (African moony, Mono sebae) เป็นปลาชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาเฉี่ยว (Monodactylidae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Monodactylus sebae มีรูปร่างคล้ายกับปลาเฉี่ยวหินหรือปลาผีเสื้อเงิน (M. argenteus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันคือ ปลาฟิงเกอร์จะไม่มีความแวววาวของเกล็ดเท่า และไม่มีเหลือบสีเหลืองสดที่ครีบหลังและครีบท้องเหมือนปลาเฉี่ยวหิน และมีลายแถบสีดำอีกแถบบริเวณก่อนถึงโคนครีบหาง และมีลักษณะเด่นคือ ครีบท้องในปลาที่โตเต็มที่แล้วจะยาวย้วยห้อยลงมาใต้ท้องดูเหมือนนิ้วมือของมนุษย์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรียก "ฟิงเกอร์" มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร ซึ่งนับว่าใหญ่กว่าปลาเฉี่ยวหิน แพร่กระจายพันธุ์อยู่บริเวณปากแม่น้ำและป่าโกงกางของชายฝั่งทวีปแอฟริกาแถบตะวันออก ตั้งแต่หมู่เกาะคะเนรีจนถึงอังโกลา นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม นิสัยก้าวร้าวและว่ายน้ำได้เร็วมาก จึงไม่เหมาะสมกับการเลี้ยงรวมกับปลาที่ว่ายน้ำช้ากว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฟิงเกอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาพรม

ปลาพรม หรือ ปลาพรมหัวเหม็น (Greater bony-lipped barb) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุลปลาสร้อยนกเขา มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 60 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยทั่วไป คือ 40 เซนติเมตร มีลำตัวกว้างและแบนข้าง หลังโค้ง ท่อนหางสั้น เกล็ดมีขนาดเล็ก ลำตัวมีเทาปนเงิน ลำตัวตอนเหนือครีบอกมีลายสีดำจาง ๆ ขวางลำตัวเป็นลักษณะเด่น นัยน์ตาเป็นสีแดง พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น แม่น้ำ, คลอง หรืออ่างเก็บน้ำ ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค เป็นปลาที่หากินรวมกันเป็นฝูง ใช้ปากแทะตะไคร่น้ำตามโขดหินหรือตอไม้ใต้น้ำเป็นอาหารหลัก รวมทั้งกินสัตว์น้ำขนาดเล็ก เช่น กุ้งหรือแมลง เป็นอาหารด้วย โดย ฮิวจ์ แมคคอร์มิค สมิธ นักมีนวิทยาชาวอเมริกันได้บันทึกไว้ว่า การตกปลาชนิดนี้ใช้เบ็ดเกี่ยวที่เป็นข้าวสุกปั้นเป็นก้อนกลม หรือใช้กุ้ง หรือแมลงตกในแม่น้ำเจ้าพระยา เหตุที่ได้ชื่อว่า "พรมหัวเหม็น" เนื่องจากเนื้อมีกลิ่นเหม็นคาวเหม็นเขียว โดยเฉพาะส่วนหัว แต่กระนั้นก็ตามส่วนเนื้อลำตัวก็ยังใช้ประกอบอาหารได้ดีทั้งอาหารสดและทำเป็นปลาแห้ง นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาพรม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาพริสเทลล่า

ปลาพริสเทลล่า (X-ray tetra, Pristella tetra, X-ray fish) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาคาราซิน (Characidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Pristella มีลักษณะลำตัวสีน้ำตาลอ่อน ปลายครีบทุกครีบ ยกเว้นครีบอกมีสีดำ มีลักษณะเด่น คือ เป็นปลาที่มีตำตัวโปร่งแสง จนสามารถทองทะลุไปเห็นถึงอวัยวะภายในได้ มีขนาดโตเต็มที่ 4 เซนติเมตร อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงในทวีปอเมริกาใต้ แถบประเทศเวเนซุเอลา, กายอานา, ซูรินาม, เฟรนช์เกียนา และตอนเหนือของบราซิล โดยเฉพาะในแหล่งน้ำที่มีค่าความเป็นกรดด่างต่ำกว่าความเป็นกลาง (-7 pH) เป็นปลาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ปัจจุบันมีการเพาะขยายพันธุ์ได้ในที่เลี้ยง โดยมีการพัฒนาสายพันธุ์ให้สีลำตัวให้แปลกไปจากธรรมชาติ เช่น สีขาวทอง แต่ก็ยังคงความโปร่งแสงอยู.

ใหม่!!: สัตว์และปลาพริสเทลล่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาพลวง (สกุล)

ปลาพลวง เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดกลางที่ค่อนข้างไปทางใหญ่สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Neolissochilus (/นี-โอ-ลิส-โซ-คิล-อัส) ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) สกุลนี้ถูกแยกออกจากสกุลปลาเวียน (Tor spp.) ในปี ค.ศ. 1985 โดยวอลเตอร์ เรนโบธ นักมีนวิทยาชาวอเมริกัน โดยมีลักษณะที่สำคัญทางอนุกรมวิธานคือ ลำตัวยาวแบนข้าง จะงอยปากสั้นและทู่ ปากมีขนาดปานกลางยืดหดได้ ริมปากบนค่อนข้างหนา ริมฝีปากล่างบาง ส่วนกลางปากล่างเชื่อมติดกับเอ็นคาง ด้านข้างมีร่องคั่นระหว่างริมปากบนขากรรไกร เกล็ดมีขนาดใหญ่ ตามแนวเส้นข้างลำตัวมีเกล็ด 24–29 แถว รอดคอดหางมีเกล็ด 12 แถว มีหนวด 2 คู่ มีตุ่มแบบเม็ดสิวทั้งสองข้างของจะงอยปาก ในตัวผู้ ก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายของครีบหลังมีขอบเรียบ มีก้านครีบแขนง 9 ก้าน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาพลวง (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาพลวงชมพู

ปลาพลวงชมพู (Khela mahseer, Semah mahseer, River carp) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาเวียน (T. tambroides) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน แต่ลำตัวเพรียวและเป็นทรงกระบอกมากกว่า ส่วนหัวค่อนข้างมน ริมฝีปากหนา ปากกว้างเล็กน้อย ใต้คางมีติ่งเนื้อสั้น ๆ มีหนวด 2 คู่เห็นชัดเจน ตาอยู่ค่อนไปทางด้านบนหัว เกล็ดมีขนาดใหญ่ ครีบหลังมีก้านแข็ง 1 อัน ครีบหางเว้าลึก ครีบก้นสั้น ลำตัวด้านบนมีสีคล้ำอมน้ำตาล ด้านข้างลำตัวสีเงินเหลือบชมพูหรือทอง ครีบสีคล้ำ ด้านท้องสีขาว มีขนาดความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร ใหญ่สุดที่พบ 35 เซนติเมตร ในประเทศไทยพบเฉพาะภาคใต้ตอนล่าง ตั้งแต่แม่น้ำตาปีไปจนถึงมาเลเซีย โดยอาศัยอยู่ในลำธารหรือแม่น้ำที่มีฝั่งเป็นป่าร่มครึ้มรวมถึงบริเวณน้ำตก พบมากโดยเฉพาะในน้ำตกฮาลา-บาลา ภายในอุทยานแห่งชาติฮาลา-บาลา จังหวัดยะลา เป็นปลาที่มีรสชาติดี เป็นที่ขึ้นชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดยะลา มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 2,000 บาท และในฮ่องกงอาจมีราคาสูงถึง 5,000 บาท นับเป็นปลาที่มีราคาแพงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งยังจัดว่าเป็นปลาตระกูลปลาพลวงหรือปลาเวียนเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่รับประทานทั้งเกล็ดได้หน้า 7, ปลาพลวงชมพู เลี้ยงได้...กิโลละ 2 พัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาพลวงชมพู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาพลวงหิน

ปลาพลวงหิน หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ปลาพลวง (Mahseer barb) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) จัดเป็นปลาในวงศ์ปลาตะเพียนที่มีขนาดใหญ่ ลำตัวยาว ด้านข้างแบน มีเกล็ดขนาดใหญ่ หัวเล็ก มีหนวด 2 คู่ อยู่ปากบนและมุมปาก ครีบหางเว้าเป็นแฉกลึก กระโดงหลังค่อนข้างสูงมีก้านแข็ง 1 อัน ครีบหูมีขนาดเล็ก ครีบท้องและครีบก้นมีขนาดใกล้เคียงกัน ลำตัวมีสีน้ำตาล ปนเขียว สีของปลาชนิดนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม บางแหล่งอาจจะมีสีน้ำตาลปนดำเข้ม มีแถบสีคล้ำพาดกลางลำตัวตามยาวไปใกล้โคนหาง ด้านท้องสีจาง ขนาดโดยประมาณ 60 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 1.5 เมตร อาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่นับ 100 ตัวขึ้นไป ตามแม่น้ำขนาดใหญ่ที่มีน้ำใสสะอาด เช่น บริเวณแหล่งน้ำเชิงภูเขา หรือตามลำธารน้ำตกต่าง ๆ ทั่วประเทศ อาหารได้แก่ เมล็ดพืชต่าง ๆ เป็นปลาใหญ่ที่มักไม่มีใครนำมารับประทาน เนื่องจากทานไปแล้วเกิดอาการมึนเมา จึงเชื่อว่าเป็นปลาเจ้า แต่ความจริงแล้ว ปลาชนิดนี้ได้สะสมพิษจากเมล็ดพืชที่รับประทานเข้าไปในร่างกาย เช่นเดียวกับกรณีของปลาบ้า (Leptobarbus hoevenii) มีการรวบรวมลูกปลาจากธรรมชาติเพื่อขายส่งเป็นปลาสวยงาม รูปวาด ปลาพลวงหิน มีชื่อเรียกต่างออกไปตามภาษาถิ่นเช่น ภาคเหนือเรียก "ปลาพุง" หรือ "ปลามุง" บางพื้นที่เรียกว่า "ปลาจาด", "ปลายาด" หรือ "ปลาโพ" เป็นต้น และมีชื่อเป็นภาษากะเหรี่ยงว่า "หญาเปอลา" ในประเทศไทยสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถพบปลาพลวงได้เป็นจำนวนมาก ได้แก่ น้ำตกตาดหลวง จังหวัดน่าน, น้ำตกพลิ้ว และ น้ำตกลำนารายณ์ จังหวัดจันทบุรี, อุทยานถ้ำปลาและอุทยานถ้ำธารลอด จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาพลวงหิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาพลวงถ้ำ

ปลาพลวงถ้ำ ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Neolissochilus subterraneus อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาพลวง (N. stracheyi) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่หัวโตกว่า หลังค่อนข้างค่อมโค้ง ตาเล็กและมีหนังบาง ๆ คลุม เกล็ดมีขนาดใหญ่และบางมีสีขาวซีดอมชมพู ปลาขนาดเล็กมีตาโตและลำตัวสีเงินจาง มีขนาดความยาวประมาณ 15–30 เซนติเมตร อาจถือได้ว่าเป็นปลาถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ปลาพลวงถ้ำ เป็นปลาชนิดใหม่ที่เพิ่งค้นพบเมื่อ..

ใหม่!!: สัตว์และปลาพลวงถ้ำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาพลวงทอง

ปลาพลวงทอง (Golden mahseer, Gold soro brook carp) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในกลุ่มปลามาห์เซียร์ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Neolissochilus soroides อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะคล้ายปลาพลวงหิน (N. stracheyi) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ว่ามีสีเหลืองเหลือบทองที่ด้านข้างลำตัวเห็นได้ชัดเจนกว่า และมีครีบต่าง ๆ สีแดงส้ม ด้านหลังมีสีน้ำตาล และไม่มีแถบสีดำด้านข้างลำตัวเหมือนปลาพลวงชนิดอื่น ๆ อาศัยอยู่ตามต้นน้ำลำธารที่สะอาด และไหลแรงในป่าหรือน้ำตกโดยในประเทศไทยจะพบได้ที่จังหวัดแถบภาคตะวันออก และพบได้จนถึงประเทศมาเลเซีย มีความยาวเต็มที่ 50 เซนติเมตร นิยมตกเป็นเกมกีฬาและเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว และถือเป็นปลาประจำจังหวัดระยอง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาพลวงทอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาพลาตี้

ปลาพลาตี้ (Platy, Southern platy) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliidae) อันดับปลาออกลูกเป็นตัว (Cyprinodontiformes) ชื่อ "พลาตี้" นั้นมาจาก คำว่า Platypoecilus ซึ่งเดิมเคยใช้เป็นสกุล มีลักษณะลำตัวสั้นป้อม และกว้างกว่าปลาสอดหางดาบ (X. hellerii) ปลาตัวผู้ และตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน คือ ปลาตัวผู้ไม่มีส่วนของก้านครีบหางยื่นยาวออกไป เหมือนปลาสอดหางดาบ การสังเกตความแตกต่างระหว่างเพศได้จากโกโนโพเดียม หรืออวัยวะสืบพันธุ์ของปลาตัวผู้ และสีที่สดใสกว่า และขนาดโตกว่าของปลาตัวเมีย มีสีลำตัวค่อนข้างเหลืองจนถึงน้ำตาลอมเขียว หรือเขียวคล้ำอมน้ำเงิน ครีบหลังสั้น มีขนาดเล็ก และมีรูปร่างเกือบกลม ครีบอก ครีบท้อง และครีบหางไม่มีสี แต่ครีบหางอาจมีขอบเป็นสีเขียวหรือสีน้ำเงิน บริเวณโคนหางมีจุดเล็ก ๆ 1-2 จุด ปลาเพศผู้อาจมีแถบจาง ๆ พาดขวางลำตัว 2-5 แถบ แพร่กระจายพันธุ์อยู่ในประเทศเม็กซิโก และอเมริกากลางประเทศอื่น ๆ อาทิ กัวเตมาลา, ฮอนดูรัส มีพฤติกรรมอาศัยหลบซ่อนตามไม้น้ำ หรือใต้ร่มเงาริมฝั่งในแหล่งน้ำนิ่ง ในน้ำที่อุณหภูมิประมาณ 20-25 องศาเซลเซียส ค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ 7.0-7.5 (pH) ปัจจุบัน ปลาพลาตี้ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ได้มีการเพาะขยายพันธุ์จนมีสีสันตลอดจนลวดลายสวยงามกว่าปลาดั้งเดิมในธรรมชาติมากมาย เช่น สีแดง, สีเขียว, สีส้ม, สีดำ, สีทอง หรือหลายสีในตัวเดียวกัน และครีบยาว เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาพลาตี้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาพาราไดซ์

ปลาพาราไดซ์ (Paradise fish, Paradise gourami) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macropodus opercularis อยู่ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) จึงมีอวัยวะช่วยหายใจพิเศษที่มีความวนเวียนเหมือนเขาวงกต เหมือนเช่นปลาชนิดอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน ทำให้สามารถขึ้นมาฮุบอากาศที่ผิวน้ำได้โดยตรง และสามารถอยู่ในบริเวณที่มีออกซิเจนต่ำได้ โดยไม่ต้องรอให้ออกซิเจนละลายลงในน้ำก่อนเช่นปลาทั่วไป มีขนาดความยาวลำตัว ประมาณ 7.5 เซนติเมตร มีลำตัวค่อนข้างกว้าง แบนข้าง หัวเล็ก นัยน์ตาโต ปากอยู่หน้าสุด ริมฝีปากยืดหดได้ มีฟันบนกระดูกเพดานปาก เส้นข้างตัวไม่สมบูรณ์ มีลักษณะเด่นอยู่ที่ครีบหลัง ครีบหลัง ครีบท้อง และครีบก้น มีปลายที่ยื่นยาวเป็นเส้นสวยงาม ครีบท้องและครีบหางเป็นสีส้มแดง ครีบหลังมีก้านครีบแขนงไม่เกิน 10 ก้าน ครีบหลังและครีบก้นมีขนาดใกล้เคียงกัน ครีบอกบางใส ครีบท้องมีก้านครีบเดี่ยว อันแรกยื่นออกมาเป็นเส้นยาว ครีบหางมีปลายครีบตัดตรง สีพื้นลำตัวเป็นสีเขียวมีลายสีส้มขวางลำตัวจำนวน 9 แถบ ตัวผู้จะมีสีสันสวยสดกว่าตัวเมีย เป็นปลาที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่น ไต้หวัน, จีน, ฮ่องกง, เกาหลีเหนือ, เกาหลีใต้ และตอนเหนือของเวียดนาม โดยอาศัยอยู่ตามหนองบึง นาข้าว เหมือนกับปลากัดหรือปลากระดี่โดยตัวผู้จะมีการก่อหวอด กินอาหารจำพวก ลูกน้ำ, ลูกไร หรือสัตว์น้ำขนาดเล็ก มีการผสมพันธุ์และดูแลไข่เหมือนปลาในวงศ์นี้ชนิดอื่น ๆ ปลาพาราไดซ์ มีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว แต่สามารถเลี้ยงรวมกันเป็นฝูงได้ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยมีการเพาะขยายพันธุ์จนมีสีสันต่าง ๆ ที่แปลกออกไปจากชนิดที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น สีเผือกทั้งตัว หรือ สีเขียว เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาพาราไดซ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาพาราไดซ์ (สกุล)

ปลาพาราไดซ์ หรือ ปลาสวรรค์ (Paradise fishes, Paradise gouramis) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ Macropodinae และอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae ใช้ชื่อสกุลว่า Macropodus (/แม็ค-โคร-โพ-ดัส/).

ใหม่!!: สัตว์และปลาพาราไดซ์ (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาพาราไดซ์แดง

ปลาพาราไดซ์แดง (Red-backed paradisefish) เป็นปลาพาราไดซ์ชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Macropodusinae มีลักษณะรูปร่างคล้ายปลาพาราไดซ์ (M. opercularis) โดยมีเงี่ยงครีบหลังทั้งหมด 12-16 ก้าน ก้านครีบอ่อนที่หางมีทั้งหมด 6-8 ก้าน เงี่ยงครีบก้นทั้งหมด 17 ก้าน ก้านครีบอ่อนที่ก้น 13-17 ก้าน ครีบหางมีทั้งแบบแยกออกเป็นสองแฉก และแยกออกเป็นหลายแฉก พื้นผิวลำตัวเป็นสีแดง มีเส้นข้างลำตัวสีน้ำเงิน และส่วนหัวมีจุดแต้มมากกว่า มีความยาวเต็มที่ประมาณ 6.5 เซนติเมตร กระจายพันธุ์อยู่บริเวณตอนกลางของประเทศเวียดนาม นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาพาราไดซ์แดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาพีค็อกแบส

ปลาพีค็อกแบส (Peacock bass, Eyetail cichlids) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) โดยชื่อสามัญที่ว่า "Peacock bass" ที่หมายถึง "ปลากะพงนกยูง" นั้นมาจากลักษณะของลวดลายตามลำตัวและโคนครีบหางที่เป็นจุดสีทึบขนาดใหญ่คล้ายกับรำแพนหางของนกยูง โดยเฉพาะโคนครีบหางทั้ง 2 ข้าง ใช้ชื่อสกุลว่า Cichla (/ซิค-คลา/) ซึ่งมาจากภาษากรีก (Kichle) หมายถึง "ปลาทะเลที่มีฟันแหลมและสีสวยแถบทะเลเขตร้อน" มีลักษณะลำตัวทั่วไป มีส่วนหัวขนาดใหญ่ ริมฝีปากหนา ลำตัวยาว พื้นลำตัวเป็นสีเขียวอมส้ม เป็นปลาที่ดวงตาขนาดใหญ่ และสายตาดี มีพละกำลังมากมาย เป็นปลากินเนื้อที่มีขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด อาจยาวได้ถึง 30 นิ้ว จัดเป็นปลากินเนื้อน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจำพวกหนึ่งที่พบได้ในทวีปอเมริกาใต้ ขณะที่ยังเป็นลูกปลาวัยอ่อนอยู่ จะมีสีอ่อนกว่าปลาที่เต็มวัย และมีแถบสีดำขนานกับลำตัวของตั้งแต่แก้มไปจนถึงหาง เมื่อโต แถบดังกล่าวจะหายไป กระจายพันธุ์ในแม่น้ำสายหลักต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ เช่น แม่น้ำโอรีโนโก และแม่น้ำอเมซอน เป็นต้น เดิมได้มีการจำแนกออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ 5 ชนิด โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากลวดลายและโครงสร้างของร่างกาย ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาพีค็อกแบส · ดูเพิ่มเติม »

ปลากบ

ปลากบ (frog fish) เป็นปลาในตะกูลปลาตกเบ็ดพบได้ทั่วไปในมหาสมุทรเขตร้อนยกเว้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มันเป็นปลาที่มีรูปร่างลักษณะสั้นตัวหนาและมีครีบและสีตัวที่ใช้ในการพลางตัวได้ดีและบางชนิดสามารถเปลียนสีได้ ปลากบนั้นปกติจะอยู่บริเวณพื้นทะเลที่มีสาหร่ายซาร์กัสซัมจึงทำให้มันมีอีกชื่อนึงว่าปลาซาร์กัสซัมโดยปกติพวกมันจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นขึ้นตามลำตัวจึงทำให้สามารถพลางตัวได้ดีและมันยังเคลื่อนที่ช้าๆหรือการล่อเหยือเพื่อจะได้พลางตัวได้อย่างแนบเนียนและเมื่อมีเหยือเข้ามาใกล้พวกมันก็จะพุ่งกระโจนเข้าหาเหยือและงับอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียง 6 มิลลิวินาทีเท่านั้น จากหลังฐานทางฟอสซิลพบว่าพวกมันเริ่มมีมาตัวแต่สมัยไมโอซีน.

ใหม่!!: สัตว์และปลากบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากบสี่มือ

ปลากบสี่มือ(four arm frogfishes)เป็นปลาในตะกูลปลาตกเบ็ดพบในทะเลที่มีน้ำค่อนข้างตื้นทางตะวันออกจาก ประเทศอินโดนีเซีย และ ประเทศปาปัวนิวกินี จนถึง ประเทศออสเตรเลีย พวกมันชอบที่อาศัยอยู่บริเวณก้นทะเลมีลักษณะเป็นตะกอนดินBoschma's frogfish and the four-armed frogfish are included in the Antennariidae in ITIS.

ใหม่!!: สัตว์และปลากบสี่มือ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระบอกเทา

ปลากระบอกเทา (Flathead mullet, Grey mullet, Striped mullet) เป็นปลาน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง จำพวกปลากระบอก (Mugilidae) มีลักษณะทั่วไป คือ เป็นปลาที่มีลำตัวยาวป้อมหัวแหลม ที่ตามีเยื่อไขมันคลุม ปากเล็ก ครีบหลังมีสองอัน ส่วนหลังเป็นสีเทาหรือน้ำตาล ด้านข้างเป็นสีเงินวาวท้องขาว ข้างลำตัวมีแถบสีดำบาง ๆ พบมีอยู่ทั่วไปในเขตร้อนและเหนือหรือใต้เขตร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรอินเดีย รวมทั้งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สำหรับในไทยมีรายงานว่าพบที่จังหวัดสงขลาแต่ไม่มาก วงจรชีวิตของปลากระบอกเทาคล้ายกับปลานวลจันทร์ทะเล ซึ่งเป็นปลาคนละวงศ์กัน กล่าวคือ ผสมพันธุ์วางไข่ในทะเลแล้วลูกปลาจะเข้ามาหากินและเจริญเติบโตในบริเวณชายฝั่ง ปลาจะเจริญเติบโตในบริเวณชายฝั่งและจะโตเต็มวัยพร้อมที่จะผสมพันธุ์วางไข่ได้เมื่อมีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป ปลาเพศเมียจะมีไข่ตั้งแต่ 1-3 ล้านฟอง แล้วแต่ขนาดของปลา ปลาจะวางไข่ในทะเลลึกนอกชายฝั่งที่มีอุณหภูมิในช่วง 21-25 องศาเซลเซียส ลักษณะไข่ปลาเป็นไข่ครึ่งจมครึ่งลอยลูกปลาที่ฟักเป็นตัวจะถูกกระแสน้ำพัดพาเข้าในบริเวณชายฝั่ง ลูกปลาช่วงวัยอ่อนจะกินแพลงก์ตอนสัตว์เป็นอาหารเมื่อลูกปลาเจริญได้ขนาดประมาณ 3 เซนติเมตร ก็จะเปลี่ยนอุปนิสัยการกินอาหารมากินพืชแทน ปลากระบอกเทาเป็นปลาที่กินพืชที่แท้จริงจัดอยู่ในขั้นอาหารที่สอง เป็นปลาที่ทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ได้ง่าย และสามารถหาอาหารกินได้ในทุกระดับน้ำ ปลากระบอกเทาจะกินโดยวิธีการดูดหรือแทะเล็มที่พื้นผิววัสดุซึ่งมีทั้งอาหารและไม่ใช่อาหาร แต่จะมีอวัยวะกรองที่คอเรียกว่า "Phary ngeal fitering device" แยกตะกอนอาหารออกจากตะกอนที่ไม่ใช่อาหารแล้วพ่นตะกอนที่ไม่ใช่อาหารออกมาและส่วนที่เป็นอาหารก็จะกลืนลงสู่กระเพาะอาหารส่วนลำไส้จะยาวมาก ขดอยู่หลังกระเพาะอาหารยาวประมาณ 5 เท่าของตัวปลา ลูกปลากระบอกเทา ปัจจุบัน ปลากระบอกเทา มีการทดลองเลี้ยงและส่งเสริมให้เลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับปลากระบอกชนิดอื่น ๆ โดยเลี้ยงกันในบ่อดิน นอกจากนี้แล้วยังมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย นับเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย สามารถปรับตัวให้เข้ากับที่เลี้ยงได้เป็นอย่างดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระบอกเทา · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระมัง

ปลากระมัง (Smith's barb) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเหมือนปลาตะเพียนทั่วไป แต่ลำตัวแบนข้างกว่ามาก มีครีบหลังยกสูง ก้านครีบอันแรกและครีบก้นเป็นรอยหยัก เกล็ดเล็กละเอียดสีเงิน ครีบท้องและครีบอกสีเหลืองอ่อน ครีบหางเว้าลึก ตาโต หัวมนกลม ไม่มีหนวด ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30-45 เซนติเมตร พบในแม่น้ำและแหล่งน้ำต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย นิยมใช้เนื้อบริโภคเหมือนปลาตะเพียนทั่วไป และพบเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ปลากระมัง ยังมีชื่อเรียกที่แตกต่างออกไปตามถิ่นต่าง ๆ ด้วย เช่น "มัง" ที่บึงบอระเพ็ด "วี" ที่เชียงราย "เหลี่ยม" หรือ "เลียม" ที่ปากน้ำโพ ขณะที่ภาคใต้เรียก "แพะ" และภาคอีสานเรียก "สะกาง".

ใหม่!!: สัตว์และปลากระมัง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระมังครีบสูง

ปลากระมังครีบสูง (Sicklefin barb) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลากระมังชนิดอื่น ๆ เพียงแต่ปลากระมังครีบสูง มีครีบหลังที่แหลมและยกสูงกว่า มีขนาดประมาณ 40 เซนติเมตร พบเฉพาะแม่น้ำโขง ที่เดียวเท่านั้น เป็นปลาที่พบน้อย ใช้บริโภคในท้องถิ่น และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีชื่อเรียกเป็นภาษาอีสานว่า "สะกางเกสูง" หรือ "สะกาง".

ใหม่!!: สัตว์และปลากระมังครีบสูง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระสูบ

ปลากระสูบ (Hampala barb, Jungle perch) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Hampala (/แฮม-พา-ลา/) ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นในชวา มีรูปร่างโดยรวม คือ มีส่วนหัวใหญ่ ปากกว้าง มุมปากยาวถึงขอบตา มีหนวดที่มุมปากบนหนึ่งคู่ มีฟันที่ลำคอสามแถว ครีบหลังมีก้านครีบแขนงแปดก้าน เกล็ดเป็นแบบขอบบางเรียบ บนลำตัวมีจุดหรือเส้นขีดสีดำเห็นได้ชัดเจน ซึ่งอาจแปรเปลี่ยนไปได้ตามช่วงวัย และแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิด ขนาดโตเต็มที่อาจยาวได้ถึง 60-70 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 20-30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์ เป็นปลาที่กินปลาด้วยกันขนาดเล็กเป็นอาหาร นิยมอยู่เป็นฝูง ออกล่าเหยื่อพร้อม ๆ กัน จึงเป็นที่นิยมของนักตกปลา มีชื่อเรียกในภาษาไทยว่า "ปลากระสูบ" หรือ "ปลาสูบ" หรือ "ปลาสูด" ในบางท้องถิ่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระสูบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระสูบสาละวิน

ปลากระสูบสาละวิน ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hampala salweenensis อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) รูปร่างคล้ายปลากระสูบขีด (H. macrolepidota) เพียงแต่ปลากระสูบสาละวิน จะมีแถบที่กลางลำตัว 3 แถบ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร เป็นปลาที่ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1993 และถูกอนุกรมวิธาน ในปี ค.ศ. 1994 โดยค้นพบที่แม่น้ำแม่สุรินทร์ ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำปาย ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทางภาคเหนือของไทย เป็นปลาที่พบเฉพาะในลุ่มแม่น้ำสาละวินฝั่งไทยและพม่าแถบจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดกาญจนบุรีเท่านั้น เป็นปลาที่พบบ่อยในพื้นถิ่น มีพฤติกรรมและนิสัยเหมือนปลากระสูบชนิดอื่นทุกอย่าง กล่าวคือ เป็นปลากินเนื้อ อาศัยอยู่รวมเป็นฝูง ชอบล่าเหยื่อตามผิวน้ำ ปลากระสูบสาละวิน มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกเช่น "ปลากระสูบสามขีด" หรือ "ปลามุมหมาย" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระสูบสาละวิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระสูบจุด

ปลากระสูบจุด (Eye-spot barb, Spotted hampala barb) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะรูปร่างค่อนข้างยาว แบนข้างเล็กน้อย หัวยาว ปากกว้างมาก มีหนวดสั้น 1 คู่ที่ริมฝีปาก ครีบหลังค่อนข้างเล็ก ครีบหางเว้าลึก เกล็ดค่อนข้างใหญ่ ตัวมีสีเงิน ด้านหลังสีคล้ำอมน้ำตาล ด้านท้องสีจาง ด้านข้างลำตัวมีจุดสีคล้ำข้างละหนึ่งดวง ครีบมีสีแดงเรื่อ ครีบหางมีสีแดงไม่มีแถบสีคล้ำ เป็นปลาที่พบได้เฉพาะที่ภาคอีสานของไทย ในต่างประเทศพบได้เฉพาะประเทศลาวและกัมพูชาเท่านั้น มีขนาดประมาณ 25 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 35 เซนติเมตร ชื่อวิทยาศาสตร์ dispar เป็นภาษาละตินหมายถึง "ไม่เหมือน" หรือ "ซึ่งแตกต่างกัน" อันหมายถึงสัณฐานที่แตกต่างจากปลากระสูบขีด (H. macrolepidota) ซึ่งเป็นปลากระสูบอีกชนิดหนึ่ง ที่พบได้ในประเทศไทย และเป็นชนิดต้นแบบ อนุกรมวิธานโดย ฮิว แมคคอร์มิค สมิธ สถานที่ค้นพบครั้งแรก คือ แม่น้ำมูลในจังหวัดอุดรธานี เป็นปลานักล่า กินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร บริโภคโดยปรุงสด และทำปลาร้า, ปลาส้ม และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระสูบจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระสูบขีด

ปลากระสูบขีด หรือ ปลากระสูบขาว (Hampala barb, Tranverse-bar barb) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลากระสูบจุด (H. dispar) แต่ด้านข้างลำตัวมีแถบขวางบริเวณใต้ครีบหลังลงมาถึงท้อง ในปลาขนาดเล็กมีแถบ 2 แถบที่กลางลำตัวและโคนหาง และมีแถบใต้ตาด้วย ครีบมีสีคล้ำแดงเรื่อ ขอบบนและขอบล่างของครีบหางมีแถบสีคล้ำ มีขนาดใหญ่กว่าปลากระสูบจุดซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน คือ สามารถยาวได้ถึง 30 เซนติเมตร หรือ 70 เซนติเมตร ซึ่งเป็นขนาดใหญ่เต็มที่ โดยชื่อวิทยาศาสตร์ macrolepidota มีความหมายว่า "เกล็ดใหญ่" โดยมาจากภาษากรีกโบราณคำว่า μακρός (makrós) หมายถึง "ยาว" หรือ "ใหญ่" และ λεπτδωτος (lepdotos) หมายถึง "เกล็ด" โดยสถานที่ค้นพบครั้งแรกคือ เมืองโบกอร์ ประเทศอินโดนีเซีย พบมากในแม่น้ำโขง และพบบ้างในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจะพบได้มากกว่าปลากระสูบจุด เป็นปลากินเนื้อ จัดเป็นปลานักล่าชนิดหนึ่ง มักไล่จับปลาขนาดเล็ก เช่น ปลาซิว, ปลาวัยอ่อน รวมถึงแมลงน้ำต่าง ๆ ในแม่น้ำและหนองบึงต่าง ๆ เป็นที่นิยมของนักตกปลาทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นโดยใช้เหยื่อปลอม บริโภคด้วยการปรุงสด หรือทำปลาร้า, ปลาส้ม เป็นต้น และยังเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้อีกด้วย ปลากระสูบขีดมีชื่อเรียกทางภาษาอีสานว่า "ปลาสูบ", "ปลาสูด", "ปลาสิก" หรือ "ปลาขม" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระสูบขีด · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระสง

ปลากระสง (Blotched snakehead, Forest snakehead) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa lucius อยู่ในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) มีรูปร่างคล้ายปลาช่อน (C. striata) แต่มีส่วนหัวที่แบนกว่า จะงอยปากงอนขึ้นเล็กน้อย และมีรูปร่างที่ป้อมสั้นกว่า สีสันบริเวณลำตัวเป็นสีเขียวมะกอกมีลวดลายคล้ายลายไม้ ลูกปลาขนาดเล็กมีพฤติกรรมอยู่เป็นฝูง มีลายแถบดำพาดตามแนวนอนตลอดตัว มีสีแดง มีความยาวเต็มที่ประมาณ 40 เซนติเมตร พบได้ในแหล่งน้ำนิ่งและแหล่งน้ำขนาดใหญ่รวมถึงในบริเวณพื้นที่ป่าพรุด้วยทั่วประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน นิยมเอามาบริโภคสดและตากแห้งเหมือนปลาในวงศ์ปลาช่อนทั่วไป อีกทั้งสามารถเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้ ซึ่งพฤติกรรมในที่เลี้ยงดุร้ายก้าวร้าว และชอบกระโดด ปลากระสง ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลากระจน" ในภาษาอีสาน หรือ "ปลาช่อนไช" ในภาษาใต้ Musikasinthorn, P.; Taki, Y. 2001: Channa siamensis (Günther, 1861), a Junior Synonym of Channa lucius (Cuvier in Cuvier and Valenciennes, 1831).

ใหม่!!: สัตว์และปลากระสง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระจัง

ปลากระจัง หรือ ปลาตีนเขี้ยว (Giant mudskipper) เป็นปลาทะเลและน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) วงศ์ย่อยปลาตีน (Oxudercinae) เป็นปลากระดูกแข็งมีขนาดลำตัวยาวตั้งแต่ 5-30 เซนติเมตร จัดเป็นปลาตีนที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีครีบคู่หน้า ครีบอกที่แข็งแรงใช้ครีบอกที่แข็งแรงใช้ครีบกระโดดเป็นช่วง ๆ ไปมาบนพื้นเลน และคลานขึ้นต้นไม้ หรือยึดเกาะกับต้นโกงกางหรือแสม ตัวผู้มีขนาดลำตัวแบนเล็กน้อย มีเกล็ดปกคลุมทั่วลำตัว มีฟันเขี้ยวซี่เล็ก ๆ ขบซ้อนเหลื่อมกันทั้งริมขากรรไกรบนและล่าง ตำแหน่งของปากอยู่ปลายสุดของหัวขนานกับพื้น ลำตัวมีสีเทาแถบสีน้ำตาลพาดบริเวณหัวและตามตัวมีจุดวาวสีเขียวมรกต ปลายครีบหลังสีขาว, สีน้ำตาล, สีน้ำเงินแวววาวเหมือนมุก ส่วนตัวเมียสีลำตัวค่อนข้างเหลือง เมื่ออยู่บนบก จะหายใจผ่านผิวหนังและช่องเหงือก กินอาหารจำพวกลูกกุ้ง, ลูกปู, ตัวอ่อนของสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ, สาหร่าย และซากพืชและสัตว์บนผิวเลน ในฤดูผสมพันธุ์ ปลากระจังตัวผู้จะมีสีเข้มขึ้น จะใช้ปากขุดโคลนสร้างหลุม เพื่อไว้เป็นที่ผสมพันธุ์ และมีพฤติกรรมหวงเขตแดนเมื่อมีตัวผู้อื่นเข้ามารุกล้ำจะกางครีบหลังขู่และเคลื่อนที่เข้าหาผู้บุกรุกเพื่อต่อสู้ด้วยการกัดทันที กระจายพันธุ์ไปในป่าชายเลนที่มีพื้นเป็นเลนหรือโคลน ตั้งแต่อ่าวเบงกอล, ชายฝั่งทะเลอันดามัน, คาบสมุทรมลายู และเกาะบอร์เนียว เป็นปลาที่มักถูกจับกินเป็นอาหารสำหรับชาวพื้นถิ่น และถูกจับขายเป็นปลาสวยงามด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระจัง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระทิง

ปลากระทิง เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mastacembelus armatus อยู่ในวงศ์ปลากระทิง (Mastacembelidae) มีลำตัวเรียวยาว แบนข้างเล็กน้อย ครีบหลัง ครีบหาง และครีบก้นเชื่อมต่อกัน ด้านหลังมีก้านครีบแข็งสั้นหลายอัน ตาเล็ก ครีบอกใหญ่ หัวมีลายตั้งแต่ปลายจะงอยปากคาดมาที่ตาถึงช่องปิดเหงือก ตัวมีสีเทาอ่อนหรือน้ำตาลอมเหลือง มีลายสีคล้ำเป็นวงหรือเป็นลายเส้น มีลวดลายหลากหลายแบบ ด้านท้องสีจาง ครีบคล้ำมีจุดประสีเหลืองอ่อน มีขนาดประมาณ 30 - 50 เซนติเมตร ใหญ่สุดได้ถึง 80 เซนติเมตร ปลากระทิงอาศัยอยู่ในแม่น้ำและแหล่งน้ำนิ่งบริเวณที่มีกิ่งไม้หรือพืชน้ำหนาแน่น พบทุกภาคของประเทศไทยตั้งแต่แม่น้ำตอนล่างถึงบริเวณต้นน้ำลำธาร บริโภคโดยปรุงสด เช่น ย่าง, ต้มโคล้งซึ่งขึ้นชื่อมาก, ทำปลาเค็ม และยังนิยมรวบรวมเพื่อเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ปลากระทิงมีชื่อเรียกในภาษาอีสานว่า "หลาด".

ใหม่!!: สัตว์และปลากระทิง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระทิง (สกุล)

ปลากระทิง เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งจำพวกหนึ่ง ในสกุล Mastacembelus (/มาส-ตา-เซม-เบล-อัส/) อยู่ในอันดับปลาไหลนา วงศ์ปลากระทิง (Mastacembelidae) มีรูปร่างโดยรวม ลำตัวยาว แบนข้างเล็กน้อย ปลายจะงอยปากบนเรียวแหลมคล้ายปลาหลด จมูกคู่หน้ามีปลายแยกออกเป็นติ่งเนื้อเล็ก ๆ 2 ติ่ง และติ่งใหญ่ 2 ติ่ง มีครีบหลังและครีบก้นยาวต่อเนื่องกับครีบหาง ก้านครีบเดี่ยวของครีบหลังเป็นหนามแหลมสั้น ๆ เพื่อป้องกันตัวประมาณ 33–40 ก้าน สีสดสวยกว่าและมีขนาดใหญ่กว่า อาศัยอยู่ในแม่น้ำลำคลองและที่ลุ่มทั่วไป พบทั้งในแหล่งน้ำจืดและน้ำกร่อย กระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชียและภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 60–80 เซนติเมตร หากินตามพื้นท้องน้ำด้วยการกินปลาขนาดเล็กและสัตว์น้ำขนาดเล็ก โดยมักจะซุกซ่อนตัวในโพรงไม้หรือวัตถุต่าง ๆ ใต้น้ำ มีความสำคัญต่อมนุษย์ในแง่ของการบริโภค ตกปลา และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระทิง (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระทิงจุด

ปลากระทิงจุด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mastacembelus alboguttatus อยู่ในวงศ์ปลากระทิง (Mastacembelidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลากระทิง (M. armatus) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีสีสันและลวดลายที่แตกต่างออกไป มีจุดเป็นวงกลมสีเหลืองหรือเขียวกระจายอยู่ทั่วตัว ครีบหางแยกออกจากครีบหลังและครีบท้องคล้ายสกุลปลาหลด ช่วงท้องสีจาง มีหนามแหลมขนาดเล็กตลอดทั้งลำตัวช่วงบนไว้ป้องกันตัว มีความยาวประมาณ 40 เซนติเมตร เป็นปลาที่หายาก พบได้น้อย ดังนั้น เมื่อขายในตลาดปลาสวยงาม จะเป็นปลาที่มีราคาสูง โดยจะพบเฉพาะแม่น้ำสาละวินในเขตชายแดนของพม่าที่ติดกับไทยเท่านั้น นอกจากนี้ยังพบในแม่น้ำสะโตงในเขตประเทศพม่าอีกด้วย โดยมีชื่อเรียกในภาษากะเหรี่ยงว่า "ป่าน".

ใหม่!!: สัตว์และปลากระทิงจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระทิงไฟ

ปลากระทิงไฟ (Fire spiny eel) ปลาน้ำจืดพื้นเมืองของไทยชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mastacembelus erythrotaenia อยู่ในวงศ์ปลากระทิง (Mastacembelidae) มีรูปร่างเหมือนปลาในวงศ์นี้ทั่วไป กล่าวคือ รูปร่างยาวคล้ายงูหรือปลาไหล แต่ท้ายลำตัวส่วนที่อยู่ค่อนไปทางหางจะมีลักษณะแบนข้าง และส่วนหัวหรือปลายปากจะยื่นยาวและแหลม จะงอยปากล่างจะยื่นยาวกว่าจะงอยปากบน ตามีขนาดเล็ก ครีบหลัง ครีบทวาร และหางจะเชื่อมต่อติดกันเป็นครีบเดียว โดยครีบหลังตอนหน้าจะมีขนาดเล็กมากและลักษณะเป็นหยักคล้ายกับฟันเลื่อย หากไม่สังเกตจะมองไม่เห็น โดยปลายหางมีลักษณะมนโค้ง ปลายค่อนข้างแหลม ไม่มีหนามใต้ตาเช่นปลากระทิงชนิดอื่น ๆ มีหนามแหลมขนาดเล็กตลอดทั้งความยาวลำตัวช่วงบนไว้เพื่อป้องกันตัว ปลากระทิงไฟจะมีรูปร่างป้อมแต่มีขนาดยาวกว่าปลากระทิง (M. armatus) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน มีขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 60 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุดถึง 1 เมตร พบได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกประเทศจนถึงอินโดนีเซีย สำหรับในประเทศไทยพบได้ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในภาคกลางและภาคใต้ ปลากระทิงไฟ มีลักษณะเด่นคือ เป็นปลาที่มีสีสันและลวดลายสวยงามมาก อันเป็นที่มาของชื่อ โดยพื้นลำตัวมีสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำสนิทและประแต้มด้วยแถบสีแดงสดเป็นเส้นๆ และเป็นจุด ๆ ลักษณะคล้ายกับเส้นประ โดยลายนี้จะคาดตามความยาวจากหัวจรดหางหัวค่อนข้างแหลม ซึ่งสีของครีบจะกลมกลืนกับสีพื้นลำตัวและบริเวณขอบครีบด้านนอกเป็นสีแดงหรือสีส้ม บริเวณแนวโคนครีบมีจุดกลมสีแดงประแต้มตลอดแนวซึ่งจุดและลายแถบสีแดงเหล่านี้ขณะที่ปลายังเล็กจะเป็นสีน้ำตาลอมส้มหรือเหลือง เมื่อปลาโตขึ้นจุดและแถบลายเหล่านี้สีก็จะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสีแดงหรือสีแดงอมส้มในที่สุด แต่ปลาส่วนใหญ่สีแดงสดจะเข้มจัดเฉพาะบริเวณลำตัวส่วนที่อยู่ค่อนไปทางหัว ส่วนลาย ที่อยู่ค่อนไปทางหางโดยมากจะเป็นสีแดงส้มหรือสีน้ำตาลส้ม พบน้อยตัวมากที่มีลายสีแดงเพลิงทั้งตัว สำหรับลวดลายและสีสันทั้งหมดนี้ ยังแตกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องที่ สำหรับปลาที่พบในพื้นที่ภาคใต้จะมีลวดลายและสีสันแตกต่างออกไป ซึ่งภาษาใต้จะเรียกปลาชนิดนี้ว่า "กระทิงลายดอก" หรือ "กระทิงลายดอกไม้" มีพฤติกรรมหากินในเวลากลางคืน โดยมักชอบหลบอยู่ใต้ซากไม้ใต้น้ำเพื่อรออาหาร ซึ่งได้แก่ ปลาขนาดเล็กและสัตว์น้ำขนาดเล็กทั่วไป จากสีสันที่สวยงาม จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่สำหรับสถานะในธรรมชาติ มีแนวโน้มว่าใกล้สูญพันธุ์เนื่องจากถูกจับจากธรรมชาติมากเกินไป.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระทิงไฟ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระทุงเหวเมือง

ปลากระทุงเหวเมือง (Freshwater garfish, Asian freshwater needlefish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Xenentodon canciloides อยู่ในวงศ์ปลากระทุงเหว (Belonidae) มีรูปร่างเหมือนปลาเข็ม แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ลำตัวค่อนข้างกลมส่วนท้องแบน ครีบหลังอยู่ตรงข้ามกับครีบก้นและอยู่ใกล้ครีบหาง ครีบท้องมีขนาดเล็กมาก ครีบอกใหญ่และแหลมใช้สำหรับกระโดดพ้นจากผิวน้ำเพื่อหลบหลีกศัตรูและไล่จับอาหาร ครีบหางตัดตรงหรือบาง กระดูกแก้มไม่มีเกล็ด ไม่มีสันแข็งที่คอดหาง จะงอยปากแหลมยาวทั้งปากบนและปากล่าง มีฟันซี่แหลมคมเล็ก ๆ เรียงเป็นแถว มีขนาดยาวเต็มที่ประมาณ 40 เซนติเมตร และนับเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Xenentodon เป็นปลาที่หากินอยู่บริเวณผิวน้ำ ในแม่น้ำลำคลองทั่วไปหรือแม้กระทั่งส่วนที่เป็นแหล่งน้ำนิ่ง เช่น ท้องร่องสวน นอกจากนี้แล้วยังพบได้ในบริเวณที่เป็นน้ำกร่อยเช่น ปากแม่น้ำที่ติดกับชายทะเลด้วย ตั้งแต่อนุทวีปอินเดียจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม และใช้บริโภคเป็นอาหาร มีการเพาะเลี้ยงกันในบางพื้นที่ และนิยมตกเป็นเกมกีฬา มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลาเข็มแม่น้ำ" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระทุงเหวเมือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระดูกอ่อน

ปลากระดูกอ่อน (ชั้น: Chondrichthyes; Cartilaginous fish) เป็นชั้นของปลาจำพวกหนึ่ง ซึ่งมีโครงสร้างกระดูกประกอบไปด้วยเซลล์กระดูกอ่อนอย่างเดียว โดยมีหินปูนมาประกอบเป็นบางส่วน ส่วนมากมีเหงือกแยกออกเป็นช่อง 5 ช่อง มีเกล็ดแบบพลาคอยด์ ที่จะไม่โตไปตามตัว มีลักษณะสากเมื่อสัมผัส ตัวผู้มีรยางค์เพศที่ครีบท้องเป็นติ่งยื่นเรียก แคลสเปอร์ หรือที่ในภาษาไทยเรียก เดือย โดยมากจะออกลูกเป็นตัว ขากรรไกรแยกออกจากกะโหลก ปลาจำพวกนี้พบทั่วโลกประมาณ 800 ชนิด เป็นปลากินเนื้อ ส่วนมากเป็นปลาทะเล ในน้ำจืดมีเพียงไม่กี่สิบชนิด มีหลายอันดับ หลายวงศ์ หลายสกุล โดยปลาในกลุ่มปลากระดูกอ่อนนี้ที่รู้จักกันดี ก็ได้แก่ ปลาฉลาม, ปลากระเบน, ปลาฉนาก, ปลาโรนัน เป็นต้น ปลากระดูกอ่อนส่วนใหญ่มีรูปร่างเรียวยาว ยกเว้น ปลากระเบน ที่มีรูปร่างแบน ส่วนใหญ่อยู่ในทะเล พบในน้ำจืดเพียงไม่กี่ชนิด เช่น ปลากระเบนน้ำจืด มีขนาดแตกต่างกันตามแต่ละสกุล แต่ละชนิด ตั้งแต่มีความยาวเพียงไม่ถึงหนึ่งฟุต จนถึง 20 เมตร หนักถึง 34 ตัน คือ ปลาฉลามวาฬ (Rhincodon typus) ซึ่งเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระดูกอ่อน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระดี่

ปลากระดี่ (Gouramis, Gouramies; Sepat; อีสาน: กระเดิด) เป็นสกุลปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ในสกุล Trichopodus (เดิมใช้ Trichogaster) ในวงศ์ย่อย Luciocephalinae ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae มีรูปร่างโดยทั่วไป คือ แบนข้างคล้ายใบไม้ หัวมีขนาดเล็ก ปลายปากค่อนข้างแหลม ปากมีขนาดเล็ก มีครีบอกคู่แรกเป็นเส้นยาวใหญ่เห็นได้ชัด ซึ่งเรียกว่า "ตะเกียบ" เป็นอวัยวะช่วยในการสัมผัส มีก้านครีบแขนง 2-4 ก้าน ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยว 3-9 ก้าน และก้านครีบแขนง 7-11 ครีบ ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยว 9-14 ก้าน และมีก้านครีบแขนง 25-40 ก้าน ครีบท้องและครีบก้นต่อยาวเป็นแถวเดียวกัน โดยที่ไม่มีเส้นข้างลำตัว ปลายครีบหางไม่เว้ามากนัก เป็นปลาที่มีการแพร่กระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพบได้แทบทุกประเภทของแหล่งน้ำจืด มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 15 เซนติเมตร เมื่อโตเต็มที่ พบทั้งสิ้น 4 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระดี่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระดี่ช็อกโกแลต

ปลากระดี่ช็อกโกแลต (Chocolate gourami) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sphaerichthys osphromenoides ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างบางเฉียบ ส่วนหัวแหลมโดยเฉพาะบริเวณปลายปาก ตากลมโต สีลำตัวเป็นสีน้ำตาลเข้มคล้ายสีของช็อกโกแลตจึงเป็นที่มาของชื่อ มีจุดวงกลมสีดำที่ใกล้โคนครีบหาง ในขณะที่ชื่อวิทยาศาสตร์นั้น คำว่า Sphaerichthys หมายถึงวงกลม และ osphromenoides หมายถึงเหมือน osphromenus อันที่เคยเป็นชื่อพ้อง มีจุดเด่นคือ มีลายพาดวงกลมสีขาว 3-4 วง พาดผ่านตลอดทั้งลำตัวทั้งสองข้าง ปลาตัวผู้จะมีสีแดงเข้มกว่าปลาตัวเมีย และมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่า มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 6 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในคาบสมุทรมลายูของมาเลเซีย จนถึงเกาะบอร์เนียวและสุมาตรา ในอินโดนีเซีย เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ทว่าเลี้ยงได้ยากมาก ต้องอาศัยการดูแลอย่างดี เนื่องจากเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำค่อนข้างเย็น กล่าวคือ อุณหภูมิประมาณ 22-26 องศาเซลเซียส และค่าความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำเป็นสภาพเป็นกรดเล็กน้อย คือประมาณ 6-6.5 pH มีพฤติกรรมเช่นเดียวกับปลาในวงศ์นี้ชนิดอื่น ๆ คือ รักสงบ ชอบลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ บริเวณผิวน้ำ หรือแอบอยู่ตามพืชน้ำ การแพร่พันธุ์ตัวผู้จะเป็นฝ่ายสร้างหวอดในการวางไข่ และเป็นฝ่ายดูแลไข่จนกว่าจะเป็นตัว โดยไข่จะมีปริมาณ 18 ฟอง ใช้เวลาฟักเป็นตัวราว 10-14 วัน แต่เมื่อเป็นตัวแล้วปลาตัวผู้จะไม่ดูแลไข่ ซึ่งถ้าเป็นในที่เลี้ยงอาจจะกินลูกตัวเองได้ เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันมากในยุโรป ซึ่งถือว่าเป็นปลาที่มีราคาถูก แต่สำหรับในประเทศทางเอเชียถือเป็นปลาราคาแพง และหาได้ค่อนข้างยาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระดี่ช็อกโกแลต · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระดี่ช็อกโกแลต (สกุล)

ปลากระดี่ช็อกโกแลต เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Sphaerichthys ในวงศ์ Macropodusinae อันเป็นวงศ์เดียวกับปลาในปลากัด (Betta spp.) และปลากริม (Trichopsis spp.) โดยอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae รูปร่างโดยรวมของปลาในสกุลนี้ คือ มีลำตัวขนาดเล็ก มีรูปร่างบาง แบนข้าง ส่วนหัวแหลม ตากลมโตมีขนาดใหญ่ มีสีลำตัวออกไปทางสีน้ำตาลเข้มหรือสีน้ำตาลแดงเหมือนช็อกโกแลต อันเป็นที่มาของชื่อ โดยที่ปลาตัวผู้จะมีสีแดงสดกว่าตัวเมีย และที่สำคัญคือ มีจุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือ มีลายพาดขวางลำตัวเหมือนสร้อยสีขาว 3-4 ขีด (คำว่า Sphaerichthys ซึ่งเป็นชื่อสกุลหมายถึง วงกลม)ขนาดลำตัวโดยเฉลี่ยประมาณ 6 เซนติเมตร เป็นปลาที่พบได้ในมาเลเซีย, เกาะบอร์เนียว และเกาะสุมาตรา ในอินโดนีเซียเท่านั้น พบทั้งสิ้น 4 ชนิดนี้.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระดี่ช็อกโกแลต (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระดี่มุก

ปลากระดี่มุก ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trichopodus leerii ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างคล้ายปลากระดี่หม้อ (T. trichopterus) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่กระดี่มุกมีลำตัวกว้างกว่าเล็กน้อย ครีบหลัง ครีบหาง และครีบก้นมีขนาดใหญ่และมีก้านครีบอ่อนยาวเป็นเส้นริ้ว ลำตัวสีเงินจาง มีแถบสีดำจางพาดยาวไปถึงโคนครีบหาง ท้องมีสีส้มหรือสีจาง และมีจุดกลมสีเงินมุกหรือสีฟ้าเหลือบกระจายไปทั่ว อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ ครีบท้องเป็นสีส้มสดหรือสีเหลือง มีความยาวเต็มที่เฉลี่ย 10-12 เซนติเมตร มีพฤติกรรมมักอาศัยอยู่เป็นคู่หรือกลุ่มเล็ก ๆ ในแหล่งน้ำที่มีค่าของน้ำมีความเป็นกรด (pH) ต่ำกว่าค่าของน้ำปกติ (ต่ำกว่า 7.0) เช่น ในป่าพรุ เป็นต้น เป็นปลาจำพวกปลากระดี่ที่พบในธรรมชาติได้น้อยที่สุดในประเทศไทย โดยจะพบในเฉพาะพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ตอนล่างเท่านั้น นิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ เป็นปลาที่สามารถเพาะพันธุ์ในสถานที่เลี้ยงได้ และมีการแข่งขันประกวดความสวยงามอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระดี่มุก · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระดี่ยักษ์

ปลากระดี่ยักษ์ (Giant gourami, Banded gourami, Striped gourami) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trichogaster fasciata อยู่ในสกุล Trichogaster ในวงศ์ Osphronemidae มีรูปร่างแบนข้างเหมือนปลาในสกุลเดียวกันนี้ชนิดอื่น มีสีสันสวยสะดุดตาเหมือนปลากระดี่แคระ (T. lalia) แต่มีขนาดของลำตัวยาวกว่า ลำตัวเป็นสีส้มอมเหลืองมีแถบสีฟ้าครามพาดเป็นแนวขวางลำตัวเรียงกันตั้งแต่ช่วงอกจนถึงช่วงหาง ขนาดเมื่อโตเต็มที่แล้วจะยาวได้ประมาณ 12 เซนติเมตร ซึ่งนับได้ว่าใหญ่ที่สุดในสกุลนี้ จึงเป็นที่มาของชื่อว่ากระดี่ยักษ์ พบกระจายพันธุ์ในอนุทวีปอินเดีย, รัฐอัสสัม, บังกลาเทศ ไปจนถึงพม่า และเคยมีรายงานว่าพบในประเทศไทยและคาบสมุทรมลายูด้วย เป็นปลาที่มีนิสัยค่อนข้างเรียบร้อยไม่ก้าวร้าว โดยที่ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายก่อหวอด และเป็นผู้ดูแลไข่ ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 24 ชั่วโมง เป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ซึ่งในปัจจุบัน มีการจำหน่ายและส่งออกไปทั่วโลก จนมีการแพร่กระจายพันธุ์แล้วในธรรมชาติของหลายพื้นที่ในสหรัฐอเมริก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระดี่ยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระดี่หม้อ

ปลากระดี่หม้อ ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trichopodus trichopterus ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างคล้ายปลากระดี่นาง (T. microlepis) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่กระดี่หม้อมีรูปร่างป้อมกว่า ส่วนท้ายไม่เรียวเล็ก หัวเล็ก ตาเล็ก ปากเล็กอยู่ปลายสุดของจะงอยปาก ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย ส่วนหลังยกสูงเล็กน้อย ครีบอกเล็ก ครีบท้องเป็นเส้นยาว ครีบหางเว้าตื้นปลายใน เกล็ดมีขนาดใหญ่ ตัวมีสีเทาอมสีฟ้าหรือสีคล้ำตามแนวพาดขวางหรือพาดเฉียง ตลอดลำตัวด้านข้างหลายแถบรวมถึงที่ข้างแก้มกลางลำตัวด้านข้างและโคนครีบหางมีจุดสีดำขนาดใหญ่แห่งละจุด ครีบก้นมีจุดประสีส้มหรือเหลือง ขอบครีบสีเหลือง ครีบอื่นสีใส ครีบหางใสมีสีประคล้ำ ขนาดโดยเฉลี่ยมีความยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร พบใหญ่สุดคือ 15 เซนติเมตร ปลากระดี่หม้อเป็นปลาที่มีสีสันต่างตากหลากหลายกันออกไปตามพันธุกรรมและถิ่นที่อยู่อาศัย จึงมีหลากสีมาก เช่น ปลาที่พบในพื้นที่ภาคใต้จะมีลำตัวสีฟ้าเข้มกว่าปลาที่พบในที่อื่น นอกจากนี้ยังมีที่พบสีออกเหลืองทองหรือออกขาวนวลด้วย แต่ปลาที่พบโดยทั่วไปมักมีลำตัวออกสีน้ำตาลใส เป็นปลาที่พบได้ในแหล่งน้ำนิ่งทุกภาคของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้ จัดเป็นปลาสกุล Trichopodus ที่พบชุกชุมที่สุด นิยมบริโภคในท้องถิ่น เช่นเดียวกับปลาสลิด (T. pectoralis) และปลากระดี่นาง นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย มีชื่อเรียกในภาษาอีสานว่า "กระเดิด" หรือ "เดิด" ภาษาเหนือเรียก "สลาก" หรือ "สลาง" ชื่อในภาษาอังกฤษเรียกว่า "กระดี่สามจุด" (Three spot gourami) หมายถึง จุดดำสองจุดใหญ่ตามลำตัวและนับลูกตาด้วย ชื่อที่นิยมเรียกกันในแวดวงปลาสวยงามคือ "กระดี่นางฟ้า".

ใหม่!!: สัตว์และปลากระดี่หม้อ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระดี่อินเดีย

ปลากระดี่อินเดีย เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ในวงศ์ Ostoglossidae ใช้ชื่อสกุลว่า Trichogaster (เดิมใช้ Colisa) มีรูปร่างโดยรวมคล้ายกับปลาในสกุล Trichopodus หรือปลากระดี่ ที่พบในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ แต่ทว่ามีขนาดที่เล็กกว่า ครีบทุกครีบสั้น มีสีสันตามลำตัวที่หลากหลายและสวยสดใส ในบางชนิดที่มีลายบั้ง ๆ สีแดงสดสลับกับสีน้ำเงิน มีครีบท้องมีก้านครีบเดี่ยวยื่นออกมาเป็นเส้นยาว ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยว 12-19 ก้าน และก้านครีบแขนง 7-14 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยว 15-20 ก้าน และก้านครีบแขนง 11-20 ก้าน ครีบหางปลายเว้าเล็กน้อย มีขนาดโดยเฉลี่ยราว 6 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุดได้ 12 เซนติเมตร พบทั้งหมด 4 ชนิดได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระดี่อินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระดี่ปากหนา

ปลากระดี่ปากหนา (Thick-lipped gourami) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) เป็นปลากระดี่แคระชนิดหนึ่ง มีรูปร่างยาว ลำตัวเป็นรูปไข่ สีของลำตัวแตกต่างกันออกไป ทั้งสีน้ำตาลเข้มอมส้ม ส่วนท้องมีสีเขียวเข้ม มีแถบสีส้มแกมน้ำตาลสลับกับสีฟ้าครามพาดขวางบริเวณทั้งลำตัว ครีบหางกลมเหมือนพัดมีสีส้มคล้ำ ๆ ครีบอกเป็นเส้นยาว ครีบท้องมีสีแดงส้ม ครีบก้นมีสีฟ้ามีขอบเป็นสีฟ้าหรือสีขาว มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 9 เซนติเมตร กระจายพันธุ์ในตอนใต้ของประเทศพม่า โดยไม่พบในประเทศไทย และปัจจุบันมีการนำเข้าไปปล่อยในธรรมชาติในโคลัมเบียอีกด้วย เป็นปลาที่ตัวผู้เมื่อแพร่ขยายพันธุ์ จะเป็นฝ่ายสร้างหวอด ซึ่งคือน้ำลายผสมกับอากาศติดกับพืชน้ำและวัสดุบริเวณผิวน้ำชนิดต่าง ๆ และเป็นฝ่ายดูแลไข่จนกระทั่งฟักเป็นตัว เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว และมีการผสมข้ามพันธุ์กับปลากระดี่ชนิดอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกัน เช่น ปลากระดี่อินเดีย, ปลากระดี่แคระ จนได้ลูกที่ออกมาสีสันต่าง ๆ สวยงามจากเดิม เช่น สีแดง, สีทอง, สีเขียว แต่สำหรับในประเทศไทย ปลากระดี่ปากหนายังไม่มีการซื้อขายและเลี้ยงกันในวงการปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระดี่ปากหนา · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระดี่นาง

ปลากระดี่นาง หรือ ปลากระดี่ฝ้าย (Moonlight gourami, Moonbeam gourami) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีลำตัวรูปไข่และแบนข้างมาก หลังยกสูงเล็กน้อย ด้านท้ายเรียวเล็ก หัว ตา และปากเล็ก ครีบอกเล็ก ครีบท้องเป็นเส้นยาว ครีบหางเว้าตื้นปลายมน ลำตัวสีเงินนวลเหลือบด้วยสีเขียวและสีฟ้า โดยไม่มีลวดลายใด ๆ ครีบสีจางใส ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวเฉลี่ย 7-14 เซนติเมตร เป็นปลาที่พบได้ในแหล่งน้ำในภาคอีสาน, ภาคกลาง และภาคตะวันออกของไทย และยังพบได้ในประเทศอื่นในภูมิภาคอินโดจีนอีกด้วย มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง สามารถฮุบอากาศจากผิวน้ำได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านเหงือก เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์จะก่อหวอดผสมกับเศษหญ้าหรือพืชไม้ชนิดต่าง ๆ เป็นปลาที่สามารถใช้บริโภคได้ ในพื้นที่อีสานนิยมบริโภคโดยปรุงสด หรือทำปลาร้า, ปลาแห้ง อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระดี่นาง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระดี่แดง

ปลากระดี่แดง (Honey gourami, Red gourami) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในสกุล Trichogaster ในวงศ์ Osphronemidae มีรูปร่างและลักษณะคล้ายปลากระดี่แคระ (T. lalia) ซึ่งจัดเป็นปลาอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ทว่าปลากระดี่แดงจะมีรูปร่างที่ยาวกว่าอย่างเห็นได้ชัด สีของลำตัวจะเป็นสีแดง, สีส้ม หรือสีเหลือง ช่วงท้องสีจะจางไปเป็นสีขาว โดยที่ตลอดทั้งลำตัวโดยไม่มีลวดลายเหมือนปลากระดี่แคระ ขนาดเมื่อโตเต็มที่ ตัวผู้จะมีขนาดประมาณ 5 เซนติเมตร ขณะที่ตัวเมียประมาณ 4 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในประเทศอินเดียและบังกลาเทศ อีกทั้งยังมีบางข้อมูลว่าระบุว่าพบในประเทศไทยด้วย ส่วนพฤติกรรมและการวางไข่คล้ายกับปลากระดี่ในสกุล Trichogaster ชนิดอื่น ๆ เป็นปลาอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยมีอุปนิสัยไม่ดุร้ายก้าวร้าวมากนัก สามารถรวมกับปลาชนิดอื่น ๆ ที่มีขนาดลำตัวไล่เลี่ยกันได้เป็นอย่างดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระดี่แดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระดี่แคระ

ปลากระดี่แคระ (Dwarf gourami) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในสกุล Trichogaster อยู่ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) พบกระจายพันธุ์ในอนุทวีปอินเดีย มีรูปร่างแบนข้างมาก ตามลำตัวมีแถบสีเขียวหรือสีน้ำเงินอ่อนสลับกับสีแดงทั่วไปตามครีบต่าง ๆ ด้วย และอาจมีสีสันที่หลากหลายกว่านี้ โดยในบางตัวอาจจะไม่มีลวดลายเลยก็ได้ ตัวผู้มีความแตกต่างจากตัวเมียอย่างชัดเจน กล่าวคือ มีสีที่สดสวยกว่ามาก มีขนาดความยาวตำตัวประมาณ 5-7 เซนติเมตร มีอุปนิสัยไม่ก้าวร้าวเท่าปลากระดี่ในสกุล Trichopodus ชอบอยู่กันเป็นฝูงตามแหล่งน้ำที่พืชไม้น้ำขึ้นหนาแน่น โดยจะหลบอยู่ตามกอพืช แต่เมื่อถึงเวลาผสมพันธุ์และวางไข่ ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายก่อหวอด และเมื่อวางไข่เสร็จแล้ว ตัวผู้จะดุร้ายกับตัวเมียทันที และอาจทำร้ายตัวเมียจนตายได้ และเมื่อหลังวางไข่เสร็จแล้วตัวเมียมักจะตาย มีอายุเต็มที่ประมาณ 4 ปี นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งได้มีการเพาะขยายพันธุ์ออกมาเป็นสีสันที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ในปลาตัวที่สีสีแดงทั้งตัวหรือสีส้ม มักจะเรียกว่า "กระดี่นีออน".

ใหม่!!: สัตว์และปลากระดี่แคระ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระดี่โนเบิล

ปลากระดี่โนเบิล (Frail gourami, Indian paradisefish) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในสกุล Ctenops มีลักษณะที่ตัวผู้และตัวเมียมีสีไม่ต่างกัน แต่ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่า และตัวผู้มีครีบต่าง ๆ ใหญ่กว่า มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 9-12 เซนติเมตร เป็นปลาที่กระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำนิ่งที่มีพรรณไม้น้ำขึ้นอย่างหนาแน่นในภาคตะวันออกของประเทศอินเดีย และบังกลาเทศ ในสภาพแหล่งน้ำที่มีความเป็นกรดต่ำกว่าน้ำที่มีค่าเป็นกลาง (pH ต่ำกว่า 7) มีพฤติกรรมการวางไข่ แตกต่างไปจากปลากระดี่ในสกุลอื่นที่ใกล้เคียงกัน โดยจะไม่ก่อหวอด แต่จะใช้การอมไข่แทน แม่ปลาจะอมไข่ไว้ในปากราว 12-14 วัน โดยที่ไม่กินอาหาร จากนั้นปลาจึงจะฟักเป็นตัว นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เป็นปลาที่รักสงบ แต่อาจก้าวร้าวได้บางขณะกับปลาขนาดเล็กกว่า จัดเป็นปลาค่อนข้างหายาก เพราะเลี้ยงให้รอดได้ยาก และยังไม่มีรายงานการเพาะขยายพันธุ์ได้สำเร็จในที่เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระดี่โนเบิล · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระแห

ฝูงปลากระแหที่ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสุพรรณบุรี ปลากระแห เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Barbonymus schwanenfeldii อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) รูปร่างคล้ายปลาตะเพียนทอง (B. altus) ที่อยู่สกุลเดียวกัน แต่มีรูปร่างป้อมสั้นกว่า ลำตัวแบนข้าง ส่วนหลังยกสูง หัวค่อนข้างเล็ก ตาโต มีหนวด 2 คู่ที่ริมฝีปาก ปากเล็กอยู่สุดของจะงอยปาก เกล็ดเล็กมีสีเงินวาวเหลือบเหลืองทอง ครีบหลังสีส้มมีแต้มสีดำชัดที่ด้านบนสุด ครีบอื่น ๆ มีสีส้มสดยกเว้นขอบบนของครีบอกและขอบล่างของครีบหางที่มีแถบสีดำยาว มีขนาดประมาณ 15–30 เซนติเมตร พบอาศัยอยู่เป็นฝูงในแม่น้ำและหนองบึงทุกภาคของประเทศไทย หรือตามหน้าวัดที่อยู่ติดริมแม่น้ำต่าง ๆ โดยมักจะอาศัยอยู่รวมกับปลาตะเพียน (B. gonionotus), ปลาตะเพียนทอง, ปลาแก้มช้ำ (Puntius orphoides) หรือปลาในตระกูลปลาตะเพียนชนิดอื่นด้วยกันเสมอ ปลากระแหนิยมบริโภคโดยการปรุงสด รมควัน ตากแห้ง ทำปลาร้า ปลาส้ม นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ชื่อเรียกอื่น ๆ ตามท้องถิ่น เช่น "กระแหทอง" หรือ "ตะเพียนหางแดง", ในภาษาใต้เรียก "ลำปำ", ในภาษาอีสานเรียก "เลียนไฟ", ภาษาเหนือเรียก "ปก" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระแห · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระโห้

ปลากระโห้ (Siamese giant carp, Giant barb) เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จัดเป็นปลาในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดเกล็ดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นปลาในวงศ์ปลาตะเพียนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอีกด้วย โดยเฉลี่ยมักมีขนาดประมาณ 1.5 เมตร แต่พบใหญ่สุดได้ถึง 3 เมตร หนักได้ถึง 150 กิโลกรัม ในอดีต เกล็ดปลากระโห้สามารถนำมาทอดรับประทานเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อ ปลากระโห้ จัดเป็นปลาประจำกรุงเทพมหานครของกรมประมง.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระโห้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระโห้อินเดีย

ปลากระโห้อินเดีย หรือ ปลากระโห้เทศ หรือ ปลากระโห้สาละวิน (Calta, Indian carp; কাতল) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายปลากระโห้ (Catlocarpio siamensis) ที่พบได้เฉพาะในประเทศไทย เว้นแต่ปลากระโห้อินเดียมีหนวด 1 คู่ เหนือริมฝีปาก นัยน์ตาพองโตกว่าและมีฟันที่ลำคอสองแถว สีลำตัวก็อ่อนกว่าอย่างเห็นได้ชัด จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Gibelion ขนาดเมื่อโตเต็มที่ได้ 182 เซนติเมตร น้ำหนัก 38.6 กิโลกรัม ซึ่งเล็กกว่าปลากระโห้มาก พบได้ในภูมิภาคเอเชียใต้ตอนบน เช่น รัฐอัสสัมในอินเดีย, ปากีสถาน, เนปาล, บังกลาเทศ จนถึงพม่า ปลากระโห้อินเดียได้ถูกนำเข้าสู่ประเทศไทยเช่นเดียวกับ ปลานวลจันทร์เทศ (Cirrhinus cirrhosus) และปลายี่สกเทศ (Labeo rohita) เนื่องจากเป็นปลาที่พบในแหล่งเดียวกัน เพื่อพัฒนาให้เป็นปลาเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต แต่ปรากฏว่าผลการเพาะเลี้ยงนั้น ปลากระโห้อินเดียกระทำได้ยากกว่าปลาอีก 2 ชนิดนั้น จึงเป็นที่นิยมและหายากได้ยากกว.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระโห้อินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระโทงร่ม

รีบหลังอันใหญ่เป็นเอกลักษณ์ ปลากระโทงร่ม หรือ ปลากระโทงแทงร่ม (Sailfish) เป็นปลากระโทงที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในสกุล Istiophorus มีรูปร่างยาวเรียว ลำตัวแบนข้าง ส่วนของสันหลังมีกล้ามเนื้อหนา หัวค่อนข้างโต ปากกว้าง จะงอยปากเรียวยาวและแหลม มีครีบกระโดงหลังสูงใหญ่เวลาแผ่กว้างจะมีลักษณะคล้ายใบเรือ ซึ่งใหญ่กว่าปลากระโทงสกุลอื่น ครีบอกมีขนาดเล็ก ครีบท้องเรียวยาวเหมือนแถบริบบิ้น ครีบก้นแยกเป็นสองอันเล็ก ๆ อันที่สองอยู่ตรงข้ามครีบหลังซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกัน สีของลำตัวด้านหลังเป็นสีน้ำเงินเข้มปนดำข้างตัวสีน้ำเงินอ่อนกว่าด้านหลัง ท้องสีขาวเงินมีลายเป็นเส้นประพาดจากด้านหลังลงไปถึงท้อง ครีบทุกครีบมีสีดำ มีความยาวได้ถึง 3.5 เมตร น้ำหนักตัวประมาณ 100-125 กิโลกรัม กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในทะเลเปิดของมหาสมุทรต่าง ๆ ทั้ง มหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรแอตแลนติก, มหาสมุทรอินเดีย ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เป็นปลาที่มีความปราดเปรียวว่องไวมาก โดยสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เนื่องจากเป็นปลาที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงมาก ข้อต่อของกระดูกและครีบต่าง ๆ ที่ช่วยในการเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี มีการอพยพย้ายถิ่นไปตามกระแสน้ำ ลูกปลาวัยอ่อนเมื่อฟักออกมาจากไข่มีขนาดเพียง 3 มิลลิเมตรเท่านั้น และจะมีขนาดเหมือนตัวเต็มวัยเมื่อมีความยาวได้ 20 เซนติเมตร ปลาวัยอ่อนจะอาศัยหากินตามผิวน้ำที่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก และบางครั้งอาจเข้าไปหากินใกล้ชายฝั่งหรือใกล้กับเกาะ โดยใช้จะงอยปากที่แหลมยาวและครีบหลังที่ใหญ่ไล่ต้อน ซึ่งอาหารที่ชื่นชอบ คือ ปลาขนาดเล็กและหมึก เมื่อจะล่าเหยื่อ โดยเฉพาะปลาแมกเคอเรล จะเปลี่ยนสีลำตัวเป็นสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน เนื่องจากสายตาของปลาแมกเคอเรลไวต่อแสงสีฟ้าหรือสีน้ำเงินมาก รวมทั้งสามารถมองเห็นแสงอัลตราไวโอเลตด้วย การเปลี่ยนเป็นสีฟ้าจะทำให้ปลาแมกเคอเรลสับสน ปลากระโทงร่ม เป็นปลาที่เป็นทื่นิยมอย่างมากในการตกเป็นเกมกีฬา ด้วยเป็นปลาที่สู้กับเบ็ดและต้องใช้พละกำลังและเวลาอย่างมากในการตก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระโทงร่ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระโทงร่มอินโด-แปซิฟิก

ปลากระโทงร่มอินโด-แปซิฟิก หรือ ปลากระโทงแทงกล้วย (Banana sailfish, Indo-Pacific sailfish) เป็นปลากระโทงที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง และจัดเป็นปลากระโทงร่มชนิดหนึ่ง มีรูปร่างยาวเรียว ลำตัวแบนข้าง ส่วนของสันหลังมีกล้ามเนื้อหนา หัวค่อนข้างโต ปากกว้าง จะงอยปากเรียวยาวและแหลม มีครีบกระโดงหลังสูงใหญ่เวลาแผ่กว้างจะมีลักษณะคล้ายใบเรือ ซึ่งใหญ่กว่าปลากระโทงชนิดอื่น ๆ ครีบอกมีขนาดเล็ก ครีบท้องเรียวยาวเหมือนแถบริบบิ้น ครีบก้นแยกเป็นสองอันเล็ก ๆ อันที่สองอยู่ตรงข้ามครีบหลังซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกัน สีของลำตัวด้านหลังเป็นสีน้ำเงินเข้มปนดำข้างตัวสีน้ำเงินอ่อนกว่าด้านหลัง ท้องสีขาวเงินมีลายเป็นเส้นประพาดจากด้านหลังลงไปถึงท้อง ครีบทุกครีบมีสีดำ มีครีบท้องเป็นเส้นยาวชัดเจน มีความยาวได้ถึง 3.5 เมตร น้ำหนักตัวประมาณ 100-125 กิโลกรัม กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในเขตร้อนของทะเลเปิดของมหาสมุทรต่าง ๆ ทั้ง มหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรอินเดีย ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เป็นปลาที่มีความปราดเปรียวว่องไวมาก โดยสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เนื่องจากเป็นปลาที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงมาก ข้อต่อของกระดูกและครีบต่าง ๆ ที่ช่วยในการเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี มีการอพยพย้ายถิ่นไปตามกระแสน้ำ ลูกปลาขนาดเล็ก ปลาที่ถูกตกได้ที่คอสตาริกา ลูกปลาวัยอ่อนเมื่อฟักออกมาจากไข่มีขนาดเพียง 3 มิลลิเมตรเท่านั้น และจะมีขนาดเหมือนตัวเต็มวัยเมื่อมีความยาวได้ 20 เซนติเมตร ปลาวัยอ่อนจะอาศัยหากินตามผิวน้ำที่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก และบางครั้งอาจเข้าไปหากินใกล้ชายฝั่งหรือใกล้กับเกาะ โดยใช้จะงอยปากที่แหลมยาวและครีบหลังที่ใหญ่ไล่ต้อน ซึ่งอาหารที่ชื่นชอบ คือ ปลาขนาดเล็กและหมึก เมื่อจะล่าเหยื่อ โดยเฉพาะปลาแมกเคอเรล จะเปลี่ยนสีลำตัวเป็นสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน เนื่องจากสายตาของปลาแมกเคอเรลไวต่อแสงสีฟ้าหรือสีน้ำเงินมาก รวมทั้งสามารถมองเห็นแสงอัลตราไวโอเลตด้วย การเปลี่ยนเป็นสีฟ้าจะทำให้ปลาแมกเคอเรลสับสน ปลากระโทงร่มอินโด-แปซิฟิก เป็นปลาที่เป็นทื่นิยมอย่างมากในการตกเป็นเกมกีฬา ด้วยเป็นปลาที่สู้กับเบ็ดและต้องใช้พละกำลังและเวลาอย่างมากในการตก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระโทงร่มอินโด-แปซิฟิก · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระโทงลาย

ปลากระโทงลาย หรือ ปลาอินทรีขาว (Striped marlin) เป็นปลาชนิดหนึ่งในวงศ์ปลากระโทง (Istiophoridae) เป็นปลากระโทงชนิดหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ในน่านน้ำแถบอินโด-แปซิฟิก เป็นปลาที่นิยมตกกันเป็นเกมกีฬา มีสถิติบันทึกไว้ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลากระโทงลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระโทงสีน้ำเงิน

ปลากระโทงสีน้ำเงิน หรือ ปลากระโทงแทงสีน้ำเงิน หรือ ปลาอินทรีช้าง (Blue marlin, Atlantic blue marlin) เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกปลากระโทง.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระโทงสีน้ำเงิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระโทงดาบ

ปลากระโทงดาบ หรือ ปลากระโทงแทงดาบ (Swordfish, Broadbill swordfish) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Xiphiidae จัดเป็นเพียงชนิดเดียวและสกุลเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในวงศ์นี้ มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลากระโทงร่ม (Istiophoridae) ต่างกันที่จะงอยปากที่ยื่นยาวออกไปมีลักษณะแบนลง เมื่อโตเต็มวัยไม่มีเกล็ดหุ้มตัว ไม่พบครีบท้อง ในปากไม่มีฟัน (มีฟันแต่เฉพาะยามเป็นปลาวัยอ่อน ซึ่งฟันมีความกริบเหมือนมีดโกน และจะหลุดออกเมื่อโตขึ้น) บริเวณด้านข้างคอด หางมีสันนูนเพียงข้างละสันเดียว มีขนาดตัวยาวได้ถึง 4.5 เมตร พบกระจายพันธุ์ไปในมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก สามารถที่จะดำน้ำได้ถึง 550 เมตร กินปลาขนาดเล็กทั่วไป สามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 50 ไมล์/ชั่วโมง จัดเป็นปลาที่ดุร้ายก้าวร้าวชนิดหนึ่ง มีรายงานโจมตีปลาฉลามหรือเต่าทะเล โดยพบชิ้นส่วนของจะงอยปากติดกับสิ่งที่แทง รวมถึงแม้แต่เรือดำน้ำขนาดเล็กเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ด้วย ก็เคยถูกปลากระโทงดาบโจมตี จนตัวปลาติดกับเรือจนตาย และเมื่อขึ้นสู่ผิวน้ำ ลูกเรือก็ได้กินปลาตัวนั้นเป็นอาหารSuper Fish: fasted predator in the sea, สารคดีทางแอนิมอลพนาเน็ต.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระโทงดาบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบน

ปลากระเบน คือ ปลากระดูกอ่อนจำพวกหนึ่งที่อยู่ในชั้นย่อยอีลาสโมแบรนชิไอ (Elasmobranchii) ในอันดับใหญ่ที่ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Batoidea หรือ Rajomorphii มีประมาณ 400 ชนิด พบได้ทั้งน้ำจืดสนิท, น้ำกร่อย และทะเล มีรูปร่างแบนราบ ครีบทั้งหมดอยู่ชิดติดกับลำตัวด้านข้าง มีท่อน้ำออก 1 คู่ อยู่ด้านหลังของหัว ซึ่งทำหน้าที่ให้น้ำผ่านเข้าทางเพื่อไหลเวียนผ่านเหงือกเพื่อการหายใจ ซึ่งจะไม่ไหลเวียนผ่านปากซึ่งอยู่ด้านล่างลำตัว เหมือนปลากระดูกอ่อนหรือปลากระดูกแข็งจำพวกอื่น หากินบริเวณพื้นน้ำ ในปากไม่มีฟันแหลมคมเหมือนปลาฉลาม ดังนั้นการกินอาหารจึงค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการเคี้ยวอย่างช้า ๆ ซึ่งอาหารส่วนมากก็ได้แก่ หอย, กุ้ง, ปู หรือปลาขนาดเล็กตามพื้นน้ำ เป็นส่วนใหญ่ แบ่งออกได้เป็น 4 อันดับ (ดูในตาราง) ซึ่งก็แบ่งออกได้เป็นหลายวงศ์, หลายสกุล ขนาดแตกต่างหลากหลายไปตามสกุลและชนิด กระจายไปตามเขตอบอุ่นทั่วโลก เช่น วงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) รูปร่างค่อนข้างกลม จะงอยปากแหลม หางยาวคล้ายแส้ มีเงี่ยงแหลมคม ที่มีพิษบริเวณโคนหาง 1-2 ชิ้น ที่เมื่อหักไปแล้วสามารถงอกใหม่ได้, วงศ์ปลากระเบนนก (Myliobatidae) มีส่วนหัวโหนก ครีบด้านข้างแยกออกจากส่วนหัวเห็นได้ชัดเจน และครีบขยายออกด้านข้างเสมือนกับปีกของนก ปลายแหลม ใช้สำหรับว่ายน้ำในลักษณะโบกโบยเหมือนนกบินในทะเล ส่วนปลากระเบนไฟฟ้า พบเฉพาะในทะเล มีขนาดเล็ก มีรูปร่างต่างไปจากปลากระเบนจำพวกอื่น ๆ ที่โคนหางไม่มีเงี่ยง และสามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อป้องกันตัวและล่าเหยื่อได้ด้วย ปลากระเบน เป็นปลาที่มนุษย์ผูกพันมาตั้งแต่อดีต ด้วยการใช้เนื้อในการรับประทาน สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารต่าง ๆ เช่น ผัดเผ็ด, ผัดขี้เมา หรือผัดฉ่า เช่นเดียวกับปลาฉลามได้ ในปลากระเบนบางวงศ์ เช่น วงศ์ปลากระเบนหางสั้น (Potamotrygonidae) มีลำตัวกลมเหมือนจานข้าวหรือแผ่นซีดี จะงอยปากไม่แหลม มีส่วนหางที่สั้น มีถิ่นกำเนิดเฉพาะในแม่น้ำของทวีปอเมริกาใต้ มีสีสันและลวดลายตามลำตัวสวยงาม และสามารถแพร่ขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้ง่าย จึงนิยมเลี้ยงและเพาะขยายพันธุ์กันเป็นปลาสวยงาม นอกจากนี้แล้ว ปลากระเบนส่วนมากจะมีเกล็ดเป็นตุ่มแข็งบริเวณกลางหลัง ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ผลิตเป็นเครื่องหนัง เช่น กระเป๋า ได้ นอกจากนี้แล้วยังนำไปทำเป็นเครื่องประดับเช่น แหวน เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนบอนเนต

ปลากระเบนบอนเนต (Bonnet rays) เป็นสกุลของปลากระเบนในสกุล Aetobatus (/เอ-โต-บา-ตัส/) ในวงศ์ปลากระเบนนก (Myliobatidae) พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิก, อินเดีย และแอตแลนติก มีส่วนหัวและปากแหลม กินอาหารจำพวก ปูหรือหอยสองฝาเป็นอาหาร มีลักษณะเด่น คือ เป็นปลากระเบนที่มีครีบข้างยาว แยกออกจากส่วนหัว ส่วนหางยาว จึงทำให้ว่ายน้ำได้อย่างอิสระเหมือนนกบิน เมื่อตกใจสามารถกระโดดขึ้นเหนือน้ำหรือกระโดดเพื่อเล่นคลื่นได้ แต่เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ปัจจุบันจำแนกออกเป็น 5 ชนิด.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนบอนเนต · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนบัว

ปลากระเบนบัว (Whitenose whipray, Bleeker's whipray) เป็นปลากระเบนชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) เป็นปลากระเบนที่อยู่ในน้ำจืดชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายปลากระเบนลายเสือ (H. oxyrhyncha) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก มีจะงอยปากยื่นแหลมกว่า ขอบครีบกว้างกว่า พื้นลำตัวสีนวลหรือสีน้ำตาลแดง ไม่มีลวดลายใด ๆ กลางหลังมีเกล็ดเป็นตุ่มหยาบ ๆ ด้านล่างสีขาว และมีลักษณะคล้ายกับปลากระเบนทะเลชนิด H. fai และ H. pastinacoides เป็นปลาที่ถูกบรรยายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย พีเตอร์ บลีกเกอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวดัตช์ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนบัว · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนชายธง

ปลากระเบนชายธง หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ปลากระเบนธง (Cowtail stingray) ปลากระเบนชนิดหนึ่ง ที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเลได้ อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีรูปร่างเป็นทรงกึ่งสี่เหลี่ยมดูคล้ายชายธง จึงเป็นที่มาของชื่อ โดยความกว้างของลำตัวจะมีมากกว่าความยาวของลำตัวเสียอีก เมื่อมีขนาดเล็กผิวด้านบนจะเรียบ และผิวนี้จะขรุขระขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยมีตุ่มแข็งเล็ก ๆ ปกคลุมบริเวณกลางลำตัวจนถึงโคนหาง ตามีขนาดเล็ก หางยาว ปลายหางมีแผ่นริ้วหนังเห็นได้ชัดเจน มีเงี่ยงพิษ 2 ชิ้นที่ตอนกลางของส่วนหาง สีลำตัวด้านบนเป็นสีน้ำตาลคล้ำ มีความกว้างโดยเฉลี่ยทั่วไปประมาณ 1 เมตร พบใหญ่สุดได้ถึง 3 เมตร และยาว 1.8 เมตร น้ำหนักกว่า 250 กิโลกรัม มีจุดเด่นคือ หางที่ยาวมาก โดยที่ความยาวของหางมีมากกว่าความยาวลำตัวถึง 2.5–3 เท่า ซึ่งเมื่อถูกจับ มักจะสะบัดหางด้วยความรุนแรงและเร็วเพื่อแทงเงี่ยงหางเพื่อป้องกันตัว เนื่องจากมีเงี่ยงที่อยู่ตอนกลางของส่วนหางด้วย จึงนับได้ว่ามีอันตรายกว่าปลากระเบนสกุลหรือชนิดอื่นทั่วไป ที่มีเงี่ยงอยู่ที่ส่วนโคนหาง พบกระจายพันธุ์บริเวณชายฝั่งทะเล หรือปากแม่น้ำอย่างกว้างขวาง โดยพบตั้งแต่ทวีปแอฟริกาตะวันออก, แอฟริกาเหนือ เช่น อียิปต์ และแอฟริกาใต้ เรื่อยไปจนถึงทะเลแดง, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงภูมิภาคไมโครนีเซีย และ ออสเตรเลีย รวมถึงญี่ปุ่น โดยมีรายงานพบที่แม่น้ำคงคา ประเทศอินเดีย ที่ห่างจากทะเลถึง 2,200 กิโลเมตร รวมถึงมีรายงานการพบตัวที่มีน้ำหนัก 50 กิโลกรัมที่คลองรังสิต จังหวัดปทุมธานี ของประเทศไทย แต่พฤติกรรมในทะเลจะอาศัยอยู่ได้ลึกถึง 60 เมตร สำหรับในประเทศไทย พบได้ในแหล่งน้ำจืดในแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา, แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำแม่กลองช่วงจังหวัดกาญจนบุรี และพบได้น้อยที่ทะเลสาบสงขลาตอนใน ในเขตจังหวัดพัทลุงและสงขลา มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ คือ ใช้เนื้อเป็นอาหารในต่างประเทศ และใช้หนังทำเป็นเครื่องหนัง เช่น กระเป๋า เป็นต้น และยังเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาป้อนอาหารให้ที่ชายหาดแถบทะเลแคริบเบียนด้วย เดิมปลากระเบนชายธงเคยถูกจำแนกให้มีเพียงชนิดเดียว แต่ปัจจุบันจากการศึกษาล่าสุดได้ถูกจำแนกออกเป็นถึง 5 ชนิด และในชนิด P. sephen นี้ เป็นปลาที่พบในแถบทะเลแดงและทะเลอาหรับหน้า 102-120, กระเบนน้ำจืดแห่งชาต.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนชายธง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนชายธง (สกุล)

ปลากระเบนชายธง หรือ ปลากระเบนธง (Cowtail stingray) เป็นสกุลของปลากระเบนจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Pastinachus (เป็นภาษาละตินหมายถึง "ปลากระเบน" หรือ "ปลากระเบนธง") ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีรูปร่างโดยรวมคือ มีลำตัวที่เป็นทรงคล้ายสามเหลี่ยมหน้าจั่วคล้ายชายธงจึงทำให้เป็นที่มาของชื่อ กลางหลังมีเกล็ดชิ้นใหญ่คล้ายไข่มุกและมีส่วนที่เป็นเกล็ดรูปฟันขนาดเล็กปกคลุมผิวหนังส่วนบน บนฐานปากมีตุ่มเนื้อ 5 ตุ่ม ตรงกลาง 3 ด้านข้างอย่างละหนึ่งเหมือนกัน มีส่วนหางที่อวบอ้วน มีเงี่ยงที่กลางหางอยู่เลยกว่าตำแหน่งของปลากระเบนสกุลอื่น ๆ ที่มีเงี่ยงกันที่อยู่บริเวณโคนหาง ที่สำคัญ คือ แผ่นหนังที่เห็นได้ชัดเจนที่ปลายหาง หางมีความยาวกว่าปลากระเบนชนิดอื่น ๆ ส่วนหัว ปัจจุบันพบทั้งสิ้น 5 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนชายธง (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนกิตติพงษ์

ปลากระเบนกิตติพงษ์ หรือ ปลากระเบนแม่กลอง (Kittipong's whipray) ปลากระเบนน้ำจืดชนิดใหม่ของโลก อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีรูปร่างเหมือนปลากระเบนในวงศ์นี้ทั่วไป ต่างกันที่ด้านหลังจะมีสีน้ำตาลเข้มอมเหลือง รอบวงของลำตัว หาง ช่องหายใจ ช่องเหงือกและขอบด้านล่างของตัวเป็นสีคล้ำ และจำนวนของฟันซึ่งมีลักษณะเป็นซี่เล็ก ๆ บริเวณขากรรไกรล่างมีจำนวนมากถึง 14-15 แถว ส่วนลำตัวมีขนาดใหญ่สุดประมาณ 60 เซนติเมตร ส่วนหางยาว 50-80 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัม ปลากระเบนกิตติพงษ์ ได้ถูกจำแนกออกจากปลากระเบนขาว (H. signifer) ซึ่งเป็นปลากระเบนลักษณะคล้ายคลึงกัน จากการสังเกตของเจ้าของร้านขายปลาสวยงามแห่งหนึ่งในตลาดกลางปลาสวยงาม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี จากนั้น กิตติพงษ์ จารุธาณินทร์ นักสำรวจปลาน้ำจืดชาวไทยที่มีชื่อเสียงได้ส่งตัวอย่างต้นแบบแรกให้แก่ ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนกิตติพงษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนราหูน้ำจืด

ปลากระเบนราหูน้ำจืด (Giant freshwater whipray) เป็นปลากระเบนน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จัดอยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) จัดเป็นปลากระเบนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากปลากระเบนแมนตา (Manta spp.) ที่พบได้ในทะเล โดยมีน้ำหนักได้ถึง 600 กิโลกรัม ความกว้างได้ถึง 2.5–3 เมตร หรือมากกว่านั้น รวมถึงมีความยาวตั้งแต่ปลายส่วนหัวจรดปลายหางที่บันทึกไว้ได้ใหญ่ที่สุด คือ 5 เมตร ถือเป็นหนึ่งในปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก มีส่วนหางเรียวยาวเหมือนแส้ มีลักษณะส่วนปลายหัวแหลม ขอบด้านหน้ามนกลมคล้ายใบโพ ลักษณะตัวเกือบเป็นรูปกลม ส่วนหางยาวไม่มีริ้วหนัง มีเงี่ยงแหลมที่โคนหาง 2 ชิ้น ซึ่งในปลาขนาดใหญ่อาจยาวได้ถึง 8–10 นิ้ว เมื่อหักไปแล้วสามารถงอกขึ้นได้ ในเงี่ยงมีสารเคมีที่มีลักษณะคล้ายเมือกลื่น มีสภาพเป็นสารโปรตีนมีฤทธิ์ในการทำลายเนื้อเยื่อ สำหรับปลาขนาดใหญ่ พิษนี้จะมีความรุนแรงเทียบเท่ากับพิษของงูกะปะ ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้เมื่อถูกแทงเข้ากลางหลังมีเกล็ดเป็นตุ่มหยาบ ๆ ด้านบนของปีกและตัวเป็นสีเทาหรือน้ำตาลนวล หางสีคล้ำ ด้านล่างของตัวมีสีขาวนวล ที่ขอบปีกด้านล่างเป็นด่างสีดำ อาศัยในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ จนถึงบริเวณใกล้ปากแม่น้ำ และยังพบในแม่น้ำสายใหญ่ต่าง ๆ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำแม่กลอง, แม่น้ำบางปะกง, แม่น้ำโขง, บอร์เนียว, นิวกินี โดยสถานที่ ๆ มักพบตัวขนาดใหญ่ คือ แม่น้ำแม่กลอง บริเวณ 20 กิโลเมตรก่อนไหลลงสู่อ่าวไทย ในเขตอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม โดยปลาตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ และอาจมีน้ำหนักที่มากกว่าได้ถึง 80 เท่า เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว โดยลูกปลาที่ออกมาใหม่นั้นจะมีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 50 เซนติเมตร และมีปลอกหุ้มเงี่ยงหางเอาไว้ เพื่อมิให้ทำอันตรายต่อแม่ปลา ออกลูกครั้งละ 2–3 ตัว สันนิษฐานว่าที่ต้องมีขนาดตัวใหญ่เช่นนี้ เพื่อมิให้ตกเป็นอาหารของนักล่าชนิดต่าง ๆ ในแม่น้ำ ได้ชื่อว่า "ราหู" เนื่องจากขนาดลำตัวที่ใหญ่เหมือนราหูอมจันทร์ตามคติของคนโบราณ อีกทั้งยังมีความเชื่ออีกด้วยว่า หากใครพบเห็นหรือจับปลากระเบนราหูน้ำจืดได้ จะพบกับความโชคร้าย ตัวอย่างสตัฟฟ์ในสวนสัตว์พาต้า ชั้น 6 ห้างสรรพสินค้าพาต้า ปิ่นเกล้า เดิมปลากระเบนราหูน้ำจืด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Himantura fluviatilis (ปัจจุบันใช้เป็นชื่อพ้องของ ปลากระเบนธง) โดยข้อมูลที่มีอยู่ระบุว่าพบในแม่น้ำสายใหญ่และทะเลสาบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมา เมื่อการระบุชนิดพันธุ์ปลาถูกศึกษาให้ลงรายละเอียดยิ่งขึ้น ปลากระเบนราหูน้ำจืดจึงถูกอนุกรมวิธานในปี ค.ศ. 1990 โดย ศ.ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนราหูน้ำจืด · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนลายแมลงวัน

ปลากระเบนลายแมลงวัน หรือ ปลากระเบนลายเสือ หรือ ปลากระเบนเสือดาว (Reticulate whipray, Honeycomb whipray) เป็นปลากระเบนชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Himantura uarnak อยู่ในวงศ์ Dasyatidae มีรูปร่างเหมือนกับปลาชนิดอื่นที่อยู่ในสกุล Himantura เช่นเดียวกัน มีจุดเด่นอยู่ที่ลวดลายของลำตัวด้านบนที่เป็นจุดดำบนสีพื้นสีเหลืองหรือสีน้ำตาลที่เหมือนกับลายของเสือดาว จะงอยปากแหลม ขณะที่ปลายังเล็กอยู่ ลวดลายเหล่านี้จะแตกออกเป็นแขนงเหมือนลายของตาข่าย และจะงอยปากไม่แหลมเหมือนปลาที่โต ขอบครีบทั้งสองข้างป้าน มีขนาดโตเต็มที่กว้างได้ถึง 2 เมตร น้ำหนักเต็มที่ได้ถึง 200 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์ในชายฝั่งตามแนวปะการังของอินโด-แปซิฟิก ชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออก,แอฟริกาใต้ ทะเลแดง อ่าวเปอร์เซีย อ่าวไทย และออสเตรเลีย บางครั้งอาจเข้ามาหากินในบริเวณปากแม่น้ำที่เป็นน้ำกร่อยได้อีกด้วย สามารถดำน้ำได้ลึกถึง 50 เมตร ปลากระเบนลายแมลงวันนี้ ถือเป็นต้นแบบของปลาในสกุล Himantura โดยถือเป็นปลาที่ทำให้นักมีนวิทยาทำการแยกสกุลออกจากปลาในสกุล Pastinachus (ซึ่งในขณะนั้นยังคงใช้ชื่อสกุลว่า Raja) เป็นปลากระเบนอีกชนิดหนึ่งที่มีความสวยงาม จึงทำให้นิยมเลี้ยงกันในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต่าง ๆ อาทิ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำสวนสัตว์เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ หรือ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำดาวน์ทาวน์ โคโลราโด ในเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนลายแมลงวัน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนลายเสือ

ปลากระเบนลายเสือ (Marbled whipray) เป็นปลากระเบนน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีรูปร่างเหมือนปลากระเบนชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน หางยาว โคนหางมีเงี่ยงแหลมมีพิษ 1 หรือ 2 ชิ้น ที่สามารถงอกใหม่ได้เมื่อหลุดหรือหักไป หางไม่มีริ้วหนัง พื้นลำตัวด้านบนสีน้ำตาลเหลือง กลางหลังมีเกล็ดเป็นตุ่มหยาบ ๆ มีจุดดำคล้ายลายของเสือดาวกระจายอยู่ทั่วตัวไปจนปลายหาง อันเป็นที่มาของชื่อ พื้นลำตัวด้านล่างสีขาว หากินตามพื้นท้องน้ำโดยอาหารได้แก่ ปลาขนาดเล็ก, สัตว์หน้าดิน และสัตว์มีเปลือก จะว่ายขึ้นมาหากินบริเวณผิวน้ำบ้างเป็นบางครั้ง มีขนาดความกว้างประมาณ 40 เซนติเมตร หางยาว 1.2 เมตร น้ำหนักตั้งแต่ 3-5 กิโลกรัม ปลากระเบนลายเสือเป็นปลาน้ำกร่อยที่พบอาศัยอยู่ค่อนมาทางน้ำจืด เป็นปลาที่พบน้อย พบได้ตามปากแม่น้ำ เช่น ปากแม่น้ำเจ้าพระยา, ปากแม่น้ำโขง, แม่น้ำแม่กลอง, ทะเลสาบเขมร และพบได้ไกลถึงปากแม่น้ำบนเกาะบอร์เนียวของอินโดนีเซีย แต่มีรายงานทางวิชาการว่าพบครั้งแรกที่แม่น้ำน่าน เนื่องจากเป็นปลาที่มีลวดลายสวยงามจึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามที่มีราคาแพง แต่มักจะเลี้ยงไม่ค่อยรอดเพราะปลามักประสบปัญหาปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดหรือภาวะแวดล้อมในที่เลี้ยงไม่ค่อยได้ ปลากระเบนลายเสือมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกว่า "ปลากระเบนเสือดาว", "ปลากระเบนลาย" หรือ "ปลากระเบนลายหินอ่อน".

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนลายเสือ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนลาว

ปลากระเบนลาว หรือ ปลากระเบนแม่น้ำโขง (Mekong stingray, Mekong freshwater stingray) ปลากระเบนน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีรูปร่างคล้ายปลากระเบนในวงศ์นี้ทั่วไป แต่ส่วนหัวจะออกเป็นรูปทรงห้าเหลี่ยม ตาโต หางมีริ้วหนังบาง ๆ โคนหางมีเงี่ยงแหลมมีพิษ 1 หรือ 2 ชิ้น ที่เมื่อหลุดหรือหักไปแล้วสามารถงอกใหม่ทดแทนได้ ลำตัวด้านบนสีน้ำตาลนวล กลางหลังมีเกล็ดเป็นตุ่มหยาบ ๆ ลำตัวด้านล่างสีขาว และมีปื้นสีเหลืองอ่อนหรือส้มปน ความกว้างของลำตัวประมาณ 40 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุด 80 เซนติเมตร ส่วนหางยาว 1.2 เมตร น้ำหนักมากที่สุดมากกว่า 10 กิโลกรัม หากินตามพื้นท้องน้ำ อาหารได้แก่ สัตว์หน้าดิน, ปลาขนาดเล็ก และสัตว์มีเปลือกต่าง ๆ จะว่ายขึ้นมาหากินบริเวณผิวน้ำบ้างเป็นบางครั้ง พบเฉพาะแม่น้ำโขงตอนกลาง ในช่วงของประเทศกัมพูชา, ลาว, ไทย และอาจพบได้จนถึงจีนตอนล่าง โดยค้นพบครั้งแรกเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนลาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนหลังดำ

ปลากระเบนหลังดำ (Black-blotched stingray, Blotched fantail ray) ปลาทะเลกระดูกอ่อนชนิดหนึ่ง จำพวกปลากระเบน ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) ปลากระเบนหลังดำ เป็นปลากระเบนขนาดใหญ่อีกชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์นี้ มีความยาวลำตัวจรดปลายหาง 180 เซนติเมตร ความกว้างของลำตัว 330 เซนติเมตร มีลักษณะัพิเศษ คือ ลำตัวค่อนข้างกลมและหนา มีจุดสีดำบนลำตัว มีเงี่ยงพิษ 1 คู่ที่บริเวณโคนหาง ปลายหางมีแผ่นหนังบาง ๆ มักอาศัยอยู่บริเวณใกล้ชายฝั่งของแถบอินโด-แปซิฟิก โดยอาศัยอยู่ตามพื้นทะเล ในความลึกตั้งแต่ 1-80 เมตร นอกจากนี้แล้วยังพบได้ตามบริเวณปากแม่น้ำและแนวปะการัง กินหอยสองฝา, ปู และปลาตัวเล็ก ๆ เป็นอาหาร เป็นปลากระเบนอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงกันในสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ และมีการออกลูกแพร่ขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงมาแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนหลังดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนหัวแหลม

ปลากระเบนหัวแหลม (Pale-edged stingray, Sharpnose stingray) ปลากระดูกอ่อนทะเลจำพวกปลากระเบนชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีลักษณะลำตัวแบน สันฐานเหลี่ยมคล้ายว่าว หางยาวเรียวเป็นเส้นเหมือนแส้ ส่วนกว้างของลำตัวเกือบเท่าความยาว จะงอยปากยื่นแหลมออกไป ความยาวของจะงอยปากประมาณ 1/3 ของความยาวลำตัว ด้านท้องมีช่องน้ำเข้า 5 คู่ ครีบอกเป็นแผ่นติดต่อรวมกับลำตัว ครีบก้นอยู่ใต้ครีบหาง ไม่มีครีบหลัง บนครีบหางมีเงี่ยงปลายแหลม ขอบหยักเป็นฟันเลื่อย โคนเงี่ยงมีต่อมพิษ ซึ่งถ้าหากแทงจะปล่อยพิษเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ได้รับบาดเจ็บและปวดอย่างรุนแรง ลำตัวด้านหลังมีสีน้ำตาลเทา ด้านท้องสีขาว ขนาดโตเต็มที่ได้ 29 เซนติเมตร (11 นิ้ว) อาศัยในน้ำกร่อย และน้ำทะเล บริเวณปากแม่น้ำ หากินบริเวณพื้นท้องน้ำ พบได้ในบริเวณน้ำตื้นจนถึงน้ำลึกกว่า 100 เมตร (330 ฟุต) อาหารได้แก่ สัตว์กลุ่มกุ้งปูขนาดเล็ก รวมทั้งปลาขนาดเล็กด้วย พบในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกตั้งแต่อินเดียจนถึงตะวันออกของคาบสมุทรมลายู และตอนใต้ของญี่ปุ่น ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนหัวแหลม · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนหางริบบิ้น

ปลากระเบนหางริบบิ้น (Ribbontail stingrays.) เป็นสกุลของปลากระดูกอ่อนจำพวกปลากระเบนสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Taeniura (/เท-นิ-อู-ร่า/) ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) เป็นปลากระเบนที่พบเฉพาะในทะเลเท่านั้น โดยกระจายพันธุ์อยู่ตามแนวปะการังและพื้นทรายของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และพบในมหาสมุทรแอตแลนติก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตอนใต้ แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนหางริบบิ้น · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนหางหนาม

ปลากระเบนหางหนาม (Jenkins' whipray) ปลาทะเลกระดูกอ่อนชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมด้านเท่า จะงอยปากแหลมเล็กน้อย ขอบปีกด้านข้างเป็นมุมมน ด้านหลังมีตุ่มแหลมมาก มีแกนกลางเป็นตุ่มใหญ่ไปจนถึงโคนหาง หางมีตุ่มหยาบมาก ลำตัวสีน้ำตาลแดง ด้านท้องสีขาว หางสีคล้ำ มีขนาดความกว้างได้ถึง 150 เซนติเมตร จากปีกด้านหนึ่งไปอีกยังด้านหนึ่ง อาศัยอยู่ตามพื้นทรายหรือพื้นที่มีโคลนปนตามแถบชายฝั่งจนถึงแนวปะการัง ตั้งแต่ชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออก, แอฟริกาใต้, อ่าวเปอร์เซีย, ทะเลอาหรับ, ทะเลแดง, ทะเลอันดามัน, อ่าวไทย, ทะเลฟิลิปปิน ไปจนถึงตอนเหนือออสเตรเลีย เป็นปลาที่หากินสัตว์น้ำหน้าดินต่าง ๆ เป็นอาหาร เช่น หอย, ปู ในน่านน้ำไทยถือเป็นปลาที่พบได้น้อย หายาก แต่ที่มัลดีฟส์ เป็นปลาที่พบได้ง่าย โดยมักจะว่ายเข้ามาหานักท่องเที่ยวเพื่อขออาหารกิน.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนหางหนาม · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนหางปีก

ปลากระเบนหางปีก (Fintail stingrays) เป็นสกุลของปลากระเบนจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) ใช้ชื่อว่า Dasyatis (/ดา-ซิ-อา-ทิส/) ปลาในสกุลนี้ มีรูปร่างโดยรวมคล้ายกับปลาในสกุล Himantura แต่ปลาในสกุลนี้จะมีลำตัวรูปทรงออกไปทางห้าเหลี่ยมมากกว่า จะงอยปากไม่ยื่นแหลมเท่า มีส่วนของตาที่ปูนโปดกว่า และหางมีความยาวน้อยกว่า และอาจมีริ้วหนังบาง ๆ ในช่วงตอนปลายของหางด้วย นอกจากนี้แล้วยังมีอยู่ชนิดหนึ่ง คือ Neotrygon kuhlii ที่เป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Neotrygon ก็ถูกจัดให้อยู่ในสกุลนี้เช่นกัน เนื่องจากสกุลนี้ถือเป็นสกุลต้นแบบของปลาในวงศ์ Dasyatidae โดยคำว่า Dasyatis นั้นมาจากภาษากรีกคำว่า "dasys" หมายถึง "หยาบ" หรือ "ฟัน" และ "batus" หมายถึง "ปลากระเบน".

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนหางปีก · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนหางแส้

ปลากระเบนหางแส้ (Whip rays) เป็นชื่อสกุลของปลากระเบน ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Himantura (/ไฮ-แมน-ทู-รา/) ปลากระเบนในสกุลนี้ มีรูปร่างโดยรวมคือ มีปลายจะงอยปากที่แหลมยาว ขอบของด้านหน้าเชิงมน ลำตัวแบนกลมคล้ายใบโพ กลางหลังมีผิวที่ขรุขะและเป็นหนาม ในบางตัวอาจมีตุ่มหนามเล็ก ๆ ไปจรดถึงโคนหางที่เป็นเงี่ยงพิษ 2 ชิ้น มีส่วนหางที่เรียวยาวมาก โดยจะมีความยาวเป็น 2 เท่าของลำตัว มีซี่กรองเหงือกทั้งหมด 5 คู่ อยู่ด้านใต้ของลำตัวซึ่งเป็นสีขาว และสีจางกว่าด้านบนลำตัว ความยาวของลำตัววัดจากรูก้นถึงปลายจะงอยปากสั้นมากกว่าความกว้างลำตัว เป็นปลาที่พบได้ทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่มหาสมุทรอินเดียจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ปัจจุบันพบแล้วกว่า 28 ชนิด โดยมีชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ ปลากระเบนราหู (H. polylepis) ที่พบอาศัยในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ของประเทศไทยไปจนถึงตอนเหนือของออสเตรเลีย ที่มีความยาวถึง 5 เมตร และหนักถึงเกือบ 300 กิโลกรัม.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนหางแส้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนหน้ากาก

ปลากระเบนหน้ากาก (Maskrays) เป็นสกุลของปลากระดูกอ่อนจำพวกปลากระเบนสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Neotrygon (/นี-โอ-ไทร-กอน/) ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) โดยได้ชื่อว่า "ปลากระเบนหน้ากาก" จากการที่มีจุดสีรอบ ๆ ดวงตาทำให้เหมือนกับสวมหน้ากาก โดยถูกจำแนกออกมาจากปลากระเบนสกุล Dasyatis โดยที่บางข้อมูลจะยังใช้เป็นชื่อสกุลเดิม พบกระจายพันธุ์ในทะเลเขตร้อน โดยชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีความกว้างได้ถึง 4 เมตร (13 ฟุต).

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนหน้ากาก · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนอเมซอนหางยาว

ปลากระเบนอเมซอนหางยาว (Long-tailed river stingray) เป็นปลากระเบนน้ำจืดในวงศ์ปลากระเบนหางสั้น (Potamotrygonidae) เป็นปลากระเบนในวงศ์นี้ชนิดเดียวที่มีหางเรียวยาว มีเงี่ยงแหลมคมที่โคนหาง 2 ชิ้น มีลำตัวสีเทา มีจุดกลมสีขาวกระจายไปทั่วตัวจนถึงโคนหาง มักหากินร่วมกันเป็นฝูง ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ มีขนาดยาวเต็มที่ 58 เซนติเมตร พบเพียงแม่น้ำและลำคลองในตอนเหนือของประเทศบราซิลเท่านั้น กินสัตว์มีกระดอง สัตว์น้ำหน้าดินขนาดเล็ก และปลาซัคเกอร์ขนาดเล็กเป็นอาหาร จัดเป็นปลาที่ใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่ง เนื่องจากถิ่นที่อยู่อาศัยในธรรมชาติถูกคุกคาม เป็นปลาที่เพิ่งถูกค้นพบและอนุกรมวิธานเมื่อปี ค.ศ. 1987 โดยนักมีนวิทยาชาวบราซิล จัดเป็นปลาที่หาได้ยากและไม่พบเลี้ยงหรือขายเป็นปลาตู้เหมือนเช่นปลากระเบนชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนอเมซอนหางยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนผีเสื้อ

ปลากระเบนผีเสื้อ (Butterfly ray) เป็นกลุ่มของปลากระดูกอ่อน จำพวกปลากระเบนจัดอยู่ในวงศ์ Gymnuridae และสกุล Gymnura เป็นปลาทะเล พบในมหาสมุทรทั่วโลก และพบได้บ้างในแหล่งน้ำกร่อย เช่น ปากแม่น้ำหรือชะวากทะเล เป็นปลาที่มีรูปร่างแบนและมีครีบล้อมลำตัว ซึ่งเป็นครีบอกรวมไปถึงส่วนหัว มีลำตัวและส่วนหางสั้นมาก มีความยาวช่วงลำตัวตั้งแต่ 31 เซนติเมตร (12 นิ้ว) ถึง 4 เมตร (13 ฟุต) ปลากระเบนผีเสื้อ ในบางข้อมูลจะใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gymnurinae จัดเป็นวงศ์ย่อยของวงศ์ Dasyatidae แต่ในเว็บไซต์ฟิชเบส และระบบข้อมูลการจำแนกพันธุ์แบบบูรณาการได้จำแนกให้เป็นวงศ์ต่างหาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนผีเสื้อ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนจมูกวัว

ปลากระเบนจมูกวัว (Cownose rays) เป็นปลากระเบนในวงศ์ Rhinopteridae และสกุล Rhinoptera เป็นปลากระเบนที่มีครีบอยู่ข้างลำตัวแยกออกจากส่วนหัวชัดเจนเหมือนปลากระเบนนกหรือปลากระเบนปีศาจ โดยในบางข้อมูลจัดให้เป็นเป็นวงศ์ย่อยของวงศ์ Myliobatidae หรือวงศ์ปลากระเบนนก โดยใช้ชื่อวงศ์ว่า Rhinopterinae ซึ่งปัจจุบันเป็นชื่อพ้องรอง.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนจมูกวัว · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนจุดฟ้า

ระวังสับสนกับ: ปลากระเบนทอง ปลากระเบนจุดฟ้า (Bluespotted stingray, Bluespotted maskray) ปลากระดูกอ่อนน้ำเค็มชนิดหนึ่ง จำพวกปลากระเบน อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีจะงอยปากและปลายครีบอกเป็นมุมกว้าง ด้านหลังลำตัวเรียบ หางเรียวยาวกว่าลำตัวเล็กน้อย ตาโตอยู่ชิดกันและมีแถบสีคล้ำระหว่างดวงตา ลำตัวด้านบนสีน้ำตาลอ่อนอมเทาหรือเหลือง มีจุดประสีฟ้าอ่อนและดำกระจาย ด้านท้องสีจาง ปลายหางมีสีดำ มีปล้องสีขาวอยู่ 1-2 ปล้อง มีขนาดความกว้างของลำตัวประมาณ 50 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ตามแถบชายฝั่ง ตั้งแต่แนวปะการังไปจนถึงที่ลึกอย่างไหล่ทวีป ทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย โดยพบได้ประปรายในทวีปแอฟริกา มีพฤติกรรมอยู่รวมตัวกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ฝังตัวอยู่ใต้พื้นทรายในที่ตื้น ๆ โดยกินสัตว์น้ำเช่น กุ้ง, ปู และหอย เป็นอาหาร ในเขตน่านน้ำไทยพบได้ชุกชุมในบางพื้นที่ และพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามันหน้า 101, คู่มือปลาทะเล โดย ชวลิต วิทยานนท์ ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนจุดฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนธง

ปลากระเบนธง (Stingray) เป็นปลากระดูกอ่อนจำพวกปลากระเบนจำพวกหนึ่ง อยู่ในอันดับย่อย Myliobatoidei ในอันดับ Myliobatiformes ประกอบไปด้วย 8 วงศ์ ได้แก่ Hexatrygonidae (ปลากระเบนหกเหงือก), Plesiobatidae (ปลากระเบนน้ำลึก), Urolophidae (ปลากระเบนกลม), Urotrygonidae (ปลากระเบนกลมอเมริกัน), Dasyatidae (ปลากระเบนธง), Potamotrygonidae (ปลากระเบนแม่น้ำ หรือ ปลากระเบนหางสั้น), Gymnuridae (ปลากระเบนผีเสื้อ) และ Myliobatidae (ปลากระเบนนก หรือ ปลากระเบนยี่สน) ลักษณะเด่นของปลากระเบนในกลุ่มนี้ คือ ที่บริเวณโคนหรือกึ่งกลางหางจะมีเงี่ยงแหลมยาว 1-2 ชิ้น ที่ใช้เป็นอาวุธทิ่มแทงศัตรูที่มารังควาญได้ โดยอาจมีความยาวได้ถึง 35 เซนติเมตร (14 นิ้ว) และมีสารเคมีที่มีความเป็นพิษเคลือบอยู่ ซึ่งสารดังกล่าวเป็นสารโปรตีน ที่มีฤทธิ์ในการทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้ผู้ที่โดนแทงเกิดความเจ็บปวด ในปลากระเบนขนาดใหญ่จะออกฤทธิ์คล้ายพิษของงูกะปะ ซึ่งหากโดนแทงเข้าอย่างจังหรือโดนจุดสำคัญ อาจทำให้เสียชีวิตได้ เงี่ยงแหลมดังกล่าวจะมีในปลากระเบนทุกสกุล ทุกชนิด ยกเว้นปลากระเบนแมนตา และปลากระเบนขนุน เท่านั้นที่ไม่มีเงี่ยงแหลมดังกล่าว ซึ่งเงี่ยงอันนี้สามารถที่จะหลุดไปได้ เมื่อปลามีอายุเพิ่มมากขึ้นหรือจากสาเหตุอื่น ๆ แต่ก็สามารถงอกใหม่ทดแทนได้ เงี่ยงของปลากระเบนธง ปลากระเบนธงพบกระจายพันธุ์อยู่ในน่านน้ำในเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก พบได้ทั้งในทะเล, มหาสมุทร, น้ำกร่อย และน้ำจืด โดยกินปลาขนาดเล็ก, หอย ทั้งหอยฝาเดียวและหอยสองฝา รวมถึงกุ้งเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนธง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนทอง

ระวังสับสนกับ: ปลากระเบนจุดฟ้า ปลากระเบนทอง หรือ ปลากระเบนหิน (Blue-spotted fantail ray, Bluespotted ribbontail ray) เป็นปลากระเบนชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Taeniura lymma อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีลำตัวแบนค่อนข้างกลม ตาโปนโต มีช่องจมูกทางด้านข้างของตาขนาดใหญ่ ด้านล่างมีปากเว้าโค้ง ลำตัวกว้างประมาณ 25 เซนติเมตร หรือ 1 ฟุต มีหางยาวเท่า ๆ กับความยาวลำตัว มีเงี่ยงที่โคนหาง 2 อัน ลักษณะแหลมยาว ปลายหางมีแผ่นหนังบาง ๆ คล้ายปลากระเบนชายธง และมีแถบสีฟ้าเป็นคู่ขนานกันตั้งแต่โคนจรดปลายหาง ตามลำตัวเป็นเมือกลื่นสีเหลืองทอง และมีจุดสีฟ้าแต้มอยู่ทั่วทางด้านบน พื้นลำตัวมีหลากหลายสี ทั้ง สีเขียว, สีน้ำตาล หรือสีเทา ส่วนใต้ท้องมีสีขาว อาศัยอยู่ตามพื้นทรายในบริเวณแนวปะการังเขตร้อนทั่วไป พบได้ตั้งแต่ความลึกไม่เกิน 30 เมตร จนถึงชายฝั่ง กินอาหารจำพวก สัตว์น้ำขนาดเล็ก ตลอดจนสัตว์มีกระดองชนิดต่าง ๆ พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออกไปจนถึง ทะเลแดง, อ่าวเปอร์เซีย, อ่าวเบงกอล, ทะเลอันดามัน, อ่าวไทย, ทะเลจีนใต้, ทะเลฟิลิปปิน ไปจนถึงออสเตรเลียทางตอนเหนือ จัดเป็นปลากระเบนอีกชนิดหนึ่งที่มีขนาดไม่ใหญ่นักและมีความสวยงาม จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนทอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนขาว

ปลากระเบนขาว (White-edge freshwater whipray) ปลากระเบนน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีรูปร่างเหมือนปลากระเบนชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน หางยาว โคนหางมีเงี่ยงแหลมมีพิษ 1 หรือ 2 ชิ้น ที่สามารถงอกใหม่ได้เมื่อหลุดหรือหักไป หางไม่มีริ้วหนัง พื้นลำตัวด้านบนสีเทาหรือสีน้ำตาลอ่อน กลางหลังมีเกล็ดเป็นตุ่มหยาบ ๆ มีขอบสีขาวรอบลำตัว พื้นลำตัวด้านล่างสีขาว ส่วนหางสีขาว หากินตามพื้นท้องน้ำ โดยอาหารได้แก่ ไส้เดือนน้ำ, ปลาขนาดเล็ก, สัตว์หน้าดิน และสัตว์มีเปลือก จะว่ายขึ้นมาหากินบริเวณผิวน้ำบ้างเป็นบางครั้ง ขนาดโดยเฉลี่ยมีความกว้าง 40 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุด 60 เซนติเมตร ส่วนหางยาว 80 เซนติเมตร น้ำหนักไม่เกิน 3 กิโลกรัม เป็นปลากระเบนน้ำจืดชนิดที่พบชุกชุมมากที่สุดและมีขนาดเล็กที่สุดที่พบได้ในประเทศไทย พบมากแถบที่ราบลุ่มภาคกลาง เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำแม่กลอง, แม่น้ำท่าจีน, บึงบอระเพ็ด และพบที่แม่น้ำตาปีในภาคใต้ด้วย แต่ไม่มีรายงานพบในแม่น้ำบางปะกง โดยพบชุกชุมที่สุดที่เขตอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในต่างประเทศพบได้ที่มาเลเซียและอินโดนีเซีย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งบางครั้งมีการค้นพบปลาบางตัวที่มีสีขาว ดวงตาสีดำ หรือเป็นปลาเผือกทั้งตัว.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนขนุน

ปลากระเบนขนุน (Porcupine ray) ปลากระดูกอ่อนทะเลชนิดหนึ่ง จำพวกปลากระเบน จัดอยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) โดยจัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่จัดอยู่ในสกุลนี้ โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์นั้น คำว่า Urogymnus ที่ใช้เป็นชื่อสกุลนั้น แปลงมาจากภาษากรีกโบราณคำว่า oura หมายถึง "หาง" และ gymnos หมายถึง "เปลือย" อันหมายถึง โคนหางของปลากระเบนชนิดนี้ไม่มีเงี่ยงแข็งที่ใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวเหมือนปลากระเบนธงชนิดอื่น ๆ โดยดั้งเดิมนั้นชื่อสกุลใช้ชื่อว่า Gymnura ซึ่งปัจจุบันนี้จะหมายถึง ปลากระเบนผีเสื้อ ส่วนคำว่า asperrimus หรือ africana ที่เป็นชื่อพ้อง หมายถึง "ทวีปแอฟริกา" ขณะที่ชื่อสามัญในภาษาไทยนั้น เนื่องจากด้านหลังตลอดจนถึงหางของปลากระเบนขนุน จะเป็นตุ่มหนามสาก ๆ คล้ายเม็ดขนุนขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของชื่อ ซึ่งตุ่มหนามนั้นมีพิษรุนแรงและเมื่อไปติดกับอวนของชาวประมง จะทำให้มีความยุ่งยากมากในการแก้ออกหากจะนำมาปรุงเป็นอาหาร ภาพวาด ส่วนหางที่เป็นตุ่มหนาม ปลากระเบนขนุน จัดเป็นปลากระเบนธงเพียงไม่กี่ชนิด ที่บริเวณโคนหางไม่มีเงี่ยงแข็ง ด้านหลังมีสีขาว มีความยาวของลำตัวประมาณ 1 ฟุต และอาจยาวได้ถึง 2.2 เมตร (7.2 ฟุต) แต่ขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไปประมาณ 1.5 เมตร (4.9 ฟุต) มีพฤติกรรมหากินตามพื้นทะเลที่เป็นพื้นทรายเหมือนปลากระเบนทั่วไป โดยจะพบในแหล่งที่มีสภาพนิเวศที่สมบูรณ์ พบกระจายพันธุ์ในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วทั้งมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ตลอดทั่วทั้งทวีปเอเชีย เช่น อ่าวเบงกอล และศรีลังกา ไปจนถึงคาบสมุทรอาระเบียจนถึงแอฟริกาใต้, เซเชลส์ โดยปกติแล้วจะอาศัยอยู่ตามแนวปะการัง หรือดงหญ้าทะเลหรือสาหร่าย และอาจพบได้ในเขตน้ำกร่อย สำหรับในประเทศไทย จัดเป็นปลาที่หายาก ในช่วงเดือนมีนาคม..

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนขนุน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนค้างคาว

ปลากระเบนค้างค้าวหรือ ปลากระเบนเนื้อดำ หรือ ปลากระเบนนกจุดขาวหรือปลากระเบนยี่สน (Spotted eagle ray) เป็นปลากระเบนชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลากระเบนนก (Myliobatidae) มีผิวหนังเรียบ ใกล้โคนหางด้านบนมีเงี่ยง 1–4 เงี่ยง พบมากที่สุด 6 เงี่ยง เรียงอยู่ชิดกัน ด้านหลังสีดำมีจุดสีขาวกระจายอยู่ส่วนท้าย ด้านท้องสีขาว หางเรียวยาวมาก มีส่วนหัวที่แยกออกจากครีบเห็นได้ชัดเจน จึงทำให้ว่ายน้ำไปมาได้อย่างอิสระเหมือนนกบิน มีขนาดกว้างได้ถึง 1.5 เมตร เคยพบสูงสุดถึง 3 เมตร น้ำหนัก 230 กิโลกรัม หากินจำพวกสัตว์น้ำหน้าดิน เช่น หอย, กุ้ง, กั้ง, ปู บริเวณใต้พื้นน้ำเป็นอาหาร โดยใช้ปากคุ้ยเขี่ยพื้นทรายหา บางครั้งอาจเข้ามาหากินถึงบริเวณปากแม่น้ำที่เป็นน้ำกร่อยได้ บางครั้งจะรวมตัวกันเป็นฝูงหลายตัว และสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 80 เมตร พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวาง ทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรแอตแลนติก, มหาสมุทรอินเดีย ตั้งแต่ฮาวาย, อ่าวเม็กซิโก, ชายฝั่งทะเลของแอฟริกาตะวันตก, ชายฝั่งทะเลของสหรัฐอเมริกา และโอเชียเนีย ปลากระเบนค้างคาวออกลูกเป็นไข่ แต่ไข่ได้พัฒนาเป็นตัวในช่องท้องของปลาตัวเมีย เมื่อแรกเกิดลูกปลาจะมีถุงไข่แดงติดตัวมาด้วย ปลากระเบนค้างคาวสนนั้น มักถูกล่าเป็นอาหารจากปลาฉลาม โดยเฉพาะปลาฉลามหัวค้อน สำหรับความสัมพันธ์ต่อมนุษย์แล้ว นิยมเลี้ยงในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต่าง ๆ เพราะความสวยงามในสีสันและการว่ายน้ำ และยังนิยมใช้เนื้อเพื่อการบริโภคด้วยทั้งการบริโภคสดและเก็บรักษาเป็นปลาแห้ง และทำเป็นปลาหย็อง.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนค้างคาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนปากแหลม

ปลากระเบนปากแหลม หรือ ปลากระเบนตุ๊กตา (Scaly whipray) เป็นปลากระเบนชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีรูปร่างคล้ายว่าว ลำตัวแบนลงมาก ส่วนหน้าตาจะยื่นยาวแหลม ขอบจมูกมีขนาดใหญ่เท่ากับความยาว ช่องเปิดเหงือกมี 5 คู่อยู่ด้านท้อง ส่วนหางแยกออกจากส่วนลำตัวอย่างเห็นได้ชัด หางมีลักษณะแบน มีหนามแหลม 2 อัน ขอบหนาหยักเป็นจักร ความยาวของหางใกล้เคียงกับความยาวลำตัว ซึ่งนับว่าไม่ยาวมากเมื่อเทียบกับปลากระเบนชนิดอื่นในสกุล Himantura ด้วยกัน ด้านบนของลำตัวสีน้ำตาลอ่อน มีจุดสีน้ำตาลม่วงกระจายอยู่ทั่วไป ใต้ท้องมีสีขาว พบอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลอยู่ตามหน้าดินในชายฝั่งทะเลตั้งแต่ทะเลแดง, ชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออก, มอริเชียส, อินโด-แปซิฟิก, ไปจนถึงอินโดนีเซีย ในบางครั้งเข้ามาหากินในแหล่งน้ำกร่อยหรือปากแม่น้ำได้ จัดเป็นปลากระเบนขนาดเล็กชนิดหนึ่ง โดยมีความกว้างเฉลี่ยของลำตัวประมาณ 25 เซนติเมตรเท่านั้น ในประเทศไทยใช้เนื้อเพื่อการบร.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนปากแหลม · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนปีศาจ

ปลากระเบนปีศาจ (Devil rays) เป็นปลากระเบนสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Mobula ในวงศ์ปลากระเบนนก (Myliobatidae) มีลักษณะใกล้เคียงกับปลากระเบนราหู หรือปลากระเบนแมนตา ที่อยู่ในสกุล Manta ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกัน มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า "ปลากระเบนบิน" จากความสามารถที่สามารถกระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำได้อย่างสวยงาม มีความกว้างของลำตัวจากปลายครีบอีกข้างหนึ่งจรดอีกข้างหนึ่งได้ถึง 5.2 เมตร (17 ฟุต) และมีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งตัน ปลากระเบนปีศาจในอ่าวแคลิฟอร์เนีย (ทะเลคอร์เตส) มีรายงานว่ากระโดดได้สูงกว่า 2 เมตร ซึ่งพฤติกรรมในการกระโดดนี้ยังไม่ทราบถึงสาเหตุ แต่สันนิษฐานว่า อาจเป็นการกระโดดเพื่อต้อนอาหารซึ่งได้แก่ ปลาขนาดเล็ก หรือเคย ให้ตกใจ และรวมกลุ่มอยู่ในฝูงของปลากระเบนปีศาจที่อยู่ตรงกลาง เพื่อง่ายต่อการกินเป็นอาหาร เพราะการกระโดดจะเป็นการกระโดดของปลาที่อยู่ด้านข้างฝูง หรืออาจเป็นไปได้ว่าเป็นการแสดงออกซึ่งความสนุกเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนปีศาจ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนปีศาจหางหนาม

ปลากระเบนปีศาจหางหนาม หรือ ปลากระเบนราหูญี่ปุ่น (Spinetail mobula, Japanese devilray) เป็นปลากระเบนชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลากระเบนนก (Myliobatidae) มีรูปร่างคล้ายกับปลากระเบนปีศาจชนิดอื่น ๆ และปลากระเบนสกุลอื่นที่อยู่ในวงศ์เดียวกัน คือ มี ระยางค์เนื้อยื่นเป็นแผ่นคล้ายใบหูอยู่ที่มุมขอบนอกปลายสุดของหัวข้างละอันใช้โบกพัดอาหารเข้าปาก ซึ่งได้แก่ แพลงก์ตอนสัตว์ต่าง ๆ ด้านบนลำตัวเป็นสีดำ และมีแถบสีขาวพาดโค้งอยู่ด้านซ้ายของส่วนหัว มีความกว้างของลำตัวประมาณ 225 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุดได้ถึง 310 เซนติเมตร และความยาวลำตัวจรดปลายหาง 198–205 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในทะเลเปิดและมหาสมุทร รวมถึงแนวตามปะการัง ในเขตร้อนและเขตอบอุ่นของอินโด-แปซิฟิกอย่างกว้างไกล ตั้งแต่ออสเตรเลีย, บังกลาเทศ, บราซิล, กัมพูชา, จีน, โคลัมเบีย, คอสตาริกา, ไอวอรี โคสต์, เอกกวาดอร์, เอล ซัลวาดอร์, ฟิจิ, กัวเตมาลา, ฮอนดูรัส, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, คาบสมุทรเกาหลี, เม็กซิโก, พม่า, นิวซีแลนด์, นิคารากัว, โอมาน, ปากีสถาน, ปานามา, เปรู, ฟิลิปปิน, โซมาเลีย, แอฟริกาใต้, ศรีลังกา, ไต้หวัน, ไทย, ตูวาลู, สหรัฐอเมริกา, เวียดนาม, และเยเมน.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนปีศาจหางหนาม · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนแมลงวัน

ปลากระเบนแมลงวัน หรือ ปลากระเบนจุดขาว (Whitespotted whipray, Banded whip-tail stingray) เป็นปลากระเบนที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Himantura gerrardi ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) มีรูปร่างเหมือนปลากระเบนในวงศ์นี้ชนิดอื่น ๆ ส่วนหัวไม่แยกออกจากครีบหู แผ่นปีกของลำตัวค่อนข้างกลมมน ความกว้างของปีกเกือบเท่าความยาวของลำตัว มีหางยาวคล้ายแส้และมีตุ่มแข็งอยู่กึ่งกลางหลัง พื้นลำตัวสีน้ำตาลเขียวอมทอง มีจุดกลมสีขาวกระจายอยู่ทั่ว โคนหางมีเงี่ยงที่มีปลายแหลม 1 หรือ 2 อัน มีรอยคาดสีขาวเป็นปล้องสลับกันไปตามความยาวของหาง ซึ่งเมื่อปลายังเล็กอยู่จุดบนลำตัวดังและปล้องที่ข้อหางจะไม่ปรากฏ ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 24-120 เซนติเมตร พบใหญ่สุดได้ถึง 2 เมตร จัดเป็นปลาทะเลที่อาศัยอยู่ในแนวปะการังหรือชายฝั่ง พบได้ในทะเลตั้งแต่ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก, ทะเลแดง, แถบอินโด-แปซิฟิก ไปจนถึงภาคใต้ของญี่ปุ่นจาก fishbase.org บางครั้งอาจว่ายเข้ามาหากินในแถบน้ำกร่อยหรือน้ำจืดตามปากแม่น้ำได้ โดยมีรายงานว่าเคยพบที่แม่น้ำคงคาด้วย สำหรับในประเทศไทยพบมากที่จังหวัดจันทบุรี เป็นปลาที่ใช้เนื้อในการบริโภคและทำเป็นปลาแห้ง และมีการจับขายเป็นปลาสวยงามด้วย แต่โดยมากมักจะเลี้ยงไม่รอด เพราะปลาไม่สามารถที่จะปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดสนิทหรือในสภาพที่เลี้ยงได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนแมลงวัน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนแมนตา

ปลากระเบนแมนตา หรือ ปลากระเบนราหู (Manta rays) เป็นปลากระดูกอ่อนจำพวกหนึ่ง จัดเป็นปลากระเบนที่ใหญ่ที่สุดในโลก อาจมีความกว้างช่วงปีก (ครีบหู) ได้ถึง 6.7 เมตร หรือ 22 ฟุต มีน้ำหนักได้ถึง 1,350 กิโลกรัม หรือ 3,000 ปอนด์ อาศัยอยู่ในน่านน้ำเขตร้อนทั่วโลก โดยเฉพาะรอบ ๆ แนวปะการัง จัดอยู่ในสกุล Manta (เป็นภาษาสเปนแปลว่า "ผ้าห่ม") ในวงศ์ปลากระเบนนก (Myliobatidae) เดิมทีแล้ว ปลากระเบนแมนตาถูกจัดอยู่ในวงศ์ Mobulidae แต่ในปัจจุบันรวมอยู่ในวงศ์ปลากระเบนนก โดยทั่วไปปลากระเบนแมนตาจะมีหลังสีดำและท้องสีขาว แต่อาจพบตัวที่มีหลังสีฟ้าได้บ้าง ตาอยู่บริเวณข้างหัว และต่างจากปลากระเบนทั่วไป ปากอยู่ทางด้านหน้าของหัว มีช่องเหงือก 5 คู่ เหมือนปลากระเบนทั่วไป ครีบหูพัฒนาเป็น ติ่งลักษณะคล้ายเขา หรือที่เรียกว่าครีบหัว อยู่บริเวณด้านหน้าของหัวแบน ๆ ครีบดังกล่าวเจริญขึ้นในช่วงตัวอ่อน เลื่อนมาอยู่รอบปาก ทำให้เป็นหนึ่งในสัตว์มีกระดูกสันหลังมีขากรรไกร ที่มีรยางค์พิเศษอันเป็นที่รู้จักมากที่สุดชนิดหนึ่ง (อีกชนิดคือ เต่าหก ((Manouria emys)) โดยเขาที่อ่อนนุ่มนี้มีไว้สำหรับโบกพัดเอาน้ำเข้าปาก เพื่อกินแพลงก์ตอน และเพื่อจะฮุบน้ำจำนวนมากต้องว่ายอ้าปากและพัดอาหารเข้าปากอยู่เสมอ ปลากระเบนแมนตาเคยหาอาหารตามพื้นท้องทะเลมาก่อน ก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็นกรองกินแพลงก์ตอนตามทะเลเปิดในปัจจุบัน ทำให้สามารถเจริญเติบโตได้จนมีขนาดใหญ่มากกว่าปลากระเบนชนิดอื่น ๆ ลักษณะการกรองกินทำให้ฟันลดขนาดลงเป็นซี่เล็ก ๆ ส่วนใหญ่แอบอยู่ใต้ผิว คล้ายกับปลากระเบนทั่วไป มีหางเป็นเส้นยาว แต่หากปราศจากเงี่ยงที่ส่วนหาง และเกล็ดแหลมหุ้มลำตัวก็มีขนาดเล็กลง แทนที่ด้วยเมือกหนาหุ้มร่างกาย ส่วนท่อน้ำออกมีขนาดเล็กและไม่ทำหน้าที่ น้ำทั้งหมดไหลเข้าสู่ปากแทน เพื่อการว่ายน้ำที่ดี ปลากระเบนแมนตาวิวัฒนาการรูปร่างร่างกายให้เป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด และมีการพัฒนาครีบให้คล้ายปีกสำหรับโบยบินในท้องทะเล ขนาดตัวยักษ์ใหญ่และความเร็วชนิดใกล้เคียงจรวด ทำให้ปลากระเบนแมนตามีศัตรูตามธรรมชาติน้อยมาก โดยที่ศัตรูของปลากระเบนแมนตาในน่านน้ำไทยกลุ่มเดียว คือวาฬเพชรฆาต (Orcinus orca) และวาฬเพชรฆาตเทียม (Pseudorca crassidens) แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานแน่นอน โดยปกติแล้วกินแพลงก์ตอน, ตัวอ่อนปลา และสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ทั่วไปโดยการกรองน้ำที่ไหลเข้าสู่ปากโดยใช้ซี่เหงือก ซึ่งเรียกว่า แรม-เจ็ต (Ram-jet) ปลากระเบนแมนตา เดิมถูกจัดเป็นเพียงปลาชนิดเดียว และปัจจุบันถูกจำแนกออกเป็น 2 ชนิด เมื่อไม่นานมานี้ ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนแมนตา · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนแมนตามหาสมุทร

ปลากระเบนแมนตามหาสมุทร หรือ ปลากระเบนราหูมหาสมุทร (Giant oceanic manta ray, Oceanic manta) เป็นปลากระเบนแมนตาชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลากระเบนนก (Myliobatidae) ที่จะงอยปากมีหงอนหนังขนาดใหญ่ ปากอยู่ทางด้านหน้าสุด ครีบอกโค้งเรียวแหลม ด้านหลังมีเกล็ดที่เป็นตุ่มสากละเอียด หางมีความสั้นไม่มีเงี่ยงแหลม ครีบหลังมีขนาดเล็ก ด้านหลังมีสีดำเข้ม ขณะที่บางตัวจะไม่เป็นสีดำทั้งหมด แต่จะมีระยะห่างระหว่างแถบด้านซ้ายและด้านขวา ส่วนใต้ท้องสีท้องมีแถบสีเข้มบริเวณครีบอก ท่อนหลังทั้งด้านซ้ายและขวายาวตั้งแต่ปลายครีบถึงกึ่งกลางลำตัว มีพฤติกรรมรวมตัวเป็นฝูงขนาดเล็กจนถึงใหญ่ ตั้งแต่ 100-600 ตัว ขณะว่ายน้ำกินแพลงก์ตอนอาจมีการว่ายตีลังกาหรือหงายท้องได้ มีพฤติกรรมในการว่ายน้ำตีโค้งกว่าปลากระเบนแมนตาแนวปะการัง (M. alfredi) ซึ่งเป็นปลากระเบนแมนตาอีกชนิดหนึ่ง และมักจะพบกลางน้ำหรือนอกแนวปะการังมากกว่าจะอยู่ในแนวปะการัง มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยไปตามฤดูกาล โดยอยู่เป็นฝูงขนาดเล็กไม่กี่ตัว ขนาดความกว้างที่พบมีตั้งแต่ 3-7 เมตร น้ำหนักประมาณ 2.4 ตัน (ตัวอย่างใหญ่สุดที่พบคือ 7.6 เมตร) และโดยเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดประมาณ 4 เมตร ซึ่งคิดโดยเฉลี่ยแล้วมีขนาดเล็กกว่าปลากระเบนแมนตาแนวปะการัง แต่ทั้ง 2 ชนิดนี้ก็สามารถพบได้ในทะเลเปิดและมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนแมนตามหาสมุทร · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนแมนตาแนวปะการัง

ปลากระเบนแมนตาแนวปะการัง หรือ ปลากระเบนราหูแนวปะการัง (Reef manta ray) เป็นปลากระเบนแมนตาชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลากระเบนนก (Myliobatidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลากระเบนแมนตามหาสมุทร (M. birostris) ที่เป็นปลากระเบนแมนตาอีกชนิดหนึ่ง มีความแตกต่างกันที่ด้านหลังของปลากระเบนแมนตาแนวปะการังตัวไหนที่มีสีดำไม่หมด จะเป็นแถบร่องที่เล็กกว่าของปลากระแบนแมนตามหาสมุทร อีกทั้งสีดำที่ใต้ท้องก็มีแถบแคบ ๆ ใกล้กับบริเวณปลายครีบอกเท่านั้น อีกทั้งยังมีพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากปลากระเบนแมนตามหาสมุทร ตรงที่จะกระจายพันธุ์อยู่รวมเป็นฝูงกันตามแนวปะการัง ไม่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ ไม่ได้อยู่ในทะเลลึกหรือทะเลเปิด ไม่มีพฤติกรรมการอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ และมีลักษณะการว่ายน้ำที่ตีโค้งเป็นวงแคบกว่า มีขนาดความกว้างโดยเฉลี่ย 3-4 เมตร โดยตัวอย่างใหญ่สุดที่พบคือ 5.5 เมตร โดยเฉลี่ยนับว่าใหญ่กว่าปลากระเบนแมนตามหาสมุทร แต่อย่างไรก็ตาม ปลากระเบนทั้ง 2 ชนิด โดยเฉพาะปลากระเบนแมนตาแนวปะการังจะพบได้ตามทะเลและมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก หลายพื้นที่พบได้ทั้ง 2 ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแถบอินโด-แปซิฟิก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนแมนตาแนวปะการัง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนแอปเปิล

ปลากระเบนแอปเปิล (Discus ray, Manzana Ray, Ceja Ray;; ในข้อมูลเก่านิยมสะกด ajereba) ปลากระเบนน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากระเบนหางสั้น (Potamotrygonidae) จัดเป็นปลากระเบนเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Paratrygon ปลากระเบนแอปเปิล มีลักษณะส่วนใหญ่เหมือนกับปลากระเบนชนิดอื่นในวงศ์เดียวกันทั่วไป แต่มีลักษณะเด่น คือ มีลำตัวคล้ายผลแอปเปิลที่ผ่าครึ่ง ส่วนหางจะเหมือนกับก้านผลแอปเปิล จึงเป็นที่มาของชื่อสามัญ จัดเป็นปลากระเบนชนิดหนึ่งที่มีความใหญ่ในวงศ์นี้ เมื่อโตเต็มที่มีความกว้างของขอบจานข้างหนึ่งจรดข้างหนึ่งได้ถึง 80 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในลุ่มแม่น้ำสายใหญ่หลายสายในทวีปอเมริกาใต้ เช่น แอมะซอน, โอรีโนโก, รีโอเนโกร, โทคันตินส์ หากินตามพื้นน้ำเหมือนปลากระเบนชนิดอื่นทั่วไป โดยกินสัตว์น้ำขนาดเล็ก เช่น กุ้ง, ปู, หอย รวมทั้งปลาขนาดเล็ก นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามเหมือนปลากระเบนชนิดอื่น แต่ได้รับความนิยมน้อยกว่าเนื่องจากมีขนาดใหญ่ และมีราคาซื้อขายที่แพงในหลักหมื่นหรือหลักแสนบาท.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนแอปเปิล · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนโมโตโร่

ปลากระเบนโมโตโร่ (Ocellate river stingray) ปลากระเบนที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากระเบนหางสั้น (Potamotrygonidae) มีลักษณะตัวกลมคล้ายจานข้าวหรือแผ่นซีดี ผิวลำตัวสีน้ำตาลอ่อนหรือเข้ม มีจุดกลมสีส้มอมเหลืองวงรอบด้วยสีน้ำตาลเข้มกระจายไปจนถึงโคนหาง มีเงี่ยงแหลมคม 2 ชิ้นที่โคนหาง ที่ปลายหางมีริ้วหนังบาง ๆ โดยที่จุดกลมเหล่านี้จะแตกต่างและมีปริมาณมากน้อยไม่เท่ากันในแต่ละตัว ขนาดเมื่อโตเต็มที่ในธรรมชาติจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางลำตัวราว 1 เมตร น้ำหนัก 15 กิโลกรัม อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติของทวีปอเมริกาใต้ เช่น เปรู, อุรุกวัย, โคลัมเบีย, โบลิเวีย, อาร์เจนตินา, บราซิล ซึ่งคนพื้นถิ่นนิยมกินเนื้อเป็นอาหาร ปลากระเบนโมโตโร่ ได้รับความนิยมอย่างมากในฐานะของการเป็นปลาตู้สวยงาม โดยผู้เลี้ยงสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้ โดยปลาที่จะเริ่มผสมพันธุ์ได้นั้นจะมีความยาวลำตัวประมาณ 2 ฟุต อายุราว 1 ปีครึ่ง และสามารถผสมพันธุ์ออกมาเป็นลูกปลาที่มีสีสันและลวดลายสวยแปลกตากว่าดั้งเดิมได้หลากหลาย และผสมกับปลากระเบนในสกุลเดียวกัน ของวงศ์เดียวกันนี้ได้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้ได้ปลาสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา รวมถึงปลากระเบนเผือก ที่มีราคาซื้อขายแพงด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนโมโตโร่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนโปลกาด๊อท

ปลากระเบนโปลกาด๊อท (Xingu river ray) เป็นปลากระเบนน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Potamotrygon leopoldi ในวงศ์ปลากระเบนหางสั้น (Potamotrygonidae) มีลำตัวรูปร่างทรงกลม พื้นลำตัวสีดำสนิท มีจุดกลมสีขาวกระจายไปทั่วลำตัวด้านบน ด้านล่างสีขาว ปลายหางมีริ้วหนังบาง ๆ ซึ่งจุดกลมเหล่านี้มีจำนวนและขนาดแตกต่างกันออกไปในปลาแต่ละตัว มีขนาดลำตัวโตเต็มที่ราว 43 เซนติเมตร พบอาศัยอยู่เฉพาะแม่น้ำซิงกู ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำอเมซอน ในประเทศบราซิลเท่านั้น ได้รับความนิยมในฐานะเป็นปลาสวยงาม โดยมีรหัสทางการค้าว่า P13 ซึ่งผู้เลี้ยงมักนิยมเลี้ยงในบ่อขนาดใหญ่และเลี้ยงรวมกันหลายตัว และสามารถผสมพันธุ์กันออกลูกในที่เลี้ยงได้ อายุเมื่อปลาพร้อมที่จะผสมพันธุ์คือ 5 ปี และยังสามารถผสมข้ามสายพันธุ์กับปลากระเบนชนิดอื่นในสกุลเดียวกันได้ด้วย เช่น ปลากระเบนโมโตโร่ (P. motoro) ทำให้เกิดลูกปลาสายพันธุ์ใหม่ที่จะได้จุดและสีสันลำตัวแปลกออกไป ส่วนสถานะปลาในธรรมชาตินั้นใกล้สูญพันธุ์แล้ว เนื่องจากสูญเสียที่อยู่อาศัย สำหรับในวงการปลาสวยงาม ปลาในตัวที่มีจุดสีขาวมากกว่าปกติ โดยมีจุดรอบขอบครีบถึง 3 แถว เรียกว่า "แบล็คไดมอนด์" เป็นปลาที่ในธรรมชาติ จะพบได้ที่แม่น้ำเซาเฟลิก ในเขตประเทศบราซิล มีราคาซื้อขายแพงกว่าปลากระเบนโปลกาด็อทธรรมดามาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนโปลกาด๊อท · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนไฟฟ้า

ปลากระเบนไฟฟ้า (Electric rays, Numbfishes, Coffin rays, Sleeper rays, Crampfishes) เป็นปลากระเบนที่มีรูปร่างกลม จัดอยู่ในอันดับ Torpediniformes และมีอวัยวะคู่หนึ่งที่สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์รูปหกเหลี่ยมเรียงซ้อนกันเป็นกลุ่ม ตั้งอยู่ทางด้านข้างของตาถัดไปถึงครีบอก ภายในมีสารเป็นเมือกคล้ายวุ้น ทำหน้าที่ในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยความแรงมีตั้งแต่ระดับต่ำเพียง 8 โวลต์ไปจนถึง 220 โวลต์ ขึ้นอยู่กับชนิด กระแสไฟฟ้านี้ใช้เพื่อทำให้เหยื่อสลบหรือฆ่าเหยื่อ ปลากระเบนไฟฟ้าทั้งหมดมีรูปร่างแบนกลม ตามีขนาดเล็กมาก (มีอยู่ 4 ชนิดที่ตาบอด) ส่วนหางพัฒนาอย่างสมบูรณ์แข็งแรง และไม่มีเงี่ยงหางแหลมคมเหมือนปลากระเบนในอันดับอื่น มีลำตัวหนาและอ่อนนุ่ม มีครีบหลัง 2 ตอน หรือไม่มีเลย ปลากระเบนไฟฟ้ามีทั้งหมด 4 วงศ์ (ดูในตาราง) ประกอบด้วย 69 ชนิด 11 สกุล โดยทั้งหมดพบในทะเล พบในบริเวณอบอุ่นในเขตร้อนของมหาสมุทรแอตแลนติก, แปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ปลากระเบนไฟฟ้ามักหมกตัวอยู่ใต้พื้นทราย สามารถทำอันตรายต่อมนุษย์ได้หากเหยียบไปถูกเข้า ซึ่งอาจทำให้เกิดเกิดอาการชาและจมน้ำเสียชีวิตได้ อวัยวะสร้างกระแสไฟฟ้าคู่ ปลากระเบนไฟฟ้าในภาษาไทยมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ปลาเสียว" โดยชนิดที่พบได้ในน่านน้ำไทย เช่น ปลากระเบนไฟฟ้าหลังเรียบ (Temera hardwickii), ปลากระเบนไฟฟ้าสีน้ำตาล (Narcine brunnea), N. indica และ Narke dipterygia ส่วนชนิดที่พบได้ในต่างประเทศและเป็นที่รู้จักดีได้แก่ ปลากระเบนไฟฟ้าแปซิฟิก (Torpedo californica), ปลากระเบนไฟฟ้าตาบอด (Typhlonarke aysoni) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนไฟฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนไฟฟ้าตาบอด

กระเบนไฟฟ้าตาบอด (Blind electric ray) เป็นปลากระเบนไฟฟ้าในวงศ์ Narcinidae พบได้ตามไหล่ทวีปตั้งแต่ช่องแคบคุกของนิวซีแลนด์ลงไป ที่ความลึกระหว่าง 100-900 เมตร มีความยาวระหว่าง 15-30 เซนติเมตร มีลำตัวรูปร่างกลม หางเล็กอ้วน มีครีบหลังหนึ่งครีบ และมีตาขนาดเล็กมากที่แทบมองไม่เห็น ส่วนหน้าของลำตัวมีอวัยวะพิเศษที่ทำหน้าที่เก็บกระแสไฟฟ้าและปล่อยออกไปเพื่อทำให้เหยื่อสลบ กลไกนี้ยังใช้เพื่อนำทางและค้นหาเหยื่อในบริเวณที่แสงสว่างน้อยได้อีกด้วย ซึ่งเหยื่อได้แก่ ปลา และสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เป็นปลาที่หากินตามพื้นทรายและหน้าดิน.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนไฟฟ้าตาบอด · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนไฟฟ้าแปซิฟิก

ปลากระเบนไฟฟ้าแปซิฟิก (Pacific electric ray; Torpedo pacific) เป็นปลากระเบนไฟฟ้าชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออก ตั้งแต่บริติชโคลัมเบีย (แคนาดา), คาบสมุทรแคลิฟอร์เนีย (เม็กซิโก) และอาจพบได้ในส่วนอื่น ๆ ของมหาสมุทรแปซิฟิก มีความยาวประมาณ 140 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 41 กิโลกรัม ลำตัวรูปร่างกลม มีสีเทา และมีจุดสีดำอยู่บนหลัง ครีบหลังทั้งสองครีบอยู่ใกล้หาง มักพบได้ในดงสาหร่ายเคลป์และก้นทะเลที่เป็นทราย บางครั้งอาจฝังตัวอยู่ในทราย กินปลากระดูกแข็งเป็นอาหาร โดยเฉพาะจำพวกปลาเฮอร์ริ่งและปลาเบน สามารถทำให้เหยื่อสลบโดยปล่อยกระแสไฟฟ้าออกจากอวัยวะพิเศษ ความแรงอาจถึง 50 โวลต์และ 1 กิโลวัตต์ มีอายุขัยค่อนข้างนาน ตั้งแต่ 4.5 ถึง 14 ปี ปลากระเบนไฟฟ้าแปซิฟิกมักถูกใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัยทางอณูชีววิทยา เพราะอวัยวะสร้างกระแสไฟฟ้ามีปริมาณโปรตีนบางชนิดอยู่สูงมาก ตัวอย่างเช่น อะซีทิลคอลีนสเตอเร.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนไฟฟ้าแปซิฟิก · ดูเพิ่มเติม »

ปลากระเบนเฮนไล

ปลากระเบนเฮนไล หรือ ปลากระเบนโปลกาด๊อทจุดเหลือง (Bigtooth river stingray, Tocantins river ray) เป็นปลากระเบนน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากระเบนหางสั้น (Potamotrygonidae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Potamotrygon henlei มีรูปร่างลักษณะคลายกับปลากระเบนโปลกาด๊อท (P. leopoldi) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันมาก แต่ปลากระเบนเฮนไลจะมีสีบนลำตัวอ่อนกว่า โดยจะเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลดำ และจุดเป็นลำตัวจะออกไปทางสีขาวปนเหลือง จึงทำให้ได้อีกชื่อหนึ่งว่า "ปลากระเบนโปลกาด๊อทจุดเหลือง" และจุดดังกล่าวจะลามไปจนถึงใต้ท้อง ซึ่งปลากระเบนโปลกาด๊อทไม่มีลักษณะเช่นนี้ มีความกว้างของลำตัวประมาณ 30 เซนติเมตร ซึ่งนับว่าเล็กกว่าปลากระเบนโปลกาด๊อทเล็กน้อย และพบในแม่น้ำริโอ โตคานทินส์ ในประเทศบราซิลเท่านั้น นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเช่นเดียวกับปลากระเบนโปลกาด๊อทและปลากระเบนชนิดอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน โดยมีรหัสทางการค้าว่า P12.

ใหม่!!: สัตว์และปลากระเบนเฮนไล · ดูเพิ่มเติม »

ปลากราย

ปลากราย (Clown featherback, Clown knifefish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลากราย (Notopteridae) มีปากกว้างมาก มุมปากอยู่เลยขอบหลังลูกตา ในตัวเต็มวัยส่วนหน้าผากจะหักโค้ง ส่วนหลังโก่งสูง ในปลาวัยอ่อนมีสีเป็นลายเสือคล้ายปลาสลาด แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเทาเงินและมีจุดกลมใหญ่สีดำขอบขาวที่ฐานครีบก้นตั้งแต่ 3-20 ดวง ซึ่งมีจำนวนและขนาดแตกต่างกันออกไปในแต่ละตัว มีขนาดโดยเฉลี่ย 60 เซนติเมตร ขนาดใหญ่สุดที่พบคือ 1 เมตร น้ำหนักได้ถึง 15 กิโลกรัม มักอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีกิ่งไม้ใต้น้ำหรือพืชน้ำค่อนข้างหนาแน่น อยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก อาหารได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็ก พบในแหล่งน้ำทั้งแหล่งน้ำนิ่งและแม่น้ำทั่วประเทศไทย รวมถึงในประเทศใกล้เคียง แต่ปัจจุบันพบน้อยลงมาก ปลากรายนับเป็นปลาน้ำจืดอีกชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมบริโภค โดยเฉพาะใช้เป็นวัตถุดิบผลิตทอดมันหรือลูกชิ้น ราคาขายในตลาดจึงสูง ส่วนบริเวณเนื้อเชิงครีบก้น เรียกว่าเชิงปลากราย เป็นส่วนที่นิยมมาปรุงอาหารโดยนำมาทอดกระเทียมหรือชุบแป้งทอด แม้ว่าเนื้อจะมีก้างมาก แต่ก็เป็นที่นิยมเพราะมีรสชาติอร่อย นอกจากใช้เป็นอาหารแล้ว ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจ เช่น เลี้ยงในท้องร่องสวน และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ที่เลี้ยง ง่าย อดทน และจะมีราคาแพงยิ่งขึ้นในตัวที่จุดเยอะ หรือตัวที่สีกลายเป็นสีเผือก หรือสีทองคำขาว หรือในตัวที่เป็นปลาพิการ ลำตัวสั้นกว่าปกติ มีชื่อเรียกอื่น เช่น "ปลาหางแพน" ในภาษากลาง "ปลาตอง" ในภาษาอีสาน "ปลาตองดาว" ในภาษาเหนือ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากราย · ดูเพิ่มเติม »

ปลากรายอินเดีย

ปลากรายอินเดีย (চিতল, அம்பட்டன்வாளை, சொட்டைவாளை, அம்புட்டன் வாழ) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากราย (Notopteridae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายปลากราย (C. ornata) เพียงแต่ปลากรายอินเดียจะมีรูปร่างที่เพรียวกว่า เกล็ดมีขนาดเล็กกว่า บริเวณสันหลังยังมีสีเหลือบทองและยังมีแถบสีเงินเป็นบั้ง ๆ ซึ่งในปลากรายจะไม่มี ลายจุดจะมีลักษณะคล้ายปลาตองลาย (C. blanci) คือ เป็นจุดเล็กกว่าปลากราย แต่ปลากรายอินเดียจะไม่มีจุดมากเท่าปลาตองลาย หรือในบางตัวอาจไม่มีเลย และจุดดังกล่าวเป็นแต้มสีดำไม่มีขอบขาวเป็นวงรอบ และอยู่ค่อนข้างไปทางท้ายลำตัว ปลาในวัยเล็กจะยังไม่มีบั้งสีเงิน พบในภูมิภาคเอเชียใต้ ซึ่งปลาชนิดนี้ในความเชื่อของศาสนาฮินดู พระนารายณ์ได้อวตารลงมาเป็นปลากรายทองในชื่อปาง "มัตสยาวตาร" ชาวฮินดูจึงถือว่าปลาชนิดนี้เป็นปลาศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็นิยมใช้บริโภคในท้องถิ่น นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่มีราคาสูง เนื่องจากเป็นปลาที่หายาก อนึ่ง โดยมากแล้วในการอ้างอิงทางอนุกรมวิธาน มักจะจัดให้ปลากรายอินเดียเป็นชนิดเดียวกับปลากราย โดยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ซ้ำซ้อนกัน แต่ความจริงแล้ว ปลาทั้งสองชนิดนี้เป็นปลาคนละชนิดกัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลากรายอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลากรายคองโก

ปลากรายคองโก เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ปลากราย (Notopteridae) และเป็นหนึ่งในสองชนิดเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Papyrocranus ซึ่งพบได้ในทวีปแอฟริกา เป็นปลาที่มีรูปร่างคล้ายกับ P. afer ซึ่งพบได้กว้างขวางกว่า แต่ปลากรายคองโกนั้นมีขนาดความยาวที่เล็กกว่า กล่าวคือยาวเพียง 20 เซนติเมตรเท่านั้น และมีลวดลายเป็นลายบั้งมากกว่าจะเป็นลายจุด อีกทั้งสีลำตัวที่เข้มกว่าคือเป็นสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกระบุว่าเป็นชนิดย่อยของชนิด P. afer.

ใหม่!!: สัตว์และปลากรายคองโก · ดูเพิ่มเติม »

ปลากรายแอฟริกา

ปลากรายแอฟริกา (African brown knifefish, African knifefish, False featherbackfish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Xenomystus nigri ในวงศ์ปลากราย (Notopteridae) นับเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นทีอยู่ในสกุล Xenomystus มีรูปร่างคล้ายกับปลาสลาด (Notopterus notopterus) ที่พบได้ในทวีปเอเชีย แต่ทว่ามีขนาดลำตัวที่เพรียวบางกว่า ไม่มีครีบหลัง ครีบท้องและก้นพริ้วไหวได้เร็วกว่า และมีจุดเด่นที่เห็นชัดคือ จมูกมีสองคู่ คู่หน้ายื่นออกมาคล้ายหลอดหรือหนวด ซึ่งใช้เป็นประสาทสัมผัสในการหาอาหาร ซึ่งเห็นได้ชัดเจนกว่าปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน พบกระจายทั่วไปในทวีปแอฟริกาตอนกลาง ในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์และแอ่งน้ำในเซียร์รา ลีโอน, ชาด, ซูดาน, โตโก, เบนิน และแคเมอรูน ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1 ฟุต แต่โดยเฉลี่ยที่พบทั่วไป คือประมาณ 8 นิ้ว โดยอาศัยในแหล่งน้ำที่มีพืชน้ำขึ้นหนาแน่น ปลาตัวเมียวางไข่ประมาณ 150-200 ฟอง ไข่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 มิลลิเมตร และยังมีความสามารถพิเศษคือ สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ด้วย เพื่อหาอาหาร เนื่องจากหากินในเวลากลางคืน โดยกินอาหารจำพวก แมลงน้ำและสัตว์มีเปลือกขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม มีอุปนิสัยที่ค่อนข้างก้าวร้าวในหมู่พวกเดียวกัน แต่ทว่าจะไม่แสดงพฤติกรรมเหล่านี้ต่อปลาชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากรายแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

ปลากริม

ปลากริม เป็นสกุลปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง มีชื่อสกุลว่า Trichopsis (/ไทร-ช็อป-ซิส/) ในวงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae มีรูปร่างโดยทั่วไปคล้ายปลาในสกุลปลากัด (Betta spp.) แต่มีรูปร่างและขนาดที่เล็กกว่า ส่วนหัวจะแหลมกว่า จะมีแถบลายพาดขวางในแนวนอนประมาณ 2-3 แถบที่ข้างลำตัว และมีสีสันไม่สดเท่า ครีบท้องมีก้านครีบเดี่ยวยื่นออกมาเป็นเส้นยาว ครีบหางปลายแหลมคล้ายใบโพ ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยว 2-6 ก้าน และก้านครีบแขนง 19-28 ก้าน พบได้ทั่วไปในทุกแหล่งน้ำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในนาข้าว, ท้องร่องสวน จนถึงแม่น้ำลำคลองขนาดใหญ่ มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมเป็นฝูงขนาดเล็ก มีอุปนิสัยก้าวร้าวพอสมควร มีกัดกันเองบ้างในฝูง แต่ไม่ถึงขั้นกัดกันถึงตายเหมือนเช่นปลาในสกุลปลากัดบางชนิด อาทิ Betta spendens แต่มีจุดเด่น คือ สามารถส่งเสียงดัง "แตร็ก ๆ ๆ" ได้ พร้อมกับกางครีบ เมื่อต้องการขู่ผู้รุกราน ซึ่งเป็นเสียงของการเกร็งกล้ามเนื้อที่อยู่ข้างถุงลม เป็นปลาที่จำแนกเพศได้ยากกว่าปลาในสกุลปลากัด แต่ทว่าก็มีลักษณะใกล้เคียงกัน คือ ตัวเมียจะมีขนาดเล็กและครีบต่าง ๆ สั้นกว่า รวมถึงสีสันก็อ่อนกว่าตัวผู้ เมื่อผสมพันธุ์จะจับคู่กันเองในฝูง โดยที่ตัวผู้เป็นฝ่ายก่อหวอดและเฝ้าดูแลไข่จนฟักเป็นตัว และเลี้ยงดูในระยะแรก ปัจจุบัน พบทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากริม · ดูเพิ่มเติม »

ปลากริมมุก

ปลากริมมุก หรือ ปลากริมสี (Pygmy gourami) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae มีรูปร่างเรียวยาว แบนข้าง ปากมีขนาดเล็ก พื้นลำตัวสีน้ำตาลอมเขียว เกล็ดข้างลำตัวสะท้อนแสงแวววาว ข้างลำตัวมีแถบสีคล้ำพาดยาวตามความยาวลำตัว 1 แถบ เหนือแถบมีจุดสีน้ำตาลกระจายเรียงเป็นแถว ครีบมีลักษณะโปร่งใสและมีจุดสีน้ำตาลขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่ว ปลายหางมน ตรงกลางเป็นติ่งยื่นยาวเล็กน้อย ปลายขอบครีบมีสีแดงสด มีขนาดความยาวไม่เกิน 4 เซนติเมตร จัดเป็นปลากริมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก พฤติกรรมชอบอยู่รวมเป็นฝูงในแหล่งน้ำนิ่งตื้น ๆ ขนาดเล็ก เช่น หนองหรือบึงน้ำ พบได้ในประเทศไทยทุกภาค และพบทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีนิสัยก้าวร้าวชอบกัดกันเองในฝูงอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ขั้นกัดกันจนตายเหมือนปลากัด สามารถฮุบอากาศเหนือผิวน้ำได้โดยไม่ต้องผ่านเหงือกเหมือนปลาชนิดอื่น ปลาตัวผู้มีสีสดกว่าตัวเมีย แพร่พันธุ์ด้วยการก่อหวอดใต้ร่มไม้หรือติดกับพืชน้ำ ใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 2 วัน โดยตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลไข่และตัวอ่อน โดยไม่ให้ตัวเมียเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเลย นิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลากริมมุก · ดูเพิ่มเติม »

ปลากริมอีสาน

ปลากริมอีสาน (Threestripe gourami.) เป็นปลากริมชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trichopsis schalleri ในวงศ์ Osphronemidae มีรูปร่างและสีสันคล้ายกับปลากริมมุก (T. pumilus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ทว่ามีครีบหลังและครีบอกยาวกว่า ปลากริมอีสานนั้นมีแหล่งกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะลุ่มน้ำโขงทางภาคอีสานของไทยเท่านั้น ถือเป็นปลาเฉพาะถิ่นอีกชนิดหนึ่ง แรกเริ่มเคยเชื่อว่าเป็นความหลากหลายทางสีสันของปลากริมควาย (T. vitatus) ซึ่งเป็นปลากริมชนิดที่พบชุกชุมมากที่สุด เนื่องจากเป็นชนิดที่คล้ายคลึงกันและพบในแหล่งเดียวกัน แต่เมื่อได้ศึกษาไปแล้วพบว่าทั้ง 2 ชนิด นี้ไม่ได้มีการผสมข้ามสายพันธุ์กัน จึงถือว่าเป็นชนิดใหม่ มีความยาวลำตัวประมาณ 6 เซนติเมตร นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลากริมอีสาน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากริมข้างลาย

ำหรับปลากัดป่าที่หมายถึงปลากัด ดูที่: ปลากัดป่า ปลากริมข้างลาย หรือ ปลากริมควาย หรือ ปลากัดป่า (Croaking gourami) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) จัดเป็นปลากริมชนิดหนึ่ง นับเป็นปลากริมชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและพบแพร่กระจายพันธุ์กว้างขวางหลากหลายที่สุด มีลักษณะเด่น คือ มีครีบหลัง ครีบอก ครีบก้น และครีบหางยื่นออกมาเป็นเส้นเดี่ยว ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยว 2-4 ก้าน และก้านครีบแขนง 6-8 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยว 6-7 ก้าน และก้านครีบแขนง 24-28 ก้าน จำนวนแถวของเกล็ดตามแนวเส้นข้างลำตัวมี 28-29 แถว สีสันมีแตกต่างหลากหลายกันไป แม้ว่าจะอยู่ในแหล่งอาศัยแหล่งเดียวกันก็ตาม นอกจากนี้แล้วบางตัวยังมีจุดกลมสีดำอยู่กลางลำตัวและเหนือครีบอก มีแถบสีดำพาดผ่านนัยน์ตาและแก้ม มีความยาวเต็มที่ประมาณ 6 เซนติเมตร พบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำนิ่งขนาดเล็ก เช่น หนองหรือบึงน้ำที่มีหญ้าหรือวัชพืชปกคลุม ในทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง มีพฤติกรรมก้าวร้าวมักกัดกันเองอยู่เสมอ ๆ ในระหว่างปลาตัวผู้ แต่ก็ไม่รุนแรงถึงขั้นตายไปกันข้างเหมือนปลากัด นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในต่างประเทศ ในเมืองปาล์มบีชเคาน์ตี รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา สามารถพบได้ตามท้องร่องระบายน้ำ และสามารถขยายพันธุ์ได้เอง เนื่องจากถูกนำไปในฐานะปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลากริมข้างลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลากริมแรด

ปลากริมแรด (Licorice gourami) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กที่อยู่ในสกุล Parosphromenus ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาที่อยู่ในสกุล Trichopsis หรือปลากริม แต่มีฐานครีบหลังกว้างกว่า และมีขอบครีบสีฟ้า ตามลำตัวมีลวดลายหรือลายแถบแตกต่างกันออกไปตามแต่ชนิด ปลากริมแรด กระจายพันธุ์ตั้งแต่ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย ไปตลอดแหลมมลายู จนถึงอินโดนีเซีย มักอาศัยอยู่ในพื้นที่ ๆ เป็นป่าพรุ หรือน้ำที่มีสภาพเป็นกรด มีสีชา (ค่า pH ต่ำกว่า 7) ในประเทศไทยพบเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จัดเป็นปลาที่หายาก และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลากริมแรด · ดูเพิ่มเติม »

ปลากล่อง

ปลากล่อง หรือ ปลาปักเป้ากล่อง หรือ ปลาปักเป้าเหลี่ยม (Boxfish, Trunkfish) เป็นสกุลของปลาปักเป้า ในวงศ์ปลาปักเป้ากล่อง (Ostraciidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Ostracion มีลำตัวเป็นทรงสี่เหลี่ยมเหมือนกล่อง แตกต่างจากปลาปักเป้าทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ลำตัวมีเกราะแข็งหุ้มเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูในแนวตัดขวาง ปากมีขนาดใหญ่และมีฟันซี่เล็ก ๆ ครีบหางใหญ่ ส่วนครีบอื่น ๆ เล็กเหมือนปลาปักเป้าทั่วไป สีและลวดลายตามลำตัวสดใสแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิด เป็นปลาที่อาศัยหากินอยู่ตามลำพัง พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิก และอินเดีย ในแนวปะการัง กินอาหารที่อยู่ตามซอกหลีบหินปะการัง เช่น ฟองน้ำ, ครัสเตเชียน และหอย เป็นอาหาร ขนาดโดยเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 30-45 เซนติเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และปลากล่อง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงญี่ปุ่น

ปลากะพงญี่ปุ่น (Japanese lates; アカメ; ออกเสียงว่า อาคาเมะ) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lates japonicus ในวงศ์ปลากะพงขาว (Latidae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาในสกุล Lates ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนิด L. calcarifer เพราะเป็นชนิดที่ถูกจำแนกออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1984 โดยนักมีนวิทยาชาวญี่ปุ่น 2 คน คือ ดร.มะซะโอะ ทะยะคะมะ และ ดร.ยะสุฮิโระ ทะกิ โดยปลากะพงญี่ปุ่นนั้นมีความยาวระหว่างก้านครีบหนามก้านที่ 3 ของครีบหลัง กับ ความยาวครีบท้องยาวกว่า มีจำนวนเกล็ดบริเวณเหนือและใต้เส้นข้างลำตัวมากกว่า จำนวนก้านครีบอกมีน้อยกว่า และก้านครีบก้นมีจำนวนเท่ากันแต่ทว่ามีความยาวกว่า ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 130 เซนติเมตร น้ำหนักสูงสุดที่ได้รับรายงานคือ 33 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์บริเวณเกาะคิวชูและเกาะชิโกกุ ปลาจะทำการผสมพันธุ์และวางไข่ในทะเล เมื่อฟักเป็นตัว ตัวอ่อนจะว่ายอพยพเข้ามาอาศัยในแหล่งน้ำจืดเช่น แม่น้ำชิมันโท และแม่น้ำโอโยวโด ปลากะพงญี่ปุ่นได้ถูกบันทึกภาพเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพฤติกรรมของมันได้เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 โดยสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ โดยที่ชื่อของมันในภาษาญี่ปุ่นแปลได้ว่า "ตาสีแดง" และทางมหาวิทยาลัยโตเกียวก็ได้ติดตั้งเครื่องอัลตราซาวด์เพื่อติดตามพฤติกรรม.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงญี่ปุ่น · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงลาย

ปลากะพงลาย (Silver tiger fish, American tiger fish) เป็นปลาน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Datnioides polota อยู่ในวงศ์ปลาเสือตอ (Datnioididae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาในวงศ์นี้ทั่วไป แต่ทว่ามีช่วงปากและรูปทรงลำตัวที่เรียวยาวและแหลมกว่าปลาเสือตอลายใหญ่ (D. pulcher) หรือ ปลาเสือตอลายเล็ก (D. undecimradiatus) และมีสีของลำตัวออกขาวเหลือบเงินและเขียวแวววาว ลายแถบสีดำบนลำตัวมีขนาดเรียวเล็ก ลายแถบตรงข้อหางแถบสุดท้ายเป็นขีดขาดกันแลดูคล้ายจุดสองขีด ขนาดความยาวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร นับว่าใกล้เคียงกับปลาเสือตอลายเล็ก พบกระจายพันธุ์บริเวณปากแม่น้ำหรือป่าโกงกางชายฝั่งทะเลที่เป็นน้ำกร่อย ตั้งแต่อินเดียจนถึงปาปัวนิวกินี และออสเตรเลีย ปลากะพงลายเป็นปลาที่นิยมตกกันเป็นเกมกีฬา และนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามเช่นเดียวกับปลาในวงศ์เดียวกันชนิดอื่น ๆ ซึ่งในบางครั้งจะมีชื่อเรียกในการค้าขายว่า "ปลาเสือตอแปดริ้ว", "ปลาเสือตอบางปะกง" หรือ "ปลาเสือตอน้ำกร่อย" นอกจากนี้แล้วยังมีชื่อเรียกอื่น อีก เช่น "ปลาลำพึง", "ปลาลำพัง", "ปลากะพงแสม" หรือ "ปลากะพงหิน" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงลายสี่แถบ

ปลากะพงลายสี่แถบ หรือ ปลากะพงแถบน้ำเงิน (bluelined snapper, blue & yellow snapper) เป็นปลาน้ำเค็มชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะพงแดง (Lutjanidae) มีรูปร่างคล้ายปลากะพงลายพาด (L. decussatus) ซึ่งเป็นปลาในวงศ์และสกุลเดียวกัน ลำตัวและครีบมีสีเหลืองสด มีแถบสีฟ้าหรือสีน้ำเงินพาดยาวตามความยาวลำตัวทั้งหมดสี่แถบ ส่วนท้องสีขาว ด้านบนหัวเป็นสีน้ำตาล ขณะที่ยังเล็กอยู่มีปานสีดำข้างลำตัวด้านละ 1 จุด และจะค่อยจางลงเมื่อโตขึ้น มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 18 เซนติเมตร เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ในแนวปะการัง โดยหากินปลาและสัตว์น้ำเล็ก ๆ เป็นอาหาร ฝูงปลาในทะเล เป็นปลาที่แพร่พระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ทะเลแดง, มหาสมุทรอินเดีย, อ่าวเบงกอล, ทะเลอันดามัน, ทะเลจีนใต้, ทะเลญี่ปุ่น, ทะเลฟิลิปปิน, อ่าวตังเกี๋ย, ติมอร์, ออสเตรเลีย, หมู่เกาะแปซิฟิค ไปจนถึงฮาวาย แต่ในน่านน้ำไทยจัดว่าเป็นปลาที่พบได้ไม่บ่อยนักและพบได้เฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงลายสี่แถบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงหน้าลาย

ปลากะพงหน้าลาย (bluespotted snapper, blubberlip snapper, Maori snapper) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะพงแดง (Lutjanidae) มีส่วนหัวค่อนข้างโต ด้านหน้าโค้งลาด ลำตัวกว้าง ครีบอกเรียวโค้ง ครีบหางเว้าตื้น หัวและตัวสีน้ำตาลแดงหรือสีคล้ำ บริเวณส่วนหน้ามีลายเส้นวนสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ มีจุดประเล็ก ๆ สีเดียวกันทั่วทั้งตัว ในบางตัวมีขอบครีบสีเหลือง มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 90 เซนติเมตร เป็นปลาที่มีพฤติกรรมอาศัยอยู่เพียงลำพังตัวเดียว โดยหากินตามกองหินใต้น้ำเหรือแนวปะการัง พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกจนถึงตาฮิติ, ทะเลญี่ปุ่น จนถึงตอนใต้ของออสเตรเลีย สำหรับในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย แต่ในฝั่งอ่าวไทยจะพบได้เฉพาะเป็นบางจุดเท่านั้น จัดเป็นปลาที่พบได้น้อย นิยมบริโภคกันเป็นปลาเศรษฐก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงหน้าลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงผี

ปลากะพงผี (Black beauty, Black and white snapper) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะพงแดง (Lutjanidae) มีลักษณะทั่วไปเหมือนปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกันทั่วไป แต่ส่วนหัวโตกว่า ปากกว้าง ลำตัวกว้าง ครีบหางเว้าตื้น ลำตัวสีคล้ำ มีลวดลายสีเหลืองหรือสีจาง ๆ ที่หน้าและลำตัว ปลาขนาดใหญ่มักมีสีคล้ำ ปลาขนาดเล็ก มีลายสีขาว-ดำตัดกันชัดเจน มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 75 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอาศัยอยู่เป็นฝูง มักพบในแนวปะการังในที่ลึก โดยปลาขนาดเล็กมักว่ายอยู่ตามหน้าหิน กินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กไปเป็นอาหาร เป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์ในเขตอินโด-แปซิฟิก ไปจนถึงออสเตรเลีย ในน่านน้ำไทยพบได้ในแถบทะเลอันดามันเท่านั้น โดยเป็นปลาที่พบได้น้อ.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงผี · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงขาว

ปลากะพงขาว เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่งที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดหรือน้ำกร่อยได้ อยู่ในวงศ์ปลากะพงขาว (Latidae) มีรูปร่างลำตัวหนาและด้านข้างแบน หัวโต จะงอยปากค่อนข้างยาวและแหลม นัยน์ตาโต ปากกว้างยืดหดได้ มุมปากอยู่เลยไปทางหลังนัยน์ตา ฟันเป็นฟันเขี้ยวอยู่บนขากรรไกรบนและล่าง ขอบกระดูกแก้มเป็นหนามแหลม ขอบกระดูกกระพุ้งเหงือกแข็งและคม คอดหางมีขนาดใหญ่และแข็งแรง เกล็ดใหญ่มีขอบหยักเป็นหนามเมื่อลูบจะสากมือ ครีบหลังอันแรกมีก้านครีบเป็นหนามแข็ง ปลายแหลม อันที่สองเป็นครีบอ่อนมีขนาดใกล้เคียงกัน ครีบใหญ่ปลายกลมมน พื้นลำตัวสีขาวเงินปนน้ำตาล แนวสันท้องสีขาวเงิน มีขนาดความยาวประมาณ 20-40 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 2 เมตร หนักได้ถึง 60 กิโลกรัม โดยปลาที่พบในทะเลจะมีขนาดใหญ่กว่าปลาที่พบในน้ำจืด พบกระจายทั่วไปในชายฝั่งทะเลของทวีปเอเชียไปจนถึงตอนเหนือของออสเตรเลีย โดยเป็นปลาที่อพยพไปมาระหว่างทะเลกับน้ำจืด โดยพ่อแม่ปลาจะว่ายจากชายฝั่งเข้ามาวางไข่ในป่าชายเลนหรือปากแม่น้ำ จนกระทั่งลูกปลาฟักและเติบโตแข็งแรงดีแล้ว จึงจะว่ายกลับสู่ทะเล บางครั้งพบอยู่ไกลจากทะเลนับเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร เช่นที่ แม่น้ำโขง ก็มีเป็นปลากินเนื้อ อาหารได้แก่ สัตว์น้ำ, ปลา, กุ้ง ที่มีขนาดเล็กกว่า เป็นปลาเศรษฐกิจที่กรมประมงส่งเสริมให้เลี้ยง เกษตรกรนิยมผลิตลูกปลาชนิดนี้ส่งไปจำหน่ายยังประเทศมาเลเซียและไต้หวัน เนื้อมีรสชาติดี นำมาประกอบอาหารได้หลายประเภท เช่น แปะซะ, นึ่งบ๊วย เป็นต้น และนิยมตกเป็นเกมกีฬา อีกทั้งยังเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้อีกด้วย ปลากะพงขาวยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ปลากะพงน้ำจืด" ขณะที่ชื่อท้องถิ่นในลุ่มแม่น้ำบางปะกงเรียก "ปลาโจ้โล้".

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงขาว (สกุล)

ปลากะพงขาว สกุลของปลาน้ำจืด, น้ำกร่อย และปลาทะเลจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลากะพงขาว (Latidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Lates (/ลา-ติส/) มีรูปร่างโดยรวม คือ รูปร่างลำตัวหนาและด้านข้างแบน หัวโต จะงอยปากค่อนข้างยาวและแหลม นัยน์ตาโต ปากกว้างยืดหดได้ มุมปากอยู่เลยไปทางหลังนัยน์ตา ฟันเป็นฟันเขี้ยวอยู่บนขากรรไกรบนและล่าง ขอบกระดูกแก้มเป็นหนามแหลม ขอบกระดูกกระพุ้งเหงือกแข็งและคม คอดหางมีขนาดใหญ่และแข็งแรง เกล็ดใหญ่มีขอบหยักเป็นหนามเมื่อลูบจะสากมือ ครีบหลังอันแรกมีก้านครีบเป็นหนามแข็ง ปลายแหลม อันที่สองเป็นครีบอ่อนมีขนาดใกล้เคียงกัน ครีบใหญ่ปลายกลมมน มีขนาดตั้งแต่ประมาณ 1 ฟุต ไปจนถึงเกือบ 2 เมตร และมีน้ำหนักได้ถึง 200 กิโลกรัม ในปลากะพงแม่น้ำไนล์ (L. niloticus) ซึ่งจัดว่าเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุลนี้และวงศ์นี้ ที่พบได้ในแหล่งน้ำจืดของทวีปแอฟริกา ปลากะพงขาวมีทั้งหมด 9 สปีชีส์ ซึ่งจัดว่ามีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในวงศ์นี้ ทั้งหมดนิยมใช้ตกเป็นปลาเกมกีฬา และนิยมบริโภคเนื้อเป็นอาหาร พบตั้งแต่ทะเลสาบน้ำจืดหลายแห่งในทวีปแอฟริกาไปจนถึงชายฝั่งทะเลในทวีปเอเชีย ไปจนถึงโอเชียเนีย โดยมี 2 ชนิดเท่านั้นที่พบในทวีปเอเชียและโอเชียเนีย ซึ่งคำว่า Lates นั้นมาจากภาษาละตินคำว่า latēre หมายถึง "ถูกซ่อนไว้".

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงขาว (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงข้างปาน

ปลากะพงข้างปาน (Russell's snapper, Moses perch) ปลาน้ำเค็มชนิดหนึ่งที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ อยู่ในวงศ์ปลากะพงแดง (Lutjanidae) มีรูปร่างคล้ายปลาในวงศ์เดียวกันทั่วไป ครีบหลังมีฐานยาว ครีบหางมีขนาดใหญ่และปลายเว้าเล็กน้อย มีพื้นลำตัวสีเหลืองหรือสีทอง หรือสีน้ำตาลแดงหรือสีขาวเงิน มีเส้นสีแดงปนน้ำตาลจำนวน 8 เส้น พาดผ่านและโค้งไปตามแนวลำตัว บริเวณก่อนถึงโคนหางมีจุดสีดำขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน อันเป็นที่มาของชื่อ มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 50 เซนติเมตร เมื่อยังเป็นลูกปลาจะมีลายพาดแนวนอนตามลำตัวตั้งแต่หัวจรดหาง 3-4 ขีด และเมื่อโตขึ้นลายขีดจะหายไป ครีบและหางกลายเป็นสีเหลือง อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลใกล้ปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน พบในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ในประเทศไทยพบได้ทั้งชายฝั่งอันดามันและอ่าวไทย นิยมอยู่เป็นฝูง นิยมตกเป็นเกมกีฬา เป็นปลาเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลากะพงปานข้างลาย", "ปลาเหลืองลีซี" หรือ "ปลากะพงทอง".

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงข้างปาน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงดำ

ปลากะพงดำ (Tripletail, Atlantic tripletail) ปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในอันดับปลากะพง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lobotes surinamensis อยู่ในวงศ์ปลากะพงดำ (Lobotidae) มีลักษณะลำตัวแบนค่อนข้างลึก ความยาวหัวจะสั้นกว่าความลึกลำตัว ปากกว้างเฉียงขึ้น มุมปากจะอยู่แนวเดียวกับปุ่มกลางนัยน์ตา ครีบหลังจะเป็นก้านครีบเดี่ยวเป็นซี่ปลายแหลมประมาณ 11-13 ก้าน และก้านครีบแขนง 13-16 ก้าน ส่วนครีบหลัง ครีบก้น ครีบหางขนาดใกล้เคียงกันดูเหมือนจะมีครีบหาง 3 ครีบ อันเป็นที่มาของชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ ขนาดค่อนข้างใหญ่สีน้ำตาลเข้มทั้งตัวหรือสีเหลืองอมเขียวมะกอก มีความยาวเต็มที่ได้ 110 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์บริเวณน้ำกร่อยตามปากแม่น้ำ พบได้ตั้งแต่มหาสมุทรแอตแลนติก, มหาสมุทรอินเดีย และแถบอินโด-แปซิฟิก ในมหาสมุทรแปซิฟิก มีพฤติกรรมอำพรางตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเพื่อล่าเหยื่อและอำพรางสัตว์ผู้ล่าที่ใหญ่กว่า โดยปรับเปลี่ยนสีได้ ปกติมักจะลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ กับที่โดยทิ่มส่วนหัวลง กินสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร ลูกปลาวัยอ่อนมักอาศัยอยู่ตามปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน โดยมักจะตะแคงข้างหรือลอยตัวนิ่ง ๆ ทำให้แลดูคล้ายใบไม้ นิยมตกกันเป็นเกมกีฬา และรับประทานเนื้อเป็นอาหาร แต่หากนำไปปรุงด้วยการทำแกงหรือต้มยำ รสชาติจะจืดชืดไม่อร่อย จนต้องโยนหม้อที่ใช้ต้มทิ้งไปพร้อมปลา จนได้อีกชื่อเรียกหนึ่งว่า "ปลาหม้อแตก" และมีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น "กะพงขี้เซา", "กะพงแสม", "อีโป้", "ใบไม้" "ตะกรับทะเล" หรือ "กูกู" (มอแกน) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงแม่น้ำไนล์

ปลากะพงแม่น้ำไนล์ (Nile perch, African snook) หรือชื่อในภาษาพื้นเมืองว่า อิมพิวทา (Imputa) เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ อยู่ในวงศ์ปลากะพงขาว (Latidae) มีรูปร่างคล้ายปลากะพงขาว (L. calcarifer) ซึ่งเป็นปลาอยู่ในวงศ์เดียวกัน สกุลเดียวกัน ต่างกันที่ปลากะพงแม่น้ำไนล์มีครีบหลังที่ยกสูงกว่า และมีขนาดตัวเมื่อโตเต็มที่ได้ใหญ่กว่ามาก โดยยาวได้ถึง 2 เมตร หนักได้ถึง 200 กิโลกรัม หนักสุดพบ 230 กิโลกรัม จัดเป็นปลาที่มีความใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ อาศัยอยู่ในแม่น้ำไนล์ ในทวีปแอฟริกา พบในอียิปต์, ชาด, เซเนกัล, คองโก, เคนยา เป็นต้น นิยมตกเป็นเกมกีฬา โดยถูกจัดให้เป็นปลาที่สามารถตกด้วยเบ็ดได้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เนื้อบริโภคเป็นอาหารขึ้นชื่อในท้องถิ่น และส่งออกต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เป็นต้น นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ด้วยความใหญ่ในรูปร่าง ในแง่ของปัญหาสิ่งแวดล้อม ปลากะพงแม่น้ำไนล์ถือเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่คุกคามสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ ในทะเลสาบแทนกันยีกาและทะเลสาบวิกตอเรีย โดยเพาะอย่าง ปลาในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) เพราะเป็นปลาขนาดใหญ่ที่กินปลาและสัตว์น้ำชนิดอื่นที่เล็กกว่าเป็นอาหาร และกินเป็นจำนวนมาก จึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้หลายชนิดต้องอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ เพราะปลากะพงแม่น้ำไนล์มิได้เป็นปลาพื้นถิ่นของทะเลสาบทั้งสองแห่งนี้ แต่ทว่าถูกนำไปปล่อยโดยเมื่อทศวรรษที่ 50.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงแม่น้ำไนล์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงแดง

ปลากะพงแดง เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งที่อยู่ในสกุล Lutjanus ในวงศ์ปลากะพงแดง (Lutjanidae) คำว่า Latjanus รวมถึง Lutjanidae ที่ใช้เป็นชื่อวงศ์ด้วย มาจากคำว่า ikan lutjan (อีกันลุตจัน) ซึ่งเป็นชื่อเรียกปลาจำพวกนี้ในภาษามลายู ปลากะพงแดงเป็นปลากินเนื้อ อาศัยอยู่ในทะเลหรือมหาสมุทรในเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั้งในมหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติก บางชนิดอาจปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดหรือน้ำกร่อยได้ และมีอยู่สองชนิดที่พบได้เฉพาะในน้ำจืดและน้ำกร่อยเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงแดงสั้นหางปาน

ปลากะพงแดงสั้นหางปาน (Malabar red snapper, Malabar blood snapper, scarlet sea perch) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะพงแดง (Lutjanidae) มีลำตัวค่อนข้างป้อม ด้านข้างแบน หางยาว หัวโต ตาใหญ่ จะงอยปากสั้น ปากกว้างมีฟันซี่เล็ก ๆ เรียงติดกันเป็นแผง ครีบหลังมีฐานยาว ส่วนที่เป็นก้านครีบแข็งมีขอบปลายเว้าขึ้นลงตามความสูงต่ำของก้านครีบ ครีบก้นอยู่ใกล้กับหาง ครีบอกและครีบท้องมีขนาดไล่เลี่ยกัน ครีบหางใหญ่และลำตัวตรง พื้นลำตัวด้านบนสีแดงหรือชมพูอมแดง ส่วนท้องสีเหลือง เหมือนเส้นข้างตัวมีเส้นสีเหลืองจางพาดเฉียงขึ้น เมื่อยังเป็นปลาวัยอ่อน จะมีลำตัวสีเหลืองอ่อน จะมีแถบสีดำพาดผ่านบริเวณส่วนหน้า และข้อหางมีปื้นสีดำคล้ายปาน อันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีขนาดใหญ่ที่สุดถึง 1 เมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยที่พบคือ 30-60 เซนติเมตร หากินตามแนวปะการังหรือใกล้ชายฝั่ง พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่อ่าวเปอร์เซีย, ทะเลอาหรับ, อินโด-แปซิฟิก, ฟิจิ, ทะเลญี่ปุ่น จนถึงออสเตรเลีย ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เป็นปลาเศรษฐกิจที่ใช้ปรุงเป็นอาหาร เนื้อมีรสชาติดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงแดงสั้นหางปาน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงแดงหน้าตั้ง

ปลากะพงแดงหน้าตั้ง (Emperor red snapper) เป็นปลาน้ำเค็มกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lutjanus sebae อยู่ในวงศ์ปลากะพงแดง (Lutjanidae) มีรูปร่างป้อมสั้น ด้านข้างแบน ส่วนของท่อนหางยาว หัวโต บริเวณหัวส่วนบนมีลักษณะลาดชัน นัยน์ตามีขนาดใหญ่ ปากกว้างมีฟันซี่เล็ก ๆ เรียงเป็นแผง ครีบหลังมีฐานยาว ปลายเรียวแหลม ครีบก้นอยู่ใกล้กับคอดหางและมีส่วนปลายแหลม ครีบหูและครีบท้องมีส่วนที่เป็นก้านครีบแข็งมีจำนวนใกล้เคียงกัน ครีบหางยาวและเว้าลึก สีจะเข้มหรือจางขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของปลา ขณะที่เป็นปลาวัยอ่อนลำตัวจะมีสีชมพูและมีแถบสีดำเข้ม 3 แถบ พาดบริเวณส่วนหน้าผ่านนัยน์ตาไปจนบริเวณคาง ข้างลำตัวบริเวณครีบหู และข้างลำตัวโค้งจากบริเวณครีบหลังตอนที่ 2 ไปจรดท่อนหาง ดูแลสวยงามเห็นได้ชัดเจน เมื่อปลาโตขึ้น บริเวณส่วนหัวลาดชันขึ้น แถบดังกล่าวจะกลายเป็นสีแดงและเริ่มลดขนาดลง และเมื่อเจริญเติบโตเต็มวัย แถบสีดังกล่าวจะค่อย ๆ เลือนจางจนหายไปเมื่อปลาโตเต็มที่ เหลือแต่เพียงเป็นจุดสีแดงเรื่อ ๆ บนพื้นลำตัวสีขาวอมแดงเท่านั้น มีความยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุดขนาด 1 เมตร น้ำหนักราว 20-30 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์อยู่ในบริเวณแนวปะการังและชายฝั่งของอ่าวไทย และฝั่งทะเลอันดามัน ในวัยเล็กมักอาศัยอยู่คู่กับเม่นทะเล โดยว่ายผ่านไปมาระหว่างขนของเม่นทะเล เพื่อป้องตัวกันจากนักล่า เป็นปลาที่นิยมรับมาบริโภคโดยการปรุงสุดเช่นเดียวกับปลากะพงแดงชนิดอื่น ๆ รวมทั้งเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ซึ่งพฤติกรรมในสถานที่เลี้ยงนั้น ปลากะพงแดงหน้าตั้งเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายมาก ทรหดอดทน ทนทานต่อโรค และกินอาหารง่ายแบบตะกละไม่เลือกทั้งอาหารสดหรืออาหารเม็.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงแดงหน้าตั้ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงแดงป่าชายเลน

ปลากะพงแดงป่าชายเลน หรือ ปลากะพงแดงปากแม่น้ำ (mangrove jack, mangrove red snapper) ปลาน้ำเค็มชนิดหนึ่งที่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ อยู่ในวงศ์ปลากะพงแดง (Lutjanidae) รูปร่างลำตัวหนาและด้านข้างแบน หัวโตแหลมยาว มีส่วนหัวและลำตัวที่ยาวกว่า มีฟันเขี้ยวแหลมคมโง้งเห็นชัดเจน 2 ซี่ในปาก ริมฝีปากหนา คอดหางมีขนาดใหญ่และแข็งแรง เกล็ดใหญ่มีขอบหยักเป็นหนามเมื่อลูบจะสากมือ เส้นข้างลำตัวติดต่อกันเป็นแถวยาวโค้งอยู่บริเวณค่อนไปทางลำตัวด้านบน ครีบหลังอันแรกมีก้านครีบเป็นหนามแข็ง ปลายแหลม อันที่สองเป็นครีบอ่อนมีขนาดใกล้เคียงกัน ครีบใหญ่ปลายกลมมน พื้นลำตัวสีแดงหรือแดงสด พบใหญ่สุดถึง 1.5 เมตร นิยมอยู่รวมกันเป็นฝูงในป่าชายเลน, ปากแม่น้ำ หรือบริเวณทะเลชายฝั่ง ลูกปลาขนาดเล็กจะฟักตัวและเติบโตในบริเวณน้ำกร่อยแถบป่าชายเลนหรือปากแม่น้ำ ลำตัวจะเป็นสีขาวสลับลายพาดสีดำคล้ายปลานิล อาหารได้แก่ สัตว์น้ำจำพวก ปลา, กุ้ง ที่มีขนาดเล็กกว่า เป็นปลาที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว เป็นปลาที่มีรสชาติดี นิยมบริโภคเป็นปลาเศรษฐกิจ และนิยมตกเป็นเกมกีฬา อีกทั้งยังเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้อีกด้วย สามารถปรับตัวได้ดีในน้ำจืดสนิท แต่สีสันความสวยงามและขนาดของปลาจะไม่โตและสวยเท่ากับปลาที่อาศัยอยู่ในทะเลธรรมชาติ มีพฤติกรรมที่ดุร้าย ตะกละตะกลาม และมักทำร้ายปลาอื่นร่วมสถานที่เลี้ยงเดียวกันที่มีขนาดเล็กกว่าเสมอ.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงแดงป่าชายเลน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงเหลืองห้าเส้น

ปลากะพงเหลืองห้าเส้น หรือ ปลากะพงเหลืองแถบฟ้า (five-lined snapper, blue-striped snapper, blue-banded sea perch) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะพงแดง (Lutjanidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน แต่มีลักษณะเด่น คือ มีแถบข้างลำตัวเป็นสีฟ้าบนพื้นสีเหลืองสด และมีแต้มสีดำระหว่างเส้นสองแถบบน ลูกปลาขนาดเล็กมีลำตัวใสจนมองเห็นกระดูกภายในได้ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 35 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแถบชายฝั่งและแนวปะการังของอินโด-แปซิฟิกตะวันออก ไปจนถึงออสเตรเลีย ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน มีการบริโภคเป็นปลาเศรษฐกิจบ้าง แต่รสชาติไม่อร่อย จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามมากกว่า เนื่องจากความสวยงามที่โดดเด่น นอกจากนี้แล้วยังมีชื่อเรียกอื่น อีก เช่น "ปลากะพงข้างปาน", "ปลากะพงทอง" หรือ "ปลาเหลืองลีซี".

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงเหลืองห้าเส้น · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะพงเขียว

ปลากะพงเขียว (Blue-gray snapper, Green jobfish) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะพงแดง (Lutjanidae) มีรูปร่างยาวเรียว ลำตัวหนาและด้านข้างแบน หัวโต จะงอยปากยาวปลายมน นัยน์ตาโตและอยู่ใกล้ช่องเปิดเหงือก ปากกว้างและเฉียงขึ้นเล็กน้อย มีฟันเป็นเขี้ยวที่แหลมคมท่อนหางยาวเรียว มีเกล็ดขนาดเล็กที่หัวและลำตัว ครีบหลังยาว ส่วนของก้านครีบแข็งและอ่อนติดเป็นแผ่นเดียวกัน ครีบหางเว้าเป็นแฉกกว้าง ปลายแฉกเรียวแหลม พื้นลำตัวมีสีเขียวปนน้ำเงิน ส่วนท้องเป็นสีขาวปนเทาจาง ๆ จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Aprion (มาจากภาษากรีกคำว่า "Aprion" หมายถึง "ปราศจาก" กับคำว่า "prion" หมายถึง "เลื่อย") มีความยาวประมาณ 60-80 เซนติเมตร ใหญ่ที่สุดพบยาวถึง 112 เซนติเมตร น้ำหนัก 15.4 กิโลกรัม เป็นปลาที่แพร่กระจายพันธุ์ในเขตอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่เกาะฮาวาย, แอฟริกาตะวันออก, ญี่ปุ่น จนถึงตอนเหนือของออสเตรเลีย ในน่านน้ำไทยพบมากที่ทะเลอันดามัน มักพบในหน้าดิน บริเวณเกาะ, แนวปะการัง ในระดับความลึกไม่เกิน 100 เมตร เป็นปลาเศรษฐกิจ ที่มีรสชาติดี มีความสำคัญในการทำประมง.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะพงเขียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะมงพร้าว

ปลากะมงพร้าว หรือ ปลากะมงยักษ์ หรือ ปลาตะคองยักษ์ (Giant trevally, Lowly trevally, Giant kingfish; ชื่อย่อ: GT) ปลาทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) มีส่วนหัวโค้งลาด ปากกว้าง ลำตัวแบนข้าง ครีบหางเว้าลึก ข้างลำตัวและโคนหางมีเส้นแข็งสีคล้ำ ลำตัวสีเทาเงินหรืออมเหลือง ครีบอกสีเหลือง ครีบอื่นสีคล้ำ ในปลาขนาดใหญ่อาจมีจุดประสีคล้ำที่ข้างลำตัว มีความยาวเมื่อโตเต็มที่ได้ถึง 170 เซนติเมตร น้ำหนัก 80 กิโลกรัม ปลาขนาดเล็กจะอยู่รวมเป็นฝูง เมื่อโตขึ้นจะแยกอยู่ตามลำพังหรือเป็นฝูงเล็ก ๆ มักว่ายคู่กับปลาขนาดใหญ่ เช่น ปลาฉลามวาฬหรือปลากระเบนแมนตา เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร โดยไล่ล่าปลาขนาดเล็กต่าง ๆ รวมทั้ง หมึก, กุ้ง และปู เป็นอาหาร ในปลาขนาดเล็กอาจพบได้ในแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำจืด เช่น ท่าเรือ, ชายฝั่ง และปากแม่น้ำ ปลาขนาดใหญ่อยู่นอกแนวปะการังหรือกองหินใต้น้ำ ในทะเลเปิด ที่แอฟริกาตะวันออก ปลากะมงพร้าวขนาดโตเต็มวัยจะว่ายเป็นฝูงเข้ามาในแม่น้ำที่เป็นน้ำจืด อย่างช้า ๆ และว่ายเป็นวงกลมรอบ ๆ ไปมา โดยที่ยังไม่ทราบสาเหตุถึงพฤติกรรมเช่นนี้ เป็นปลาที่แพร่กระจายไปในมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย ตั้งแต่ฮาวาย, ญี่ปุ่น, ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก จนถึงออสเตรเลีย ในน่านน้ำไทยสามารถพบได้ทั้ง 2 ฟากฝั่งทะเล จัดเป็นปลาที่พบได้บ่อย เป็นปลาขนาดใหญ่ที่นิยมตกกันเป็นเกมกีฬา โดยถือเป็นปลาเกมที่เป็นปลาทะเล 1 ใน 3 ชนิดที่นิยมตกกัน และเป็นปลาเศรษฐกิจ และนิยมเลี้ยงกันในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งปลากะมงพร้าวมีพฤติกรรมพุ่งเข้าชาร์จอาหารด้วยความรุนแรง ทำให้หลายครั้งสร้างความบาดเจ็บแก่ผู้ให้อาหารแบบที่สวมชุดประดาน้ำลงไปให้ถึงในที่เลี้ยง อีกทั้ง ยังมีผู้ที่นิยมเลี้ยงปลาสวยงามประเภทปลาใหญ่ หรือปลากินเนื้อ เลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย เช่นเดียวกับปลากะมงตาแดง (C. sexfasciatus) โดยจะนำมาเลี้ยงในน้ำจืดตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ทั้งนี้มีรายงานระบุอย่างไม่เป็นทางการว่า ในหลายพื้นที่ได้พบปลากะมงพร้าวขนาดกลางหรือค่อนไปทางใหญ่ในแหล่งน้ำจืด เช่น ในเหมืองร้างแห่งหนึ่ง ในอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และที่จังหวัดชุมพร สันนิษฐานว่าคงเป็นปลาที่ผลัดหลงมาจากเหตุการณ์สึนามิเมื่อปลายปี ค.ศ. 2004 ซึ่งปลามีน้ำหนักประมาณ 2-10 กิโลกรัม นอกจากนี้แล้วที่ประเทศอินโดนีเซีย ยังมีผู้เลี้ยงปลากะมงพร้าวในน้ำจืดได้ในบ่อปลาคาร์ป จนมีขนาดใหญ่ราว 60 เซนติเมตรได้ โดยเลี้ยงมาตั้งแต่ตัวประมาณ 5 เซนติเมตร ซึ่งการจะเลี้ยงปลาให้เติบโตและแข็งแรงจนโตได้ ต้องเลี้ยงในสถานที่ ๆ มีความกว้างขวางพอสมควร และต้องผสมเกลือลงไปในน้ำในปริมาณที่มากพอควร แม้จะมีปริมาณความเค็มไม่เท่ากับน้ำทะเลก็ตามหน้า 123-128, Amphidromous story สุดยอดนักล่า ปลาสองน้ำ คอลัมน์ Wild Ambition โดย ชวิน ตันพิทยคุปต์, กิตติพงษ์ จารุธาณินทร์, นันทวัฒน์ โชติสุวรรณ.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะมงพร้าว · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะมงครีบฟ้า

ปลากะมงครีบฟ้า หรือ ปลามงครีบฟ้า (Bluefin trevally, Black ulua) ปลาทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) มีลำตัวแบนข้างมาก ครีบหลังและครีบก้นยกสูง ครีบหางเล็ก ครีบอกยาวเป็นรูปเคียว ลำตัวสีเงินแวววาวอมฟ้า มีจุดประสีคล้ำหรือสีเหลือง ครีบมีสีฟ้าอ่อนถึงฟ้าสด มีความยาวเต็มที่ 120 เซนติเมตร ขนาดโดยเฉลี่ย 60 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ในระดับกลางน้ำ ไล่ล่าปลาขนาดเล็ก เช่น ปลากะตัก รวมถึงสัตว์น้ำอย่างอื่น เช่น หมึก กินเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในแถบอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่ทะเลแดงจนถึงแอฟริกาตะวันออก, ตอนเหนือของหมู่เกาะริวกิว, ตอนใต้ของนิวแคลิโดเนีย แถบอเมริกากลาง เม็กซิโกจนถึงปานามา ในน่านน้ำไทย พบได้บ่อยทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ในฮาวายมีรายงานว่าผสมข้ามพันธุ์กับปลาหางกิ่วหม้อ (C. sexfasciatus) ด้วย เป็นปลาที่นิยมตกกันเป็นเกมกีฬา และใช้เนื้อในการบร.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะมงครีบฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะรังลายจุด

ปลากะรังลายจุด หรือ ปลากะรังน้ำกร่อย (Brown spotted grouper, Estuary grouper, Malabar grouper, Greasy cod, Spotted river cod, Estuary rock cod) ปลาทะเลและปลาน้ำกร่อยขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะรัง (Serranidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลากะรังทั่วไป พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในบริเวณชายฝั่งหรือปากแม่น้ำที่เป็นน้ำกร่อย ตั้งแต่ทะเลแดง, อินโด-แปซิฟิก จนถึงทะเลญี่ปุ่น และออสเตรเลีย กินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร มีขนาดโตเต็มที่ได้มากกว่า 120 เซนติเมตร และมีน้ำหนักมากกว่า 150 กิโลกรัม นับเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งในวงศ์นี้ โดยลูกปลาขนาดเล็กจะเลี้ยงตัวเองในบริเวณที่เป็นปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน โดยปลาที่โตเต็มวัยจะผสมพันธุ์และวางไข่ในทะเล และที่สำคัญยังสามารถเปลี่ยนเพศได้อีกตามวัย โดยลูกปลาที่อยู่ในวัยไม่เกิน 3 ปี น้ำหนักตัวประมาณ 3 กิโลกรัม จะเป็นเพศเมียทั้งหมด และเมื่อเติบโตขึ้นมาจนน้ำหนักเกิน 7 กิโลกรัมขึ้นไป จะกลายเป็นเพศผู้ การผสมพันธุ์จะเกิดจากปลาเพศผู้ที่มีขนาดใหญ่กว่าปลาเพศเมีย เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่ง ที่มีการนิยมเพาะเลี้ยงกันอย่างกว้างขวางในกระชังหรือบ่อดินริมทะเบหรือบริเวณน้ำกร่อยในหลายพื้นที.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะรังลายจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะรังหัวโขน

ปลากะรังหัวโขน (Estuarine stonefish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหิน (Synanceiidae) เป็นปลาหินชนิดหนึ่ง มีลำตัวป้อมเกือบกลม หัวขนาดใหญ่ สีลำตัวคล้ำมีลายเลอะ ส่วนบริเวณหัวมีหนามจำนวนมาก ลำตัวสากมีหนามเล็ก ผิวหนังหนาและเป็นปุ่ม ครีบหลังยาวครีบอกกว้าง ที่หลังมีก้านครีบแข็งขนาดใหญ่ ครีบอกและครีบท้อง ก้านครีบแข็งมีทั้งหมด 13 ก้าน มีลักษณะเป็นหนาม ซึ่งหนามนี้มีพิษร้ายแรงมาก โดยเกิดจากบริเวณก้านครีบแข็งอยู่ใต้ชั้นผิวหนังโดยอยู่รอบส่วนกลาง ส่วนที่ปลายของก้านหนามห่อหุ้มด้วยเนื้อเยื่อ พิษจะถูกปล่อยออกมาเมื่อเยื่อหุ้มฉีกขาดออกไปเพื่อป้องกันตัว ซึ่งมีอันตรายมากอาจทำให้ผู้ที่สัมผัสถูกเสียชีวิตได้ ปลากะรังหัวโขน มีรูปลักษณ์คล้ายกับก้อนหิน จึงมีพฤติกรรมกบดานอยู่นิ่ง ๆ กับที่ เพื่อรอฮุบเหยื่อไปทั้งคำ ซึ่งได้แก่ ปลาขนาดเล็ก, กุ้ง และครัสเตเชียนชนิดต่าง ๆ มีความยาวลำตัวประมาณ 60 เซนติเมตร (2 ฟุต) พบกระจายพันธุ์ทั่วไปตามแนวปะการังและใกล้ชายฝั่งของแถบอินโด-แปซฟิก เช่น อินเดียจนถึงจีน, ฟิลิปปินส์, ปาปัวนิวกินี และ ออสเตรเลีย และมีบันทึกว่าพบในวานูอาตูด้วย บางครั้งอาจพบได้ตามแหล่งน้ำกร่อย เช่น ปากแม่น้ำ ปลากะรังหัวโขนแม้จะมีพิษร้ายแรง แต่ก็ถือเป็นปลาที่นิยมเลี้ยงไว้แสดงตามสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำต่าง ๆ รวมถึงมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย เป็นปลาที่หาซื้อได้ไม่ยาก ราคาไม่แพง โดยผู้เลี้ยงสามารถที่จะปรับสภาพน้ำในที่เลี้ยงให้เป็นน้ำกร่อยที่มีความเค็มค่อนข้างเค็มเหมือนน้ำทะเลได้ ปลาจึงสามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะรังหัวโขน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะรังหน้างอน

ปลากะรังหน้างอน หรือ ปลากะรังหงส์ หรือ ปลาเก๋าหงส์ (Humpback grouper, Barramundi cod, Panther grouper) อยู่ในวงศ์ปลากะรัง (Serranidae) มีรูปร่างหัวเรียวแหลม ปากเล็ก ตาเล็ก ครีบหลังต่อเป็นแผ่นเดียว ลำตัวสีเทาอ่อน แต้มด้วยจุดสีดำกระจายทั่วทั้งตัวและครีบ จัดเป็นปลาชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Cromileptes มีความยาวเต็มที่ 70 เซนติเมตร ใช้เวลาโตเต็มที่ประมาณ 2 ปี น้ำหนักกว่า 2.5 กิโลกรัม พบกระจายอยู่ตามชายฝั่งทะเลบริเวณแนวปะการังหรือกองหินที่มีน้ำขุ่น ความลึกตั้งแต่ 2–40 เมตร พบกระจายอยู่ทั่วไปในทะเลจีน, ญี่ปุ่น, ปาปัวนิวกินี, มหาสมุทรอินเดีย, หมู่เกาะนิโคบาร์, ออสเตรเลียตอนเหนือ, ไทย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย ปลากะรังหน้างอนเป็นปลาที่มีความโดดเด่นที่สีสันที่มีความสวยงาม โดยเฉพาะเมื่อยังเล็ก พื้นลำตัวจะเป็นสีขาวตัดกับจุดกลมสีดำเห็นชัดเจน จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม ประกอบกับเนื้อมีรสชาติอร่อย จึงนิยมจับเพื่อรับประทานเป็นอาหารอีกด้วย ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาตัวที่ถูกจับได้ในธรรมชาติจะมีราคาสูงถึงตัวละ 2,400–2,800 บาท ดังนั้น สถานะในธรรมชาติของปลากะรังหน้างอนจึงอยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์เนื่องจากถิ่นที่อยู่อาศัยถูกคุกคาม แต่ในปัจจุบัน กรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะรังหน้างอน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะรังจุดฟ้าจุดเล็ก

ปลากะรังจุดฟ้าจุดเล็ก (leopard grouper) เป็นปลากระดูกแข็งในวงศ์ปลากะรัง (Serranidae) วงศ์ย่อย Epinephelinae มีชื่อสามัญอื่น ๆ ว่า "ปลากุดสลาด", "ปลาเก๋าจุดฟ้า" หรือ "ปลาย่ำสวาท" เป็นต้น ปลากะรังจุดฟ้าจุดเล็กมีลำตัวแบนยาว มีความยาวลำตัวได้จนถึง 120 เซนติเมตร บริเวณรอบดวงตาแบน ไม่มีเกล็ด ก้านซี่เหงือกจำนวน 6–10 อัน หลังมีก้านครีบแข็ง 7–8 ก้าน ครีบที่ 3 หรือ 4 ยาวที่สุด ก้านครีบอ่อน 10–12 อัน ครีบอกมีก้านครีบอ่อน 15–17 อัน ครีบก้นมีก้านครีบแข็ง 3 อัน และก้านครีบอ่อน 8 อัน หางเป็นแบบตรงเว้ากลางเล็กน้อย สีลำตัวมีหลากหลายตั้งแต่สีเขียวมะกอกถึงแดงน้ำตาล สีส้มแดงถึงแดงเข้ม จะมีจุดสีฟ้าเล็ก ๆ บนหัวและแก้มมากกว่า 10 จุด และที่ลำตัว ยกเว้นใต้ท้อง พบในทะเลความลึกตั้งแต่ 3–100 เมตร พบชุกชุมแถบทะเลเขตร้อน ได้แก่ ประเทศไทย, อินเดีย, ศรีลังกา, พม่า, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, ออสเตรเลียตอนเหนือ, ทะเลแดง, ทะเลอาหรับ และทวีปแอฟริกาตอนใต้ ในเขตอบอุ่นพบบ้างแต่ไม่มากเท่า ปลากะรังจุดฟ้าจุดเล็กสืบพันธุ์วางไข่ในทะเล ลูกปลาจะเข้ามาเจริญเติบโตอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลหรือปากแม่น้ำ สามารถเปลี่ยนเพศได้ ขนาดสมบูรณ์เพศอายุประมาณ 3 ปี น้ำหนักตัวประมาณ 3 กิโลกรัม จะเป็นเพศเมียทั้งหมด เมื่อปลาเจริญเติบโตมีน้ำหนักตัวประมาณ 7 กิโลกรัม ก็จะเปลี่ยนเป็นเพศผู้ ดังนั้นการผสมพันธุ์ของปลาชนิดนี้ในธรรมชาติจะเกิดจากปลาเพศผู้ที่มีขนาดใหญ่กับปลาเพศเมียที่มีขนาดเล็กกว่า ฤดูกาลผสมพันธุ์อยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนจนถึงเมษายน แต่ละตัวสามารถวางไข่ได้ 208,000–269,500 ฟอง โดยปริมาณและคุณภาพของไข่ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของตัวปลา ปลากะรังจุดฟ้าจุดเล็กเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีเนื้อรสชาติอร่อย มีราคาขายที่สูงกว่าปลากะรังชนิดอื่น ๆ โดยมีราคาขายตกถึงตัวละ 750–800 บาท จึงมีการเพาะเลี้ยงกันในกระชัง.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะรังจุดฟ้าจุดเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะรังดอกแดง

ปลากะรังดอกแดง หรือ ปลาเก๋าดอกแดง หรือ ปลาเก๋าจุดน้ำตาล หรือ ปลากะรังปากแม่น้ำ (Orange-spotted grouper, Estuary cod) ปลาชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะรัง (Serranidae) เป็นปลาในวงศ์นี้อีกชนิดหนึ่งที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ รูปร่างค่อนข้างป้อม หัวใหญ่ จะงอยปากแหลม นัยน์ตาโต ปากกว้างเฉียงขึ้นเล็กน้อย มีฟันเป็นเขี้ยวแหลมอยู่บนขากรรไกรทั้งบนและล่าง ครีบหลังยาว ครีบหางมีขนาดใหญ่และแข็งแรง ปลายมนกลม พื้นตัวเป็นสีเทาและมีลายน้ำตาลอยู่บนหัวและข้างลำตัว มีจุดประอยู่ตามหัวและลำตัว แต่บางตัวก็ไม่มีจุดขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและขนาดของปลา มีขนาดลำตัวโดยเฉลี่ย 30 เซนติเมตร แต่สามารถใหญ่ได้ถึง 1.5 เมตร พบกระจายพันธุ์ตามแถบปากแม่น้ำ, ป่าชายเลน หรือกองหินใต้ทะเล ในประเทศไทยพบชุกชุมที่อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ในต่างประเทศพบได้ที่ทะเลแดง, มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย เป็นปลาเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่ง ที่มีการเพาะเลี้ยงกันเพื่อการพาณิชย์ มีการส่งออกไปขายยังต่างประเทศ เป็นปลาที่ชาวจีนมีความเชื่อว่า เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้บำรุงกำลังเชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย (ช่วงวัตถุดิบปริศนา), รายการทางช่อง 7: วันพุธที่ 13 มีนาคม..

ใหม่!!: สัตว์และปลากะรังดอกแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะรังปากแม่น้ำ

ปลากะรังปากแม่น้ำ (Arabian grouper, Greasy grouper; ชื่อวิทยาศาสตร์: Epinephelus tauvina) ปลาทะเลชนิดหนึ่งในวงศ์ปลากะรัง (Serranidae) วงศ์ย่อย Epinephelinae มีชื่ออื่น ๆ อีก เช่น "ปลาเก๋าลายจุด", "ปลาเก๋าจุดน้ำตาล" มีพื้นลำตัวเป็นสีน้ำตาลอ่อน มีจุดดำและลายปื้นสีเขียวกระจายไปทั่วตัว จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในวงศ์นี้ โดยสามารถยาวได้ถึง 80 เซนติเมตร มีพฤติกรรมกินเหยื่อโดยการฮุบกินไปทั้งตัว พบกระจายอยู่ตั้งแต่ทะเลแดง, แอฟริกาใต้ ในทวีปเอเชียพบได้จนถึงประเทศญี่ปุ่น โดยอาศัยอยู่ในทะเลที่มีความลึกตั้งแต่ 1–300 เมตร อีกทั้งยังสามารถพบได้ในบริเวณปากแม่น้ำหรือป่าชายเลนที่มีสภาพเป็นน้ำกร่อยด้วย สำหรับในประเทศไทยพบชุกชุมที่อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา นิยมบริโภคเป็นปลาเศรษฐกิจ มีการเพาะเลี้ยงในกระชัง.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะรังปากแม่น้ำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะทิ

ปลากะทิ เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cyclocheilichthys heteronema ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) จัดเป็นปลาชนิดหนึ่งที่อยู่ในสกุล Cyclocheilichthys.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะทิ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะตัก

ำหรับปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ดูที่: ปลาซิวข้าวสาร ปลาข้าวสาร ปลากะตัก หรือ ปลาไส้ตัน (Anchovy) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Stolephorus จัดอยู่ในวงศ์ปลาแมว (Engraulidae) ลักษณะโดยทั่วไปเป็นปลาผิวน้ำขนาดเล็ก อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ลำตัวเรียวยาว แบนข้างมีสันหนามที่ท้อง ขากรรไกรบนยาวเลยหลังตา ครีบหลังตอนเดียว ครีบหางเว้าลึก มีแถบสีเงินพาดตามแนวความยาวของลำตัว ปลากะตัก ในประเทศไทยเป็นพันธุ์ปลาขนาดเล็กกว่าปลากะตักประเทศอื่นๆ ซึ่งมีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 2-5 เซนติเมตร มีอายุขัยโดยเฉลี่ยไม่เกิน 3 ปี เป็นปลาที่หากินตามผิวน้ำ มักอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ โดยอยู่ห่างจากชายฝั่งประมาณ 0.5-1.5 ไมล์ทะเล ตามบริเวณชายฝั่งและหมู่เกาะต่าง ๆ กินแพลงก์ตอนต่าง ๆ เป็นอาหาร ทั้งแพลงก์ตอนพืช เช่น ไดอะตอม และแพลงก์ตอนสัตว์เช่น ตัวอ่อนของครัสเตเชียน, โคพีพอด หรือไข่ของหอยสองฝา เป็นต้น และสำหรับห่วงโซ่อาหารในทะเล ปลากะตักก็เป็นอาหารสำคัญของปลาและสัตว์น้ำขนาดใหญ่กว่า เช่น แมวน้ำ, สิงโตทะเล, โลมา, วาฬ และปลาฉลาม ปลากะตัก พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในเขตน่านน้ำของอินโด-แปซิฟิก ในน่านน้ำไทยพบ 11 ชนิด จากการศึกษาของ ทศพร วงศ์รัตน์ ในปี ค.ศ. 1985 จากทั้งหมด 20 ชนิด (เดิมมีอยู่ 18 ชนิด) เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญต่อมนุษย์ โดยสามารถนำไปแปรรูปต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น น้ำปลา, ปลาป่น, ปลาแห้ง, บูดู รวมทั้งการบริโภคสด ปลากะตัก นอกจากปลาไส้ตันแล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ปลากล้วย, ปลาหัวอ่อน, ปลาจิ้งจั๊ง, ปลามะลิ, ปลาหัวไม้ขีด, ปลาเส้นขนมจีน, ปลายู่เกี้ย, ปลาเก๋ย เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ปลากะตักตากแห้งมีชื่อเรียกว่า ปลาข้าวสาร นิยมรับประทานเป็นกับแกล้มกับอาหารชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะตัก · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะตักใหญ่

ปลากะตักใหญ่ หรือ ปลากะตักควาย (Indian anchovy) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stolephorus indicus ในวงศ์ปลากะตัก (Engraulidae) มีลำตัวยาวเรียวด้านข้างแบน ท้องเป็นสันคม เกล็ดบริเวณหน้าครีบท้องแข็งเป็นหนาม หัวโต จะงอยปากสั้น ปากกว้างและเฉียงขึ้นข้างบน ครีบหลังและครีบก้นมีขนาดใกล้เคียงกัน ครีบหางลึกเป็นแฉก ครีบหูและครีบท้องมีขนาดเล็ก มีแถบสีขาวคาดที่ข้างลำตัวและมีจะงอยปากใหญ่กว่าปลากะตักชนิดอื่น ๆ ไม่มีเส้นดำบนด้านหลังระหว่างหัวถึงครีบหลัง ลำตัวเป็นสีเทาโปร่งแสง มีพฤติกรรมอยู่รวมเป็นฝูงใหญ่ หากินตามผิวน้ำ โดยมีความยาวเต็มที่ไม่เกิน 10 เซนติเมตร กินอาหารขนาดเล็ก จำพวก แพลงก์ตอน, เคยหรือสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลที่ห่างจากชายฝั่งประมาณ 0.5-1.5 ไมล์ทะเล สามารถเข้าไปหากินถึงในแหล่งน้ำกร่อย เช่น ปากแม่น้ำได้ ในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน นอกจากนั้นแล้วยังพบได้ไกลถึงชายฝั่งของแอฟริกาใต้, ทะเลแดง, อ่าวเปอร์เซีย, ซามัว, ตาฮิติ, มาดากัสการ์, ทะเลจีนตะวันออก และออสเตรเลีย มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ในแง่ของการทำเป็นน้ำปลา, ปลาแห้ง, ปลาป่น และแกงกะหรี่ ในอินเดีย ปลากะตักใหญ่ ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลามะลิ", "ปลากล้วย" หรือ "ปลาไส้ตัน".

ใหม่!!: สัตว์และปลากะตักใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากะแมะ

ปลากะแมะ (Angler catfish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลากะแมะ (Chacidae) มีรูปร่างประหลาด หัวแบนราบมากและปากกว้าง ครีบหลังและครีบอกสั้น ก้านครีบอกมีขอบหยัก ครีบท้องใหญ่ มีผิวย่นและเป็นตุ่มขนาดต่างๆ หัวมีติ่งหนังอยู่โดยรอบ ลำตัวสีน้ำตาลแดงเข้มหรือน้ำตาลไหม้ ท้องสีจาง มีประและจุดสีคล้ำกระจายทั่ว มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอาศัยอยู่กองใบไม้ร่วง มักอยู่นิ่งเป็นเวลานานเพื่อรอจับปลาเล็ก ๆ โดยอาหารได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็ก ในประเทศไทยพบอาศัยอยู่ที่ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาสที่เดียวเท่านั้น สถานภาพเป็นปลาใกล้สูญพันธุ์ในธรรมชาติ เนื่องจากถิ่นที่อยู่ถูกทำลาย ในต่างประเทศพบได้ที่มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และบรูไน ปลากะแมะในวัยอ่อน ไม่บริโภคเป็นปลาเศรษฐกิจ แต่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะผู้ที่นิยมเลี้ยงปลาแปลก แต่เป็นชนิดที่เลี้ยงให้รอดยาก เนื่องจากปลามักปรับสภาพให้อยู่กับสิ่งแวดล้อมในที่เลี้ยงไม่ได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลากะแมะ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากัด

ปลากัด หรือ ปลากัดภาคกลาง เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก อยู่ในวงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae.

ใหม่!!: สัตว์และปลากัด · ดูเพิ่มเติม »

ปลากัด (สกุล)

ปลากัด (Fighting fishes) ชื่อสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง มีชื่อสกุลว่า Betta (/เบ็ท-ทา/) ในวงศ์ย่อย Macropodinae ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae.

ใหม่!!: สัตว์และปลากัด (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลากัดช้าง

ปลากัดช้าง หรือ ปลากัดน้ำแดง ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างป้อมสั้น ครีบหลังยาว ครีบท้องเป็นเส้นยาว ครีบก้นยาว ปลายครีบเรียวยาว ครีบหางค่อนข้างใหญ่ หัวโต ปากกว้าง เกล็ดใหญ่ ส่วนหัวละลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลแดง มีลายใต้คางซึ่งมีลักษณะเหมือนสัญลักษณ์พาย (π) อันเป็นที่มาของชื่อวิทยาศาสตร์ ใต้ขอบตาเป็นสีส้มเข้มในตัวผู้ ครีบสีจางมีเหลือบสีเขียวอ่อน ปากสีคล้ำ มีรอยสีคล้ำเป็นรูปโค้งและมีแถบ 2 แถบติดกันที่ใต้คางและริมฝีปากล่าง นับเป็นหนึ่งในปลากัดอมไข่ ที่พบได้ในประเทศไทย จัดเป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุด โดยสามารถโตเต็มที่ได้ถึง 12 เซนติเมตร แต่เฉลี่ยทั่วไป 9 เซนติเมตร ซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดด้วยในบรรดาปลากัดทั้งหมดที่พบในประเทศไทย พบในป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส ของประเทศไทย โดยอาศัยในน้ำที่มีสีชาหรือสีแดง อันเกิดจากการทับถมของซากพืชเป็นเวลานาน และมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างค่อนข้างต่ำ (ประมาณ pH 5-6) เป็นปลาที่ไม่ดุร้าย ก้าวร้าว เหมือนพวกปลากัดประเภทก่อหวอด จึงสามารถเลี้ยงรวมกันได้หลาย ๆ ตัว สถานภาพเป็นปลาที่ถูกคุกคามทางด้านถิ่นที่อยู่อาศัยในธรรมชาติ จัดเป็นปลาเฉพาะถิ่น ปัจจุบัน สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในสถานที่เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และปลากัดช้าง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากัดหัวโม่งจันทบุรี

ปลากัดหัวโม่งจันทบุรี หรือ ปลากัดหัวโม่ง ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างคล้ายปลากัดภูเขา (B. pugnax) ซึ่งเป็นปลากัดจำพวกอมไข่ (Mouthbrooder) เหมือนกัน ปลากัดหัวโม่งมีตัวโต ปลายปากแหลม ครีบทุกครีบใสโปร่งแสง ลำตัวสีเขียวอ่อน มีแถบสีดำพาดตามความยาวลำตัว 3 แถบ ตากลมโตสีเหลือง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร ปลาตัวผู้เครื่องครีบทุกครีบและแหลมยาวกว่าตัวเมีย ตัวเมียไม่มีจุดไข่นำเหมือนปลากัดประเภทก่อหวอด พบกระจายโดยทั่วไป ในประเทศไทยบริเวณลำธารน้ำตกแถบภาคตะวันออก โดยสภาพของน้ำที่พบจะมีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 7-7.5 นอกจากนั้นยังพบได้ในแหล่งน้ำสภาพเดียวกันของประเทศกัมพูชา เป็นปลาที่ไม่มีพฤติกรรมดุร้าย ก้าวร้าวเหมือนปลากัดจำพวกก่อหวอด จึงสามารถเลี้ยงรวมกันได้หลายตัว ปัจจุบัน สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และปลากัดหัวโม่งจันทบุรี · ดูเพิ่มเติม »

ปลากัดอมไข่กระบี่

ปลากัดอมไข่กระบี่ หรือ ปลากัดหัวโม่งกระบี่ เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Betta simplex อยู่ในวงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae เป็นปลากัดประเภทอมไข่ (Mouthbrooder) ชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย ปลาตัวผู้มีสีสันสวยงาม ครีบหลัง ครีบท้อง และครีบหางสีแดง ครีบท้องจะมีริมสีน้ำเงิน ปลาตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า หัวแหลมกว่า และสีสันไม่สวยงามเท่าตัวผู้ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 8 เซนติเมตร ปลากัดอมไข่กระบี่ เป็นปลาที่พบเฉพาะกอหญ้าริมลำธารที่น้ำไหลเอื่อย ๆ ซึ่งเป็นลำธารที่ไหลมาจากภูเขาหินปูนที่น้ำมีความกระด้างและมีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ประมาณ 7.5–8.5 มีแคลเซียมคาร์บอเนตละลายสูง ในเขตจังหวัดกระบี่และจังหวัดใกล้เคียงเท่านั้น จัดเป็นปลาที่พบได้น้อยและถูกคุกคามถิ่นที่อยู่อาศัย แต่ปัจจุบัน สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยงโดยมนุษย์ชมปลากัดอมไข่ประบี่กับขุนเคย่ามเหลือง, คอลัมน์ Aqua Surveyโดย ธีรวัฒน์ อุทาพงษ์ หน้า 48-52.

ใหม่!!: สัตว์และปลากัดอมไข่กระบี่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากัดอมไข่สงขลา

ปลากัดอมไข่สงขลา หรือ ปลากัดสงขลา หรือ ปลากัดฟีร็อกซ์ ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) จัดเป็นปลากัดประเภทปลากัดอมไข่ชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย โดยพบครั้งแรกจากการสำรวจที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พบในแหล่งน้ำที่มีกระแสน้ำไหลบนภูเขาอาศัยบริเวณรากไม้หรือใบไม้ใกล้ฝั่ง ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 6.3 เซนติเมตร (2.5 นิ้ว)ปลาตัวผู้จะไม่ก่อหวอดแต่จะอมไข่ไว้ในปากจนฟักเป็นตัว ทั้งนี้เชื่อว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ คือ ลำธารที่น้ำไหลเชี่ยวแรงบนภูเขา พบกระจายอยู่ทั่วไปในแหล่งน้ำบนภูเขาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทย พบได้เฉพาะภาคใต้เท่านั้น และพบได้เรื่อยไปในแหลมมลายูจนถึงรัฐปีนังในมาเลเซีย เป็นปลาที่หาได้ยากและใกล้จะสูญพันธุ์ โดยถูกลุกลํ้าพื้นที่ จนทำให้(ปลากัดอมไข่)หาดูได้ยากนัก โดยที่คำว่า ferox เป็นภาษาละติน หมายถึง "โหดเหี้ยม" หรือ "ป่าเถื่อน".

ใหม่!!: สัตว์และปลากัดอมไข่สงขลา · ดูเพิ่มเติม »

ปลากัดอัลบิ

ปลากัดอัลบิ เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) จัดเป็นปลากัดประเภทอมไข่ มีรูปร่างยาว หัวมีขนาดใหญ่ มีจุดเด่น คือ สีตลอดทั้งลำตัวเป็นสีแดงเข้ม มีลักษณะคล้ายกับปลากัดชานอยเดส (B. channoides) ที่มีลักษณะคล้ายกันมาก แต่ปลากัดอัลบิ จะมีครีบหางที่มีแถบสีดำเต็มขอบหาง และครีบหลังจะมีแถบสีดำเป็นแต้มอยู่ด้านล่างขอบครีบหลังที่เป็นสีขาว อีกทั้งยังมีลำตัวสีแดงเข้มทึบกว่า มีความยาวเต็มที่ประมาณ 30-35 มิลลิเมตร พบในแหล่งน้ำที่เป็นลำธารที่มีใบไม้ร่วงลงพื้นในป่าของจังหวัดกาลีมันตันตะวันออก ในอินโดนีเซีย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ที่มีราคาซื้อขายแพง เนื่องจากเป็นปลากัดประเภทอมไข่ จึงสามารถเลี้ยงรวมกันเป็นฝูงได้ แต่ปลากัดอัลบิมีอุปนิสัยที่ดุร้ายกว่าปลากัดอมไข่ชนิดอื่น ๆ พอสมควร โดยตัวผู้มักจะไล่กัดตัวเมีย ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในที่เลี้ยง โดยปรับสภาพน้ำให้มีสภาพความเป็นกรดต่ำกว่าค่าความเป็นกลาง (pH ต่ำกว่า 7) ตัวผู้จะเป็นฝ่ายอมไข่ไว้ในปาก เป็นเวลาประมาณ 12-14 วัน ลูกปลาจะเริ่มว่ายน้ำได้เองภายใน 15-20 วัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลากัดอัลบิ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากัดค็อกซินา

ปลากัดค็อกซินา (Wine-red betta) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) จัดเป็นปลากัดป่าชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในประเภทปลากัดก่อหวอด มีลำตัวเรียวยาว หัวและตามีขนาดใหญ่ ลำตัวและครีบสีแดงสดทั้งตัว ซึ่งชื่อวิทยาศาสตร์ที่ว่า "coccina" นั้น หมายถึง "แดงดั่งเหล้าองุ่น" เมื่อตกใจหรืออยู่ในภาวะเครียดสีจะซีด แลเห็นจุดวงกลมขนาดใหญ่สีเขียวที่กลางลำตัว อย่างชัดเจน ขณะที่เมื่อมีสีสดใสจุดดังกล่าวจะเป็นสีน้ำเงิน เห็นได้ขัดเจน ปลายครีบหางและครีบหลังมีแถบสีขาวเล็ก ๆ มีขนาดโตเต็มที่ 30-40 มิลลิเมตร ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ตัวผู้จะมีสีสันสดใสและครีบต่าง ๆ ยาวกว่า พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำบนเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย, รัฐยะโฮร์และมะละกาของมาเลเซีย แต่ไม่พบในประเทศไทย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีราคาขายค่อยข้างแพงและหายาก ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยง โดยเลี้ยงรวมกันเป็นฝูงก่อน จากนั้นจึงค่อยให้ปลาจับคู่กัน จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี หากเลี้ยงในน้ำที่มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างต่ำกว่าค่าความเป็นกลาง (ค่า pH ต่ำว่า 7) ในที่เลี้ยงชอบก่อหวอดในโพรงไม้หรือกระถางใต้น้ำ และบนผิวน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลากัดค็อกซินา · ดูเพิ่มเติม »

ปลากัดปีนัง

ปลากัดปีนัง หรือ ปลากัดภูเขา (Penang betta) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) รูปร่างและคล้ายปลากัดทั่วไป แต่มีลำตัวป้อมใหญ่กว่า หัวโต ครีบหางใหญ่ ตัวผู้มีสีน้ำตาลคล้ำ ข้างแก้มสีฟ้าเหลือบเขียว เกล็ดมีจุดสีฟ้าเหลือบทั้งตัว ครีบสีน้ำตาลอ่อน ครีบหลังและครีบหางมีลายเส้นประสีคล้ำ ครีบก้นมีขอบดำ ตัวเมียสีน้ำตาลอ่อน และมีแถบสีคล้ำพาดตามแนวยาวของลำตัว ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5-7 เซนติเมตร พฤติกรรมของปลากัดชนิดนี้ ไม่เหมือนปลากัดจำพวกก่อหวอด อย่าง ปลากัดภาคกลาง (B. splendens) หรือ ปลากัดอีสาน (B. smaragdina) เนื่องจากการผสมพันธุ์และวางไข่ ปลาตัวผู้จะไม่ก่อหวอดแต่จะอมไข่ไว้ในปากจนฟักเป็นตัว ทั้งนี้เชื่อว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ คือ ลำธารที่น้ำไหลเชี่ยวแรงบนภูเขา อีกทั้งปลากัดจำพวกนี้ไม่มีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว เหมือนพวกปลากัดก่อหวอด จึงสามารถพบอยู่กันเป็นฝูงได้หลาย ๆ ตัว อีกทั้งอวัยวะที่ช่วยในการหายใจ ทำงานได้ไม่สมบูรณ์เท่าปลากัดก่อหวอด พบกระจายอยู่ทั่วไปในแหล่งน้ำบนภูเขาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทย พบได้เฉพาะภาคใต้เท่านั้น และพบได้เรื่อยไปในแหลมมลายูจนถึงรัฐปีนังในมาเลเซียหน้า 200, คู่มือปลาน้ำจืด โดย ดร.ชวลิต วิทยานนท์ (สำนักพิมพ์สารคดี กรุงเทพ พ.ศ. 2547) ISBN 9744841486 และมีความเป็นไปได้ว่าปลากัดชนิดนี้มีความใกล้เคียงทางพันธุกรรมกับปลากัดชนิด B. enisae ซึ่งเป็นปลากัดประเภทอมไข่เช่นเดียวกัน ที่พบได้ในแถบกาลิมันตันของอินโดนีเซี.

ใหม่!!: สัตว์และปลากัดปีนัง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากัดป่าภาคใต้

ปลากัดป่าภาคใต้ หรือ ปลากัดภาคใต้ เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก อยู่ในวงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae มีลักษณะคล้ายปลากัดภาคกลาง (B. splendens) และปลากัดอีสาน (B. smaragdina) แต่มีรูปร่างเรียวยาวและครีบหลังค่อนไปทางด้านหลังลำตัว มีพฤติกรรมก้าวร้าวน้อยกว่าปลากัดทั้ง 2 ชนิดข้างต้น มีลำตัวสีน้ำตาลอ่อนเหลือบแดงและน้ำเงิน ครีบหลังและครีบก้นสีคล้ำแดงมีแถบสีฟ้าเรืองแสง ปลายครีบก้นมีแต้มสีแดงสด มีขลิบสีขาว พบในภาคใต้ของประเทศไทย มีขนาดยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ส่วนปลาที่พบในประเทศกัมพูชาแถบจังหวัดสตึงแตรงนั้น จะมีลำตัวและครีบสีดำคล้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลากัดป่าภาคใต้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากัดป่ามหาชัย

ปลากัดป่ามหาชัย หรือ ปลากัดมหาชัย (Mahachai betta) เป็นปลาน้ำจืดจำพวกปลากัดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลากัดป่ามหาชัย · ดูเพิ่มเติม »

ปลากัดเขียว

ปลากัดเขียว หรือ ปลากัดอีสาน เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก อยู่ในวงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างและพฤติกรรมคล้ายปลากัดภาคกลาง (B. splendens) แต่มีรูปร่างที่เพรียวยาวกว่า เกล็ดมีสีเขียวมากกว่าทั้งที่ข้างแก้มและลำตัว ในบางตัวอาจมีเหลือบสีฟ้า ครีบมีสีเขียวหรือฟ้าและมีลายประสีดำ พบในแหล่งน้ำตื้นที่นิ่งและไหลเอื่อย ๆ ในพื้นที่ภาคอีสานของประเทศไทย และประเทศลาว ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5-6 เซนติเมตร หน้า 200, คู่มือปลาน้ำจืด โดย ดร.ชวลิต วิทยานนท์ (สำนักพิมพ์สารคดี กรุงเทพ พ.ศ. 2547) ISBN 9744841486 ปลากัดเขียว ที่พบในพื้นที่บึงโขงหลง พื้นที่ชุ่มน้ำขนาดกว้างใหญ่ในจังหวัดบึงกาฬ พบมีลักษณะที่เด่นเฉพาะตัว คือ ก้านครีบหางจะมีการแตกตัว บางตัวอาจแตกได้มากถึง 4 ก้าน และในครีบหางจะมีลายขึ้นเป็นเส้นเต็มช่องระหว่างก้านหาง เริ่มตั้งแต่โคนหางกระจายออกไปจนอาจสุดปลายหาง มองดูคล้ายลักษณะของแมงมุม ปลาที่มีลักษณะเช่นนี้เรียกว่า "ปลากัดป่าหางลาย" หรือ "ปลากัดป่ากีตาร์" เนื่องจากเมื่อแผ่ครีบพองเหงือกเมื่อเจอกับปลากัดตัวอื่น ครีบท้องหรือครีบอกข้างใดข้างหนึ่งจะกระดิก คล้ายกับเวลามีผู้ดีดกีตาร์นอกจากนี้แล้ว ปลากัดเขียว ในพื้นที่ต่าง ๆ ก็ยังมีสีสันและขนาดลำตัว ตลอดจนลักษณะครีบต่าง ๆ แตกต่างกันซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเป็นชนิดใหม่ แต่เรื่องนี้ยังมิได้มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์กันอย่างแท้จริง.

ใหม่!!: สัตว์และปลากัดเขียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลากา

ปลาการาชบัณฑิตยสถาน.

ใหม่!!: สัตว์และปลากา · ดูเพิ่มเติม »

ปลากากาตา

ปลากากาตา เป็นสกุลของปลาหนังน้ำจืดในสกุล Gagata (/กา-กา-ตา/) ในวงศ์ปลาแค้ (Sisoridae) จัดเป็นปลาในวงศ์นี้ที่มีขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 5.8 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 30 เซนติเมตร มีลำตัวแบนข้างกว่าปลาในวงศ์เดียวกันชนิดอื่น ๆ โดยชื่อ Gagata เป็นการออกเสียงในภาษาถิ่นในรัฐเบงกอลที่เรียกปลาในสกุลนี้Bleeker, P. 1858: De visschen van den Indischen Archipel.

ใหม่!!: สัตว์และปลากากาตา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์

ปลาการ์ หรือ ปลาการ์ไพค์ (Gar, Garpike) เป็นปลาน้ำจืดกระดูกแข็งที่มีก้านครีบวงศ์หนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ Lepisosteidae (/เล็พ-พิ-โส-สตี-ได-ดี้/) และอยู่ในอันดับ Lepisosteiformes (/เล็พ-พิ-โส-สตี-ได-ฟอร์-เมส/) ปลาการ์มีรูปร่างคล้ายกับปลากระทุงเหว หรือปลาเข็ม ที่อยู่ในอันดับ Beloniformes คือ มีรูปร่างเรียวยาว มีลักษณะเด่นคือ มีจะงอยปากที่แหลมยาวยื่นออกมาคล้ายเข็มเห็นได้ชัดเจน ซึ่งภาษาอังกฤษเก่าคำว่า "Gar" หมายถึง "หอก" ขณะที่ชื่อสกุลในทางวิทยาศาสตร์คำว่า Lepisosteus มาจากภาษากรีกคำว่า lepis หมายถึง "เกล็ด" หรือหมายถึง "กระดูก" และ Atractosteus ดัดแปลงมาจากภาษากรีกคำว่า atraktos หมายถึง "ธนู" ทั้งนี้เนื่องจากปลาการ์มีเกล็ดแบบกานอยด์ซึ่งเรียงตัวกันเป็นรูปสามเหลี่ียมแบบเพชร มีความหนา่และแข็งแรงห่อหุ้มลำตัวเสมือนเกราะ โดยมีลักษณะเช่นนี้มา่ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว โดยปลาการ์ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายยุคครีเตเชียส โดยพบเป็นซากฟอสซิลตามทวีปต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงในภาคอีสานของประเทศไทยด้วย ที่มีการค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ ปลาการ์ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 สกุล เป็นปลาน้ำจืดทั้งหมด ในขณะที่บางชนิดอาจพบได้ในแหล่งน้ำกร่อยหรือตามชายฝั่งบ้าง พบกระจายพันธุ์ฺเฉพาะทวีปอเมริกาเหนือ, อเมริกากลาง และแคริบเบียน มีรูปร่างเรียวยาวเหมือนแท่งดินสอ มีจะงอยปากยื่นแหลมที่ภายในมีฟันซี่เล็ก ๆ แหลมคมอยู่เป็นจำนวนมาก ใช้สำหรับล่าเหยื่อและกินอาหาร มีเส้นข้างลำตัวที่ไวต่อความรู้สึก ใช้เป็นประสาทในการสัมผัสและนำทาง ปลายกระดูกสันหลังข้อสุดท้ายยกเชิดขึ้น และโค้งไปตามขอบบนของหางจนถึงปลายครีบหาง ทำให้มีครีบหางกลมมนเป็นรูปพัด มีรูจมูกอยู่ที่ปลายจะงอยปาก นอกจากนี้แล้วยังมีถุงลมที่ทำหน้าที่เสมือนปอด จึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ในแหล่งน้ำที่ีมีปริมาณออกซิเจนต่ำได้ โดยการขึ้นมาฮุบอากาศบนผิวน้ำ ปลาการ์ทั้งหมดวางไข่ในน้ำจืด มีรายงานระบุว่าไข่ของปลาวงศ์นี้มีพิษ โดยพฤติกรรมจะอาศัยรวมฝูงกันอยู่ระดับในผิวน้ำในฤดูร้อน และจะดำดิ่งลงสู่เบื้องล่างในฤดูหนาว อาหารส่วนใหญ่จะมักจะเป็น นกน้ำ เช่น นกเป็ดน้ำ และ ปู ซึ่งง่ายต่อการล่า ในหลายพื้นที่นิยมตกกันเป็นเกมกีฬาและนำชิ้นส่วนต่าง ๆ เช่น เกล็ดมาทำเป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้าน รวมถึงเนื้อด้วยในบางชนิดรับประทานเป็นอาหาร มีขนาดใหญ่ที่สุดได้ถึง 10-14 ฟุต ในปลาอัลลิเกเตอร์ ซึ่งมีรายงานว่าทำร้ายมนุษย์ได้ด้วย และนับเป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก มีการเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามหรือแสดงตามพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ รวมถึงปลาอัลลิเกเตอร์ ซึ่งในหลายพื้นที่ได้กลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในพื้นที่นั้น ๆ ด้วย เนื่องจากเป็นปลากินเนื้อขนาดใหญ่ ที่ส่งผลต่อการสูญพันธุ์ของปลาและสัตว์น้ำพื้นเมืองได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์ร่า รูฟา

ปลาการ์ร่า รูฟา หรือ ปลาด็อกเตอร์ ฟิช (Doctor fish) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกปลาเลียหินชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ปลาการ์ร่า รูฟา มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร เป็นปลาพื้นเมืองของภูมิภาคตะวันออกกลาง แถบประเทศตุรกี โดยอาศัยอยู่ในบ่อน้ำร้อนหรือลำธารที่มีอุณหภูมิค่อนข้างสูง (ประมาณ 35 องศาเซลเซียส) โดยปกติแล้วปลาการ์ร่า รูฟา จะหาอาหารใต้น้ำกิน ซึ่งได้แก่ สาหร่ายและตะไคร่น้ำ แต่ด้วยอุณหภูมิน้ำที่สูงทำให้อาหารอื่น ๆ สำหรับปลาจึงมีอยู่อย่างจำกัด เมื่อเทียบกับแหล่งน้ำโดยทั่วไป ดังนั้น เมื่อมีผู้ที่ลงไปแช่น้ำในบ่อน้ำร้อนเหล่านี้ ปลาการ์ร่า รูฟาจึงมาแทะเล็มผิวหนังชั้นนอกของผู้ที่ลงแช่เป็นอาหารแทน ก่อให้เกิดความรู้สึกสบาย อันเป็นที่มาของการทำสปาประเภท ฟิชสปา หรือ มัจฉาบำบัด มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ โดยสถาบันทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยเวียนนา พบว่า การให้ปลาการ์ร่า รูฟา แทะเล็มผิวหนังช่วยบำบัดโรคผิวหนังบางชนิดได้ที่ไม่มียารักษา โดยพบว่าเมื่อปลากัดกินผิวหนัง ที่เป็นเกล็ด หรือขุย อันเนื่องมาจากอาการของโรค ของผู้ป่วยออกไป เป็นการเปิดโอกาสให้ผิวหนังได้สัมผัสกับรังสียูวี ในระดับที่ลึกลงไป ทำให้ผิวหนังมีพัฒนาการเติบโตได้ดีขึ้น“Doctor fish”.

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ร่า รูฟา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์ตูน

ปลาการ์ตูน เป็นปลากระดูกแข็งขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในทะเล จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Amphiprioninae ในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ตูน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์ตูนมะเขือเทศ

ปลาการ์ตูนมะเขือเทศ (Tomato clownfish, Bridled clownfish, Red clownfish, Tomato anemonefish) เป็นปลาการ์ตูนชนิดหนึ่ง ในปลาขนาดเล็กจะมีลายสีขาวพาดลำตัวด้านละ 3 ลาย แต่เมื่อโตขึ้นลายดังกล่าวจะหายไป เหลือเพียงลายบริเวณหน้าด้านตรงแผ่นปิดเหงือกเท่านั้น มีขนาดโตเต็มที่ 14 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิก บริเวณหมู่เกาะริวกิว, ทะเลญี่ปุ่น, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยปกติแล้วไม่พบในน่านน้ำไทย แต่ก็มีรายงานและภาพถ่ายหลายครั้งที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน โดยปกติแล้วจะอาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเล ชนิด ดอกไม้ทะเลนมสาว (Entacmaea quadricolor) เป็นปลาทะเลที่ได้รับความนิยมในการเป็นปลาสวยงาม จัดเป็นปลาที่สวยงามและเลี้ยงง่ายกว่าปลาการ์ตูนชนิดอื่น เช่น ปลาการ์ตูนส้มขาว (A. ocellaris) หรือปลาการ์ตูนเพอร์คูล่า (A. percula) ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ตูนมะเขือเทศ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์ตูนมะเขือเทศแดงดำ

ปลาการ์ตูนมะเขือเทศแดงดำ (Fire clownfish, Red and black anemonefish, Cinnamon clownfish) เป็นปลาการ์ตูนชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับปลาการ์ตูนมะเขือเทศ (A. frenatus) มาก แต่มีความแตกต่างกันที่ปลามะเขือเทศแดงดำมีครีบก้น และครีบท้องเป็นสีดำ และลายสีดำบนลำตัวจะมีลักษณะแตกต่างออกไป ขณะที่ปลาที่พบในบางที่ เช่น ฟิจิหรือวานูอาตู ครีบเหล่านี้จะไม่มีสีดำ แต่ทว่าปลาที่มีลักษณะเช่นนี้มีพบไม่บ่อยนัก มีขนาดโตเต็มที่ 11 เซนติเมตร พบในมหาสมุทรแปซิฟิกทางแถบฟิจิ, วานูอาตู, มัลดีฟส์, อินโดนีเซีย ไปจนถึงเกรทแบร์ริเออร์รีฟ โดยไม่พบในน่านน้ำไทย นับเป็นปลาการ์ตูนชนิดหนึ่งที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยง แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามนัก เนื่องจากมีสีสันที่ไม่สวยงามเท่าปลาการ์ตูนชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ตูนมะเขือเทศแดงดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์ตูนลายปล้อง

ปลาการ์ตูนลายปล้อง หรือ ปลาการ์ตูนลายปล้องหน้าทอง (Clark's anemonefish, Yellowtail clownfish) เป็นปลาการ์ตูนชนิดหนึ่ง มีสีสันบนลำตัวเมื่อยังเล็ก ด้านล่างจะเป็นสีเหลืองหรือสีส้ม และด้านบนบริเวณหลังจะเป็นสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงดำ เมื่อโตขึ้นสีดำนี้จะค่อย ๆ ลามลงมาเรื่อย ๆ ทางด้านท้องจนดำสนิททั้งตัว ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5.5 นิ้ว พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งแต่อ่าวเปอร์เซียจนถึง เมลานีเซีย, ไมโครนีเซีย, เกาะไต้หวัน, ตอนใต้ของญี่ปุ่น, หมู่เกาะริวกิว และออสเตรเลีย ทางน่านน้ำไทย ไม่พบทางฝั่งอ่าวไทย แต่จะพบทางฝั่งอันดามัน เป็นปลาการ์ตูนอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในสถานที่เลี้ยง แต่ปลาที่มีขายในตลาดปลาสวยงามส่วนใหญ่ในประเทศไทย ยังเป็นปลาที่จับมาจากแหล่งธรรมชาติจากต่างประเทศอยู่ เนื่องจากมีสีสันที่สวยและได้มาตรฐานกว่า อีกประการ คือ ปลาที่จับได้ในน่านน้ำไทยมักจะตายในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากการกระบวนการจับที่ผิดวิธี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ตูนลายปล้อง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์ตูนลายปล้องหางเหลือง

ปลาการ์ตูนลายปล้องหางเหลือง (Sebae clownfish, Sebae anemonefish) ปลาการ์ตูนชนิดหนึ่ง มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาการ์ตูนลายปล้อง (A. clarkii) แต่มีครีบหางและครีบก้นสีเหลืองเข้มกว่า อันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีขนาดโตเต็มที่ 14 เซนติเมตร ในธรรมชาติจะกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรอินเดีย, อินเดีย, ศรีลังกา และมัลดีฟส์ โดยปกติแล้วจะอาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเลชนิด พรมทะเล (Stichodactyla haddoni) เป็นปลาที่มีความหลากหลายทางสีสันมากในธรรมชาติ โดยปล่าที่พบในแต่ละแหล่งจะมีสีสันและลวดลายที่ไม่เหมือนกัน โดยปลาที่พบในน่านน้ำไทยเมื่อโตเต็มที่ มักมีลำตัวสีดำสนิท มีเพียงส่วนปาก, หาง, ครีบอก, ครีบท้อง และบริเวณส่วนท้องตั้งแต่โคนครีบไปจนถึงปลายปากล่างเป็นสีส้มสด เป็นปลาการ์ตูนอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และเพาะขยายพันธุ์ในสถานที่เลี้ยงได้แล้ว แต่ได้รับความนิยมน้อยกว่าปลาการ์ตูนลายปล้อง เนื่องจากมีความสวยน้อยกว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ตูนลายปล้องหางเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์ตูนส้มขาว

ปลาการ์ตูนส้มขาว (ocellaris clownfish, clown anemonefish, clownfish, false percula clownfish) เป็นปลาการ์ตูนชนิดหนึ่ง ที่ลำตัวตัวมีสีส้มเข้ม มีแถบสีขาว 3 แถบ พาดบริเวณส่วนหัว ลำตัวและบริเวณหาง ขอบของแถบสีขาวเป็นสีดำ ขอบนอกของครีบเป็นสีขาวและขอบในเป็นสีดำ อาศัยในที่ลึก ตั้งแต่ 1-15 เมตร ขนาดตัวโตที่สุดประมาณ 10 เซนติเมตร อาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเลชนิด Heteractis magnifica และ Stichodactyla gigantea เป็นต้น ในดอกไม้ทะเลแต่ละกออาจพบอยู่ด้วยกัน 6-8 ตัว มีการกระจายพันธุ์ในแถบอินโด-แปซิฟิก, มหาสมุทรอินเดีย, หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์, ทะเลฟิลิปปิน, อินโดนีเซีย หายากที่เกาะโอะกินะวะและเกาะไต้หวัน ส่วนในน่านน้ำไทยจะไม่พบในด้านอ่าวไทย แต่จะพบได้ในฝั่งทะเลอันดามัน โดยอาศัยอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ปลาการ์ตูนส้มขาวนับเป็นปลาการ์ตูนชนิดที่รู้จักกันดีและคุ้นเคยเป็นอย่างดี และถือเป็นตัวละครเอกในภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Finding Nemo ของพิกซาร์ ในปี ค.ศ. 2003 จนได้รับการเรียกขานเล่น ๆ ว่า "ปลานีโม" เป็นปลาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งในปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในสถานที่เลี้ยง โดยสถานที่แรกที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้สำเร็จ คือ สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี ในประเทศไทย และยังสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้อีกจากภาคเอกชนต่าง ๆ จนในปัจจุบัน ปลาการ์ตูนส้มขาวที่มีจำหน่ายในตลาดปลาสวยงามในประเทศไทย เกิดจากการเพาะขยายพันธุ์ทั้งสิ้น แต่ก็ยังมีความต้องการปลาจากธรรมชาติอยู่อีก โดยถูกจับมาจากทะเลฟิลิปปิน และอินโดนีเซีย เนื่องจากมีสีสันที่สวยงามกว่านั่นเอง นอกจากนี้แล้ว ยังมีชนิดย่อยของปลาการ์ตูนส้มขาวอีกชนิดหนึ่ง คือ "ปลาการ์ตูนดำ" ซึ่งจะพบได้ในถิ่นเฉพาะคือทางเหนือของออสเตรเลียเท่านั้น และพบได้น้อยมาก ซึ่งมีขนาดและลวดลายเหมือนเช่นปลาการ์ตูนส้มขาวชนิดธรรมดา แต่ส่วนที่เป็นสีส้มนั้นจะเป็นสีดำ ซึ่งในช่วงแรกนั้นมีราคาซื้อขายที่สูงมากถึงคู่ละ 5,000-6,000 บาท โดยเป็นปลาที่นำจากประเทศอังกฤษ แต่ต่อมาไม่นานก็ได้มีการเพาะขยายพันธุ์ได้มากขึ้น จนในปัจจุบันราคาขายปลาการ์ตูนดำอยู่ที่คู่ละ 600-700 บาท เท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ตูนส้มขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์ตูนอานม้า

ปลาการ์ตูนอานม้า (Saddleback anemonefish, Saddleback clownfish) เป็นปลาการ์ตูนชนิดหนึ่ง ได้ชื่อมาจากการที่มีลายสีขาวพาดตั้งแต่บริเวณปลายครีบหลังมายังบริเวณกลางลำตัว เหมือนอานม้า พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในมหาสมุทรอินเดีย เช่นเดียวกับปลาการ์ตูนลายปล้องหางเหลือง (A. sebae) มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 12 เซนติเมตร จะอาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเลชนิด พรมทะเล (Stichodactyla haddoni) ซึ่งจะฝังตัวอยู่ในทรายพื้นทะเล ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ปลาการ์ตูนอานม้า นับว่าเป็นปลาการ์ตูนที่มีความหลากหลายทางสีสันและลวดลายมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยบางตัวอาจมีลายสองแถบ หรือสามแถบ สีสันมีตั้งแต่สีดำตลอดทั้งลำตัว หรือบางตัว มีเฉพาะส่วนปากเท่านั้นที่มีสีส้ม ลำตัวสีดำ ส่วนปากและท้องเป็นสีส้ม ไปจนถึงบางตัวที่มีสีส้มตั้งแต่ปาก, ท้อง และลำตัว มากกว่าพื้นที่สีดำบนลำตัว และขณะที่บางตัวอาจมีลายอานม้าเพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่งของลำตัว แต่บางตัวมีลายอานม้าพาดยาวไปจนสุดด้านล่างของลำตัว เป็นต้น ส่วนปลาที่พบในเขตน่านน้ำไทยมักมีลายแถบสามแถบครึ่งลำตัว และมีลำตัวสีดำตลอดทั้งลำตัว เป็นปลาการ์ตูนชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในสถานที่เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ตูนอานม้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์ตูนอินเดียนแดง

ปลาการ์ตูนอินเดียนแดง หรือ ปลาการ์ตูนอินเดียน (Skunk clownfish, Nosestripe anemonefish, Whitebacked clownfish) เป็นปลาการ์ตูนที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงกับดอกไม้ทะเล โดยเฉพาะชนิด Heteractis magnifica และ Stichodactyla gigantea พบในเขตอินโด-แปซิฟิก อาศัยอยู่ตามแนวปะการังชายฝั่งลึกประมาณ 15 เมตร ปลาการ์ตูนอินเดียนแดงสามารถเลี้ยงเป็นปลาตู้ได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ตูนอินเดียนแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์ตูนอินเดียนแดงชมพู

ปลาการ์ตูนอินเดียนแดงชมพู หรือ ปลาการ์ตูนชมพู (Pink skunk clownfish, Pink anemonefish) เป็นปลาการ์ตูนชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับปลาการ์ตูนอินเดียนแดง (A. akallopisos) มาก แต่มีความแตกต่างตรงที่จะมีลายสีขาวคาดบริเวณแผ่นปิดเหงือก พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันออก, หมู่เกาะโคโคส และหมู่เกาะคริสต์มาส ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน มีขนาดโตเต็มที่ 10 เซนติเมตร เป็นปลาที่เลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้ แต่ไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากสีสันไม่สวยงามเหมือนกับปลาการ์ตูนชนิดอื่น ๆ เช่นเดียวกับปลาการ์ตูนอินเดียนแดง แม้ปัจจุบันจะเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วก็ตาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ตูนอินเดียนแดงชมพู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์ตูนแดง

ปลาการ์ตูนแดง หรือ ปลาการ์ตูนแก้มหนาม (Maroon clownfish, Spine-cheeked clownfish) เป็นปลาน้ำเค็มขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Premnas biaculeatus จัดอยู่ในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae) วงศ์ย่อยปลาการ์ตูน (Amphiprioninae) จัดเป็นปลาการ์ตูนเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Premnas ซึ่งแตกต่างไปจากปลาการ์ตูนชนิดอื่น ๆ ที่อยู่ในสกุล Amphiprion สิ่งที่ทำให้ปลาการ์ตูนแดงมีความแตกต่างจากปลาการ์ตูนชนิดอื่น ๆ คือ บริเวณแก้มหรือแผ่นปิดเหงือกมีหนามยื่นออกมาจากตรงกลาง อยู่เหนือริมฝีปากเล็กน้อยขึ้นไปจนถึงบริเวณใต้ดวงตา ซึ่งสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า มีลักษณะลำตัวแบนกว้าง มีโครงสร้างที่ค่อนข้างใหญ่กว่าปลาการ์ตูนชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะปลาเพศเมียที่โดยปกติจะมีขนาดใหญ่กว่าเพศผู้อยู่แล้ว และมีสีที่คล้ำกว่า ครีบอกมีขนาดใหญ่ ลำตัวมีสีแดงก่ำ บริเวณแผ่นปิดเหงือก กึ่งกลางลำตัว และโคนหาง มีแถบสีขาวพาด สีของปลาการ์ตูนแดงค่อนข้างหลากหลาย ในปลาขนาดเล็กจะมีตั้งแต่สีแดงสดจนถึงแดงก่ำ และจะค่อย ๆ เข้มขึ้นจนปลาเจริญเติบโตเต็มที่ ขณะที่บางตัวในขนาดเล็กจะมีแต้มสีดำบริเวณตามครีบต่าง ๆ และจะจางหายไปเมื่อปลาโตขึ้น จัดเป็นปลาการ์ตูนที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง โดยมีความยาวเต็มที่ประมาณ 17 เซนติเมตร มีอุปนิสัยก้าวร้าวห่วงถิ่นค่อนข้างมาก พบแพร่กระจายพันธุ์ในทะเลเขตอินโด-แปซิฟิกจนถึงเกาะไต้หวัน เช่น เกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย และเกรต แบร์ริเออร์ รีฟ ในออสเตรเลีย เป็นต้น โดยจะอาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเลชนิด Entacmaea quadricolor เพียงชนิดเดียวเท่านั้น ซึ่งปลาการ์ตูนแดงในเริ่มแรกที่มีการค้นพบและทำการอนุกรมวิธาน ถูกเข้าใจว่าเป็นปลาในวงศ์เดียวกับปลาผีเสื้อ (Chaetodontidae) โดยถูกจับได้ในปี ค.ศ. 1790 ที่อินดีสตะวันออก ซึ่งก็คือ ประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน หลังจากนั้นเมื่อมีการศึกษาเพิ่มเติมขึ้น ก็ถูกเปลี่ยนไปใช้สกุลใหม่และชื่อชนิดใหม่ไปมา จนกระทั่งมาใช้ชื่อสกุลอย่างในปัจจุบัน เมื่อปี ค.ศ. 1817 และชื่อเก่าก็กลายเป็นชื่อพ้องหรือยกเลิกใช้ไป นอกจากนี้แล้ว ปลาการ์ตูนแดงที่อาศัยอยู่บริเวณเกาะสุมาตรา จะมีอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่มีลายสีเหลืองเจือด้วยสีฟ้าอ่อนแทนด้วยแถบสีขาว และแถบสีเหลืองนี้จะไม่จางหายไปเมื่อปลาที่พบในแหล่งอื่น ตรงกันข้าม เมื่อปลามีอายุมากขึ้นแถบดังกล่าวจะมีสีเข้มขึ้นด้วย ซึ่งปลาในลักษณะนี้ถูกเรียกกันในแวดวงปลาสวยงามว่า "ปลาการ์ตูนทอง" ซึ่งในปี ค.ศ. 1904 ปลาการ์ตูนทองเคยถูกแยกออกเป็นชนิดใหม่ในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Premnas epigrammata ด้วย นอกจากนี้แล้วในธรรมชาติ ยังพบปลาการ์ตูนบางตัวที่คาดว่าเป็นลูกผสมระหว่างปลาการ์ตูนแดงกับปลาการ์ตูนมะเขือเทศ (Amphiprion frenatus) ด้วยในบริเวณทะเลฟิลิปปิน โดยมีสีสันเหมือนปลาการ์ตูนแดงทุกประการ แต่มีครีบต่าง ๆ สั้นกว่ารวมถึงหนามบริเวณแก้มด้วย อนึ่ง ปลาการ์ตูนแดงในตู้เลี้ยงจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างจากธรรมชาติ คือ ยอมรับดอกไม้ทะเลได้มากชนิดขึ้น เช่น Macrodactyla doreensis, Heteractis malu, H. magnifica, Crytodendrum adhaesivum แต่กระนั้นก็ขึ้นอยู่กับนิสัยปลาแต่ละตัวด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ตูนแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์ตูนแดงดำ

ปลาการ์ตูนแดงดำ หรือ ปลาสลิดหินส้ม (Red saddleback anemonefish, Saddle clownfish, Black-backed anemonefish) เป็นปลาการ์ตูนชนิดหนึ่ง มีลักษณะและสีสันคล้ายกับปลาการ์ตูนมะเขือเทศ (A. frenatus) มาก จนอาจทำให้เกิดความสับสนกันได้ เนื่องจากมีสีดำบริเวณลำตัวเหมือนกัน แต่ต่างกันคือ ปลาการ์ตูนแดงดำจะไม่มีสีขาวขาดบริเวณหัวเหมือนปลาการ์ตูนมะเขือเทศเลย ตั้งแต่เล็กจนโต มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 10-12 เซนติเมตร พบขนาดใหญ่ที่สุด 14 เซนติเมตร มีรายงานพบว่ามีอายุขัยสูงสุดถึง 16 ปี พบกระจายพันธุ์ในทะเลอันดามันและอ่าวไทย จัดเป็นปลาการ์ตูนชนิดหนึ่งที่พบได้ในน่านน้ำไทย และพบได้จนถึงทะเลชวา, เกาะสุมาตรา, หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ เป็นปลาการ์ตูนอีกชนิดหนึ่งที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยง มีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามบ้าง แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยม เนื่องจากสีสันไม่สวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ตูนแดงดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาการ์ตูนเพอร์คูล่า

ปลาการ์ตูนเพอร์คูล่า หรือ ปลาการ์ตูนส้ม (Orange clownfish, Blackfin clownfish, Percula anemonefish) เป็นปลาการ์ตูนที่มีลักษณะคล้ายกับปลาการ์ตูนส้มขาว (A. ocellaris) มากที่สุด แต่มีความแตกต่างจากปลาการ์ตูนส้มขาวตรงที่ ลวดลายบนลำตัวจะมีความหลากหลายกว่ามาก และพื้นลำตัวจะมีสีดำปรากฏมากกว่า บางตัวอาจมีสีดำกินพื้นที่ลำตัวจนเต็มเหลือเพียงครีบ, ปาก และหางเท่านั้นที่เป็นสีส้ม อีกประการ คือ ปลาการ์ตูนเพอร์คูล่านั้นจะมีซี่กระดูกบนครีบหลัง 9-10 ชิ้น ส่วนปลาการ์ตูนส้มขาวจะมี 11 ชิ้น, ซี่กระดูกที่ครีบหู 16-18 ชิ้น ขณะที่ปลาการ์ตูนส้มขาวมีน้อยกว่า คือ 15-17 ชิ้น มีขนาดโตเต็มที่ 11 เซนติเมตร ซึ่งก็ใกล้เคียงกับปลาการ์ตูนส้มขาว พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก, หมู่เกาะโซโลมอน, เมลานีเซีย, นิวแคลิโดเนีย, วานูอาตู, เกรตแบร์ริเออร์รีฟ และไม่พบในน่านน้ำไทย ปลาการ์ตูนเพอร์คูล่า นับเป็นปลาการ์ตูนชนิดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในแง่ของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม อันเนื่องจากลวดลายและสีสันที่สวยงามที่มากกว่า ยิ่งโดยเฉพาะตัวที่มีลวดลายหรือสีสันที่แปลกไปจากปกติ มักถูกตั้งชื่อทางการค้าไปต่าง ๆ เช่น "ปลาการ์ตูนปิกัสโซ่" คือ ปลาการ์ตูนเพอร์คูล่า ตัวที่มีลวดลายเชื่อมต่อกันคล้ายไม้กางเขน หรือ "ปลาการ์ตูนพลาตินั่ม" คือ ปลาการ์ตูนเพอร์คูล่า ที่มีสีขาวเป็นปื้นไปตลอดทั้งลำตัว เป็นต้น ซึ่งชนิดหลังนี้มีราคาขายที่สูงมากถึงคู่ละ 60,000 บาท ปัจจุบัน ปลาการ์ตูนเพอร์คูล่า นับเป็นปลาการ์ตูนอีกชนิดหนึ่งที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ โดยลวดลายของปลาการ์ตูนเพอร์คูล่าที่เพาะออกมานั้น จะมีลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่เหมือนกัน ซึ่งต่างจากปลาการ์ตูนส้มขาว ที่ลวดลายจะเหมือนกันทั้งหมด ถึงแม้จะใช้พ่อแม่ปลาที่มีลวดลายและสีสันที่สวยงาม แปลกตาแล้ว แต่ลูกปลาที่ออกมาก็จะมีที่เหมือนกับพ่อแม่ปลาเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาการ์ตูนเพอร์คูล่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลากาแดง

ปลากาแดง ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Epalzeorhynchos frenatum อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลากาแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากินยุง

ปลากินยุง (Mosquitofish) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gambusia affinis อยู่ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliidae) มีรูปร่างลักษณะทั่วไปคล้ายปลาหางนกยูง ซึ่งเป็นปลาที่มีความใกล้เคียงกันและอยู่ในวงศ์เดียวกัน แต่ทว่าปลาแกมบูเซียมีขนาดรูปร่างที่ใหญ่กว่า ปากแหลมกว่าและปลายปากจะเชิดขึ้นด้านบน ที่ตามีเส้นสีเข้มพาดในแนวดิ่งผ่านรูม่านตาลงมาถึงใต้ตา มีครีบหลัง ลำตัวกลมมีโครง 7 ซี่ ครีบก้นและครีบท้อง มีโครง 6 ซี่ ที่เส้นข้างลำตัวมีเกล็ด 27-30 อัน ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ เมื่อโตเต็มที่อาจจะมีขนาดยาวได้ถึง 3 นิ้ว ในขณะที่ตัวผู้มีขนาดยาวเพียง 1.5 นิ้ว ทั้งนี้ปลาตัวเมียและตัวผู้มีจุดสีเข้ม ซึ่งมักเห็นได้ชัดเจนเมื่อยังเล็ก ต่อเมื่อโตขึ้นจุดดังกล่าวมักจางลง หากดูด้านข้างของปลาตัวเมียในที่สว่างจ้าจะเห็นสีเหลือบของสีเขียว, สีฟ้า และสีเหลือง โดยรวมแล้วสีสันจะสวยสดกว่าปลาหางนกยูง ปลาแกมบูเซียเป็นปลาที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่ทวีปอเมริกาเหนือ แถบรัฐเทกซัส โดยมีพฤติกรรมเหมือนเช่นปลาในวงศ์ปลาสอดชนิดอื่น ๆ กล่าวคือ เป็นปลาที่หากินอยู่บริเวณผิวน้ำ อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง สามารถปรับตัวอยู่ได้ทุกสภาพแหล่งน้ำ ทั้งห้วย, หนอง, คลอง, บึง หรือในที่ ๆ ที่แหล่งน้ำไม่สะอาด มีออกซิเจนต่ำ ปลาแกมบูเซีย มีอายุขัยตลอดชีวิตอยู่ได้ราว 12 เดือน หรือ 1 ปี ในบางตัวอาจอยู่ได้ยาวถึง 15 เดือน กินจำพวก ตัวอ่อนของแมลงเช่น ลูกน้ำเป็นอาหาร รวมถึงแพลงก์ตอนพืช, แพลงก์ตอนสัตว์, ตะไคร่น้ำ และไดอะตอมได้ด้วย ลูกปลาที่เกิดใหม่มีขนาดยาวประมาณ 7-10 มิลลิเมตร และสามารถกินลูกน้ำได้ทันที เฉลี่ยแล้วในวันหนึ่ง ปลาแกมบูเซียตัวหนึ่งอาจกินลูกน้ำได้เป็นร้อยตัว ซึ่งนับได้ว่ากินเก่งกว่าปลาหางนกยูงมาก ปลาตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 6-8 สัปดาห์ ปลาตัวเมียมีถุงพิเศษใช้เก็บน้ำเชื้อของตัวผู้ ซึ่งการผสมพันธุ์หนึ่งครั้งจะมีน้ำเชื้อมากพอ สำหรับใช้ผสมกับไข่ได้หลายท้อง ปลาแกมบูเซียออกลูกเป็นตัวโดยจะออกลูกท้องละ 40-100 ตัว (ใช้เวลาออกลูก 21-28 วันต่อหนึ่งท้อง) แต่ละท้องห่างกันประมาณ 6 สัปดาห์ และตลอดชีวิตของจะตั้งท้องได้ 3-4 ครั้ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลากินยุง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากุดสลาด

ปลากุดสลาด, ปลากุดสลาก หรือ ปลาอุณรุท (coral grouper, coral trout) เป็นปลาทะเลในสกุล Plectropomus ในวงศ์ปลากะรัง (Serranidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลากุดสลาด · ดูเพิ่มเติม »

ปลากุแล

ปลากุแล หรือ ปลาหลังเขียว เป็นสกุลของปลาทะเลขนาดเล็กสกุล Sardinella (/ซาร์ดิแน็ลลา/) ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) จัดเป็นปลาซาร์ดีนหรือปลาเฮร์ริงอีกจำพวกหนึ่ง มีลักษณะสัณฐานทั่วไปคล้ายกับปลาในสกุล Herklotsichthys คือ ลำตัวแบนข้างมาก สันท้องแหลม เกล็ดบางหลุดง่าย เกล็ดในแนวสันท้องเป็นเหลี่ยมคมเรียงต่อกันคล้ายฟันเลื่อย ปากเล็กเชิดขึ้นเล็กน้อย ฟันเล็กมาก ซี่เหงือกมีจำนวนมาก ไม่มีก้านครีบแข็งหรือเงี่ยง ลำตัวสีเงิน เฉพาะด้านหลังสีน้ำเงินเข้ม บนลำตัวที่ใกล้มุมแผ่นปิดเหงือกมักมีแต้มสีดำคล้ำหนึ่งจุด ครีบหลัง และครีบหางสีดำคล้ำอมเหลือง แต่ทว่ามีรูปร่างที่ยาวกว่า นอกจากนี้แล้ว ปลากุแลยังเป็นปลาที่มีวิวัฒนาการมาจากปลาในสกุล Harengula ที่อยู่ในวงศ์เดียวกัน โดยมีลักษณะแทบจะแยกกันไม่ออก โดยมีความต่างกันที่เกล็ดเท่านั้น จัดเป็นปลาผิวน้ำ ที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ลูกปลาขนาดเล็กอาจอยู่รวมใกล้ชายฝั่งทะเล, ปากแม่น้ำ หรือลากูนได้ พบกระจายพันธุ์ในทะเลและมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่น ทั้งมหาสมุทรแอตแลนติก, มหาสมุทรอินเดีย, ทะเลเมดิเตอเรเนียน และมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ และในธรรมชาติยังเป็นปลาที่เป็นอาหารสำคัญของวาฬบาลีน เช่น วาฬบรูดาอีกด้วย เหมือนปลาในสกุลอื่นในวงศ์เดียวกันหรือใกล้เคียง.

ใหม่!!: สัตว์และปลากุแล · ดูเพิ่มเติม »

ปลากุเราสี่หนวด

ปลากุเราสี่หนวด (Fourfinger threadfin, Indian salmon) เป็นปลาทะเลและน้ำกร่อย ในวงศ์ปลากุเรา (Polynemidae) มีรูปร่างยาวเรียว ลำตัวค่อนข้างหนา แบนข้าง หัวค่อนข้างเล็ก จะงอยปากสั้น ตามีเยื่อไขมันปกคลุมและอยู่ใกล้ปลายจะงอย ปากเฉียงขึ้นเล็กน้อย และมีฟันแหลมคม ลักษณะเด่นคือ ก้านครีบส่วนล่างของครีบหูแยกออกเป็นเส้นรยางค์ 4 เส้น ซึ่งภาษาพูดเรียกกันว่าหนวด มีครีบหลังแยกห่างกัน 2 อัน ครีบหางเป็นแฉกลึก ส่วนของลำตัวที่อยู่แนวสันหลังสีเทาปนเขียว ส่วนที่อยู่ถัดลงมาสีเนื้อและสีขาวเงิน ครีบหลังและครีบหางมีรอยแต้มสีเทาที่ปลาย ครีบอื่น ๆ สีเหลือง มีขนาดโดยเฉลี่ย 40-60 เซนติเมตร ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่พบ 2 เมตร เป็นปลาที่หากินอยู่ตามหน้าดินที่เป็นดินโคลน บางครั้งเข้ามาหากินอยู่ในบริเวณน้ำกร่อยหรือน้ำจืด พบทั่วไปในอ่าวเปอร์เซีย, อินเดีย, อ่าวไทย, ปาปัวนิวกินี จนถึงออสเตรเลีย เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ รับประทานได้ทั้งสดและแปรรูปทำเป็นปลาเค็ม.

ใหม่!!: สัตว์และปลากุเราสี่หนวด · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดกลับหัวพม่า

ปลากดกลับหัวพม่า หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า ปลากดกลับหัว (Upside-down catfish) เป็นปลาหนังน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากด (Bagaridae) เป็นปลากดขนาดเล็กหรือปลาแขยง มีความยาวเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร มีลำตัวแบน หลังโค้ง ท้องแบนราบ หลังใหญ่มีแผ่นกระดูกหนา ปากอยู่ด้านใต้ มีหนวด 3 คู่ หนวดคู่ที่ริมฝีปากมีขนาดยาว และหนวดอีก 2 คู่ มีขนาดสั้นอยู่ที่ใต้คาง และหนวดแต่ละเส้นมีแขนงเล็ก ๆ เรียงเป็นแถว ครีบหลัง และครีบอก มีก้านครีบเดี่ยวเป็นหนามแข็ง เมื่อปลาครีบแนบลำตัวมีร่องบนลำตัว ครีบไขมันมีขนาดใหญ่ ครีบท้องเล็กปลายครีบแหลม ครีบก้นมีก้านครีบไม่เกิน 10 ก้าน พบอาศัยในแม่น้ำสายใหญ่ในประเทศพม่า เช่น อิระวดี และสะโตง ตามโขดหินและแหล่งน้ำนิ่ง มีพฤติกรรมที่พิเศษ คือ ว่ายน้ำกลับหัว ด้วยการหงายท้องเหมือนท่าว่ายกรรเชียง ขณะที่ว่ายหุบครีบไว้ที่ในร่องข้างลำตัว เชื่อว่าเหตุที่ว่ายเช่นนี้มาจากการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะที่ใช้ในการทรงตัวของกระดูกหู และถุงลม ทำให้มีพฤติกรรมการหาอาหารที่ไม่เหมือนปลาชนิดอื่น เนื่องจากปลากดกลับหัวนั้นชอบหากินบริเวณท่อนไม้หรือตอไม้ที่จมน้ำอยู่ ซึ่งจะทำให้เข้าและออกตามซอกไม้ได้ดีกว่า และอีกข้อสันนิษฐานหนึ่งว่าน่าจะมาจากการที่ว่ายกลับหัวบนผิวน้ำจะสามารถรับออกซิเจนได้ดีขึ้น นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดกลับหัวพม่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดหมู

ปลากดหมู (Rita catfishes) เป็นสกุลของปลาหนังน้ำจืด ในสกุล Rita (/ริ-ต้า/) ในวงศ์ปลากด (Bagridae) ปลากดหมู เป็นปลาหนังที่มีลำตัวอ้วนป้อม มีหนวดสั้น ๆ 4 คู่ 2 คู่ใต้คางเพื่อใช้เป็นอวัยวะสัมผัส และมีลักษณะเด่น คือ มีแผ่นกระดูกบริเวณท้ายทอยและบริเวณเหนือครีบอก เป็นแผ่นหนาและแข็งมาก มีขนาดเฉลี่ยยาวประมาณ 19–30 เซนติเมตร ยกเว้นในชนิด R. rita ที่ยาวได้ 150 เซนติเมตร และชนิด R. sacerdotum ที่ยาวได้ถึง 200 เซนติเมตร ซึ่งนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามทั้งคู่ เป็นปลาที่หากินตามพื้นน้ำ โดยกินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร พบกระจายพันธฺ์ในแม่น้ำสายใหญ่ในประเทศอินเดีย และบางส่วนในประเทศพม.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดหมู · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดหมูสาละวิน

ปลากดหมูสาละวิน (Salween rita) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จัดเป็นปลาหนังในวงศ์ปลากด (Bagaridae) มีรูปร่างอ้วนป้อมคล้ายหมู จึงเป็นที่มาของชื่อสามัญ มีหนวดสั้น ๆ 4 คู่ และลักษณะที่สะดุดตา คือ แผ่นกระดูกบริเวณท้ายทอยและบริเวณเหนือครีบอก เป็นแผ่นหนาและแข็งมาก สีพื้นของลำตัวมีสีเทาคล้ำส่วนท้องจะมีสีอ่อนกว่าส่วนหลังเล็กน้อย มักอาศัยอยู่ตามพื้นน้ำ กินสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร พบเฉพาะแม่น้ำสาละวินบริเวณพรมแดนไทย–พม่า เท่านั้น เช่น ประจวบคีรีขันธ์, กาญจนบุรี, อุทัยธานี, กำแพงเพชร, ตาก เป็นต้น โดยเฉพาะในแม่น้ำเมยที่เขตอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก นับเป็นปลาที่หาได้ยากมาก โดยเป็นปลาที่พบได้เฉพาะบางฤดูกาลเท่านั้น มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ในธรรมชาติ มีขนาดความยาวได้ถึง 2 เมตร น้ำหนักกว่า 150 กิโลกรัม (แต่ขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 1.50–1.80 เมตร) นับเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ และใหญ่ที่สุดในบรรดาปลากดหมูทั้งหมด และด้วยความใหญ่ในรูปร่าง ทำให้ได้ชื่อเรียกของคนท้องถิ่นว่า "ปลาบึกสาละวิน" เป็นปลาน้ำจืดอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงปลาสวยงาม โดยเฉพาะปลาแปลก หายาก หรือปลาแม่น้ำขนาดใหญ่ ซึ่งทว่าหาได้ยากยิ่ง ทั้งการค้นหาในพื้นที่ธรรมชาติที่อยู่อาศัย กอรปกับเป็นปลาที่ขนส่งเคลื่อนย้ายลำบาก เนื่องจากส่วนใหญ่ ชาวพื้นเมืองที่เป็นผู้หาปลา ซึ่งได้แก่ชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ จะไม่มีอุปกรณ์ในการดูแลปลาให้มีชีวิตรอดเมื่อถูกจับ ดังนั้นปลาขนาดใหญ่ที่ถูกจับมักจะตาย อีกทั้งยังมักมีพฤติกรรมดุร้าย ชอบกัดหัวทรายซึ่งพ่นออกซิเจนให้แตกขณะทำการเคลื่อนย้ายอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดหมูสาละวิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดหลาว

ปลากดหลาว หรือ ปลากดคันหลาว หรือ ปลากดหัวหลาว หรือ ปลากดเหลือง (Spoonsnouted catfish) ปลาหนังชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากดทะเล (Ariidae) มีส่วนหัวที่และจะงอยปากที่เรียวแหลมคล้ายหลาว ซึ่งเป็นไม้ที่มีเสี้ยนหนาม ฟันที่กระดูกเพดานมีขนาดเล็กปลายแหลมอยู่รวมกันเป็นรูปไข่ ขนาดของกลุมฟันเล็กกว่านัยน์ตา ปลายจะงอยปากตัดตรง ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยวที่สูงเป็นกระโดง ขอบด้านหน้าจักเป็นฟันเลื่อย ครีบอกมีก้านครีบเดี่ยวเป็นกระโดงสูงปลายแหลม มีหนวด 3 คู่ (ริมปากบน 1 คู่, ริมปากล่าง 1 คู่ และคาง 1 คู่) ครีบไขมันมีปลายตัดตรงอยู่ตรงข้ามครีบก้น ครีบหางเว้าลึก มีสีลำตัวเป็นสีเหลืองเหลือบเขียวหรือทอง ด้านหลังเป็นสีเขียวคล้ำ ท้องสีเหลืองปนขาวครีม มีขนาดยาวเต็มที่ได้ประมาณ 42 เซนติเมตร นิยมอยู่รวมกันเป็นฝูง เป็นปลาที่ว่ายน้ำไปมาไม่อยู่นิ่ง กินสัตว์น้ำขนาดเล็ก ๆ รวมถึง ปลาขนาดเล็กและกุ้งขนาดเล็กเป็นอาหาร เป็นปลาน้ำกร่อยที่พบได้ในแหล่งน้ำจืดบางส่วน พบกระจายพันธุ์บริเวณปากแม่น้ำหรือแม่น้ำตอนล่าง เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำบางปะกง, แม่น้ำแม่กลอง, ทะเลสาบสงขลาตอนใน รวมถึงปากแม่น้ำโขงในเวียดนาม และพบได้ในกัมพูชา, มาเลเซีย จนถึงเกาะชวา และเกาะสุมาตรา ในอินโดนีเซีย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งต้องนำมาปรับสภาพให้อาศัยอยู่ในสภาวะแวดล้อมเป็นที่เลี้ยงให้เป็นอย่างดีก่อน จัดเป็นปลาที่เลี้ยงให้รอดได้ยาก แต่ก็มีความสวยงาม และช่วยในการเก็บเศษอาหารตามก้นตู้ได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดหลาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดหัวกบ

ปลากดหัวกบ หรือ ปลาอุกหน้ากบ หรือ ปลากดยิ้ม (Beardless sea catfish) เป็นปลาเพียงชนิดเดียวในสกุล Batrachocephalus ในวงศ์ Ariidae ปลาชนิดนี้พบได้ในอ่าวเบงกอล และบางบริเวณของมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันตก ตามแนวชายฝั่ง และปากแม่น้ำ พบใน ปากีสถาน, อินเดีย, ศรีลังกา, บังกลาเทศ, พม่า, มาเลเซีย, ไทย และ อินโดนีเซีย ในประเทศไทยเป็นปลาหายาก เคยพบที่นนทบุรี, กระบี่, สงขลาและจันทบุรี ปลาชนิดนี้ยาวถึง 25.0 เซนติเมตร (9.8 นิ้ว) ตัวขาว หัวโตกว้างแล้วแบนลง ปากสั้น ทู่ ตาไม่มีหนังหุ้ม ขากรรไกรล่างยื่นล้ำขากรรไกรบน รูจมูกสองคู่อยู่ติดกัน ใกล้กับตา ลำตัวด้านหลังสีน้ำตาลและน้ำเงิน ครีบสีเหลืองมีจุดดำประ ปลากดหัวกบกินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและปลาขนาดเล็กเป็นอาหาร จัดเป็นปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดหัวกบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดหัวลิง

ปลากดหัวลิง หรือ ปลากดหัวโต (Bigmouth sea-catfish) เป็นปลาหนังขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากดทะเล (Ariidae) จัดเป็นปลาขนาดเล็กในวงศ์นี้ชนิดหนึ่ง และเป็นเพียงชนิดเดียวในสกุล Ketengus มีส่วนหัวที่ใหญ่และปากที่กว้าง มีขนาดโตเต็มที่ไม่เกิน 25 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์บริเวณปากแม่น้ำหรือใกล้ชายฝั่งที่เป็นน้ำกร่อยในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินเดีย, หมู่เกาะอันดามัน, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และไทย เป็นปลาที่กินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและปลาขนาดเล็ก รวมถึงเกล็ดปลาชนิดอื่นเป็นอาหารอีกด้วย ในประเทศไทยถือว่าเป็นปลาที่หายาก อยู่ในเครือข่ายใกล้สูญพัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดหัวลิง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดหัวผาน

ปลากดหัวผาน (Shovelnose sea catfish) ปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemiarius verrucosus อยู่ในวงศ์ปลากดทะเล (Ariidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลากดหัวผาน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดหัวแข็ง

ปลากดหัวแข็ง (Spotted catfish) เป็นปลาหนังมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Arius maculatus ในวงศ์ปลากดทะเล (Ariidae) มีรูปร่างและพฤติกรรมทั่วไปคล้ายปลาอุก (Cephalocassis borneensis) ที่เป็นปลาในวงศ์เดียวกัน ต่างกันตรงที่มีจุดสีดำอยู่ที่ครีบไขมัน มีความยาวประมาณ 35 เซนติเมตร ขนาดโตเต็มที่ยาวได้ถึง 80 เซนติเมตร พบในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขงตอนล่าง รวมถึงทะเลสาบสงขลา หากินอยู่บริเวณพื้นน้ำ โดยกินสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลังต่าง ๆ เป็นอาหาร ปลากดหัวแข็ง มีชื่อเฉพาะในวงการปลาสวยงามว่า "ปลาอุกจุดดำ".

ใหม่!!: สัตว์และปลากดหัวแข็ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดหัวเสียม

ปลากดหัวเสียม (Shovelhead catfishes; เบงกาลี: আইড়) เป็นชื่อสกุลของปลาหนังน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลากด (Bagridae) ใช้ชื่อสกุลว่า Sperata (/สะ-เพอร์-อา-ทา/) มีทั้งหมดด้วยกัน 4 ชนิด (ดูในตาราง) รูปร่างโดยรวม ส่วนหัวและจะงอยปากยื่นยาวมากที่สุดในวงศ์เดียวกันนี้ หัวแบนราบเล็กน้อย ลำตัวทรงกระบอก แต่ด้านหลังยกสูง และเรียวไปทางด้านท้าย ตาเล็กอยู่ด้านบนของหัว ริมฝีปากตัดตรงอยู่ปลายสุดของจะงอยปาก หนวดที่ริมฝีปากยาวมาก ครีบหลังไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบไขมันยาวมาก ครีบหางใหญ่เว้าลึก ด้านท้องสีจาง ครีบสีจาง ที่สำคัญคือ ปลาในสกุลนี้ในครีบไขมันจะมีจุดสีดำเห็นเด่นชัด มีขอบขาวที่ตอนปลายท้ายสุด มีการกระจายพันธุ์ในประเทศอินเดีย, อัฟกานิสถานและพม่า มีแหล่งที่พบคือ แม่น้ำสายใหญ่ในประเทศเหล่านี้ ได้แก่ แม่น้ำคงคา, แม่น้ำอิระวดี และพบได้จนถึงแม่น้ำสาละวินซึ่งเป็นพรมแดนของพม่าติดกับไทย โดยมีชื่อเรียกในภาษากะเหรี่ยงว่า "ปลาแก๊ด" มีขนาดลำตัวโดยเฉลี่ย 50 เซนติเมตร ใหญ่ที่สุดพบได้ถึง 180 เซนติเมตร ในชนิด S. aor ขยายพันธุ์ทำรังโดยการขุดพื้นแม่น้ำเป็นแอ่งกว้าง ในความลึกประมาณ 2 เมตร มีความสำคัญต่อมนุษย์ของการใช้เนื้อเพื่อการบริโภค และใช้ตกเป็นเกมกีฬา อีกทั้งยังมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย สำหรับในประเทศไทย โดยเฉพาะที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ชนิด S. acicularis ถือเป็นปลาที่นิยมบริโภคกันเป็นอย่างมากในท้องถิ่น เนื่องจากเนื้อมีรสชาติดี โดยในขณะนี้ กรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ลูกปลาชนิดนี้ได้แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดหัวเสียม · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดหัวเสียมสาละวิน

ปลากดหัวเสียมปลาสะวิน (Salween shovelhead catfish) เป็นปลาหนังจำพวกปลากดหัวเสียมหรือปลาแก๊ดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากด (Bagridae) มีลักษณะสำคัญ คือ ส่วนหัวและจะงอยปากยื่นยาวมากที่สุดในกลุ่มปลากดทั้งหมด หัวแบนราบเล็กน้อย ลำตัวทรงกระบอก แต่ด้านหลังยกสูง และเรียวไปทางด้านท้าย ตาเล็กอยู่ด้านบนของหัว ริมฝีปากตัดตรงอยู่ปลายสุดของจะงอยปาก หนวดที่ริมฝีปากยาวมาก ครีบหลังไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบไขมันยาวมาก ครีบหางใหญ่เว้าลึก ตัวมีสีเทาอมฟ้า หรือเขียวอ่อน ด้านท้องสีจาง ครีบสีจาง ครีบไขมันมีดวงสีดำเด่น ขอบขาวที่ตอนปลายท้ายสุด ครีบหางมีสีแดงเรื่อ ๆ ขนาดพบใหญ่สุดถึง 1 เมตร ขนาดที่พบทั่วไป 50 เซนติเมตร จับได้โดยเบ็ดราว ข่ายลอย พบเฉพาะในแม่น้ำสาละวินและสาขา, แม่น้ำตะนาวศรี รวมถึงแม่น้ำอิรวดี และแม่น้ำพะโค ในประเทศพม่า นิยมบริโภคในท้องถิ่นโดยปรุงสด ในประเทศไทยมักถูกจับขึ้นขายในท้องตลาดของจังหวัดแม่ฮ่องสอน และอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นครั้งคราว เนื้อมีรสชาติดีพบมีการทำรังวางไข่โดยขุดแอ่งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร และเลี้ยงลูกอ่อนถึงขนาด 3–4 เซนติเมตร หรืออาจจะใหญ่กว่า แต่ตัวผู้หรือตัวเมียเป็นผู้เลี้ยงยังไม่ทราบแน่ชัด รังที่พบอยู่ในระดับความลึกประมาณ 2 เมตร ในเดือนเมษายน ที่แม่น้ำปายมีพื้นเป็นทรายปนโคลนมีกรวดปนและใกล้กับกองหิน นอกจากนี้แล้ว ปลากดหัวเสียมสาละวินยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดหัวเสียมสาละวิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดอเมริกัน

ปลากดอเมริกัน (Channel catfish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในอันดับปลาหนัง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ictalurus punctatus อยู่ในวงศ์ปลากดอเมริกัน (Ictaluridae).

ใหม่!!: สัตว์และปลากดอเมริกัน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดทะเลหัวแข็ง

ปลากดทะเลหัวแข็ง (Hardhead catfishes) เป็นสกุลของปลาน้ำเค็มและน้ำกร่อย ในวงศ์ปลากดทะเล (Ariidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Arius (/อา-เรียส/) ลักษณะสำคัญของปลาในสกุลนี้ ได้แก่ มีฟันที่เพดานปากอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และมีจำนวนหนวดซึ่งมีอยู่ 3 คู่ ที่ริมฝีปากบน 1 คู่ ริมฝีปากล่าง 1 คู่ และที่คาง 1 คู่ รูจมูกอยู่ใกล้กัน ปลาในสกุลนี้ แม้จะเป็นปลาทะเล แต่ก็มีหลายชนิดที่เข้ามาหากินและอาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำจืดที่ห่างไกลทะเลมาก เช่น แม่น้ำสาละวิน ตัวผู้จะทำหน้าที่อมไข่ที่ผ่านการปฏิสนธิแล้ว จนกระทั่งฟักเป็นตัว การจำแนกชนิดกระทำได้จากการสังเกตจากรูปร่างและขนาดของหัว ตำแหน่งและรูปร่างของครีบบางครีบ และครีบท้องเปลี่ยนรูปเป็นอวัยวะพิเศษผิดไปจากเดิม พบกระจายพันธุ์ในชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออกไปจนถึงเอเชียอาคเน.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดทะเลหัวแข็ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดขาว

ปลากดขาว หรือ ปลากดชงโลง หรือ ปลากดนา เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemibagrus nemurus อยู่ในวงศ์ปลากด (Bagridae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลากดเหลือง (H. filamentus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ปลากดขาวหลังจะไม่โค้ง ขอบก้านครีบแข็งของครีบหลังเรียบ ครีบหลังยาวไม่ถึงจุดเริ่มต้นของครีบไขมัน ครีบไขมันมีสีเข้มกว่าลำตัวและมีขอบครีบสีขาว มีก้านครีบเดี่ยวของครีบหลัง 2 ก้าน และก้านครีบแขนง 7 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยว 1–2 ก้าน มีก้านครีบแขนง 7–8 ก้าน พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำนิ่งและแม่น้ำสายใหญ่ทั่วประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้ มีขนาดโตเต็มที่ 72–80 เซนติเมตร ปลากดขาวเป็นปลากดที่พบได้มากกว่าปลากดเหลืองที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ซึ่งในบางครั้งยังอาจเรียกชื่อซ้ำกันได้ว่า "ปลากดเหลือง" แต่เมื่อนำมาเลี้ยงเปรียบเทียบกันแล้ว ปรากฏว่าปลากดขาวมีอัตราการเจริญเติบโตที่ช้ากว่า นิยมนำมาบริโภคเหมือนกันและเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ซึ่งจะได้รับความนิยมอย่างมากในชนิดที่เป็นปลาเผือก.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดขี้ลิง

ปลากดขี้ลิง (Sagor catfish) ปลากระดูกแข็งจำพวกปลาหนังชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลากดทะเล (Ariidae) มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 17.7 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ตามชายฝั่งและทะเลเปิดของเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ อินเดีย, บังกลาเทศ, ปากีสถาน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เมียนมาร์ และไทย โดยมีสถานที่ค้นพบครั้งแรกที่ปากอ่าวเบงกอล ในประเทศไทยพบได้ทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย เป็นปลาที่สามารถนำมาปรับประทานได้โดยปรุงอาหารได้หลากหลายทั้งแกงส้ม, ทอด หรือปลาเค็ม มีราคาซื้อขายที่จังหวัดสงขลาสูงถึงกิโลกรัมละ 150–200 บาท ปัจจุบันมีการศึกษาการเพาะขยายพันธุ์โดยสถาบันวิจัยและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง จังหวัดสงขลา ในบ่อปูนขนาด 30 ตัน เพื่อการอนุรักษ์มิให้สูญพัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดขี้ลิง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดดำ

ปลากดดำ หรือ ปลากดหม้อ (Crystal eye catfish, Black diamond catfish) ปลาน้ำจืดไม่มีเกล็ดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemibagrus wyckii มีรูปร่างค่อนข้างสั้นป้อม หัวและลำตัวตอนหน้าแบนราบกว่าปลาชนิดอื่น ๆ ปากกว้าง ตาค่อนข้างเล็ก ส่วนหลังยกสูง ครีบหลังมีก้านแข็ง ครีบไขมันค่อนข้างยาว หนวดที่ริมฝีปากยาวถึงบริเวณหลัง ตัวมีสีเทาคล้ำหรือดำ ด้านท้องสีจาง ครีบสีคล้ำขอบบนและขอบล่างของครีบหางมีแถบสีขาวเห็นชัดเจน มีขนาดประมาณ 30 เซนติเมตร ใหญ่สุด 70 เซนติเมตร พบในแม่น้ำสายใหญ่ทุกภาคของประเทศ และพบไปถึงบอร์เนียว เป็นปลากดที่มีราคาสูงชนิดหนึ่ง นิยมบริโภคด้วยการปรุงสดเหมือนปลากดคัง (H. wyckioides) และยังเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้อีกด้วย ปลากดหม้อ ยังมีชื่อเรียกที่ต่างออกไปเช่น "ปลาสิงห์ดำ", "ปลากดหางดอก" ชื่อที่ใช้เรียกในวงการปลาสวยงามคือ "มรกตดำ" เป็นปลาที่มีนิสัยดุร้ายก้าวร้าวมาก ไม่สามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นได้เล.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดคัง

ปลากดคัง (Asian redtail catfish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลากด (Bagridae) ที่มีขนาดโตเต็มที่ราว 1.5 เมตร หนักได้ถึง 100 กิโลกรัม แต่ที่พบโดยเฉลี่ยจะมีขนาดประมาณ 50 - 60 เซนติเมตร ลำตัวมีสีเทาอ่อนอมฟ้าหรือเขียวมะกอก ท้องสีจาง ครีบหางและครีบอื่น ๆ มีสีแดงสดหรือสีส้มสด ไม่มีแถบขาวบนขอบครีบหางส่วนบนเหมือนปลากดชนิดอื่น ๆ พบในแม่น้ำของไทยทุกภาค และในแหล่งน้ำนิ่งขนาดใหญ่ นิยมนำมาบริโภคโดยการปรุงสด ลวก จิ้ม หรือยำ มีราคาค่อนข้างแพง มีการเพาะเลี้ยงเป็นกระชังอยู่ริมแม่น้ำสายใหญ่บางสาย และยังเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้อีกด้วย ปลากดคังมีชื่อเรียกอื่น อีกเช่น "ปลากดแก้ว" "ปลากดเขี้ยว" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดคัง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดคังสาละวิน

ปลากดคังสาละวิน ปลาหนังชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemibagrus microphthalmus อยู่ในวงศ์ปลากด (Bagridae) มีรูปร่างคล้ายปลากดเหลือง (H. filamentus) และปลากดคัง (H. wyckioides) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกันมาก แต่มีส่วนหัวที่แบนราบกว่า และยื่นยาวกว่า ส่วนหลังยกสูง ครีบหลังเป็นก้านแข็ง ปากกว้าง มีหนวดที่ริมฝีปากยาวมากถึงบริเวณครีบก้น ตาเล็กมาก ส่วนหัวมองจากด้านบน ค่อนข้างกว้าง ครีบไขมันยาว ครีบหางใหญ่ และเว้าลึก ตัวมีสีเทาอมฟ้า หรือเขียวมะกอก ด้านท้องสีจาง ครีบมีสีคล้ำ ครีบหางสีคล้ำ ขนาดใหญ่สุดถึง 1 เมตร พบทั่วไป 60 – 70 เซนติเมตร จับได้โดยเบ็ดราว ข่ายลอย และดำน้ำยิงด้วยฉมวก อาศัยในแม่น้ำและลำธารที่ค่อนข้างลึก พบเฉพาะในแม่น้ำสาละวินและสาขา และถูกจับขึ้นขายเป็นครั้งคราวใน จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นปลาที่มีรสชาติดี เช่นเดียวกับปลากดขนาดใหญ่ชนิดอื่น ๆ และนิยมตกเป็นเกมกีฬา ในต่างประเทศพบในอินเดียและพม่าในแม่น้ำอิระวดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดคังสาละวิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดคางเบือน

ปลากดคางเบือน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Belodontichthys dinema) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาเนื้ออ่อนจำพวกปลาคางเบือนหรือปลาเบี้ยวชนิดหนึ่ง มีรูปร่างโดยรวมคล้ายกับปลาคางเบือน (B. truncatus) ที่พบในประเทศไทย คือ มีรูปร่างโดยรวมที่ขากรรไกรล่างเชิดขึ้นมา และยาวกว่าขากรรไกรบนเล็กน้อย ภายในปากเต็มไปด้วยฟันซี่เล็ก ๆ รูปร่างสามเหลี่ยมเหมือนหัวหอกใช้สำหรับจับอาหารไม่ให้หลุด ลำตัวสีเงินวาว ครีบอกมีขนาดใหญ่ใช้ทรงตัวในกระแสน้ำ หาอาหารโดยการโฉบกินจากด้านล่างโดยมิให้เหยื่อรู้ตัว มีความแตกต่างกันที่ B. dinema จะมีรูปร่างที่ใหญ่กว่าและพบได้ในแหลมมลายูจนถึงเกาะสุมาตรา โดยที่ไม่พบในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดคางเบือน · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดแดง

ปลากดแดง (Engraved catfish) เป็นปลาหนังน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nemapteryx caelata ในวงศ์ปลากดทะเล (Ariidae) มีรูปร่างอ้วนป้อม หัวโตมีหนวด 6 เส้นอยู่รอบปาก ครีบไขมันเล็กมีจุดสีดำ ครีบหลังแหลมยาวเหมือนปลาเทพา ซึ่งเป็นปลาคนละสกุลและคนวงศ์กัน ลำตัวมีสีเทา ครีบหางมีขนาดเล็ก อาศัยอยู่เป็นฝูง ในชายฝั่งใกล้ปากแม่น้ำหรือป่าชายเลนของเอเชียตะวันออก พบได้ตั้งแต่อินเดีย, ปากีสถาน, บังกลาเทศ, พม่า, ไทย จนถึงชายทะเลอินโด-ออสเตรเลีย แต่ไม่พบในฟิลิปปินส์และออสเตรเลีย ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 40 เซนติเมตร นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยชื่อเฉพาะในวงการปลาสวยงามเรียกว่า "ปลากดเทพา" และยังมีชื่ออื่น เช่น "ปลากดหัวโม่ง".

ใหม่!!: สัตว์และปลากดแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดเกราะ

ปลากดเกราะ (Atipa, Brown hoplo) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาหนัง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hoplosternum littorale ในวงศ์ปลาแพะ (Callichthyidae) มีลำตัวป้อม ค่อนข้างแบนข้าง ส่วนหัวกลมมน มีหนวดสองคู่ ลำตัวปกคลุมด้วยแผ่นกระดูกสองแถวเรียงสานกัน ลำตัวด้านบนสีเทาอมเขียว ด้านหลังสีเทาอมสีเหลืองทอง ครีบทั้งหมดเป็นสีเทาดำ ครีบอกสีเหลืองทองโดยส่วนเงี่ยงจะมีสีเหลืองเข้มกว่าก้านครีบ มีความยาวสูงสุดราว 24 เซนติเมตร เป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางมากในทวีปอเมริกาใต้ โดยสามารถพบได้ในลุ่มแม่น้ำในกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ภาคเหนือของเวเนซุเอลา ตลอดจนพบเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในรัฐฟลอริดา ของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย เป็นปลาที่หากินบริเวณพื้นน้ำ อาหารได้แก่ หนอนแดงและซากอินทรีย์สาร แต่จะเปลี่ยนไปกินแมลงและสัตว์มีกระดองขนาดเล็กในช่วงฤดูแล้ง ปลาจะเริ่มผสมพันธุ์ในช่วงต้นฤดูฝน โดยจะสร้างหวอดคล้ายกับปลากัด ซึ่งทั้งเพศผู้และเพศเมียจะร่วมกันสร้างขึ้นมา ด้วยการเสียดสีร่างกายของกันและกัน หลังจากวางไข่แล้ว ปลาเพศผู้จะทำหน้าที่ดูแลปกป้องไข่ จนกระทั่งฟักออกเป็นตัวแล้วประมาณสองวันถัดมา จึงปล่อยให้หากินตามลำพัง เป็นปลาที่มักพบในแหล่งน้ำที่มีอุณหภูมิประมาณ 18-26 องศาเซลเซียส และค่าความเป็นกรด-ด่างประมาณ 5.9-7.2 (pH) ที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำและบึง ที่เป็นแหล่งน้ำนิ่งซึ่งมีปริมาณออกซิเจนละลายอยู่ค่อนข้างต่ำ หรือในป่าที่มีน้ำท่วมเกือบทั้งปี ปลากดเกราะ ถือเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ นิยมบริโภคกันทั่วไป ในตรินิแดดและเฟรนช์เกียนา มีการเพาะเลี้ยงกันด้วย อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยมีชื่อเรียกในภาษาถิ่นว่า Camboatám และ Tamboatá.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดเกราะ · ดูเพิ่มเติม »

ปลากดเหลือง

ปลากดเหลือง ปลาน้ำจืดในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemibagrus filamentus อยู่ในวงศ์ปลากด (Bagridae) มีรูปร่างคล้ายปลากดคัง (H. wyckioides) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีรูปร่างเล็กกว่า สีข้างลำตัวเป็นสีเหลืองจึงเป็นที่ของชื่อ หรืออาจเป็นสีเทาคล้ำ สีท้องจาง ครีบหลังยาวจนถึงจุดเริ่มต้นของครีบไขมัน และครีบไขมันมีสีคล้ำ ขนาดโตเต็มที่ราว 50 เซนติเมตร พบในแหล่งน้ำนิ่งและแม่น้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ยกเว้นแม่น้ำสาละวิน เป็นปลาที่ใช้บริโภคโดยการปรุงสด รมควัน และปลาแห้ง และมีการเพาะเลี้ยงในกระชังเหมือนปลากดคัง นอกจากนี้แล้วยังมีปลากดในสกุลเดียวกันนี้ อีกชนิดหนึ่ง ที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกัน คือ ปลากดขาว (H. spilopterus) ซึ่งบางครั้งอาจสับสนกันและเรียกชื่อสามัญตรงกันว่า "ปลากดเหลือง" ด้วย ซึ่ง 2 ชนิดนั้นยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลากดช่องหลวง", "ปลากดนา", "ปลากดขาว", "ปลากดชงโลง" หรือ "ปลากดคัง" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลากดเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาก้าง

ปลาก้าง หรือ ปลากั้ง (Dwarf snakehead, Red-tailed snakehead) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) มีรูปร่างคล้ายปลาในวงศ์นี้ทั่วไป แต่มีส่วนหัวมนกลมและโตกว่า ลำตัวสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำเงินคล้ำ และมีลายประหรือจุดสีคล้ำ ท้องสีจาง โคนครีบอกมีลายเส้นสีคล้ำเป็นแถบ 4-6 แถบ ครีบหลัง ครีบก้น และครีบหางมีสีเทาหรือน้ำเงินเรือ ขอบมีสีส้มหรือสีจาง มีการกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในพม่า, ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเชีย, บาหลี โดยอาจพบได้ถึงต้นน้ำหรือลำธารบนภูเขา ปลาก้าง จัดว่าเป็นหนึ่งชนิดของปลาวงศ์นี้ที่มีขนาดเล็กที่สุด กล่าวคือ มีขนาดโตเต็มที่ได้ไม่เกิน 1 ฟุต นับเป็นปลาที่พบได้ทุกแหล่งน้ำของประเทศไทย โดยอาจจะเรียกชื่อเพี้ยนไปตามถิ่นว่า "ปลากั๊ง" หรือ "ปลาขี้ก้าง" หรือ "ปลาครั่ง" มีพฤติกรรมการวางไข่โดยตัวผู้เป็นผู้อมไข่และเลี้ยงดูลูกอ่อน ปลาก้างยังถือเป็นปลาเศรษฐกิจ แต่ไม่มีการเลี้ยงในเชิงพาณิชย์เหมือนปลาช่อนชนิดอื่น และยังพบเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ถือเป็นปลาที่เลี้ยงได้ง่ายมาก ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลไข่และอมไข่จนกระทั่งฟักเป็นตัว และเลี้ยงลูกปลาในระยะวัยอ่อนพร้อมกับตัวเมีย โดยปลาที่พบในแหล่งน้ำแต่ละภูมิภาคจะมีความแตกต่างกันด้านสีสัน เช่น ในเทือกเขาสูงในประเทศลาว พบปลาที่มีครีบหลังสีแดงสดเหมือนสีของไฟ อนึ่ง ปลาก้างโดยมากจะใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa gachua เช่นเดียวกับปลาก้างอินเดีย แต่ทว่าข้อเท็จจริงแล้วปลาทั้ง 2 ชนิดนั้นมีความแตกต่างกันพอสมควร แต่ทว่ายังไม่มีเอกสารหรือการยืนยันอย่างถูกต้องในเชิงวิชาการ โดยในทัศนะของนักมีนวิทยาบางท่านเห็นว่า ปลาก้างชนิดที่พบในในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ สมควรใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa limbata (Cuvier, 1831) หรือ Channa aff.

ใหม่!!: สัตว์และปลาก้าง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาก้างพระร่วง

ปลาก้างพระร่วง (glass catfish, ghost catfish, phantom catfish, Thai glass catfish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในสกุล Kryptopterus นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามมากกว่าจะนำมาบริโภค พบได้ทั่วไปในตลาดซื้อขายปลาน้ำจืดสวยงามโดยเป็นปลาส่งออกที่ขึ้นชื่อชนิดหนึ่ง แต่อนุกรมวิธานของปลาชนิดนี้เป็นที่สับสนกันมานานและเพิ่งได้รับการจำแนกอย่างชัดเจนในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาก้างพระร่วง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาก้างอินเดีย

ปลาก้างอินเดีย หรือ ปลากั๊งอินเดีย (Dwarf snakehead) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กในวงศ์ปลาช่อน (Channidae) มีรูปร่างและขนาดลำตัวคล้ายคลึงกับปลาก้าง (C. limbata) ที่พบในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์มาก แต่ทว่า ปลาก้างอินเดียนั้นจะมีลำตัวที่ป้อมสั้นกว่า มีจำนวนเกล็ดที่ใต้ขากรรไกรล่างทั้งสองข้างเกล็ดเดียว มีขอบใต้ดวงตาสีแดง และไม่มีครีบท้อง การแพร่ขยายพันธุ์ ปลาเพศผู้จะเป็นฝ่ายอมไข่ในปากจนกว่าลูกปลาจะฟักเป็นตัว และดูแลลูกปลาใกล้ชนิดคู่กับปลาเพศเมีย สีสันบนลำตัวนั้นมีหลากหลายเช่นเดียวกับปลาก้าง มีการกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยพบที่อินเดีย, รัฐอัสสัม, บังกลาเทศ, ปากีสถาน ไปจนถึงตอนใต้ของประเทศจีน นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเช่นเดียวกับปลาก้าง และปลาช่อนเจ็ดสี (C. bleheri) ซึ่งเป็นปลาที่เป็นขนาดเล็กในวงศ์เดียวกันเช่นกัน อนึ่ง ปลาก้างที่พบในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์รวมถึงประเทศไทย โดยมากจะใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa gachua เช่นเดียวกับปลาก้างอินเดีย แต่ทว่าข้อเท็จจริงแล้วปลาทั้ง 2 ชนิดนั้นมีความแตกต่างกันพอสมควร แต่ทว่ายังไม่มีเอกสารหรือการยืนยันอย่างถูกต้องจากฝ่ายวิชาการ โดยในทัศนะของนักมีนวิทยาบางท่านเห็นว่า ปลาก้างชนิดที่พบในในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ สมควรใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Channa limbata (Cuvier, 1831) หรือ Channa aff.

ใหม่!!: สัตว์และปลาก้างอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฝักพร้า

วามหมายอื่น: สำหรับปลาชนิดอื่นที่เป็นปลาน้ำเค็ม ดูได้ที่ ปลาดาบลาว ปลาฝักพร้า (Freshwater wolf herring, Sword minnow, Long pectoral-fin minnow; カショーロバルブ) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะลำตัวยาวและแบนข้างคล้ายมีดดาบ ท้องเป็นสันแคบ ตาโต ปากกว้างเฉียงขึ้นด้านบน ปลายปากล่างโค้งเข้าเล็กน้อยคล้ายตะขอ ลำตัวสีเงินวาว ครีบใส ครีบอกใหญ่และยาวแหลม ครีบท้องและครีบหลังเล็ก แต่ครีบก้นมีฐานครีบยาว ครีบหางเว้าลึกและปลายมน โคนครีบหางมีแต้มสีคล้ำ ขนาดประมาณ 20-60 เซนติเมตร จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Macrochirichthys เป็นปลาล่าเหยื่อ มักหากินบริเวณใกล้ผิวน้ำ เป็นปลาที่ว่ายน้ำเร็วมาก อาหารได้แก่ ปลาขนาดเล็กจำพวกปลาซิวและแมลง พบในแหล่งน้ำหลากและแม่น้ำขนาดใหญ่ในภาคกลาง, ภาคอีสาน เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำโขง ในภาคใต้พบเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันออกเท่านั้น และพบได้จนถึงประเทศอินโดนีเซีย เป็นปลาที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำสะอาด ปัจจุบันอยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ เพราะสภาพแวดล้อมที่อยู่ถูกทำลายไปประกอบกับปริมาณปลาที่พบในธรรมชาติมีน้อยมาก จึงไม่ทำให้เป็นที่นิยมในการประมง ปลาฝักพร้า ยังมีชื่อเรียกอื่นที่เรียกต่างออกไป เช่น "ปลาท้องพลุ", "ปลาดาบลาว", "ปลาดาบญวน", "ปลาโกร๋ม" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฝักพร้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลามอลลี่

ปลามอลลี่ หรือ ปลาสอด (Livebearer, Molly) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ในอันดับปลาออกลูกเป็นตัว (Cyprinodontiformes) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Poecilia ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliidae) เป็นสกุลของปลาในวงศ์นี้ ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ในแง่ของการเป็นปลาสวยงามที่เลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย มีลักษณะเด่น คือ เป็นปลาที่ว่ายหากินเป็นฝูง บริเวณผิวน้ำ กินแมลงขนาดเล็ก, ไรแดง, ลูกน้ำ รวมทั้งตะไคร่น้ำหรือสาหร่ายเป็นอาหาร มีความแตกต่างระหว่างเพศสูง กล่าวคือ ตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่ามาก แต่มีสีสันรวมทั้งครีบต่าง ๆ สวยงามกว่า ขณะที่ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่า แต่ครีบต่าง ๆ สั้นและสีไม่สวยเท่า เป็นปลาที่กระจายพันธุ์ในเขตร้อนของทวีปอเมริกา พบได้ตั้งแต่ตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา, อเมริกากลาง, แคริบเบียน จนถึงอเมริกาใต้ เป็นปลาที่พบได้ทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย รวมถึงในทะเล หลายชนิดมีครีบหลังที่สูงเหมือนใบเรือ มีขนาดที่หลากหลายตั้งแต่ 4-5 เซนติเมตร จนถึงใหญ่เต็มที่ได้ถึง 20 เซนติเมตร และมีสีสันต่าง ๆ หลากหลายมาก ทั้งสีขาว, สีเหลือง, สีส้ม, สีดำ หรือลายจุด อาศัยอยู่ในอุณหภูมิของน้ำประมาณ 25-28 องศาเซลเซียส (77-82 องศาฟาเรนไฮต์) โดยที่ชื่อสกุลนั้นมาจากภาษากรีกคำว่า ποικίλος หมายถึง "สีสันที่หลากหลาย".

ใหม่!!: สัตว์และปลามอลลี่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลามะไฟ

ปลามะไฟ (Stoliczkae's barb) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวทรงสี่เหลี่ยมป้อมเล็กน้อย หัวสั้น ตาและปากมีขนาดเล็ก ไม่มีหนวด เกล็ดใหญ่ ลำตัวสีเงิน เหนือครีบอกและโคนครีบหางมีแต้มสีคล้ำ ตัวผู้ในฤดูผสมพันธุ์จะมีสีแดงเหลือบบนลำตัว ครีบใสมีสีแดงแต้ม และมีแถบสีคล้ำเล็กน้อย เป็นปลาขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 5 เซนติเมตร มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมตัวเป็นฝูงในแหล่งน้ำลำธารที่ไหลเชี่ยวบนภูเขาในลุ่มแม่น้ำสาละวินและลุ่มแม่น้ำโขง แต่ในฤดูผสมพันธุ์ตัวผู้จะมีนิสัยดุร้าย และมีอาณาเขตของตนเอง เป็นปลาที่มีสีสันและลวดลายสวยงาม จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีชื่อเรียกในวงการปลาสวยงามว่า "ปลาตะเพียนจุด", นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลาเสือภูเขา" หรือ "ปลามุมหมาย" นอกจากนี้แล้วปลามะไฟยังมีความคล้ายคลึงกันมากกับปลาอีกชื่อหนึ่งในสกุลเดียวกัน คือ P. ticto (Tic-tac-toe barb, Two-spot barb) ซึ่งอาจจะเป็นชื่อพ้องกันก็ได้ และมีรายชื่ออยู่ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือ IUCN Red List จัดอยู่ในสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการสูญพันธุ์หรือ LC.

ใหม่!!: สัตว์และปลามะไฟ · ดูเพิ่มเติม »

ปลามังกง

ปลามังกง หรือ ปลาอีกง (Long-whiskered catfish) เป็นปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง เป็นปลาหนังอยู่ในวงศ์ปลากด (Bagaridae) มีลักษณะลำตัวค่อนข้างกลมหนา ปกติมีสีเทาอมทอง หรือเทาอมม่วง ท้องมีสีขาว กินกุ้ง, ตัวอ่อนของแมลง, แพลงก์ตอนพืชและสัตว์เป็นอาหาร เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดประมาณ 12-15 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 46 เซนติเมตร มักอาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่บริเวณน้ำกร่อยหรือปากแม่น้ำ พบชุกชุมที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา คำว่า "บางปะกง" นั้นก็เรียกเพี้ยนมาจากคำว่า "บางมังกง" อีกทอดหนึ่ง นอกจากนี้ปลามังกงยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกมาก เช่น ปลากดหมู, ปลากด, ปลาแขยงกง ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจและนิยมรวบรวมลูกปลาวัยอ่อนขายเป็นปลาสวยงามด้วย มีฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงฤดูฝน โดยจะว่ายไปวางไข่ในบริเวณน้ำจื.

ใหม่!!: สัตว์และปลามังกง · ดูเพิ่มเติม »

ปลามาคูลาตาไพค์

ปลามาคูลาตาไพค์ (Spotted pike characin, False gar) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาไพค์คาราซิน (Ctenoluciidae) ในอันดับปลาคาราซิน (Characiformes) มีรูปร่างเรียวยาวเหมือนปลาเข็ม ลำตัวยาวทรงกระบอก ปากแหลมยาวเหมือนปากปลาเข็ม พื้นลำตัวเป็นสีเทาขาว สีด้านใต้ลำตัวเป็นสีขาวอมเหลือง ตำแหน่งของครีบกระโดงหลังและมีครีบทวารสั้นเล็กค่อนไปทางส่วนท้ายของลำตัว ครีบทุกครีบของร่างกายจะมีจุดสีดำกระจายไปทั่ว ครีบหางเว้าเป็นรูปส้อมสีชมพู รูจมูกอยู่ทางด้านหน้าของดวงตา ตามีขนาดกลมโต กระจายพันธุ์อยู่ในลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้ เช่น โอรีโนโก, โทแคนตินส์ และอเมซอน เป็นต้น มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร มักอยู่รวมกันเป็นฝูง ในระดับผิวน้ำเพื่อล่าปลาขนาดเล็กหรือลูกปลาชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลามาคูลาตาไพค์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลามาเบิลแคทฟิช

ปลามาเบิลแคทฟิช (Leopard catfish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากดอเมริกาใต้ (Pimelodidae) นับเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในสกุล Perrunichthys โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์นั้นมาจากภาษาสเปนคำว่า "perruno" หมายถึง "สุนัข" และ "ichthys" เป็นภาษากรีก หมายถึง "ปลา" มีลักษณะเด่น คือ มีสีพื้นเป็นสีน้ำตาลเข้ม มีสีขาวสลับดำตลอดทั้งตัว ครีบกระโดงหลังเป็นแผ่นยกสูง หนวดคู่หน้าจะยาวกว่าปลาในวงศ์เดียวกันหลายชนิด คือ ยาวจนเลยครีบหาง ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 80 เซนติเมตร จัดเป็นปลาขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ในวงศ์นี้ พบกระจายพันธุ์ในประเทศโคลัมเบีย, เวเนซุเอลา และทะเลสาบมาราไกโบ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลามาเบิลแคทฟิช · ดูเพิ่มเติม »

ปลามูด

ปลามูด (Spotted algae eater) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสร้อยน้ำผึ้ง (Gyrinocheilus) อันดับปลากินพืช (Cypriniformes) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายปลาสร้อยน้ำผึ้ง (G. aymonieri) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่สำหรับปลามูดจะมีรูปร่างที่แลดูใหญ่กว่า ครีบหลังใหญ่และยาวกว่า และตัวผู้เมื่อเจริญวัยขึ้นจะมีปุ่มคล้ายเม็ดสิวขึ้นตามหน้าและริมฝีปากบนมากกว่า มีความยาวเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร ปลามูดพบได้เฉพาะแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขาเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างบริเวณที่เป็นโขดหินหรือแก่งหินหรือบริเวณที่น้ำไหลเชี่ยว โดยรวมแล้วจะพบได้ยากกว่าปลาสร้อยน้ำผึ้ง มีชื่อเรียกในภาษาอีสานท้องถิ่นว่า "ปลาเกาะ" หรือ "ปลามันมูด" หรือ "ปลาข่วยข้า" และมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกว่า "ปลาน้ำผึ้งป่า" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลามูด · ดูเพิ่มเติม »

ปลามูดหลังจุด

ปลามูดหลังจุด (Tenasserim garra) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 10-20 เซนติเมตร มีลักษณะคล้ายกับปลามูดหน้านอ (G. fuliginosa) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน คือ ลำตัวสั้นทรงกระบอก หัวโตและแบนราบที่ด้านล่าง ด้านหน้าของหัวเว้า และมีโหนกยื่นออกเป็นตุ่มแหลม เหมือนปากที่มีฟันเป็นซี่ ๆ ซึ่งตามจริงแล้วมันมีปากจริงเป็นแบบปากดูดอยู่ด้านล่าง ลำตัวสีคล้ำอมเขียวอ่อน ข้าวแก้มมีสีส้มแดง ท้องสีจางอมส้ม ครีบอกแผ่ออกทางแนวราบ ข้อแตกต่างก็คอ ครีบหางเว้าตื้นกว่า และที่สำคัญคือ มีจุดสีดำที่โคนครีบหลังอันเป็นที่มาของชื่อ อาหารของปลามูดหลังจุดคือ สาหร่ายและตะไคร่น้ำตามก้อนหินและท่อนไม้ใต้น้ำ โดยมักใช้ปากดูดเกาะติดกับสิ่งที่มีสาหร่ายและตะไคร่น้ำ ปลามูดหลังจุดมักอาศัยอยู่ในลำธารน้ำไหลแรงและมีพื้นเป็นกรวดหิน เฉพาะในลุ่มน้ำสาละวินเท่านั้น ในวัยที่เป็นลูกปลามักนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเพื่อเก็บกินตะไคร่น้ำ ปลามูดหลังจุดมีชื่ออื่น ๆ อีกว่า "ปลามูดพม่า".

ใหม่!!: สัตว์และปลามูดหลังจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลามูดหน้านอ

ปลามูดหน้านอ ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Garra fuliginosa อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 18-20 เซนติเมตร โดยพบขนาดใหญ่สุดถึง 30 เซนติเมตร มีลักษณะลำตัวสั้นทรงกระบอก หัวโตและแบนราบที่ด้านล่าง ด้านหน้าของหัวเว้า และมีโหนกยื่นออกเป็นตุ่มแหลม เหมือนปากที่มีฟันเป็นซี่ ๆ ซึ่งตามจริงแล้วมันมีปากจริงเป็นแบบปากดูดอยู่ด้านล่าง ลำตัวสีคล้ำอมเขียวอ่อน ข้าวแก้มมีสีส้มแดง ท้องสีจางอมส้ม ครีบอกแผ่ออกทางแนวราบ ครีบหางเว้าลึก อาหารของปลามูดหน้านอคือ สาหร่ายและตะไคร่น้ำตามก้อนหินและท่อนไม้ใต้น้ำ โดยมักใช้ปากดูดเกาะติดกับสิ่งที่มีสาหร่ายและตะไคร่น้ำ ปลามูดหน้านอมักอาศัยอยู่ในลำธารน้ำไหลแรงและมีพื้นเป็นกรวดหิน บางแหล่งนิยมรับประทานปลามูดหน้านอ ในวัยที่เป็นลูกปลามักนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ปลามูดหน้านอมีชื่ออื่น ๆ อีกว่า "มูด", "ปากจระเข้", "งาลู่"(กะเหรี่ยง), "มูดพม่า".

ใหม่!!: สัตว์และปลามูดหน้านอ · ดูเพิ่มเติม »

ปลามูนฟิช

ปลามูนฟิช หรือ ปลาพระจันทร์ หรือ ปลาโอปาห์ (Moon fish, Opah) ปลาทะเลกระดูกแข็งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลามูนฟิช (Lampridae) โดยถือเป็นปลาหนึ่งในสองชนิดที่ยังคงเหลือเผ่าพันธุ์อยู่ในปัจจุบันของวงศ์นี้ ซึ่งถือเป็นปลาที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคปลายสมัยไมโอซีนมาจนถึงปัจจุบัน ปลามูนฟิช หรือ ปลาพระจันทร์ มีรูปร่างกลมแป้น แบนข้างมากเหมือนปลาจะละเม็ด กอรปกับตามผิวหนังจะมีจุดกลมสีขาวที่เมื่อสะท้อนกับแสงเมื่ออยู่ใต้น้ำแล้วจะมีความแวววาวดุจแสงจันทร์ จึงเป็นที่มาของชื่อสามัญ ครีบทุกครีบเป็นสีแดงสด มีขนาดใหญ่สุดได้ถึง 2 เมตร และมีน้ำหนักกว่า 270 กิโลกรัม แต่ขนาดโดยทั่วไปจะมีน้ำหนักประมาณ 40–80 กิโลกรัม ปลามูนฟิช เป็นปลาน้ำลึกในระดับความลึกของน้ำประมาณ 300–1,500 เมตร โดยพบในมหาสมุทรและทะเลเปิดเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก ได้ชื่อว่าเป็นปลาน้ำลึกที่มีสีสันสวยงามที่สุด หากินในเวลากลางคืน โดยกินแพลงก์ตอนสัตว์เป็นอาหาร ด้วยเป็นปลาที่มีปากเล็กและไม่มีฟัน ปกติจะอาศัยอยู่ตามลำพังเพียงตัวเดียว แต่บางครั้งจะรวมฝูงไปกับปลาทูน่าและปลาในวงศ์ปลาอินทรีตัวอื่น ๆ ด้วย เป็นปลาที่ว่ายน้ำได้เชื่องช้า โดยว่ายน้ำได้เพียง 25 เซนติเมตร/วินาที และมีรายงานว่าว่ายน้ำได้เร็วที่สุดประมาณ 4 เมตร/วินาที นอกจากนี้แล้ว ยังถือเป็นสัตว์เลือดอุ่น โดยสามารถรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อบอุ่นกว่าสภาพแวดล้อมใต้น้ำประมาณ 5 องศาเซลเซียส อีกทั้งยังมีเส้นเลือดบริเวณเนื้อเยื่อของเหงือก อยู่ในรูปแบบที่ทำให้เลือดเย็นจากบริเวณเหงือกไปสัมผัสเข้ากับเส้นเลือดอุ่นที่วิ่งสวนทางกันและด้วยกระบวนการนี้ทำให้เลือดที่ออกมาเป็นเลือดอุ่นโดยสามารถเพิ่มอุณหภูมิของหัวใจได้ ซึ่งช่วยทำให้สามารถว่ายลงไปได้ลึกกว่าปลาทั่วไปและอยู่ใต้ทะเลลึกได้นานกว่า ปลามูนฟิชที่อิตาลี จัดเป็นปลาหายาก และเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ เนื้อแน่นสีแดงสด มีรสชาติอร่อย และอุดมด้วยคุณค่าทางอาหาร คือ โอเมกา 3, โปรตีน, ไนอาซิน, วิตามินบี 6, วิตามินบี 12 แต่มีโซเดียมต่ำ และปลาทั้งตัวจะมีส่วนที่รับประทานได้เพียงร้อยละ 35 เท่านั้น ที่เหลือจะเป็นส่วนที่เนื้อที่แข็งและก้าง เป็นปลาราคาแพง ราคาขายกันในประเทศไทยตกอยู่ที่กิโลกรัมละ 2,500 บาท โดยปลาส่วนมากที่จำหน่ายในประเทศไทยจะถูกนำเข้ามาจากนิวซีแลน.

ใหม่!!: สัตว์และปลามูนฟิช · ดูเพิ่มเติม »

ปลามีดโกน

ปลามีดโกน หรือ ปลาใบมีดโกน หรือ ปลาข้างใส (Razorfish, Shrimpfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาใบมีดโกน (Centriscidae) มีรูปร่างเหมือนใบมีดโกน จะงอยปากยาวมากและงอนขึ้นเล็กน้อย ท้องบาง ผิวเป็นแผ่นกระดูกบาง ด้านท้ายยื่นแหลม ครีบหลัง, ครีบหาง และครีบก้นอยู่ชิดกัน ลำตัวใสเป็นสีชมพูหรือสีเนื้อเหลือบ มีแถบสีดำพาดจากปลายปากจนถึงส่วนท้ายลำตัว มีความยาวโดยเฉลี่ย 10 เซนติเมตร และสามารถโตเต็มที่ได้ 15 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในแถบอินโด-แปซิฟิก โดยอาศัยอยู่กับปะการัง, กัลปังหา และหนามของเม่นทะเล เพื่อหลบหลีกจากศัตรูผู้ล่า เนื่องจากไม่มีอาวุธอะไรที่จะป้องกันตัวได้ มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง จะเอาหัวทิ่มลงพื้นเสมอ และตั้งฉากกับพื้นทะเล แม้แต่จะว่ายน้ำไปไหนมาไหนก็จะไปด้วยลักษณะเช่นนี้เสมอ ในน่านน้ำไทยจัดเป็นปลาที่พบได้บ่อยในบางพื้นที่ กินแพลงก์ตอนสัตว์เป็นอาหาร นิยมเลี้ยงกันในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และเป็นปลาสวยงาม "Eyewitness handbooks Aquarium Fish: The visual guide to more than 500 marine and freshwater fish varieties" By Dick Mills.

ใหม่!!: สัตว์และปลามีดโกน · ดูเพิ่มเติม »

ปลามีเกราะ

ปลามีเกราะ หรือ ปลาหุ้มเกราะ (Armored fish) เป็นปลายุคก่อนประวัติศาสตร์ในชั้น Placodermi หรือ Placoderm ซึ่งปัจจุบันสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว บรรพบุรุษของปลาถือกำเนิดขึ้นมาในยุคออร์โดวิเชียน (500 ล้านปีก่อน) โดยวิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า แอมฟิออกซัส ที่มีกระดูกอ่อนเป็นกระดูกแกนหลักในร่างกาย และกลายมาเป็นปลาปากกลมที่ไม่มีขากรรไกร หลังจากนั้นก็กลายมาเป็นปลาที่มีเกล็ดแข็งเหมือนเกราะหนาหุ้มตัว จากนั้นในยุคดีโวเนียน (360 ล้านปีก่อน) จึงเป็นปลาที่มีเกล็ดหุ้มร่างกายอย่างหนาแน่นคล้ายชุดเกราะ มีขากรรไกร ก็คือ ปลามีเกราะปรากฏขึ้นมา โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือ เกราะบริเวณส่วนหัว และเกราะบริเวณลำตัว ปลามีเกราะมีกระจายพันธุ์แพร่หลายทั้งในน้ำจืดและทะเล แบ่งออกได้เป็นอันดับต่าง ๆ ถึง 10 อันดับ (ดูในตาราง) ปลามีเกราะแพร่พันธุ์ด้วยการแพร่พันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยออกเป็นไข่ แต่ก็มีบางจำพวกที่ค้นพบว่าคลอดลูกเป็นตัวด้วย โดยปลามีเกราะขนาดใหญ่ที่สุด คือ ดังเคิลออสเตียส ที่มีส่วนหัวและริมฝีปากที่แหลมคมขนาดใหญ่ใช้แทนฟัน มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 10 เมตร มีน้ำหนักได้ถึง 3.6-4 ตัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลามีเกราะ · ดูเพิ่มเติม »

ปลามง

ปลามง หรือ ปลากะมง หรือ ปลาม่ง (Jacks, Trevallies, Kingfishes) เป็นสกุลของปลาทะเลกระดูกแข็งสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Caranx (/คา-แรงก์/) จัดเป็นปลาที่มีขนาดกลางและใหญ่ในวงศ์นี้ มีลักษณะโดยรวม คือ ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย หน้าครีบก้นมีหนามแข็ง 2 อันพับได้ คอดหางแคบ เกล็ดบนเส้นข้างตัวมีขนาดใหญ่ เป็นเหลี่ยมแข็งโดยเฉพาะที่บริเวณคอดหาง ส่วนหัวสั้นทู่ มีสีลำตัวเป็นสีขาวและสีเงิน อยู่รวมกันเป็นฝูง เป็นปลาที่กินเนื้อ ได้แก่ ปลาชนิดอื่น ๆ และสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร มีทั้งหมด 18 ชนิด (ดูในตาราง) โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ ปลากะมงพร้าว (C. ignobilis) ที่มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 1.4 เมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลและมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่น บางครั้งอาจเข้าหามากินในแหล่งน้ำกร่อย นิยมตกเป็นเกมกีฬา และใช้เนื้อในการบริโภคเป็นอาหาร ซึ่งปลาในสกุลนี้ ยังมีชื่อเรียกอื่น อีก เช่น "ปลากะม่ง", "ปลาสีกุน" หรือ "ปลาหางกิ่ว" ซึ่งเป็นการเรียกทับซ้อนกับปลาสกุลอื่นที่อยู่ในวงศ์เดียวกันนี้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลามง · ดูเพิ่มเติม »

ปลามงโกรย

ำหรับปลามงโกรยที่เป็นปลาน้ำจืดดูที่: ปลาหมากผาง ปลามงโกรย หรือ ปลาลินโกรย หรือ ปลาขมงโกรย (Kelee shad, Fivespot herring, Razorbelly) ปลาทะเลหรือปลาน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Hilsa เป็นปลาที่มีลำตัวป้อม แบนข้าง ปากเชิดขึ้น ในปากไม่มีฟัน ท้องเป็นสันแหลม เกล็ดในแนวสันท้องเป็นเหลี่ยมคมเรียงต่อกันคล้ายฟันเลื่อย ซี่เหงือกมีจำนวนมากเรียงชิดกันและงอโค้งออกเสมอกันโดยตลอด ลำตัวสีเงิน ด้านหลังสีนํ้าเงินคลํ้า แนวกลางและข้างตัวมีจุดสีดำ 3-8 จุดเรียงกันเป็นแถว จุดแรกที่ใกล้มุมแผ่นปิดเหงือกเด่นชัดที่สุด มีขนาดยาวได้ถึง 25 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ใกล้ชายฝั่งของมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันตก เป็นปลาที่กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร จัดเป็นปลาเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญ โดยมีปริมาณที่ทำการประมงได้ถึง 221,899 ตัน ในปี ค.ศ. 2000 และ 35,483 ตัน ในปี ค.ศ. 2008.

ใหม่!!: สัตว์และปลามงโกรย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาม่อน

ปลาม่อน หรือ ปลามอน หรือ ปลาม่ำ เป็นปลาน้ำจืดในสกุล Scaphiodonichthys ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะที่สำคัญ คือ ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยวที่ขอบจักเป็นฟันเลื่อย และมีก้านครีบแขนง 7-12 ก้าน ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 8 ก้าน ปากล่างบางคล้ายเล็บมือมนุษย์ จะงอยปากทู่ ปากเล็ก มุมปากอยู่ด้านหน้านัยน์ตา โดยคำว่า Scaphiodonichthys (/สะ-แค-ฟิ-โอ-ดอน-ทิค-ทีส/) เป็นภาษากรีก skaphe (σκάφος) หมายถึง "เรือ" odous (οδούς) หมายถึง "ฟัน" และ ichthys (Ιχθύς) หมายถึง "ปลา" จำแนกออกได้เป็น 3 ชนิด พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในส่วนที่เป็นแผ่นดินใหญ่และจีนตอนล่าง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาม่อน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาม่ำพม่า

ปลาม่ำพม่า ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน มีรูปร่างและพฤติกรรมเหมือนกับปลาหม่น หรือปลาม่อน (S. acanthopterus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน หากแต่มีความแตกต่างกันที่ปลาม่ำพม่าจะมีเกล็ดที่แนวเส้นข้างลำตัวน้อยกว่า คือ ประมาณ 34-35 ชิ้น และพบได้เฉพาะลุ่มแม่น้ำสาละวินเท่านั้น มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาม่ำพม่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาม้า

ปลาม้า (Boeseman croaker) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Boesemania microlepis (/บี-ซี-มา-เนีย/ ไม-โคร-เล็พ-อิส/) ในวงศ์ปลาจวด (Sciaenidae) มีรูปร่างเพรียวเล็กไปทางด้านท้ายลำตัว หัวค่อนข้างเล็ก หน้าผากเว้าลึก ตาอยู่สูงไปทางด้านบนของหัว ปากกว้างอยู่ด้านล่างของจะงอยปาก ใต้คางมีรูเล็ก ๆ 5 รู ครีบหลังยาวตลอดส่วนหลัง ตอนหน้าเป็นก้านแข็ง ตอนท้ายเป็นก้านอ่อน โคนหางเรียวเล็ก ครีบก้นมีก้าสนแข็งอันใหญ่หนา ครีบอกยาว ครีบท้องมีปลายเป็นเส้นยาวเช่นเดียวกับครีบหาง เกล็ดมีความเล็กมาก ลำตัวสีเทาอ่อนอ่อนเหลือบเงิน ด้านหลังมีสีคล้ำ ด้านข้างลำตัวมีแถบสีคล้ำจาง ๆ เป็นแนวเฉียงหลายแถบ ด้านท้องสีจาง ครีบใส จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Boesemania มีความประมาณ 25–30 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 1 เมตร อาศัยอยู่ในแม่น้ำขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพบในแหล่งน้ำนิ่งบ้าง บ่อปลา หรือบ่อกุ้งที่อยู่ใกล้ทะเล พบมากในแม่น้ำตอนล่าง แต่ก็พบในแหล่งน้ำที่ไกลจากปากแม่น้ำมากเช่นกัน พบในภาคกลาง ภาคเหนือ และในแม่น้ำโขงในภาคอีสานของไทย โดยพบสูงสุดถึงที่จังหวัดเลย ชื่อปลาม้ามาจากการที่มีครีบหลังยาวเหมือนแผงคอของม้า ขณะที่ชื่อในภาษาอีสานเรียกว่า "ปลากวง" พฤติกรรมมักกบดานอยู่นิ่งใต้พื้นน้ำ เมื่อว่ายน้ำจะเชื่องช้า แต่จะรวดเร็วมากเวลาไล่จับเหยื่อ ในธรรมชาติชอบอาศัยในเขตน้ำลึก กินอาหารจำพวกสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่า ปลาม้าเป็นปลาที่มีชื่อเสียงมากของจังหวัดสุพรรณบุรี จนถึงมีอำเภอชื่อ อำเภอบางปลาม้า เพราะความที่ในอดีตเคยชุกชุม เนื่องจากเป็นปลาที่มีรสชาติอร่อย เป็นที่นิยมมาก มีราคาขายที่สูง และเคยพบมากในบึงบอระเพ็ด แต่สถานภาพในปัจจุบันลดลงมาก อันเนื่องจากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป และการจับในปริมาณที่มาก ปัจจุบัน กรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว ด้วยการฟักไข่ที่ได้จากพ่อแม่ปลาที่เลี้ยงรวมกันในบ่อเลี้ยง และนำลูกปลาที่ได้หลังจากเลี้ยงดูจนโตได้ที่แล้วไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ โดยเฉพาะที่เขื่อนกระเสียว ปลาม้ามีฤดูผสมพันธุ์ตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาวในช่วงต้นปี สามารถส่งเสียงร้องได้ดังระงมเหมือนอึ่งอ่าง เพื่อดึงดูดปลาตัวเมียให้มาผสมพันธุ์ มักจะร้องในช่วงกลางคืนเริ่มตั้งแต่พลบค่ำ กระเพาะของปลาม้า ขึ้นชื่อมากในการทำกระเพาะปลา เพราะมีกระเพาะขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถพองลมทำให้เกิดเสียงได้ นอกจากนี้แล้วกระเพาะปลาม้ายังใช้ทำเป็นยางในของรถจักรยานและทำกาวในอดีตอีกด้วย แต่ปลาม้าเป็นปลาที่ตายง่ายมากเมื่อจับพ้นจากน้ำ นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาม้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาม้ามังกร

ปลาม้ามังกร หรือ ปลาจระเข้หิน หรือ ปลาผีเสื้อกลางคืน (Seamoth, Dragonfish) เป็นสกุลของปลาทะเลกระดูกแข็งสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Eurypegasus (/ยู-รี-เพ-กา-ซัส/) อยู่ในวงศ์ปลาผีเสื้อกลางคืน (Pegasidae) แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด กระจายพันธุ์ตามท้องทะเลตามแนวปะการังแถบอินโด-แปซิฟิก และฮาวาย เป็นปลาที่เคลื่อนไหวช้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาม้ามังกร · ดูเพิ่มเติม »

ปลาม้าลาย

ปลาม้าลาย (Zebra danio, Zebrafish) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาซิว ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวเรียวยาว มีสีที่ลำตัวเป็นสีเหลือบน้ำเงิน สลับด้วยสีเขียวมะกอกดำจำนวน 3 เส้น เป็นแนวยาวตลอดลำตัวจนถึงส่วนหางทำให้มองเห็นลักษณะลวดลายคล้ายม้าลาย อันเป็นลักษณะเด่น อันเป็นที่มาของชื่อเรียก บริเวณใต้ปากมีหนวดอยู่จำนวน 2 เส้น มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5 เซนติเมตร มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดียทางทิศตะวันออก มีพฤติกรรมอยู่รวมตัวกันเป็นฝูง ว่ายหากินและอาศัยอยู่บริเวณผิวน้ำ มีความว่องไว ปราดเปรียวมาก มักจะว่ายน้ำอยู่ตลอดเวลา ตัวเมียมีลำตัวป้อมและสั้นกว่าตัวผู้ เป็นปลาที่สวยงามชนิดหนึ่ง จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำเช่นเดียวกับปลาซิวชนิดอื่น ๆ มีการเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว โดยไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 2-3 วัน ปัจจุบันมีการเพาะขยายพันธุ์อย่างหลากหลาย มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีเครื่องครีบยาวกว่าปกติ และมีการศึกษาด้านพันธุกรรมของปลา จนสามารถผลิตออกมาเป็นปลาเรืองแสงได้ โดยใช้เป็นต้นแบบในการศึกษาพัฒนาการของตัวอ่อนสัตว์มีกระดูกสันหลังและลักษณะต่าง ๆ อีกทั้งยังใช้เป็นดัชนีชี้วัดมลพิษต่าง ๆ ในแหล่งน้ำอีกด้วย นอกจากนี้แล้ว ปลาม้าลายยังมีความสำคัญในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวคือ ด้วยความที่ขณะที่เป็นตัวอ่อนหรือเอมบริโอ ปลาม้าลายจะมีลำตัวใส นักวิทยาศาสตร์ทางด้านชีววิทยาเซลล์จึงใช้ในการศึกษาและทดลองแทนมนุษย์ เนื่องจากจากการศึกษาพบว่า ปลาม้าลายมีระบบอวัยวะภายในต่าง ๆ คล้ายกับมนุษย์ เช่น สมอง, หัวใจ, ตับและไต และลำดับจีโนมแสดงให้เห็นว่าภายในลำตัวมียีนที่ก่อให้เกิดในมนุษย์มากถึงร้อยละ 84 โดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ในออสเตรเลีย ได้ทำการศึกษาวิจัยมาตั้งแต่ปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาม้าลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลายอดม่วงลาย

ปลายอดม่วงลาย (River tonguesole) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cynoglossus fledmanni ในวงศ์ปลายอดม่วง (Cynoglossidae) มีรูปร่างคล้ายปลายอดม่วงเกล็ดถี่ (C. microlepis) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน แต่มีสีลำตัวมีสีเหลืองอ่อนหรือเขียวอ่อน ตามตัวมีลายเส้นสีดำคล้ายลายเสือพาดตามตัว ขนาดที่พบโดยเฉลี่ยประมาณ 25 เซนติเมตร ถิ่นอาศัยอยู่ที่เดียวกับปลายอดม่วงเกล็ดถี่ แต่พบน้อยกว่า พบได้ในแม่น้ำโขง และปากแม่น้ำใกล้ทะเล ในประเทศไทยพบได้ที่ลุ่มน้ำโขง, ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ไปจนถึงเกาะบอร์เนียวและเกาะสุมาตรา นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลายอดม่วงลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลายอดม่วงเกล็ดถี่

ปลายอดม่วงเกล็ดถี่ (Smallscale tonguesole) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cynoglossus microlepis อยู่ในวงศ์ปลายอดม่วง (Cynoglossidae) มีรูปร่างคล้ายใบมะม่วง ตาเล็กอยู่ชิดกัน ปลายจะงอยปากงุ้ม เฉพาะด้านบนท้องเล็กมาก ครีบหลัง ครีบหาง และครีบก้นยาวตลอดลำตัว ครีบหางมีปลายแหลม เกล็ดเล็กมีขอบหยัก มีเส้นข้างลำตัว 3 เส้นบนลำตัวด้านบนและต่อเนื่องกันบริเวณหัว ตัวมีสีน้ำตาลอ่อนอมแดงโดยไม่มีลวดลายใด ๆ ครีบค่อนข้างใส ลำตัวด้านล่างมีสีขาว ขนาดที่พบเฉลี่ยประมาณ 25 เซนติเมตร ใหญ่สุดประมาณ 1 ฟุต อาศัยตามชายฝั่งแม่น้ำที่เป็นพื้นทราย พบในตอนล่างของแม่น้ำแม่กลอง, เจ้าพระยา, บางปะกง และภาคใต้ พบมากในแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่จังหวัดชัยนาทจนถึงพิษณุโลก บริโภคโดยทำปลาแห้ง มีราคาขายค่อนข้างสูง และพบเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย มีชื่อเรียกอื่นว่า "ปลายอดม่วง", "ปลายอดม่วงแม่น้ำ" หรือ "ปลายอดม่วงน้ำจืด" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลายอดม่วงเกล็ดถี่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลายอนหอย

ปลายอนหอย หรือ ปลาสวายหนู เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งน้ำจืดในอันดับปลาหนังในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) จำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Helicophagus (/เฮ-ลิ-โช-ฟา-กัส/) มีรูปร่างโดยรวม คือ เหมือนปลาในสกุล Pangasius แต่ว่ามีรูปร่างที่เล็กและเพรียวบางกว่าอย่างเห็นได้ชัด ปากมีความกว้างน้อยกว่า หัวเล็ก ตามีขนาดเล็ก หนวดทั้ง 2 คู่ยาวถึงช่องเปิดเหงือก มีความยาวลำตัวโดยเฉลี่ยประมาณ 1 ฟุต มีพฤติกรรมจะกินอหารแต่เฉพาะสัตว์จำพวกหอย ทั้งหอยฝาเดียวและหอยสองฝา โดยจะกินเข้าไปทั้งตัว และถ่ายออกมาเป็นเศษซากของเปลือกหอย พบเพียง 3 ชนิดเท่านั้น โดยพบกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะในเขตซุนดา มีเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่พบได้ในประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลายอนหอย · ดูเพิ่มเติม »

ปลายาว

ปลายาว (Cá bông lau) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) มีลักษณะหัวเรียว ตาเล็ก ปากอยู่ด้านล่างของจะงอยปาก หนวดยาวถึงลูกตา รูปร่างเพรียวยาว ลำตัวค่อนข้างกลมและแบนข้างที่ด้านท้าย ตัวผู้มีปลายครีบหลังและครีบท้องยื่นเป็นเส้นสั้น ๆ ลำตัวมีสีเทาคล้ำอมฟ้า ข้างลำตัวสีจาง ครีบสีจาง ครีบหางมีสีเหลืองอ่อน ที่ขอบบนแฉกมีสีคล้ำจาง ๆ มีขนาดประมาณ 40 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 80 เซนติเมตร พบเฉพาะในแม่น้ำโขงตั้งแต่จังหวัดหนองคายถึงอุบลราชธานี เท่านั้น เป็นปลาที่ตายง่ายมากหลังการจับจึงได้อีกชื่อจากชาวประมงที่จังหวัดหนองคายว่า "ปลาซวยเสาะ" แต่ที่จังหวัดนครพนมเรียกว่า "ปลายาว" บริโภคโดยการปรุงสด เนื้อมีรสชาติดี ปลายาวที่มีขนาดเล็กจะพบเฉพาะบริเวณปากแม่น้ำโขง และชายฝั่งทะเลไปถึงเกาะไหหลำ ในประเทศจีน.

ใหม่!!: สัตว์และปลายาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลายาด

ปลายาด หรือ ปลาเวียน (Mahseers, Brook carps) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดที่มีขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Tor (/ทอร์/) มีลำตัวยาวและแบนข้างไม่มากนัก หัวค่อนข้างเล็ก มีหนวดที่ยาว 2 คู่ คู่แรกอยู่ที่ริมปากบน และคู่ที่สองอยู่ที่มุมปาก ปากโค้งเป็นรูปเกือกม้า ริมปากบนและล่างหนาเชื่อมติดต่อกัน ริมปากล่างมีร่องคั่นระหว่างริมปากกับกระดูกขากรรไกรล่าง บางชนิดอาจมีกล้ามเนื้อแบ่งเป็นพู ๆ บนริมปากล่าง และบางชนิดไม่มีพูของกล้ามเนื้อดังกล่าว เกล็ดมีขนาดใหญ่ เส้นข้างลำตัวสมบูรณ์ เยื่อขอบกระดูกแก้มเชื่อมติดกับเอ็นคาง ฟันที่ลำคอรูปร่างเหมือนช้อน มี 3แถว โคนครีบหลังหุ้มด้วยเนื้อที่เป็นเกล็ด มีก้านครีบแขนง 8 หรือ 9 ก้าน ก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายเป็นหนามแข็งและขอบเรียบ ต้นแบบของสกุลนี้มาจาก Cyprinus tor ซึ่ง จอห์น เอ็ดเวิร์ด เกรย์ ได้ยกขึ้นเป็นชื่อสกุล โดยตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tor hamiltonii ก่อนหน้าสกุล Labeobarbus ของเอ็ดดวร์ด รุพเพิล ซึ่งนักมีนวิทยาหลายท่านได้นำเอาสกุล Labeobarbus ไปตั้งชื่อปลาที่พบในแถบคาบสมุทรอินโดออสเตรเลีย แต่ก็มีบางส่วนที่ใช้สกุลอื่น ปลาในกลุ่มนี้จึงมีชื่อพ้องด้วยกันหลากหลาย พบทั้งหมดประมาณ 20 ชนิด ในทวีปเอเชีย ตามแม่น้ำสายใหญ.

ใหม่!!: สัตว์และปลายาด · ดูเพิ่มเติม »

ปลายี่สก

ปลายี่สก หรือ ปลายี่สกทอง เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Probarbus jullieni อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลายี่สก · ดูเพิ่มเติม »

ปลายี่สกเทศ

ปลายี่สกเทศ หรือ ปลาโรหู้ (রুই) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Labeo rohita ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างลำตัวยาวทรงกระบอก ส่วนหัวสั้น ปากเล็ก มีหนวดสั้น 2 คู่ ริมฝีปากเป็นชายครุยเล็กน้อย และมีแผ่นขอบแข็งที่ริมฝีปากบนและล่าง มีเกล็ดขนาดเล็กตามแนวเส้นข้างลำตัว ครีบหลังและครีบก้นมีขนาดเล็ก ครีบหางเว้าลึก ลำตัวด้านบนสีคล้ำ ปลาขนาดใหญ่จะมีจุดสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลอ่อนแต้มที่เกล็ดแต่ละเกล็ด ท้องมีสีจาง ครีบสีคล้ำมีขอบสีชมพูอ่อนหรือแดง ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 60–80 เซนติเมตร พบใหญ่สุดได้ถึง 1 เมตร เป็นปลาพื้นถิ่นของภูมิภาคเอเชียใต้ตอนบน พบในรัฐโอริศา, รัฐพิหาร และรัฐอุตตรประเทศในอินเดีย, แม่น้ำคงคา, ปากีสถาน จนถึงพม่าทิศตะวันตก มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ในระดับกลางของแม่น้ำจนถึงท้องน้ำ ใช้ปากแทะเล็มพืชและสัตว์น้ำขนาดเล็กและอินทรียสารเป็นอาหาร สามารถปรับตัวได้ดีในแหล่งน้ำนิ่งแต่จะไม่วางไข่ ปลายี่สกเทศทอดในบังกลาเทศ เป็นปลาเศรษฐกิจที่นิยมใช้บริโภคในภูมิภาคแถบนี้ โดยปรุงสด เช่น แกงกะหรี่ ในประเทศไทยถูกนำเข้ามาในปี พ.ศ. 2511 เช่นเดียวกับปลากระโห้เทศ (Catla catla) และปลานวลจันทร์เทศ (Cirrhinus cirrhosus) เพื่อเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์เป็นปลาเศรษฐกิจในประเทศ ปราฏฏว่าได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดี และได้รับความนิยมมาก โดยมีการเลี้ยงอย่างแพร่หลายในหลายโครงการของกรมประมงทั้งในภาคเหนือและภาคอีสาน อีกทั้งยังเป็นที่นิยมของบ่อตกปลาต่าง ๆ อีกด้วย จนสามารถขยายพันธุ์ได้เองในแหล่งน้ำของประเทศไทย เช่น ที่แม่น้ำโขง.

ใหม่!!: สัตว์และปลายี่สกเทศ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาย่าดุก

ปลาย่าดุก (Freshwater lionfish, Three-spined frogfish) ปลาน้ำเค็มชนิดหนึ่ง ที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Batrachomoeus trispinosus อยู่ในวงศ์ปลาคางคก (Batrachoididae) มีรูปร่างหัวโต ปากกว้าง มีติ่งเนื้อสั้น ๆ อยู่รอบมุมปาก ตาโต ครีบอกเป็นวงกลมและแผ่กางได้ ครีบหลังและครีบท้องยาวไปจรดหาง ครีบหางเป็นวงกลม ลำตัวอ่อนนุ่ม ไม่มีเกล็ด พื้นสีลำตัวสีน้ำตาลมีแถบดำเป็นลายเลอะพาดตลอดทั้งตัว ขนาดโตได้เต็มที่ราว 30 เซนติเมตร พบอาศัยอยู่ตามชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก และยังพบในปากแม่น้ำ หรือในเขตน้ำกร่อยในภาคตะวันออก และภาคใต้ของประเทศไทย ในต่างประเทศพบตั้งแต่อินโด-แปซิฟิก, ปาปัวนิวกินี จนถึงออสเตรเลีย มีพฤติกรรมมักกบดานอยู่นิ่ง ๆ ตามพื้นน้ำเพื่อดักรอเหยื่อ โดยสีของลำตัวกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม สามารถกินปลาที่ใหญ่กว่าตัวได้ โดยปลาในวงศ์นี้จะมีพิษอยู่ที่เงี่ยงครีบหลังและครีบอก เมื่อถูกจับพ้นน้ำจะส่งเสียงร้องว่า "อุบ อุบ" เป็นปลาที่เมื่อกินเบ็ดแล้ว กินลึกลงถึงในคอ ในบางพื้นที่มีการบริโภค โดยเนื้อนุ่ม มีรสชาติอร่อย และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยต้องทำการปรับสภาพน้ำให้อยู่ในน้ำจืดให้ได้เสียก่อน หน้า 110-129, Amphidromous story สุดยอดนักล่า ปลาสองน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาย่าดุก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาย่าดุก (สกุล)

ปลาย่าดุก (Frogfishes) เป็นสกุลของปลาน้ำเค็มสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาคางคก (Batrachoididae) ใช้ชื่อสกุลว่า Batrachomoeus มีลำตัวทรงกระบอก อ้วนป้อม หัวโต ปลายหัวมนกลม ลำตัวลู่ไปทางข้างหางจนถึงคอดหางซึ่งสั้นมาก ส่วนท้องกลม ปากกว้างมากเป็นรูปโค้ง ตามีขนาดเล็กหรือปานกลาง มีติ่งเนื้อสั้น ลักษณะเป็นเส้นหรือแบนเรียงเป็นแถวอยู่รอบขากรรไกรทั้งบนและล่าง มีติ่งเนื้อในแนวขอบกระดูกฝาเหงือกแผ่นหน้าและกระจายอยู่ทางด้านบนของหัวโดยเฉพาะที่ใกล้บริเวณขอบบนของตา แผ่นปิดเหงือกมีหนามแหลมและแข็งมาก บริเวณโคนครีบอกมีตุ่มเนื้อประปราย มีเส้นข้างตัว 1–2 เส้น ครีบหลังมี 2 ตอนแยกกัน ครีบก้นสั้น ครีบหางมีขอบกลมเป็นรูปพัด ครีบอกมีฐานกว้างตั้งอยู่ในแนวดิ่ง ครีบท้องตั้งอยู่ใต้ส่วนท้ายของหัวในแนวห่างจากหน้าครีบอก ตลอดหัวและลำตัว และครีบมีสีน้ำตาลอมเหลืองหรือสีคล้ำขะมุกขะมอมเป็นด่างเป็นดวงหรือลวดลายขวางไม่เป็นระเบียบ หนามและกระดูกแหลมบนหัวและครีบมีพิษ เป็นปลาที่อาศัยอยู่เพียงลำพังตัวเดียว เป็นปลาที่อาศัยและมักอยู่นิ่ง ๆ กับพื้นทะเลบริเวณใกล้ชายฝั่งหรือในพื้นที่น้ำจืดที่ไม่ไกลจากทะเลมากนัก เป็นปลาที่หากินในเวลากลางคืน โดยซ่อนตัวอยู่ในรูหรือในวัสดุต่าง ๆ เพื่อดักรอเหยื่อ ที่ได้แก่ ปลาหรือสัตว์น้ำต่าง ๆ โดยการฮุบกินไปทั้งตัว เป็นปลาที่เมื่อถูกจับพ้นน้ำแล้ว สามารถส่งเสียงร้องว่า "อุบ ๆ ๆ" ได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาย่าดุก (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาราฟิโอดอน

ปลาราฟิโอดอน ​เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งอยู่ในวงศ์ปลาฟันสุนัข (Cynodontidae) ในอันดับปลาคาราซิน (Characiformes) มีรูปร่างภายนอกเหมือนปลาฝักพร้า (Macrochirichthys macrochirus) มาก ซึ่งเป็นปลาคนละวงศ์ และคนละอันดับ และเป็นปลาที่พบกันคนละทวีปด้วย ซึ่งเป็นผลของการวิวัฒนาการเข้าหากัน เว้นแต่ปลาราฟิโอดอนจะมีครีบไขมัน ซึ่งปลาฝักพร้าไม่มี แต่มีพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน มีลักษณะลำตัวยาวและแบนข้างมาก ท้องเป็นสันแคบ ตาโต ปากกว้างเฉียงขึ้นด้านบน ลำตัวสีเงินแวววาว ครีบใส ครีบอกใหญ่และยาวแหลม ครีบท้องและครีบหลังเล็ก แต่ครีบก้นมีฐานครีบยาว ครีบหางเล็กและไม่แยกเป็นสองแฉก มีครีบไขมัน ภายในปากจะเห็นฟันเป็นซี่ ๆ แหลมคมจำนวนมาก เป็นปลาเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Rhaphiodon (โดย Rhaphiodon มาจากภาษากรีกคำว่า rhaphis (ραφής) หมายถึง "เข็ม", odous (οδούς) หมายถึง "ฟัน" และ vulpinus เป็นภาษาละตินหมายถึง "หมาจิ้งจอก") มีพฤติกรรมนิยมอยู่รวมเป็นฝูง ออกล่าเหยื่อเป็นปลาขนาดเล็กบริเวณผิวน้ำ ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 70 เซนติเมตร พบในแม่น้ำอเมซอนและลำน้ำสาขา ในเปรู, ปารากวัย, อุรุกวัย และกายอานา มีชื่อเรียกกันในท้องถิ่นว่า เบียอาร่า (Biara) ใช้เป็นปลาบริโภคในท้องถิ่นและตกเป็นเกมกีฬา นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามราคาแพง โดยถูกนำเข้ามาจำหน่ายพร้อมกับปลาสคอมบิรอยด์ (Hydrolycus scomberoides) ซึ่งพฤติกรรมในตู้เลี้ยงพบว่า มีนิสัยขี้ตกใจมาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาราฟิโอดอน · ดูเพิ่มเติม »

ปลารากกล้วย

ปลารากกล้วย หรือ ปลาซ่อนทราย (horseface loach) เป็นชื่อสามัญของปลาน้ำจืดทุกชนิดในสกุล Acantopsis ของวงศ์ปลาหมูแท้ (Cobitidae)ราชบัณฑิตยสถาน.

ใหม่!!: สัตว์และปลารากกล้วย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาริชาร์ด ดอว์กินส์

ปลาริชาร์ด ดอว์กินส์ (Richard Dawkins fish) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Dawkinsia (/ดอว์-กิน-เซีย-อา/) โดยเป็นสกุลที่ได้รับการอนุกรมวิธานขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 2012 โดยแยกออกมาจากสกุล Puntius อนุกรมวิธานโดย โรฮัน เพธิยาโกดา นักวิทยาศาสตร์ชาวศรีลังกา และตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ ริชาร์ด ดอว์กินส์ นักชีววิทยาด้านทฤษฎีวิวัฒนาการชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียง เนื่องจากปลาสกุลนี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงการวิวัฒนาการอย่างง่าย เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กที่พบในประเทศอินเดียและศรีลังกา มีครีบต่าง ๆ ยาวและมีสีสันสวยงาม โดยเฉพาะในตัวผู้ เพื่อที่จะดึงดูดตัวเมีย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดอ่อนให้ถูกไล่ล่าได้ง่ายเช่นกัน นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาริชาร์ด ดอว์กินส์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาริวกิว

ปลาริวกิว หรือ ปลาเรียวเซียว หรือ ปลาลู่ทู (Giant catfish, Giant sea catfish, Giant salmon catfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง จำพวกปลาหนัง ในวงศ์ปลากดทะเล (Ariidae) มีรูปร่างคล้ายคลึงกับปลากดหรือปลาแขยงที่พบในน้ำจืด หรือปลากดทะเลชนิดอื่น ๆ แต่มีขนาดใหญ่มากกว่า มีลำตัวยาวและค่อยข้างกลม หางแบนข้างและหัวใหญ่ ด้านหลังตรงหัวเป็นกระดูกแข็ง หน้าแหลม จะงอยปากยาว ปากกว้าง ฟันมีขนาดเล็กและสั้น มีหนวดใต้คาง 2 คู่และริมฝีปากบน 1 คู่ ครีบหลังและครีบอกมีเงี่ยงเป็นหนามแหลมครีบละหนึ่งอัน ครีบไขมันเล็กอยู่ใต้โคนหาง ครีบหางเป็นแฉกลึก พื้นลำตัวสีน้ำตาลปนเทา ท้องสีขาวนวล ครีบต่าง ๆ สีเทาคล้ำ ครีบไขมันสีดำ กินปลาและสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ตามบริเวณหน้าดินเป็นอาหาร จัดเป็นปลาอุก หรือปลากดทะเลที่มีขนาดใหญ่ มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 1.2 เมตร แต่ความยาวเฉลี่ย 30–40 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ตามพื้นทะเลที่เป็นโคลน หรือโคลนเหลว บางครั้งอาจพบได้ในบริเวณปากแม่น้ำที่เป็นน้ำกร่อยหรือน้ำจืด ในน่านน้ำไทยพบทั้งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เป็นปลาที่ใช้เนื้อในการบริโภคกันจนเป็นที่รู้จักดี รวมถึงแปรรูปเป็นปลาเค็มหรือปลาหวาน ไข่ของปลาริวกิวนิยมนำมาทำเป็นแกงส้มเหมือนปลากดทะเลชนิดอื่น ๆ แต่ไข่ปลาริวกิวนั้นมีความคาวมาก เมื่อจะนำมาปรุงอาหารต้องล้างน้ำหลาย ๆ ครั้ง ปลาจะมีไข่ได้ทุกฤดูกาล แต่ช่วงที่ีไข่สมบูรณ์มากที่สุด คือ ช่วงฤดูหนาวหรือช่วงปลายฝนต้นหนาว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาริวกิว · ดูเพิ่มเติม »

ปลารีดฟิช

ปลารีดฟิช หรือ ปลาโรปฟิช หรือ ปลางู (Reedfish, Ropefish, Snakefish) เป็นปลาน้ำจืดกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Erpetoichthys calabaricus อยู่ในวงศ์ปลาไบเคอร์ (Polypteridae) ปลารีดฟิชจัดเป็นปลาไบเคอร์เพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Erpetoichthys มีรูปร่างที่เรียวยาวคล้ายเชือกหรืองูมากกว่าปลาไบเคอร์ชนิดอื่น ๆ โดยไม่มีครีบท้อง ส่วนหัวมีขนาดเล็ก ครีบหูมีจุดสีดำที่ฐานครีบ ครีบหลังมีสีน้ำตาลจนถึงสีเขียวมะกอก ลำตัวสีเขียวมะกอก ขณะที่ส่วนท้องเป็นสีเหลืองอมส้ม มีขนาดความเต็มที่ประมาณ 37 เซนติเมตร และพบได้ยาวที่สุดถึง 90 เซนติเมตร กระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำนิ่งและน้ำกร่อยในแอฟริกาตะวันตก แถบสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, แองโกลา, ไนจีเรีย, แคเมอรูน, อิเควทอเรียล กินี และเบนิน อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่มีสภาพเป็นกรดเล็กน้อย (ค่า pH ต่ำกว่า 7 เล็กน้อย) และมีพืชพรรณไม้น้ำขึ้นรกครึ้ม หากินในเวลากลางคืน เช่น ปลาไบเคอร์ชนิดอื่น ๆ ปลารีดฟิชนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ ซึ่งชื่อสกุลของปลารีดฟิช คือ Erpetoichthys นั้นดัดแปลงมาจากภาษากรีกคำว่า erpeton ที่หมายถึง "สิ่งที่คลานได้" และ ichthys ที่หมายถึง "ปลา".

ใหม่!!: สัตว์และปลารีดฟิช · ดูเพิ่มเติม »

ปลาร่องไม้ตับ

ปลาร่องไม้ตับ หรือ ปลาข้างลาย (Bonylip barb) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีขนาดปานกลาง ลำตัวเรียวยาว จะงอยปากสั้นทู่ และครีบหางเว้าลึกเป็นแฉก มีลักษณะเด่นคือ มีแถบสีดำขนาดค่อนข้างใหญ่พาดผ่านนัยน์ตาตามความยาวลำตัวไปสิ้นสุดที่โคนครีบหาง มีขนาดความยาวประมาณ 24 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ เป็นปลาในสกุลปลาสร้อยนกเขาที่พบได้บ่อยที่สุด โดย ฮิวจ์ แมคคอร์มิค สมิธ นักมีนวิทยาชาวอเมริกัน ที่เข้ามาศึกษาพันธุ์สัตว์น้ำในประเทศไทยได้บันทึกไว้ว่า จับปลาร่องไม้ตับขนาดความยาว 23.5 เซนติเมตร ได้ที่แม่น้ำปราณ ในเดือนพฤษภาคม เป็นปลาตัวเมียที่มีไข่แก่ และจับได้ที่บึงบอระเพ็ดในเดือนพฤศจิกายน เป็นปลาตัวเมียขนาด 6 เซนติเมตร มีไข่เต็มท้อง แสดงให้เห็นว่า เริ่มผสมพันธุ์วางไข่ตั้งแต่ขนาด 6 เซนติเมตรขึ้นไป เป็นปลาที่กินตะไคร่น้ำและสาหร่ายรวมถึง แมลงน้ำต่าง ๆ ตามโขดหินและใต้ท้องน้ำเป็นอาหาร นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในต่างประเทศเพราะมีความอดทน เลี้ยงง่าย สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาร่องไม้ตับ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาร่องไม้ตับวานเดิร์ส

ปลาร่องไม้ตับวานเดิร์ส (Waanders's hard-lipped barb) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cypriniade) มีขนาดและลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาร่องไม้ตับ (O. microcephalus) ซึ่งอยู่สกุลเดียวกัน แต่ที่ต่างกันคือ มีแถบสีดำพาดตามความยาวของลำตัวตั้งแต่เหนือช่องเหงือกไปสิ้นสุดที่กึ่งกลางของปลายครีบหาง และมีถิ่นอาศัยเฉพาะแหล่งน้ำที่ติดต่อกับแม่น้ำโขงเท่านั้น เป็นปลาที่ไม่พบบ่อยมากนัก นอกจากนี้แล้วยังพบได้ที่กว๊านพะเยา มีความยาวเต็มที่ 20 เซนติเมตร กินตะไคร่น้ำและพืชน้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาร่องไม้ตับวานเดิร์ส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาลัง

ปลาลัง, ปลาทูลัง หรือ ปลาทูโม่ง เป็นปลาชนิดหนึ่งในสกุลปลาทู อีกสองชนิดได้แก่ ปลาทู (R. brachysoma) และปลาทูปากจิ้งจก (R. faughni) ปลาลังมีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาทูชนิดอื่นในสกุลเดียวกัน จนชาวประมงในอดีตเคยเชื่อว่าปลาลังเป็นปลาทูตัวผู้ แต่ปัจจุบันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นปลาคนละชนิดกัน ความแตกต่างระหว่างปลาลังกับปลาทูชนิดอื่นคือ ปลาลังตัวโตกว่า ตัวเรียวยาวกว่า ปลายจมูกยื่นแหลมกว่า มีจุดสีดำใต้ฐานครีบหลัง 16 จุดซึ่งมีมากกว่าปลาทูชนิดอื่น ชอบอยู่ในบริเวณห่างไกลจากฝั่ง นิยมกินอาหารที่เป็นแพลงก์ตอนสัตว์เรื่องจากปก: วิกฤตอาหารโลก ระเบิดสงครามชิงน่านน้ำ ตามรอยปลาทูสู่โครงการฟื้นฟูทะเลไท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาลัง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาลิ่น

ปลาลิ่น หรือปลาเกล็ดเงิน หรือปลาหัวโต เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hypophthalmichthys molitrix ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีส่วนหัวโต ตาเล็กอยู่ต่ำกว่ามุมปาก ปากและข้างแก้มกว้าง ครีบหลังเล็กอยู่ประมาณกึ่งกลางลำตัว ครีบก้นเล็ก ครีบหางเว้าลึก เกล็ดเล็กแบบขอบเรียบ ด้านท้องเป็นสันแคบ ตัวมีสีเงินคล้ำที่ด้านหลัง และสีเงินแวววาวที่ด้านท้อง หัวมีสีคล้ำอมแดงหรือสีเนื้อ ครีบมีลักษณะสีจาง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30-50 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 105 เซนติเมตร หนักได้ถึง 50 กิโลกรัม เป็นปลาพื้นเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่มีถิ่นกำเนิดในแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกัน เป็นปลาที่ชาวจีนนิยมบริโภคเพราะมีรสชาติดีแม้ว่าจะมีก้างเยอะก็ตาม ปัจจุบัน นิยมเลี้ยงในบ่อและถูกปล่อยลงในแหล่งน้ำที่ถูกสร้างขึ้น เช่น บ่อปลาในโครงการต่าง ๆ ของกรมประมงหรือหมู่บ้านหรืออ่างเก็บน้ำ โดยให้ปลาลิ่นกินเศษอาหารและแพลงก์ตอนจากการกินพืชจำพวกหญ้า และมูลจากปลาชนิดอื่น เช่น ปลาไน (Cyprinus carpio) เป็นต้น ขยายพันธุ์ได้ด้วยการผสมเทียมเท่านั้น ไม่พบการแพร่พันธุ์เองในแหล่งน้ำธรรมชาติของไทย ถูกนำเข้ามาในประเทศในปี พ.ศ. 2465 - พ.ศ. 2475 โดยถูกนำเข้ามาพร้อมกับชาวจีนทางเรือสำเภา และต่อมากรมประมงและคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ทำการทดลองผสมเทียมขึ้นจนสำเร็จจนถึงปัจจุบัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาลิ่น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาลิ้นหมาลายนกยูง

ปลาลิ้นหมาลายนกยูง (Peacock sole) ปลาซีกเดียวชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาลิ้นหมา (Soleidae) มีรูปร่างรูปไข่ ปากกว้าง ตาอยู่ชิดกันทางด้านขวาของลำตัว ไม่มีครีบอก ครีบหางปลายมน ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อน มีดวงสีจาง ๆ และมีจุดสีดำอยู่ตรงกลางกระจายอยู่ทั่วตัวและครีบแลดูคล้ายแววมยุราของนกยูง มีความยาวโดยเฉลี่ย 20 เซนติเมตร เป็นปลาที่พบอาศัยอยู่ตามพื้นทะเลทั้งในแถบชายฝั่งและไหล่ทวีป โดยกินสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นอาหาร เป็นปลาที่พบได้บ่อย ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาลิ้นหมาลายนกยูง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาลิ้นหมาน้ำจืด

ปลาลิ้นหมาน้ำจืด (Freshwater sole, River sole) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาลิ้นหมา (Soleidae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Brachirus panoides มีรูปร่างเรียวเป็นรูปไข่ ตาเล็กอยู่ห่างกัน ปากเล็กมีรูจมูกเห็นเป็นท่อชัดเจน ครีบมีลักษณะเชื่อมต่อกันเกือบทั้งลำตัว ครีบอกเล็กมาก มีเส้นข้างลำตัวตรงตลอดแนวลำตัว และมีแขนงสีล้ำตัดเป็นแนวดิ่ง 6-7 เส้น ลำตัวด้านบนเป็นสีน้ำตาลเข้ม มีแต้มใหญ่สีคล้ำหลายแต้มตามบริเวณใกล้กับครีบหลังและครีบก้น ครีบมีขอบสีจาง มีจุดประสีคล้ำกระจาย ลำตัวด้านล่างสีขาว ขนาดลำตัวประมาณ 15 เซนติเมตร ใหญ่สุดที่พบคือ 30 เซนติเมตร อาศัยอยู่บริเวณพื้นน้ำ ว่ายน้ำโดยขนานกับพื้นดินและพลิ้วตัวขึ้นมาแนวขึ้นลง สามารถมุดลงใต้ทรายได้เร็วเวลาตกใจ โดยปกติมักจะไม่เคลื่อนไหว อาหารได้แก่สัตว์น้ำหน้าดินขนาดเล็ก เช่น ไส้เดือนน้ำ, ลูกกุ้ง เป็นต้น ปลาลิ้นหมาน้ำจืดเป็นปลาที่มักอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่สะอาด ไม่ค่อยลอยตัวขึ้นเหนือน้ำ ดังนั้น คนสมัยก่อนหากเห็นปลาลิ้นหมาลอยตัวขึ้นมาเหนือน้ำ จะเก็บน้ำใส่ตุ่ม เพราะเป็นสัญญาณบ่งชี้แล้วว่าน้ำจะเสีย ปลาลิ้นหมาน้ำจืดพบในแม่น้ำตอนล่างใกล้กับปากแม่น้ำของทุกภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในภาคกลาง ไม่พบในแม่น้ำโขง บริโภคโดยปรุงสดและทำปลาแห้ง อีกทั้งเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้ด้วย แต่ปัจจุบันหาได้ยากขึ้นเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทางสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดชัยนาทได้ทำการเพาะพันธุ์ปลาชนิดนี้อยู่ ซึ่งปลาลิ้นหมาน้ำจืดมีชื่อเรียกที่แตกต่างและซ้ำซ้อนกันไปเช่น "ใบไม้", "ลิ้นควาย" หรือ "เป" ในภาษาอีสาน เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาลิ้นหมาน้ำจืด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาลิ้นควายขนดำ

ปลาลิ้นควายขนดำ (Oriental sole, Black sole) ปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาลิ้นหมา (Soleidae) มีขนาดโดยเฉลี่ย 10-12 เซนติเมตร โตเต็มที่ยาวได้ถึง 30 เซนติเมตร ดวงตาอยู่ด้านขวา มีปากรูปโค้งขนาดเล็ก ลำตัวเป็นรูปไข่ มีครีบอกเล็ก ๆ ทางด้านดวงตา ครีบหลังและครีบทวารรวมเป็นครีบเดียวกับครีบหาง และด้านบนลำตัวเป็นสีน้ำตาลอมเทากับมีจุดหรือลวดลายสีดำ เกล็ดมีขนาดเล็กและเป็นแบบสาก มีลักษณะทั่วไปเหมือนปลาซีกเดียวชนิดอื่น ๆ ทั่วไปที่อยู่ในสกุลเดียวกัน โดยถือเป็นชนิดต้นแบบของสกุลนี้ด้วยหน้า 232, สาระน่ารู้ปลาน้ำจืดไทย เล่ม ๒ โดย สมโภชน์ อัคคะทวีวัฒน์ (พ.ศ. 2547) ISBN 974-00-8738-8 หากินตามพื้นท้องน้ำ โดยฝังตัวใต้พื้นที่เป็นทรายหรือโคลน กินสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปตามชายฝั่งทะเลในแถบเอเชียจนถึงเอเชียตะวันออก และมีบันทึกว่าพบในปากแม่น้ำในมาดากัสการ์ด้วย โดยพบได้ทั้งทะเล, น้ำจืด และน้ำกร่อย เป็นปลาที่ใช้ในการบริโภค ทั้งปรุงสดและแช่แข็งหรือแปรรูปเป็นปลาแห้ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาลิ้นควายขนดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาลิ้นควายเกล็ดลื่น

ปลาลิ้นควายเกล็ดลื่น หรือ ปลาลิ้นเสือ (Largetooth flounder) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง จำพวกปลาซีกเดียวหรือปลาลิ้นหมา ในวงศ์ปลาลิ้นเสือ (Paralichthyidae) โดยถือเป็นชนิดต้นแบบของสกุล Pseudorhombus ด้วย เป็นปลาทะเลที่มีรูปทรงภายนอกดูมนคล้ายใบไม้หรือขนุน ลำตัวด้านข้างแบน ด้านที่มีสีเข้มอยู่ทางซีกซ้ายและมีตาทั้งสองข้างอยู่ด้านเดียวกัน ปากค่อนข้างกว้าง ฟันเล็กแหลม ครีบหลังและครีบก้นยาว ครีบอกและครีบท้องมีขนาดเล็ก ครีบหางเป็นเหลี่ยม ลำตัวทางซีกซ้ายมีสีน้ำตาลปนดำและมีรอยแต้มสีดำอยู่ 2 จุด เป็นปลาหน้าดินที่อาศัยอยู่ตามพื้นน้ำในท้องทะเล พบแพร่กระจายอยู่ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ในน่านน้ำไทยพบตามบริเวณชายฝั่งทะเลทั่วไปในอ่าวไทย บางครั้งอาจพบได้ในแม่น้ำที่ต่อกับทะเล กินอาหารจำพวกสัตว์น้ำหน้าดินขนาดเล็ก เช่น ลูกกุ้ง, ลูกปลา, หนอนทะเล มีความยาวเต็มที่ประมาณ 20–30 เซนติเมตร เป็นปลาที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เพื่อการบริโภคเป็นปกต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาลิ้นควายเกล็ดลื่น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาลิ้นแมว

ปลาลิ้นแมว หรือ ปลาชะโอนหิน ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Silurichthys schneideri ในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) อยู่ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) มีลำตัวแบนข้างและเรียวยาว ตามีขนาดเล็กมาก หัวและปากเล็ก ปากล่างสั้นกว่า มีหนวด 2 คู่ ลำตัวสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลอมม่วง ลำตัวและครีบมีลายประหรือลายหินอ่อน ครีบหลังอันเล็กมี 2-3 ก้าน ครีบหางและครีบก้นต่อเนื่องกัน ปลายครีบหางด้านบนยาวเรียว มีขนาดประมาณ 15 เซนติเมตร การแยกเพศยังไม่สามารถทำได้ชัดเจน จะสังเกตได้เฉพาะฤดูผสมพันธุ์ คือ ปลาเพศผู้จะมีส่วนของลำตัวยาวและขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย ส่วนเพศจะสังเกตได้จากบริเวณส่วนท้องจะบวมเป่งและผนังท้องจะบางและนิ่มกว่าเพศผู้ พฤติกรรมมักซ่อนตัวอยู่ใต้วัสดุลอยน้ำเช่น ใบไม้ร่วง หากินในเวลากลางคืน โดยอาหารได้แก่ แมลง และสัตว์น้ำขนาดเล็ก พบอาศัยอยู่ในลำธารน้ำตกในป่า เช่น น้ำตกลำนารายณ์ และน้ำตกกระทิง จังหวัดจันทบุรี, น้ำตกลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช, อุทยานแห่งชาติปางสีดา เป็นต้น ในปี พ.ศ. 2547 ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดสระแก้วได้ออกสำรวจปลาลิ้นแมวอย่างจริงจังที่อุยานแห่งชาติปางสีดา พบว่ามีอาศัยอยู่ที่กิโลเมตรที่ 23 บริเวณห้วยน้ำเย็น ซึ่งอยู่ในเขตป่าลึกที่มีลักษณะเป็นป่าดิบชื้นและมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 200-300 เมตร และได้มีการนำมาศึกษาและทำการเพาะขยายพันธุ์จนประสบความสำเร็จโดยการผสมเทียม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาลิ้นแมว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาลีโปรินัส

ปลาลีโปรินัส เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในสกุล Leporinus ในวงศ์ปลาปล้องอ้อย (Anostomidae) มีรูปร่างกลมเรียวยาวเหมือนแท่งดินสอ มีลวดลายหรือจุดแตกต่างกันออกไป อาศัยอยู่เป็นฝูงในทวีปอเมริกาใต้ ปัจจุบันมีเจ็ดชนิดได้ถูกแยกออกเป็นสกุล Hypomasticus แต่ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในสกุลนี้ ซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดของสกุลนี้ คือ Leporinus scalabrinii (Ameghino, 1898) ถูกค้นพบในยุคไมโอซีนยุคสุดท้าย ที่เอนเตรรีโอ ในอาร์เจนตินา หลังจากถูกอนุกรมวิธานผิดว่าเป็นไพรเมทภายใต้ชื่อ Arrhinolemur scalabrinii มานานมากกว่า 100 ปี โดยคำว่า Leporinus มาจากภาษาละตินคำว่า lepus หมายถึง "กระต่ายป่า" และ inus ต่อท้าย หมายถึง "ส่วนที่เกี่ยวข้อง" โดยหมายถึง การที่ปลาในสกุลนี้มีฟันคู่หน้าที่เหมือนกับกระต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาลีโปรินัส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาวัวลายส้ม

ปลาวัวลายส้ม หรือ ปลาวัวหางเหลือง (Orange-lined triggerfish, Orange-striped triggerfish, Undulated triggerfish, Green trigger, Redlined triggerfish) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Balistapus undulatus อยู่ในวงศ์ปลาวัว (Balistidae) เป็นเพียงชนิดเดียวนั้นที่อยู่ในสกุล Balistapus ลักษณะลำตัวแบนทางด้านข้างตาเล็กอยู่เยื้องขึ้นไปใกล้ส่วนหลัง ปากมีขนาดเล็ก ครีบหลังมี 2 ตอนแยกออกจากกัน ตอนหน้ามีก้านครีบแข็งตอนหลังเป็นครีบอ่อนโค้งไปตามแนวลำตัว เช่นเดียวกับครีบก้น ครีบหูเล็กครีบท้องสั้นครีบหางปลายตัดและเว้าตรงกลางเพียงเล็กน้อย โดยที่ครีบหลังอันหน้าสุดได้ลดรูปไปเหลือเป็นเพียงก้านครีบแข็งอันเดียวมองเห็นได้ชัด มีลักษณะคล้ายกับเขาสัตว์ ซึ่งเป็นเอกลักษณะเฉพาะ มีขนาดความยาวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร พื้นผิวลำตัวเป็นสีเขียวไพรและมีลายคาดสีส้มตามแนวเฉียงจากปากและหลังลงมายังครีบก้นและหางจำนวนประมาณ18-20 เส้นครีบหลังตอนท้ายและครีบก้นมีก้านครีบอ่อนสีส้ม ครีบหางสีส้มสลับลายเส้นสีน้ำเงินตรงโคนหางก่อนถึงครีบหางมีปานสีดำ พบกระจายพันธุ์อยู่ตามแนวปะการังและกองหินใต้น้ำทางของมหาสมุทรอินเดีย โดยไม่พบในอ่าวไทย พบได้ตั้งแต่ความลึกประมาณ 2-50 เมตร เป็นปลาวัวอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาวัวลายส้ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาวัวสามเขา

ปลาวัวสามเขา (Tripod fish) เป็นสกุลของปลาทะเล ในวงศ์ปลาวัวจมูกสั้น (Triacanthidae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Triacanthus แบ่งออกได้เป็น 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาวัวสามเขา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาวัวจมูกยาว

ปลาวัวจมูกยาว หรือ ปลาวัวจุดส้ม (Long-nose filefish, Orangespotted filefish, Harlequin filefish, Beaked leatherjacket) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oxymonacanthus longirostris อยู่ในวงศ์ปลาวัวจมูกยาว (Monacanthidae) มีรูปร่างเรียวยาวอย่างเห็นได้ชัด มีจะงอยปากยื่นยาวคล้ายหลอดหรือท่อ ครีบหลังแบ่งเป็น 2 ตอน ตอนแรกมีเงี่ยงแข็งซึ่งสามารถตั้งชี้หรือกระดกได้เพื่อใช้ข่มขู่ผู้รุกรานหรือป้องกันตัวจากปลาที่ใหญ่กว่า เมื่อเวลาถูกกินเข้าปากจะถูกเงี่ยงนี้ทิ่มเอา ครีบท้องลดรูปลงไปทำให้เล็กและมีก้านครีบแข็งเช่นเดียวกับครีบหลัง สามารถพับเก็บได้ ครีบท้องยาว ครีบหางกลมเป็นรูปพัด มีจุดกลมสีส้มกระจายอยู่ทั่วบนพื้นลำตัวสีเขียวอมฟ้า โดยที่ส่วนหน้าจะเป็นรอยขีดยาวตามดวงตา ที่ปลายครีบหางจะมีจุดสีดำขนาดใหญ่ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ค่อนข้างกว้าง โดยพบได้ตั้งแต่ชายฝั่งของทวีปแอฟริกาฝั่งตะวันออกและใต้, โมซัมบิก, ทะเลแดง, ซามัว, หมู่เกาะริวกิวในทะเลจีนตะวันออก, นิวแคลิโดเนีย, ตองกา และเกรต แบร์ริเออร์ รีฟ ในน่านน้ำไทยพบได้เฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน เป็นปลาที่มักอยู่เป็นคู่ โดยจะพบมากที่สุดในแนวปะการัง เพราะกินปะการังเขากวาง (Acropora spp.) เป็นหลัก พบได้ในความลึกตั้งแต่ 4-30 เมตร หากินในเวลากลางวัน และนอนหลับในเวลากลางคืนในแนวปะการังหรือกองหิน เป็นปลาที่เป็นที่ชื่นชอบถ่ายรูปของนักดำน้ำเนื่องจากเป็นปลาที่สวยงามและไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าว และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาวัวจมูกยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาวัวจมูกสั้น

ปลาวัวจมูกสั้น (Short-nosed tripodfish; ギマ) ปลาน้ำเค็มชนิดหนึ่งที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อยจนเกือบเป็นน้ำจืดได้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Triacanthus biaculeatus อยู่ในวงศ์ปลาวัวจมูกสั้น (Triacanthidae) มีรูปร่างตัวป้อม ด้านข้างแบน นัยน์ตาใหญ่ จมูกและจะงอยปากสั้นกว่าปลาวัวในวงศ์อื่น ๆ ครีบหลังยาวแยกเป็น 2 ตอน ตอนแรกมีก้านครีบเป็นหนามแข็ง ปลายแหลม ตอนหลังอ่อนนิ่ม ครีบหางใหญ่ปลายเว้ารูปวงเดือน พื้นลำตัวเป็นสีเงิน ปนสีเขียว นิยมอยู่เป็นฝูง บริเวณชายฝั่งทะเลแถบป่าชายเลนหรือชายฝั่ง และปากแม่น้ำ ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลเปอร์เซียจนถึงทะเลแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีขนาดโตเต็มที่ 30 เซนติเมตร กินอาหารจำพวก สัตว์ทะเลขนาดเล็กกว่า ไม่จัดเป็นปลาเศรษฐกิจ แต่นิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม ที่มักมีผู้นำมาขายและปรับสภาพให้อาศัยในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ แต่โดยมากจะไม่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดได้ตลอด โดยจะค่อย ๆ กินอาหารน้อยลง และตายไปในที่สุด หากจะเลี้ยงจึงต้องปรับค่าความเค็มและรักษาค่าพารามิเตอร์ของน้ำให้เหมือนกับน้ำทะเลให้ดี จึงทำให้ปลาอยู่รอดมีชีวิตได้ตามปกต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาวัวจมูกสั้น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาวัวดำ

ปลาวัวดำ (Black trigger, Niger trigger, Redtoothed triggerfish, Redtoothed filefish) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Odonus niger อยู่ในวงศ์ปลาวัว (Balistidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Odonus.

ใหม่!!: สัตว์และปลาวัวดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาวัวตัวตลก

ปลาวัวตัวตลก หรือ ปลาวัวมงกุฎ หรือ ปลาวัวจุด (Clown triggerfish, Bigspotted triggerfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาวัว (Balistidae) มีรูปร่างเป็นรูปไข่รี คอดหางมีหนามเป็นขอสั้น ๆ ด้านหลังมีสีดำเข้ม มีลายประสีเหลือง ปากเหลือง บริเวณใบหน้ามีคาดสีเหลือง ท้องเป็นดวงใหญ่สีขาว มีลายสีเหลืองและจุดสีดำ ครีบหลังและครีบก้นใส มีฐานครีบสีเหลือง ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 35 เซนติเมตร มีพบใหญ่ที่สุด 50 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในเขตอินโด-แปซิฟิกตามแนวปะการัง โดยกินหอยเม่น, ครัสเตเชียน, หอย และสัตว์น้ำหน้าดินต่าง ๆ เป็นอาหาร จัดเป็นปลาวัวอีกชนิดหนึ่งที่มีอุปนิสัยดุร้าวก้าวร้าว โดยเฉพาะตัวผู้ในฤดูฟักไข่ ในน่านน้ำไทยจะพบเฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน จัดเป็นปลาที่พบได้น้อย ด้วยความที่มีสีสันและลวดลายสวยงาม จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ทว่ามีนิสัยดุร้ายมาก จึงต้องเลี้ยงตามลำพัง หรือเลี้ยงรวมกับปลาอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าหรือไล่เลี่ยกัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาวัวตัวตลก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาวัวปิกัสโซ

ปลาวัวปิกัสโซ (Lagoon triggerfish, Blackbar triggerfish, Picasso triggerfish, Jamal, White-banded triggerfish, ฮาวาย: Humuhumu) เป็นปลากระดูกแข็งทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhinecanthus aculeatus อยู่ในวงศ์ปลาวัว (Balistidae) มีรูปร่างกลมรีคล้ายรูปไข่ ปากมีขนาดเล็กแต่มีฟันแหลมคม ส่วนหน้าและจะงอยปากยาว มีลักษณะเฉพาะ คือ ลวดลายบนลำตัวที่จะเป็นแถบสีสดขีดไปมาเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นหรือตั้งใจวาด ทั้งสีเขียวมะกอก, สีดำ, ฟ้า, เหลือง บนพื้นสีขาว แต่แลดูแล้วสวยงาม เหมือนกับภาพวาดของปาโบล ปิกัสโซ จิตรกรชื่อดังระดับโลก อันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีความยาวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 25-30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแถบอินโด-แปซิฟิก ในน่านน้ำไทย พบได้ทางฝั่งทะเลอันดามันทางภาคใต้แต่ก็พบในปริมาณที่น้อยมาก กินอาหารจำพวกสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังชนิดต่าง ๆ เช่น มอลลัสคา, ครัสตาเชียน รวมทั้งปะการังและสาหร่ายด้วย โดยออกหากินในเวลากลางวัน และนอนหลับพักผ่อนตามโขดหินหรือแนวปะการังในเวลากลางคืน นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยสามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นที่มีขนาดและพฤติกรรมใกล้เคียงกันได้เป็นอย่างดี เนื่องจากแม้จะเป็นปลาก้าวร้าว แต่ก็ไม่ถึงกับดุร้ายเกินไปนัก ซึ่งผู้เลี้ยงสามารถฝึกให้กินอาหารจากมือได้ด้วย แต่ก็ต้องระวังเพราะมีฟันที่แหลมคมมาก ซึ่งปลาที่ถูกขายกันในตลาดปลาสวยงามนั้น โดยมากเป็นปลาขนาดเล็ก และนำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซียและทะเลฟิลิปปิน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาวัวปิกัสโซ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาวัวปิกัสโซเรดซี

ปลาวัวปิกัสโซเรดซี (Arabian picasso triggerfish, Picasso triggerfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาวัว (Balistidae) มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับปลาวัวปิกัสโซ (R. aculeatus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ว่าจะไม่มีลวดลายที่ลำตัว จะมีลวดลายที่บริเวณหน้า ดวงตาสีส้ม ข้อหางมีขีดสีดำพาดตรงจำนวน 3 ขีด บนพื้นสีเงิน มีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในทะเลอาหรับและทะเลแดง โดยที่ไม่พบในน่านน้ำไทย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ทว่าในประเทศไทย ถือเป็นปลาหาที่ยาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาวัวปิกัสโซเรดซี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาวัวไททัน

ปลาวัวไททัน หรือ ปลาวัวอำมหิต หรือ ปลาวัวหน้าลาย (Titan triggerfish, Giant triggerfish, Bluefin filefish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาวัว (Balistidae) มีรูปร่างที่บึกบึนกว่าปลาวัวชนิดอื่น ปากมีขนาดใหญ่มีเขี้ยวสั้นคมอยู่ภายใน ครีบหางปลายตัดมน ข้างแก้มมีสีน้ำตาลส้ม มีปื้นสีคล้ำคาดบริเวณหน้า ปากมีคาดสีดำสลับขาว ด้านหลังสีน้ำตาลอ่อน ข้างลำตัวมีสีคล้ำลายสีน้ำตาลเข้ม ครีบสีส้มมีขอบสีคล้ำ ครีบหางสีส้มขอบสีดำ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 40 เซนติเมตร พบยาวที่สุดได้ถึง 75 เซนติเมตร นับเป็นปลาวัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่ง และเป็นปลาวัวที่มีอุปนิสัยดุร้ายก้าวร้าวมาก โดยเฉพาะตัวผู้ในฤดูกาลดูแลฟักไข่ จะพุ่งเข้ามาทำร้ายด้วยการกัดสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวเข้ามาใกล้รังหรือถิ่นที่อยู่อาศัย ไม่เว้นแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ใหญ่กว่า คือ มนุษย์ จนเป็นที่เลื่องลือและรู้จักกันดีในหมู่นักประดาน้ำ เป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแนวปะการังในมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่น ของอินโด-แปซิฟิก ในน่านน้ำไทยเป็นปลาที่พบได้บ่อยและพบได้ทั้ง 2 ฝั่ง คือ ฝั่งอันดามัน และอ่าวไทย กินหอยเม่น และสัตว์น้ำหน้าดินเป็นอาหาร เป็นปลาที่ใช้บริโภคได้ แต่บางตัวอาจจะมีสารพิษซิวกัวเทร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาวัวไททัน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาวาฮู

ปลาวาฮู หรือ ปลาอินทรีน้ำลึก (Wahoo) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Acanthocybium solandri อยู่ในวงศ์ปลาอินทรี (Scombridae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาในสกุลปลาอินทรี (Scomberomorus spp.) อย่างมาก โดยมีความแตกต่างกันคือ ครีบหลังของปลาวาฮูในตอนแรกจะมีความสูงกว่า และมีที่ว่างของครีบหลังตอนแรกและตอนหลังมากกว่าปลาในสกุลปลาอินทรี ครีบหางมีลักษณะเว้าที่ตื้นกว่า มีส่วนของจะงอยปากแลดูแหลมคมกว่า และรูปร่างที่เพรียวบางกว่า จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Acanthocybium มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 2.5 เมตร และมีน้ำหนักถึง 83 กิโลกรัม เป็นปลาที่อาศัยอยู่เป็นฝูงในเขตน้ำลึกได้ถึง 80 เมตร ในทะเลเปิดเขตอบอุ่นและกึ่งอบอุ่นทั่วโลก โดยในฮาวายจะเรียกว่า "Ono" ขณะที่แถบทะเลแคริบเบียนและอเมริกากลางจะเรียกว่า "Peto" ว่ายน้ำได้รวดเร็วมาก เป็นปลาที่นิยมตกเป็นเกมกีฬา ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาวาฮู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาวาเรียตัส

ปลาวาเรียตัส (Variable platyfish, Variegated platy) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliidae) อันดับปลาออกลูกเป็นตัว (Cyprinodontiformes) มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาพลาตี้ (X. maculatus) แต่มีความแตกต่างกันที่รูปร่าง, ลำตัว และครีบหลังโดย ปลาวาเรียตัสมีลำตัวกว้างน้อยกว่า และครีบหลังสูงกว่า และลักษณะลำตัวมีลักษณะกึ่งกลางระหว่างปลาพลาตี้ กับปลาสอดหางดาบ (X. helleri) คือ มีขนาดยาวกว่าปลาพลาตี้ แต่มีความยาวไม่เท่าปลาพลาตี้ ลักษณะสีดั้งเดิมในธรรมชาติคล้ายกับปลาพลาตี้ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในประเทศเม็กซิโกตอนใต้ และตะวันออก มักอาศัยอยู่แหล่งน้ำนิ่งขนาดเล็ก เช่น หนอง, บึง เป็นต้น อุหณภูมิประมาณ 20-24 องศาเซลเซียส กินสัตว์น้ำขนาดเล็ก และตัวอ่อนของแมลง เป็นอาหาร ปลาวาเรียตัส ก็เช่นเดียวกับปลาพลาตี้หรือปลาสกุลอื่นในวงศ์เดียวกัน ที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และมีการเพาะขยายพันธุ์จนได้สีและลวดลายหรือครีบต่าง ๆ หลากหลายสวยกว่าปลาดั้งเดิมในธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาวาเรียตัส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาวีคส์ไบเคอร์

ปลาวีคส์ไบเคอร์ หรือ ปลาวีคส์บิเชียร์ (Mottled bichir, Weeks' bichir, Fat-headed bichir) เป็นปลาไบเคอร์ชนิด Polypterus weeksii มีลักษณะคล้ายกับปลาไบเคอร์ไทเกอร์ (P. endlicherii endlicherii) และปลาไบเคอร์ยักษ์ (P. e. congicus) แต่ทว่ามีขากรรไกรบนที่ยื่นยาวกว่าขากรรไกรล่าง และมีลวดลายที่ต่างกัน มีครีบหลัง 9-11 ครีบ หัวมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาปลาไบเคอร์ทั้งหมด มีขนาดยาวเต็มที่ประมาณ 54 เซนติเมตร กระจายพันธุ์อยู่ในลุ่มแม่น้ำคองโก ในตอนกลางของทวีปแอฟริกา นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาวีคส์ไบเคอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสร้อย (สกุล)

ปลาสร้อย (Henicorhynchus) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างโดยรวม คือ ลำตัวเพรียวยาวแบนข้าง หัวโตและปากกลมมน จะงอยปากล่างยื่นออกมาคลุมริมฝีปากบน แต่ไม่ปิดด้านข้างทำให้เห็นมุมปาก ริมปากบนและล่างติดต่อถึงกัน ริมฝีปากล่างยาวและติดกับขากรรไกร ในปากล่างมีปุ่มกระดูก มีหนวดสั้นมากหนึ่งคู่ที่มุมปากซึ่งซ่อนอยู่ในร่อง จะงอยปากมีรูเล็กกระจายอยู่ทั่วไป ตามีขอบเยื่อไขมัน ซี่กรองเหงือกยาวเรียวและมีจำนวนมาก ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยวที่ไม่เป็นหนามแข็ง มีครบแขนง 8 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแขนง 5 ก้าน บางชนิดมีจุดสีดำที่บริเวณโคนหางเห็นชัดเจน มีความยาวเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร แต่มีขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไป 8–10 เซนติเมตร มักอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ทั่วไป ในประเทศไทยและกัมพูชา รวมถึงลาว ในช่วงฤดูน้ำหลากมีการย้ายถิ่นขึ้นบริเวณต้นน้ำเพื่อวางไข่และหากิน รวมถึงในนาข้าว เป็นปลาที่ถูกจับได้ทีละมาก มักนิยมนำไปปรุงเป็นอาหารชนิดต่าง ๆ รวมทั้งหมักทำน้ำปลาด้วย พบทั้งหมด 4 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดนั้นมีความแตกต่างกันเล็กน้อย และมักอยู่ปะปนรวมกัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสร้อย (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสร้อยลูกกล้วย

ปลาสร้อยลูกกล้วย หรือ ปลามะลิเลื้อยสำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสร้อยลูกกล้วย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสร้อยขาว

ปลาสร้อยขาว (Siamese mud carp) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Henicorhynchus siamensis อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะลำตัวเพรียวยาว หัวโตและกลมมน ปากเล็กอยู่เกือบจะสุดจะงอยปาก กึ่งกลางของริมฝีปากมีปุ่มกระดูกยื่นออกมา ไม่มีหนวด เกล็ดมีขนาดใหญ่ ลำตัวสีเงินอมเทา เหนือครีบอกมีจุดสีคล้ำ ครีบหลังเล็ก ครีบหางเว้าลึกและมีจุดประสีคล้ำ โคนครีบหางมีจุดสีจาง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 15 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 20 เซนติเมตร ปลาสร้อยขาวมีพฤติกรรมอยู่รวมเป็นฝูงใหญ่ และในฤดูฝนจะมีการอพยพย้ายถิ่นขึ้นสู่ต้นน้ำหรือบริเวณที่น้ำหลากเพื่อวางไข่และหากิน พบในแหล่งน้ำหลาก หนองบึง และแม่น้ำขนาดใหญ่ในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคอีสานของไทย เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างยิ่งของภาคอีสาน โดยนิยมนำมาทำปลาร้า และทำน้ำปลา เป็นที่มาของน้ำปลารสชาติดี คือ "น้ำปลาปลาสร้อย" มีชื่อเรียกอื่นในภาษาท้องถิ่นต่าง ๆ เช่น "ปลาส้อยหัวกลม" ในภาษาอีสาน, หรือ "ปลากระบอก" ในภาษาเหนือ นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสร้อยขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสร้อยนกเขา

ปลาสร้อยนกเขา (hard-lipped barb, lipped barb, nilem carp, orange shark) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวค่อนข้างแบน ปากเล็ก มีหนวด 2 คู่คือที่บริเวณ ขากรรไกรบน และใต้คางอย่างละ 1 คู่ บริเวณท้องมีสีเขียวสด ด้านล่างสีขาวนวล ใต้ท้องสีขาว มีจุดสีดำบนเกล็ดติดต่อกันจนดูเป็นลายสีดำ 6-8 ลายด้านข้างลำตัว ครีบท้อง ครีบก้น และครีบท้องเป็นสีแดง ครีบอกมีลายเป็นสีเขียวอ่อน ที่โคนครีบหางมีจุดสีดำขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน จัดเป็นปลาที่มีความสวยงามชนิดหนึ่ง มีความยาวเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมตัวกันเป็นฝูงในแหล่งน้ำทุกภาคของประเทศไทยและยังพบได้ในหลายประเทศในภูมิภาคอินโดจีนอีกด้วย และพบไปจนถึงแหลมมลายูและเกาะต่าง ๆ ในประเทศอินโดนีเซีย กินอาหารจำพวกสาหร่ายและตะไคร่น้ำใต้พื้นน้ำ จัดเป็นปลาที่หาได้ง่าย และนิยมจับมาบริโภคกัน โดยมักจะจับได้ทีละครั้งละมาก ๆ นอกจากนี้แล้วยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีก โดยยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ขี้ขม", "ซ่า", "นกเขา" หรือ "ขาวอีไท" ในภาษาเหนือ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสร้อยนกเขา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสร้อยนกเขาลายขวาง

ปลาสร้อยนกเขาลายขวาง หรือ ปลาตะเภาม้าลาย หรือ ปลาแตงโม (Oriental sweetlips, Indian Ocean oriental sweetlips) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะพงแสม (Haemulidae) มีส่วนหัวลาดโค้งเหมือนมีดอีโต้ ริมฝีปากหนาและอยู่ต่ำ ครีบอกและครีบหางมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับขนาดลำตัว ครีบหางมีขนาดใหญ่และเป็นแบบเว้าตื้น ครีบต่าง ๆ เป็นสีเหลือง มีความยาวประมาณ 40 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุดได้ถึง 86 เซนติเมตร ปลาสร้อยนกเขาลายขวาง มีจุดเด่น คือ มีลายเส้นสีดำพาดขวางลำตัวบนพื้นสีขาว ซึ่งเป็นจุดเด่น พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก ในแนวปะการัง อาศัยอยู่เป็นฝูง หากินโดย กินสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ ตามหน้าดินเป็นอาหาร นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสร้อยนกเขาลายขวาง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสร้อยนกเขาจุดทอง

ปลาสร้อยนกเขาจุดทอง (Painted sweetlips) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะพงแสม (Haemulidae) มีลำตัวค่อนข้างยาว ด้านบนแบนข้าง สันหลังโค้งนูน ท้องแบนเรียบ ปากเล็กมีริมปากหนา มีฟันขนาดเล็กบนขากรรไกรทั้งสองข้าง ใต้คางมีรูพรุน 6 รู เกล็ดมีขนาดเล็กปกคลุมตลอดลำตัวและหัว สีลำตัวจะเปลี่ยนแปลงไปตามขนาดอายุของปลา คือ ปลาขนาดเล็กจะมีสัสันสวยงาม โดยลำตัวเป็นสีขาว ส่วนหัวด้านบนสีเหลือง และมีแถบสีน้ำตาลปนดำ 5 แถบพาดไปตามความยาวลำตัว เมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นแถบสีจะจางหายไป และมีจุดสีน้ำตาลปนดำปรากฏขึ้นมาแทน และจุดสีจะจางหายไปเมื่อปลาอายุมากขึ้น กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปตามหน้าดินหรือแนวปะการัง พบทั่วไปบริเวณชายฝั่งทะเลทั้งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน โดยหากินปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ ตามบริเวณที่อยู่อาศัยเป็นอาหาร มีความยาวประมาณ 35-45 เซนติเมตร แต่เคยพบว่าบางตัวมีความยาวถึง 60 เซนติเมตร เป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยนิยมบริโภค ตกเป็นเกมกีฬา และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในลูกปลาขนาดเล็กที่ยังมีลายแถบ ปลาสร้อยนกเขาจุดทอง เพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ได้สำเร็จในที่เลี้ยงเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2555 โดย สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งสงขลา โดยรวบรวมพ่อแม่ปลา 4-5 ตัวจากธรรมชาติ หลังจากที่เลี้ยงมาประมาณ 1 ปี ปลาก็วางไข่โดยธรรมชาติ ประมาณ 10,000-20,000 ฟอง จากนั้นได้รวบรวมไข่ขึ้นมาฟักและอนุบาลได้จำนวน 3,000 ตัว เมื่อลูกปลาอายุ 40 วัน มีขนาดความยาวประมาณ 4 เซนติเมตร เหลือจำนวน 400 ตัว ให้อาหารเป็นโรติเฟอร์และไรทะเล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสร้อยนกเขาจุดทอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสร้อยนกเขาทะเล

ปลาสร้อยนกเขาทะเล หรือ ปลาสร้อยนกเขา เป็นสกุลของปลาทะเลสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลากะพงแสม (Haemulidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Plectorhinchus มีลำตัวป้อม แบนด้านข้าง สันหัวโค้งลาดลง รอบปากมีเนื้อนุ่ม ๆ ใต้คางมีรู 1-3 คู่ เกล็ดมีขนาดเล็กและเป็นแบบสาก พื้นลำตัวและอกมักมีสีฉูดฉาด ในปลาขนาดเล็กมักมีลายสีทึบพาดตามยาวหลายเส้นและมักแตกเป็นจุดเมื่อปลามีขนาดใหญ่ขึ้น ขอบแผ่นปิดเหงือกและในโพรงปากมักมีสีแดงส้ม ส่วนใหญ่พบ อาศัยอยู่ตามแนวปะการังใกล้ชายฝั่ง ในแถบอินโด-แปซิฟิก มีขนาดลำตัวตั้งแต่ 30-80 เซนติเมตร ปลาสร้อยนกเขาลายขวางเมื่อเป็นปลาวัยโต เมื่อยังเป็นปลาขนาดเล็กจะมีพฤติกรรมการว่ายน้ำที่ไม่เหมือนปลาขนาดใหญ่ จะว่ายดีดดิ้น พริ้วไปมา เหมือนหนอนตัวแบน เชื่อว่าเป็นการเลียนแบบเพื่อเอาตัวรอดจากสัตว์นักล่าขนาดใหญ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสร้อยนกเขาทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสร้อยนกเขาน้ำจืด

ปลาสร้อยนกเขาน้ำจืด หรือ ปลาสร้อยนกเขา เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) โดยใช้ชื่อสกุลว่า Osteochilus (/อ็อสแตโอคิลุส/).

ใหม่!!: สัตว์และปลาสร้อยนกเขาน้ำจืด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสร้อยนกเขาไฟ

ปลาสร้อยนกเขาไฟ หรือ ปลาสร้อยนกเขาแดง หรือ ปลาสร้อยนกเขาสีเพลิง (Two-striped sweetlips, Giant sweetlips, Indian grun) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง จำพวกปลาสร้อยนกเขา ในวงศ์ปลากะพงแสม (Haemulidae) เมื่อยังเป็นปลาวัยอ่อน มีความสวยงามและมีลวดลายสีสันเหมือนกับปลาสร้อยนกเขาชนิดอื่น ๆ ด้วยมีแถบสีเหลืองตัดกับสีดำชัดเจน เมื่อโตเต็มที่แล้วจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำผึ้งและค่อย ๆ ซีดจางลงกลายเป็นสีเทาเสมอกันทั้งตัว ขอบครีบท้ายกลายเป็นสีดำสนิท มีความยาวได้ถึง 100 เซนติเมตร (39 นิ้ว) นับเป็นปลาสร้อยนกเขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ในน่านน้ำไทยพบทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน แถบชายฝั่ง, แนวปะการัง รวมถึงแหล่งน้ำกร่อย เช่น ปากแม่น้ำหรือชะวากทะเล มีเลี้ยงเป็นปลาสวยงามรวมถึงจัดแสดงตามสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำต่าง ๆ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเนื่องจากเป็นปลาขนาดใหญ่คล้ายปลาเศรษฐกิจมากกว่า และสีสันไม่สวย ทั้งที่เป็นปลาที่มีอุปนิสัยกินง่าย แต่มีนิสัยก้าวร้าว หวงถิ่น จนถึงขนาดไล่กัดปลาตัวอื่นร่วมตู้ถึงกับตายได้ ด้วยในธรรมชาติเป็นปลาที่ออกหากินตามลำพังหรือเป็นคู่ก็มีพบไม่มาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสร้อยนกเขาไฟ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสร้อยน้ำผึ้ง

ปลาสร้อยน้ำผึ้ง (Chinese algae eater, Honey sucker, Sucking loach) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ในวงศ์ปลาสร้อยน้ำผึ้ง (Gyrinocheilidae) มีรูปร่างเรียวทรงกระบอก แบนข้างเล็กน้อย ส่วนหัวค่อนข้างใหญ่ ตาเล็ก ปากอยู่ด้านล่างของจะงอยปาก มีสีพื้นลำตัวสีน้ำตาลเขียวมีลายแถบสีคล้ำพาดยาวตามลำตัวและมีจุดสีดำกระจายอยู่ทั่ว ตัวผู้เมื่อเจริญวัยขึ้นจะมีปุ่มคล้ายเม็ดสิวขึ้นตามหน้าและริมฝีปากบน มีลักษณะสำคัญ คือมีช่องเล็ก ๆ อยู่ด้านบนสุดของช่องเหงือก ริมฝีปาก มีลักษณะเป็นแผ่นดูดรูปกลมใช้ดูดกินตะไคร่น้ำตามพื้นหิน และ ทราย แล้วหายใจโดยใช้น้ำผ่านเข้าช่องเปิดด้านบนฝาปิดเหงือก แล้วออกมาทางด้านข้าง แทนที่จะใช้ปากสูบน้ำเข้าอย่างปลาทั่ว ๆ ไป หากินอยู่ตามท้องน้ำ พบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำต่าง ๆ ทั้งแหล่งน้ำหลากและที่ราบลุ่ม ขนาดความยาวเต็มที่ 30 เซนติเมตร กินอาหารจำพวกตะไคร่น้ำ, ซากพืช, ซากสัตว์ และสัตว์น้ำขนาดเล็กทั่วไป พบตั้งแต่ภาคใต้ของประเทศจีน ในประเทศไทยพบได้ทุกภาคและพบไปจนถึงมาเลเซีย ปลาสร้อยน้ำผึ้ง ในอดีตขึ้นชื่อมากในแง่ของการนำไปทำเป็นน้ำปลาที่มีรสชาติดี เป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดราชบุรีในชื่อ "น้ำปลาปลาสร้อยน้ำผึ้ง" และใช้เนื้อบริโภคอีกด้วย นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้ เพื่อใช้ทำความสะอาดตู้ด้วยการกินเศษอาหารหรือตะไคร่น้ำ ปัจจุบัน นิยมเพาะพันธุ์เป็นปลาเผือกหรือปลาที่มีร่างกายสั้นกว่าปกติอีกด้วย รวมถึงยังนำไปในกิจการฟิชสปาหรือสปาปลาแทนที่ปลาเลียหินได้อีกด้วย ชื่ออื่น ๆ เรียกว่า "ปลาน้ำผึ้ง" หรือ "ปลาผึ้ง" หรือ "ปลาลูกผึ้ง" หรือ "ปลามูด", "ปลาอีดูด", "ปลายาลู่" หรือ "ปลาปากใต้".

ใหม่!!: สัตว์และปลาสร้อยน้ำผึ้ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสร้อยน้ำเงิน

ปลาสร้อยน้ำเงิน หรือ ปลาสร้อยปีกแดง ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cirrhinus caudimaculatus อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างที่เพรียวยาว ท้องป่องออก เหนือครีบหลังหลังช่องปิดเหงือกมีแถบสีน้ำเงิน ครีบหลังค่อนข้างใหญ่ โคนครีบหางมีแต้มสีคล้ำ ครีบหางสีส้มเว้าเป็นแฉกและมีขอบสีเข้ม มีขนาดประมาณ 25–30 เซนติเมตร มีพฤติกรรมการหากินเช่นเดียวกับปลาในสกุลเดียวกัน หรือปลาในสกุล Henicorhynchus ซึ่งเป็นชื่อพ้องของกันและกัน พบในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณภาคกลางของประเทศไทย และในลุ่มแม่น้ำโขง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสร้อยน้ำเงิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสละ

ปลาสละราชบัณฑิตยสถาน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสละ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสลาด

ปลาสลาด หรือ ปลาฉลาด เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Notopterus notopterus อยู่ในวงศ์ปลากราย (Notopteridae) มีปากกว้างไม่เกินลูกตาเหมือนปลาในวงศ์นี้ชนิดอื่น ๆ พื้นลำตัวมีสีเรียบ ยกเว้นปลาวัยอ่อนจะมีลายบั้งเหมือนปลากราย (Chitala ornata) วัยอ่อน จมูกมีสองคู่ คู่หน้ายื่นออกมาคล้ายหลอดหรือหนวด มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20-30 เซนติเมตร จัดเป็นปลาที่เล็กที่สุดชนิดหนึ่งของวงศ์นี้ และเป็นเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Notopterus พบในแม่น้ำและแหล่งน้ำนิ่งทั่วประเทศไทย ในต่างประเทศพบได้ที่ภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียอาคเนย์ไปจนถึงเกาะสุมาตราและชวาหรือบอร์เนียว เป็นปลาที่หาง่าย มักอยู่รวมเป็นฝูงใหญ่ อาหารได้แก่ ลูกกุ้ง ลูกปลา สัตว์น้ำขนาดเล็ก เป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง และนิยมนำเนื้อไปทำทอดมันแทนเนื้อปลากรายซึ่งมีราคาแพงกว่าได้ นอกจากนี้ยังแปรรูปเป็นอาหารอื่น ๆ ได้อีก เช่น ลูกชิ้นสับนก หรือรมควัน เป็นต้น และยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีก โดยเฉพาะปลาที่กลายสีเป็นสีเผือก ปลาสลาด ยังมีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก เช่น "ปลาตอง" หรือ "ปลาตองนา".

ใหม่!!: สัตว์และปลาสลาด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสลิด

ำหรับปลาใบไม้ชนิดอื่น ดูที่: ปลาใบไม้ ปลาสลิด เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trichogaster pectoralis ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างคล้ายปลากระดี่หม้อ (T. trichopterus) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน แต่มีลำตัวที่หนาและยาวกว่า หัวโต ครีบหลังในตัวผู้มีส่วนปลายยื่นยาวเช่นเดียวกับครีบก้น ครีบอกใหญ่ ตาโต ปากเล็กอยู่สุดปลายจะงอยปาก ครีบหางเว้าตื้นปลายมน ตัวมีสีเขียวมะกอกหรือสีน้ำตาลคล้ำ มีแถบยาวตามลำตัวตั้งแต่ข้างแก้มจนถึงกลางลำตัวสีดำ และมีแถบเฉียงสีคล้ำตลอดแนวลำตัวด้านข้างและหัว ครีบมีสีคล้ำ ขนาดโดยเฉลี่ย 10-16 เซนติเมตร พบขนาดใหญ่สุดถึง 25 เซนติเมตร นับเป็นปลาในสกุล Trichopodus ที่ใหญ่ที่สุด มีถิ่นอาศัยในแหล่งน้ำนิ่งที่มีพืชน้ำและหญ้ารกริมตลิ่งของภาคกลาง, ภาคอีสาน และภาคใต้ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังพบในประเทศรอบข้าง พฤติกรรมในการสืบพันธุ์เริ่มขึ้นในระหว่างเดือนเมษายน-สิงหาคม โดยจะวางไข่โดยการก่อหวอดตามผิวน้ำติดกับพืชน้ำหรือวัสดุต่าง ๆ มักวางไข่ในช่วงกลางวันที่มีแดดรำไร หลังวางไข่เสร็จแล้วตัวพ่อปลาจะเป็นผู้ดูแลไข่จนฟักเป็นตัว ตัวเมียวางไข่ครั้งละ 4,000-10,000 ฟอง ในการเลี้ยงทางเศรษฐกิจนิยมให้เป็นการผสมพันธุ์หมู่ ปลาสลิดนับเป็นปลาน้ำจืดเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของไทย นิยมแปรรูปเป็นปลาแห้งหรีอปลาเค็มที่รู้จักกันดี โดยเกษตรกรจะเลี้ยงในบ่อดิน โดยฟันหญ้าให้เป็นปุ๋ยและเกิดแพลงก์ตอนเพื่อเป็นอาหารปลา โดยพื้นที่เลี้ยงปลาสลิดที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ อำเภอบางบ่อและอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ที่เรียกว่า "ปลาสลิดบางบ่อ" นอกจากนี้ยังมีอีกแหล่งหนึ่งที่เคยมีชื่อในอดีต คือที่ ตำบลดอนกำยาน อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี แต่ปัจจุบันพื้นที่เลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร มีชื่อเรียกในภาษามลายูว่า "Sepat siam" ภาษาอังกฤษเรียกว่า "ปลากระดี่หนังงู" (Snakeskin gourami) และมีชื่อเรียกในราชาศัพท์อีกว่า "ปลาใบไม้" ทั้งนี้เนื่องจากคำว่า "สลิด" เพี้ยนมาจากคำว่า "จริต" พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงได้ทรงแนะนำให้เรียกปลาสลิดในหมู่ราชบริพารว่า ปลาใบไม้ เพราะทรงเห็นว่ามีรูปร่างเหมือนใบไม้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสลิด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสลิดหินฟ้าหางส้ม

ปลาสลิดหินฟ้าหางส้ม หรือ ปลาแดมเซลฟ้าหางส้ม (Blue devil damsel, Cornflower sargeantmajor, Sapphire devil) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae) มีรูปร่างและลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาในวงศ์เดียวกันชนิดอื่น ๆ ต่างกัน คือ ลักษณะแตกต่างทางเพศของปลาทั้ง 2 เพศ คือ ปลาตัวผู้จะมีการพัฒนาสีส้มขึ้นตามครีบต่าง ๆ เช่น ครีบหาง, ครีบท้อง ส่วนปลาตัวเมียจะไม่มีพัฒนาการดังกล่าว แต่ในบางแหล่งอาศัย ปลาตัวเมียจะมีจุดสีดำขึ้นบริเวณด้านหลังของครีบหาง เป็นปลาที่มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 8.5 เซนติเมตร มีพฤติกรรมในธรรมชาติ คืออยู่แบบฮาเร็ม โดยมีตัวผู้หนึ่งตัวอาศัยอยู่รวมกับตัวเมียหลายตัว พบทั่วไปในเขตอินโด-แปซิฟิก จัดเป็นปลาที่มีความสวยงามชนิดหนึ่ง นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว แต่ปลาในตลาดปลาสวยงามส่วนใหญ่ ยังถูกนำเข้ามาจากทะเลฟิลิปปินและอินโดนีเซี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสลิดหินฟ้าหางส้ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสลิดหินฟ้าหางเหลือง

ปลาสลิดหินฟ้าหางเหลือง หรือ ปลาแดมเซลฟ้าหางเหลือง (Yellow-tail damsel, Smith's damsel) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาสลิดหินหางเหลืองนอก (Chrysiptera parasema) ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกัน คือ มีลำตัวและครีบทุกครีบสีน้ำเงินเข้ม ยกเว้นครีบหางและโคนครีบหางที่เป็นสีเหลือง และมีรูปร่างที่ยาวกว่า มีขนาดลำตัวโตเต็มที่ประมาณ 7 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลอันดามัน และพบได้จนถึงทะเลฟิลิปปิน และทะเลอินโดนีเซีย เป็นปลาที่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุได้แล้ว แต่ปลาส่วนใหญ่ที่มีการซื้อขายกันในตลาดปลาสวยงามในประเทศไทยนั้นจะเป็นปลาที่จับมาจากแหล่งธรรมชาติในอินโดนีเซีย โดยมีชื่อเรียกในวงการว่า "ปลาแดมเซลหางเหลืองไทย".

ใหม่!!: สัตว์และปลาสลิดหินฟ้าหางเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสลิดหินมะนาว

ปลาสลิดหินมะนาว (Lemon damsel) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae) มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปลาในวงศ์นี้ทั่วไป มีสีลำตัวเป็นสีเหลืองสดตลอดทั้งลำตัวเหมือนสีของมะนาวหรือเลมอน มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 9 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในทะเลอันดามันจนถึงทะเลญี่ปุ่น บริเวณหมู่เกาะริวกิว และตองกา นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักเพราะมีอุปนิสัยดุร้าย ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วเหมือนปลาในวงศ์เดียวกันชนิดอื่นอีกหลายชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสลิดหินมะนาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสลิดหินม้าลาย

ปลาสลิดหินม้าลาย หรือ ปลาสลิดหินอานม้า (หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ปลาม้าลาย หรือ ปลาอานม้า; Whitetail dascyllus, Hambug dascyllus, Three stripe damsel, Threebar dascyllus) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dascyllus aruanus อยู่ในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาสลิดหินม้าลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสลิดหินสามจุด

ปลาสลิดหินสามจุด หรือ ปลาโดมิโน (Threespot dascyllus, Three-spot damselfish, Domono damselfish) ปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae) เป็นปลาที่มีครีบคู่สามารถแผ่ครีบได้เหมือนพัด ลำตัวค่อนข้างกลม แบนข้างมาก หัวสั้นทู่ สีของลำตัวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือเทาเข้ม มีจุดกลมสีขาว 3 จุด ที่บริเวณของด้านข้างลำตัวข้างละจุด และที่ด้านบนของตาอีกจุด ซึ่งจุดสีขาวนี้เมื่อยังเล็กอยู่จะเห็นชัดเจน เมื่อปลาโตขึ้นจะค่อย ๆ เลือนหายไป มีขนาดโตเต็มที่ได้ 33 เซนติเมตร สามารถพบได้ลึกถึง 55 เมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปตามชายฝั่งอินโด-แปซิฟิก จนถึงออสเตรเลีย ปกติจะอยู่รวมกันเป็นฝูงในแนวปะการัง ปลาวัยเล็กจะอยู่รวมกันในดอกไม้ทะเล แต่ไม่สามารถสัมผัสกับหนามพิษของดอกไม้ทะเลได้เหมือนกับปลาการ์ตูน กินโคพีพอด, สาหร่าย, แพลงก์ตอน และครัสเตเชียน เป็นอาหาร นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม Siliotti, A. (2002) fishes of the red sea Verona, Geodia ISBN 88-87177-42-2.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสลิดหินสามจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสลิดหินหางเหลืองนอก

ปลาสลิดหินหางเหลืองนอก หรือ ปลาแดมเซลหางเหลืองนอก (Yellowtail damsel, Goldtail demoiselle) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae) มีขนาดโตเต็มที่ได้ 7 เซนติเมตร มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลาสลิดหินหางเหลือง (Pomacentrus smithi) ที่อยู่ในวงศ์เดียวกัน แต่ว่าปลาสลิดหินหางเหลืองนอกมีรูปร่างที่ป้อมสั้นกว่า และมีสีสันที่สวยสดกว่า โดยเฉพาะเมื่อกระทบถูกแสงไฟ ไม่พบในน่านน้ำไทย แต่พบในหมู่เกาะโซโลมอน, หมู่เกาะริวกิวในทะเลญี่ปุ่น, ทะเลฟิลิปปิน จนถึงเกรตแบร์ริเออร์รีฟในออสเตรเลีย เป็นปลาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแง่ของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เพราะมีความสวย ประกอบกับการเลี้ยงง่าย นิสัยไม่ก้าวร้าว อีกทั้งยังสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว แต่ส่วนใหญ่ปลาที่มีขยายกันในตลาดค้าปลาสวยงามในประเทศไทย จะถูกนำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสลิดหินหางเหลืองนอก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสลิดหินจุดแดง

ปลาสลิดหินจุดแดง หรือ ปลาใบขนุนจุดเหลือง (Golden spinefoot, Orange-spotted spinefoot) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสลิดทะเล (Siganidae) มีรูปร่างแบนเป็นรูปไข่ ช่องปากมีขนาดเล็กอยู่ปลายสุดของจะงอยปาก ครีบหลังและครีบก้นมีก้านครีบแข็งหลายชิ้น ครีบท้องมีก้านครีบแข็งทั้งด้านหน้าและด้านหลังรวมสองชิ้น ผิวเรียบ ครีบหางมีปลายตัดตรง ลำตัวมีสีเทา มีจุดประสีเหลืองหรือสีส้มแดงกระจายอยู่ทั่วตัว รวมทั้งที่เป็นลายที่หน้าฐานครีบหลังส่วนปลายมีแต้มสีเหลือง มีความยาวเต็มที่ประมาณ 35 เซนติเมตร แต่มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 15-20 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในแถบอินโด-แปซิฟิก บริเวณชายฝั่ง มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมเป็นฝูงขนาดเล็ก ๆ ใกล้กองหินและแนวปะการัง หากินสาหร่ายและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร จัดเป็นปลาที่พบได้ชุกชุม ปัจจุบัน สามารถที่จะเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วด้วยวิธีการผสมเทียม นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และสามารถรับประทานเนื้อได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสลิดหินจุดแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสลิดหินท้องเหลือง

ปลาสลิดหินท้องเหลือง หรือ ปลาแดมเซลท้องเหลือง (Goldbelly damsel) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae) มีสีสันของเกล็ดที่สะท้อนกับแสงแวววาว โดยที่ลำตัวเป็นสีน้ำเงินเข้ม ด้านล่างของลำตัวจนถึงครีบหางเป็นสีเหลือง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5.5 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์บริเวณทะเลอินโดนีเซียจนถึงไมโครนีเซีย แต่ไม่พบในน่านน้ำไทย เป็นปลาที่มีความสวยงามชนิดหนึ่ง นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เป็นปลาทะเลชนิดที่หาง่าย และเลี้ยงง่าย เนื่องจากไม่ดุร้ายก้าวร้าว และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานที่เลี้ยงได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว แต่ปลาที่มีการซื้อขายกันในตลาดค้าปลาสวยงามเป็นปลาที่ถูกจับจากอินโดนีเซี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสลิดหินท้องเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสลิดหินนีออน

ปลาสลิดหินนีออน หรือ ปลานีออนแดมเซล (Neon velvet damsel, Bluebanded damsel, Bluestreak damsel, Japanese damsel) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae) เป็นปลาขนาดเล็ก มีความยาวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 15 เซนติเมตร เมื่อยังเป็นปลาขนาดเล็กลำตัวจะมีสีดำ และมีลวดลายสีน้ำเงินสะท้อนแสงคล้ายสายฟ้าพาดบนลำตัว แต่เมื่อโตขึ้นแล้วลายและสีสันดังกล่าวจะค่อย ๆ เลือนหายไป ปกติไม่พบในน่านน้ำไทย แต่พบในทะเลฟิลิปปิน, อินโดนีเซีย และทะเลติมอร์ เป็นปลาที่มีความสวยงามมากชนดหนึ่ง ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ ในตลาดปลาสวยงาม จัดว่าเป็นปลาในวงศ์ปลาสลิดหินอีกชนิดหนึ่งที่มีการนำเข้ามาขายในประเทศไทยสูงเป็นอันดับต้น ๆ แต่ทว่าปลาสลิดหินนีออนนั้นเมื่อโตขึ้นจะเป็นปลาที่มีความก้าวร้าวขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความหวงถิ่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสลิดหินนีออน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสลิดหินแขก

ปลาสลิดหินแขก หรือ ปลาใบขนุนลายแถบ (Java rabbitfish, Bluespotted spinefish, Streaked spinefoot) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสลิดทะเล (Siganidae) มีรูปร่างแบนข้างเป็นรูปไข่ ช่องปากมีขนาดเล็กอยู่ปลายสุดของจะงอยปาก ครีบหลังและครีบก้นมีก้านครีบแข็งหลายชิ้น ครีบท้องมีก้านครีบแข็งรวมด้านหน้าและด้านหลังเป็นสองชิ้น ผิวเรียบ ครีบหางแบบเว้าตื้น ด้านหลังมีสีกากีอมเหลือง ด้านข้างลำตัวและด้านท้องมีสีเหลือง มีลายเส้นสีจางตามทางยาวหลายเส้นตลอดทั้งลำตัว หัวและด้านหน้าเป็นลายจุด ครีบมีสีคล้ำ หรือมีสีเหลือสดที่ครีบก้น ครีบหางมีคล้ำ ไม่มีลาย มีความยาวเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร โดยเฉลี่ยประมาณ 15-20 เซนติเมตร เป็นปลาที่มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงและอาศัยหากินสาหร่ายและสัตว์น้ำขนาดเล็ก ๆ ตามกองหินและแนวปะการัง พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในเขตน่านน้ำอินโด-แปซิฟิก อ่าวไทยและทะเลอันดามัน เป็นปลาที่มีพิษที่ก้านครีบแข็ง แต่สามารถใช้เนื้อในการรับประทานได้ และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสลิดหินแขก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสลิดทะเลเหลืองทอง

ปลาสลิดทะเลเหลืองทอง (Blue-spotted spinefoot, Coral rabbitfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสลิดทะเล (Siganidae) มีลำตัวป้อม จะงอยปากแหลม ก้านครีบแข็งของครีบหลังมีขนาดใหญ่ แข็งแรง ก้านครีบแข็งอันแรกของครีบหลังสั้นกว่าก้านครีบแข็งอันสุดท้าย เยื่อยึดระหว่างก้านครีบเว้าเล็กน้อย ปลายของครีบหลังและครีบก้นโค้งมน ครีบหางเว้าชัดเจน ปลายครีบหางแหลม ครีบอกขนาดค่อนข้างใหญ่ มีสันบริเวณหน้าตา ลำตัวและครีบทุกครีบสีเหลืองสด อาจมีแถบหรือแต้มสีเข้มเล็กน้อย มีจุดสีน้ำเงินขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วตัว ตั้งแต่หัวถึงโคนครีบหาง ในตัวที่ยังไม่โตเต็มที่ มีลำตัวสีเหลืองแต่ไม่มีจุดสีน้ำเงิน มีขนาดโตเต็มที่ได้ 11 นิ้ว พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในแนวปะการัง ในเขตอินโด-แปซิฟิก นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสลิดทะเลเหลืองทอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสวาย

ปลาสวาย (Iridescent shark, Striped catfish, Sutchi catfish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) มีส่วนหัวค่อนข้างเล็ก แนวบริเวณหัวถึงครีบหลังลาดตรง ตาอยู่เสมอหรือสูงกว่ามุมปาก ปากแคบกว่าปลาบึก ที่อยู่สกุลเดียวกัน รูปร่างเพรียวแต่ป้อมสั้นในปลาขนาดใหญ่ ก้านครีบท้องมี 8-9 เส้น ครีบก้นยาว ปลาขนาดเล็กมีสีคล้ำเหลือบเงิน ด้านข้างลำตัวสีจางและมีแถบสีคล้ำตามยาว ครีบสีจาง ครีบหางมีแถบสีคล้ำตามแนวยาวทั้งตอนบนและล่าง ปลาขนาดใหญ่มีสีเทาหรือคล้ำอมน้ำตาล ด้านข้างลำตัวสีจาง มีขนาดประมาณ 50 เซนติเมตร ใหญ่สุด 1.5 เมตร พบในแม่น้ำและลำคลองสายใหญ่ ทั่วประเทศไทย เป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง ที่ซึ่งมีการเพาะเลี้ยงกันมานานกว่า 50 ปี แล้ว โดยเพาะขยายพันธุ์ได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2509 โดยถือเป็นสัตว์น้ำชนิดแรกที่ทางกรมประมงของไทยผสมเทียมประสบความสำเร็จเป็นชนิดแรกด้วย ปลาในธรรมชาติมีฤดูวางไข่ในเดือนกรกฎาคม นิยมบริโภคโดยปรุงสดและรมควัน ในธรรมชาติ มักพบชุกชุมตามอุทยานปลาหรือหน้าวัดต่าง ๆ ที่ติดริมน้ำ โดยในบางพื้นที่อาจมีปลาเทโพเข้ามาร่วมฝูงด้วย และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปลาที่สีกลายเป็นสีเผือก และจากการศึกษาล่าสุดพบว่า ในเนื้อปลาสวายนั้นมีโอเมกา 3 คิดเป็นปริมาณแล้วสูงกว่าในปลาทะเลเสียอีก โดยมีถึง 2,570 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 100 กรัม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสวาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสวายหางเหลือง

ปลาสวายหางเหลือง เป็นปลาในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) พบในแหล่งน้ำจืดและน้ำกร่อยของประเทศบังกลาเทศ, อินเดีย, พม่า และ ปากีสถาน และถูกนำเข้าสู่ประเทศกัมพูชา และเวียดนาม ปลามีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร เมื่อโตเต็มที.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสวายหางเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสวายหนู

ปลาสวายหนู เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Helicophagus waandersii อยู่ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) มีลักษณะหัวหลิม ตาเล็ก ขอบตามีแผ่นหนังคลุม จะงอยปากเรียว ปากเล็กกว่าปลาในวงศ์นี้ชนิดอื่น ๆ ริมฝีปากบางมีแผ่นหนังนิ่มหุ้ม รูจมูกอยู่ห่างกัน หนวดทั้ง 2 คู่ยาวถึงช่องเปิดเหงือก รูปร่างเพรียวแบนข้างเล็กน้อย ครีบก้นยาว ครีบไขมันยาว ลำตัวสีเทาอ่อนหรืออมฟ้า ด้านข้างลำตัวสีจางไม่มีแถบสี หัวและท้องสีจางอมชมพู ครีบสีจาง ปลาวัยอ่อนมีสีเทาอมชมพู มีขนาดประมาณ 30-40 เซนติเมตร ใหญ่สุดประมาณ 60 เซนติเมตร อาหารกินแต่เฉพาะหอยขนาดเล็ก ทั้งหอยฝาเดียวและหอยฝาคู่ โดยมักหากินใกล้พื้นท้องน้ำ มักกินจุจนท้องป่อง แล้วถ่ายออกมาเฉพาะเปลือก อาศัยอยู่ในแม่น้ำสายใหญ่ พบในแม่น้ำโขงและเจ้าพระยา ไม่พบในภาคใต้ของไทย แต่มีในมาเลเชียจนถึงเกาะสุมาตรา ในอินโดนีเชีย ในประเทศไทยบริโภคโดยการปรุงสุดและหมักสับปะรด (เค็มบักนัด) ปลาสวายหนู มีชื่อที่เรียกในภาษาถิ่นอีสานว่า "ยอนหนู" และ "หน้าหนู" ปัจจุบัน กรมประมงได้มีการศึกษาเอนไซน์ในระบบการย่อยอาหารของปลาสวายหนู เพื่อนำไปศึกษาเพื่อพัฒนาเป็นการเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ต่อไป.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสวายหนู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสอด

ปลาสอด (Molly, Moonfish) เป็นปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliida) ปลาสอดเป็นปลาพื้นเมืองดั้งเดิมมาจากเม็กซิโกจนถึงเวเนซุเอลา ที่สีสันในธรรมชาติจะเป็นสีน้ำเงินทึม ๆ หรือสีเขียววาว ๆ มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ย 10-15 เซนติเมตร โดยที่ตัวผู้จะมีสีที่สวยกว่าตัวเมีย รวมทั้งครีบต่าง ๆ ที่ใหญ่ยาวกว่า ขณะที่ลำตัวของตัวเมียนั้นจะใหญ่กว่า ท้องอูมป่องกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน เป็นปลาที่อาศัยและหากินอยู่บริเวณผิวน้ำเป็นฝูง โดยกินตะไคร่น้ำ, สาหร่าย, พืชน้ำขนาดเล็ก รวมทั้งตัวอ่อนของแมลงต่าง ๆ เช่น ลูกน้ำ เป็นต้น โดยบางครั้งอาจพบได้จนถึงแหล่งน้ำกร่อย จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1907 ได้มีการนำเข้าปลาสอดจากเม็กซิโกเข้าไปในเลี้ยงในฐานะปลาสวยงามที่ประเทศเยอรมนี จากนั้นจึงแพร่ต่อไปยังสหรัฐอเมริกา มีการเพาะขยายพันธุ์โดยฝีมือมนุษย์จนได้สายพันธุ์ใหม่ ที่สวยงามและมีลักษณะต่างจากปลาในธรรมชาติอย่างน้อย สายพันธุ์ เช่น "เพลตี้" ใช้สำหรับเรียกปลาสายพันธุ์ที่มีสีทองทั้งตัว ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1960-ค.ศ. 1965 ปลาสอดได้รับการผสมเพื่อให้ได้สายพันธุ์แปลก ๆ จากเดิมที่มีลักษณะ โดยเฉพาะได้สายพันธุ์ที่มีครีบหลังสูงใหญ่คล้ายใบเรือ เรียกว่า "เซลฟิน" ถือเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายมาก แต่ลูกที่ออกมานั้นจะไม่ค่อยเหมือนพ่อแม่ กลับไปเหมือนบรรพบุรุษดั้งเดิมของคือ มีกระโดงครีบหลังสั้นและเล็กเป็นส่วนมาก ทั้งนี้เพราะปลาสอดเซลฟินไม่ใช่สายพันธุ์แท้ แต่เป็นพันธุ์ผสมหรือพันทาง อย่างไรก็ตามปลาสอดเซลฟินคู่ที่ดี อาจจะให้ลูกสายพันธุ์แท้คือมีกระโดงใหญ่เหมือนพ่อแม่ ได้ประมาณร้อยละ 50 ถึงร้อยละ 90 และก็ยังมีสายพันธุ์ที่มีสีดำทั้งตัว เรียกว่า "มิดไนต์" เป็นต้น ในปัจจุบันยังมีปลาสายพันธุ์ที่พิการ โดยที่มีลำตัวสั้นอ้วนกลมคล้ายลูกบอล แต่นิยมเลี้ยงกันเรียกว่า "ปลาบอลลูน" ปลาสอดจะเติบโตได้ดีและให้ลูกได้ดีที่สุดเมื่ออยู่ในระดับอุณหภูมิอย่างต่ำที่สุด 22 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิที่ 24 องศาเซลเซียส โดยปลาจะให้ลูกได้ดีที่สุด เมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 23 องศาเซลเซียส ปลาตัวเมียที่มีสุขภาพสมบูรณ์จะออกลูกทุก ๆ 4 สัปดาห์ ปกติจะออกลูกคราวละ 2-200 ตัว แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะออกลูกคราวละ 20 ตัว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสอด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสอดหางดาบ

ปลาสอดหางดาบ (Swordtail) สกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในอันดับปลาออกลูกเป็นตัว (Cyprinodontiformes) ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Xiphophorus จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Poeciliinae นับเป็นปลาสกุลหนึ่งเช่นเดียวกับสกุล Poecilia ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยชนิดที่นิยมได้แก่ ปลาสอดหางดาบเขียว (X. hellerii), ปลาพลาตี้ (X. maculatus) และปลาวาเรียตัส (X. variatus) เป็นต้น โดยที่ชื่อสกุลนั้นมาจากภาษากรีกคำว่า ξίφος (ดาบ, มีดสั้น) และ φόρος (ผู้แบก, ผู้ถือ) หมายถึง "ลักษณะของหางตัวผู้ที่มีโกโนโพเดียม" มีขนาดตั้งแต่ 2.5-14 เซนติเมตร เป็นปลาที่กระจายพันธุ์ตั้งแต่เม็กซิโก, กัวเตมาลา และเบลิซ เช่นเดียวกับปลาสกุล Poecilia หรือสกุลอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน คือ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และเพาะขยายพันธุ์จนมีสีสันและครีบต่าง ๆ ที่หลากหลายสวยงามกว่าปลาดั้งเดิมในธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสอดหางดาบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสอดหางดาบเขียว

ปลาสอดหางดาบเขียว (Swordtail fish, Green swordtail) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliidae) มีลำตัวยาวเรียว และหัวแหลม มีลักษณะทั่วไปเหมือนกับปลาวงศ์นี้ คือ มีความแตกต่างระหว่างเพศสูง ตัวผู้มีขนาดเล็กและผอมเพรียวกว่าตัวเมีย แต่มีครีบและสีสันต่าง ๆ สวยงามกว่า มีลักษณะที่เด่น คือ ในตัวผู้มีก้านครีบหางตอนล่างยาวเลยขอบหาง มีลักษณะเรียวแหลมคล้ายดาบ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ ขณะที่ชื่อวิทยาศาสตร์ที่เป็นชื่อชนิดถูกตั้งเพื่อเป็นเกียรติแด่นักพฤกษศาสตร์ เวียนเนียส เฮลเลอร์ มีถิ่นกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำที่มีพืชน้ำปกคลุมหนาแน่น ในสภาพแหล่งน้ำที่หลากหลาย ในเม็กซิโก, เบลิซ และฮอนดูรัส กินอาหารจำพวกพืชน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็ก รวมถึงตัวอ่อนของแมลง มีความยาวลำตัวโดยเฉลี่ย 12.5 เซนติเมตร และส่วนปลายหางที่คล้ายดาบมีความยาวประมาณ 4-8 เซนติเมตร ทำให้ตัวผู้มีความยาวประมาณ 14 เซนติเมตร ขณะที่ตัวเมียมีความยาวประมาณ 16 เซนติเมตร แต่บางตัวอาจมีความยาวแค่ 5-6 เซนติเมตร บวกความยาวของดาบประมาณ 3 เซนติเมตร ทำให้มีบางตัวยาว 8-10 เซนติเมตร ขณะที่สีตามลำตัวมีความหลากหลายมากตามสภาพของแหล่งที่อยู่อาศัย โดยทั่วไปแล้วจะมีสีเขียวและมีแถบตรงกลางลำตัวสีแดงเข้มหรือสีน้ำตาลพาดตามลำตัว และบางทีอาจพบแถบสีเพิ่มอีก 4 แถบ เป็นด้านบน 2 แถบ และด้านล่างแถบกลางลำตัวอีก 2 แถบ ช่วงท้องจะมีสีขาว และที่ครีบหลังจะมีจุดแดง ตัวผู้ที่ขอบครีบหางตอนล่างมีลักษณะคล้ายดาบจะมีสีเหลืองและดำ บางครั้งอาจพบจุดสีดำบนลำตัว เป็นต้น เป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ปัจจุบันได้มีการเพาะขยายพันธุ์ด้วยฝีมือมนุษย์จนกลายเป็นสีแดงสดทั้งลำตัว จึงได้ชื่อเรียกชื่อหนึ่งว่า "ปลาสอดแดง".

ใหม่!!: สัตว์และปลาสอดหางดาบเขียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสะกาง

ปลาสะกาง หรือ ปลากระมัง เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืดและปลาน้ำกร่อย ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) 4 ชนิด ใช้ชื่อสกุลว่า Puntioplites (/พุน-ทิ-อ็อพ-ลิ-ทีส/) มีรูปร่างโดยรวมคือ ลำตัวแบนข้างมากกว่าปลาสกุลอื่นในวงศ์เดียวกัน โดยมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หัวมีขนาดเล็ก ไม่มีหนวด ตาโต มีจุดเด่นคือ สันหลังยกสูงและครีบหลังก้านสุดท้ายแข็งและมีขนาดใหญ่ ยกสูง ด้านหลังของก้านครีบนี้มีทั้งรอยยักและไม่มีรอยยัก ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ชนิด มีก้านครีบแขนง 8 ก้าน พบกระจายพันธุ์อยู่ในที่ราบลุ่มภาคกลางของประเทศไทย, แม่น้ำโขง และคาบสมุทรมลายูไปจนถึงเกาะบอร์เนียว, เกาะชวา และเกาะซูลาเวซี มีชนิดด้วยกันทั้งหมด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสะกาง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสะอี

ปลาสะอี (湄公魚; พินอิน: Méi gōngyú–ปลาแม่น้ำโขง) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) วงศ์ย่อย Labeoninae มีลักษณะทรงกระบอก หัวเล็ก ตาโต จะงอยปากงุ้มลง ริมฝีปากมีหนวดสั้น 1 คู่ ครีบหลังสั้น ไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบหางเว้าลึก สีลำตัวเป็นสีเขียวมะกอก หากินตามพื้นท้องน้ำ โดยแทะเล็มตะไคร่น้ำหรือสาหร่าย ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 45 เซนติเมตร นิยมบริโภคโดยการปรุงสด มักพบขายในตลาดสดที่ติดแม่น้ำโขงทั้งฝั่งไทยและลาวรวมถึงกัมพูชา เพราะเป็นปลาที่พบเฉพาะแม่น้ำโขงและสาขาเท่านั้น มีพฤติกรรมอพยพย้ายถิ่นขึ้นสู่ตอนบนของแม่น้ำในช่วงฤดูน้ำหลากเพื่อวางไข่ และมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ปลาสะอี ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลาชะอี", "ปลาหว่าชะอี" หรือ "ปลาหว่าหัวแง่ม" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสะอี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสะตือ

ำหรับ "สะตือ" ในความหมายอื่น ดูที่ สะตือ ปลาสะตือ (Giant featherback) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chitala lopis (/ไค-ตา-ลา-โล-ปิส/) อยู่ในวงศ์ปลากราย (Notopteridae) มีรูปร่างคล้ายปลาชนิดอื่นในสกุลเดียวกันนี้ทั่วไป แต่มีท้ายทอยเว้าลึกและลำตัวมีเกล็ดละเอียดกว่า โคนครีบอกมีแต้มคล้ำ และข้างลำตัวมีจุดประสีคล้ำเล็ก ๆ มีขนาดลำตัวประมาณ 60 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุดได้ถึง 1.5 เมตร นับเป็นปลาชนิดที่ใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้เป็นอันดับสองรองจากปลากรายอินเดีย (C. chitala) โดยสถานที่ค้นพบครั้งแรก คือ กรุงจาการ์ตา บนเกาะชวา ในอินโดนีเซีย และชื่อวิทยาศาสตร์ lopis เป็นชื่อสามัญที่เรียกกันในท้องถิ่นของเมืองเซอมารัง อินโดนีเซีย นับเป็นปลาที่หายากอีกชนิดหนึ่ง ในประเทศไทยพบอาศัยเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น คือ แม่น้ำสาละวิน, แม่น้ำโขง พบน้อยที่แม่น้ำเจ้าพระยาและสาขา และแม่น้ำตาปี ในต่างประเทศพบที่พม่า, มาเลเซีย และบนเกาะบอร์เนียว โดยอาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็ก ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีชื่อเรียกอื่นอีก เช่น "ปลาตองแหล่" ในภาษาอีสาน "ปลาสือ" ในภาษาใต้ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "ปลาตือ" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสะตือ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสะนาก

ำหรับปลานางอ้าวชนิดอื่น ดูได้ที่ ปลาซิวอ้าว หรือปลาน้ำหมึก ปลาสะนาก (Burmese trout, Giant barilius) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Raiamas guttatus อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาสะนาก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสะนากยักษ์

ปลาสะนากยักษ์ (Giant salmon carp, Mekong giant salmon carp) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aaptosyax grypus อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) วงศ์ย่อย Danioninae.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสะนากยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสะแงะ

ปลาสะแงะ (Bengal freshwater eel) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายปลาไหล จัดอยู่ในวงศ์ปลาตูหนา (Anguillidae) จัดเป็นปลาในวงศ์ปลาตูหนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบในประเทศไทย โดยสามารถยาวได้ถึง 1 เมตร หรือ 1.5 เมตร ในตัวเต็มวัยครีบอกมีสีจาง ครีบหลังอยู่ค่อนไปทางด้านท้ายของลำตัว ลำตัวด้านหลังมีสีเทาคล้ำอมเหลืองและมีประสีจางและคล้ำผสมกันคล้ายกับลายหินอ่อน ท้องมีสีน้ำตาลอมเหลือง พบมากในแม่น้ำสาละวินและสาขาในจังหวัดตาก และ แม่ฮ่องสอน และยังสามารถพบได้เป็นครั้งคราวในแม่น้ำของภาคใต้ฝั่งตะวันตก ต่างประเทศพบได้ในบริเวณแม่น้ำชายฝั่งของประเทศอินเดีย, พม่า และทวีปแอฟริกาแถบตะวันออก ปลาสะแงะ มีบันทึกว่าพบครั้งแรกและสร้างความฮือฮาให้กับผู้พบเห็น คือ มีผู้จับได้ในคลองบางกะปิที่กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2469 ด้วยความใหญ่โตของลำตัว ทำให้บางคนเชื่อว่า เป็นปลาไหลไฟฟ้าบ้าง บางคนก็คิดว่าเป็นพญานาค หรือมังกร โดยปลาตัวนั้นมีขนาดความยาว 65 เซนติเมตร ว่ากันว่า ปลาชนิดนี้สามารถส่งเสียงร้องคล้ายเสียงเด็กทารกได้ด้วยในเวลากลางคืน ในประเทศไทยพบเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันตกและแถบภาคตะวันตกไปจนถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีชื่อพื้นเมืองภาษากะเหรี่ยงว่า "หย่าที" สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย A. b. bengalensis พบได้ในทวีปเอเชีย และ A. b. labiata พบได้ในทวีปแอฟริกา เป็นปลาที่พบน้อย หายาก เนื้อมีรสชาติอร่อย ราคาแพง และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสะแงะ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสังกะวัง

ปลาสังกะวัง ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pangasius polyuranodon ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) มีรูปร่างคล้ายปลาชนิดอื่นในวงศ์นี้ทั่วไป หากแต่มีหนวดยาวถึงหรือเลยครีบอก และครีบหางเป็นแผ่นหนาอย่างเห็นได้ชัด สีครีบทุกครีบออกเหลือง ส่วนหัวหลิมกลมและตำแหน่งตาอยู่ต่ำกว่ามุมปากคล้ายปลาบึก (Pangasianodon gigas) ขนาดยาวเต็มที่ประมาณ 50-80 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำโขงและปากแม่น้ำที่ติดกับทะเลที่เป็นน้ำกร่อย เช่น ปากแม่น้ำบางปะกง เป็นต้น มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกว่า "ปลาสังกะวาดแวง" หรือ "ปลาชะแวง".

ใหม่!!: สัตว์และปลาสังกะวัง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสังกะวาด

ปลาสังกะวาด หรือ ปลายอน เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งในอันดับปลาหนังจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) ที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด โดยพบแล้วประมาณ 26 ชนิด ใช้ชื่อสกุลว่า Pangasius มีรูปร่างโดยรวม คือ ลำตัวลื่นไม่มีเกล็ด หัวโต ตามีขนาดเล็ก ปากกว้าง รูจมูกคู่หลังอยู่ใกล้รูจมูกคู่หน้ามากกว่านัยน์ตา และอยู่เหนือระดับขอบบนของลูกนัยน์ตา มีหนวด 2 คู่สั้นหรือยาวแล้วแต่ชนิด (ริมปากบน 1 คู่ และคาง 1 คู่) มีฟันที่กระดูกเพดานปากชิ้นกลางและชิ้นข้าง แต่ในบางชนิดอาจหดหายไปเมื่อปลามีอายุมากขึ้น รูปร่างอ้วนป้อม ครีบทั้งหมดโดยเฉพาะครีบหลังและครีบอกตั้งชี้ตรง และมีก้านแข็ง นัยน์ตาอยู่เหนือระดับมุมปากเล็กน้อย ท้องไม่เป็นสันคม ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 6 ก้าน มีขนาดรูปร่างที่แตกต่างออกไปตั้งแต่ 1 ฟุต ไปจนถึงเกือบ 3 เมตร แต่โดยทั่วไปจะมีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 1-1.5 เมตร เป็นปลาที่กินได้ทั้งเนื้อและพืชเป็นอาหาร รวมถึงซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยด้วย มีพฤติกรรมชอบอยู่เป็นฝูง ในแม่น้ำและลำคลองสายใหญ่ พบตั้งแต่อนุทวีปอินเดียจนถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในส่วนที่เป็นแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะ เป็นปลาที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ในแง่ของการเป็นปลาเศรษฐกิจ ใช้บริโภค ซึ่งมีการวิจัยพบว่าเนื้อปลาในสกุลนี้ มีสารโอเมกา 3 สูงกว่าปลาทะเลเสียอีก นอกจากนี้ยังใช้ตกเป็นเกมกีฬา และเลี้ยงเป็นปลาสวยงามในบางชนิด ในภาษาไทยจะเรียกปลาในสกุลนี้โดยรวมว่า "สวาย" ในปลาที่มีขนาดใหญ่ และในปลาที่มีขนาดเล็กมักจะเรียกรวม ๆ กันว่า "สังกะวาด" หรือ "สังกะวัง" ซึ่งซ้ำซ้อนกับปลาในวงศ์ปลาหวีเกศ (Schilbeidae) สำหรับในภาษาอีสานจะเรียกว่า "ยอน" หรือ "ซวย" ในปัจจุบัน มีการผสมพันธุ์ข้ามชนิดและข้ามสกุลกัน จนได้เป็นลูกปลาพันธุ์ผสมชนิดใหม่ที่ให้ผลผลิตดี โดยใช้ชื่อในทางการค้าว่า "ปลามรกต" หรือ "เขียวมรกต" นิยมเลี้ยงกันมากโดยเฉพาะในภาคอีสานของไทย และในปัจจุบันนิยมทำเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อปลาสำเร็จรูป ในชื่อ "แพนกาเชียส ดอรี่" ปลาสวาย (''P. hypophthalmus'') เป็นชนิดที่นิยมเลี้ยงเพื่อการบริโภค และเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสังกะวาด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสังกะวาดท้องคม

ปลาสังกะวาดท้องคม เป็นชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseudolais pleurotaenia อยู่ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) มีลักษณะ หัวสั้น ตาโต ปากแคบ หนวดสั้น ลำตัวแบนข้างกว่าชนิดอื่น ๆ ท้องเป็นสันคมตลอด ปลาตัวผู้มักมีรูปร่างเพรียวยาวกว่าตัวเมีย ครีบท้องเล็กอยู่สูงกว่าระดับสันท้อง ครีบไขมันเล็ก ครีบก้นยาว ครีบหางเว้าเป็นแฉก ตัวด้านบนสีคล้ำเหลือบเขียวหรือเหลือง ข้างลำตัวสีจางมีแถบสีคล้ำตามยาวตั้งแต่บริเวณโคนครีบอก ท้องสีจาง ครีบหางสีเหลืองอ่อนขอบคล้ำ มีขนาดประมาณ 15-20 เซนติเมตร ใหญ่สุดที่พบคือ 30 เซนติเมตร จัดว่าเป็นปลาขนาดเล็กเมื่อเทียบกับปลาชนิดอื่น ๆ ในวงศ์นี้ กินแมลงเป็นอาหารหลัก กินเมล็ดพืช ผลไม้ และพืชน้ำในบางครั้ง พบมากในแม่น้ำโขง, แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำแม่กลอง พบน้อยในแม่น้ำตาปี เป็นปลาที่พบชุกชุม จึงเป็นปลาเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคอีสาน นิยมบริโภคเป็นปลาแห้งและปรุงสด มีชื่อเรียกเป็นภาษาถิ่นอีสานว่า "ปลายอนปีก" หรือ "ปลายอนหลังเขียว".

ใหม่!!: สัตว์และปลาสังกะวาดท้องคม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสากหางเหลือง

ระวังสับสนกับ ปลาน้ำดอกไม้เหลือง ปลาสากหางเหลือง (Yellowstripe barracuda, Yellowtail barracuada) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสาก (Sphyraenidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาสากหางเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสากใหญ่

ปลาสากใหญ่ (Great barracuda) ปลาทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสาก (Sphyraenidae) มีลักษณะลำตัวเพรียวยาวเหมือนปลาสากทั่วไป แต่มีขนาดใหญ่กว่า ลำตัวสีเทาเงิน มีลายสีคล้ำเป็นจุดหรือแต้มที่กลางลำตัว ครีบหางมีลักษณะเป็นแผ่นใหญ่ มีสีดำและมีขอบสีขาว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสากใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสากเหลือง

ระวังสับสนกับ ปลาสากหางเหลือง ปลาสากเหลือง หรือ ปลาน้ำดอกไม้เหลือง (Obtuse barracuda) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสาก (Sphyraenidae) มีรูปร่างเรียวยาว ปากกว้าง จะงอยปากแหลม ขากรรไกรล่างยื่นยาวกว่าขากรรไกรบนมีฟันเขี้ยว ช่องปากสีเหลือง กระดูกแก้มอันแรกมีเหลี่ยมรูปมุมฉาก ครีบหลังอันแรกมีเทาปนกับสีเหลือง ครีบอก, ครีบก้น, ครีบหลังอันที่ 2 และครีบหางมีสีเหลืองแต่ครีบท้องมีสีขาว ลำตัวสีเหลืองอ่อน ท้องสีขาวเงิน ตามลำตัวไม่มีแถบสีหรือลวดลายใด ๆ มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ย 20-30 เซนติเมตร พบยาวที่สุด 55 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในทะเลเขตร้อนต่าง ๆ ทั่วโลก ในน่านน้ำไทยพบชุกชุมทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน มักจะสับสนกับปลาสากหางเหลือง (S. flavicauda) เป็นปลาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ขนาดเล็กทั่วไป บางครั้งอาจพบรวมฝูงกันเล็กตามชายฝั่งหรือปากแม่น้ำ นิยมตกเป็นเกมกีฬา และบริโภคกันเป็นปลาเศรษฐกิจ นิยมนำเนื้อไปทำข้าวต้มหรือปลาเค็ม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสากเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสายยู

ปลาสายยู (Club-barbel sheatfish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) เป็นปลาไม่มีเกล็ด หัวเล็กมีสีแดงเรื่อ ๆ ปากเล็กอยู่ด้านล่าง มีหนวดสั้นเป็นติ่งขอใกล้จมูก คล้ายสายยูแม่กุญแจ อันเป็นที่มาของชื่อ ตาเล็กมาก ลำตัวแบนข้างมีสีชมพูหรือสีนวล ครีบมีขอบสีคล้ำ ครีบก้นยาวมาก มีลำตัวประมาณ 25 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 40 เซนติเมตร มีพฤติกรรมกระดิกหนวดอย่างรวดเร็วขณะว่ายน้ำ โดยภายในเวลา 1 นาที สามารถกระดิกหนวดได้ถึง 125 ครั้ง สันนิษฐานว่าเป็นการส่งสัญญาณหาอาหารตามท้องน้ำ โดยอาหารได้แก่ สัตว์หน้าดินต่าง ๆ กุ้ง, แมลงน้ำ เป็นต้น พบเพียงที่เดียวในโลกเท่านั้น คือ บริเวณลุ่มแม่น้ำบางปะกง ปัจจุบันมีสถานะเป็นปลาใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤตในธรรมชาติ แต่ก็เป็นที่เสาะแสวงหาของนักเลี้ยงปลาด้วย โดยเป็นปลาที่มีราคาสูงมาก มีชื่อเรียกอื่นว่า "เกด" อนึ่ง ชื่อสายยู นี้เป็นชื่อที่เรียกซ้ำซ้อนกับปลาในหลายชนิด หลายสกุล เช่น ปลาในสกุล (Pangasius spp.) ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) หรือปลาหวีเกศ (Platytropius siamensis) ในวงศ์ปลาหวีเกศ (Schilbedae) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสายยู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสายยู (สกุล)

ปลาสายยู (Barbel sheatfish) ชื่อสกุลของปลาหนัง 2 ชนิด ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) ใช้ชื่อสกุลว่า Ceratoglanis (/ซี-รา-โต-กลาน-อิส/) มีรูปร่างโดยรวม คือ หัวมีขนาดเล็ก ตามีขนาดเล็ก ปากเล็กอยู่ด้านล่าง มีลักษณะสำคัญ คือ มีหนวดสั้นเป็นติ่งขอใกล้จมูก ลำตัวแบนข้างมีสีชมพูหรือสีนวล ครีบมีขอบสีคล้ำ ครีบก้นยาวมาก มีลำตัวประมาณ 25 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 40 เซนติเมตร มีพฤติกรรมกระดิกหนวดอย่างรวดเร็วขณะว่ายน้ำ โดยภายในเวลา 1 นาที สามารถกระดิกหนวดได้ถึง 125 ครั้ง สันนิษฐานว่าเป็นการส่งสัญญาณหาอาหารตามท้องน้ำ โดยอาหารได้แก่ สัตว์หน้าดินต่าง ๆ กุ้ง, แมลงน้ำ เป็นต้น พบเพียง 2 ชนิด เท่านั้น คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสายยู (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสำลี

ปลาสำลี หรือ ปลาช่อลำดวน (Black-banded trevally, Black-banded kingfish) ปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวในสกุล Seriolina (เป็นภาษาละตินหมายถึง "หม้อดินเผาขนาดใหญ่") มีความแตกต่างจากปลาหางแข็งชนิดและสกุลอื่น ๆ ตรงที่ที่ไม่มีเกล็ดแข็งบนเส้นข้างตัวตอนปลาย ลำตัวค่อนข้างยาว ปลายจะงอยปากมน ส่วนหัวโค้งนูน และลาดเมื่อใกล้จุดเริมของครีบหลัง ปากกว้าง โคนขากรรไกรบนมน มุมปากยื่นมาใต้นัยน์ตา ยาวเสมอขอบนัยน์ตา ยาวเสมอขอบนัยน์ตาด้านหลัง ครีบหลังแยกจากกันเป็นสองตอน ตอนหน้าเล็กและสั้น ตอนหลังมีฐานยาว ครีบก้นอยู่ตรงข้ามกับครีบหลังมีฐานสั้นกว่ามาก ครีบอกมีปลายแหลม และเล็กกว่าครีบอื่น ๆ ครีบท้องอยู่ใต้ครีบอก ครีบหางมีปลายเว้าลึก เส้นข้างตัวบริเวณโคนหางมีสันเนื้อหนา ๆ นูนขึ้นมา สีหลังสีเทาอมน้ำตาล สีข้างและท้อง เป็นสีเทาจางลงมาเรื่อย ๆ บริเวณสันท้องจะเป็นสีขาว ปลาขนาดเล็กจะมีแถบดำ 5-7 แถบ ขวางลำตัวบริเวณเหนือเส้นข้างตัว ขนาดใหญ่ที่สุดยาวถึง 70 เซนติเมตร และน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์ในเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก ทั้งมหาสมุทรอินเดีย, แปซิฟิก, แอตแลนติก, ชายฝั่งของแอฟริกาใต้ โดยพบมากบริเวณหน้าดิน และระดับน้ำลึกตั้งแต่ 20-150 เมตร ในเขตน่านน้ำไทยพบได้ทั้งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เป็นปลาที่นิยมตกเป็นเกมกีฬา และบริโภคกันอย่างแพร่หล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสำลี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสิงโต

ำหรับปลาสิงโตจำพวกอื่น ดูที่: ปลาย่าดุก และปลาคางคก ปลาสิงโต (Lionfishes, Turkeyfishes, Firefishes, Butterfly-cods) เป็นสกุลของปลาน้ำเค็มทะเลสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาแมงป่อง (Scorpaenidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Pterois (/เท-โร-อิส/; มาจากภาษากรีกคำว่า "πτερον" (pteron) หมายถึง "ปีก" หรือ "ครีบ").

ใหม่!!: สัตว์และปลาสิงโต · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสิงโตธรรมดา

ปลาสิงโตธรรมดา (Common lionfish, Miles' firefish, Devil firefish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสิงโต (Scorpaenidae) มีลักษณะเด่น คือ มีครีบอกยาวเป็นเส้นแลดูสวยงาม ครีบหลังมีก้านครีบแข็งยาวมาก ในปลาขนาดเล็กตาจะมีติ่งแหลม ซึ่งเมื่อโตขึ้นจะค่อย ๆ หดสั้นลงจนหายไปในที่สุด ลำตัวมีสีสันหลากหลาย ตั้งแต่ สีแดง, สีส้ม, สีน้ำตาลเข้ม เป็นลายบั้งเล็ก ๆ สลับกับบั้งสีจาง ๆ หรือสีชมพู ครีบหลังตอนท้ายหรือครีบก้นจะเป็นครีบใสโปร่งแสง มีจุดประสีดำ มีพฤติกรรมล่าปลาขนาดเล็กเป็นอาหาร โดยใช้ครีบอกที่แผ่ยาวเป็นเส้นไล่ต้อนให้จนมุม แล้วใช้ปากฮุบกินไปทั้งตัว มีขนาดใหญ่ประมาณ 15 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุด 35 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแนวปะการังและกองหินใต้น้ำ ตั้งแต่ชายฝั่งแอฟริกาใต้, ทะเลแดง, ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก, อินโดนีเซีย ในน่านน้ำไทยพบได้เฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน จัดเป็นปลาที่พบได้บ่อยในบางพื้นที่ เป็นปลาที่มีพิษ ไม่มีการรับประทานกันเป็นอาหาร นิยมเลี้ยงกันตามพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและตู้ปลาตามบ้านในฐานะปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสิงโตธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสิงโตครีบจุด

ปลาสิงโตครีบจุด (Broadbarred firefish, Broadbarred lionfish, Spotfin lionfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง จำพวกปลาสิงโต ในวงศ์ปลาแมงป่อง (Scopaenidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาสิงโตปีกเข็ม (P. radiata) แต่ครีบอกมีพังผืดแผ่กว้างกว่า และมีจุดวงกลมคล้ายตาสีน้ำเงินขอบดำขนาดใหญ่หลายจุด ลายบนลำตัวมีจำนวนมากกว่า ครีบหลังตอนท้ายถึงครีบก้นใส มีจุดประสีคล้ำหรือแดงเข้มตามก้านครีบ ครีบท้องสีแดงคล้ำ มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 10 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 20 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ตามแนวปะการังในเขตร้อนและเขตอบอุ่นมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย ในน่านน้ำไทยพบได้เฉพาะฝั่งทะเลอันดามันและเป็นปลาที่พบได้น้อ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสิงโตครีบจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสิงโตปีก

ปลาสิงโตปีก หรือ ปลาสิงโตปีกจุด (Red lionfish; /เท-โร-อิส-โว-ลิ-แทนส์/) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง จำพวกปลาสิงโต ในวงศ์ปลาแมงป่อง (Scorpaenidae) มีครีบอกแผ่กว้างมีก้านครีบแข็งยื่นยาวออกไป และมีเยื่อยึดระหว่างก้านครีบ ครีบหางโค้งมน พื้นลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อน มีจุดสีดำแต้มบนเยื่อยึดระหว่างก้านครีบอก ครีบหลังมีก้านครีบแข็งทั้งหมด 13 ก้าน ซึ่งแต่ละก้านสามารถเคลื่อนไหวเป็นอิสระ โดยมีครีบเป็นตัวยึดติดไว้ ในก้านครีบหลังมีบางก้านซึ่งมีเข็มพิษและภายในบรรจุถุงพิษ รวมถึงครีบอื่น ๆ เช่น ครีบก้น, ครีบอก ด้วย หากถูกแทงจะได้รับความเจ็บปวดมาก เมื่อแทงเข้าไปในเนื้อเยื่อของผู้ที่โดนแทงจะก่อให้เกิดความปวดแสบปวดร้อน เพราะมีผลต่อระบบกล้ามเนื้อ ก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น เป็นอัมพาต หรืออัมพาตชั่วคราว รวมถึงเป็นแผลพุพองได้ด้วย ขนาดโตเต็มที่สามารถยาวได้ถึง 47 เซนติเมตร (18.5 นิ้ว) ในขณะที่ยังเป็นปลาวัยอ่อนจะมีความยาวสั้นกว่า 1 นิ้ว (2.5 เซนติเมตร) มีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 10 ปีNational Oceanic and Atmospheric Administration, National Centers for Coastal Ocean Science "Have You Seen Me?" Encyclopedia of Life (EOL).

ใหม่!!: สัตว์และปลาสิงโตปีก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสิงโตปีกเข็ม

ปลาสิงโตปีกเข็ม หรือ ปลาสิงโตครีบขาว (White-lined lionfish, Clearfin turkeyfish, Radiata lionfish, Radial firefish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแมงป่อง (Scorpaenidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาสิงโตชนิดอื่น แต่มีครีบอกที่ส่วนปลายเป็นเส้นเรียวเล็กคล้ายปลายเข็ม ครีบหลังมีก้านครีบสั้นกว่า มีติ่งที่ตายาว ลายบนลำตัวเป็นบั้งขนาดใหญ่และมีจำนวนน้อยกว่าปลาสิงโตชนิดอื่น และเป็นสีแดงเข้มหรือสีคล้ำสลับกับลายสีจาง ครีบต่าง ๆ เป็นสีใสปนแดง ปลายครีบอกสีขาว มีขนาดความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ขนาดใหญ่ที่สุด 23 เซนติเมตร เป็นปลากินเนื้อ กินกุ้งและปลาขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นอาหาร อาศัยอยู่ตามแนวปะการัง ของเขตอินโด-แปซิฟิก, แอฟริกาใต้, หมู่เกาะริวกิว, นิวแคลิโดเนีย ในน่านน้ำไทยจัดเป็นปลาที่พบได้ไม่บ่อย โดยพบได้ที่ฝั่งทะเลอันดามันเท่านั้น เช่น หมู่เกาะสุรินทร์, หมู่เกาะสิมิลัน, หมู่เกาะอาดัง-ราวี เป็นต้น นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสิงโตปีกเข็ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสินสมุทรบั้งเหลือง

ปลาสินสมุทรบั้งเหลือง หรือ ปลาสินสมุทรบั้ง หรือ ปลาพีค็อก (Royal angelfish, Regal angelfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสินสมุทร (Pomacanthidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Pygoplites ตอนบนของหัวจะมีสีฟ้าอมเทา จมูก คางและอกเป็นสีเหลืองอ่อน ลำตัวมีสีส้มสดเป็นสีพื้นและมีแนวสีฟ้าอ่อน ขอบเข้มอีก 5-9 เส้นแนวพาดตรงจากหลังจรดบริเวณท้อง ครีบหางสีเหลืองสด ขณะที่ยังเป็นลูกปลาอยู่จะมีแถบสีอ่อนซึ่งมีขอบสีเข้ม 4 แถบพาดผ่านสีข้างช่วงตอนท้ายของครีบหลังจะมีปื้นสีเข้มขนาดใหญ่ ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร มักพบเป็นคู่หรืออยู่ลำพังเพียงตัวเดียว กินฟองน้ำและเพรียงหัวหอมเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในเขตร้อน แถบอินโด-แปซิฟิก ในน่านน้ำไทย พบได้ในฝั่งทะเลอันดามัน จัดเป็นปลาชนิดหนึ่งที่มีความสวยงามมาก นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และแสดงตามพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสินสมุทรบั้งเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสินสมุทรมัดหมี่

ปลาสินสมุทรมัดหมี่ (Red Sea butterflyfish, Vermiculate angelfish, Vermiculated angelfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาสินสมุทร (Pomacanthidae) มีลักษณะเด่น คือ ส่วนหัวจะมีสีเหลือง และมีลายทางสีดำพาดเป็นแนวตั้งบริเวณตา ส่วนลำตัวช่วงบนมีสีขาวกลางลำตัวมีสีดำแซมขาว และครึ่งหลังมีสีดำ ส่วนหางสีเหลืองลายข้างตัวสีขาว มองดูเป็นเส้นละเอียดบนพื้นดำ ดูคล้ายเส้นหมี่ หรือ เส้นด้าย จึงเป็นที่มาของชื่อสามัญในภาษาไทย มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 17 เซนติเมตร เดิมเคยจัดให้เป็นชนิดเดียวกับชนิด C. poliourus ซึ่งปัจจุบันได้จัดให้แยกออกมาต่างหาก ในน่านน้ำไทยพบได้ตามแนวปะการังบริเวณชายฝั่งทะเล และทางฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นปลาที่มีสีสันสวยงาม จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเช่นเดียวกับปลาสินสมุทรชนิดอื่น ๆ โดยกรมประมงของไทยสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้สำเร็จที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งสมุทรสาคร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสินสมุทรมัดหมี่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสินสมุทรลายบั้ง

ปลาสินสมุทรลายบั้ง (Sixbanded angelfish, Sixbar angelfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสินสมุทร (Pomacanthidae) มีรูปร่างสี่เหลี่ยมมน หัวและลำตัวตอนหน้ามีสีคล้ำอมน้ำเงิน มีแถบสีขาวพาดตรงหลังตา ลำตัวสีขาว มีจุดสีน้ำเงินในเกล็ดแต่ละเกล็ด และมีบั้งพาดผ่านลำตัวสีดำทั้งหมด 6 แถบ ครีบมีลายจุดประสีฟ้าสด ขณะยังเป็นปลาวัยอ่อนอยู่ ลำตัวจะเป็นสีน้ำเงิน มีลายโค้ง 9-11 เส้น มีขนาดความยาวประมาณ 38 เซนติเมตร พบใหญ่ที่ได้ถึง 45 เซนติเมตร กระจายพันธุ์ในแนวปะการังของแถบอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่ออสเตรเลีย, หมู่เกาะโซโลมอน, ทะเลฟิลิปปิน, อินโดนีเซีย, ศรีลังกา และสิงคโปร์ ในเขตน่านน้ำไทยพบบ่อยที่อ่าวไทย เป็นปลาที่มีพฤติกรรมอาศัยอยู่เพียงลำพังหรืออยู่เป็นคู่ โดยมีอาณาบริเวณของตัวเอง กินสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร เป็นปลาสินสมุทรอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสินสมุทรลายบั้ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสินสมุทรวงฟ้า

ปลาสินสมุทรวงฟ้า หรือ ปลาสินสมุทรวงแหวนสีน้ำเงิน (Bluering angelfish) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pomacanthus annularis อยู่ในวงศ์ปลาสินสมุทร (Pomacanthidae) ลำตัวมีลายสีน้ำเงินพาดโค้งตลอดลำตัว เหนือแผ่นปิดเหงือกมีวงคล้ายวงแหวนสีฟ้า ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่ป็นที่มาของชื่อเรียก ครีบหลังตอนท้ายเป็นปลายแหลมยื่นยาวออกไป เมื่อยังเป็นลูกปลาวัยอ่อนมีลายพาดขวางสีน้ำเงินสลับฟ้าคล้ายกับปลาสินสมุทรหางเส้น (P. semicirculatus) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน แต่หางของปลาสินสมุทรวงฟ้าเป็นสีขาว มีขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1 ฟุต น้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม อาศัยอยู่ตามแนวปะการังและกองหินใต้น้ำ รวมถึงซากโป๊ะหรือเรือจมด้วย ในความลึกตั้งแต่ 3-40 เมตร ขณะยังเป็นลูกปลาวัยอ่อนจะอยู่ในความลึกเพียง 2-3 เมตร มักอยู่เป็นฝูงประมาณ 10-20 ตัว หรือเป็นคู่ น้อยครั้งที่จะพบเพียงลำพังตัวเดียว พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่แอฟริกาตะวันออก, อินโดนีเซียจนถึงปาปัวนิวกินี, นิวแคลิโดเนีย และทะเลญี่ปุ่น ในน่านน้ำไทยจะพบได้ที่จังหวัดภูเก็ต สตูล และ จังหวัดชุมพร โดยมีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า "ปลาโนราห์" เป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเหมือนกับปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน ซึ่งนับเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย กินอาหารได้หลากหลาย ฝึกให้กินอาหารเม็ดได้ แต่เป็นปลาที่ขี้ตื่นตกใจโดยเฉพาะปลาในวัยอ่อน แต่หากปลาปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้แล้วก็จะเป็นปลาที่มีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าวอีกชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสินสมุทรวงฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสินสมุทรหางเส้น

ปลาสินสมุทรหางเส้น หรือ ปลาสินสมุทรโคราน หรือ ปลาสินสมุทรลายโค้ง หรือที่นิยมเรียกกันในวงการปลาสวยงามว่า โครานแองเจิล หรือ บลูโคราน (Koran angel, Sixbanded angel, Semicircle angel, Half-circle angel, Blue koran angel, Zebra angel) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pomacanthus semicirculatus อยู่ในวงศ์ปลาสินสมุทร (Pomacanthidae) มีลำตัวแบน ครีบหลังมี 2 ตอนเชื่อมต่อกัน โดยที่ครีบหลังยื่นยาวออกไปทางหาง ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อปลามีอายุเพิ่มมากขึ้น ครีบหูบางใส ครีบอกยาวแหลม ส่วนปลายครีบทวารยื่นยาวออกไปเช่นเดียวกับครีบหลัง ครีบหางโค้งเป็นรูปพัด พื้นผิวลำตัวของตัวอายุน้อยมีสีเหลืองอมน้ำตาล มีเส้นคาดตามขวางในแนวโค้งสีขาวและสีน้ำเงินมากกว่า 12 เส้น ลายเหล่านี้จะค่อย ๆ จางหายไปหมดเมื่อเจริญเต็มวัย โดยจะมีพื้นสีเหลืองอมเขียว แต้มด้วยจุดสีดำและสีน้ำเงินทั่วลำตัว ขอบแก้มและขอบครีบต่าง ๆ เป็นเส้นสีน้ำเงิน ซึ่งลวดลายและสีสันของปลาสินสมุทรหางเส้นวัยอ่อนนั้นจะคล้ายกับปลาสินสมุทรวงฟ้า (P. annularis) มาก หากแต่ลูกปลาสินสมุทรวงฟ้านั้น มีลวดลายบนตัวเป็นไปในลักษณะค่อนข้างตรง และครีบหางเป็นสีขาวหรือใสไม่มีสี ขณะที่ครีบหางของลูกปลาสินสมุทรหางเส้นจะมีลาย โดยลูกปลาจะเริ่มเปลี่ยนสีสันและลวดลายไปเหมือนตัวเต็มวัยเมื่อมีขนาดประมาณ 7-8 นิ้ว มีความยาวเต็มที่ประมาณ 36-40 เซนติเมตร นับเป็นปลาอีกชนิดหนึ่งในวงศ์นี้ที่มีขนาดใหญ่ กระจายพันธุ์อยู่ตามเกาะแก่งและแนวปะการังใต้น้ำของมหาสมุทรอินเดีย และอินโด-แปซิฟิก ในน่านน้ำไทยพบได้ที่ทะเลอันดามัน แต่ไม่พบในฝั่งอ่าวไทย ลูกปลาวัยอ่อนจะกินสาหร่ายในแนวปะการังเป็นหลัก เมื่อเป็นปลาเต็มวัยจะกินฟองน้ำ, ปะการัง และสาหร่ายเป็นหลัก รวมทั้งสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอย่างอื่น อาทิ หนอนท่อ, กระดุมทะเล, ปะการังอ่อน และหอยสองฝา เป็นต้น เป็นปลาที่มีความสวยงามมากชนิดหนึ่ง นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยถือเป็นปลาสินสมุทรที่เลี้ยงง่ายมากชนิดหนึ่ง เป็นปลาที่กินอาหารได้ทั้งอาหารสดและอาหารสำเร็จรูป ประกอบกับมีราคาไม่แพง เหมาะสำหรับผู้เลี้ยงปลาทะเลมือใหม่ แต่ควรเลี้ยงในตู้ขนาดใหญ่ที่มีความจุน้ำไม่ต่ำกว่า 400 ลิตร เนื่องจากเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ และเป็นปลาที่มีนิสัยดุร้ายก้าวร้าวมาก โดยเฉพาะต่อปลาในสกุลเดียวกัน โดยปลาที่มีการซื้อขายกันในตลาดปลาสวยงามนั้น เป็นปลาที่ต้องจับรวบรวมจากทะเลทั้งนั้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสินสมุทรหางเส้น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ

ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ (Emperor angelfish) เป็นปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pomacanthus imperator อยู่ในวงศ์ปลาสินสมุทร (Pomacanthidae) จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่มากชนิดหนึ่งของวงศ์นี้ กล่าวคือ ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 40 เซนติเมตร มีลายสีเหลืองสลับสีน้ำเงินตามความยาวลำตัว ลำตัวเป็นรูปสี่เหลี่ยม และมีเงี่ยงที่บริเวณแผ่นปิดเหงือก มีแถบสีดำตัดด้วยเส้นสีน้ำเงินบาง ๆ ตั้งแต่บริเวณหน้าผากผ่านดวงตาลงมาและย้อนขึ้นไปตัดกับลายเส้นบนลำตัว ครีบและแก้มเป็นสีน้ำเงิน และปลายปากเป็นสีขาว มักพบในแหล่งที่น้ำใสของแนวปะการังที่สมบูรณ์ ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน แต่จะพบได้ในทะเลอันดามันมากกว่า เป็นปลาที่มักอยู่ลำพังตัวเดียวหรืออยู่เป็นคู่ ในความลึกตั้งแต่ 3-100 เมตร ในช่วงที่เป็นปลาวัยอ่อนนั้น จะมีสีน้ำเงิน มีเส้นลายสีขาวและมีลายก้นหอยบริเวณส่วนปลายของลำตัวใกล้โคนหาง และไม่มีสีเหลืองมาปะปน กระทั่งเติบโตขึ้น ครีบหางและครีบใต้ท้องด้านใกล้โคนหางก็จะเริ่มมีสีเหลืองและลวดลายของลำตัวก็จะเริ่มเปลี่ยนไป จนกระทั่งมีลวดลายและสีสันคล้ายกับปลาที่โตเต็มที่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามวัย สันนิษฐานว่าเป็นไปเพื่อป้องกันตัวจากนักล่า เนื่องจากเป็นปลาที่ไม่ดูแลลูกอ่อน ปลาสินสมุทรจักรพรรดิเป็นปลาอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความสวยงาม จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยจะต้องจับปลามาจากแหล่งกำเนิดในทะเล จัดว่าเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายชนิดหนึ่ง สามารถฝึกให้กินอาหารสำเร็จรูปได้ไม่ยาก โดยต้องทำการเลี้ยงในตู้ที่มีขนาดใหญ่กว่า 60 นิ้วขึ้นไป เนื่องจากเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งพฤติกรรมในที่เลี้ยง ปลาสินสมุทรจักรพรรดิเป็นปลาที่มีความก้าวร้าวต่อปลาชนิดเดียวกันหรือวงศ์เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน แต่มีความสุภาพต่อปลาในวงศ์อื่น ๆ ปลาสินสมุทรจักรพรรดิที่พบในอ่าวไทยหรือด้านมหาสมุทรแปซิฟิก มีความแตกต่างปลาสินสมุทรจักรพรรดิที่พบในทะเลอันดามัน หรือ มหาสมุทรอินเดีย คือ ไม่มี "เปีย" หรือชายครีบบนที่ยื่นยาวออกมาเป็นเส้นคล้ายกับปลาสินสมุทรวงฟ้า (P. annularis) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน โดยปลาที่มีเปียยื่นยาวออกมาจะมีราคาซื้อขายที่แพงกว่าพวกที่ไม่มี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสินสมุทรจักรพรรดิ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสินสมุทรแคระไบคัลเลอร์

ปลาสินสมุทรแคระไบคัลเลอร์ (Bicolor angelfish, Oriole angelfish, Black & gold angelfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสินสมุทร (Pomacanthidae) จัดเป็นปลาสินสมุทรแคระชนิดหนึ่ง มีสีสันลวดลายสวยงาม ขนาดเมื่อโตเต็มที่จะไม่เกิน 15 เซนติเมตร ลำตัวมีสีน้ำเงินเข้มและเหลืองเข้มอย่างละครึ่งตัว เป็นที่สะดุดตาต่อผู้พบเห็น จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามหรือแสดงตามสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ซึ่งราคาซื้อขายก็ไม่สูงมากตกอยู่ที่ราวตัวละ 150-300 บาท ปัจจุบัน ทางกรมประมงของประเทศไทยสามารถที่จะเพาะขยายพันธุ์ปลาสินสมุทรแคระไบคัลเลอร์ได้เป็นผลสำเร็จแล้ว โดยสำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งสมุทรสาคร โดยเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ในโรงเรือนที่สามารถควบคุมอุณหภูมิในรอบวันได้ และควบคุมในเรื่องแสงสว่างเพื่อช่วยกระตุ้นระบบสืบพันธุ์ โดยให้อาหาร 2 อย่าง คือ ไรน้ำเค็มตัวเต็มวัย และอาหารสดที่มีส่วนผสมของหอยแมลงภู่, กุ้ง, หมึก และเพียงทราย เป็นหลัก และเสริมด้วยสาหร่ายสไปรูลินาชนิดผงและน้ำมันปลาทูน่า จากนั้นจึงเริ่มจับคู่พ่อแม่พันธุ์มาเลี้ยงในระบบน้ำหมุนเวียนแบบปิด เพื่อให้ปลาพ่อแม่พันธุ์ผสมพันธุ์และวางไข่ ทั้งนี้เมื่อลูกปลาฟักออกมาแล้วจะทำการอนุบาล 0-10 วัน ด้วยวิธีการที่หลากหลายทางชีวภาพของจุลินทรีย์และแพลงก์ตอนในบ่อเลี้ยง เมื่อลูกปลาอายุได้ 10-20 วัน จะให้โรติเฟอร์, โคพิพอด, ไรน้ำกร่อย และไรน้ำเค็ม เป็นอาหาร หลังจากนั้นจึงฝึกให้กินอาหารสำเร็จรูป เมื่อปลามีอายุได้ 2 เดือน จะมีความยาวประมาณ 2.0-2.5 เซนติเมตร จะมีการพัฒนาสีสันและรูปร่างเหมือนปลาตัวเต็มวั.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสินสมุทรแคระไบคัลเลอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสุดสาครจิ๋ว

ปลาสุดสาครจิ๋ว หรือ ปลาสินสมุทรแคระ (Dwarf angelfish, Pygmy angelfish) เป็นสกุลของปลาทะเลสกุลหนึ่ง ที่อยู่ในสกุล Centropyge ในวงศ์ปลาสินสมุทร (Pomacanthidae) เป็นปลาในวงศ์นี้ที่มีขนาดเล็ก มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 15 เซนติเมตร (6 นิ้ว) เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมกันในแนวปะการัง จำแนกความแตกต่างระหว่างตัวผู้และตัวเมียได้ยาก แต่ตัวเมียจะมีครีบที่สั้นและกลมกว่า ซึ่งจะจำแนกได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับปลาฝูงอื่น เหมือนกับปลาในแนวปะการังจำพวกอื่น ๆ หรือปลาในวงศ์เดียวกันนี้สกุลอื่น ๆ คือ สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเพศตัวเองได้ โดยเมื่อยังเป็นปลาวัยอ่อน จะเป็นปลาตัวเมีย และจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นปลาตัวผู้ได้ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม ความผกผันของการเปลี่ยนแปลงทางเพศนี้เป็นไปตามสถานะทางสังคมของการเปลี่ยนแปลงของแต่ละปลาแต่ละตัว แต่กระบวนการนี้จะต้องใช้เวลานานเป็นสัปดาห์หรือเดือน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสุดสาครจิ๋ว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสุดสาครจิ๋วลายเข้ม

ปลาสุดสาครจิ๋วลายเข้ม (Blacktail angelfish) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสินสมุทร (Pomacanthidae) มีรูปทรงลำตัวเป็นรูปไข่ ลำตัวมีสีเทา มีลายบั้งเป็นสีส้มพาดขวางทั้งลำตัว ปาก, ท้อง และครีบท้องสีเหลืองอมส้ม ด้านท้ายครีบหลังและครีบหางเป็นสีดำ ปลายครีบหางมีขลิบสีฟ้า มีความยาวโดยเฉลี่ย 10 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุด 15 เซนติเมตร เป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามลำพังหรือเป็นฝูงขนาดเล็ก กินอาหารจำพวก ฟองน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็ก พบอาศัยอยู่ในตอนลึกในแนวปะการัง ตั้งแต่มหาสมุทรอินเดียตะวันออก, อินโดนีเซีย จนถึงตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ในน่านน้ำไทยเป็นปลาที่พบได้เฉพาะทะเลอันดามัน จัดเป็นปลาที่พบได้น้อย นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยมีชื่อในวงการปลาสวยงามว่า "ปลาหมอส้ม".

ใหม่!!: สัตว์และปลาสุดสาครจิ๋วลายเข้ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสีกุนทอง

ปลาสีกุนทอง (Bigeyed scads, Goggle-eyes, Gogglers) ปลาทะเลในสกุล Selar ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) มีลำตัวเพรียว แบนข้างเล็กน้อย มีลักษณะเด่น คือ มีดวงตาโต มีแถบสีเหลืองพาด จากตาถึงคอดหาง หรือมีสีเหลือบเหลืองพาดข้างตัว จำแนกออกได้เป็น 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสีกุนทอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสีกุนครีบยาว

ำหรับปลาผมนางสกุลอื่น ดูที่: ปลาผมนาง สำหรับปลามงแซ่ชนิดอื่น ดูที่: ปลาจุยจินขาว ปลาสีกุนครีบยาว หรือ ปลามงแซ่ หรือ ปลาผมนาง (Bumpnose trevally, Longfin trevally) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) มีรูปร่างป้อมสั้น ลำตัวแบนข้าง หัวโต หน้าสั้น สันหัวโค้งนูน นัยน์ตาโต ปากกว้างและเฉียงขึ้นเล็กน้อย คอดหางเล็กและสั้นมาก ครีบหลังมี 2 อัน อันแรกมีขนาดเล็กรูปสามเหลี่ยมอันที่สองยาวมีปลายครีบอ่อนบางอันยืดยาวออกเป็นเส้นเดียวประมาณ 7 อัน คล้ายปลาผมนาง ครีบก้นส่วนที่เป็นก้านครีบอ่อนมีลักษณะเช่นเดียวกับครีบหลังอันที่สอง และมีหนามแหลมสั้น ๆ 2 อัน อยู่หน้าครีบก้น ครีบหูเรียวเป็นรูปเคียว ครีบหางเป็นแฉกลึก มีเกล็ดแข็งอยู่บริเวณโคนหางพื้นลำตัวสีขาว มีสีเหลืองอ่อนตามแนวเส้นข้างตัว ขอบกระดูกกระพุ้งเหงือกมีแถบสีดำเล็ก ๆ อยู่ข้างละแถบ ครีบหางสีเหลืองจัด ครีบอื่น ๆ สีน้ำตาลจาง ๆ เป็นปลาที่กินสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 32 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแถบอินโด-แปซิฟิก พบตั้งแต่แอฟริกาใต้จนถึงญี่ปุ่น และซามัว ด้านฝั่งตะวันออก ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน เป็นปลาเศรษฐกิจที่ใช้เนื้อเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสีกุนครีบยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสีขน

ปลาสีขน หรือ ปลาหางกิ่วหม้อ หรือ ปลากะมงตาแดง หรือ ปลากะมงตาโต (Bigeye trevally, Dusky jack, Great trevally) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) มีลำตัวค่อนข้างอ้วน ยาวเรียว หัวมีขนาดใหญ่และป้อม ปากกว้าง เกล็ดมีขนาดปานกลางบริเวณเส้นข้างลำตัวมีเกล็ดขนาดใหญ่แข็งคม โดยเฉพาะบริเวณโคนหาง ตามีขนาดใหญ่อยู่เกือบสุดปลายจะงอยปาก ครีบอกยาวเรียวแหลม ครีบหลังยาวแยกเป็นสองอัน อันที่เป็นก้านครีบแข็งสั้น อันอ่อนส่วนหน้ายกสูงขึ้นและมีขนาดใกล้เคียงกับครีบก้น ครีบท้องมีขนาดเล็กอยู่ใต้ครีบอก ครีบหางปลายเป็นแฉกลึก พื้นลำตัวด้านบนเป็นสีน้ำเงินปนเขียว จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่อีกชนิดหนึ่งของวงศ์นี้ มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 120 เซนติเมตร หนัก 18 กิโลกรัม แต่ขนาดโดยเฉลี่ยราว 40-60 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรเขตร้อน ได้แก่ มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่แคลิฟอร์เนีย, เอกวาดอร์, แอฟริกาใต้, ญี่ปุ่นทางตอนเหนือ จนถึงออสเตรเลียด้วย สำหรับในน่านน้ำไทยจะพบชุกชุมบริเวณช่องเกาะคราม, แสมสาร, เกาะเต่า ในฝั่งอ่าวไทย และฝั่งทะเลอันดามัน โดยมักจะอยู่รวมกันบางครั้งอาจพบได้ใต้โป๊ะ เป็นต้น และพบได้ถึงแหล่งน้ำจืด เป็นปลาที่มีรสชาติดี จึงนิยมบริโภคเป็นอาหาร และตกเป็นเกมกีฬา และเลี้ยงเป็นปลาสวยงามในน้ำจืด หรือน้ำกร่อย โดยเลี้ยงกันตั้งแต่ยังเล็ก ๆ เหมือนเช่นปลากะมงพร้าว (C. ignobilis) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีขนาดใหญ่กว่า หน้า 123-128, Amphidromous story สุดยอดนักล่า ปลาสองน้ำ คอลัมน์ Wild Ambition โดย ชวิน ตันพิทยคุปต์, กิตติพงษ์ จารุธาณินทร์, นันทวัฒน์ โชติสุวรรณ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสีขน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสีนวล

ปลาสีนวล หรือ ปลากะพงสลิดลายน้ำเงิน หรือ ปลาสลิดทะเลน้ำเงิน (Bluefish, Topsail drummer) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะพงสลิด (Kyphosidae) มีลำตัวหนาแบนข้าง รูปร่างเป็นทรงรูปไข่ ครีบหลังและครีบก้นตอนท้ายปลายเรียว ครีบหางเว้าลึก ครีบหลังแบ่งออกเป็นสองตอนชัดเจน เกล็ดมีขนาดเล็ก ปากมีขนาดเล็ก มีฟันซี่เล็ก ๆ เป็นขน ลำตัวสีเทาคล้ำ มีแถบสีน้ำตาลตามแนวเกล็ดหลายแถบ ครีบต่าง ๆ มีสีคล้ำ มีขนาดความยาวเต็มที่ได้ถึง 50 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 45 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ทะเลแดง, แอฟริกาตะวันออก, ฮาวาย, ทะเลญี่ปุ่น และตอนเหนือของออสเตรเลีย ในน่านน้ำไทยพบได้ชุกชุมทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เป็นปลาที่มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ ว่ายไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งฝูง มักรวมตัวกันบริเวณกองหินหรือแนวปะการังใกล้ชายฝั่ง กินสาหร่ายเป็นอาหารหลัก เป็นปลาที่มีความสำคัญทางการประมงเพียงเล็กน้อ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสีนวล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสี่ตา

ปลาสี่ตา (Four-eyed fishes) สกุลของปลาน้ำจืดในสกุล Anableps ในวงศ์ปลาสี่ตา (Anablepidae) ในอันดับปลาออกลูกเป็นตัว (Cyprinidontiformes) เช่นเดียวกับปลาหางนกยูง, ปลากินยุง หรือปลาสอ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสี่ตา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสีเสียด

ปลาสีเสียดราชบัณฑิตยสถาน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสีเสียด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสคอมบิรอยด์

ปลาสคอมบิรอยด์ หรือ ปลาพารายา (อังกฤษ: Scomberoides; สเปน: Paraya) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hydrolycus scomberoides ในวงศ์ปลาฟันสุนัข (Cynodontidae) อันดับปลาคาราซิน มีรูปร่างแบนข้าง ตัวเพรียวยาว ปากกว้าง มีจุดวงกลมสีดำอยู่หลังครีบอก ในส่วนที่เป็นสันหลังจะมีสีดำเข้ม บริเวณครีบก้นมากกว่าครึ่งก้านครีบที่มีสีดำ ในครีบหางจะมีสีดำตั้งแต่ฐานก้านครีบถึงกึ่งกลางก้านครีบ และจะลดความเข้มข้นของสีไปจนถึงปลายก้านครีบหาง ครีบไขมันมีจุดดำเห็นชัดเจน มีจุดเด่นคือ มีเขี้ยวคู่หนึ่งยาวยื่นออกมาจากขากรรไกรล่าง ซึ่งเขี้ยวเหล่านี้สามารถ 4-6 นิ้ว จนได้รับฉายาว่า "ปลาแวมไพร์" ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 45 เซนติเมตร (แต่ในข้อมูลทั่วไปมักจะระบุว่ายาวได้ถึง 117 เซนติเมตร ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิด) กินปลาขนาดเล็กเป็นอาหาร ในบางครั้งอาจกินปลาที่มีขนาดเท่าตัวหรือใหญ่กว่าได้อีกด้วย พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำริโอทาปาโฮส ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำอเมซอน โดยแหล่งที่พบมากที่สุดแห่งหนึ่ง คือน้ำตกอูไรมา ในเวเนซุเอลา เป็นปลาที่ชาวพื้นเมืองในอเมริกาใต้ใช้เป็นอาหาร และนิยมตกเป็นเกมกีฬา และก็นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย นับเป็นปลาในสกุล Hydrolycus ชนิดแรกที่ถูกนำมาเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม สำหรับในประเทศไทยเป็นปลานำเข้าที่มีราคาแพง ซึ่งพฤติกรรมในสถานที่เลี้ยงจะมีนิสัยขี้ตกใจพอสมควร และโตช้ากว่าชนิดอื่น ๆ ในสกุลเดียวกัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสคอมบิรอยด์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสแปรตแม่น้ำ

ปลาสแปรตแม่น้ำ (River sprat) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในสกุล Clupeichthys ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) จัดเป็นปลาสแปรตหรือปลาเฮร์ริงจำพวกหนึ่ง เป็นปลามีขนาดเล็กพบในแม่น้ำหรือแหล่งน้ำจืดต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญในท้องถิ่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสแปรตแม่น้ำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาส่อ

ปลาส่อ เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง มีชื่อสกุลว่า Crossocheilus (/ครอส-โซ-ไคล-อัส/) ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ในวงศ์ย่อย Garrinae มีรูปร่างโดยทั่วไป คือ เป็นปลาขนาดเล็ก ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร มีลำตัวเรียวยาวทรงกลม หัวสั้นเป็นรูปกระสวย ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย ท้องกลม มีหนวดอยู่ 1 คู่ ลักษณะสำคัญ คือ มีหนังที่จะงอยปากเชื่อมติดกับริมฝีปากบน ริมฝีปากบนและล่างไม่ติดกัน บนจะงอยปากมีรูเล็ก ๆ และตุ่มเล็ก ๆ เรียงกันเป็นแถว ครีบหลังมีก้านครีบแขนง 8 ก้าน และก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายไม่แข็ง ขอบเรียบ ครีบหลังยกสูง อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง มักอาศัยอยู่ในลำธารและแหล่งน้ำเชี่ยว รวมถึงแม่น้ำสายใหญ่ ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ กินอาหารจำพวก ตะไคร่น้ำหรือสาหร่ายบนโขดหิน หรือแมลงน้ำและแพลงก์ตอนขนาดเล็กต่าง ๆ หลายชนิดจะมีแถบสีดำพาดลำตัวในแนวนอน โดยปลาในสกุลนี้ มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลาเล็บมือนาง" หรือ "ปลาสร้อยดอกยาง" เป็นต้น เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่นและเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีประโยชน์ในการเก็บกินเศษอาหารหรือตะไคร่น้ำภายในตู้เลี้ยง และยังนำไปในกิจการฟิชสปาหรือสปาปลาแทนที่ปลาเลียหินที่มีลักษณะและพฤติกรรมคล้ายคลึงกันได้อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาส่อ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสเกต

ปลาสเกต (Skate) ปลากระดูกอ่อนจำพวกหนึ่ง ในกลุ่มปลากระเบน จัดอยู่ในวงศ์ Rajidae จัดเป็นปลากระเบนขนาดเล็ก แต่มีความแตกต่างไปจากปลากระเบนรวมถึงปลากระดูกอ่อนจำพวกอื่น ๆ ปัจจุบันพบมากกว่า 200 ชนิด แบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ย่อย คือ Rajinae และ Arhynchobatinae ปลาสเกตนับว่าเป็นปลากระเบนขนาดเล็ก จึงนิยมนำมาปรุงเป็นอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศทางตะวันตก เพราะมีขนาดเล็กและเนื้อไม่มีกลิ่นแอมโมเนียฉุนเหมือนกับปลากระเบนจำพวกอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสเกต · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสเตอร์เจียน

ปลาสเตอร์เจียน (Sturgeon, Oсетр, 鱘) ปลากระดูกแข็งขนาดใหญ่ในวงศ์ Acipenseridae ในอันดับ Acipenseriformes อาศัยได้อยู่ทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล เมื่อยังเล็กจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด ทะเลสาบหรือตามปากแม่น้ำ แต่เมื่อโตขึ้นจะว่ายอพยพสลงสู่ทะเลใหญ่ และเมื่อถึงฤดูวางไข่ก็จะว่ายกลับมาวางไข่ในแหล่งน้ำจืด ปลาสเตอร์เจียน เป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา ที่เรียกว่า คาเวียร์ ซึ่งนับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ปลาสเตอร์เจียน มีรูปร่างคล้ายปลาฉลาม มีหนามแหลมสั้น ๆ บริเวณหลัง หัว และเส้นข้างลำตัวไว้เพื่อป้องกันตัว มีหนวดทั้งหมด 2 คู่อยู่บริเวณปลายจมูก ปลายหัวแหลม ปากอยู่ใต้ลำตัว ลำตัวไม่มีเกล็ด ภายในปากไม่มีฟัน ตามีขนาดเล็ก ซึ่งหนวดของปลาสเตอร์เจียนนี้มีหน้าที่สัมผัสและรับคลื่นกระแสไฟฟ้าขณะที่ว่ายน้ำ เนื่องจากไม่สามารถมองเห็นวัตถุที่อยู่ด้านใต้ของลำตัว เพราะฉะนั้นหนวดเหล่านี้มีหน้าที่เหมือนมือที่คอยสัมผัสกับสิ่งของที่อยู่ข้างใต้ของตัวเอง หากินตามพื้นน้ำโดยอาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ สเตอร์เจียนจะพบแต่เฉพาะซีกโลกทางเหนือซึ่งเป็นเขตหนาวเท่านั้น ได้แก่ ทวีปเอเชียตอนเหนือและตะวันออก, ทวีปยุโรปตอนเหนือ และทวีปอเมริกาเหนือตอนบน เช่น อะแลสกา, แคนาดา และบางส่วนในสหรัฐอเมริกา สถานะปัจจุบันของปลาชนิดนี้ในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์เต็มที แต่ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในบางชนิด ปลาสเตอร์เจียน มีทั้งหมด 27 ชนิด ใน 3 สกุล โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุดคือ ปลาฮูโซ่ (Huso huso) พบในรัสเซีย สามารถโตเต็มที่ได้ถึง 5 เมตร หนักกว่า 900 กิโลกรัม และมีอายุยืนยาวถึง 210 ปี นับเป็นปลาที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก เท่าที่มีการบันทึกมา และเป็นชนิดที่ให้ไข่รสชาติดีที่สุดและแพงที่สุดด้วย ส่วนชนิดที่เล็กที่สุดคือ ปลาสเตอร์เจียนแคระ (Pseudoscaphirhynchus hermanni) ที่โตเต็มที่มีขนาดไม่ถึง 1 ฟุตเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้แล้ว ปลาสเตอร์เจียนยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย ในประเทศไทย ปลาสเตอร์เจียนชนิด ปลาสเตอร์เจียนไซบีเรีย (Acipenser baerii) ได้มีการทดลองเลี้ยงในโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ดอยคำ อันเป็นโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อำเภอเวียงแหง ที่หน่วยวิจัยประมงบนพื้นที่สูงดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง และศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงใหม่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผลการทดลองเป็นไปได้อย่างดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสเตอร์เจียน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสเตอร์เจียนยุโรป

ปลาสเตอร์เจียนยุโรป หรือ ปลาสเตอร์เจียนธรรมดา (Baltic sturgeon, Common sturgeon, European sturgeon) เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสเตอร์เจียน (Acipenseridae) มีรูปร่างหนาตัวยาวเรียว มีเกล็ดซึ่งเรียงกันเป็นหนามอยู่ 5 แถวทำให้ลำตัวเป็นเหลี่ยม ส่วนหัวขนาดใหญ่ค่อนข้างยาวแบนลง ส่วนปลายสุดค่อน ข้างแหลมงอนขึ้นเล็กน้อย มีลักษณะคล้ายพลั่วตักดิน ตามีขนาดเล็กสีดำกลมกลืนกับ สีลำตัวที่ด้านหน้าตอนใต้ของตามีช่องเปิด 2 ช่อง ช่วยในการหายใจ และดมกลิ่น ปาก อยู่ด้านใต้ที่ส่วนหน้าของปากมีหนวด 4 เส้น ซึ่งเป็นประสาทสัมผัสที่ไวมาก ปากสามารถ ยืดหดออกมาเพื่อดูดอาหาร มีครีบ 7 ครีบ ครีบหลังอยู่ค่อนไปทางโคนหางมีขนาดเล็ก หน้าครีบหลังมีแถวหนามเรียงกัน โดยเริ่มตั้งแต่ด้านหลังส่วนหัวเป็นต้นไป ครีบหางเป็นแฉกเว้ายาวไม่เท่ากัน ครีบหางตอนบนจะยื่นยาวออกไปมากกว่าครีบหางตอนล่าง ซึ่งสั้นมากลักษณะคล้ายหางของปลาฉลาม ครีบท้องและครีบก้นอยู่ค่อนมาทางตอน ท้ายของลำตัว สีลำตัวเป็นสีเทาเข้ม หรือสีดำ ส่วนใต้ท้องมีสีขาวจาง มีความยาวโดยเฉลี่ย 1–2 เมตร พบใหญ่ที่สุดถึง 3.5 เมตร น้ำหนักโดยเฉลี่ย 150 กิโลกรัม พบหนักที่สุดถึง 315 กิโลกรัม อายุเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ในตัวเมียอยู่ที่ 16–18 ปี ขณะที่ตัวผู้อยู่ที่ 12–14 ปี มีอายุยืนได้ถึง 40 ปี พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น ทะเลสาบ, แม่น้ำ ในภูมิภาคยุโรปตะวันออก ยกเว้นทะเลดำ ปลาสเตอร์เจียนยุโรป เป็นปลาสเตอร์เจียนชนิดที่นิยมบริโภคและนำไข่ทำคาเวียร์ มากที่สุด อีกทั้งลูกปลาขนาดเล็กยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสเตอร์เจียนยุโรป · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสเตอร์เจียนขาว

ปลาสเตอร์เจียนขาว (Beluga, European sturgeon, Giant sturgeon, Great sturgeon; Белуга-แปลว่า สีขาว) ปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Acipenseridae มีลักษณะลำตัวยาว ส่วนของหางเหมือนปลาฉลาม มีเกล็ดเป็นหนามแหลม ๆ เรียงเป็นแถวอยู่บนลำตัว ปลายปากเรียวแหลม ช่องปากอยู่ด้านล่างของลำตัวมีหนวดขนาดเล็กหลายเส้นรอบ ๆ ปากไว้รับสัมผัส ส่วนหลังมีสีดำอมเทา ส่วนท้องและขอบครีบต่าง ๆ มีสีขาว เมื่อยังเล็กส่วนท้องจะมีสีขาว ส่วนขอบของครีบมีสีขาว พื้นลำตัวมีสีเทาและหนามบนหลังมีสีขาว จึงเป็นที่มาของชื่อ ปลาสเตอร์เจียนขาว นับเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่มาก เมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 5 เมตร น้ำหนักถึง 900 กิโลกรัม และมีบันทึกว่าพบใหญ่ที่สุดถึง 9 เมตร นับเป็น 2 เท่าตัวของความยาวปลาฉลามขาว ด้วยซ้ำจึงจัดว่าเป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ในธรรมชาติพบการแพร่กระจายในเขตหนาวของทวีปยุโรป เช่น ทะเลดำ, ทะเลสาบแคสเปียน และทะเลเอเดรียติก หากินอยู่ตามพื้นน้ำโดยใช้หนวดสัมผัส อาหารได้แก่ ปลาขนาดเล็กและสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ ใน..

ใหม่!!: สัตว์และปลาสเตอร์เจียนขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสเตอร์เจียนแปซิฟิก

ปลาสเตอร์เจียนแปซิฟิก หรือที่นิยมเรียกกันว่า ปลาสเตอร์เจียนขาว (Pacific sturgeon, White sturgeon; หมายถึง "ปลาสเตอร์เจียนที่ใหญ่กว่าภูเขา") เป็นปลาสเตอร์เจียนชนิดหนึ่ง มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลาสเตอร์เจียนชนิดอื่น ๆ พบกระจายพันธุ์ในเขตน้ำเย็นของชายฝั่งอ่าวมอนเทอเรย์ของทวีปอเมริกาเหนือ หมู่เกาะอาลิวเชียน ทะเลสาบอิลลิแอมนาในรัฐอะแลสกา แม่น้ำโคลอมเบียในแคนาดา ไปจนถึงแคลิฟอร์เนียตอนกลาง ใต้ส่วนหัวมีหนวดใช้สำหรับสัมผัสหาอาหารใต้น้ำเป็นอาหาร 4 เส้น กินอาหารได้แก่ ปลาขนาดเล็กทั่วไป และสัตว์น้ำมีกระดอง เช่น ปู กุ้ง และหอย ส่วนหัวมีเส้นประสาทเป็นจำนวนมาก ข้างลำตัว ส่วนหัว และส่วนหลังมีกระดูกยื่นออกมาโดยรอบใช้สำหรับป้องกันตัว จัดเป็นปลาสองน้ำจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด ทะเลสาบ หรือบริเวณปากแม่น้ำในวัยอ่อน แต่เมื่อโตขึ้นจะว่ายอพยพลงสู่ทะเลบริเวณชายฝั่ง และเมื่อถึงฤดูวางไข่ก็จะว่ายกลับมาวางไข่ในแหล่งน้ำจืดอีกครั้ง ปลาสเตอร์เจียนขาวนับเป็นปลาสเตอร์เจียนที่มีความใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับ ปลาสเตอร์เจียนฮูโซ่ (Huso huso) และนับเป็นปลาสเตอร์เจียนที่มีความใหญ่ที่สุดที่อยู่ในสกุล Acipenser ด้วย โดยเคยมีบันทึกไว้ว่าตัวที่ใหญ่ที่สุดยาวถึง 20 ฟุต และน้ำหนักถึง 816 กิโลกรัม เชื่อว่ามีอายุยืนยาวได้นานถึง 200 ปี จัดเป็นปลาเศรษฐกิจและนิยมตกกันเป็นเกมกีฬา นอกจากนี้แล้ว ปลาสเตอร์เจียนขาวยังสามารถกระโดดขึ้นเหนือน้ำได้ด้วยเมื่อตกใจ ทั้ง ๆ ที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้เรือของชาวประมงและชาวพื้นเมืองอับปาง และมีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำ จึงทำให้ได้ได้รับการขนานนามว่าเป็นสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบอิลลิแอมนา โดยที่ชาวพื้นเมืองมีความเชื่อหากได้พบเจอกับสัตว์ประหลาดตัวนี้แล้วจะพบกับความหายน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาสเตอร์เจียนแปซิฟิก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสเตอร์เจียนใหญ่

ปลาสเตอร์เจียนใหญ่ (Greater sturgeons) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ จำพวกปลาสเตอร์เจียน (Acipenseridae) ในสกุล Acipenser (/อะ-ซิ-เพน-เซอร์/).

ใหม่!!: สัตว์และปลาสเตอร์เจียนใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาสเตอร์เจียนไซบีเรีย

ปลาสเตอร์เจียนไซบีเรีย (อังกฤษ: Siberian sturgeon) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Acipenser baerii ในวงศ์ Acipenseridae มีรูปร่างเหมือนปลาสเตอร์เจียนทั่วไป มีจะงอยปากขาว มีหนวด 4 เส้น ที่หน้าปากด้านหลังมีสีน้ำตาลเทาจนถึงดำ สีท้องมีสีขาวจนถึงเหลือง พบในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ในลุ่มแม่น้ำของไซบีเรีย ในรัสเซีย, คาซัคสถาน และจีน ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 200 เซนติเมตร น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม สามารถมีอายุยืนได้ถึง 60 ปี มีชนิดย่อยทั้งหมด 2 ชนิด คือ A. b. baicalensis พบในทะเลสาบไบคาล (มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า สเตอร์เจียนไบคาล) และ A. b. stenorrhynchus ปลาสเตอร์เจียนไซบีเรีย นับเป็นปลาสเตอร์เจียนชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมจับเพื่อการพาณิชย์เพื่อการบริโภคมาก โดยนิยมรับประทาน ไข่ปลาคาเวียร์ และนำไข่ปลาคาเวียร์นี้ไปทำเป็นเครื่องสำอาง สำหรับในประเทศไทย ปลาสเตอร์เจียนชนิดนี้มีการทดลองเลี้ยงในโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ดอยคำ อันเป็นโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อำเภอเวียงแหง ที่หน่วยวิจัยประมงบนพื้นที่สูงดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง และศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงใหม่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผลการทดลองเป็นไปได้อย่างดี โดยทำการเพาะฟักจากไข่ปลาที่นำเข้ามาจากรัสเซีย เริ่มตั้งแต่ปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาสเตอร์เจียนไซบีเรีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอ

ปลาหมอ ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anabas testudineus ในวงศ์ปลาหมอ (Anabantidae) มีรูปร่างป้อม ลำตัวแบนข้าง ตาโต ปากกว้าง ขอบฝาปิดเหงือกหยักแข็ง เกล็ดใหญ่คลุมทั้งลำตัว มีขอบเกล็ดแบบหยัก ผิวสาก เส้นข้างลำตัวขาดตอน ครีบหลังยาวเกือบเท่าความยาวลำตัว มีก้านครีบแข็งแหลมคมจำนวนมากเช่นเดียวกับครีบก้น แต่ครีบก้นสั้นกว่า ครีบอกเล็กเป็นรูปไข่ ครีบหางปลายมน ตัวมีสีเขียวมะกอกและมีลายประสีคล้ำที่ข้างลำตัว ครีบใส ลำตัวด้านท้องมีสีเหลือง ขอบฝาปิดเหงือกตอนบนมีแต้มสีคล้ำ มีอวัยวะช่วยหายใจเป็นแผ่นริ้วย่น ๆ อยู่ตอนบนของของช่องเหงือก จึงสามารถฮุบอากาศจากบนผิวน้ำได้โดยตรงโดยไม่ต้องรอให้ออกซิเจนละลายในน้ำ และสามารถอยู่บนบกหรือพื้นที่ขาดน้ำได้เป็นระยะเวลานาน ๆ ซึ่งในฤดูฝนบางครั้งจะพบปลาหมอแถกเหงือกไถลคืบคลานไปบนบกเพื่อหาที่อยู่ใหม่ได้ ด้วยความสามารถอันนี้ในภาษาอังกฤษจึงเรียกปลาชนิดนี้ว่า "Climbing perch" หรือ "Climbing gourami" ปลาหมอกำลังแถกเหงือกบนบก ความยาวยาวประมาณ 10-13 เซนติเมตร ใหญ่สุดพบถึง 20 เซนติเมตร มีพฤติกรรมการวางไข่โดยตัวผู้และตัวเมียช่วยกันปรับที่วางไข่ โดยวางไข่ลอยเป็นแพ แต่จะปล่อยให้ลูกปลาเติบโตขึ้นมาเอง ปลาหมอเป็นปลาที่สามารถพบได้ในทุกแหล่งน้ำ กระจายอยู่ทั่วไปในทวีปเอเชีย สำหรับในประเทศไทยพบทุกภาค และเป็นปลาที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยใช้เป็นอาหารมาช้านาน และมีความเชื่อว่าหากปล่อยปลาหมอจะทำให้ไม่เป็นโรคหรือหายจะโรคได้ ด้วยชื่อที่มีความหมายถึงหมอหรือแพทย์ผู้รักษาโรค และนิยมเลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจในปัจจุบัน อีกทั้งในปลาที่มีสีกลายไปจากสีปกติ เช่น สีทองยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ที่มีราคาขายแพงอีกด้วย มีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น "ปลาหมอไทย", "ปลาเข็ง" หรือ "ปลาสะเด็ด" ในภาษาอีสาน เป็นต้น ในขณะที่ภาษายาวีเรียกว่า "อีแกปูยู".

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอ (สกุล)

ปลาหมอ (Climbing perch) ชื่อสกุลของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาหมอ (Anabantidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Anabas (/อะ-นา-เบส/) ลักษณะที่สำคัญของปลาในสกุลนี้คือ จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่ด้านหน้าจุดเริ่มต้นของครีบอก และฐานของครีบหลังยาวกว่าฐานของครีบก้น มีฟันเป็นทรงกรวยลักษณะแหลมคม ไม่มีฟันที่เพดานปาก มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร พบกระจายทั่วไปในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์และฟิลิปปินส์ พบเพียง 2 ชนิดเท่านั้น คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอ (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอบัตเตอร์

ปลาหมอบัตเตอร์ (Zebra tilapia, Zebra cichlid) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีรูปร่างคล้ายปลานิล (Oreochromis niloticus) หรือปลาทิลอาเพียชนิดอื่น ซึ่งเคยอยู่ร่วมกันในสกุล Tilapia มาก่อน ซึ่งปัจจุบันเป็นชื่อพ้องDunz, A. R. & Schliewen, U. K.; (2013): Molecular phylogeny and revised classification of the haplotilapiine cichlid fishes formerly referred to as “Tilapia”.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอบัตเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอช้างเหยียบ

ำหรับปลาตะกรับอย่างอื่น ดูที่: ปลาตะกรับ ปลาหมอช้างเหยียบ (Striped tiger leaffish, Banded leaffish, Malayan leaffish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pristolepis fasciata ในวงศ์ปลาหมอช้างเหยียบ (Pristolepididae) มีรูปร่างป้อม ลำตัวด้านข้างแบนพื้นลำตัวสีเขียวหรือสีน้ำตาลปนเหลือง มีเกล็ดแบบสากและขอบหยักปกคลุมทั่วตัวมีแถบสีดำพาดขวางลำตัวประมาณ 8-12 แถบ หัวเล็กจะงอยปากสั้นทู่ ปากเล็กยืดหดได้เล็กน้อย มีฟันซี่เล็ก ๆ เป็นแถวอยู่บนขากรรไกรบนและล่าง รูจมูกแยกจากกันอย่างเด่นชัดและอยู่ชิดกับตา ครีบหลังมีสองส่วนเชื่อมติดกันเป็นแนวยาว ส่วนหน้าเป็นด้านเดียวเป็นหนามแหลมคม ส่วนหลังเป็นครีบอ่อน ครีบก้นใหญ่มีก้านครีบแข็งและแหลมคม ครีบหางใหญ่ปลายหางมนกลม มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 5-10 เซนติเมตร พบได้ใหญ่ที่สุด 20 เซนติเมตร จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในวงศ์นี้ เป็นปลาที่พบได้ทุกสภาพของแหล่งน้ำทั้งแหล่งน้ำนิ่งและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค รวมถึงในแหล่งที่เป็นน้ำกร่อยด้วย ในต่างประเทศพบได้ทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีฤดูวางไข่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนสิงหาคม ไข่มีลักษณะเม็ดกลมสีเหลืองเข้มเป็นไข่ลอย เป็นปลาที่กินสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร นิยมตกกันเป็นเกมกีฬาและรับประทานเป็นอาหาร มีการเพาะเลี้ยงกันเป็นปลาเศรษฐกิจ ปลาหมอช้างเหยียบยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น ปลาหมอโค้ว, ปลาปาตอง, ปลาหมอน้ำ, ปลาตะกรับ, ปลากระตรับ, ปลาหน้านวล, ปลาก๋า หรือ ปลาอีก๋า เป็นต้น ในขณะที่ภาษาใต้เรียกว่า ปลาหมอโพรก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอช้างเหยียบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอฟรอนโตซ่า

ปลาหมอฟรอนโตซ่า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cyphotilapia frontosa อยู่ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีรูปร่างแบนข้าง ริมฝีปากหนา ลำตัวสีขาวคาดด้วยแถบสีดำเป็นปล้อง ๆ ตลอดลำตัว ครีบต่าง ๆ ปลายครีบยาวแหลมโดยเฉพาะตัวผู้ เมื่อโตขึ้นหัวของตัวผู้จะโหนกนูนเห็นได้ชัดเจน มีความยาวเต็มที่ราว 30 เซนติเมตร มักอาศัยอยู่รวมเป็นฝูง อาศัยอยู่ในบริเวณน้ำลึก มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาบริเวณแอฟริกาตอนกลางและแอฟริกาตะวันออก โดยเฉพาะในทะเลสาบแทนกันยีกา อาหารหลักได้แก่ ลูกปลาขนาดเล็กกว่า ปลาหมอฟรอนโตซ่าจัดเป็นปลาที่มีความสวยงามมากชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาหมอสี จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามมาช้านาน จนอาจกล่าวได้ว่า เป็น "ราชาของปลาหมอสี" เช่นเดียวกับปลาปอมปาดัวร์ที่ถูกจัดเป็น "ราชินีแห่งปลาตู้" ในแวดวงปลาสวยงามจะจำแนกปลาหมอฟรอนโตซ่าเป็นสายพันธุ์ย่อยต่าง ๆ โดยแบ่งตามเกณฑ์ที่พบในแหล่งน้ำหรือภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งสามารถแบ่งได้นับ 10 สายพันธุ์ แต่ไม่จัดว่าเป็นการแบ่งตามหลักอนุกรมวิธาน ปลาหมอฟรอนโตซ่าจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ได้เมื่อถึงอายุ 3-4 ปี โดยตัวเมียจะมีพฤติกรรมอมไข่หลังจากไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว ใช้เวลาฟักเป็นตัวราว 4 สัปดาห์ จัดเป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่มีอายุยาวนาน โดยสามารถมีอายุยาวได้ถึง 25 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอฟรอนโตซ่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอฟรอนโตซ่า (สกุล)

ปลาหมอฟรอนโตซ่า (Frontosa cichilds, Humphead cichlids) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cyphotilapia เป็นปลาหมอสีที่พบอาศัยอยู่ในทะเลสาบแทนกันยีกาในทวีปแอฟริกาเท่านั้น โดยกระจายพันธุ์ไปทั่วทะเลสาบ ในความลึกตั้งแต่ 10-50 เมตร ซึ่งตามแนวความลึกนั้นจะมีภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน เป็นปลาที่มีขนาดโตเต็มที่ได้ราว 14 นิ้ว มีอายุยืนยาวถึง 25 ปี ลำตัวมีแถบสีดำ 6 แถบ หรือ 7 แถบ (ในบางสายพันธุ์) ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแหล่งอาศัย บ้างก็เป็นขีดเส้นตัดตรงพาดจากหน้าผากผ่านมาที่แก้ม บ้างก็มีลักษณะเป็นหน้ากากสามเหลี่ยมครอบบริเวณดวงตา บ้างก็เป็นปื้นสีดำเหมือนเคราของมนุษย์ เป็นต้น เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร นิยมอยู่รวมกันเป็นฝูง ล่าปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร รวมทั้งสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังตามพื้นน้ำด้วย มีพฤติกรรมเมื่อว่ายน้ำจะกางครีบ ทำตัวอยู่นิ่ง ๆ ในแนวหินในระดับความลึกตั้งแต่ 10 เมตรลงไป โดยมักไม่ค่อยเคลื่อนไหวเพื่อเป็นการออมการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งในบางครั้งทำให้สามารถอดอาหารได้เป็นเดือน แต่เมื่อเวลากินหรือล่าเหยื่อนั้นจะว่องไวมาก มีตัวผู้ตัวใหญ่สุดเป็นจ่าฝูง ซึ่งในฝูงจะประกอบด้วยปลาตัวเมีย และปลาตัวผู้ที่เล็กกว่าตัวอื่น ปลาที่เป็นจ่าฝูงมักจะขับสีตัวเองให้เป็นสีเข้มเหมือนสีดำเพื่อเป็นการข่มปลาตัวอื่น เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 4 ปี โดยปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายต้อนปลาตัวเมียมายังรังที่สร้างไว้เพื่อวางไข่ พร้อมกับขับไล่ปลาตัวอื่น ไม่ให้เข้าใกล้ เมื่อตัวเมียวางไข่จะอมไข่ไว้ในปาก ปลาตัวผู้จะฉีดน้ำเชื้อ เพื่อให้ตัวเมียเก็บน้ำเชื้อเข้าปากเพื่อปฏิสนธิ และหลังจากนั้นปลาตัวเมียจะไม่กินอาหารเลย เป็นระยะเวลาราว 21 วัน ซึ่งปลาจะฟักเป็นตัว จึงคายลูกปลาออกมา ได้รับความนิยมอย่างมากในแง่ของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยแบ่งเป็นสายพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่เป็นหลักในการอนุกรมวิธาน โดยเรียกชื่อกันตามลักษณะภายนอกของปลาและถิ่นที่อยู่อาศัยตามพื้นที่ต่าง ๆ ของทะเลสาบ แต่โดยหลักของการอนุกรมวิธานแล้ว จะแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอฟรอนโตซ่า (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอฟลามิงโก้

ปลาหมอฟลามิงโก้ หรือ ปลาหมอไมดาส (Red devil cichild, Midas cichlid) เป็นปลาชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) พบกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้ จัดเป็นปลาหมอสีที่มีรูปร่างใหญ่ เมื่อโตเต็มที่จะยาวได้ 25-30 เซนติเมตร มีลักษณะลำตัวค่อนข้างแบนกว้าง ส่วนหัวจะมีโหนกนูนอย่างเห็นได้ชัดเจนเมื่อโตเต็มที่ ริมฝีปากหนา ตาสีดำ ครีบอกแผ่กว้างปลายมนเล็กน้อย ครีบกระโดงหลังจะเรียวยาวแผ่กว้างไปทางด้านหลัง ครีบท้อง 2 อันเท่ากัน ขณะที่ครีบทวารจะแผ่กว้างคล้ายครีบกระโดงแต่ไม่ยาวมาก ครีบหางแผ่กว้างปลายมนเล็กน้อย ลำตัวมีสีหลากหลายทั้งสีส้ม, เหลือง, ขาว ปนอยู่ โดยมีแถบสีดำแซม ขึ้นอยู่กับที่การเปลี่ยนสี หรือ "การลอก" ในภาษาเฉพาะของวงการปลาสวยงามว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งปลาที่มีสีส้มหรือแดง นิยมเรียกว่า ปลาหมอเรดเดวิล หรือ ปลาหมอเรดอเมริกา ปลาหมอฟลามิงโก้เป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าว หวงอาณาเขตเป็นปลาที่อยู่ตามลำพังเพียงตัวเดียว ชอบขุดคุ้ยซอกหิน ซอกไม้ ในการหลบซ่อนตัว โดยเฉพาะปลาตัวผู้ที่มีโหนกใหญ่บนหัวจะก้าวร้าวมาก ปลาหมอฟลามิงโก้ นั้นสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในตู้เลี้ยงตั้งแต่ขนาด 24 นิ้วขึ้นไป โดยวางไข่ติดไว้กับพื้นหรือหิน ตัวเมียเมื่อมีความสมบูรณ์เต็มที่จะออกไข่ได้ครั้งละ 400-800 ฟอง ลักษณะไข่มีสีเหลืองนวล ไข่ใช้เวลา 3 วัน ในการฟักเป็นตัว แยกเพศโดยการสังเกตที่ส่วนท้อง ช่องเพศของตัวเมียจะมีลักษณะกลมใหญ่กว่า ขณะที่ตัวผู้จะยาวแหลมยื่นออกมา และมีลำตัวและส่วนหัวใหญ่กว่าตัวเมียอย่างเห็นได้ชัด ปลาหมอฟลามิงโก้ ถือเป็นปลาชนิดที่เป็นต้นแบบของปลาหมอลูกผสม หรือที่เรียกกันว่า ครอสบรีด เช่น ปลาหมอฟลาวเวอร์ฮอร์น เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอฟลามิงโก้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอกิบเบโรซ่า

ปลาหมอกิบเบโรซ่า ปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดอยู่ในสกุล Cyphotilapia ซึ่งเป็นสกุลเดียวกับปลาหมอฟรอนโตซ่า (C.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอกิบเบโรซ่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอมาคูลิคัวด้า

ปลาหมอมาคูลิคัวด้า หรือ ปลาหมอเวียจา (Spotted cichlid, Blackbalt cichild) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดเป็นปลาหมอสีชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ มีพื้นลำตัวสีน้ำตาลจางแกมเหลือง แต่อาจมีสีม่วงแซมอยู่บ้าง มีจุดเล็ก ๆ สีดำกระจายทั่วไปตั้งแต่กลางลำตัวไปจนถึงบริเวณหาง และมีแถบเส้นสีดำขนาดใหญ่พาดกลางลำตัวในแนวตั้งคล้ายคาดเข็มขัดเป็นจุดเด่น แลเห็นชัดเจน หัวมีลักษณะค่อนข้างกลม ปากใหญ่ ริมฝีปากค่อนข้างหนา แก้มและท้องมีสีแดงเรื่อ ๆ นัยน์ตามีสีเขียว ครีบอกใส ครีบกระโดงหลังแผ่กว้างบริเวณส่วนปลายครีบเรียวแหลม เช่นเดียวกับครีบทวารแต่สั้นกว่า ครีบหางมีขนาดใหญ่ ปลายมนกลม ทุกครีบ ยกเว้นครีบอกมีจุดสีดำกระจายทุกครีบโดยมีพื้นสีม่วงจาง ๆ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 35-40 เซนติเมตร กระจายพันธุ์ในภาคพื้นอเมริกากลางตั้งแต่ตอนใต้ของเม็กซิโก, นิคารากัว, ปานามา จนถึงทวีปอเมริกาใต้ เป็นปลาหมอสีชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ซึ่งปลาหมอมาคูลิคัวด้า จัดเป็นปลาหมอสีชนิดหนึ่งที่มีนิสัย ก้าวร้าว หวงถิ่น เมื่อเทียบกับปลาหมอสีขนาดใหญ่ชนิดอื่น ๆ และมีนิสัยชอบขุดคุ้ยกรวดทรายบริเวณพื้นตู้ และสามารถเพาะขยายพันธุ์ในตู้เลี้ยงได้ เมื่อปลาจับคู่ได้แล้ว โดยปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายเลือกมุมหนึ่งของตู้เพื่อสร้างรัง ด้วยการใช้ปากคาบกรวดไปทิ้งรอบ ๆ เป็นวงกลม และเชิญชวนปลาตัวเมียมาวางไข่ โดยที่จะปล่อยไข่ออกมาด้วยการใช้ท้องถูกับวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำ และปลาตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าปฏิสนธิ เมื่อปลาตัวเมียปล่อยไข่หมดแล้ว ก็จะเสร็จสิ้นการผสมพันธุ์ จากนั้นปลาทั้งคู่จะช่วยกันดูแลไข่ โดยที่ไข่ใช้เวลาฟักประมาณ 2-3 วัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอมาคูลิคัวด้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอริวูเลตัส

ปลาหมอริวูเลตัส (Green terror) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีลักษณะเด่น คือ มีลวดลายสีฟ้าสะท้อนแสงที่หน้า เมื่อปลาโตเต็มที่ลวดลายดังกล่าวจะยิ่งแตกเป็นลายพร้อยมากขึ้น รวมถึงบริเวณริมฝีปากด้วย ขอบครีบหลังและครีบก้นมีขลิบสีแดงพาดยาวไปจนถึงความยาวสุดของครีบหลัง บริเวณลำตัวมีลายเหมือนตาข่ายและมีจุดสีดำขนาดใหญ่ที่กลางลำตัว ในบางตัวอาจจะเป็นลายยาว และบริเวณแผ่นปิดเหงือกจะมีแถบสีดำยาวตั้งแต่ตาไปจนถึงแก้ม แต่สีดังกล่าวจะซีดลงได้เมื่อปลาตกใจหรืออยู่ในภาวะเครียด ปลาหมอริวูเลตัส มีความยาวเมื่อโตเต็มที่ราว 25-30 เซนติเมตร โดยเฉพาะในปลาตัวผู้จะมีสีสันและลำตัวขนาดใหญ่กว่าตัวเมียมาก และมีส่วนหัวที่โหนก ขณะที่ตัวเมียมีความยาวได้แค่ครึ่งของตัวผู้ คือ ราว ๆ 12 เซนติเมตร และไม่มีโหนกที่ส่วนหัว แพร่กระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำต่าง ๆ บริเวณภาคตะวันตกของประเทศเอกวาดอร์ และทางตอนเหนือของเปรู ซึ่งปลาหมอริวูเลตัสในแต่ละแหล่งอาจมีสีและลักษณะต่าง ๆ แตกต่างกันได้ตามภูมิประเทศที่อาศัย เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เป็นปลาที่มีอุปนิสัยไม่ดุร้ายก้าวร้าวมากนักเมื่อเทียบกับปลาหมอสีชนิดอื่น สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในตู้เลี้ยง เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ปลาตัวผู้จะมีสีสันและลวดลายต่าง ๆ สวยกว่าปกติ ช่องเพศจะขยายใหญ่ขึ้น รวมถึงปลาตัวเมียก็จะมีสีเข้มขึ้น และจะมีอุปนิสัยดุร้ายก้าวร้าวมากขึ้น โดยตัวเมียจะเป็นฝ่ายขุดหลุมและวางไข่ ซึ่งบางครั้งอาจวางไข่ติดกับวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำ จากนั้นตัวผู้จะเข้าไปฉีดน้ำเชื้อปฏิสนธิ และทั้งคู่จะช่วยกันดูแลไข่ ตัวเมียจะวางไข่ได้ครั้งละ 200-300 ฟอง ลูกปลาจะฟักเป็นตัวในวันที่ 3 และวันที่ 4 ก็จะเริ่มว่ายน้ำได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอริวูเลตัส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอลายตารางหมากรุก

ปลาหมอลายตารางหมากรุก หรือ ปลาหมอแคระไดครอสซัส เป็นสกุลของปลาจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) เป็นปลาขนาดเล็กจำพวกปลาหมอแคระ ใช้ชื่อสกุลว่า Dicrossus (/ได-ครอส-ซัส/) เป็นปลาที่มีลำตัวเพรียวบาง ปากแหลมเล็ก พื้นลำตัวสีขาวหรือเทา มีลายจุดสี่เหลี่ยมไขว้เรียงกันเป็นระเบียบจนดูคล้ายตารางหมากรุกในแนวนอนอย่างมีระเบียบสองแถว อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ มีความยาวเฉลี่ยไม่เกิน 4 นิ้ว สำหรับปลาตัวผู้ และ 2 นิ้วสำหรับปลาตัวเมีย พบกระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำอเมซอน, โอริโนโค, เนโกร, ทาปาโฆส และมาไดรา ในประเทศบราซิลและใกล้เคียง ทั้งในบริเวณที่เป็นแหล่งน้ำสีชาและแหล่งน้ำใส มีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอลายตารางหมากรุก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอลายเมฆ

ปลาหมอลายเมฆ หรือ ปลาหมอนิมโบโครมิส (Sleeper cichlid) เป็นปลาน้ำจืดในสกุล Nimbochromis (/นิม-โบ-โคร-มิส/) ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดเป็นปลาหมอสีที่พบได้เฉพาะในทะเลสาบมาลาวี รวมถึงแหล่งน้ำอื่นใกล้เคียงเท่านั้น ปลาหมอลายเมฆ มีลักษณะเฉพาะ คือ ตามลำตัวมีลวดลายที่ดูแปลก เป็นจ้ำ ๆ มีสีน้ำตาลอยู่บนพื้นสีเหลือง ดูคล้ายกากบาทหรือตัวอักษร X หรือลายพรางของทหาร สีบริเวณส่วนหัวเป็นสีน้ำเงิน มีขนาดประมาณ 25-30 เซนติเมตร โดยที่คำว่า Nimbochromis ที่ใช้เป็นชื่อสกุลนั้นมาจากภาษาละติน 2 คำ คือ Nimbo ที่หมายถึง "เมฆในฤดูฝน" และ chromis ที่หมายถึง "ปลาหมอสี" อันหมายถึง ลวดลายบนตัวปล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอลายเมฆ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอลิฟวิงสโตน

ปลาหมอลิฟวิงสโตน (Livingston's cichild) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดเป็นปลาหมอลายเมฆ หรือปลาหมอในสกุล Nimbochromis ชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ในทะเลสาบมาลาวี และแหล่งน้ำใกล้เคียง โดยเฉพาะทางตอนใต้ โดยชื่อวิทยาศาสตร์นั้นตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ เดวิด ลิฟวิงสโตน นักสำรวจทวีปแอฟริกาชาวสกอต เป็นปลาที่มีลวดลายสีน้ำตาลเข้มอยู่บนพื้นลำตัวสีขาวหรือสีครีมเด่นชัด มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20-25 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย โดยใช้สีและลวดลายที่โดดเด่นนี้ในการปรับสีสันให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เพื่อใช้ในการล่าเหยื่อ โดยจะปรับสีลำตัวให้กลมกลืนกับพื้นทราย และแกล้งทำเป็นตายด้วยการนอนนิ่ง ๆ เมื่อมีปลาขนาดเล็กว่ายผ่านเข้ามา ก็จะฮุบด้วยความรวดเร็ว และกลับไปนอนนิ่ง ๆ อีกครั้ง ซึ่งชื่อในภาษาพื้นเมืองเรียกปลาหมอลิฟวิงสโตนว่า "คาลิงโกโน" (kalingono) หมายถึง "นอนหลับ" และอาจจัดว่าเป็นปลาเพียงชนิดเดียวที่โลกที่สามารถกระทำเช่นนี้ได้ ปลาหมอลิฟวิงสโตนตัวผู้ในช่วงผสมพันธุ์จะมีสีสันสวยงามเป็นพิเศษ สีพื้นบริเวณลำตัวที่เป็นสีขาวก็จะกลายเป็นสีฟ้าหรือบางครั้งก็เป็นสีน้ำเงิน ในธรรมชาติชอบทำรังและวางไข่บนพื้นทรายใกล้กับโขดหิน ปลาตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อออกมาผสมกับไข่ก่อน จากนั้นตัวเมียค่อยอมไข่เหล่านั้นไว้ในปาก ซึ่งผิดกับปลาหมอสีอมไข่ทั่วไปที่มักอมไข่ก่อนแล้วค่อยปล่อยน้ำเชื้อเข้าปฏิสนธิ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยใช้ชื่อว่าเป็นปลาหมอลายเมฆที่มีสีสันสวยงามที่สุด โดยพฤติกรรมในที่เลี้ยงมักจะไม่ค่อยทำแกล้งตายเหมือนปลาในธรรมชาติหน้า 102, ปลาหมอลายเมฆ และผองเพื่อน (ตอนที่ 2) โดย พิชิต ไทยยืนวงษ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอลิฟวิงสโตน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอสีไซไพรโครมิส

ปลาหมอสีไซไพรโครมิส เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Cyprichromis (/ไซ-ไพร-โคร-มิส/) จัดเป็นปลาขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ประมาณ 5-6 นิ้ว โดยเฉลี่ยประมาณ 3.5 นิ้ว จัดเป็นปลาที่มีนิสัยรักสงบ มีพฤติกรรมอยู่รวมตัวกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพัน มีรูปร่างเรียวยาว ตากลมโต ปลายปากยาว ตัวผู้มีสีสันที่สดใสสวยงาม มักมีสีต่าง ๆ เช่น ฟ้า, เหลือง, ดำ, ม่วง หรือมีเหลือบสีขาว และมีการพัฒนาการของสีตามช่วงวัย มักอาศัยอยู่ตามโขดหินหรือตามหลีบซอกของวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำ หากินบริเวณกลางน้ำและผิวน้ำ กินอาหารจำพวก แพลงก์ตอนและสัตว์น้ำขนาดเล็กที่ลอยตามกระแสน้ำ ขณะที่ปลาตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่า พฤติกรรมเมื่อผสมพันธุ์ ปลาตัวผู้ที่มีขนาดใหญ่สุดจะเป็นจ่าฝูง จะคอยกางครีบและขับสีออกมาเรียกร้องความสนใจจากตัวเมียภายในฝูง และข่มตัวผู้ตัวอื่น ๆ เมื่อผสมพันธุ์กัน ตัวผู้จะงอตัวและทำปากห่อ เพื่อกระตุ้นให้ตัวเมียปล่อยไข่ออกมา เมื่อไข่ถูกปล่อยออกมา ตัวเมียจะงับน้ำเชื้อจากตัวผู้ที่ปล่อยออกมา ให้ผสมกับไข่ที่อยู่ในปาก จำนวนของไข่ขึ้นอยู่กับขนาดของปลาตัวเมีย โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.3 เซนติเมตร จำนวนไข่ในแต่ละครั้งประมาณ 5-25 ฟอง โดยตัวเมียจะอมไข่จนกว่าไข่จะฟักเป็นตัวใช้เวลาประมาณ 18-20 วัน โดยไม่กินอะไรเลย ปลาในสกุลไซไพรโครมิสนี้พบกระจายพันธุ์ในส่วนต่าง ๆ ของทะเลสาบแทนกันยีกา ในตอนกลางและตะวันออกของทวีปแอฟริกา นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามที่ได้รับความนิยมกันมาอย่างยาวนานแล้ว โดยมีชนิดที่ค้นพบใหม่ ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีชนิดที่รู้จักกันดีที่สุด คือ ปลาหมอสีเลบโตโซม่า (C. leptosoma).

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอสีไซไพรโครมิส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอสีเลบโตโซม่า

ปลาหมอสีเลบโตโซม่า (Herring cichlid, Sardine cichlid; ตัวย่อ: CYPS) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cyprichromis leptosoma ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดเป็นปลาขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ประมาณ 5-6 นิ้ว โดยเฉลี่ยประมาณ 3.5 นิ้ว จัดเป็นปลาที่มีนิสัยรักสงบ มีพฤติกรรมอยู่รวมตัวกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพัน มีรูปร่างเรียวยาว ตากลมโต ปลายปากยาว ตัวผู้มีสีสันที่สดใสสวยงาม มักมีสีต่าง ๆ เช่น ฟ้า, เหลือง, ดำ, ม่วง หรือมีเหลือบสีขาว และมีการพัฒนาการของสีตามช่วงวัย มักอาศัยอยู่ตามโขดหินหรือตามหลีบซอกของวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำ หากินบริเวณกลางน้ำและผิวน้ำ กินอาหารจำพวก แพลงก์ตอนและสัตว์น้ำขนาดเล็กที่ลอยตามกระแสน้ำ ขณะที่ปลาตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่า พฤติกรรมเมื่อผสมพันธุ์ ปลาตัวผู้ที่มีขนาดใหญ่สุดจะเป็นจ่าฝูง จะคอยกางครีบและขับสีออกมาเรียกร้องความสนใจจากตัวเมียภายในฝูง และข่มตัวผู้ตัวอื่น ๆ เมื่อผสมพันธุ์กัน ตัวผู้จะงอตัวและทำปากห่อ เพื่อกระตุ้นให้ตัวเมียปล่อยไข่ออกมา เมื่อไข่ถูกปล่อยออกมา ตัวเมียจะงับน้ำเชื้อจากตัวผู้ที่ปล่อยออกมา ให้ผสมกับไข่ที่อยู่ในปาก จำนวนของไข่ขึ้นอยู่กับขนาดของปลาตัวเมีย โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.3 เซนติเมตร จำนวนไข่ในแต่ละครั้งประมาณ 5-25 ฟอง โดยตัวเมียจะอมไข่จนกว่าไข่จะฟักเป็นตัวใช้เวลาประมาณ 18-20 วัน โดยไม่กินอะไรเลย เป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของทะเลสาบแทนกันยีกา จัดเป็นปลาชนิดแรกในสกุลนี้ที่ได้รับการค้นพบและอนุกรมวิธาน นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามกันอย่างยาวนานแล้ว ซึ่งในทางการค้าปลาสวยงามยังสามารถแบ่งออกเป็นชนิดแยกย่อยได้อีก ที่แตกต่างกันตามสีสันและแหล่งที่พบ อาทิ "จัมโบ" หรือ "คิโกม่า" ค้นพบในแหล่งคิโกม่าเท่านั้น ตัวผู้มีทั้งแบบหางสีน้ำเงิน และแบบหางสีเหลือง และมีสีเหลืองใต้บริเวณคอไปจนถึงช่วงท้อง ครีบหลังมีสีฟ้า และสีเหลืองเลอะผสมกัน, "เอ็มพูลังกู" หรือ "นีออน เฮด" เป็นปลาที่ไม่มีสีตามลำตัว แต่จะมีสีน้ำเงินสว่างที่ส่วนหัว อันเป็นที่มาของชื่อเรียก, "อูทินตา" ตัวผู้มีสีน้ำเงินตามตัวจากหัวไปจนถึงกลางหลัง ครีบหลังมีสีฟ้าสว่างที่สุด และมีจุดแต้มสีเหลืองอยู่หลายครีบหลัง, "ไทรคัลเลอร์" ตัวผู้มีสีเหลืองเข้มบริเวณส่วนหัว และส่วนหาง ลำตัว ครีบหลัง และครีบก้นมีสีออกดำกำมะหยี่ ตัวเมียมีสีน้ำตาลและสีเหลืองอ่อนบริเวณครีบหลังและครีบหาง และ "คิทุมบา" มีสีที่เปลี่ยนแปลงไปตามอายุ โดยมีสีเหลืองขยายลุกลามจากส่วนครีบหางไปสู่ส่วนอื่นของร่างกาย แทนสีอื่นที่มีอยู่จนกลายเป็นสีเหลืองทั้งตัวไป แต่ขณะที่บางตัวจะไม่เป็นเช่นนั้นแต่จะมีสีน้ำเงินที่คงที่ทั้งตัว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอสีเลบโตโซม่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอออสเซลาริส

ปลาหมอออสเซลาริส (Peacock cichlid, Butterfly peacock bass) ปลาน้ำจืดขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีรูปร่างยาวปานกลาง ลำตัวแบนข้างเหมือนปลากะพง ริมฝีปากหนา มีกรามแข็งแรง ดวงตากลมโต เมื่อขนาดโตเต็มที่แล้วจะมีโหนกขึ้นบริเวณส่วนหัวด้านบน พื้นลำตัวมีสีเหลืองเขียวอมส้ม มีลักษณะเด่น คือ มีแถบสีดำที่ลำตัวและโคนหาง และมีจุดสีดำเหนือแผ่นปิดเหงือก และที่บริเวณครีบอก มีขนาดโตเต็มที่ยาวได้ถึง 75 เซนติเมตร กระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้ เป็นปลาที่กินปลาขนาดเล็ก และสัตว์น้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร รวมถึงแมลงด้วย เป็นปลาที่นิยมตกกันเป็นเกมกีฬา ใช้บริโภคเป็นปลาเศรษฐกิจในท้องถิ่น และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งปัจจุบันได้เพาะขยายพันธุ์ได้เป็นที่สำเร็จแล้ว จนกลายเป็นปัญหาทางสิ่งแวดล้อมในเรื่องชนิดพันธุ์ต่างถิ่นเช่น สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, มาเลเซีย และประเทศไทย ซึ่งปลาสามารถที่จะปรับตัวและแพร่ขยายพันธุ์ได้เองในธรรมชาติ โดยตัวเมียสามารถวางไข่ได้ครั้งละ 5,000 ถึง 15,000 ฟอง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอออสเซลาริส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมออีแนน

ปลาหมออีแนน เป็นสกุลของปลาน้ำจืด ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichildae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Xenotilapia (/ซี-โน-ทิล-อา-เพีย/) เป็นปลาที่พบได้เฉพาะในทะเลสาบแทนกันยีกา ในแอฟริกาตะวันออก เดิมทีสกุลนี้ได้รับการเปลี่ยนชื่อไปมาหลายรอบ โดยเริ่มจากใช้ชื่อว่า Ectodus โดย จอร์จ อัลเบิร์ต บุลเลเยอร์ ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมออีแนน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอจำปะ

ปลาหมอจำปะ (Java combtail) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Belontiinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae มีรูปร่างเหมือนปลาหมอผสมกับปลากัด แต่ลำตัวกว้างและแบนข้างมากกว่า ปลายครีบหางมน ครีบท้องเล็ก ลำตัวสีเหลืองทองหรือเหลืองคล้ำถึงน้ำตาลแดง ขอบเกล็ดสีคล้ำและที่ฐานครีบหลังตอนท้ายมีจุดสีดำ ครีบหลังและครีบก้นตอนหน้าสีคล้ำ ตอนท้ายรวมถึงครีบหางมีลายเส้นเป็นตาข่าย มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร ในประเทศไทยพบได้เฉพาะในป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส ที่เดียวเท่านั้น ในต่างประเทศพบกระจายไปทั่วแหลมมลายูไปถึงหมู่เกาะซุนดา ในประเทศอินโดนีเซีย จัดเป็นปลาที่พบได้น้อย มีพฤติกรรมการวางไข่โดยใช้การก่อหวอดและตัวผู้เป็นผู้ดูแลไข่และตัวอ่อนเหมือนปลากัด ปลาตัวผู้มีครีบอกเรียวยาวและมีประแต้มบนครีบ ส่วนตัวเมียครีบจะสั้นกว่าจะไม่มีลวดล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอจำปะ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอทะเล

ปลาหมอทะเล หรือ ปลาเก๋ามังกร มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Epinephelus lanceolatus ในวงศ์ปลากะรัง (Serranidae) มีลักษณะโดยทั่วไปคล้ายคลึงกับปลาชนิดอื่นที่อยู่ในวงศ์เดียวกัน มีหัวค่อนข้างโต ปากกว้าง ตาเล็ก ครีบหลังมีก้านครีบแข็งอยู่ตอนหน้าตามด้วยก้านครีบแข็งและต่อด้วยครีบอ่อนเช่นเดียวกัน ครีบหางค่อนข้างใหญ่เป็นรูปกลมมน ลำตัวสีเทาอมดำ เมื่อยังเล็กอยู่ ตามลำตัวมีลายสีเหลืองสลับทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณครีบต่าง ๆ ปลาหมอทะเลเป็นปลาในวงศ์ปลากะรังที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 2.5 เมตร น้ำหนักหนักถึง 400 กิโลกรัม ถือเป็นปลาที่พบได้ในแนวปะการังที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นปลากินเนื้อ มีพฤติกรรมกินอาหารโดยการฮุบกลืนเข้าไปทั้งตัว อาจจะกินปลาฉลามขนาดเล็กหรือเต่าทะเลวัยอ่อนได้ ฟันในปากมีขนาดเล็ก เป็นปลาที่สายตาไม่ดี ออกหากินในเวลากลางคืน แม้จะเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่แต่มีนิสัยไม่ดุร้าย เวลาขู่จะแสดงออกด้วยการพองครีบพองเหงือกคล้ายปลากัด ในธรรมชาติมักอาศัยอยู่ตามซากโป๊ะ หรือกองหินใต้น้ำ โดยว่ายน้ำไปมาอย่างเชื่องช้า หรือลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ พบในระดับความลึกตั้งแต่ 4–100 เมตร และยังชอบที่จะขุดหลุมคล้ายปลานิล พื้นหลุมแข็งบริเวณข้างหลุมเป็นเลนค่อนข้างหนา ปากหลุมกว้างประมาณ 50–100 เซนติเมตร สีเมื่อยังเป็นปลาวัยอ่อน พบอาศัยอยู่ในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่นในแถบอินโด-แปซิฟิก, ออสเตรเลียทางตอนเหนือ จนถึงอ่าวเปอร์เซีย นิยมบริโภคด้วยการปรุงสดเหมือนปลาในวงศ์นี้ชนิดอื่น ๆ เป็นปลาที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และด้วยความใหญ่โตของร่างกาย ปลาหมอทะเลจึงมักนิยมเลี้ยงในตู้ขนาดใหญ่หรือในอุโมงค์ของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล ภายในมหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี เป็นต้น และนิยมเลี้ยงลูกปลาขนาดเล็กในน้ำจืดเหมือนปลาสวยงามทั่วไปด้วย แต่ทว่าก็จะเลี้ยงได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น เมื่อโตขึ้น หากยังเลี้ยงในน้ำจืดอยู่ ปลาก็จะตายในที่สุด นอกจากนี้แล้ว ทางกรมประมงยังได้เพาะขยายพันธุ์ลูกผสมระหว่างปลาหมอทะเลกับปลากะรังดอกแดง ซึ่งเป็นปลาในวงศ์เดียวกัน ได้เป็นผลสำเร็จ โดยลูกปลาขนาดเล็กจะมีลวดลายคล้ายกับปลาเสือตอ ซึ่งเป็นปลาสวยงามน้ำจืดที่มีชื่อเสียง ที่อยู่ต่างวงศ์กัน จนได้รับการเรียกชื่อว่า "ปลาเสือตอทะเล" โดยปลาเสือตอทะเลนั้นได้นำมาเปิดตัวครั้งแรกในงานประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 25 ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน–8 กรกฎาคม..

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอทะเล (สกุล)

ปลาหมอทะเล (Epinephelus) เป็นสกุลของปลาทะเลจำพวกหนึ่งในวงศ์ Serranidae นับเป็นปลาขนาดใหญ่ มีรูปร่างโดยรวม คือ ร่างยาวอ้วนป้อม แบนข้างเล็กน้อย เกล็ดมีขนาดเล็ก สีตามตัวและครีบเป็นดอกดวง แต้ม หรือบั้ง ฉูดฉาดหรือคล้ำทึบแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและขนาด พบอาศัยอยู่ตามบริเวณแนวปะการัง โขดหินใกล้ชายฝั่งหรือเกาะ บางครั้งอาจพบว่ายเข้ามาหากินบริเวณปากแม่น้ำที่เป็นน้ำกร่อยได้ด้วย ปลาหมอทะเลกระจายพันธุ์ในทะเลและมหาสมุทรเขตอบอุ่นทั่วโลก ทั้ง มหาสมุทรแอตแลนติก, มหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรอินเดีย มีจำนวนสมาชิกในสกุลนี้ราว 99 ชนิด นับว่ามากที่สุดในวงศ์นี้ โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ ปลาหมอทะเล (E. lanceolatus) ที่ใหญ่ที่สุดได้เกือบ 3 เมตร และหนักได้ราว 200 กิโลกรัม สำหรับในภาษาไทยจะคุ้นเคยเรียกชื่อปลาในสกุลนี้เป็นอย่างดีในชื่อ "ปลาเก๋า" หรือ "ปลากะรัง".

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอทะเล (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอคอนวิค

ปลาหมอคอนวิค หรือ ปลาหมอม้าลาย (Convict cichlid, Zebra cichlid) เป็นปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amatitlania nigrofasciata มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง จัดเป็นปลาหมอสีขนาดเล็ก มีขนาดความยาวเต็มที่ไม่เกิน 6 นิ้ว ตัวผู้และตัวเมียสามารถแยกได้อย่างชัดเจน โดยตัวผู้จะมีลายสลับขาวดำ 8-9 ปล้อง หัวโหนก ครีบแหลมยาว และมีลำตัวใหญ่กว่าตัวเมีย ในขณะที่ตัวเมียครีบก้นมีสีเหลือบเขียว ส่วนท้องมีสีส้ม และขนาดเล็กกว่าตัวผู้ นอกจากนี้ยังมีปลาที่มนุษย์คัดสายพันธุ์จนเป็นสีขาวจากการขาดเมลานิน ซึ่งพบเห็นเป็นปลาสวยงามได้ทั่วไปเช่นเดียวกับปลาสีดั้งเดิม ปลาหมอคอนวิค เป็นปลาหมอสีชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ถึงแม้จะเป็นปลาหวงถิ่นที่ก้าวร้าว แต่ก็มีขนาดเล็กและเลี้ยงง่ายมีความทนทาน สามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้ โดยปลาจะสามารถแพร่พันธุ์ได้ตั้งแต่มีความยาว 1.5 นิ้ว ปลาในที่เลี้ยงที่จับคู่กันแล้ว มักวางไข่ในภาชนะดินเผา โดยปลาทั้งตัวผู้และตัวเมียจะช่วยกันดูแลไข่และลูกอ่อน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอคอนวิค · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอคิวปิโด

ปลาหมอคิวปิโด หรือ ปลาหมอคิวปิด (Greenstreaked eartheater, Cupid cichlid) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Biotodoma cupido จัดอยู่ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีลักษณะแบนข้าง ส่วนหัวโค้งมน ปลายปากแหลมเล็กน้อย ดวงตาใหญ่มีเส้นสีดำพาดผ่านในแนวตั้ง ปากมีขนาดเล็กอยู่ในตำแหน่งกลางของหน้า บริเวณแก้มมีเส้นสีเขียวสะท้อนแสง ซึ่งเมื่อปลาโตขึ้นจะเพิ่มขึ้นด้วย ลำตัวเป็นสีเหลืองน้ำผึ้งฉาบด้วยสีฟ้าเขียว ครีบอกเรียวยาวที่ก้านครีบแรกเป็นสีเหลือบเขียวฟ้าเหมือนลายที่บริเวณหน้า ขอบครีบหลังมีสีฟ้าอมเขียว ครีบก้นมีขนาดใหญ่เป็นสีชมพูอ่อน ขอบบนล่างของครีบเป็นก้านครีบแข็งใหญ่สีเหลือบฟ้าขาว ที่ลำตัวเหนือเส้นข้างลำตัวมีจุดสีดำขนาดใหญ่เห็นชัดเจน มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 14 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำที่มีกระแสน้ำไม่แรงนัก พื้นท้องน้ำมีเศษซากใบไม้และอินทรียวัตถุทับถมกัน ทำให้มีสภาพน้ำเป็นกรดอ่อน ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ แถบประเทศเปรูจนถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของประเทศบราซิล เช่น แม่น้ำอเมซอน, โอริโนโค และกายอานา ซึ่งปลาในแต่ละแหล่งน้ำอาจมีความแตกต่างกันบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ในลักษณะและสีสัน มีพฤติกรรมการหากินโดยกินสัตว์น้ำขนาดเล็กและแพลงก์ตอนตามพื้นน้ำ พฤติกรรรมเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ปลาเพศเมียจะมีขนาดและครีบต่าง ๆ ใหญ่กว่าเพศผู้ โดยปลาทั้งคู่จะขุดหลุมตื้น ๆ เพื่อวางไข่ และมีพฤติกรรมขับไล่ปลาหรือสัตว์อื่นที่ผ่านเข้ามาใกล้ ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 3 วัน เมื่อฟักเป็นตัวแล้ว ปลาเพศเมียจะนำลูกไปเลี้ยงไว้ในหลุมที่ขุดไว้ ส่วนเพศผู้จะทำหน้าที่เสมือนยามรักษาความปลอดภัยภายนอก เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม นับได้ว่าเป็นปลาหมอสีชนิดหนึ่งที่มีความสวยงามและไม่ดุร้าย และจะยิ่งเพิ่มความสวยงามของสีสันขึ้นเมื่อต้องกับแสงแดด อีกทั้งสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในตู้เลี้ยง แต่สำหรับในประเทศไทย เป็นปลาที่ค่อนข้างหายากเนื่องจากมีการนำเข้ามาจำหน่ายเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ซึ่งในชื่อวิทยาศาสตร์นั้น คำว่า Biotos มาจากภาษากรีกหมายถึง "ชีวิต" ผสมกับคำว่า domos หมายถึง "ม้า" และคำว่า cupio มาจากภาษาละตินซึ่งหมายถึง "Cupidus" หรือคิวปิด ซึ่งเป็นกามเทพ ในความหมายซึ่งผู้อนุกรมวิธาน (โยฮานน์ ยาค็อบ เฮ็กเคล) ต้องการสื่อความหมายว่า ตกหลุมรักปลาชนิดนี้ตั้งแต่แรก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอคิวปิโด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอตาล

ปลาหมอตาล หรือที่นิยมเรียกกันว่า ปลาจูบ (Kissing gourami) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Helostomatidae จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวและสกุลเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์นี้ มีรูปร่างป้อมสั้น ลำตัวแบนมากกว่าปลาหมอไทย หัวเล็ก จะงอยปากสั้นทู่ ปากเล็กยืดหดได้ ริมฝีปากหนา นัยน์ตาอยู่ในระดับเดียวกันกับมุมปาก มีเกล็ดขนาดปานกลางปกคลุมส่วนหัวและลำตัว ฟันละเอียด ตาอยู่เหนือมุมปาก ครีบหลังและครีบก้นมีก้านครีบแข็งและอ่อน ครีบท้องมีก้านครีบแข็ง 5 ซี่ เกล็ดเล็กมีอยู่ที่เส้นข้างตัว 44-48 เกล็ด เส้นข้างลำตัวขาดตอนตรงบริเวณใต้ก้านครีบอ่อนของครีบหลัง ครีบท้องและครีบก้นยาว ลำตัวเป็นสีเขียวปนเทา หลังมีสีเทาปนดำ ท้องสีขาว มีอวัยวะพิเศษช่วยในการหายใจเช่นเดียวกับปลาในวงศ์ Osphronemidae จึงสามารถอาศัยในแหล่งน้ำที่มีออกซิเจนละลายในปริมาณที่ต่ำได้ ปลาหมอตาล มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง และมีพฤติกรรมที่แปลกไปกว่าปลาชนิดอื่น คือ เมื่อจะต่อสู้หรือข่มขู่กัน จะใช้ปากตอดกันคล้ายกับการจูบที่แสดงออกถึงความรักของมนุษย์จึงเป็นที่มาของชื่อ "ปลาจูบ" วางไข่แบบไข่ลอยบนผิวน้ำ พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำทั่วไปรวมถึงนาข้าวหรือท้องร่องสวนในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 12-20 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุดได้ถึง 30 เซนติเมตร สำหรับในประเทศไทยพบเฉพาะลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน่าน และพบบางส่วนในป่าพรุทางภาคใต้ กินอาหารได้หลากหลายทั้งพืชและสัตว์น้ำตลอดจนถึงแมลงและแพลงก์ตอน โดยใช้ปากที่ยืดหดได้นี้ตอดกิน จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามเพื่อความเพลิดเพลินและทำความสะอาดภายในตู้ปลา โดยนิยมเลี้ยงกันในตัวที่มีสีพื้นลำตัวเป็นสีขาวนวลหรือสีชมพู ในขณะที่ปลาที่มีสีตามธรรมชาติจะนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาเศรษฐกิจเพื่อการบริโภค นอกจากนี้แล้วยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น ใบตาล, อีตาล, ตาล, ปากง่าม, อีโก๊ะ หรือ วี ในภาษาใต้ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอตาล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอซินสไปลุ่ม

ปลาหมอซินสไปลุ่ม (Quetzel cichlid, Redhead cichlid, Firehead cichlid) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีถิ่นกำเนิดเดิมที่ภูมิภาคอเมริกากลาง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร ปลาตัวผู้เมื่อโตเต็มวัย มีโหนกใหญ่บนหัวและมีสีสันสวยงาม มีสีแดงเข้มบริเวณส่วนหัว และมีปื้นสีดำยาว 3 แถบที่ลำตัว ปลาหมอซินสไปลุ่มมักถูกนำมาผสมพันธุ์กับปลาหมอสีชนิดอื่น ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งปลาชนิดผสมที่มีลักษณะสวยงาม เช่น ปลาหมอนกแก้ว และ ปลาหมอฟลาวเวอร์ฮอร์น เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอซินสไปลุ่ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแรม

ปลาหมอแรม หรือ ปลาหมอไมโครจีโอฟากัส (Ram cichlid) เป็นปลาสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดเป็นปลาหมอแคระสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Mikrogeophagus หรือ Microgeophagus (ชื่อพ้อง-/ไม-โคร-จี-โอ-ฟา-กัส/) เป็นปลาที่มีสีสันสวยงามทั้งตัวผู้และตัวเมีย มีขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 8 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำอเมซอนและโอริโนโค ในทวีปอเมริกาใต้ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะการเลี้ยงในตู้ไม้น้ำ ซึ่งปัจจุบันได้มีการเพาะขยายพันธุ์จนมีความหลากหลายไปจากดั้งเดิมในธรรมชาติ เช่น ปลาบอลลูน ที่มีลำตัวอ้วนกลมและสั้นเหมือนลูกบอล ปลาหางยาวที่ดูคล้ายปลาทอง หรือที่มีสีฟ้าแวววาวทั้งตัว มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแรม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแรมแดง

ปลาหมอแรมแดง หรือ ปลาหมอจีเวล (Jewel fish, Jewel cichild) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Hemichromis ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปลาซันฟิช (Lepomis spp.) ซึ่งเป็นปลาคนละวงศ์กัน เป็นปลาขนาดเล็ก ความยาวเต็มที่เฉลี่ยไม่เกิน 10-12 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 30 เซนติเมตร กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในแหล่งน้ำต่าง ๆ ของทวีปแอฟริกา บริเวณชายฝั่งตะวันตกถึงแอฟริกากลาง ส่วนใหญ่มีสีลำตัวเป็นสีแดงสด หรือสดใสเป็นสีรุ้งสวยงาม มีทั้งตัวผู้สวยงามกว่าตัวเมีย และตัวเมียสวยงามกว่าตัวผู้ เป็นปลาอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง มีอุปนิสัยก้าวร้าว มีพฤติกรรมในการเลี้ยงดูลูกปลา ซึ่งในช่วงนี้จะมีนิสัยดุร้ายกว่าปกติสกุล Hemichromis และ สกุล Rocio โดย Jens Kühne คอลัมน์ Mini Atlas, หน้า 34-35 นิตยสาร Aquarium Biz ปีที่ 2 ฉบับที่ 28: ตุลาคม 2012.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแรมแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแจ็กเดมป์ซีย์

ำหรับนักมวย ดูที่ แจ็ค เดมป์ซีย์ ปลาหมอแจ็คเดมป์ซีย์ (Jack Dempsey Cichlid) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีลักษณะลำตัว มีลายขวางตามลำตัวจาง ๆ มีลายทั้งหมด 8 ลาย ซึ่งเมื่อโตขึ้นจะเลือนหายไป มีจุดสีเขียวเล็กละเอียดกระจัดกระจายเต็มตามลำตัว ดูแลสวยงาม ตลอดจนส่วนหัวและครีบต่าง ๆ ยกเว้นครีบอกและครีบหาง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20-25 เซนติเมตร ปลาตัวเมียจะมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมที่อเมริกากลาง คือ เม็กซิโก จนถึงฮอนดูรัส เป็นปลาที่มีอุปนิสัยดุร้ายก้าวร้าวมาก จนได้รับการตั้งชื่อว่า "แจ็ค เดมป์ซีย์" ซึ่งเป็นนักมวยประเภทไฟเตอร์ชาวอเมริกันชื่อดังในอดีต ปลาหมอแจ็คเดมป์ซีย์ เป็นปลาหมอสีอีกชนิดหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว และแพร่ขยายพันธุ์ได้ง่าย โดยในประเทศไทย ปลาหมอแจ็คเดมป์ซีย์ ถือได้ว่าเป็นปลาหมอสีชนิดแรกที่มีการเข้ามาจากต่างประเทศ ในราวปี พ.ศ. 2505 โดยไม่ปรากฏชื่อผู้นำเข้า ปัจจุบัน ปลาหมอแจ็คเดมป์ซีย์ ได้มีการเพาะขยายพันธุ์จนมีสีสันต่าง ๆ หลากหลายจากปลาดั้งเดิมในธรรมชาติมาก เช่น "บลูแจ็คเดมป์ซีย์" ที่มีสีฟ้าแวววาวแบบบลูเมทัลลิกตลอดทั้งตัว ซึ่งมีราคาขายที่ค่อนข้างแพง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแจ็กเดมป์ซีย์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแคระฟิลาเมนโตซัส

ปลาหมอแคระฟิลาเมนโตซัส ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาหมอแคระ ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดอยู่ในสกุลไดครอสซัส หรือปลาหมอแคระลายตารางหมากรุก มีลักษณะคล้ายกับปลาหมอแคระลายตารางหมากรุกชนิดอื่น ๆ คือ ลำตัวเรียวยาว ปากแหลมเล็ก พื้นลำตัวมีสีขาวหรือเทา มีจุดสีเข้มรูปสี่เหลี่ยมสองแถวตามแนวยาวลำตัวแลดูคล้ายตารางหมากรุก มีความยาวไม่เกิน 2-4 นิ้ว แต่ปลาหมอฟิลาเมนโตซัสมีรูปร่างที่เล็กและเพรียวกว่าปลาชนิดอื่น ๆ ร่วมสกุล ปลาตัวผู้เมื่อโตเต็มที่แล้วจะเป็นสีส้มและสีม่วงช่วงกลางลำตัว แผ่นปิดเหงือกและครีบต่าง ๆ มีความแวววาวเป็นมันเลื่อม มีหางเปียยาวยื่นออกมาทั้งขอบบนและขอบล่าง ซึ่งลักษณะหางเช่นนี้จะไม่ปรากฏในปลาชนิดอื่นในสกุลเดียวกัน จัดเป็นปลาหมอแคระลายตารางหมากรุก ที่ได้รับความนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามมากที่สุด พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ เช่น แอมะซอน, เนโกร, ทาปาโฆส หรือโอริโนโค ในการนำเข้าสู่ตลาดปลาสวยงาม มักจะเป็นปลาที่ถูกจับมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติคราวละเป็นจำนวนมาก ทำให้มีราคาซื้อขายที่ไม่แพง และมีเพียงพอต่อความต้องการสม่ำเสมอ สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในที่เลี้ยง แต่ก็เป็นไปโดยยากโดยเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ผู้เลี้ยงต้องกระตุ้นให้ปลาเกิดการเพาะขยายพันธุ์เอง เช่น ทำให้น้ำที่ใช้เลี้ยงเกิดเป็นน้ำวนมีออกซิเจนเพิ่ม หรือใช้น้ำที่ีมีความกระด้างต่ำมาก หรือปรับสภาพให้มีความเป็นกรดสูง เป็นต้น เมื่อปลาวางไข่และฟักเป็นตัวแล้ว แม่ปลามักย้ายลูกปลาที่ยังมีถุงไข่แดงติดกับตัวไปไว้ที่อื่น โดยมากจะเป็นขอนไม้หรือใบไม้ที่บริเวณอื่นที่ไม่ใช่ที่เดิมกับที่เป็นที่วางไข่ เมื่อลูกปลาว่ายน้ำได้แล้ว จึงสามารถให้อาหารขนาดเล็ก เช่น ไรทะเลแรกเกิดได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแคระฟิลาเมนโตซัส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแคระพม่า

ปลาหมอแคระพม่า หรือ ปลาหมอแคระแดง (Burmese badis) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอแคระ (Badidae) มีลักษณะคล้ายกับปลาหมอแคระขี้เซา (B. siamensis) แต่ส่วนหัวสั้นกว่าเล็กน้อย มีจุดสีดำบนครีบหลังเป็นจุดใหญ่กว่า ลำตัวมีสีน้ำตาลแดง และมีจุดสีแดงคล้ำหรือแดงสดในทุกเกล็ดสลับกับจุดสีฟ้าเหลือบ โคนหางด้านบนมีจุดสีคล้ำจุดใหญ่ ครีบหลังมีแถบสีคล้ำอมม่วงและแดง มีขลิบสีจาง มีขนาดประมาณ 3-5 เซนติเมตร เป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์เฉพาะในลำธารหรือริมฝั่งแม่น้ำที่ตื้นของลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนในแถบประเทศไทยและลาวเท่านั้น โดยมักซ่อนตัวเองอยู่ใต้ใบไม้ร่วงใต้น้ำหรือซอกหลืบหิน วางไข่ไว้ในโพรงไม้ กินแพลงก์ตอนสัตว์หรือตัวอ่อนของแมลงน้ำเป็นอาหาร เป็นปลาที่พบได้น้อย และมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ที่ไม่พบบ่อยนักในวงการปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแคระพม่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแคระอพิสโตแกรมมา

ปลาหมอแคระอพิสโตแกรมมา เป็นปลาในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Apistogramma (/อะ-พิส-โต-แกรม-มา/) จัดเป็นปลาขนาดเล็กในวงศ์นี้ จัดได้เป็นว่าปลาหมอแคระสกุลหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ แพร่กระจายพันธุ์และอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่มีค่าความเป็นกรดของน้ำค่อนข้างต่ำ (ต่ำกว่า 6.5 pH) จัดเป็นปลาที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรมอย่างมาก สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด มีลักษณะรูปร่างโดยรวมคือ ลำตัวเพรียวยาว สีสันสดใสมากโดยเฉพาะในปลาเพศผู้ ครีบอกเรียวยาวปลายแหลม รวมทั้งครีบหลังที่ดูโดดเด่น ปลายหางแหลม มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างเพศผู้กับเพศเมีย กล่าวคือ เพศผู้มีสีสันที่สดสวยกว่าและมีขนาดลำตัวที่สวยกว่า แต่เมื่อตกใจสีจะซีดได้ ขนาดเมื่อโตเต็มที่แล้วจะมีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 2 นิ้ว เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในตู้เลี้ยง โดยเฉพาะการเลี้ยงในตู้ไม้น้ำ มีอุปนิสัยเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว และไม่ทำลายต้นไม้ในตู้ มีพฤติกรรมในการขยายพันธุ์ โดยวางไข่ติดกับผนังถ้ำหรือโขดหินในแบบกลับหัว ซึ่งรูปแบบการวางไข่อาจจะแตกต่างไปตามชนิด ซึ่งในฤดูผสมพันธุ์ ปลาเพศผู้จะอวดสีและครีบแข่งกันเพื่อดึงดูดความสนใจจากปลาเพศเมีย ปลาเพศเมียอายุน้อยอาจวางไข่ได้ประมาณ 20 ฟอง ขณะที่ตัวที่มีอายุมากและสมบูรณ์พร้อมจะวางไข่ได้ถึง 100 ฟอง เมื่อฟักออกเป็นตัวแล้ว เพศเมียจะเป็นฝ่ายดูแลลูก โดยไม่ให้ปลาเพศผู้เข้ามายุ่งเกี่ยว ถึงแม้ว่าอาจมีเพศผู้บางตัวสามารถเลี้ยงลูกได้เช่นกัน ในหลายชนิดสามารถผสมพันธุ์แบบหมู่ คือ เพศผู้หนึ่งตัวต่อเพศเมียหลายตัวได้ ในขณะที่บางชนิดจะผสมพันธุ์กันแบบคู่ต่อคู่ ปลาในสกุลนี้ชนิดที่นิยมเลี้ยงได้แก่ชนิด A. agassizii, A. hongsloi และ A. viejita เป็นต้น ปลาหมอสีในสกุลนี้ จัดเป็นปลาที่มีวงจรชีวิตสั้น หลายชนิดสามารถผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่มีอายุเพียง 3-4 เดือน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแคระอพิสโตแกรมมา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแคระอกาสซิสสิอาย

ปลาหมอแคระอกาสซิสสิอาย หรือ ปลาหมอแคระอกาสซิสซี่ (Agassiz' dwarf cichlid) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดเป็นปลาหมอแคระในสกุลอพิสโตแกรมมาชนิดหนึ่ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นชนิดที่ได้รับการอนุกรมวิธานไว้เก่าแก่มากที่สุดชนิดหนึ่งของสกุลนี้ โดยถูกตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ หลุยส์ อกาสซี่ นักธรณีวิทยาและนักมีนวิทยาชาวสวิสเซอร์แลนด์ ที่บั้นปลายใช้ชีวิตพำนักในสหรัฐอเมริกา เป็นปลาขนาดเล็ก มีขนาดความยาวไม่เกิน 10 เซนติเมตร มีครีบหางปลายแหลมเหมือนเปลวเทียน ลำตัวยาว มีลายคาดลำตัวขนาดหนา และมีสีสันสดใสสวยงาม กระจายพันธุ์อยู่ทั่วแม่น้ำอเมซอน ตั้งแต่ตอนบนซึ่งอยู่ค่อนมาทางด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ตามลุ่มแม่น้ำต่าง ๆ บริเวณสามเหลี่ยมชายแดนประเทศโคลัมเบีย, เปรู และบราซิล ต่อเนื่องไปยังแม่น้ำพูทูมาโย, เทเฟ, จาปูรา และริโอเนโกร ผ่านเมืองซานตาเรมที่ตั้งอยู่บนปากแม่น้ำทาปาโฮส และไล่ต่อเนื่องไปทางทิศตะวันออกของเมืองเบเล็มที่ปากแม่น้ำอเมซอน โดยพบในแหล่งน้ำที่มีน้ำสีชา และมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างต่ำกว่ามาตรฐานปกติ (ต่ำกว่า 6.5 pH) แต่ก็อาจพบได้ในแหล่งน้ำใส หรือแหล่งน้ำขุ่นได้เช่นกัน โดยปลาในแต่ละพื้นที่จะมีสีสันของลำตัวและครีบต่าง ๆ แตกต่างกัน รวมถึงลวดลายต่าง ๆ เช่น ปลาที่พบในแม่น้ำเทเฟ จะไม่มีลายซิกแซก แต่จะมีสีสันและลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นต้น เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้จนมีสายพันธุ์ที่มีลักษณะสวยงามแปลกไปจากปลาที่พบในธรรมชาติ เช่น "ดับเบิลเรด" หรือ "ซุปเปอร์เรด" ที่มีครีบสีแดง "เรดโกลด์" ที่มีส่วนท้องเป็นสีเหลืองเข้ม หรือ "ไฟร์เรด" ที่เป็นปลาที่มีเม็ดสีผิดปกติ ขนาดเม็ดสีดำบนลำตัวและครีบต่าง ๆ ทำให้สีลำตัวเป็นสีขาว หรือสีทองตัดกับครีบสีต่าง ๆ เป็นต้น มีพฤติกรรมผสมพันธุ์ โดยตัวผู้หนึ่งตัวจะเฝ้าอาณาเขตของตัวเอง และจะผสมพันธุ์กับตัวเมียหลายตัวที่จับจองพื้นที่ในอาณาเขตนั้น ปลาหมอแคระอกาสซิสสิอาย จัดได้ว่าเป็นปลาหมอแคระชนิดที่มีราคาซื้อขายสูงสุด และได้รับความนิยมมากที่สุดในแง่ของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยนิยมเลี้ยงและเพาะขยายพันธุ์ในตู้ไม้น้ำ ในประเทศไทยได้ถูกนำเข้าจากต่างประเทศราวปี พ.ศ. 2545-พ.ศ. 2546 ในแง่ของการเพาะขยายพันธุ์ให้ได้ผลผลิตและต่อยอดออกไป ยังต้องนำเข้าพ่อแม่พันธุ์จากต่างประเทศกันอยู.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแคระอกาสซิสสิอาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแคระอะโดเกตา

ปลาหมอแคระอะโดเกตา (Zebra acara) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดเป็นปลาหมอแคระชนิดหนึ่ง มีลวดลายส่วนหน้าคล้ายหน้ากากคาบูกิของประเทศญี่ปุ่น ปลาตัวผู้ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 4 นิ้ว ขณะที่ตัวเมียจะมีขนาดเฉลี่ยเล็กกว่า ราว ๆ 3 นิ้ว โดยที่โดยตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่า สีสันจัดกว่า ครีบกระโดงจะมีขนาดยาวกว่าอย่างชัดเจน เป็นปลาที่แพร่กระจายพันธุ์ที่แม่น้ำวาดาเปส และ แม่น้ำเปรโต ในประเทศบราซิล ปลาหมอแคระอะโดเกตา แม้มิได้มีสีสันที่ฉูดฉาดหรือสวยมากไปกว่าปลาหมอแคระชนิดอื่น ๆ แต่ก็เป็นที่นิยมอย่างมากของผู้ที่นิยมเลี้ยงปลาสวยงาม ด้วยความที่หายากและเพาะขยายพันธุ์ได้ยาก ทำให้เป็นปลาที่มีราคาซื้อขายแพงมากชนิดหนึ่ง การเพาะพันธุ์ในที่เลี้ยงสามารถกระทำได้ แต่ยากมาก ด้วยการปรับค่าความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำ (pH) ให้เหมาะสม โดยปลาจะอาศัยอยู่ในน้ำที่มีสารแทนนินละลายในน้ำสูง (ประมาณ pH 4-5) ซึ่งน้ำมีสีชาหรือน้ำตาลเข้ม แต่การเพาะพันธุ์นั้นส่วนใหญ่กระทำกันได้ที่ฮ่องกง ส่วนในประเทศไทยมีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่สามารถกระทำได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแคระอะโดเกตา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแคระฮองสโลอาย

ปลาหมอแคระฮองสโลอาย หรือ ปลาหมอแคระฮองสลอย (Red streak cichlid) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดเป็นปลาหมอแคระชนิดหนึ่ง มีลักษณะทั่วไปเหมือนปลาในสกุลเดียวกันชนิดอื่น แต่มีลำตัวที่หนากว่า โดยถูกค้นพบครั้งแรกบริเวณแม่น้ำวิชาดาและแม่น้ำโอรีโนโก ในโคลอมเบียและเวเนซุเอลา โดยถูกตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ ธอร์นบอน ฮองสลอย นักสะสมชาวสวีเดนและเป็นผู้ที่ค้นพบปลาชนิดนี้เป็นคนแรก โดยปลาในธรรมชาติจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่มีต้นไม้ค่อนข้างหนาทึบ และมีเศษใบไม้ร่วงหล่นยังพื้นน้ำ สภาพน้ำมีค่าความเป็นกรดด่างประมาณ 5.4 pH มีขนาดโตเต็มที่ได้ราว 2 นิ้ว โดยปลาที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำคาตาเนียโป มีสีสันที่เหลืองสดตัดกับเหลือบสีแดงที่เข้มกว่าปลาที่พบในเวเนซุเอลา แต่ปลาที่พบในโคลอมเบียกลับมีรูปร่างที่สวยกว่าปลาที่พบในเวเนซุเอลาอย่างมาก ปลาหมอแคระฮองสโลอาย ถูกนำออกสู่วงการปลาสวยงามครั้งแรกในปี ค.ศ. 1975 จากโคลอมเบียไปยังเยอรมนีตะวันออก จากนั้นได้กระจายไปยังเชกโกสโลวาเกีย และได้มีการพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้สวยยิ่งขึ้น จนถึงปัจจุบัน ที่เป็นปลาหมอแคระชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงในหมู่นักเลี้ยงปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแคระฮองสโลอาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแคระขี้เซา

ปลาหมอแคระขี้เซา หรือ ปลาหมอแคระสยาม (Siamese badis) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอแคระ (Badidae) มีรูปร่างเหมือนปลาหมอ หรือปลากะพงทั่วไป แต่มีขนาดเล็ก ครีบก้นสั้น ปากเล็ก ตาโต ลำตัวสีน้ำตาลแดง มีจุดประสีดำเหลือบและแดงสด ครีบหลังมีดวงสีคล้ำอยู่ระหว่างก้านครีบเกือบทุกอัน ขอบครีบสีแดงเรื่อ ๆ ครีบหางสีเหลืองอ่อน มีขนาดยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์เฉพาะแหล่งน้ำที่ไหลลงตามแนวชายฝั่งด้านทะเลอันดามันของไทยตั้งแต่จังหวัดระนองลงไปเท่านั้น ปัจจุบันยังไม่พบการกระจาย ในแหล่งน้ำที่ไหลลงลงตามแนวชายฝั่งด้านอ่าวไทย โดยค้นพบครั้งแรกที่จังหวัดภูเก็ต โดยมักอาศัยอยู่ใต้ใบไม้ร่วงและซอกหินใต้น้ำ วางไข่ไว้ในโพรงไม้ กินแพลงก์ตอนสัตว์และตัวอ่อนของแมลงน้ำเป็นอาหาร เป็นปลาที่พบได้น้อย มีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ไม่พบบ่อยนักในตลาดค้าปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแคระขี้เซา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแคระคาเคทอยเดส

ปลาหมอแคระคาเคทอยเดส หรือ ปลาหมอแคระคาเคทอย (Cockatoo cichlid, Cockatoo dwarf cichlid) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดเป็นปลาหมอแคระชนิดหนึ่ง ในสกุลอพิสโตแกรมมา มีลักษณะเหมือนกับปลาชนิดอื่นในสกุลเดียวกันนี้ทั่วไป แต่มีลักษณะเด่น คือ มีครีบกระโดงหลังที่ตั้งชูงอนเหมือนนกกระตั้ว อันเป็นที่มาของชื่อสามัญในภาษาอังกฤษ และมีสีลำตัวและครีบต่าง ๆ เป็นโทนเข้ม เช่น สีส้มหรือสีแดง โดยมีลวดลายบนครีบต่าง ๆ สดเข้มตลอดเวลาไม่ว่าปลาจะอยู่ในอารมณ์หรือสภาพแวดล้อมใด มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้ ในสาขาของแม่น้ำอเมซอน ที่มีกระแสน้ำไหลเอื่อย ๆ มีใบไม้หล่นร่วงมาพื้นท้องน้ำ โดยปลาจะใช้เป็นที่หลบซ่อน โดยน้ำจะมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างต่ำ (ต่ำกว่า 6.5 pH) กินอาหารจำพวก สัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นปลาที่นิยมอย่างมากในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ โดยถือเป็นชนิดที่นิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของสกุลนี้ เนื่องจากคุณสมบัติที่ว่า จะมีสีสันสดสวยตลอดรวมทั้งครีบหลังที่ตั้งสูง และนิยมที่จะเพาะขยายพันธุ์กันในตู้เลี้ยง โดยปลาตัวเมียจะวางไข่ไว้กับซอกหลีบหรือเพดานของวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำ และเป็นฝ่ายดูแลลูก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแคระคาเคทอยเดส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแคระนันนาคารา

ปลาหมอแคระนันนาคารา เป็นสกุลปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Nannacara (/นัน-นา-คา-รา/) จัดเป็นปลาหมอแคระสกุลหนึ่ง มีรูปร่างที่บึกบึน แลดูแข็งแรง มีส่วนหัวกลม ถือได้ว่ามีความอดทนกว่าปลาหมอแคระสกุลอื่น ๆ พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำที่ใกล้กับชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ในทวีปอเมริกาใต้ มีพฤติกรรมวางไข่บนวัสดุที่มีความแข็งแรงและมิดชิด มีพฤติกรรมเลี้ยงดูลูกปลาวัยอ่อนที่แตกต่างออกไปในแต่ละชนิด ทั้งช่วยกันดูแลลูกปลา และตัวเมียเท่านั้นที่เลี้ยงดูลูก แต่หากน้ำมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างสูงกว่า 6 (pH) ไข่จะฝ่อไม่ฟักเป็นตัว ได้รักการอนุกรมวิธานทั้งหมด 6 ชนิด แต่ก็มีหลายชนิดที่ยังมิได้ระบุสายพันธุ์อย่างเป็นทางการ แต่ก็คาดว่าน่าจะจัดให้อยู่ในสกุลนี้อีก 3 ชนิด และมีอยู่ชนิดหนึ่งที่ถูกจัดให้เป็นสกุลใหม่ คือ Ivanacara.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแคระนันนาคารา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแคระแม่กลอง

ปลาหมอแคระแม่กลอง ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอแคระ (Babidae) มีช่วงลำตัว ช่วงระหว่างตา และจุดเริ่มต้นของครีบหลังยาว โดยรวม จึงเป็นปลาที่มีลำตัวค่อนข้างยาวอาศัยอยู่ในลำธารที่มีระบบนิเวศจำเพาะ ที่มีปรับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามฤดูกาล ร่วมกับสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในที่เดียวกันและได้วิวัฒนาการปรับตัวตามการผันแปรตามฤดูกาลของลำธาร ค้นพบครั้งแรกโดย นณณ์ ผาณิตวงศ์ นักสำรวจธรรมชาติและนักมีนวิทยาชาวไทยที่ต้นแม่น้ำแควน้อย ในพื้นที่อำเภอสังขละบุรี และ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีเท่านั้น จึงเป็นปลาประจำถิ่นของประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแคระแม่กลอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแคระแรมโบลิเวีย

ปลาหมอแคระแรมโบลิเวีย หรือ ปลาหมอแรมโบลิเวีย (Bolivian butterfly cichlid) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mikrogeophagus altispinosus อยู่ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichildae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลาหมอแคระแรมเจ็ดสี (M. ramirezi) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน แต่ทว่าปลาหมอแคระแรมโบลิเวียมีขนาดที่ใหญ่กว่า โดยมีความยาวได้ 8 เซนติเมตร เมื่อโตเต็มที่ มีพื้นลำตัวเป็นสีกากีอมเทาเล็กน้อย ช่วงแก้มและแผ่นปิดเหงือกจะมีสีเหลือบฟ้าและเขียวสะท้อนแสง ตรงช่วงหน้าจนถึงกลางลำตัวเป็นสีเหลืองหรือเหลืองเกือบเข้ม มีสีดำพาดผ่านดวงตาทั้งสองข้าง ตรงกลางลำตัวมีจุดวงกลมสีดำขนาดใหญ่แลดูเด่น มีครีบอกที่แหลมยาวเป็นสีชมพู และในช่วงผสมพันธุ์ ปลาตัวผู้จะมีสีที่เข้มและสวยกว่านี้ พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำมาโมเรและแม่น้ำกัวโปเร ในประเทศบราซิลและโบลิเวีย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เช่นเดียวกับปลาหมอแคระจำพวกอื่น ปลาหมอแคระแรมโบลิเวีย เมื่อถูกค้นพบครั้งแรกได้ถูกตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crenicara altispinosa ซึ่งคำว่า "altispinosa" เป็นภาษาละติน แยกออกเป็น 2 คำคือ "Altus" แปลว่าสูง และ "Spinosus" แปลว่าลักษณะที่เป็นหนาม รวมสองคำแล้วแปลว่า "ปลาที่มีครีบกระโดงสูง".

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแคระแรมโบลิเวีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแคระแรมเจ็ดสี

ปลาหมอแคระแรมเจ็ดสี หรือ ปลาหมอแรมเจ็ดสี (Ram, Blue ram, German blue ram, Asian ram, Butterfly cichlid, Ramirez's dwarf cichlid, Dwarf butterfly cichlid, Ram cichlid, Ramirezi) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mikrogeophagus ramirezi อยู่ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดเป็นปลาหมอแคระชนิดหนึ่ง ปลาตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวประมาณ 7 เซนติเมตร ส่วนตัวเมีย 4-5 เซนติเมตร ลักษณะรูปร่างแบนข้าง ลำตัวกว้าง ส่วนหัวค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบสัดส่วนกับลำตัว ครีบหางสั้นเป็นรูปสามเหลี่ยม ครีบหลังเชื่อมยาวต่อกันตั้งสูงชันคล้ายกำแพง ก้านครีบแข็ง 3-4 ก้านแรกของครีบหลังมีสีดำตั้งสูงชันขึ้นมาคล้ายหงอนของนกกระตั้ว ดวงตามีสีแดง มีเส้นสีดำพาดตาจากบนหัวลงมาเกือบถึงใต้คอ มีจุดดำขนาดค่อนข้างใหญ่อยู่บริเวณปลายตัวเห็นเด่นชัด สีของปลาหมอแคระแรมเจ็ดสี มีสีสันที่สวยสด โดยเป็นสีเหลือบเขียวและเหลือง มีจุดฟ้าแวววาว และจะยิ่งสดสวยขึ้นเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งปลาตัวผู้จะขับสีออกมาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากปลาตัวเมีย อันเป็นที่มาของชื่อเรียก พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำโอรีโนโก ในเขตประเทศเวเนซุเอลาและโคลัมเบีย เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม กันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ แต่เป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าวกว่าปลาหมอแคระจำพวกอื่น ๆ มักจะข่มขู่และกัดกันเองอยู่ในฝูงอยู่เสมอ ปัจจุบัน เป็นปลาที่ได้รับการเพาะขยายพันธุ์จากมนุษย์จนมีความหลากหลายทางสายพันธุ์มากกว่าปลาที่พบในธรรมชาติ เช่น ปลาที่มีลำตัวสั้นกว่าปกติ หรือ ปลาบอลลูน และปลาที่มีหางยาวเหมือนปลาทอง หรือ ปลาที่มีสีฟ้าแวววาวตลอดทั้งตัว หรือสีเหลืองตลอดทั้งตัว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแคระแรมเจ็ดสี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแคระไตรฟาสเซียตา

ปลาหมอแคระไตรฟาสเซียตา ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จัดเป็นปลาหมอแคระ ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีลักษณะคล้ายกับปลาหมอสีในสกุลอพิสโตแกรมมาชนิดอื่น ๆ ทั่วไป แต่มีลักษณะที่แตกต่างออกไป คือ มีครีบกระโดงหลังที่สูง มีอุปนิสัยที่ชอบกางครีบต่าง ๆ อวดใส่หรือข่มขู่กัน มีสีสันลำตัวทั่วไปเป็นสีฟ้าแวววาว และเห็นเส้นแถบดำกลางลำตัวชัดเจน 3 แถบ ตัวผู้ขนาดโตเต็มที่ 6 เซนติเมตร ตัวเมียประมาณ 4.5 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำเล็ก ๆ ที่เป็นสาขาของแม่น้ำอเมซอน บริเวณประเทศปารากวัย, บราซิล, อาร์เจนตินา และตอนกลางของแม่น้ำปารานา โดยหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ใบไม้ จัดเป็นปลาหมอแคระชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามในอันดับต้น ๆ ของสกุลนี้ และถือว่าเป็นปลาชนิดที่ปรับตัวได้ดีในที่เลี้ยงได้ดีกว่าปลาชนิดอื่นในสกุลเดียวกัน และสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในตู้เลี้ยงอย่างไม่ยากนัก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแคระไตรฟาสเซียตา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอแตงไทย

ปลาหมอแตงไทย (Auratus cichlid, Golden mbuna, Malawi golden cichlid, Turquoise-gold cichlid) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีลำตัวลักษณะเรียวยาวค่อนข้างกลม มีสีสันสวยงามเมื่อมีขนาดโตปานกลาง เมื่อโตเต็มที่ยาวประมาณ 13 เซนติเมตร ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่มีสีคล้ำค่อนข้างดำ ลำตัวมีสีดำบริเวณใต้ท้อง และกลางลำตัววิ่งเป็นทางยาวตั้งแต่ปลายลูกตาไปจรดโคนหาง มีสีขาวคั่นกลางระหว่างสีดำวิ่งเป็นแนวเช่นเดียวกัน คล้ายกับสีของแตงไทยอันเป็นที่มาของชื่อเรียก ด้านหลังมีสีน้ำตาลอมเหลืองตลอดทั้งสองข้าง ครีบกระโดงหลังมีสีเหลืองอ่อน ๆ ปลายครีบมน และมีสีดำวิ่งเป็นริ้วไปตามเส้นครีบ หางแผ่ปลายหางมน ทั้งสองข้างมีสีดำวิ่งสลับกับสีฟ้าอ่อน ตามีสีดำขอบตามีสีเหลืองวิ่งโดยรอบ ปลายครีบใต้ท้องมีสีฟ้าอมขาว บริเวณปลายครีบส่วนล่างที่ติดโคนหางมีสีเหลือง และสีฟ้าอ่อนแต้มเป็นจุด ๆ ปากของปลาหมอแตงไทยค่อนข้างสั้น ริมฝีปากมีขอบสีดำ ตัวเมียมีความสดสวยกว่าตัวผู้ เกล็ดเล็กมีสีเหลืองสด ตามแนวยาวของลำตัวมีสีดำวิ่งเป็นแนวตั้งแต่กลางลำตัวจรดโคนหาง แนวสีดำนี้วิ่งตั้งแต่บริเวณหน้าผ่านตา และวิ่งทั้งสองข้างของลำตัว เหนือจากแนวเส้นดำก็มีแนวสีเหลืองสดคั่นแนวสีดำอีกแนวหนึ่ง ใต้ท้อง และบริเวณเหนือท้องที่ชนเส้น แนวสีดำมีสีเหลืองสดมองดูมีเงาเล็กน้อย ครีบกระโดงหลังสูงน้อยกว่าตัวผู้ และมีสีดำขอบครีบกระโดงมีสีเหลืองสดตลอดแนวขอบริมฝีปากบนมีสีน้ำตาลอมดำ ขอบริมฝีปากล่างมีสีเหลือง หางมีสีเหลืองสดมีแต้มสีดำเข้มเป็นจุด ๆ ครีบคู่ใต้ท้องมีสีเหลือง มีสีดำแซมเล็กน้อย บริเวณปลายครีบล่างใต้ท้องที่ติดกับโคนหางครีบมน และช่วงปลายมีสีเหลืองสด พบกระจายพันธุ์อยู่ในทะเลสาบมาลาวี ในทวีปแอฟริกา ปลาหมอแตงไทย เป็นปลาที่ขยายพันธุ์ด้วยการอมไข่ไว้ในปากปลาทั้งตัวผู้และตัวเมีย ซึ่งในช่วงผสมพันธุ์นี้ทั้งปลาตัวผู้และตัวเมียจะมีสีคล้ำขึ้นกว่าเดิม โดยตัวผู้เข้าไปเคล้าเคลียตัวเมียที่มีไข่พร้อมที่ผสม ว่ายวนไปมาต้อนปลาตัวเมียให้เข้ามาวางไข่ โดยตัวเมียวางไข่ครั้งละ 1 ฟอง ตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อ ตัวเมียอมไข่ที่ผสมน้ำเชื้อแล้วเข้าไปในปาก ตัวเมียไข่ออกมาให้ตัวผู้ผสมให้หมดและอมไว้ ปากที่อมไข่สามารถมองได้ชัดเจนแก้มทั้งสองข้าง ไข่ใช้เวลาฟักประมาณ 8-10 วัน ลูกปลาแรกฟักมีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ปลาที่สมบูรณ์พร้อมจะให้ลูกครอกละประมาณ 50-60 ตัว ปลาหมอแตงไทย เป็นปลาหมอสีอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ด้วยมีสีสันลวดลายที่สดใส และพฤติกรรมที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงไม่อยู่นิ่ง มักจะว่ายน้ำไปมาตลอด โดยผู้เลี้ยงมักจะเลี้ยงรวมกับปลาหมอสีขนาดไล่เลี่ยกันชนิดอื่น ๆ ร่วมกัน จัดเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายมากและมีราคาซื้อขายที่ถูก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอแตงไทย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอโมโนคูลัส

ปลาหมอโมโนคูลัส (Tucanare peacock bass, ชื่อท้องถิ่น: Popoca) ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีลักษณะคล้ายกับปลาหมอออสเซลาริส (C. ocellaris) ซึ่งเป็นปลาพีค็อกแบสเหมือนกัน โดยเฉพาะในปลาขนาดเล็กกว่า 3 นิ้ว แต่จะมีความแตกต่างกันเมื่อปลาเริ่มมีความยาวได้ 5 นิ้ว โดยจะมีสีของครีบหางเป็นสีแดงเข้มกว่า และจุดบนลำตัวที่กลายเป็นลายแถบสีดำจะมีขนาดใหญ่และยาวกว่าปลาหมอออสเซลาริส และสีตามลำตัวจะมีสีเหลืองเข้มหรือเหลืองทองโดยเฉพาะส่วนท้อง และบนส่วนคาง, ครีบท้อง, ครีบก้น และด้านล่างของครีบหางจะเป็นสีส้มหรือสีแดงเข้มกว่า ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีโหนกบนหัวเป็นสัน โดยบางตัวจะเริ่มมีโหนกนี้ตั้งแต่มีความยาวได้เพียง 6 นิ้ว เมื่อถึงช่วงผสมพันธุ์จะมีสีเข้มกว่าปกติ มีขนาดโตเต็มที่ได้ 70 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในประเทศเปรู และโคลัมเบีย นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ซึ่งปลาหมอโมโนคูลัสในระยะแรกที่มีการนำเข้ามาในประเทศไทยในฐานะปลาสวยงาม ได้ถูกปะปนกับปลาหมอออสเซลาริส และมีการขยายพันธุ์ในธรรมชาติ จนถึงปัจจุบัน เชื่อว่า ปลาสกุลปลาพีค็อกแบสในประเทศไทยนั้น เป็นปลาหมอโมโนคูลัสมากกว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอโมโนคูลัส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอโครมายด์เขียว

ปลาหมอโครมายด์เขียว (Green chromide, Pearlspot cichild; มาลายาลัม:, เบงกาลี: കരിമീന്‍‌) ปลาน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Etroplus suratensis ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) เป็นปลาพื้นเมืองที่พบได้ในอินเดียตอนใต้จนถึงศรีลังกา เช่น เมืองสุรัต ในรัฐเกรละ หรือปุทุจเจรี โดยพบได้ในพื้นที่ที่เป็นน้ำกร่อยที่ซึ่งน้ำจืดบรรจบกับน้ำเค็ม เช่น ปากแม่น้ำ เป็นต้น มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 30 เซนติเมตร พบขนาดใหญ่สุดถึง 50 เซนติเมตร ปากมีขนาดเล็กแต่มีฟันแหลมคม กินอาหารหลักได้แก่ ตะไคร่น้ำ โดยมักจะเลาะเล็มกินตามโขดหินหรือวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำ และกินแมลงหรือลูกปลาขนาดเล็กบ้างเป็นอาหารเสริม ปลาตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้กว่ามาก มีรูปร่างแบนข้างและกลม พื้นลำตัวเป็นสีน้ำตาลอ่อนอมเขียว มีลายเส้นสีดำพาดตั้งแต่ท้องจนถึงกลางลำตัวประมาณ 5-6 เส้น ไปสิ้นสุดที่ข้อหาง บริเวณช่วงอกเป็นสีดำ บนลำตัวในบางตัวมีจุดสีขาวกระจาย สีบริเวณส่วนหัวเป็นสีเขียวอมเหลือง โดยเฉพาะในตัวผู้ที่เป็นจ่าฝูงจะมีสีดังกล่าวนี้สวยสดกว่าตัวอื่น ๆ วางไข่ได้มากถึงครั้งละ 1,000 ฟอง โดยในช่วงนี้ปลาตัวผู้จะเปลี่ยนสีให้สวยสดกว่าเดิม เช่นบริเวณส่วนหน้าและครีบต่าง ๆ จะชัดเจนที่สุด ปลาทั้งคู่จะช่วยกันดูแลไข่อย่างใกล้ชิด ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 36-48 ชั่วโมง โดยที่ปลาตัวอ่อนในช่วงแรกจะรับอาหารจากถุงไข่แดงที่มีติดตัวมา จนประมาณถึงวันที่ 7 เมื่อถุงดังกล่าวยุบลง และว่ายน้ำได้แข็งแรงแล้ว ลูกปลาจะกินเมือกที่เกาะตามตัวพ่อแม่เป็นอาหารแทน ปลาหมอโครมายด์เขียว นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ด้วยความเป็นปลาที่มีอุปนิสัยไม่ก้าวร้าว จึงสามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่น ๆ หรือปลาหมอสีด้วยกันเองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นปลาที่นิยมบริโภคกันในท้องถิ่นอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอโครมายด์เขียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอไฟร์เมาท์

ปลาหมอไฟร์เมาท์ (Firemouth, Firemouth cichlid) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Thorichthys meeki อยู่ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีรูปร่างเรียวยาว แบนข้าง บริเวณปากไปจนถึงแก้มจนถึงท้องจะเป็นสีแดงสดอมน้ำตาลเขียว ตากลมมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับส่วนหัวที่มีขนาดใหญ่ รอบ ๆ ลูกตาดำจะมีจุดสีฟ้าอ่อนใส บริเวณปลายครีบหลังและครีบหางเมื่อโตเต็มที่จะยื่นยาวออกมาแลดูสวยงาม มีขนาดใหญ่เต็มที่ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร โดยตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมียค่อนข้างมากพอควร พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคอเมริกากลาง เช่น กัวเตมาลา, เบลิซ และคาบสมุทรยูคาทานในเม็กซิโก และสามารถอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่เป็นน้ำกร่อยได้ด้วย เป็นปลาที่มีนิสัยดุร้ายก้าวร้าว เมื่อต้องการจะข่มขู่ จะใช้วิธีการพองเหงือกและทำปากพอง และเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ โดยเฉพาะในปลาตัวผู้จะข่มขู่ไล่กัดทุกอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งปลาตัวเมียคู่ผสมพันธุ์ด้วย พฤติกรรมการผสมพันธุ์ คือ ตัวผู้จะเข้าไปคลอเคลียปลาตัวเมียเพื่อให้วางไข่ เมื่อไข่หลุดร่วงออกมาแล้วปลาตัวผู้จะเข้าไปฉีดน้ำเชื้อใส่ โดยวางไข่บนหินซึ่งปลาทั้งตัวผู้และตัวเมียจะช่วยกันทำความสะอาดและปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เหมาะกับการวางไข่ การวางไข่ในแต่ละครั้งจะได้จำนวนเฉลี่ยราว 300-500 ฟอง และทั้งคู่จะช่วยกันดูแลไข่จนกระทั่งฟักออกเป็นตัว เป็นปลาที่สวยงามชนิดหนึ่ง นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม และสามารถเพาะขยายพันธุ์ในตู้กระจกได้ โดยใช้ตู้ขนาดเล็กเพียง 24 นิ้วก็เพียงพอ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอไฟร์เมาท์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอไพค์

ปลาหมอไพค์ (Pike cichild) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crenicichla มีรูปร่างโดยรวม เหมือนปลาเข็มหรือปลาไพค์ ซึ่งเป็นปลาต่างอันดับกัน คือ มีรูปร่างทรงกระบอกยาว หรือทรงกระสวย ลำตัวหนา ไม่มีเหมือนกับปลาหมอสีทั่วไป และปากสามารถยืดหดได้เวลาฮุบอาหารคล้ายกับปลาช่อน กระจายพันธุ์ทั่วไปในแหล่งน้ำของทวีปอเมริกาใต้ มีขนาดความยาวตั้งแต่ 3 นิ้ว จนถึงมากกว่า 30 เซนติเมตร ทุกชนิดเป็นปลากินเนื้อ ไล่ล่าปลาขนาดเล็กและลูกปลาต่าง ๆ รวมถึงกุ้งบริเวณผิวน้ำเป็นอาหาร เมื่อยังเป็นปลาขนาดเล็กจะมีพฤติกรรมรวมตัวกันเป็นฝูง ปัจจุบัน อนุกรมวิธานไปแล้วกว่า 88 ชนิด และมีอีกกว่า 47 ชนิดที่เพิ่งค้นพบใหม่ และไม่ได้บรรยายทางวิทยาศาสตร์ โดยมีการค้นพบชนิดใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากนี้แล้วยังพบมีการผสมข้ามพันธุ์กันด้วยในธรรมชาติ นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ซึ่งสามารถเพาะขยายพันธุ์กันได้ในที่เลี้ยง และกินอาหารสำเร็จรูปได้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอไพค์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอไตรมาคู

ปลาหมอไตรมาคู หรือ ปลาหมอตาแดง (Three-spot cichlid, Trimac cichild) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ปลาหมอไตรมาคู เป็นปลาหมอสีชนิดหนึ่งที่เมื่อโตเต็มที่แล้วมีขนาดใหญ่ ถือเป็นต้นสายพันธุ์ของปลาหมอฟลาวเวอร์ฮอร์น ซึ่งเป็นปลาหมอลูกผสมหรือครอสบรีดในปัจจุบัน และถือเป็นปลาหมอสีชนิดที่มีลักษณะใกล้เคียงกับปลาหมอฟลาวเวอร์ฮอร์นมากที่สุด ปลาหมอไตรมาคู ถูกค้นพบและตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ โดย อัลเบิร์ต กึนเธอร์ นักมีนวิทยาชาวเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1896 มีถิ่นกระจายพันธุ์ในแถบอเมริกากลาง ในประเทศเม็กซิโกและเอลซัลวาดอร์ มีลักษณะเด่น คือ หัวมีความโหนกนูน ซึ่งจะเริ่มปรากฏเมื่อปลามีความยาวได้ 9-10 นิ้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ปลาจะเจริญเติบโตเร็วมาก จนกระทั่งถึง 14 นิ้ว จึงจะชะลอลง สีลำตัวมี 2 สี สีเหลืองออกส้มอ่อน ๆ โดยบริเวณลำคอเป็นสีแดงเล็กน้อย และอีกสีหนึ่ง คือ เหลือบสีเขียวออกดำ และบริเวณคอจะเป็นสีแดงเข้ม มีจุดสีดำคาดกลางลำตัว และมีจุดลักษณะคล้ายมุกอยู่รอบ ๆ จุดดำนั้น ดวงตาสีแดงสดใส มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 35 เซนติเมตร ปลาตัวเมียจะมีครีบกระโดงหลังเป็นจุดสีดำ 2 จุด ขณะที่ปลาตัวผู้จะไม่มีจุดดังกล่าว เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 6 เดือน โดยปลาจะวางไข่ติดไว้กับพื้นหรือวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำ ซึ่งการวางไข่แต่ละครั้งจะออกโดยเฉลี่ยครั้งละ 1,000 ฟอง มากน้อยขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของตัวแม่ปลา ซึ่งสัมพันธ์กับอายุแล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอไตรมาคู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอเฟอร์ซิเฟอร์

ปลาหมอเฟอร์ซิเฟอร์ (Featherfin cichlid) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดีัยวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Cyathopharynx (ขณะที่บางข้อมูลระบุว่าแบ่งออกเป็น 2 ซึ่งอีกชนิดหนึ่งนั้นคือ C. foai ซึ่งชนิดหลังนี้จะพบในระดับน้ำที่ลึกกว่าและมีความเข้มของสีลำตัวมากกว่า โดยสีจะออกไปทางโทนเข้มและจัดจ้าน บางแหล่งมีแก้มสีเหลือง โดยทั้ง 2 ชนิดนี้พบได้ในแหล่งน้ำเดียวกัน) ปลาหมอเฟอร์ซิเฟอร์ เป็นปลาที่พบได้เฉพาะในทะเลสาบแทนกันยีกา เพียงที่เดียวเท่านั้น โดยตัวผู้สามารถเติบโตได้ยาวถึง 22 เซนติเมตร และตัวเมียมีขนาดประมาณ 13-14 เซนติเมตร ส่วนปลาที่ยังมีขนาดเล็ก เช่นขนาด 1-2 นิ้ว จะยังไม่ปรากฏสีสัน มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาหมอสีในสกุล Ophthalmotilapia จนแทบจะแยกกันไม่ออก ปลาตัวผู้เมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ (ขนาด 2.5-4 นิ้ว อายุประมาณ 10 เดือนขึ้นไป) จะมีสีสันสวยงาม ครีบต่าง ๆ จะยาวแลดูงามสง่า ในขณะที่ตัวเ้มียมีสีออกขาวออกเงิน ปลายครีบมนกลมไม่แหลมยาวเหมือนตัวผู้ โดยปกติในธรรมชาติ จะอาศัยอยู่ในระดับความลึกประมาณ 3-50 เมตร โดยแหล่งที่อยู่อาศัยจะครอบคลุมพื้นทรายกับก้อนหิน และก้อนกรวด อันเป็นแหล่งที่มีอาหารอยู่มากที่สุด จึงอาศัยอยู่ร่วมกับปลาหมอสีชนิดและสกุลอื่น ๆ ด้วย เมื่อจะขยายพันธุ์ ตัวผู้จะทำการขุดรังเป็นปล่องคล้ายภูเขาไฟ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ฟุต พฤติกรรมจะไม่ก้าวร้าวมากนัก แต่จะมักไล่ปลาอื่นที่เข้ัามารบกวนบริเวณรัง ปลาตัวผู้ที่พร้อมจะผสมพันธุ์จะมีสีสันสวยงาม ครีบต่าง ๆ จะยาวสลวย จะว่ายน้ำสะบัดตัวเชิญชวนตัวเมียให้เข้ามาวางไข่ที่ปล่อง การผสมพันธุ์จะกระทำกันในปล่อง ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ตัวผู้จะว่ายวนรอบตัวเมียเพื่อฉีดน้ำเชื้อให้ตัวเมียรับไปผสมกับไข่ในปาก เมื่อผสมพันธุ์เสร็จแล้ว ตัวเมียจะเป็นผู้ดูแลไข่ โดยเก็บรักษาไข่ไว้ในปากโดยไม่กินอาหารเลย ไข่ใช้เวลาฟักประมาณ 20-25 วัน จำนวนไข่มีประมาณ 10-60 ฟอง ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของแม่ปลา นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยสามารถที่จะเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้ ซึ่งการขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงนั้น ผู้เลี้ยงสามารถที่จะง้างปากแม่ปลาเพื่อนำไข่ออกมาอนุบาลเองได้ เมื่อเข้าสู่วันที่ 8 ของการอมไข่ เพื่อให้อัตราการรอดของลููกปลามีจำนวนมากขึ้นหน้า 108-115, Cyathopharynx อัญมณีสายรุ้งแห่งแทนแกนยิกา โดย ปลาบ้านโรม คอลัมน์ Cichild Corner.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอเฟอร์ซิเฟอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอเฮโรส

ปลาหมอเฮโรส (Severum, Banded cichlid) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ในวงศ์ย่อย Cichlasomatinae ใช้ชื่อสกุลว่า Heros (/เฮ-โรส/) ซึ่งมาจากภาษากรีก (ἥρως) หมายถึง "วีรบุรุษ" หรือ "ฮีโร่" ในภาษาอังกฤษ ตั้งชื่อสกุลโดย โยฮานน์ ยาค็อบ แฮ็คเคล นักสัตววิทยาชาวออสเตรีย ปลาหมอสีในสกุลนี้ มีรูปร่างโดยรวม คือ กลมรี ลำตัวแบนข้างมาก หน้าผากลาดโค้งลงมากถึงปาก ปากมีขนาดเล็ก ภายในปากมีฟันเรียงรายอยู่มากมาย ในตัวเต็มวัยหน้าผากจะมีลักษณะโหนกนูนเล็กน้อย ดวงตามีขนาดใหญ่อยู่ด้านข้างของส่วนหน้า หากมองด้านตรงจะเห็นดวงตาปูดออกมาเล็กน้อย มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 10-12 นิ้ว แพร่กระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ เช่น แม่น้ำโอรีโนโก, แม่น้ำอเมซอน ในแหล่งน้ำสภาพที่นิ่ง ลึก และมีวัสดุต่าง ๆ ให้หลบซ่อนตัว เช่น ตอไม้หรือโขดหิน เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่น และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีการเพาะขยายพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย จนได้สีที่สวยกว่าปลาที่มีอยู่ดั้งเดิมในธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอเฮโรส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอเทศ

ปลาหมอเทศ (Mozambique tilapia, Three spotted tilapia) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีลักษณะรูปร่างทั่วไปคล้ายปลานิล (O. niloticus) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในวงศ์เดียวกันและสกุลเดียวกัน แต่ว่า ปลาหมอเทศมีรูปร่างที่เล็กกว่า มีลำตัวแบนข้าง หัวสั้น ปากกว้าง มีฟันซี่เล็กละเอียด ครีบอกยาวแหลม ครีบก้นมีก้านแข็ง 3 ชิ้น ปลายครีบหางตัดตรง มีเกล็ดตั้งแต่บริเวณแก้ม, หัว ถึงโคนหาง เกล็ดเป็นแบบเกล็ดสาก เส้นข้างลำตัวขาดช่วง ด้านบนลำตัวมีสีคล้ำอมเขียวหรือน้ำเงิน แก้มมีสีจางเป็นปื้น ลำตัวมีแถบสีคล้ำ 8–9 แถบ พาดตามแนวตั้ง ท้องสีจางหรือเหลืองอ่อน ขอบครีบมีสีแดงหรือน้ำตาลรวมถึงครีบอก ปลาขนาดเล็กมีสีคล้ำหรือสีเทา มีความแตกต่างจากปลานิล คือ ปากยาวกว่า และไม่มีแถบหรือลายบนครีบ แต่มีปื้นสีจางบนแก้มของปลาตัวผู้ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 40 เซนติเมตร โดยเฉลี่ยประมาณ 20–30 เซนติเมตร เป็นปลาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ รวมถึงตะกอนอินทรียสาร ขยายพันธุ์โดยปลาตัวผู้ขุดหลุมบนพื้นท้องน้ำเหมือนหลุมขนมครก ปลาตัวเมียอมไข่ในปากไว้ประมาณ 10–15 วัน ก่อนจะปล่อยลูกปลาให้ออกมาว่ายวนรอบ ๆ ตัวแม่ปลา มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกา แถบแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ ในแหล่งน้ำต่าง ๆ และถูกนำเข้าไปในประเทศใกล้เคียง ก่อนจะกลายเป็นปลาเศรษฐกิจที่ถูกนำเข้าไปในหลายประเทศในหลายทวีปทั่วโลก ในประเทศไทยถูกนำเข้ามาในปี พ.ศ. 2492.(พิเศษ) บุญ อินทรัมพรรย์ แห่งคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยนำผ่านมาจากปีนัง เพื่อส่งเสริมเกษตรกรเลี้ยงเป็นอาชีพ แต่ทว่า ความนิยมในการบริโภคสู้ปลานิลไม่ได้ เนื่องจากเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดตัวเล็ก ดังนั้น จึงมีราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่าปลานิล และถูกปล่อยลงตามแหล่งน้ำต่าง ๆ ทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย กลายเป็นผลพลอยได้จากการเลี้ยงกุ้ง ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอเทศ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอเทศข้างลาย

ปลาหมอเทศข้างลาย (accessdate) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายคลึงกับปลานิล (O. niloticus) และปลาหมอเทศ (O. mossambicus) ซึ่งเป็นปลาในวงศ์เดียวกันและสกุลเดียวกัน หากแต่ปลาหมอเทศข้างลายมีแถบดำแต่ไม่ถึงปลายหางจะมีสีแดงในส่วนที่เหลือนั้นแทน พบในแหล่งน้ำจืดจนถึงน้ำกร่อยในทวีปแอฟริกาทางตอนเหนือจนถึงภูมิภาคตะวันออกกลาง มีขนาดยาวเต็มที่ 21 นิ้ว หนักได้ถึง 4.5 กิโลกรัม แต่ส่วนมากจะพบขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 8 นิ้ว หนักเพียง 2.3-2.7 กิโลกรัม พบในแม่น้ำไนล์, แม่น้ำไนเจอร์, แม่น้ำเซเนกัล และแม่น้ำจอร์แดน ในประเทศไทยเป็นปลาเศรษฐกิจในวงศ์ปลาหมอสีอีกชนิดหนึ่ง ที่นอกเหนือจากปลานิลและปลาหมอเทศ แต่จำนวนที่พบมีน้อยกว่าปลาทั้ง 2 ชนิดนั้นมาก ถูกนำเข้ามาครั้งเมื่อปี ค.ศ. 2007 ปัจจุบัน กลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่สำคัญในทวีปอเมริกาเหนือ โดยถูกนำเข้าไปในรัฐฟลอริดา ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอเทศข้างลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอเท็กซัส

ปลาหมอเท็กซัส (Texas cichlid, Rio Grande cichlid) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีลักษณะลำตัวสีเขียวอมเทา มีจุดกลมกลมเล็กเล็กละะเอียดคล้ายไข่มุกทั่วตัว เมื่อโตเต็มที่แล้ว ตัวผู้จะมีโหนกขึ้นเหนือหัว ขนาดโตเต็มที่ได้ 12 นิ้ว ขณะที่ตัวเมียจะมีขนาดเล็กกว่า พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำรีโอแกรนด์ ในรัฐเท็กซัส ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา จนถึงตอนเหนือของเม็กซิโก ปลาหมอเท็กซัส นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม และถือเป็นต้นสายพันธุ์ให้แก่ปลาหมอสีลูกผสมหรือครอสบรีดสายพันธุ์ ปลาหมอเท็กซัสแดง เช่นเดียวกับปลาหมอเท็กซัสเขียว (H. carpintis) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน ซึ่งบางครั้งอาจใช้ปลาทั้ง 2 ชนิดนี้ผสมข้ามสายพันธุ์กัน เป็นปลาที่เพาะขยายพันธุ์ได้ง่ายมาก จนมีคำกล่าวกันว่าเพียงแค่พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ปลาหมอเท็กซัสแค่คู่เดียว ก็สามารถเพาะให้ลูกแก่ผู้นิยมเลี้ยงปลาสวยงามได้ทั้งรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาได้แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอเท็กซัส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอเท็กซัส (สกุล)

ปลาหมอเท็กซัส (Texas cichlid) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดกระดูกแข็งสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Herichthys (มาจากภาษากรีกคำว่า "eri" หมายถึง "มาก" และคำว่า "ichthys" หมายถึง "ปลา") อยู่ในวงศ์ Cichlasomatinae ในวงศ์ใหญ่ Cichlidae หรือปลาหมอสี มีลักษณะโดยรวม มีพื้นลำตัวสีเขียว ตามตัวมีจุดกลมเล็ก ๆ สีคล้ายไข่มุกกระจายอยู่ทั่วตัว เมื่อโตเต็มที่โดยเฉพาะตัวผู้ส่วนหัวจะมีโหนกเนื้อนูนขึ้นมา มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 10-12 นิ้ว เป็นปลาที่มีอุปนิสัยดุร้ายก้าวร้าว กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ กระจายพันธุ์ตั้งแต่ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา เช่น รัฐเท็กซัสและฟลอริดา จนถึงอเมริกากลาง เช่น เม็กซิโก เป็นปลาสกุลที่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยมักจะนำมาผสมข้ามสายพันธุ์กับปลาชนิดอื่นในสกุลเดียวกัน หรือแม้แต่ต่างสกุลกัน จนกลายมาเป็นปลาสายพันธุ์ใหม่ที่มีความสวยกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติ คือ ปลาหมอเท็กซัสแดง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอเท็กซัส (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอเท็กซัสเขียว

ปลาหมอเท็กซัสเขียว (Pearlscale cichlid, Lowland cichlid, Green texas cichlid) ปลาน้ำจืดกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ปลาหมอเท็กซัสเขียว ลักษณะคือ มีลักษณะเด่นเป็นปื้นสีดำหรือมาร์คกิ้ง ที่ลำตัวประมาณ 1-3 จุด และมีจุดกลมเล็ก ๆ คล้ายมุกกระจายทั่วตัว สีลำตัวออกเขียวหรือสีฟ้า ตัวผู้มีส่วนหัวที่โหนกนูน เป็นปลาหมอสีชนิดหนึ่งที่มีนิสัยก้าวร้าวหวงถิ่น มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 6-10 นิ้ว พบกระจายพันธุ์ในตอนเหนือของประเทศเม็กซิโก ในแม่น้ำเวอร์เต้ตามปากแม่น้ำพีนูโกที่ลาดลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก ปลาหมอเท็กซัสเขียว นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามทั่วไป ในประเทศไทยมีการเลี้ยงกันมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี และเป็นปลาที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์หรือผสมข้ามพันธุ์กับปลาหมอเท็กซัสในสกุลเดียวกัน เช่น ปลาหมอเท็กซัส (H. cyanoguttatus) หรือผสมกับปลาหมอสีในสกุล Amphilophus ซึ่งต่างสกุลกัน เป็นปลาสายพันธุ์ใหม่ที่มีความสวยงามขึ้นและมีพื้นลำตัวสีแดงสด คือ ปลาหมอเท็กซัสแดง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอเท็กซัสเขียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอเทเมนซิส

ปลาหมอเทเมนซิส (Speckled pavon, Speckled peacock bass, Painted pavon; ชื่อพื้นเมือง: Tucanare) ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีลักษณะเหมือนกับปลาพีค็อกแบสชนิดอื่น ๆ แต่มีลำตัวที่เพรียวยาวกว่า มีลักษณะเด่นที่แตกต่างไปจากปลาชนิดอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด คือ มีสีสันไม่สดใสเท่า แต่มีจุดประสีขาวเห็นชัดเจนตลอดทั้งตัว ขณะที่โคนครีบหางมีจุดสีดำขนาดใหญ่เหมือนปลาพีค็อกแบสทั่วไป ขณะที่ยังเป็นลูกปลาขนาดเล็กจะมีลายแถบยาวสีดำคาดกลางลำตัวตามแนวยาว ปลาหมอเทเมนซิส มีความยาวโดยเฉลี่ย 75 เซนติเมตร แต่มีรายงานว่าพบขนาดใหญ่ที่สุดถึง 1 เมตร น้ำหนักถึง 12 กิโลกรัม ปลาเมื่อมีขนาดได้ 60 เซนติเมตร จะมีน้ำหนัก 2 กิโลกรัม นับเป็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วที่สุดในบรรดาปลาพีค็อกแบสทั้งหมด พบกระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำอเมซอน, ริโอเนโกร, อูทูม่า และโอรีโนโก ในทวีปอเมริกาใต้ นิยมตกเป็นเกมกีฬา และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอเทเมนซิส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมอเซวารุ่ม

ปลาหมอเซวารุ่ม หรือ ปลาหมอเซวาลุ่ม (Severum, Banded cichlid) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heros severus อยู่ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีรูปร่างป้อมแบนข้างข้างปานกลาง หน้าผากมีความลาดชั้นมาก ปากอยู่ด้านล่าง มีริมฝีปากที่หนา ปลายครีบหลังและครีบก้นยาวแหลม ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อนอมเขียวมีสีส้มปน บริเวณใบหน้ามีลายประสีแดงกระจายอยู่ทั่ว ลำตัวมีสีดำพาดตามขวางประมาณ 6-8 แถบ ซึ่งลายนี้จะจางลงเมื่อปลาโตขึ้น มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในแม่น้ำโอริโนโคและแม่น้ำอเมซอน ในประเทศโคลัมเบียและเวเนซุเอลา โดยจะพบได้ในแหล่งน้ำที่มีความหลากหลายของสภาพ ทั้งน้ำใส น้ำขุ่น หรือน้ำที่มีสีเหมือนสีกาแฟ โดยทั่วไปปลาที่มีขนาดเล็กจะพบมากในบริเวณแหล่งน้ำที่ไหลช้า และมีพื้นเป็นกรวดทราย หรือทรายปนโคลน ส่วนปลาที่โตเต็มวัยจะพบในบริเวณที่น้ำไหลแรงและมีพรรณไม้น้ำขึ้นหนาแน่น อุณหภูมิของน้ำประมาณ 23-29 องศาเซลเซียส ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำ (pH) 5.0-6.5 เป็นปลาที่กินอาหารได้หลากหลายทั้งพืชและสัตว์ ทั้งสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ รวมทั้งแมลง ปลาหมอเซลารุ่ม เป็นปลาที่นิยมเพาะเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามมาอย่างยาวนานแล้ว เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย เพราะเป็นปลาที่มีนิสัยเรียบร้อย ไม่ดุร้ายก้าวร้าวเหมือนปลาในวงศ์ปลาหมอสีชนิดอื่น ๆ อีกทั้งสามารถที่จะเพาะขยายพันธุ์ได้ในตู้ปลาด้วย ซึ่งปัจจุบันได้มีการเพาะขยายพันธุ์ได้มีสีสันที่หลากหลายไปจากปลาสายพันธุ์เดิมในธรรมชาติมาก เช่น สีทองหรือสีแดง เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่นของทวีปอเมริกาใต้ โดยมีชื่อเรียกในภาษาถิ่นว่า Acará-peba.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมอเซวารุ่ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมากผาง

ำหรับปลาที่เป็นปลาทะเลหรือปลาน้ำกร่อยดูที่: ปลามงโกรย ปลาหมากผาง (Freshwater herring, Mekong shad, Laotian shad) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tenualosa thibaudeaui อยู่ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมากผาง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมู

ปลาหมู (Botia) เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่งในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) มีรูปร่างโดยรวม คือ ป้อมสั้น เกล็ดมีขนาดเล็กละเอียด นัยน์ตาไม่มีหนังปกคลุม ใต้นัยน์ตามีเงี่ยงแข็งปลายสองแฉกอยู่หนึ่งชิ้น ซึ่งเมื่อกางออกมาแล้วจะตั้งฉากกับแก้ม จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่หน้าหรือตรงข้ามกับจุดเริ่มต้นของครีบท้อง มีหนวดที่ปลายจะงอยปากสองคู่ และหนวดที่มุมปากบนอีกหนึ่งคู่รวมเป็นสามคู่ ครีบหางเว้าลึกเป็นแฉก พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่อนุทวีปอินเดียจนถึงเอเชียอาคเนย์และทางตอนใต้ของจีน หากินตามพื้นท้องน้ำ โดยอยู่รวมเป็นฝูงในแหล่งน้ำที่มีคุณภาพน้ำค่อนข้างดี มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำสูง ได้แก่ อินทรียสาร ซากพืช ซากสัตว์ ตลอดจนแมลงน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ เดิมปลาในสกุลนี้เคยถูกรวมกันเป็นสกุลใหญ่ แต่ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 21 นักมีนวิทยาได้ทำการอนุกรมวิธานใหม่ จนได้มีการแยกสกุลออกไปเป็นสกุลใหม่อีกสามสกุล คือ Chromobotia (มีเพียงชนิดเดียว คือ ปลาหมูอินโด), Syncrossus (ปลาหมูลายเสือ) และ Yasuhikotakia (ปลาหมูขนาดเล็กที่พบได้ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขง) ส่วนสกุล Botia นี้จะเหลือเพียงแต่ปลาที่พบในอนุทวีปอินเดียจนถึงพม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูกระโดงสูง

ปลาหมูกระโดงสูง (Chinese sucker, Chinese loach, Chinese high fin sucker, Chinese high fin banded shark; 胭脂魚; พินอิน: yānzhiyú) ปลาน้ำจืดกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมูกระโดงสูง (Catostomidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Myxocyprinus (มาจากภาษากรีก "myxos" หมายถึง "น้ำมูกหรือเสมหะ" และภาษาละติน "cyprinus" หมายถึง ปลาตะเพียน) มีพื้นลำตัวสีขาวอมชมพู มีแถบสีดำหนา 3 เส้นเป็นแนวตั้ง มีจุดเด่น คือ มีครีบหลังที่ปลายแหลมสูงและมีขนาดใหญ่ ในปลาที่มีขนาดเล็กกว่า 4 นิ้วจะมีสีสันสดใสและลำตัวทรงสั้นมีครีบหลังใหญ่มองดูคล้ายใบเรือ แต่เมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นสีขาวบนลำตัวจะเริ่มหายไป สีจะซีดจาง ขนาดของครีบหลังจะมีขนาดเล็กลงและความยาวลำตัวจะออกไปทางทรงยาวมากกว่าทรงสูง มีความยาวเมื่อโตเต็มที่ได้ถึง 90 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์เฉพาะในแม่น้ำแยงซีเกียง ในประเทศจีนเท่านั้น มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง ปลาหมูกระโดงสูง เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ด้วยเป็นปลาที่มีความสวย ซ้ำยังมีอุปนิสัยเรียบร้อย ไม่ดุร้ายก้าวร้าวเลย และสามารถทำความสะอาดตู้ที่ใช้เลี้ยงได้เป็นอย่างดี ด้วยเป็นปลาที่หากินกับพื้นท้องน้ำ แต่เป็นปลาที่มีอัตราการเจริญเติบโตได้ช้ามาก เพียงแค่ 1–2 นิ้วต่อปีเท่านั้น เป็นปลาที่ยังไม่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ ต้องรวบรวมพันธุ์ปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติเท่านั้น การจำแนกเพศ สามารถดูได้ที่เพศผู้ในฤดูผสมพันธุ์จะมีตุ่มขาว ๆ คล้ายสิวบริเวณส่วนหัวและโคนครีบอก เช่นเดียวกับปลาหลายชนิดในวงศ์ Cyprinidae.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูกระโดงสูง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูลาย

ปลาหมูลาย ปลาน้ำจืดในสกุล Syncrossus (/ซิน-ครอส-ซัส/) ในวงศ์ปลาหมู (Botidae) เป็นปลาสกุลที่แยกออกมาจากสกุล Botia เป็นปลาหมูที่พบได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มีบางชนิดที่พบได้ในตอนเหนือของประเทศอินเดียด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูลายเมฆ

ปลาหมูลายเมฆ (Cloud-pattern loach, Polkadot botia) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Botia kubotai อยู่ในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) มีรูปร่างแบนข้าง ลำตัวเรียวยาวเล็กน้อย ลำตัวมีสีสันสวยงามมาก โดยเป็นปล้องและดวงสีเหลืองสลับกับสีดำบนพื้นลำตัว ครีบและหางก็มีสีสันแบบนี้ด้วยเช่นกัน โดยปลาแต่ละตัวสีสันจะไม่เหมือนกัน ปากค่อนข้างเรียว มีหนวด 3 คู่ ใต้ตามีกระดูกแข็งอยู่ข้างละคู่ซึ่งสามารถพับเก็บได้ มีขนาดลำตัวใหญ่เต็มที่ไม่เกิน 8.5 เซนติเมตร พบอาศัยอยู่เป็นฝูง หากินบริเวณหน้าดินเฉพาะลุ่มแม่น้ำสาละวินเท่านั้น โดยพบระหว่างพรมแดนไทย-พม่า โดยในเขตแดนไทยพบที่แม่น้ำสุริยะ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นปลาชนิดใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ และถูกอนุกรมวิธานโดย ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูลายเมฆ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูลายเสือ

ปลาหมูลายเสือ (Tiger loach, Chamelon loach) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) มีรูปร่างป้อม ลำตัวแบนข้าง หัวเรียวแหลม ครีบหลังมีก้านครีบแขนง 9 ก้าน ลำตัวมีสีเขียวปนเทาอ่อน ๆ บนลำตัวบริเวณเหนือช่องเหงือกมีลายดำ 4 เส้น ยาวตามลำตัว มีจุดสีดำเล็ก ๆ บนลำตัวใต้ครีบหลัง และมีจุดสีดำขนาดย่อม ๆ บนลำตัวบริเวณเหนือและใต้เส้นข้างลำตัว ครีบหลัง ครีบก้น และครีบหางมีลายสีดำ มีความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร กินอาหารจำพวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมลงน้ำตามหน้าดินเป็นอาหาร ค้นพบในประเทศไทยครั้งแรกที่แม่น้ำท่าดี บ้านคีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช กระจายพันธุ์ทั้งในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าดี รวมถึงแม่น้ำโขง ในต่างประเทศพบได้ในประเทศจีน และหลายประเทศในอินโดจีน จนถึงตอนเหนือของมาเลเซี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูลายเสือ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูลายเสือสาละวิน

ปลาหมูลายเสือสาละวิน (Tiger loach, Burmese peppered firetail botia, Blyth's loach) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syncrossus berdmorei อยู่ในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ลำตัวยาวแบนข้าง มีจะงอยปากเรียวยาว นัยน์ตาเล็ก ครีบหลังมีฐานยาวและมีก้านครีบแขนง 10-11 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแขนง 7 ก้าน ครีบหางเว้าลึก สีพื้นลำตัวเป็นสีน้ำตาลอ่อนปนเหลือง มีแถบสีดำขวางลำตัวเป็นจุดเด่นและเป็นที่มาชื่อเรียก 9-10 แถบ หัวมีลายเป็นขีดสีดำ 3 เส้น แก้มและนัยน์ตามีแถบสีดำ บนลำตัวหลังช่องเหงือกและท้องมีจุดสีดำกระจายไปทั่ว ครีบหลังมีลายสีดำ ครีบหางมีจุดสีดำเรียงเป็นแถว ๆ ในแนวตั้ง โคนครีบอกมีจุดสีดำ ครีบท้องและครีบก้นเป็นสีเหลืองใส มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 15 เซนติเมตร โดยเป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะในลุ่มแม่น้ำสาละวินเท่านั้น โดยพบได้อีกที่ประเทศพม่า ไปจนถึงอินเดีย นิยมใช้บริโภคกันในท้องถิ่น และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม อนึ่ง ยังมีปลาหมูอีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ ปลาหมูลายเสือ (S. beaufori) ซึ่งจะพบได้กว้างขวางกว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูลายเสือสาละวิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูอารีย์

ปลาหมูอารีย์ ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) มีรูปร่างแบนข้าง ลำตัวเรียวยาวเล็กน้อย ลำตัวมีสีเหลืองสด หลังและกลางลำตัวมีแถบสีดำพาด และมีบั้งสีดำพาดลงมาจากสันหลังถึงด้านท้อง ปากค่อนข้างเรียว มีหนวด 3 คู่ ใต้ตามีกระดูกแข็งอยู่ข้างละคู่ซึ่งสามารถพับเก็บได้ ครีบมีแถบสีดำบนพื้นสีจาง ๆ เป็นปลาขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ไม่เกิน 10 เซนติเมตร โดยเฉลี่ยจะพบแค่ 2-3 เซนติเมตรเท่านั้น เป็นปลาที่ถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2502 โดยนายดำริ สุขอร่าม ที่ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ในเขตจังหวัดราชบุรีติดต่อกับเขตจังหวัดกาญจนบุรี โดยปะปนมากับปลาทรงเครื่อง (Epalzeorhynchos bicolor) ต่อมา นายสมพงษ์ เล็กอารีย์ (ผู้ค้นพบปลาปักเป้าสมพงษ์ (Carinotetraodon lorteti), ปลาซิวสมพงษ์ (Trigonostigma somphongsi) และปลาตะเพียนสมพงษ์ (Poropuntius melanogrammus)) ได้ส่งตัวอย่างปลาให้แก่ ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูอารีย์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูอินโด

ปลาหมูอินโด (Clown loach) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) ลำตัวมีลักษณะกลมยาวรี แบนข้างเล็กน้อย ปกคลุมด้วยเกล็ดขนาดเล็กละเอียด มีปากขนาดเล็กแหลม มีหนวดสั้น ๆ ที่ริมฝีปาก 2 คู่ มีตาขนาดเล็ก ใต้ตาจะมีหนามแหลมสั้นทั้งสองข้าง สามารถกางออกมาป้องกันตัวได้ ลำตัวมีสีเหลืองอมส้ม มีแถบสีดำขนาดใหญ่ขอบสีขาวพาดขวางลำตัว 3 แถบ คือ พาดผ่านลูกตา 1 แถบ พาดลำตัวช่วงต้นคอรอบอก 1 แถบ ใกล้โคนหาง โดยพาดจากครีบหลังถึงครีบทวาร 1 แถบ ครีบว่ายและครีบหางมีสีแดง ครีบนอกนั้นมีสีดำ จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ในวงศ์นี้ชนิดหนึ่ง คือ สามารถโตเต็มที่ได้ราว 1 ฟุต มีถิ่นกำเนิดที่เกาะบอร์เนียวและสุมาตรา ในอินโดนีเซีย เดิมปลาหมูอินโดใช้ชื่อสกุล ว่า Botia แต่ในปี ค.ศ. 2004 ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูอินโด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูอินเดีย

ปลาหมูอินเดีย หรือ ปลาหมูเบงกอล หรือ ปลาหมูปล้องทอง (Queen loach, Bengal loach) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Botia dario อยู่ในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) มีลำตัวป้อม ท่อนหางยาว หลังโค้งเล็กน้อย หัวโต จะงอยปากแหลม นัยน์ตาโต เยื่อจมูกโผล่ยื่นออกมาให้เห็นชัดเจน ครีบหลังมีก้านครีบแขนง 12-13 ก้าน ครีบอกมีก้านครีบแขนง 14 ก้าน ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 8 ก้าน และครีบก้นมีก้านครีบแขนง 7 ก้าน ปลายครีบหางเป็นแฉกลึก ลำตัวมีสีเหลืองมีแถบสีดำ 8 หรือ 9 แถบ พาดเฉียงจากหลังถึงท้อง และมีแถบสีดำ 2-3 แถบ พาดขวางบริเวณครีบหาง เป็นปลาขนาดเล็กมีความยาวโดยเฉลี่ย 8 เซนติเมตร ขนาดใหญ่ที่สุด 15 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในประเทศอินเดียและบังกลาเทศ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูฮ่องเต้

ปลาหมูฮ่องเต้ หรือ ปลาหมูกำพล (Emperor loach) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) ปลาหมูฮ่องเต้มีสีพื้นผิวของลำตัวจะเป็นสีเหลืองคล้ายกับชุดของฮ่องเต้หรือจักรพรรดิจีนในสมัยโบราณ อันเป็นที่มาของชื่อ สลับลายคู่สีดำขนาดใหญ่ตลอดทั้งลำตัว มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 3 นิ้ว จัดเป็นปลาที่มีสีสันและลวดลายสวยงามมาก จึงเป็นที่นิยมในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม พบกระจายพันธุ์เฉพาะลุ่มแม่น้ำตะนาวศรีบริเวณชายแดนของไทยกับพม่า ในเขตตะนาวศรีของพม่าเท่านั้น เป็นปลาที่เพิ่งถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2550 และถูกตั้งทั้งชื่อสามัญและชื่อวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ นายกำพล อุดมฤทธิรุจ นักธุรกิจด้านส่งออกปลาสวยงามชาวไทย ปลาหมูฮ่องเต้ กลายเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญสำหรับเศรษฐกิจท้องถิ่น เมื่อเป็นปลาที่มีความต้องการของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม สร้างรายได้ให้แก่ชาวท้องถิ่นที่จับปลาชนิดนี้ส่งขาย และถูกเปิดตัวอย่างเป็นการครั้งแรกในงานประมงน้อมเกล้า ครั้งที่ 19 ที่ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว เมื่อปีเดียวกันกับที่มีการค้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูฮ่องเต้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูขาว

ปลาหมูขาว (Yellow tailed botia, Orange-finned loach, Blue botia, Redtail botia) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Yasuhikotakia modesta อยู่ในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) เป็นปลาที่นับว่ามีขนาดใหญ่ มีลำตัวป้อมสั้น หัวเล็ก จะงอยปากเรียวแหลม และมีหนวดเป็นกระจุก ตามีขนาดเล็ก มีเงี่ยงแหลมปลายแยกเป็นสองแฉกอยู่หน้าตา เมื่อกางออกจะตั้งฉากกับแก้ม ครีบหลังอยู่กึ่งกลางลำตัว มีก้านครีบแขนงประมาณ 7-9 ก้าน ครีบก้นอยู่ใกล้กับส่วนหาง ครีบหางมีขนาดใหญ่ปลายแยกเป็นสองแฉก ครีบอกและครีบก้นอยู่บริเวณแนวสันท้อง สีพื้นลำตัวเป็นสีเทาอมเหลือง หลังมีสีเทาปนเขียว ครีบหางเป็นสีแดง ครีบอื่น ๆ มีสีเหลืองจาง ๆ โคนครีบหางมีสีดำจาง ๆ แต่ถ้าเป็นปลาวัยอ่อน บนลำตัวเหนือครีบอกและครีบท้องมีลายสีเขียวอยู่หลายสาย พบกระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร เป็นปลาที่นิยมใช้บริโภคกันในท้องถิ่น และมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เพื่อใช้เก็บกินเศษอาหารที่หลงเหลือในตู้ โดยมีชื่อเรียกในภาษาอีสานว่า "หมูมัน".

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูข้างลาย

ปลาหมูข้างลาย (Banded loach, Tiger botia, Lesser Katy loach) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) นับเป็นปลาหมูลายชนิดหนึ่ง มีลำตัวแบนข้าง หัวและจะงอยปากยื่นแหลม ตาเล็ก ใต้ตามีหนามโค้ง ปากเล็กและมีหนวดสั้น ๆ 3 คู่ ลำตัวสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเทาคล้ำ ข้างลำตัวมีแถบสีคล้ำพาดตามแนวเฉียง 8-10 บั้ง และสีคล้ำตามแนวตั้ง ท้องสีจาง ครีบใสมีประสีคล้ำ ครีบหลังสั้น ครีบหางเว้าลึกและบั้งสีคล้ำตามขวาง มีขนาดประมาณ 10-15 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ตามแม่น้ำและแหล่งน้ำสายใหญ่ในพื้นที่ภาคกลาง, ภาคเหนือและอีสานของประเทศไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม กินอาหารจำพวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังตามหน้าดินต่าง ๆ รวมถึงลูกกุ้งและแมลงน้ำ มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ เป็นปลาที่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่มีอุปนิสัยก้าวร้าวมักไล่กัดปลาชนิดอื่น ๆ เสมอ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูข้างลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูค้อ

ปลาหมูค้อ หรือ ปลาหมูคอก หรือ ปลาหมูหลังถนน (Skunk loach, Skunk botia, Hora's loach) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Yasuhikotakia morleti อยู่ในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) จัดเป็นปลาขนาดเล็ก มีรูปร่างป้อมสั้น ลำตัวแบนข้าง หลังโค้ง ครีบหลังอยู่ตรงข้ามครีบท้อง และอยู่กึ่งกลางระหว่างปลายจมูกกับฐานครีบหาง ครีบหลังมีก้านครีบแขนง 7-9 ก้าน สีลำตัวมีสีเขียวแกมเหลือง ท้องมีสีขาวซีด มีแถบสีดำพาดตามแนวหลังจากปลายจะงอยปากจรดโคนหาง ฐานครีบหางมีแถบดำขนาดใหญ่ ครีบหางมีสีเหลืองจาง ๆ มีจุดสีดำประปราย มีขนาดความยาวลำตัวประมาณ 10 เซนติเมตร เท่านั้น มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินบริเวณพื้นน้ำ พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำโขง, แม่น้ำแม่กลอง, แม่น้ำเจ้าพระยา เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม นับว่าเป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่มีนิสัยดุร้าย ชอบไปตอดปลาตัวอื่นในตู้เลี้ยงอยู่เสมอ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูค้อ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูน่าน

ปลาหมูน่าน ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ambastaia nigrolineata ในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) มีรูปร่างและสีสันคล้ายคลึงปลาหมูอารีย์ (A. sidthimunki) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ว่าปลาหมูน่านลายจะเป็นแถบยาว เมื่อปลาใหญ่ขึ้นมาลายตามยาวจะขาดเป็นท่อน ๆ และจะเกิดลายขวางเพิ่มมากขึ้น โดยที่ลายแถบของปลาหมูน่านจะมีราว 8-10 แถบ ในขณะที่ปลาหมูอารีย์ ซึ่งจะมีแค่ 5-8 แถบ ดังนั้นเมื่อมองด้วยตาเปล่าแล้วจะพบว่า ลายเส้นของปลาหมูน่านจะใหญ่และหนากว่าของปลาหมูอารีย์ อีกทั้งเมื่อโตเต็มที่แล้วจะมีขนาดลำตัวใหญ่กว่าปลาหมูอารีย์ คือ มีความยาวประมาณ 10-12 เซนติเมตร ถูกค้นพบครั้งแรกที่แม่น้ำโขง ในเมืองหาน เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนาน สำหรับในประเทศไทยพบได้ที่ลำน้ำว้า อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน ปลาหมูน่านเคยถูกสับสนว่าเป็นปลาหมูอารีย์ ด้วยเหตุที่มีรูปร่างและสีสันคล้ายคลึงกัน รวมทั้งเคยถูกจับส่งขายเป็นปลาสวยงามโดยใช้ชื่อของปลาหมูอารีย์ด้วย ดังนั้นจึงได้รับฉายาว่าวงการปลาสวยงามว่า "ปลาหมูอารีย์ปลอม" มีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า "บง" หรือ "หมูงวง".

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูน่าน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหมูโยโย่

ปลาหมูโยโย่ หรือ ปลาหมูปากีสถาน (Pakistani loach, Reticulate loach) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมู (Botiidae) มีรูปร่างเพรียวยาว ลำตัวแบนข้าง หัวรูปทรงกรวย จะงอยปากแหลม ครีบหลังอยู่กึ่งกลางลำตัว ครีบหางเป็นแฉกลึก ลำตัวสีเหลืองอมส้มมีลายดำ ครีบหลังและครีบหางมีลายดำพาดขวาง ครีบอื่น ๆ ไม่มีสี มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 18 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อยู่ในประเทศปากีสถาน, อินเดีย และเนปาล กินสัตว์น้ำขนาดเล็กและแมลงน้ำต่าง ๆ บริเวณพื้นน้ำเป็นอาหาร เป็นปลาหมูอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหมูโยโย่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหม่น

ปลาหม่น หรือ ปลามอน หรือ ปลาม่อน หรือ ปลาม่ำ ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเหมือนปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกันทั่วไป คือ รูปร่างเรียวยาว แบนข้าง ลำตัวกว้าง โคนหางคอดเรียว หัวกลมโต จะงอยปากงุ้มเห็นได้ชัดเจน ช่องปากอยู่ด้านล่าง ปากล่างมีขอบเรียบเป็นเส้น ปลายจะงอยปากมีตุ่มเล็ก ๆ คล้ายสิว ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะในตัวผู้ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ เกล็ดมีขนาดเล็กมีประมาณ 37-39 หรือมากกว่านั้นประมาณ 3 ชิ้น แถวตามเส้นแนวข้างลำตัว ครีบหลังมีก้านครีบแข็ง ก้านที่ยาวที่สุดมีขอบจักเป็นฟันเลื่อย ครีบหางเว้าลึก เกล็ดมีสีเงินเหลือบเขียวอ่อนหรือชมพู ครีบทุกครีบเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ มีความยาวเต็มที่ไม่เกิน 20 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงในช่วงต้นน้ำที่น้ำไหลแรง โดยตวัดกินตะไคร่น้ำและแมลงน้ำที่เกาะตามโขดหินด้วยความรวดเร็ว พบกระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำสาละวิน, แม่น้ำน่าน, แม่น้ำแม่กลอง และพบได้ในทุกประเทศของภูมิภาคอินโดจีน เป็นปลาที่หาได้ง่าย และมีการจับมาเป็นรับประทานเป็นอาหารในท้องถิ่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหม่น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหยะเค

ปลาหยะเค เป็นภาษากะเหรี่ยง ที่หมายถึงปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gagata dolichonema อยู่ในวงศ์ปลาแค้ (Sisoridae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาหยะเค · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหลด

ปลาหลด (spiny eel) เป็นชื่อปลานํ้าจืดทุกชนิดในสกุลปลากระดูกแข็งจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Macrognathus จัดอยู่ในอันดับปลาไหลนา (Synbranchiformes) วงศ์ปลากระทิง (Mastacembelidae) ปลาหลดมีรูปร่างเพรียวยาว ลำตัวแบนข้าง หัวและตามีขนาดเล็ก มีจุดเด่นคือ ปากเล็กและมีจะงอยปากแหลมยาว มีลักษณะทั่วไปคล้ายปลาในสกุล Mastacembelus หรือปลากระทิง แต่ทว่ามีขนาดและรูปร่างเล็กกว่ากันมาก มีสีสันและลวดลายน้อยกว่า โดยเฉลี่ยแล้วจะมีความยาวประมาณไม่เกิน 1 ฟุต และมีครีบหางแยกออกจากครีบหลังและครีบท้องชัดเจน ก้านครีบเดี่ยวของครีบหลังเป็นหนามสั้น ๆ ปลายแหลมประมาณ 12-31 ก้าน ปลายจะงอยปากที่จมูกคู่หน้าแยกออกเป็นติ่งเนื้อเล็ก ๆ 4 หรือ 6 ติ่ง เกล็ดมีขนาดเล็กมากมีพฤติกรรมความเป็นอยู่และการหากินคล้าย ๆ กัน โดยอาจจะพบได้ในลำธารน้ำตกบนภูเขาหรือในป่าดิบชื้นด้วย พบกระจายพันธุ์ในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความสำคัญต่อมนุษย์ในแง่ของการเป็นอาหาร ตกปลา และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหลด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหลดม้าลาย

ปลาหลดม้าลาย (zebra spiny eel) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในสกุลปลาหลด (Macrognathus) วงศ์ปลากระทิง (Mastacembelidae) มีรูปร่างลักษณะเหมือนปลาหลดทั่วไป แต่มีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย จะงอยปากยื่นแหลมกว่า มีลำตัวสีน้ำตาลแกมเขียว มีจุดเด่นคือ มีลายเป็นบั้ง ๆ สีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ เป็นเส้นลายริ้วตลอดทั้งตัว พบกระจายพันธุ์เฉพาะในลุ่มแม่น้ำสาละวินที่เดียวเท่านั้น มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 10-20 เซนติเมตร พบโตเต็มที่ได้ถึง 46 เซนติเมตร เป็นปลาท้องถิ่นที่พบได้บ่อย นิยมนำมาปรุงสดและทำเป็นปลาแห้งบริโภคกันในท้องถิ่น และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ไม่พบบ่อยมีขายบ่อยนัก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหลดม้าลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหลดหลังจุด

ปลาหลดหลังจุด หรือ ปลาหลดลายจุด เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในสกุลปลาหลด (Macrognathus) วงศ์ปลากระทิง (Mastacembelidae) มีรูปร่างเหมือนปลาชนิดอื่น ๆ ที่อยู่ในสกุลปลาหลด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิด M. siamensis แต่มีรูปร่างเรียวกว่า มีลายที่ลำตัวบนพื้นลำตัวสีน้ำตาลเขียวตัดกันไปตลอดทั้งลำตัว และมีจุดครึ่งวงกลมสีดำที่บริเวณใต้ครีบหลังประมาณ 7-8 จุด มีครีบก้นที่เชื่อมต่อเป็นอันเดียวกันกับครีบหลังและครีบท้อง เหมือนปลาในสกุลปลากระทิง (Mastacembelus) มีขนาดความยาวประมาณ 19 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์เฉพาะในลุ่มแม่น้ำโขงและสาขาเท่านั้น จัดว่าเป็นปลาที่พบได้บ่อยและชุกชุมในท้องถิ่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหลดหลังจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหลดหิน

ปลาหลดหิน หรือ ปลาไหลมอเรย์ธรรมดา (Common morays) เป็นสกุลของปลาทะเลจำพวกปลาไหลมอเรย์ (Muraenidae) จัดอยู่ในสกุล Gymnothorax (/จิม-โน-โท-แร็ก/) จัดเป็นปลาไหลแท้ที่อาศัยอยู่ในทะเล โดยหลบซ่อนอยู่ตามโพรงหินปะการัง กินอาหารจำพวกปลา, กุ้ง หรือปู มีฟันและกรามที่แข็งแรง มีขนาดความยาวตั้งแต่ 1.5 เมตร จนถึงขนาดเล็กเพียง 1–2 ฟุต มีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่พบได้ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดสนิทหน้า 110-129, Amphidromous story สุดยอดนักล่า ปลาสองน้ำ คอลัมน์ Wild Ambition โดย ชวิน ตันพิทยคุปต์, กิตติพงษ์ จารุธาณินทร์, นันทวัฒน์ โชติสุวรรณ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหลดหิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหลดจุด

ปลาหลดจุด (Spotfinned spiny eel) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macrognathus siamensis ในวงศ์ปลากระทิง (Mastacembelidae) มีรูปร่างเรียวยาว ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย จะงอยปากยื่นแหลมยาว ครีบหางเล็กปลายมนแยกจากครีบหลังและครีบก้นที่ยาว ครีบอกเล็กกลม ตัวมีสีเทาอ่อน ด้านบนมีสีคล้ำ ด้านท้องสีจาง ครีบหลังคล้ำมีจุดเล็กสีจางประและมีดวงสีดำขอบขาวแบบดวงตา 4–5 ดวงเรียงตามยาว โคนครีบหางมีอีก 1 ดวง มีความยาวประมาณ 12–15 เซนติเมตร ใหญ่สุดพบ 25 เซนติเมตร ปลาหลดจุดอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนิ่งทั่วไป และแม่น้ำลำคลองของทุกภาค รวมถึงพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ในภาคอีสาน บริโภคโดยปรุงสด ทำปลาแห้ง และรมควัน นอกจากนี้ยังจับขายเป็นปลาสวยงามด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหลดจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหวีเกศ

ปลาหวีเกศ (Siamese schilbeid catfish, Siamese flat-barbelled catfish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาหวีเกศ (Schilbeidae) เป็นปลาไม่มีเกล็ด มีรูปร่างคล้ายปลาสังกะวาดและปลาเนื้ออ่อนผสมรวมกัน ตัวเรียวยาว มีครีบหลัง 2 ตอน ตอนหลังเป็นแผ่นเนื้อขนาดเล็กมาก มีลักษณะเด่นคือ มีหนวดยาว 4 คู่ แต่หนวดจะแบนไม่เป็นเส้น คล้ายกับเส้นผมของผู้หญิง จึงเป็นที่มาของชื่อ พบอาศัยอยู่เฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยาเท่านั้น กินแมลงเป็นอาหาร ขนาดโตเต็มที่ราว 20 เซนติเมตร เป็นปลาที่มีรายชื่ออยู่ในกาพย์แห่ชมปลาของเจ้าฟ้ากุ้งนับตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายที่ว่า ปัจจุบันนี้ไม่มีรายงานพบในธรรมชาติมานานแล้ว จึงเชื่อว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้ว เหลือแต่เพียงซากที่ถูกดองเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยากรมประมงของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยฮิว แมคคอร์มิค สมิธ ที่เก็บตัวอย่างได้จากตลาดปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486 และสถาบันสมิธโซเนียนเท่านั้น มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ปลาสายยู" หรือ "ปลาเกด".

ใหม่!!: สัตว์และปลาหวีเกศ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหวีเกศพรุ

ปลาหวีเกศพรุ เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ในอันดับปลาหนัง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseudeutropius indigens อยู่ในวงศ์ปลาหวีเกศ (Schilbeidae) ปลาหวีเกศพรุนับเป็นปลาน้ำจืดชนิดใหม่ของโลก ที่เพิ่งจะได้รับการค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 2011 มีลักษณะไปทั่วคล้ายกับปลาแขยงทอง หรือปลาอิแกลาเอ๊ะ (P. moolenburghae) มาก โดยตั้งชื่อชนิดเป็นภาษาละตินมีความหมายว่า "มีน้อยกว่า" จากลักษณะของจำนวนซี่กรองเหงือกและก้านครีบเมื่อเทียบกับปลาอีแกลาเอ๊ะ โดยลักษณะเด่นที่ใช้สำหรับการจำแนก คือ มีส่วนหัวที่มีความกว้างมากกว่าปลาอิแกลาเอ๊ะ ประมาณ 10.5-11.0 % ของความยาวมาตรฐาน ซี่กรองเหงือกมีจำนวน 33-35 อันที่โครงแรก มีก้านครีบก้น 37-41 ก้าน ขากรรไกรบนและล่างเท่ากัน มีฟันเป็นซี่เล็กแหลม จำนวนมาก หนวดเส้นยาวเรียวทั้งหมด 4 คู่ ยาวอย่างน้อยที่สุดยาวไปจนถึงครีบท้อง มีขนาดใหญ่สุดที่พบความยาวลำตัว มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 7 เซนติเมตร มีการกระจายพันธุ์อยู่ในแหล่งน้ำรอบ ๆ ป่าพรุโต๊ะแดง ของจังหวัดนราธิวาส และในแม่น้ำสุโหง-โกลก และยังพบบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำตาปี ปลาหวีเกศพรุเป็นปลาที่พบน้อย แต่ก็ถูกจับไปขายเป็นปลาสวยงามเป็นครั้งคราวรวมกับปลาที่พบในป่าพรุชนิดอื่น ๆ หรือถูกจับปนไปกับปลาที่กินได้ขนาดเล็กต่าง ๆ โดยมักจะถูกเรียกรวม ๆ กันกับปลาก้างพระร่วง (Kryptopterus macrocephalus) ซึ่งเป็นปลาต่างวงศ์กัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหวีเกศพรุ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหว่าชะอี

ปลาหว่าชะอี หรือ ปลาชะอี ปลาน้ำจืดในสกุล Mekongina (/แม่-โขง-จิ-น่า/) ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำโขงตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศจีนและหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน โดยชื่อ Mekongina ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่สถานที่ค้นพบครั้งแรก คือ แม่น้ำโขงที่อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหว่าชะอี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหว้า

ปลาหว้า เป็นสกุลของปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Bangana (/แบน-กา-นา/) เป็นปลาในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เดิมถูกจัดเป็นสกุลย่อยของสกุล Cyprinus แต่ฟรานซิส บะแคนัน-แฮมิลตัน นักอนุกรมวิธานชาวสกอตได้แยกออกเป็นสกุลใหม่ในปี ค.ศ. 1822 โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้ คือ ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยวที่ไม่เป็นหนามแข็ง และมีก้านครีบแขนง 10-13 ก้าน มีหนวด 2 คู่ ขนาดใกล้เคียงกัน ริมฝีปากบนเรียบและมีร่องลึกระหว่างริมฝีปากบนกับขากรรไกรบน ปากล่างเล็ก ที่มุมปากเป็นร่องกว้าง บางชนิดในเพศผู้เมื่อโตเต็มที่ จะมีส่วนหัวโหนกนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และมีตุ่มคล้ายเม็ดสิวขึ้นบริเวณริมฝีปากบนด้วย และสมาชิกหลายตัวในสกุลนี้ เคยถูกจัดให้อยู่ในสกุล Sinilabeo มาก่อน จัดเป็นปลาขนาดใหญ่สกุลหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน เพราะมีขนาดโตเต็มอาจยาวได้ถึง 80 เซนติเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหว้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหว้าหน้านอ

ปลาหว้าหน้านอ เป็นชื่อของปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bangana behri จัดเป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะเด่นคือ ปลาโตเต็มวัยแล้ว โดยเฉพาะตัวผู้ ส่วนหัวจะมีโหนกและตุ่มเม็ดคล้ายสิวเห็นได้ชัด จึงเป็นที่มาของชื่อ ปลาวัยอ่อน โคนหางจะมีจุดสีดำเห็นได้ชัด เมื่อโตขึ้นจะจางหาย ริมฝีปากหนา หากินบริเวณพื้นน้ำและแก่งหินที่น้ำไหลเชี่ยว โดยแทะเล็มตะไคร่หรือสาหร่าย บริเวณที่ปลาหากินจะเห็นเป็นรอยทางยาว โตเต็มที่ได้กว่า 60 เซนติเมตร อาศัยอยู่ตามแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ในประเทศ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำโขง, แม่น้ำสาละวิน ในเขตจังหวัดกาญจนบุรีเรียกปลาชนิดนี้ว่า "ปลางา" และภาษาอีสานเรียกว่า "หว้าซวง" ปัจจุบัน พบหาได้ยากในธรรมชาติ แต่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว เนื้อมีรสชาติอร่อย นิยมปรุงสด และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งค่อนข้างหายาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหว้าหน้านอ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหัวงอน

ปลาหัวงอน หรือ ปลาหัวตะกั่ว (Panchax) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Aplocheilus (/แอ็พ-โล-โคล-อัส/; มาจากภาษากรีก "Aploe" หมายถึง "เดี่ยว" และ "cheilos" หมายถึง "ริมฝีปาก") จัดอยู่ในวงศ์ปลาคิลลี่ (Aplocheilidae) มีลักษณะสำคัญคือ ปากยืดหดได้ มีฟันที่กระดูกเพดานปากชิ้นกลาง ฐานของครีบอกอยู่ต่ำกว่าระดับกึ่งกลางลำตัว ครีบหางมนกลม เป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วในทุกแหล่งน้ำอย่างกว้างขวางในอนุทวีปอินเดียจนถึงเอเชียอาคเนย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคซุนดา มีขนาดทั่วไปไม่เกิน 10 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าและสีสันสวยงามและหลากหลายกว่าตัวเมีย เป็นปลาที่ออกลูกเป็นไข่ โดยจะวางไข่ไว้กับไม้น้ำ ไข่จะฟักเป็นตัวใช้เวลาประมาณ 12-14 วัน การที่มีถิ่นการแพร่ขยายพันธุ์อย่างกว้างขวางเช่นนี้ มีการสันนิษฐานจากนักวิทยาศาสตร์ว่า มิได้เกิดจากธรรมชาติ แต่เป็นด้วยมนุษย์ซึ่งได้เลี้ยงปลาสกุลนี้เป็นปลาสวยงามอยู่แล้ว อีกทั้งไข่ยังมีคุณลักษณะพิเศษ คือ ทนร้อน และทนแห้งได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกับปลาคิลลี่ฟิช (สามารถส่งไปในซองจดหมายได้ด้วย) จึงประมาณกันว่าการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางนั้นเกิดจากการ่มีไข่ปลาติดไปกับการขนส่งต้นข้าว หรือพืชน้ำต่าง ๆ แต่ตัวผู้มีอุปนิสัยก้าวร้าว มักชอบกัดกันเองคล้ายกับปลากัดหรือปลาเข็ม ซึ่งเป็นปลาต่างวงศ์กัน ซึ่งคนไทยในสมัยโบราณมักจะจับมากัดกันเพื่อการพนัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหัวงอน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหัวตะกั่ว

ระวังสับสนกับ ปลาซิวหัวตะกั่ว ปลาหัวตะกั่ว หรือ ปลาหัวเงิน หรือ ปลาหัวงอน (Blue panchax, Whitespot panchax) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aplocheilus panchax อยู่ในวงศ์ปลาหัวตะกั่ว (Aplocheilidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาในวงศ์ปลาซิวข้าวสาร (Adrianichthyidae) ซึ่งเป็นปลาต่างวงศ์กัน มีลำตัวกลมยาว หัวโตกว้าง มองด้านข้างเห็นปลายแหลม สันหัวแบน ปากซึ่งอยู่ปลายสุดเชิดขึ้น ตาโต และอยู่ชิดแนวสันหัว เกล็ดใหญ่ ครีบต่าง ๆ มีขอบกลม ครีบหลังมีขนาดเล็กอยู่ใกล้ครีบหาง พื้นลำตัวมีสีเทาอมเหลือง ครีบต่าง ๆ สีออกเหลือง โคนครีบหลังสีดำ มีจุดเด่น คือ มีจุดกลมสีเงินเหมือนสีของตะกั่วขนาดใหญ่โดดเด่นอยู่บนสันหัวระหว่างนัยน์ตา อันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีขนาดยาวประมาณ 8 เซนติเมตร แต่มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 3-6 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแหล่งน้ำจืดและน้ำกร่อยตั้งแต่อนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงอินโดนีเซีย สำหรับในประเทศไทยพบกระจายอยู่ทุกภาค จัดเป็นปลาที่หาได้ง่าย และเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในวงศ์นี้ที่พบได้ในประเทศ มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง กินตัวอ่อนของแมลงน้ำ เช่น ลูกน้ำและแพลงก์ตอนสัตว์เป็นอาหาร ตัวผู้มีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าตัวเมีย ครีบใหญ่กว่าและสีสันต่าง ๆ ก็สดกว่า และมีนิสัยก้าวร้าวชอบกัดกันเองในฝูง ผู้คนในสมัยโบราณจึงนักนิยมจับมาเลี้ยงดูเพื่อการกัดกันเป็นการพนันเหมือนปลากัดหรือปลาเข็ม หลวงมัศยจิตรการและโชติ สุวัตถิ ได้กล่าวถึงปลาหัวตะกั่วเมื่อปี พ.ศ. 2503 ไว้ว่า ปลาหัวตะกั่วมีชื่อเรียกในภาษาใต้ว่า "หัวกั่ว" ปัจจุบันมีการเพาะขยายพันธุ์กันเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหัวตะกั่ว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหัวตะกั่วทองคำ

ปลาหัวตะกั่วทองคำ หรือชื่อที่เรียกในวงการปลาสวยงามว่า ปลามังกรน้อย (Striped panchax, Golden wonder killifish, Malabar killi) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aplocheilus lineatus อยู่ในวงศ์ปลาหัวตะกั่ว หรือ วงศ์ปลาคิลลี่ (Aplocheilidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลาหัวตะกั่ว (A. panchax) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน ซึ่งพบในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ แต่สำหรับปลาหัวตะกั่วทองคำนั้นจะพบในตอนใต้ของประเทศอินเดีย และศรีลังกา มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร จัดเป็นปลาชนิดหนึ่งในวงศ์นี้ที่มีขนาดใหญ่ ตัวผู้มีครีบที่แหลมยาวคล้ายหอกกว่าตัวเมีย และมีแถบสีแดงและดำบริเวณครีบ ซึ่งตัวเมียไม่มี เป็นปลาที่มีสีสันสวยงามมากชนิดหนึ่ง โดยจะมีสีเหลืองทองสว่างไสวไปทั่วทั้งตัว อันเป็นที่มาของชื่อเรียก ขณะที่บางตัวที่มีสีซีดจะเป็นสีเขียวหรือขาวจาง ๆ เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ หรือเลี้ยงเดี่ยว ๆ ซึ่งสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว โดยเป็นปลาที่ออกไข่แพร่พันธุ์ง่าย ปลาจะวางไข่ติดกับไม้น้ำ ไข่จะมีเส้นใยพันอยู่รอบ ใช้เวลาฟักเป็นตัวราว 12-14 วัน ปลามีอายุยืนยาวได้ถึง 4 ปี โดยมีช่วงเว้นระยะการวางไข่ราว 2 สัปดาห.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหัวตะกั่วทองคำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหางบ่วง

ปลาหางบ่วง (Golden carp, Sucker carp) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Barbichthys laevis อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเพรียวยาว ส่วนหัวเล็ก ด้านหลังค่อนข้างลึก ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย จะงอยปากยื่น มีริมฝีปากหนาอยู่ด้านล่าง มีหนวดสั้น 2 คู่ ตาเล็ก ครีบหลังและครีบหางใหญ่ เกล็ดเล็ก ลำตัวสีเงินอมเทาหรือเหลืองอ่อน ที่ด้านข้างลำตัวใกล้ครีบอกมีแต้มเล็ก ๆ สีคล้ำ ครีบมีสีเหลืองอ่อนหรือชมพูเรื่อ ขอบบนและขอบล่างของครีบหางมีแถบสีคล้ำ มีขนาดประมาณ 35 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 40 เซนติเมตร นับเป็นปลาเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Barbichthys อาศัยอยู่ในแม่น้ำที่ไหลแรงและลำธารในป่า พบตั้งแต่แม่น้ำแม่กลองถึงแม่น้ำโขง มีพฤติกรรมอพยพย้ายถิ่นเป็นครั้งคราวในฤดูน้ำหลาก โดยอาหารได้แก่ อินทรียสารและตะไคร่น้ำ พบขายเป็นครั้งคราวในตลาดสด นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ปัจจุบัน พบได้เฉพาะลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาที่เดียวเท่านั้น และเป็นปลาที่ใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว ซึ่งในอดีตจะพบชุกชุมที่แม่น้ำสะแกกรัง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหางบ่วง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหางนกยูง

ปลาหางนกยูง เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาหางนกยูง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหางแข็ง

ปลาหางแข็ง หรือ ปลาแข้งไก่ (Torpedo scad, Hardtail scad, Finny scad, Finletted mackerel scad, Cordyla scad) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Megalaspis มีลำตัวเรียวยาวคล้ายกระสวย หัวค่อนข้างแหลมตากลมโต ปากกว้าง หางยาวเรียวและคอด บริเวณโคนหางมีเกล็ดแข็งที่มีลักษณะคล้ายขาไก่ หรือแข้งไก่ อันเป็นที่มาของชื่อเรียก ครีบหลังและครีบก้นมีครีบฝอย ครีบหูเรียวโค้งคล้ายเคียว ลำตัวสีน้ำเงินปนเขียว ด้านหลังมีสีเขียวเข้ม มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 80 เซนติเมตร และหนักได้ถึง 40.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหางแข็ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหางแข็งบั้ง

ปลาหางแข็งบั้ง หรือ ปลาสีกุนกบ (Yellowtail scad, Banded crevalle, Deep trevally) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Atule มีลำตัวยาว แบนข้าง หัวโต จะงอยปากยาวและแหลม นัยน์ตาโตมีเยื่อไขมันหุ้มอยู่ ปากกว้างและเฉียงขึ้นเล็กน้อย มีฟันเล็ก บนขากรรไกร เกล็ดบริเวณเส้นข้างลำตัวแข็ง โดยเฉพาะส่วนหางดูเป็นสันแข็งกว่าส่วนอื่น ๆ ครีบหลังมีสองอัน แยกเป็นอิสระจากกัน อันแรกเป็นรูปสามเหลี่ยม อันที่สองตอนหน้าสูงแหลม ตอนท้ายสุดจรดโคนหาง ครีบก้นยาวปลายจรดโคนหาง เช่นกัน ลำตัวด้านบนสีน้ำเงินแกมเขียว ช่วงท้องสีขาว มีแถบสีเทาจาง ๆ พาดตัวลายใหญ่บ้างเล็กบ้างสลับกัน ครีบต่าง ๆ มีสีเหลือง มีความยาวเต็มที่ 30 เซนติเมตร ขนาดโดยเฉลี่ยที่พบ คือ 15-26 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในชายฝั่งและน้ำกร่อยอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ทะเลแดง, หมู่เกาะฮาวาย, แอฟริกา, ซามัว, ตอนเหนือของญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เป็นปลาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญชนิดหนึ่ง เนื้อมีรสชาติดี จึงนิยมแปรรูปเป็นปลาเค็ม, ปลากระป๋อง เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหางแข็งบั้ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหางไหม้

ปลาหางไหม้ หรือที่นิยมเรียกกันว่า ปลาฉลามหางไหม้ (Bala shark, Burn tail shark, Silver shark, Black tailed shark) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Balantiocheilos (/บา-แลน-ทิ-โอ-ไคล-ออส/) มีรูปร่างคล้ายปลาตามิน (Amblyrhynchichthys truncatus) มีรูปร่างและทรวดทรงที่เพรียวยาว ตาโต ปากเล็ก ขยับปากอยู่ตลอดเวลา ใต้คางมีแผ่นหนังเป็นถุงเปิดออกด้านท้าย ก้านครีบแข็งก้านสุดท้ายของครีบหลังมีขนาดใหญ่ และมีขอบจักเป็นฟันเลื่อย จะงอยปากแหลม มีเยื่อไขมันเป็นวุ้นรอบนัยน์ตา ครีบท้องมีก้านครีบแขนงทั้งหมด 9 ก้าน ไม่มีหนวด มีลำตัวแบนข้างเล็กน้อย เกล็ดมีขนาดเล็กสัดส่วนของครีบทุกครีบเหมาะสมกับลำตัว โดยเฉพาะครีบหางซึ่งเว้าเป็นแฉกลึก สีของลำตัวเป็นสีเงินแวววาว ด้านหลังสีเขียวปนเทา ครีบหลัง ครีบท้อง ครีบก้นและครีบหางสีส้มแดงหรือสีเหลืองอมขาว และมีขอบเป็นแถบดำ อันเป็นที่มาของชื่อ ว่ายน้ำได้ปราดเปรียวมาก และกระโดดขึ้นได้สูงจากน้ำมาก มีขนาดโตเต็มราว 20–30 เซนติเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหางไหม้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหิมะ

ปลาหิมะ (sablefish, sable, black cod, butterfish, bluefish, candlefish, coal cod; ギンダラ; /กิน-ดะ-ระ/) เป็นชื่อทางการค้าที่เรียกปลาชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ปลาหิมะ (Anoplopomatidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Anoplopoma ปลาหิมะ เป็นปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำลึกประมาณ 300–3,500 เมตร บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือจนถึงทะเลญี่ปุ่นในแถบที่พื้นทะเลเป็นโคลน เป็นปลาที่เจริญเติบโตช้า วางไข่ได้เมื่ออายุ 10 ปี อายุยืน ความยาวสูงสุดที่พบประมาณ 2.2 เมตร น้ำหนัก 120 กิโลกรัม กินปลาหมึก, กุ้ง, ปู และปลาเป็นอาหาร ปลาหิมะ เป็นปลาเนื้อสีขาว เนื้อนิ่ม รสชาติกลมกล่อม เนื้อมีลักษณะคล้ายเนื้อปลากะพงขาว แต่เนื้อปลาหิมะจะมีไขมันผสมอยู่สูงกว่า เนื้อของมันสามารถใช้ประกอบอาหารได้หลายประเภทเช่น ต้ม, ย่าง, อบ, ทอด รวมถึง รับประทานสดเป็นซาชิมิ โดยเป็นเนื้อปลาที่มีราคาแพงในญี่ปุ่น คุณค่าทางสารอาหาร เนื้อปลาหิมะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า เช่น กรดไขมันโอเมกา-3 ที่มีประโยชน์แก่ร่างก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหิมะ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหิน

ปลาหิน (Stonefishes) เป็นสกุลของปลาทะเลในสกุล Synanceia ในวงศ์ปลาหิน (Synanceiidae) อันดับปลาแมงป่อง (Scorpaeniformes) มีรูปร่างโดยรวม คือ ลำตัวป้อมเกือบกลม หัวขนาดใหญ่ส่วนหัวมีหนามจำนวนมาก สีลำตัวคล้ำมีลายเลอะ ทำให้แลดูคล้ายก้อนหิน ลำตัวสากและมีหนามเล็ก ๆ หนังหนาและเป็นปุ่ม เกล็ดละเอียด บางชนิดไม่มีเกล็ด ครีบหลังยาว ครีบอกกว้าง มีก้านครีบแข็งขนาดใหญ่ที่ครีบหลัง ครีบอก และครีบท้อง ก้านครีบแข็งมีลักษณะเป็นหนาม ซึ่งก้านครีบนี้มีพิษร้ายแรงมาก โดยต่อมพิษของก้านครีบแข็งอยู่ใต้ชั้นผิวโดยอยู่รอบส่วนกลาง ส่วนปลายของก้านหนามหุ้มห่อด้วยเนื้อเยื่อ พิษจะถูกปล่อยออกเมื่อเยื่อหุ้มหนามฉีกขาด อันตรายเกิดจากการไปสัมผัสถูกก้านครีบแข็งบริเวณต่าง ๆ และหนามบริเวณหัว เนื่องจากปลาหินชอบอยู่นิ่ง ๆ ทำให้ดูคล้ายก้อนหิน อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ หากไปสัมผัสหรือเหยียบได้ พิษมีความรุนแรงมากเมื่อถูกตำหรือบาดจะปวดและบวมทันที ความเจ็บปวดอาจอยู่นานหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ในกรณีที่รับพิษจำนวนมากหรือแพ้ ผู้ได้รับพิษอาจมีอาการคอแห้ง ปวดเมื่อยตามข้อต่าง ๆ ซึม เพ้อ ไม่ได้สติ จนกระทั่งเสียชีวิตได้ในที่สุด โดยปลาหินถือว่าเป็นปลาจำพวกหนึ่งที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก ปลาหิน เป็นปลาที่หากินอยู่ตามพื้นทะเล โดยกบดานอยู่กับพื้นนิ่ง ๆ เพื่อรอฮุบเหยื่อซึ่งเป็นอาหารไปทั้งคำ กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก โดยอาจพบได้ในแหล่งน้ำกร่อย เช่น ปากแม่น้ำ หรือตามชายหาดเมื่อน้ำล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหูช้าง

ปลาหูช้าง หรือ ปลาค้างคาว (Batfishes) เป็นสกุลของปลาทะเลในสกุล Platax จัดอยู่ในวงศ์ Ephippidae หรือวงศ์ปลาหูช้าง คำว่า Platax มาจากคำว่า "Platys" ซึ่งเป็นภาษากรีก มีความหมายว่า "แบน" หมายถึงรูปร่างที่แบนข้างโดยทั่วไปของปลาสกุลนี้ โดยมีชื่อสามัญที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "ปลาค้างคาว" อันเนื่องจากรูปร่างที่แลดูคล้ายค้างคาวมาก โดยเฉพาะเมื่อยามเป็นปลาวัยอ่อน ปลาหูช้าง กระจายพันธุ์อยู่ตามแนวปะการังและซากเรือจมหรือเศษวัสดุต่าง ๆ ในท้องทะเล พบกระจายพันธุ์ในเขตอินโด-แปซิฟิก, ทะเลแดง จนถึงภาคตะวันออกของออสเตรเลีย, ทางเหนือของเกาะริวกิว และพบได้ในมหาสมุทรแอตแลนติก และทะเลแคริบเบียน ปลาหูช้าง ขยายพันธุ์ด้วยการออกไข่แบบปล่อยลอยตามน้ำ เมื่อฟักเป็นตัวอ่อน จะใช้ชีวิตล่องลอยแบบแพลงก์ตอน จนเจริญเติบโตขึ้นมาอีกระดับลงสู่พื้น โดยมากจะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลในเขตที่เป็นรอยต่อระหว่างน้ำจืดและน้ำเค็ม มีรูปร่างลักษณะคล้ายค้างคาวหรือใบไม้สีน้ำตาลแก่มาก บางชนิดเข้ามาอยู่ในแนวปะการัง มีครีบหลังและครีบท้องยาวมาก ลูกปลาหูช้างมักอยู่ตามพื้นด้านนอกแนวปะการังตอนกลางวัน กลางคืนถึงเข้ามาในแนวปะการัง อยู่ตามชายขอบแนวในที่ลึก อยู่นิ่ง ๆ ตามพื้นเพื่อหลบผู้ล่าตอนกลางคืน เนื่องจากเป็นปลาที่หากินในเวลากลางวัน ลูกปลาหูช้างที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายค้างคาว เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามและเลี้ยงเพื่อแสดงตามพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และนิยมบริโภคกันในท้องถิ่น ทำให้ในปัจจุบัน ปลาหูช้างพบได้น้อยลง แบ่งออกได้เป็น 5 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหูช้าง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหูช้างกลม

ปลาหูช้างกลม (Orbicular batfish, Round batfish) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหูช้าง (Ephippidae) ลำตัวแบนข้างส่วนหลังโค้งมากกว่าส่วนท้อง ครีบหูและครีบท้องอยู่ในแนวเดียวกัน ครีบหลังยาวกว่าครีบก้น ครีบหางปลายตัดตรง ลำตัวสีน้ำตาล มีแถบสีดำพาดขวาง 3 แถบ ในปลาขนาดเล็กครีบหลัง, ครีบก้น และครีบท้องค่อนข้างยาว และจะหดสั้นเมื่อโตขึ้น อาศัยอยู่บริเวณกองหินใต้น้ำและตามชายฝั่งทะเล ปลาวัยอ่อนสามารถอาศัยในเขตน้ำกร่อยและตามปากแม่น้ำ นอกจากนี้แล้วยังมีรายงานพบอาศัยในน้ำจืด เช่น บางหมู่เกาะในอินโดนีเซีย มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 50 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทะเลแดง, ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก, อินโด-แปซิฟิก, นิวแคลิโดเนีย, ทะเลญี่ปุ่น และออสเตรเลีย และมีรายงานพบที่รัฐฟลอริดา ของสหรัฐอเมริกา ปลาในวัยอ่อน มีสีน้ำตาลแดง ลักษณะคล้ายกับใบไม้ เพื่อใช้ในการพรางตัวให้พ้นจากสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าโดยการลอยตัวแบนข้างตามกระแสน้ำ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งในปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในสถานที่เลี้ยง โดยแม่ปลาไม่ได้วางไข่ทั้งปี แต่วางไข่ได้ถึงครั้งละหนึ่งแสนฟอง โดยการแบ่งเพศจะไม่สามารถทำได้ จนกว่าจะถึงฤดูผสมพันธุ์ โดยสังเกตคร่าว ๆ ว่า ปลาเพศเมียนั้นจะมีขนาดใหญ่ปลาเพศผู้ และช่องท้องจะอูมกว่า ช่องเพศจะเต่งตึงขณะกำลังตั้งท้อง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหูช้างกลม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหูช้างครีบยาว

ปลาหูช้างครีบยาว หรือ ปลาหูช้างยาว หรือ ปลาค้างคาว (Longfin batfish, Batfish, Roundface batfish) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหูช้าง (Ephippidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาหูช้างกลม (P. orvicularis) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันที่ ปลาหูช้างยาวจะมีครีบหลังและครีบท้องยาวมาก ลำตัวมีสีดำ ลักษณะแลดูคล้ายค้างคาว โดยเฉพาะเมื่อยังเป็นปลาวัยอ่อน อันเป็นที่มาของชื่อ แต่จะครีบทั้งหมดจะหดสั้นลง รวมทั้งสีก็จะค่อย ๆ ซีดจางลงเมื่อปลาโตขึ้น และบริเวณส่วนหน้าก็จะหดสั้นลงด้วย จนทำให้แลดูกลมป้าน มีความยาวเต็มที่ราว 70 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่น เช่น อินโด-แปซิฟิก ลูกปลาปล่อยตัวเองลอยไปกับกระแสน้ำ ในแถบที่เป็นน้ำกร่อย เช่น ปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน เพื่อหลอกลวงสัตว์นักล่าขนาดใหญ่กว่า เป็นปลาในวงศ์นี้ 1 ใน 2 ชนิดที่พบได้ในน่านน้ำไทย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ยังไม่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในขณะนี้ ซึ่งแตกต่างจากปลาหูช้างกลม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหูช้างครีบยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหนวดพราหมณ์

ปลาหนวดพราหมณ์ หรือ ปลาหนวดตาแป๊ะ (Threadfins) เป็นสกุลของปลาน้ำกร่อยและน้ำจืดจำพวกหนึ่งในวงศ์ปลากุเรา (Polynemidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Polynemus (/โพ-ลี-นี-มัส/) เป็นปลาที่พบได้ในน้ำกร่อยและน้ำจืดเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากปลาสกุลอื่นในวงศ์เดียวกัน มีลักษณะโดยรวม คือ ครีบอกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนบนเหมือนครีบปลาทั่วไป แต่ส่วนล่างแบ่งเป็นเส้น ๆ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ชนิด ตั้งแต่ 3-14 เส้น เป็นปลาที่ผสมพันธุ์และวางไข่ ฟักเป็นตัวในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ อาจพบได้บ้างตามแหล่งน้ำกร่อย เช่น ปากแม่น้ำหรือชายฝั่ง พบแพร่กระจายพันธุ์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศอินโดนีเซีย มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร สำหรับในชนิดที่พบในประเทศไทย ได้แก่ ปลาหนวดพราหมณ์เหนือ (P. aquilonaris), ปลาหนวดพราหมณ์ตะวันออก (P. dubius), ปลาหนวดพราหมณ์หนวด 7 เส้น (P. paradiseus), ปลาหนวดพราหมณ์ทอง (P. melanochir) และ ปลาหนวดพราหมณ์หนวด 14 เส้น (P. multifilis) นิยมรับประทานเป็นอาหาร และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหนวดพราหมณ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหนวดพราหมณ์หนวดสิบสี่เส้น

ปลาหนวดพราหมณ์หนวดสิบสี่เส้น หรือ ปลาหนวดพราหมณ์น้ำจืด (Elegant threadfin) อยู่ในวงศ์ปลากุเรา (Polynemidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาหนวดพราหมณ์หนวดเจ็ดเส้น (P. paradiseus) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน เพียงแต่มีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่า หัวมีขนาดสั้นกว่า สีพื้นลำตัวคล้ำกว่า และมีจุดดำอยู่บริเวณเหนือครีบอก มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 30 เซนติเมตร ครีบอกที่เป็นเส้นยาวพบข้างละ 7 เส้น จึงเป็นที่มาของชื่อ พบในบริเวณที่เป็นน้ำจืดมากกว่าปลาหนวดพราหมณ์หนวดเจ็ดเส้น จึงสามารถเลี้ยงให้รอดในสถานที่เลี้ยงได้มากกว่า ปลาหนวดพราหมณ์หนวดสิบสี่เส้น เป็นปลาที่สวยงามและมีขนาดที่ใหญ่กว่าปลาหนวดพราหมณ์ธรรมดาจึงเป็นที่นิยมในหมู่นักเลี้ยงปลาสวยงาม แต่ด้วยความที่เป็นปลาที่เลี้ยงค่อนข้างยากจึงทำให้มีอัตราการรอดที่น้อยมากทำให้มีราคาที่ค่อนข้างสูง ในต่างประเทศนิยมสั่งซื้อปลาชนิดนี้ จากประเทศไทย และ ประเทศเวียดนาม โดยราคาของปลาหนวดพราหมณ์หนวดสิบสี่เส้น จะอยู่ที่ประมาณ 1,500 ถึง 3,000 บาท แล้วแต่ความสมบูรณ์ และขนาดของปลา ซึ่งด้วยความที่ปลาหนวดพราหมณ์หนวดสิบสี่เส้น มีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่าปลาหนวดพราหมณ์ธรรมดา จึงทำให้มีราคาที่สูงกว่าเกือบ 2 เท่า โดยทั่วไปปลาหนวดพราหมณ์หนวดสิบสี่เส้น อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็มและสามารถโตได้ในน้ำจืด สำหรับประเทศไทย ปลาหนวดพราหมณ์หนวดสิบสี่เส้น กลายเป็นปลาหายากไปแล้วเพราะปลาส่วนใหญ่มาจากการจับจากธรรมชาติ ซึ่งมีจำนวนลดน้อยลงมาก ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2548 สถานีประมงจังหวัดพิษณุโลกสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว โดยรวบรวมพ่อแม่พันธุ์จากแม่น้ำแควน้อ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหนวดพราหมณ์หนวดสิบสี่เส้น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหนวดพราหมณ์หนวดเจ็ดเส้น

ปลาหนวดพราหมณ์หนวดเจ็ดเส้น หรือ ปลาหนวดพราหมณ์ (Paradise threadfin) ปลาน้ำกร่อยที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดได้ อยู่ในวงศ์ปลากุเรา (Polynemidae) มีส่วนหัวขนาดเล็ก ตามีขนาดเล็กอยู่เกือบสุดปลายส่วนหัวและมีเยื่อไขมันคลุม ปากกว้างมีฟันซี่เล็กละเอียดบนขากรรไกร ลำตัวแบนข้าง ครีบอกยาว ส่วนที่เป็นเส้นยาวมีความยาวมากกว่าลำตัวถึง 2 เท่า โดยเฉพาะเส้นบนมีทั้งหมดข้างละ 10 เส้น ครีบหางเว้าลึกปลายแหลม เกล็ดเล็กละเอียดมีลักษณะเป็นปากฉลาม ตัวมีสีเงินวาวอมชมพูหรือสีเนื้อ หัวสีจางอมชมพูหรือสีเนื้อ ครีบสีจาง ด้านท้องสีจาง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 10 - 15 เซนติเมตร ใหญ่สุดพบถึง 20 เซนติเมตร นิยมอยู่เป็นฝูง บางครั้งหากินด้วยการหงายท้องล่าเหยื่อ พบมากในแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง แม่น้ำบางปะกง, แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำโขงตอนล่าง ในต่างประเทศพบได้จนถึงบอร์เนียวและเกาะสุมาตรา เป็นปลาที่นิยมใช้บริโภคโดยการปรุงสดและทำปลาตากแห้ง นิยมตกเป็นเกมกีฬา อีกทั้งด้วยความสวยงามของหนวดที่ยาว ทำให้ได้รับความนิยมในแง่ของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย แต่เลี้ยงให้รอดได้ยากมาก เนื่องจากเป็นปลาที่เปราะบาง มักตายอย่างง่าย ๆ จึงทำให้มีราคาค่อนข้างสูงแต่ในต่างประเทศนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเป็นอย่างมาก โดยมีราคาเฉลี่ย 500 ถึง 1,500 บาท แล้วแต่ขนาดและความสมบูรณ์ของปล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหนวดพราหมณ์หนวดเจ็ดเส้น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหนามหลัง

ปลาหนามหลัง เป็นชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mystacoleucus marginatus อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาในวงศ์นี้ทั่วไป แต่ลำตัวแบนข้างมากกว่า ครีบหลังสูงปานกลาง ก้านครีบหลังมีหยักที่ขอบด้านท้าย ที่โคนครีบหลังด้านหน้าสุดมีหนามแหลมสั้นยื่นออกมาทางข้างหน้า ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของปลาสกุลนี้ และเป็นที่มาของชื่อ มีเกล็ดใหญ่คลุมตัว ครีบก้นสั้น ครีบหางเว้าลึก ตัวมีสีเงินอมเหลืองอ่อน ขอบเกล็ดด้านบนมีสีคล้ำ บางเกล็ดบนลำตัวจึงดูเหมือนเป็นขีดสั้น ๆ ประที่ด้านข้าง ครีบมีสีเหลืองอ่อนหรือส้ม และขอบครีบด้านท้ายมีสีคล้ำ เมื่อติดอวนหรือตาข่ายจะปลดออกได้ยาก เพราะหนามแหลมที่ครีบหลัง มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 8-10 เซนติเมตร ใหญ่สุดที่พบ 15 เซนติเมตร พบชุกชุมในแม่น้ำสายใหญ่และแหล่งน้ำนิ่งทั่วประเทศ โดยอาศัยอยู่ทุกระดับของน้ำเป็น จัดเป็นปลาที่มีราคาถูก นำมาทำปลาร้าหรือปรุงสด และถูกเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ปลาหนามหลังมีชื่อเรียกที่ต่างออกไปตามถิ่นต่าง ๆ เช่น "ปลาขี้ยอก" หรือ "ปลาหนามบี้" ในภาคอีสาน "ปลาหญ้า" ในภาคใต้ ที่เขตแม่น้ำน่านเรียก "ปลาหนามไผ่" หรือ "ปลาหนามแต๊บ" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหนามหลัง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหนามหลังสาละวิน

ปลาหนามหลังสาละวิน ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mystacoleucus argenteus อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างแบนข้างเป็นรูปสี่เหลี่ยม หัวและปากมีขนาดเล็ก มีหนวด 2 คู่ ที่มุมปากและจะงอยปาก เกล็ดมีขนาดเล็กมีแถวประมาณ 31-33 แถว ตามแนวเส้นข้างลำตัว ครีบหลังมีสีส้มขอบมีสีคล้ำ ครีบหางมีสีเหลืองสดมีขอบสีคล้ำ ครีบอื่น ๆ มีสีเหลืองใส ตามีแต้มสีแดงที่ด้านบน ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 15 เซนติเมตร พบชุกชุม มีถิ่นกระจายพันธุ์เฉพาะลุ่มแม่น้ำสาละวินที่พรมแดนไทย-พม่า เท่านั้น นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยมีชื่อเรียกเฉพาะในวงการปลาสวยงามว่า "ปลาตะเพียนพม่า" นอกจากนี้แล้วยังมีชื่อเรียกอื่นอีกว่า "ปลาหางเหลือง" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาหนามหลังสาละวิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาหน้าหมอง

ปลาหน้าหมอง ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะคล้ายปลาสร้อยนกเขา (O. vittatus) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่จะงอยปากยื่นกว่า ปากงุ้มอยู่ด้านล่าง ครีบหลังสั้นกว่า ลำตัวมีสีน้ำตาลแดงหรือม่วงคล้ำ ส่วนหัวมีสีคล้ำหรือม่วงคล้ำ ข้างช่องเหงือกมีแต้มสีดำ ครีบสีคล้ำ มีขนาดโดยเฉลี่ย 15-20 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์เป็นฝูงเล็ก ๆ ประมาณ 5-10 ตัว เที่ยวเวียนว่ายกินตะไคร่น้ำและอินทรีสารเล็ก ๆ ตามกองหินหรือโขดหินใต้น้ำ เป็นปลาที่พบได้เฉพาะต้นน้ำลำธารในป่า เป็นปลาที่พบได้น้อย พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยเดิมจะพบแต่เฉพาะในพื้นที่ที่เป็นต้นน้ำลำธารในป่าดิบของภาคใต้เท่านั้น แต่ต่อมาในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาหน้าหมอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอกแล

ปลาอกแล หรือ ปลาอกรา หรือ ปลาอกกะแล้ (Herrings) เป็นปลาทะเลสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) จัดเป็นปลาเฮร์ริงจำพวกหนึ่ง ที่จัดอยู่ในสกุล Herklotsichthys มีลักษณะสำคัญทางอนุกรมวิธาน คือ ลำตัวแบนข้างมาก สันท้องแหลม เกล็ดบางหลุดง่าย เกล็ดในแนวสันท้องเป็นเหลี่ยมคมเรียงต่อกันคล้ายฟันเลื่อย ปากเล็กเชิดขึ้นเล็กน้อย ฟันเล็กมาก ซี่เหงือกมีจำนวนมาก ไม่มีก้านครีบแข็งหรือเงี่ยง ลำตัวสีเงิน เฉพาะด้านหลังสีน้ำเงินเข้ม บนลำตัวที่ใกล้มุมแผ่นปิดเหงือกมักมีแต้มสีดำคล้ำหนึ่งจุด ครีบหลัง และครีบหางสีดำคล้ำอมเหลือง ขนาดยาวได้ถึง 18 เซนติเมตร เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยเป็นปลาผิวน้ำ ปลาขนาดเล็กอาจเข้ามาอยู่ใกล้ฝั่งหรือในน้ำกร่อ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอกแล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอมไข่ครีบยาว

ปลาอมไข่ครีบยาว (Banggai cardinalfish, Longfin cardinalfish, Kaudern's cardinal) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาอมไข่ (Apogonidae) ถือเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Pterapogon มีครีบหลังแบ่งออกเป็น 2 ส่วนจากกันชัดเจนและมีครีบที่ยาวมาก มีก้านครีบแข็ง 8 ก้าน ก้านครีบอ่อน 14 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแข็ง 2 ก้าน และก้านครีบอ่อน 13 ก้าน ครีบหางยาวเป็นรูปส้อมชัดเจน ลำตัวมีสีขาวเงิน มีแถบสีดำพาดขวางผ่านลำตัว 3 แถบ คือ ที่ตา, ที่ครีบหลังอันที่ 1 และครีบหลังอันที่ 2 มีแถบดำตามความยาวของครีบหลัง ครีบก้น และครีบหางทั้งด้านบนและด้านล่าง มีจุดสีขาวกระจายทั่วลำตัวและครีบต่าง ๆ ยกเว้นครีบอก ที่มีลักษณะโปร่งแสง การเกิดจุดสีขาวของปลานี้จะแตกต่างกันไปเป็นเอกลักษณะเฉพาะตัว จัดเป็นปลาขนาดเล็กมีขนาดความยาวเต็มที่ 8 เซนติเมตร ขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไป คือ 4-5 เซนติเมตร เป็นปลาที่อยู่รวมกันเป็นฝูงตั้งแต่ไม่กี่ตัวจนถึงหลายร้อยตัวในแนวปะการังร่วมกับสิ่งมีชีวิตอย่างอื่น ปลาในวัยรุ่นมักหลบซ่อนอยู่ตามหญ้าทะเล, สาหร่าย, เม่นทะเล, ดาวขนนก, ปะการัง, ปะการังอ่อน โดยใช้เป็นที่ซ่อนภัยจากผู้ล่า อาศัยอยู่ในความลึกตั้งแต่ 0.5-6 เมตร แต่มักพบในความลึกประมาณ 1.5-2.5 เมตร ออกหากินในเวลากลางวัน โดยกินสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร เช่น แพลงก์ตอน, ครัสเตเชียนขนาดเล็ก เป็นต้น พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในทะเลแถบอินโด-แปซิฟิก แต่ไม่พบในน่านน้ำไทย แต่จะพบชุกชุมที่เกาะบังไก ประเทศอินโดนีเซีย ปลาอมไข่ครีบยาว เป็นปลาที่แพร่ขยายพันธุ์ได้ง่ายและไวมาก โดยการสำรวจเมื่อปี ค.ศ. 2005 พบมีประชากรอยู่ประมาณ 2.4 ล้านตัว แต่ถูกจับไปเลี้ยงเป็นปลาสวยงามถึงปีละ 700,000-900,000 ตัวต่อปี โดยอายุขัยโดยเฉลี่ยอยู่ได้ราว 2.5 ปี โดยพบที่อายุยืนสูงสุดถึง 4-5 ปี เป็นปลาที่ปัจจุบันเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยง โดยปลาตัวผู้จะอมใข่และกระทั่งลูกปลาฟักเป็นตัว และพัฒนากลายมาเป็นลูกปลา ซึ่งพ่อปลาจะดูแลลูกปลาจนกว่าจะเติบโตอย่างแข็งแรงที่จะเอาตัวรอด จึงปล่อยไป แต่ปลาที่มีขายกันในตลาดปลาสวยงามส่วนใหญ่ ยังเป็นปลาที่จับมาจากแหล่งน้ำในธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอมไข่ครีบยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอมไข่ตาแดง

ปลาอมไข่ตาแดง (Spotted cardinalfish, Pajama cardinalfish, Pyjama cardinalfish) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาอมไข่ (Apogonidae) เป็นปลาที่มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5-6 เซนติเมตร โดยปกติแล้วจะพบในทะเลอันดามัน แต่ไม่พบในน่านน้ำไทย พบได้ตั้งแต่ฟิจิ, ฟิลิปปิน, หมู่เกาะริวกิว จนถึงเกรตแบร์ริเออร์รีฟ เป็นปลาที่ไม่สามารถแยกเพศได้เมื่อมองจากลักษณะภายนอก นอกจากตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้เล็กน้อย เป็นปลาที่มีความสวยงามอีกชนิดหนึ่ง จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว แต่ปลาที่มีขายกันอยู่มักเป็นปลาที่ถูกจับมาจากแหล่งธรรมชาติในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย เป็นปลาที่เมื่อเทียบกับปลาอมไข่ครีบยาว (Pterapogon kauderni) แล้ว ถือว่าเลี้ยงง่ายกว่ามาก เพราะราคาถูก และสามารถกินอาหารสำเร็จรูปได้แทบทุกตัว โดยเมื่อลูกปลาฟักออกจากไข่แล้ว พ่อปลาจะคายลูกออกจากปากทันที ลูกปลาแรกฟักจะมีชีวิตเหมือนแพลงก์ตอน และจะเริ่มกินอาหารได้เมื่อมีอายุเข้าวันที่ 2-3 วัน โดยกินโรติเฟอร์ในช่วงแรก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอมไข่ตาแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาออร์

ปลาออร์ หรือ ปลาริบบิ้น (Oarfish, King of herrings; 皇帶魚; พินอิน: huángdài yú) เป็นปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Regalecus glesne อยู่ในวงศ์ Regalecidae มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับพญานาคตามความเชื่อของไทย หรือมังกรทะเลในความเชื่อในยุคกลางของชาวตะวันตก โดยมีความยาวได้สูงสุดยาวถึง 9 เมตร และหนัก 300 กิโลกรัม แต่ก็มีบันทึกไว้ในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ด้วยว่า ปลาชนิดนี้เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่ยาวที่สุดในโลก โดยอาจยาวได้ถึง 11 เมตร ในขณะที่รายงานไม่ยืนยันอีกบางกระแสระบุว่าอาจยาวถึง 15 เมตร หรือกว่านั้น มีส่วนหัวที่ใหญ่ ลำตัวแบนสีเงิน มีจุดสีฟ้าและดำประปราย มีครีบหลังสีชมพูแดง บนหัวที่อวัยวะแลดูคล้ายหงอนเป็นจุดเด่น เป็นปลาที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลลึกระหว่าง 50–250 เมตร จึงพบเห็นได้ยากมาก แต่มีผู้พบเห็นกันเป็นระยะ ๆ ในหลายพื้นที่ ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของออสเตรเลีย เรื่อยไปจนถึงทะเลนอกชายฝั่งเม็กซิโก และแถบหมู่เกาะเบอร์มิวดา ส่วนใหญ่มักถูกคลื่นซัดออกมาเกยหาด หรือไม่ก็เกิดอาการผิดปกติขึ้นกับปลา เช่น ป่วย หรือใกล้ตาย น้อยครั้งที่จะมีการพบเห็นขณะมีชีวิตอยู่ ภาพถ่ายของปลาออร์ ที่เคยเชื่อกันว่าเป็นพญานาคที่ประเทศลาว เป็นปลาที่กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร ไม่เป็นอันตรายและไม่ทำร้ายมนุษย์ แม้จะมีรายงานไม่ยืนยันจากนักวิจัยในนิวซีแลนด์ที่ระบุว่าถ้าหากแตะไปที่ตัวของมันขณะยังมีชีวิตอยู่จะปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาช็อตได้ ปลาออร์เมื่อปรากฏตัวขึ้นมามักจะปรากฏเป็นข่าวครึกโครมอยู่เป็นระยะ ๆ ว่าเป็นพญานาคหรือสัตว์ประหลาด อาทิ ในกลางปี ค.ศ. 1996 ได้ปรากฏภาพถ่ายใบหนึ่งของกลุ่มทหารชาวอเมริกันอุ้มปลาชนิดนี้ แพร่กระจายกันทั่วไปในสังคมไทย ทำให้เกิดความเชื่อว่า นั่นเป็นพญานาคที่จับได้จากแม่น้ำโขง และเชื่อว่า ภาพถ่ายนั้นถ่ายที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในประเทศลาวและถ่ายมานานแล้วกว่า 30 ปี ในยุคสงครามเวียดนาม แต่แท้จริงแล้วเป็นภาพที่ถ่ายในค่ายทหารที่เกาะโคโรนาโด รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปีเดียวกันนั้นเอง และเป็นปลาที่อยู่จับได้ในมหาสมุทรแปซิฟิก แถบทวีปอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาออร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาออสการ์

ปลาออสการ์ (Oscar fish, Red belvet, Velvet cichlid, Marbled cichlid, Peacock-eyed cichilld, Tiger oscar, Peacock cichilld) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) เป็นปลาพันธุ์พื้นเมืองของลุ่มแม่น้ำโอริโนโก, แม่น้ำอะเมซอน และแม่น้ำลา พลาตา ในทวีปอเมริกาใต้อย่างกว้างขวาง เช่น ประเทศบราซิล, โคลอมเบีย, เปรู, เฟรนช์เกียนา, อุรุกวัย, เวเนซุเอลา และอาร์เจนตินา เป็นปลาที่หากินในบริเวณแหล่งน้ำที่เป็นน้ำตื้นทีมีพื้นท้องน้ำเป็นโคลนปนทรายหรือกรวดทราย ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 45.7 เซนติเมตร คุณภาพของน้ำในแหล่งที่พบอาศัยมีอุณหภูมิระหว่าง 22-25 องศาเซลเซียส ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ประมาณ 6.0-8.0 มีรูปร่างแบนข้างและลำตัวป้อม ส่วนหัวค่อนข้างใหญ่ ตาโต ปากกว้าง ริมฝีปากหนา ลำตัวมีสีน้ำตาลอมเขียว ที่ขอบของแผ่นกระดูกปิดเหงือกและด้านล่างของลำตัวมีสีส้มอมแดงหรือส้มจาง ๆ ที่ด้านบนของคอดหางมีจุดกลมสีดำคล้ายลูกตาดำและมีวงสีส้มอมแดงล้อมรอบ เป็นปลาที่ว่ายน้ำช้า กินสัตว์อื่นเป็นอาหารได้หลากหลาย ทั้งสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ และแมลงด้วย ปลาออสการ์ เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในพื้นถิ่น โดยจะพบวางขายกันในตลาดสด มีชื่อเรียกในภาษาถิ่นว่า Acará-acu และเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะการเป็นปลาสวยงาม ซึ่งนิยมเลี้ยงกันมาอย่างยาวนาน จัดเป็นปลาที่มีนิสัยดุร้ายก้าวร้าวชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เลี้ยงดูลูกอ่อน ทั้งเพศผู้และเพศเมีย ในราวต้นพุทธทศวรรษ 2500 ถือเป็นปลาหมอสีชนิดแรก ๆ ที่นำเข้ามาสู่ประเทศไทย ในฐานะปลาสวยงาม ซึ่งมีราคาซื้อขายแพงมาก โดยตกคู่ละ 500 บาท (ราคาทองคำแท่งในขณะนั้นบาทละ 400 บาท) ปัจจุบัน มีการเพาะเลี้ยงกันจนมีสีสันที่สวยงามกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมมาก เช่น ปลาเผือก, สีเหลืองสดหรือสีทองหรือสีแดงสดทั้งตัว รวมทั้งมีแบบที่มีครีบยาวกว่าปกติด้วย โดยชื่อ "ออสการ์" นั้นมาจากชื่อกลางของนักมีนวิทยาชาวสวีเดน สเวน ออสการ์ คูลเลนเดอร์ ที่ศึกษาโดยเฉพาะกับปลาในวงศ์ปลาหมอสี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาออสการ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาออสการ์ (สกุล)

ปลาออสการ์ เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ในวงศ์ย่อยปลาออสการ์ (Astronotinae) โดยใช้ชื่อสกุลว่า Astronotus (/แอส-โตร-โน-ตัส/) ซึ่งมาจากภาษากรีกคำว่า astra.

ใหม่!!: สัตว์และปลาออสการ์ (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอะราไพม่า

ปลาอะราไพม่า หรือที่นิยมเรียกกันในภาษาไทยว่า ปลาช่อนยักษ์อเมซอน (Arapaima) ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาอะราไพม่า (Arapaimidae) ในอันดับปลาลิ้นกระดูก (Osteoglossiformes) (ในข้อมูลเก่าจะระบุให้อยู่ในวงศ์ปลาตะพัด (Osteoglossidae)).

ใหม่!!: สัตว์และปลาอะราไพม่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอะราไพม่า (สกุล)

ปลาอะราไพม่า เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดใหญ่สกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาอะราไพม่า (Arapaimidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Arapaima (/อะ-รา-ไพ-ม่า/) พบกระจายพันธุ์ในลุ่มน้ำอเมซอน หรือแม่น้ำสายใหญ่อื่น ๆ ในทวีปอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอะราไพม่า (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอะโรวานาออสเตรเลียจุด

ปลาอะโรวาน่าออสเตรเลียจุด หรือ ปลาตะพัดออสเตรเลียจุด (Spotted arowana, Dawson river salmon) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะพัด (Osteoglossidae) มีรูปร่างใกล้เคียงปลาตะพัด (S. formosus) ที่พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากที่สุด แต่มีเกล็ดขนาดเล็กกว่า ลักษณะลำตัวยาวเรียวกว่าปลาตะพัดชนิดอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด บริเวณสันหลังตรง ลำตัวบริเวณด้านหลังและด้านข้างลำตัวเป็นสีน้ำตาล หรือน้ำตาลอมเขียว หรือเหลืองอมเขียว บริเวณส่วนท้องสีจางกว่าลำตัว มีเกล็ดตามเส้นข้างตัว 35 เกล็ด มีจุดสีส้มอมแดงหรือชมพู สะท้อนแสงบนเกล็ดแต่ละเกล็ดจำนวน 1-2 จุด ยิ่งโดยเฉพาะในปลาที่โตเต็มที่จะเห็นได้ชัดเจน อันเป็นที่มาของชื่อ ครีบมีขนาดเล็กกว่าปลาตะพัด ครีบหลังและครีบก้นสีส้ม ขอบครีบทั้งสองมีแถบสีน้ำตาลดำ ครีบก้นยาวกว่าครีบหลังเล็กน้อยมีก้านครีบ 31 ก้าน ครีบหลังมีก้านครีบ 20 ก้าน หัวมีลักษณะกลมป้านและสั้นกว่าปลาตะพัด หนวดทั้งคู่ม้วนงอเข้าหาหัว ปลาในวัยเล็กไม่มีจุดสีแดงดังกล่าวและมีสีลำตัวออกเงินแวววาว โตเต็มที่ประมาณ 90 เซนติเมตร พบในภาคตะวันออกและเหนือของประเทศออสเตรเลีย บริเวณรัฐควีนส์แลนด์และนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี นอกจากนี้ยังพบในประเทศอินโดนีเซียบริเวณอิเรียนจายาและเกาะนิวกินี ด้วย โดยชื่อวิทยาศาสตร์ leichardti ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ ลูดวิก ลิชฮาร์ท นักสำรวจธรรมชาติชาวปรัสเซีย ที่ค้นพบปลาชนิดนี้ โดยสถานที่ค้นพบครั้งแรก คือ แม่น้ำเบอดีกิน ปัจจุบันมีสถานภาพเป็นปลาที่ขึ้นบัญชีหมายเลข 1 (Appendix I) ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เป็นปลาที่พบได้ยากในธรรมชาติ แต่สามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว นิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก จึงจัดเป็นปลาหายากในแวดวงปลาตู้ ทำให้มีราคาซื้อขายค่อนข้างสูง ซึ่งปลาตะพัดชนิดนี้มีนิสัยขี้ตกใจมากที่สุดในบรรดาปลาตะพัดทั้งหมด มีชื่อเรียกในภาษาพื้นถิ่นว่า บารามุนดี (Barramundi) หรือ ซาราโตก้า (Saratoga).

ใหม่!!: สัตว์และปลาอะโรวานาออสเตรเลียจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอะโรวานาอเมริกาใต้

ปลาอะโรวาน่าอเมริกาใต้ หรือ ปลาตะพัดอเมริกาใต้ (Arowana, Amazon arowana) สกุลปลากระดูกแข็งจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะพัด (Osteoglossidae) ในอันดับ Osteoglossiformes ใช้ชื่อสกุลว่า Osteoglossum (/ออส-ที-โอ-กลอส-ซั่ม/) มีรูปร่างเพรียวยาวกว่าปลาอะโรวาน่าในสกุล Scleropages ที่พบในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์และออสเตรเลีย โดยมีส่วนต่างกันที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ ส่วนหางที่เรียวเล็กกว่าโดยเฉพาะครีบหาง ปากมีความกว้างกว่า และหนวด 1 คู่ที่ใต้คางนั้นเรียวยาวกว่า ครีบหลังเรียวเล็กกว่าและเป็นทางยาวไปแทบตลอดส่วนหลัง มีสีสันลำตัวเป็นสีเดียวทั้งตัว โดยไม่มีเหลือบสีแบบปลาในสกุล Scleropages มีก้านครีบหลัง 43-48 ก้าน ครีบก้นยาวกว่าครีบหลัง มีก้านครีบ 53-57 ก้าน มีการแพร่กระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ มีเพียง 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอะโรวานาอเมริกาใต้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอะโรวานาดำ

ปลาอะโรวานาดำ หรือ ปลาตะพัดอเมริกาใต้สีดำ (Black Arowana) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะพัด (Osteoglossidae) เป็นปลาที่ทำการอนุกรมวิธานและประกาศชื่อไปเมื่อปี ค.ศ. 1966 ซึ่งเป็นปลาที่ค้นพบใหม่ล่าสุดในวงศ์นี้ โดยแหล่งที่ค้นพบครั้งแรกอยู่ในแม่น้ำริโอเนโกร บรานโก ที่ประเทศบราซิล โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์ที่ว่า ferreirai ตั้งเพื่อเกียรติแก่ อเล็กซานเดร รอดดิเกซ เฟอร์ไรรา นักสำรวจธรรมชาติชาวโปรตุเกสที่บันทึกเกี่ยวกับปลาชนิดนี้เป็นครั้งแรกในโลก ระหว่างปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาอะโรวานาดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอะโรวานาแอฟริกา

ปลาอะโรวานาแอฟริกา หรือ ปลาตะพัดแอฟริกา (African arowana, Nile arowana, African bonytongue) เป็นปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาอะราไพม่า (Arapaimidae) ซึ่งมีเพียงชนิดเดียวในสกุล Heterotis นี้ (ในข้อมูลเก่าจะระบุให้อยู่ในวงศ์ปลาตะพัด (Osteoglossidae)) ปลาอะโรวานาแอฟริกา มีลักษณะส่วนหัวค่อนข้างกลมหนาและสั้น ตาโต ปากเล็ก ริมฝีปากหนา ไม่มีหนวด ลำตัวกลมและแบนข้างที่หาง สีลำตัวสีน้ำตาลอมเขียวและดำ โดยสีสันนี้สามารถแปรเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม บริเวณส่วนท้องซีดจาง ครีบและหางค่อนข้างเล็กและสีเดียวกับลำตัว เกล็ดมีขนาดเล็ก เกล็ดตามเส้นข้างลำตัวมี 32–38 เกล็ด โดยเส้นข้างลำตัวเริ่มจากจุดเหนือแผ่นปิดเหงือกไปจรดที่จุดกึ่งกลางของโคนหาง ขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 1 เมตร อีกทั้งยังกินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ และยังสามารถกินแพลงก์ตอนเป็นอาหารได้อีกด้วย โดยการผ่านการกรองที่ช่องเหงือก โดยจะหากินทุกระดับน้ำ อีกทั้งยังสามารถฮุบอากาศหายใจโดยตรงได้ด้วย แพร่พันธุ์ด้วยการสานรัง โดยพ่อแม่ปลาจะคาบไม้น้ำประเภทกกมาวางซ้อนสานกันเป็นวงกลมคล้ายตะกร้าลอยอยู่ผิวน้ำ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 ฟุต ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัว 2 วัน ไข่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 มิลลิเมตร แพร่กระจายอยู่บริเวณแม่น้ำไนล์ในแอฟริกาตะวันออก, แอฟริกาเหนือและแอฟริกาตะวันตก แถบประเทศอียิปต์, เซเนกัล, ซาอีร์ เป็นต้น เป็นปลาที่ชาวพื้นเมืองใช้เป็นอาหาร และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แม้จะไม่มีสีสันสวยงามเลยก็ตาม ซึ่งในสถานที่เลี้ยง ปลาอะโรวานาแอฟริกาไม่มีนิสัยก้าวร้าวเหมือนปลาชนิดอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน หนังสือ (แอบ)คุยเรื่องปลาตู้ โครงการ 2: ปลาอโรตัวเป็นวาน่าเลี้ยง โดย Nanconnection (ตุลาคม, พ.ศ. 2546) ISBN 974-534-865-1.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอะโรวานาแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอะโรวานาเงิน

ปลาอะโรวาน่าเงิน หรือ ปลาตะพัดอเมริกาใต้สีเงิน (Silver arowana, Arawana; Aruanã) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Osteoglossum bicirrhosum ในวงศ์ปลาตะพัด (Osteoglossidae) มีรูปร่างคล้ายปลาอะโรวาน่าดำ (O. ferreirai) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน โดยมีถิ่นกำเนิดในลุ่มน้ำอเมซอนในเฟรนช์เกียนา, บราซิลและเปรู มีลำตัวยาวลึกและแบนข้างมาก ลำตัวด้านท้ายจะเรียวเล็กกว่าส่วนหัวมากจนมองเห็นได้ชัด ส่วนท้องมีลักษณะแบนจนใต้ท้องเป็นสันคม ขณะที่ยังเล็กจะมีจุดสีน้ำเงินและล้อมรอบด้วยวงแหวนสีชมพูที่บริเวณหลังแผ่นเหงือก ตัวตัวโดยทั่วไปสีขาวออกเหลือบเงิน แต่ปลาในบางแหล่งน้ำเกล็ดอาจมีหลายเหลือบสี เช่น เหลือง, เขียว และฟ้า บริเวณครีบและหางโดยมากจะเป็นสีฟ้าหม่น หัวและปากมีขนาดใหญ่และกว้างมาก โดยเป็นปลาในวงศ์นี้ที่หัวและปากใหญ่ที่สุด มีหนวด 1 คู่ ซึ่งก็เป็นปลาที่มีหนวดยาวที่สุดด้วยเช่นกัน ขนาดโตเต็มที่ราว 1-1.5 เมตร จัดว่าเป็นปลาที่มีความยาวที่สุดในวงศ์นี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยมากแล้ว เมื่อปลาโตเต็มที่กรามล่างจะยื่นออกมาเลยกรามบน และลูกตาก็มักจะตกลงมามองข้างล่าง ปลาอะโรวาน่าเงิน จัดเป็นปลาอะโรวาน่าที่โตเร็วที่สุด แพร่ขยายพันธุ์ง่ายที่สุด รวมทั้งอุปนิสัยในสถานที่เลี้ยงไม่ดุร้ายเมื่อเทียบกับปลาอะโรวาน่าชนิดอื่น ๆ จึงสามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นหรือเลี้ยงรวมกันได้หลาย ๆ ตัว อีกทั้งการที่แพร่ขยายพันธุ์ง่าย ซึ่งทำให้เป็นปลาที่มีราคาถูก จึงเป็นที่นิยมสำหรับนักเลี้ยงปลา สำหรับในธรรมชาตินิยมบริโภคในพื้นถิ่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอะโรวานาเงิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอะโรวาน่าออสเตรเลีย

ปลาอะโรวาน่าออสเตรเลีย หรือ ปลาตะพัดออสเตรเลีย (Australian arowana, Gulf saratoga, Northern saratoga) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะพัด (Osteoglossidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายปลาอะโรวาน่าออสเตรเลียจุด (S. leichardti) ซึ่งเป็นปลาที่มีความใกล้เคียงกันมากที่สุด แต่ปลาตะพัดออสเตรเลียจะมีลำตัวที่อ้วนป้อมสั้นกว่าคล้ายปลาตะพัด (S. formosus) หัวมีลักษณะแหลมงุ้มกว่า หนวดทั้งคู่ม้วนงอเข้าหาลำตัว สีลำตัวเป็นสีเขียวมะกอกเหลือบทอง มีจุดสีแดงอมส้มสะท้อนแสงตามบริเวณลำตัวและครีบเช่นเดียวกับปลาอะโรวาน่าออสเตรเลียจุด แต่ปลาชนิดนี้จะมีจุดตั้งแต่ยังเล็ก ๆ เห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะในครีบหลัง ครีบท้อง และครีบหาง ปลาบางตัวอาจมีสีลำตัวเป็นสีแดงเลือดหมู ในปลาโตเต็มที่จะมีจุดแผ่ไปถึงบริเวณหน้าและช่องปิดเหงือก รวมทั้งอาจมีริ้วลายด้วย ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 90 เซนติเมตร พบเฉพาะบริเวณประเทศออสเตรเลียทางตอนเหนือและประเทศอินโดนีเซียบางส่วน นิยมตกเป็นเกมกีฬาในท้องถิ่น ปลาอะโรวาน่าออสเตรเลีย ได้รับความนิยมค่อนข้างสูงในแง่ของการเป็นปลาตู้สวยงาม อาจเรียกได้ว่านิยมเลี้ยงมากที่สุดรองมาจากปลาอะโรวาน่าเงิน (Osteoglossum bicirrhosum) ก็ว่าได้ ซึ่งปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว และถือว่าเป็นปลาอะโรวาน่าที่มีราคาถูกชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอะโรวาน่าออสเตรเลีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอะโรวาน่าเอเชีย

ปลาอะโรวาน่าเอเชีย หรือ ปลาตะพัดเอเชีย (Asian arowana) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่งในสกุล Scleropages (/สะ-เคอ-โอ-พา-กิส/) ในวงศ์ Osteoglossidae ถือเป็นปลาโบราณที่สืบเผ่าพันธุ์มาจากปลาในยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยมีลักษณะรูปร่างไม่ต่างจากบรรพบุรุษในยุคก่อนประวัติศาสตร์มากนัก เป็นปลาที่มีวิวัฒนาการแยกออกจากปลาสกุลอื่นในวงศ์เดียวกัน เมื่อกว่า 140 ล้านปีก่อน ในยุคครีเตเชียสตอนต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอะโรวาน่าเอเชีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอัลลิเกเตอร์

ปลาอัลลิเกเตอร์ หรือ ปลาจระเข้ (Alligator gar; ชื่อวิทยาศาสตร์: Atractosteus spatula) เป็นปลากินเนื้อน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มปลาการ์ มีลักษณะเด่น คือ มีส่วนปากยาวคล้ายกับจระเข้หรืออัลลิเกเตอร์ รูปร่างกลมยาว ตากลมสีดำ บริเวณลำตัวจรดหางคล้ายปลา มีครีบเล็กใต้ท้อง 2 ครีบคู่ ใต้ท้องสีขาว บริเวณปลายหาง ใกล้หางมีครีบใหญ่อีก 2 ครีบ ซึ่งโคนหางด้านบนมีขนาดใหญ่กว่าโคนหางด้านล่างอย่างเห็นได้ชัดเจน ครีบหางกลมมนเป็นรูปพัด เป็นปลาที่กระจายพันธุ์อยู่ในแหล่งน้ำจืดต่าง ๆ เช่น แม่น้ำ หรือทะเลสาบ ของสหรัฐอเมริกาทางตอนใต้ เช่น รัฐฟลอริดา และหลุยส์เซียนา ปลาอัลลิเกเตอร์มีปากเรียวยาวเหมือนอัลลิเกเตอร์ ที่ภายในมีฟันที่แหลมคม 2 แถว ประมาณ 500 ซี่ ใช้สำหรับงับเหยื่อก่อนที่จะกลืนลงไป เกล็ดของปลาอัลลิเกเตอร์มีความหนาและแข็ง ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือนเพชร มีสารเหมือนกับสารเคลือบฟันเคลือบอยู่ มีความคมเมื่อถูจะถูกบาดทำให้เกิดบาดแผลได้ อินเดียนแดง ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของอเมริกาใช้เกล็ดของปลาอัลลิเกเตอร์ทำเป็นหัวลูกศร ปลาอัลลิเกเตอร์สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ในแหล่งน้ำที่มีคุณภาพต่ำ มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำต่ำ เช่น น้ำที่ขุ่นข้นสภาพพื้นน้ำเป็นโคลน เนื่องจากมีถุงลมที่ทำหน้าที่เสมือนปอดช่วยในการหายใจ ทำให้สามารถขึ้นมาฮุบอากาศบนผิวน้ำได้ ปลาอัลลิเกเตอร์ ถือกำเนิดขึ้นมานานกว่า 100 ล้านปีแล้ว ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยขนาดลำตัวที่ใหญ่และเกล็ดที่แข็งแรงทำให้ปรับตัวและอยู่รอดได้มาจนถึงปัจจุบัน ปลาอัลลิเกเตอร์มีความยาวโดยเฉลี่ยได้ถึง 6–7 ฟุต น้ำหนักมากกว่า 100 ปอนด์ มีอายุขัยได้มากถึง 60 ปี ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ แต่ก็มีคำกล่าวอ้างจากนักตกปลาพื้นถิ่นว่าเคยพบเห็นตัวที่ยาวถึง 14 ฟุต ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาอัลลิเกเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอามาทัส

ปลาอามาทัส (ชื่อวิทยาศาสตร์: Hydrolycus armatus) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาฟันสุนัข (Cynodontidae) ในอันดับปลาคาราซิน รูปร่างคล้ายกับ ปลาสคอมบิรอยด์ (H. scomberoides) มาก ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกันมาก ต่างกันที่ปลาอามาทัสมีครีบทุกครีบเล็กกว่า และมีสีแดง ครีบไขมันสีส้มเข้ม หัวมีขนาดใหญ่กว่าและหักลง ไม่ชี้ขึ้นเหมือนปลาสคอมบีรอยด์ และลำตัวเป็นสีเหลืองทองในปลาขนาดเล็ก แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเงินวาวเมื่อปลามีขนาดใหญ่ขึ้น นอกจากนี้แล้ว จุดเด่นที่สำคัญคืออีกประการหนึ่งคือ เมื่อปลาโตเต็มที่ เขี้ยวคู่ล่างที่กรามล่างจะยาวแหลมออกมาจากปากอย่างเห็นได้ชัดนับว่าเป็นปลาที่มีฟันเขี้ยวใหญ่และแหลมคมที่สุดสำหรับปลาในวงศ์นี้ ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 60-80 เซนติเมตร ซึ่งก็นับได้อีกว่าเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมเป็นฝูงในระดับกลางน้ำในปลาวัยเล็ก หากินโดยล่าปลาและกุ้งต่าง ๆ เป็นอาหาร และถึงแม้ว่าจะเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่กว่าก็ตาม ก็สามารถใช้ปากและเขี้ยวที่แหลมคมนี้จับและกลืนกินได้ รวมถึงมีพฤติกรรมกินพวกเดียวกันเองด้วย พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำอเมซอนและสาขา, ลุ่มแม่น้ำโอริโนโค รวมถึงแม่น้ำกายอานา นิยมตกเป็นเกมกีฬา และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามที่ต้องนำเข้าจากอเมริกาใต้ จัดเป็นปลาที่มีราคาสูงชนิดหนึ่ง ในประเทศไทยมีชื่อเรียกปลาอามาทัสในแวดวงปลาสวยงามว่า "อามาทัสหางดำ" ทั้งนี้เพื่อมิให้สับสนกับปลาทาทูเอีย (H. tatauaia) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกันอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความใกล้เคียงกันมาก ยิ่งโดยเฉพาะในปลาขนาดเล็ก ซึ่งปลาทาทูเอียจะถูกเรียกว่า "อามาทัสหางแดง" ทั้งนี้ เมื่อปลาทั้ง 2 ชนิดนี้เมื่อโตขึ้นจึงจะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน กล่าวคือ ปลาอามาทัสจะมีครีบหางเป็นสีดำ ขณะที่ปลาทาทูเอียจะเป็นสีแดง อีกทั้ง การนำเข้าปลาในวงศ์นี้ในระยะแรกเริ่มจะสับสนจะปะปนกันมา ปลาอามาทัสจะถูกปะปนเข้ามาพร้อมกับปลาสคอมบิรอยด์และปลาทาทูเอีย แม้แต่ในต่างประเทศก็พบกรณีเช่นนี้ แต่เมื่อเลี้ยงในที่เลี้ยงแล้ว พบว่า ปลาอามาทัสมีนิสัยไม่ขี้ตกใจเหมือนปลาในวงศ์เดียวกันนี้ชนิดอื่น ๆ มีนิสัยที่ดุกว่า และเติบโตได้เร็วกว่า และมีราคาที่แพงกว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอามาทัส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอายุ

ปลาอายุ (アユ, 鮎, 年魚, 香魚) เป็นปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในสกุล Plecoglossus และวงศ์ Plecoglossidae.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอายุ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอินทรี

วามหมายอื่น อินทรี ปลาอินทรี (Indo-Pacific king mackerels, Spotted mackerels, Seerfishes) เป็นปลาทะเลจำพวกหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Scomberomorus (/สะ-คอม-บี-โร-โม-รัส/) ในวงศ์ Scombridae ปลาอินทรีมีรูปร่างโดยรวม คือ มีลำตัวแบนข้างเรียวยาว คอดหางกิ่ว ปลายหางเว้าเป็นแฉกลึก ส่วนหัวและปลายปากแหลม ภายในปากในบางชนิดและปลาขนาดใหญ่จะเห็นฟันแหลมคมอย่างชัดเจน อาศัยอยู่เป็นฝูงใกล้ผิวน้ำ มีลวดลายเป็นจุดหรือบั้งตามแต่ชนิด จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่สกุลหนึ่งในวงศ์ คือ มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 1 เมตร หาอาหารโดยไล่กินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่า อาศัยอยู่ในทะเลเปิดทั่วโลกในเขตร้อนและเขตอบอุ่น เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง โดยในประเทศไทยนิยมนำมาทอดหรือทำเป็นปลาเค็ม ซึ่งในภาษาแต้จิ๋วจะเรียกว่า "เบกาฮื้อ" (馬鮫魚; พินอิน: Mǎ jiāo yú) และนิยมตกเป็นเกมกีฬาด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอินทรี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอินทรีบั้ง

ปลาอินทรีบั้ง (Narrow-barred Spanish mackerel) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง จำพวกปลาอินทรี ในวงศ์ปลาอินทรี หรือปลาทูน่า (Scombridae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาอินทรีชนิดอื่น หรือปลาอินทรีจุด (S. guttatus) ซึ่งเป็นปลาอินทรีอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ในเขตน่านน้ำประเทศไทย แต่มีลำตัวค่อนข้างกลมและหนากว่า ด้านข้างลำตัวจะมีแถบสีดำหรือเทาเข้มเป็นบั้ง ๆ ขวางลำตัวเริ่มจากแนวฐานครีบหูหรือครีบอกเรื่อยออกไปเกือบจรดโคนครีบหาง จะเห็นบั้งได้ชัดตรงบริเวณแนวเส้นข้างตัว ปลาอินทรีบั้งตัวโตจะมีบั้งมากกว่าตัวเล็ก กินปลาและสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ตามผิวน้ำเป็นอาหาร เช่น ปลากะตัก, ปลาหลังเขียว และหมึก ขนาดที่พบทั่วไปมักมีความยาว 30-70 เซนติเมตร ขนาดใหญ่ที่สุดยาวถึง 1 เมตร (พบใหญ่ที่สุด 2 เมตร น้ำหนัก 70 กิโลกรัม ที่ออสเตรเลีย) พบทั่วไปในอ่าวไทยทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก และทางฝั่งทะเลอันดามัน ในต่างประเทศพบได้ทั้งทั่วชายฝั่งทวีปแอฟริกา, ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน, ทะเลแดง, อ่าวเปอร์เซีย, มหาสมุทรอินเดีย จนถึงออสเตรเลียและนิวกินี เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่ง นิยมใช้ปรุงอาหาร ปรุงสุด และทำปลาเค็ม ชาวจีนเรียกว่าปลาเค็มที่ทำจากปลาอินทรีบั้งว่า "ปลาเบกา" หรือ "เบกาฮื้อ" (จีน: 土魠魚) ในภาษาแต้จิ๋ว อีกทั้งเป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่นิยมตกกันเป็นเกมกีฬ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอินทรีบั้ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอินทรีจุด

ปลาอินทรีจุด หรือ ปลาอินทรีดอก หรือ ปลาอินทรีข้าวตอก (Indo-Pacific king mackerel, Spotted seerfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง จำพวกปลาอินทรี ในวงศ์ปลาอินทรี หรือปลาทูน่า (Scombridae) เนื้อปลาอินทรีจุดหั่นทอด หรือ "เบกาฮื้อ" จัดเป็นปลาอินทรีขนาดเล็กกว่าปลาอินทรีชนิดอื่น นับเป็นปลาอินทรีอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย นอกจากปลาอินทรีบั้ง (S. commerson) มีรูปร่างลำตัวค่อนข้างกลม และเรียวยาว ด้านข้างลำตัวครึ่งบนมีแต้มด้วยจุดสีดำหรือสีเทาคล้ายลายข้าวตอก ส่วนปากมีมุมปากยาว ปากอ้าได้กว้าง จะงอยปากแหลม ภายในปากมีฟันแหลมคม ครีบหลังแบ่งเป็น 2 ส่วน ก้านครีบด้านหน้าเป็นก้านครีบแข็ง ส่วนก้านครีบหลังมีลักษณะเหมือนกับก้านครีบก้นที่ประกอบด้วยก้านครีบอ่อน และถัดมาจะเป็นครีบฝอย ส่วนครีบหูหรือครีบอกมีขนาดเล็ก ครีบท้องมีขนาดเล็กสุด ครีบหางมีขนาดใหญ่ ลักษณะครีบเว้าลึก เป็นรูปวงเดือย มักอยู่รวมกันเป็นฝูง ว่ายน้ำรวดเร็ว ลำตัวยาวประมาณ 40-55 เซนติเมตร นิยมนำมาปรุงอาหารต่าง ๆ และแปรรูปเป็นปลาเค็มหรือหั่นเป็นชิ้นทอด ที่ภาษาแต้จิ๋วเรียก "เบกาฮื้อ" (จีน: 土魠魚) รวมถึงตกเป็นเกมกีฬ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอินทรีจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอินทรีทะเลสาบเขมร

ปลาอินทรีทะเลสาบเขมร (Chinese seerfish, Chinese mackerel; เขมร: ត្រីស្បៃកា, ត្រីបីកា) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่งที่สามารถอาศัยในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ อยู่ในวงศ์ปลาอินทรี (Scombridae) มีรูปร่างเพรียวยาว หัวแหลม ปากมีฟันแหลมคม ครีบหางเว้าลึก ครีบท้องและครีบหลังแหลมและมีรอยหยักไปจรดครีบหาง ชายครีบเป็นสีดำ ปลายครีบอกหรือครีบอกมนกลมไม่แหลม ลำตัวสีเทาเงินเหลือบเขียว ลำตัวไม่มีลวดลายหรือแต้มจุดเหมือนปลาอินทรีชนิดอื่น อาศัยอยู่ตามชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งแต่สหรัฐอเมริกาแถบชายฝั่งแปซิฟิก, ญี่ปุ่น, จีน, เวียดนาม และพบบางส่วนเข้ามาอาศัยในแหล่งน้ำจืด ที่ปากแม่น้ำโขง และทะเลสาบเขมรด้วย โดยพบได้ตั้งแต่น้ำตกคอนพะเพ็งในลาวไปจนถึงจังหวัดกระแจะและพนมเปญในกัมพูชา ในประเทศไทยพบได้บ้างแถบจังหวัดจันทบุรี และมีการตกได้ที่เกาะราชาน้อย จังหวัดภูเก็ต เมื่อปลายเดือนมีนาคม..

ใหม่!!: สัตว์และปลาอินทรีทะเลสาบเขมร · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอินซีเน็ต

ปลาอินซีเน็ต หรือ ปลาอินซิกนิส (Flagtail characins, Flannel-mouth characins.; Jaraqui.) เป็นปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Semaprochilodus (/ซี-มา-โพร-ชิ-โล-ดัส/) ในวงศ์ปลาอินซีเน็ต (Prochilodontidae) ในอันดับปลาคาราซิน (Characiformes) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายปลาในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มาก ดวงตากลมโต ริมฝีปากหนาและใหญ่ และปากขยับไปมาตลอดเวลา เกล็ดมีขนาดเล็กมีสีเงินแวววาว เมื่อยังเล็กจะมีลายแถบและจุดสีดำกระจายอยู่บริเวณลำตัวค่อนไปทางโคนหาง โคนหางคอดเล็ก ครีบหลังมีขนาดใหญ่และตั้งชี้ขึ้น ครีบหางเป็น 2 แฉก เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่น และมีความสำคัญต่อมนุษย์ในแง่ของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยจะนิยมเลี้ยงไว้เพื่อทำความสะอาดภายในตู้เลี้ยง เพราะเป็นปลาที่เก็บเศษอาหารกินทำให้ตู้เลี้ยงสะอาดได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีความเชื่ออีกว่า เมื่อเลี้ยงคู่กับปลาอะโรวาน่าหรือปลามังกรด้วยแล้ว จะถือเป็นมงคล เหมือนหงส์คู่มังกร เพราะปลาสกุลนี้มีชื่อสามัญเรียกในภาษาจีนว่า "เฟยหง" (จีนตัวเต็ม: 飛鳳) แปลว่า "ปลาหงส์".

ใหม่!!: สัตว์และปลาอินซีเน็ต · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอินซีเน็ตยักษ์

ปลาอินซีเน็ตยักษ์ หรือ ปลาอินซีเน็ตลาย (Streaked prochilodus, Curimbatá, Sábalo) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prochilodus lineatus อยู่ในวงศ์ปลาอินซีเน็ต (Prochilodontidae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาในสกุล Prochilodus ทั่วไป แต่มีลายขวางเป็นบั้ง ๆ ตลอดทั้งตัว ในปลาที่มีขนาดเล็ก ลำตัวมีเกล็ดขนาดเล็กสีเทาอมเขียว ส่วนท้องมีสีขาว เป็นปลาที่จัดได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุลและวงศ์นี้ โดยโตเต็มที่ยาวได้ถึง 80 เซนติเมตร แต่มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 50-60 เซนติเมตร น้ำหนักหนักได้ถึง 6 กิโลกรัม และแสดงลักษณะเด่นชัดของปลาที่โตเต็มวัยเมื่อมีความยาวได้ 30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำปารานาในประเทศบราซิล มีพฤติกรรมชอบอาศัยอยู่ในน้ำลึกโดยดูดกินอินทรียวัตถุบริเวณพื้นน้ำเป็นอาหาร อพยพเข้าสู่แหล่งน้ำที่มีอุณหภูมิอบอุ่นเพื่อผสมพันธุ์และวางไข่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ตัวผู้มีรูปร่างผอมบางกว่าตัวเมีย นับเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญมากชนิดหนึ่งในภูมิภาคนี้ เพราะใช้บริโภคเป็นจำนวนมากในปี ๆ หนึ่ง เป็นน้ำหนักหลายพันตัน นอกจากนี้แล้วยังนิยมตกกันเป็นเกมกีฬา และเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามด้วย ซึ่งนับได้ว่าเป็นปลาที่มีราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากหาได้ยาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอินซีเน็ตยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอินซีเน็ตหางแดง

ปลาอินซีเน็ตหางแดง หรือ ปลาหงส์หางแดง (Flagtail prochilodus, Silver prochilodus, Flagtail characin; Jaraqui (ในบราซิล)) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาอินซีเน็ต (Prochilodontidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายปลาในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มาก ดวงตากลมโต ริมฝีปากหนาและใหญ่ และปากขยับไปมาตลอดเวลา เกล็ดมีขนาดเล็กมีสีเงินแวววาว เมื่อยังเล็กจะมีลายแถบและจุดสีดำกระจายอยู่บริเวณลำตัวค่อนไปทางโคนหาง มีเกล็ดบริเวณเส้นข้างลำตัวประมาณ 48 เกล็ด โคนหางคอดเล็ก ครีบท้องมีสีแดงสด ครีบหลังมีขนาดใหญ่และตั้งชี้ขึ้น ซึ่งครีบเหล่านี้เมื่อปลาโตขึ้นจะยิ่งชี้แหลมและสีสดยิ่งขึ้น ในบางตัวปลายครีบหลังอาจแหลมยาวคล้ายปลายผืนธง ครีบหางเป็น 2 แฉก มีขนาดใหญ่ ครีบหางและครีบก้นมีลายแถบสีดำเป็นทางตรงบนพื้นสีแดง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร อาจใหญ่ได้ถึง 35 เซนติเมตร เป็นปลาที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ พบกระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำอเมซอน ในทวีปอเมริกาใต้ โดยใช้ปากที่ขยับไปมาตลอดนั้นตอดอาหารจำพวกอินทรีย์วัตถุหากินตามพื้นน้ำหรือตะไคร่น้ำที่เกาะตามแก่งหินต่าง ๆ มีพฤติกรรมผสมพันธุ์หมู่และวางไข่ได้ครั้งละประมาณ 100,000 ฟอง เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่น และมีความสำคัญต่อมนุษย์ในแง่ของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยจะนิยมเลี้ยงไว้เพื่อทำความสะอาดภายในตู้เลี้ยง เพราะเป็นปลาที่เก็บเศษอาหารกินทำให้ตู้เลี้ยงสะอาดได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีความเชื่ออีกว่า เมื่อเลี้ยงคู่กับปลาอะโรวาน่าหรือปลามังกรด้วยแล้ว จะถือเป็นมงคล เหมือนหงส์คู่มังกร เพราะปลาชนิดนี้มีเรียกในภาษาจีนว่า "เฟยหง" (จีนตัวเต็ม: 飛鳳) แปลว่า "ปลาหงส์" ซึ่งในราวปี พ.ศ. 2546-พ.ศ. 2547 ได้มีการบอกกล่าวกันเป็นทอด ๆ ในอินเทอร์เน็ตถึงคุณสมบัติของปลาชนิดนี้ ทำให้มีราคาขายพุ่งขึ้นไปเกือบตัวละ 1,000 บาท ในปลาขนาดเล็กขนาดไม่เกิน 5 นิ้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอินซีเน็ตหางแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอินซีเน็ตหางเหลือง

ปลาอินซีเน็ตหางเหลือง หรือ ปลาหงส์หางเหลือง ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Semaprochilodus kneri ในวงศ์ปลาอินซีเน็ต (Prochilodontidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลาในสกุล Semaprochilodus ชนิดอื่น ๆ หรือชนิด S. taeniurus แต่ว่ามีรูปร่างที่เรียวยาวกว่า ขอบตาเป็นวงกลมสีแดง ครีบหางมีแถบสีดำที่หนาและเป็นเส้นตรงกว่าบนพื้นสีเหลือง มีขนาดโตเต็มที่ได้ 28 เซนติเมตร อาศัยอยู่เป็นฝูงในแม่น้ำริโอเนโกรและแม่น้ำโอริโนโค ในประเทศโคลัมเบีย ปลาอินซีเน็ตหางเหลืองเป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเช่นเดียวกับปลาชนิดอื่นในวงศ์นี้อีกหลายชนิด แต่ทว่าในประเทศไทยจัดว่าเป็นปลาที่หาได้ยาก และมีราคาแพง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอินซีเน็ตหางเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอินซีเน็ตขาว

ปลาอินซีเน็ตขาว หรือ ปลาอินซิกนิสขาว (โปรตุกิส: Bocachico) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curimata cyprinoides อยู่ในวงศ์ปลาคาราซินไม่มีฟัน (Curimatidae) มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปลาอินซีเน็ต (Semaprochilodus spp.) ที่อยู่ต่างวงศ์กัน แต่อยู่ในอันดับเดียวกัน คือ Characiformes แต่ว่ามีข้อแตกต่างกันที่ปลาอินซีเน็ทขาวมีเกล็ดเป็นสีเงินหรือสีขาวแวววาวตลอดทั้งตัวตลอดทั้งครีบต่าง ๆ ด้วย มีปากที่ขยับไปมาได้ตลอดใช้สำหรับคุ้ยเขี่ยหาอาหารตามพื้นน้ำกินเป็นอาหารเหมือนปลาอินซีเน็ท ยกเว้นแต่แผงฟันในขากรรไกรและในคอหอยไม่มีหรือขาดตอนไป อันเป็นลักษณะเฉพาะของปลาในวงศ์นี้ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำหลัก ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ อาทิ อเมซอน, โอรีโนโกและโทแคนตินส์ เมื่อปลามีขนาดโตเต็มที่ สีตามลำตัวจะเปลี่ยนไปเป็นคล้ำลง และทรวดทรงลำตัวจะออกไปในทรงป้านมากกว่าทรงยาว เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่นเป็นปกติ และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งนับได้ว่าเป็นปลาที่หาได้ยากในแวดวงปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอินซีเน็ตขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอินซีเน็ตดำ

ปลาอินซีเน็ตดำ (Black Prochilodus, Boquichico) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prochilodus nigricans อยู่ในวงศ์ปลาอินซีเน็ต (Prochilodontidae) มีรูปร่างยาวและลำตัวกลมกว่าปลาในสกุล Semaprochilodus ริมฝีปากหนาและขยับไปมาตลอดเวลาได้ เกล็ดมีขนาดเล็กละเอียดมีสีเงินและมีสีดำคล้ำเป็นแถบยาวตามแนวนอนลำตัว ยิ่งปลาที่มีขนาดเล็กจะเห็นได้ชัดเจน ขอบเกล็ดมีสีดำ ครีบหลังและครีบหางมีขนาดเล็ก ส่วนท้องป่องออก ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 31 เซนติเมตร พบใหญ่สุดประมาณ 37 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อยู่ในแม่น้ำอเมซอนและแม่น้ำโทแคนตินส์ ในบราซิลและอาร์เจนตินา เป็นปลาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ โดยมักอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ในแหล่งน้ำ และหากินโดยใช้ปากที่ขยับไปมาตลอดนั้นตอดหากินบริเวณท้องน้ำ ผสมพันธุ์และวางไข่ในฤดูน้ำหลาก โดยมีอัตราการวางไข่เฉลี่ยครั้งละ 100,000 ฟอง เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่น และยังมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย นับเป็นปลาที่หาได้ยากและมีราคาแพงชนิดหนึ่งของวงศ์นี้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอินซีเน็ตดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอิแกลาเอ๊ะ

ปลาอิแกลาเอ๊ะ เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาหวีเกศ (Schilbeidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Pseudeutropius (/ซู-ดิว-โทร-เพียส/) เป็นปลาหนังขนาดเล็ก พบอาศัยครั้งแรกบนเกาะบอร์เนียวและสุมาตรา ลำตัวเรียวยาวและแบนข้าง แต่หัวเป็นรูปกระสวย มีหนวด 4 คู่ ระหว่างจมูกคู่หน้ากับคู่หลัง 1 คู่ ริมฝีปากบน 1 คู่ ริมฝีปากล่าง 1 คู่ และที่คาง 1 คู่ นัยน์ตาโตมีบางส่วนอยู่ใต้มุมปาก ครีบหลังสั้นมีเงี่ยงปลายแหลมขอบจักเป็นฟันเลื่อย 1 อัน และมีก้านครีบแขนง 5-6 ก้าน ครีบไขมันเล็ก ครีบก้นมีฐานยาว ครีบอกมีเงี่ยงแข็งและขอบจักเป็นฟันเลื่อย ครีบหางเว้าเป็นแฉกลึก มีการจำแนกไว้ทั้งหมด 6 ชนิด กระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอิแกลาเอ๊ะ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอุก

ปลาอุก ปลาน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cephalocassis borneensis อยู่ในวงศ์ปลากดทะเล (Ariidae) มีรูปร่างเพรียว หางคอดเล็ก หลังยกสูงเล็กน้อย จะงอยปากยื่นยาว หัวโตแบนราบเล็กน้อย ปากเล็ก ตาเล็กอยู่กลางหัว ครีบหลังมีก้านแข็งหนาและยาว ครีบไขมันเล็กมีสีคล้ำเล็กน้อย ครีบท้องใหญ่ ครีบหางเว้าลึก ตัวมีสีเทาอมเหลืองอ่อน ด้านท้องสีจาง ครีบสีจาง มีขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 20 เซนติเมตร อาศัยในแม่น้ำตอนล่าง พบในแม่น้ำแม่กลองถึงแม่น้ำบางปะกง ในแม่น้ำเจ้าพระยาพบขึ้นไปสูงสุดจนถึง จังหวัดชัยนาท นิยมบริโภคตัวผู้ที่มีไข่ในปากเรียก "ไข่ปลาอุก" โดยนิยมนำมาทำแกงส้ม พบจับขึ้นมาขายเป็นครั้งคราวในตลาดของชัยนาท อยุธยา และ อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา และพบได้ในภาคใต้จนถึงเกาะบอร์เนียว และพบมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "อุกแดง", "อุกชมพู" หรือ "กดโป๊ะ".

ใหม่!!: สัตว์และปลาอุก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอีกอง

ปลาอีกอง หรือ ปลาที-บาร์บ หรือ ปลาโสร่ง (T-barb, Spanner barb) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาเสือข้างลาย (Puntigrus partipentazona) และปลาเสือสุมาตรา (P. tetrazona) ซึ่งเป็นปลาในวงศ์เดียวกัน แต่ปลาอีกองมีรูปร่างป้อมสั้นกว่า มีสีลำตัวขาวอมเหลืองหรือชมพู มีแถบสีดำในแนวตั้ง 2 แถบดูแลคล้ายตัวที (T) ในภาษาอังกฤษ แถบแรกอยู่ใกล้ช่องเปิดเหงือกและอีกแถบอยู่บริเวณฐานครีบหลัง ลำตัวตอนท้ายจะมีแถบสีดำในแนวนอนยาวไปถึงโคนครีบหาง มีจุดสีดำเป็นวงกลมขนาด 2 จุดอยู่บริเวณเหนือฐานครีบก้น ครีบทุกครีบมีสีส้มปนแดง ยกเว้นครีบอกมีสีเหลือง ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร แต่พบใหญ่ที่สุดถึง 20 เซนติเมตร แต่ที่พบโดยเฉลี่ยยาวประมาณ 5 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในเขตต้นน้ำลำธารหรือน้ำตกบนภูเขา ในประเทศไทยพบได้ในภาคใต้ตั้งแต่ จังหวัดตรัง เป็นต้นไป และพบเรื่อยไปจนถึงมาเลเซีย, สิงคโปร์และอินโดนีเซีย นิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม ร่วมกับปลาชนิดอื่นที่มีความใกล้เคียงกัน เช่น ปลาเสือข้างลาย และปลาเสือสุมาตรา หรือปลามะไฟ (Pethia stoliczkana) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอีกอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอีคุด

ปลาอีคุด (หรือสะกดว่า ปลาอีคลุด; Picnic seabream) ปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาอีคุด หรือ วงศ์ปลาจาน (Sparidae) มีลำตัวกว้าง และแบนข้าง ส่วนโค้งนูนของหัวและสันหลังต่างกับท้องมาก หัวโต นัยน์ตาโปน จะงอยปากทู่ ปากเล็ก มุมปากยื่นเข้ามาเป็นแนวใต้จุดกึ่งกลางนัยน์ตา ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยวเป็นซี่แข็งปลายแหลม 11 ก้าน และก้านครีบแขนง 10-13 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยว 3 ก้าน ก้านครีบอันกลางใหญ่และยาวกว่าก้านครีบอื่น ๆ และก้านครีบแขนง 11 หรือ 11 ก้าน ครีบอกยาวปลายแหลม ครีบท้องค่อนข้างใหญ่ และมีก้านครีบเดี่ยวเป็นซี่แข็งปลายแหลม 1 ก้าน ครีบหางปลายเป็นแฉกไม่ลึก ลำตัวเป็นสีเทาอมดำ ท้องสีขาวอมดำ ครีบหลังและครีบก้นมีขอบดำเปราะ ๆ เกล็ดมีความเงางาม มีความยาวเต็มที่ประมาณ 75 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ตามบริเวณปากแม่น้ำและชายฝั่งที่เป็นทราย ตั้งแต่บริเวณน้ำตื้น ๆ ถึงน้ำลึกประมาณ 50 เมตร พบได้ทั้งในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เป็นปลาเศรษฐกิจ เนื้อค่อนข้างแข็งจึงนิยมนำไปต้มมากกว่าวิธีการปรุงอย่างอื่น จึงทำให้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ปลาหม้อแตก" หรือ "ปลากูกู" ในหมู่ชาวมุสลิม นอกจากนี้แล้วยังนับว่าเป็นปลาเพียงไม่กี่ชนิดในวงศ์เดียวกันนี้ ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับน้ำกร่อยหรือน้ำจืดสนิทได้ จึงมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย โดยเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ไม่ดุร้ายทำร้ายปลาชนิดอื่นในที่เลี้ยงด้วยกัน และราคาไม่แพง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอีคุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอีโต้มอญ

ปลาอีโต้มอญ (Common dolphinfish) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Percifoemes) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Coryphaena hippurus จัดอยู่ในวงศ์ปลาอีโต้ (Coryphaenidae) ซึ่งมีอยู่ด้วยกันเพียง 2 ชนิดเท่านั้น ปลาอีโต้มอญ มีลำตัวยาวเรียว แต่เมื่อเจริญเติบโตขึ้นลำตัวจะกว้างขึ้นและแบนข้างเล็กน้อย หัวงุ้มลง ทำให้มีรูปร่างคล้ายมีดโต้ อันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีเกล็ดเล็กละเอียด ปากกว้างและเฉียงขึ้น ฟันเล็กละเอียด ครีบหลังยาวเริ่มตั้งแต่บริเวณโหนกหัวไปจนถึงโคนหาง ครีบหางใหญ่เว้าลึกรูปส้อม ตัวผู้มีโหนกหัวนูนออกไปข้างหน้าเป็นแนวตั้งฉากกับปากคล้ายกับโลมา อันเป็นที่มาของชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ ส่วนตัวเมียจะมีโหนกหัวลาดลง ปลาขนาดโตเต็มวัยลำตัวมีสีน้ำเงินปนเขียว ข้างตัวมีจุดดำเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วลำตัว มีความยาวตั้งแต่ 40-100 เซนติเมตร ขนาดใหญ่สุดมีความยาวถึง 150 เซนติเมตร เป็นปลาที่อยู่รวมตัวกันเป็นฝูงขนาดไม่ใหญ่ อาศัยอยู่ในบริเวณน้ำลึก และมักขึ้นมาหากินและหาอาหารบริเวณผิวน้ำ มักพบอยู่บริเวณข้างเกาะแก่ง ตามต้นไม้หรือกิ่งไม้หรือซากอวนที่ลอยมาตามน้ำ กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เป็นปลาที่ปราดเปรียวว่องไว ว่ายน้ำได้เร็วมาก กินปลาขนาดเล็กและสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร เป็นปลาที่เป็นที่นิยมอย่างยิ่งในการตกปลาเป็นเกมกีฬา เช่นเดียวกับปลากระโทง (Istiophoridae) หรือปลาทูน่า (Scombridae) เนื่องจากเป็นปลาที่สู้เบ็ดและมีความสวยงามเมื่อเวลาตก และนิยมจับเพื่อการประมงเชิงพาณิชย์ด้วย ซึ่งประเทศในแถบแคริบเบียนเป็นกลุ่มผู้บริโภคผลิตภัณฑ์จากปลาอีโต้มอญกลุ่มใหญ่ของโลก ส่วนหลาย ๆ ประเทศที่พัฒนาแล้วในยุโรปมีปริมาณการบริโภคเพิ่มมากขึ้นทุกปี และญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่บริโภคปลาชนิดนี้เป็นปริมาณมากเช่นกัน ปลาอีโต้มอญ ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก ในภาษาไทย เช่น "หน้ามอม", "อีโต้", "มงเจ้าเลือด", "โต้มอญ" หรือ "สีเสียดอินเดีย" เป็นต้น ในขณะที่ภาษาฮาวายจะเรียกว่า "Mahi-mahi" ซึ่งเป็นชื่อที่เพิ่งใช้ไม่นานมานี้ โดยจะปรากฏบนเฉพาะบนเมนูอาหาร ในขณะที่ภาษาสเปนจะเรียกว่า "Dorado" ที่หมายถึง ทองคำ สถานะของปลาอีโต้มอญ ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List) ได้จัดให้อยู่สถานะสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการสูญพันธุ์ (LC).

ใหม่!!: สัตว์และปลาอีโต้มอญ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอ้ายอ้าว

ปลาอ้ายอ้าว หรือ ปลาซิวอ้าว หรือ ปลาซิวควาย (Apollo sharks) ชื่อสกุลของปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Luciosoma (/ลิว-ซิ-โอ-โซ-มา/) มีลักษณะโดยรวม คือ มีลำตัวเพรียวยาวคล้ายแท่งดินสอ ไม่มีเข็มก้านครีบแรก มีก้านครีบอ่อน 7 ก้าน ก้านครีบก้นมี 6 ก้านครีบ ปากกว้างโดยที่มุมปากยื่นยาวไปจนอยู่ในระดับใต้ตา ครีบหลังอยู่ในส่วนครึ่งหลังของลำตัว มีจุดเด่นคือ มีลายแถบสีดำข้างลำตัว ซึ่งแตกต่างออกไปตามชนิด ขนาดโดยเฉลี่ย โตเต็มที่ประมาณ 25-30 เซนติเมตร เป็นปลาที่มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงบริเวณผิวน้ำ กินอาหารโดยล่าปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร รวมถึงแมลงด้วย พบกระจายพันธุ์ในประเทศไทย, ลาว, กัมพูชา จนถึงเกาะบอร์เนียวและเกาะชวา พบด้วยกันทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาอ้ายอ้าว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาอเล็กซานดรี่

ปลาอเล็กซานดรี่ (パカモン) เป็นปลากระดูกแข็งในอันดับปลาหนังชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Pseudopimelodidae จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Lophiosilurus มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปลาในวงศ์ Chacidae โดยเฉพาะในปลาวัยอ่อน กล่าวคือ มีส่วนหัวที่แบนราบมาก ตาเล็ก ปากกว้างมาก มีหนวด 2 เส้นตรงมุมปากคนละข้าง และอีก 2 เส้นตรงใต้คาง ลำตัวเป็นสีเขียวอมส้ม มีจุดกระน้ำตาล ครีบทุกครีบมีขนาดเล็ก กระจายพันธุ์ในแม่น้ำเซาฟรังซีสกูในบราซิล โดยมีชื่อเรียกในภาษาถิ่นว่า "ปาคาม่า" (Pacamã) มีพฤติกรรมมักจะอยู่นิ่ง ๆ กับพื้นน้ำหรือฝังตัวใต้ทรายเพื่อรออาหารได้แก่ ปลาขนาดเล็กและสัตว์น้ำทั่วไป ขนาดความยาวโดยเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 60 เซนติเมตร น้ำหนักราว 5,000 กรัม ด้วยมีหน้าตาประหลาด จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ซึ่งจัดว่าเป็นปลาที่มีราคาแพงชนิดหนึ่ง โดยมีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า "ปลากดหน้ากบ" (Frog-faced catfish) หรือ "ปลากดแพ็ค-แมน" (Pac-man catfish).

ใหม่!!: สัตว์และปลาอเล็กซานดรี่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฮูโช

ปลาฮูโช เป็นสกุลของปลาแซลมอนขนาดใหญ่ ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hucho ในวงศ์ปลาแซลมอน (Salmonidae) เป็นปลาที่กระจายพันธุ์ในอนุทวีปยูเรเชีย และพบบางส่วนอาศัยอยู่ในแม่น้ำหรือแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในทวีปเอเชีย เช่น มองโกเลีย, จีน, รัสเซี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฮูโช · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฮูโซ

ปลาฮูโซ เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ ใช้ชื่อสกุลว่า Huso เป็นปลาสเตอร์เจียนขนาดใหญ่ที่พบในภูมิภาคยูเรเชีย อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤต จำแนกออกได้เป็น 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฮูโซ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาผมนาง

ำหรับปลาผมนางอีกสกุลหนึ่ง ดูที่: ปลาจุยจินขาว และปลาสีกุนครีบยาว ปลาผมนาง หรือ ปลาโฉมนาง หรือ ปลาโฉมงาม (Cobblerfishes, Cockfishes, Threadfishes, Diamond trevallies, Pompanos) เป็นปลาทะเลสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Alectis จัดอยู่ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) มีรูปร่างทั่วไป คือ ลำตัวสั้น กว้าง แบนข้างมาก คอดหางเล็ก เว้นแต่ที่ส่วนท้ายของเส้นข้างตัว โดยเฉพาะ บริเวณคอดหางเกล็ดอ่อนจะขยายใหญ่เป็นสันแข็งที่ปลายหาง มีกระดูกอ่อนลักษณะเป็นเกล็ดแข็ง 2 อัน โผล่อยู่หน้าครีบก้น ที่สำคัญคือ ต่างก็มีก้านครีบหลังตอนที่ 2 และครีบก้นที่เป็นเส้นยาวมาก ลำตัวผิวหนังสีเงิน เฉพาะใกล้สันหลัง เป็นสีฟ้าอมเทา ในระยะที่เป็นปลาขนาดเล็กจะมีลายพาดขวางเป็นบั้งสีเทาอยู่หลายแถบ เส้นครีบที่เป็นลายยาวมีสีคลํ้าหรือดำคล้ายเส้นผม เรียกว่า "ไอ้เปี๊ยะ" อันเป็นที่มาของชื่อ สันนิษฐานว่าคงเป็นการทำตัวเลียนแบบแมงกะพรุนหน้า ๐๙๖–๐๙๗, ปลาโฉมงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาผมนาง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาผีตุ่น

ปลาผีตุ่น (White knifefish, Oddball knifefish, White trumpet knifefish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแบล็คโกสต์ (Apteronotidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Orthosternarchus โดยที่ปลาชนิดนี้ถูกค้นพบโดย จอร์จ อัลเบิร์ต บุลเลเยอร์ ในปี ค.ศ. 1880 โดยใช้ชื่อครั้งแรกว่า Sternarchus tamandu ซึ่งคำว่า tamandua ซึ่งเป็นชื่อชนิดนั้นมาจากภาษาตูเปียนคำว่า tamanduá ซึ่งหมายถึง "ตัวกินมด" เนื่องจากมีจมูกและปากที่ยาวเป็นท่อเหมือนกัน มีรูปร่างเหมือนกับปลาชนิดอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน แต่มีจุดเด่นคือ มีลำตัวสีขาวซีดตลอดทั้งตัว โดยไม่มีสีอื่นแซม เหมือนภาวะผิวเผือก และตาได้ลดรูปลงจนมีขนาดเล็กมาก เป็นจุดเล็ก ๆ เหมือนปลาถ้ำ เนื่องจากไม่ได้ใช้ประโยชน์ และมีช่วงจมูกและปากที่ยาวเหมือนท่อหรือทรัมเป็ต ช่องปากเป็นเพียงช่องเล็ก ๆ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 44 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในส่วนลึกของแม่น้ำที่ขุ่นและเชี่ยวมากในทวีปอเมริกาใต้ แถบประเทศเปรู แต่จะไม่พบในป่าที่น้ำท่วม มีพฤติกรรมชอบว่ายน้ำลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ กินอาหารที่เป็นสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่ในกระแสน้ำเท่านั้น โดยใช้กระแสไฟฟ้าที่สร้างขึ้นเป็นเครื่องหาอาหารและนำทาง จัดเป็นปลาที่ไม่อาจทำอันตรายต่อปลาตัวอื่นหรือสัตว์อื่นใดได้ และค่อนข้างจะบอบบาง อ่อนแอ และว่ายน้ำได้ช้ามาก นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ด้วยความแปลกตา ซึ่งมีราคาซื้อขายกันที่แพงมาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาผีตุ่น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาผีเสื้อ (น้ำจืด)

ปลาผีเสื้อ (อังกฤษ: Freshwater butterflyfish, African butterflyfish) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก เป็นปลาเพียงชนิดเดียวในวงศ์ Pantodontidae ซึ่งอยู่ในอันดับปลาลิ้นกระดูก (Osteoglossiformes) อันเป็นอันดับเดียวกับปลาตะพัดหรือปลาอะโรวาน่า และปลาอะราไพม่าหรือปลาช่อนอเมซอน ปลาผีเสื้อมีลักษณะ ปากกว้างเฉียงขึ้นด้านบน มีจุดเด่นคือ ครีบอกแผ่กว้างในแนวราบขนาดใหญ่ กินปลาขนาดเล็กรวมทั้งแมลงน้ำ และแพลงก์ตอนสัตว์ต่าง ๆ เป็นอาหาร มีความสามารถคือ กระโดดได้สูงและไกลมาก มีขนาดใหญ่เต็มที่ไม่เกิน 15 เซนติเมตร มักลอบตัวอยู่นิ่ง ๆ บริเวณผิวน้ำ พบในทวีปแอฟริกา บริเวณทะเลสาบชาด และประเทศไนเจอร์, แคเมอรูน, ที่ลุ่มแม่น้ำคองโก เป็นต้น นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาผีเสื้อ (น้ำจืด) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาผีเสื้อกลางคืน

ปลาผีเสื้อกลางคืน (Little dragonfish, Common dragonfish, Short dragonfish, Pegasus sea moth) เป็นปลาทะเลปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาผีเสื้อกลางคืน (Pegasidae) เป็นปลาขนาดเล็กขนาดโตเต็มที่ไม่เกิน 10 เซนติเมตร มีผิวลำตัวด้านบนมีลายรูปคล้ายตาข่ายสีน้ำตาลอ่อน จนถึงสีน้ำตาลเข้ม มีปากยาวและหางสั้น มีข้อหาง 8-9 ข้อ หรืออาจมากกว่าแต่พบได้น้อยมาก มีพฤติกรรมมักอาศัยอยู่เป็นคู่บริเวณพื้นทะเลที่เป็นกรวดหิน หรือทรายปนโคลน โดยเฉพาะบริเวณแนวหญ้าทะเลและสาหร่ายทะเล หาอาหารกินได้แก่ สัตว์ที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นทะเลขนาดเล็ก เช่น หนอนทะเล เคลื่อนที่ช้า ๆ โดยใช้ก้านครีบท้องที่พัฒนาไปคล้ายขา พบกระจายพันธุ์กว้างขวางในทะเลและน้ำกร่อยเขตร้อนและเขตอบอุ่น ตั้งแต่ แอฟริกาใต้, มาดากัสการ์, ทะเลแดง, อินโด-แปซิฟิก, ทะเลญี่ปุ่น, ไมโครนีเซีย และน่านน้ำไท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาผีเสื้อกลางคืน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาผีเสื้อกลางคืนปากยาว

ปลาผีเสื้อกลางคืนปากยาว (Longtail seamoth, Slender seamoth) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาผีเสื้อกลางคืน (Pegasidae) เป็นปลาที่มีขนาดเล็ก มีขนาดยาวไม่เกิน 4-6 เซนติเมตร มีลำตัวเป็นเกราะแข็ง ครีบหางมีเกราะรูปวงแหวนต่อกัน เป็นข้อ ๆ ปากยื่นยาวออกไป ลำตัวแบนลง ครีบหูมีขนาดใหญ่แผ่ออกด้านข้างคล้ายปีกของผีเสื้อ ครีบท้องมีก้านแข็งหนึ่งคู่ ที่เหลือเป็นก้านครีบอ่อนที่พัฒนาไปคล้ายขาเดิน มีผิวตัวด้านบนมีลายรูปตาข่าย อาจมีสีน้ำตาลอ่อน จนถึงสีน้ำตาลเข้ม คล้ายกับปลาผีเสื้อกลางคืน (Eurypegasus draconis) ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกัน แต่ปลาผีเสื้อกลางคืนปากยาว จะมีส่วนปากที่ยื่นยาวกว่า เป็นปลาที่หากินตามพื้นทะเล ที่เป็นพื้นทรายหรือทรายปนโคลน ด้วยการใช้ครีบคืบคลานไปกับพื้นคล้ายกับการเดิน โดยกินสัตว์น้ำขนาดเล็ก ๆ ต่าง ๆ เป็นอาหาร พบแพร่กระจายพันธุ์กว้างไกล ตั้งแต่ ออสเตรเลีย, บาห์เรน, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, โมซัมบิก, พม่า, ฟิลิปปินส์, ซาอุดิอาระเบีย, สิงคโปร์, เกาะไต้หวัน, แทนซาเนีย และไท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาผีเสื้อกลางคืนปากยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาผีเสื้อจมูกยาว

ปลาผีเสื้อจมูกยาว หรือ ปลาผีเสื้อลองโนส (Longnose butterflyfish) เป็นสกุลของปลาทะเลสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Forcipiger (/ฟอร์-ซิ-พิ-เกอร์/) ในวงศ์ปลาผีเสื้อ (Chaetodontidae) มีลักษณะเด่นต่างจากปลาผีเสื้อสกุลอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด คือ ส่วนปากและจมูกยื่นแหลมยาวออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน จึงทำให้กินได้แต่อาหารขนาดเล็ก ๆ เท่านั้น เช่น แพลงก์ตอนสัตว์ หรือโพลิปของปะการัง เป็นปลาที่มีลำตัวสีเหลืองสดใส กระจายพันธุ์ตามแนวปะการังในน่านน้ำแถบอินโด-แปซิฟิก กระนั้น ก็ยังมีรายงานพบ ปลาบางตัวที่มีสีผิดเพี้ยนไปจากปกติ คือ มีสีขาวตลอดทั้งตัวหรือสีดำสนิทก็มี ซึ่งอาจจะเป็นความผิดปกติของเม็ดสี แต่ทว่าหาได้ยากมาก และมีราคาซื้อขายที่แพงในวงการปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาผีเสื้อจมูกยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาผีเสื้อจมูกยาวเหลือง

ปลาผีเสื้อจมูกยาวเหลือง หรือ ปลาผีเสื้อจมูกยาวขอบตาขาว (Yellow longnose butterflyfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาผีเสื้อ (Chaetodontidae) มีส่วนปากยาวมาก ครีบหลังตอนหน้ามีก้านครีบยาว ลำตัวสีเหลืองสด หน้าและหัวสีคล้ำถึงครึ่งบนลูกตา ขอบตาด้านล่างขาวถึงจะงอยปากและข้างแก้ม มีจุดสีดำตรงด้านท้ายครีบก้น ครีบหางใส มีความยาวประมาณ 19 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแนวปะการังในทะเลเขตร้อน-เขตอบอุ่นทั่วโลก ตั้งแต่อินโดแปซิฟิก, ฮาวาย, ทะเลแดง, ทะเลคอร์เตซ, อเมริกาใต้, หมู่เกาะกาลาปากอส, ทะเลญี่ปุ่น, ไมโครนีเซีย ในน่านน้ำไทย เฉพาะฝั่งทะเลอันดามันเท่านั้น จัดเป็นปลาที่พบได้น้อย เป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามลำพังหรือเป็นคู่ กินโพลิปของปะการัง, หอย และหนอนทะเล เป็นอาหาร เป็นปลาผีเสื้ออีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม และจัดแสดงตามพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาผีเสื้อจมูกยาวเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาผีเสื้อถ้ำ

ปลาผีเสื้อถ้ำ (waterfall climbing cave fish) เป็นปลาในวงศ์ปลาค้อ (Balitoridae) โทรโกลไบต์ถิ่นเดียวในประเทศไทย มีความยาวมาตรฐานได้ 2.8 เซนติเมตรปลานี้เป็นที่รู้จักว่าครีบของมันสามารถเกาะภูมิประเทศและสามารถปีนได้ ปลานี้เป็นสมาชิกชนิดเดียวเท่าที่ทราบของสกุลของมัน ชนิดนี้มีการบันทึกจากจุดใต้ดินแปดจุดในคาสต์ปางมะผ้า (Pang Mapha karst formation) ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย ชนิดนี้มีขอบเขตการพบเกือบ 200 ตารางกิโลเมตร แต่มีพื้นที่การครอบครอง 6 ตารางกิโลเมตร ยังไม่ทราบความเชื่อมโยงของระบบคาสต์นี้ บางถ้ำเชื่อมต่อกันอย่างแน่นอน ชนิดนี้พบในแปดถ้ำ มีบันทึกจากถ้ำซู่ซ่า (ซึ่งมีการรวบรวมครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1985) และแม่ลานา นอกจากนี้ ยังอาจพบในถ้ำอยู่ใต้น้ำอื่นในพื้นที่อีก ทว่า ชนิดนี้อาจมีภัยคุกคามจากมลภาวะเกษตรกรรมซึ่งอาจกระทบต่อทั้งระบบคาสต์ ปลาชนิดนี้ไม่มีสารสีและไม่มีตามองเห็น เช่นเดียวกับปลาถ้ำอื่น ชนิดนี้อยู่ร่วมกับปลาค้อถ้ำอีกชนิดหนึ่ง คือ Schistura oedipus ชนิดนี้ปรับตัวกับน้ำไหลใต้ดินที่เร็วในเขตลึกกว่าของถ้ำ (กว่า 500 เมตรจากทางเข้า) มันอาศัยจุลินทรีย์และสารอินทรีย์ของถ้ำ และไวมากต่อการรบกวน คุณภาพน้ำและการเปลี่ยนแปลงทางอุทกศาสตร์ ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาผีเสื้อถ้ำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาผีเสื้อติดหินน่าน

ปลาผีเสื้อติดหินน่าน ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemimyzon nanensis อยู่ในวงศ์ปลาค้อ (Balitoridae) มีส่วนหัวและลำตัวตอนบนแบนราบ ปากเล็กมากอยู่ด้านล่างของจะงอยปาก ครีบอกและครีบท้องกว้าง ด้านหลังมีสีกากีหรือน้ำตาลอ่อนและมีแต้มกลมสีคล้ำ ท้องสีจาง ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 4-7 เซนติเมตร ปลาผีเสื้อติดหินน่าน สามารถใช้ครีบอกที่กว้างแกะแนบติดกับแก่งหินที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว โดยกินอาหารจำพวกตัวอ่อนของแมลงน้ำและสัตว์หน้าดินขนาดเล็ก โดยการกระจายพันธุ์พบเฉพาะแหล่งน้ำที่เป็นลำธารน้ำตกบนภูเขาหรือในป่าดิบชื้นที่เป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำน่านแห่งเดียวเท่านั้น เป็นปลาที่เพิ่งได้รับการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์และอนุกรมวิธานเมื่อปี ค.ศ. 1998.

ใหม่!!: สัตว์และปลาผีเสื้อติดหินน่าน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาผีเสื้อนกกระจิบ

ปลาผีเสื้อนกกระจิบ (Copperband butterflyfish, Beak coralfish) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chelmon rostratus ในวงศ์ปลาผีเสื้อ (Chaetodontidae) มีลำตัวแบนข้าง ลบลำตัวมีสีขาวคาดด้วยแถบสีส้มจำนวน 4 แถบ โดย 2 แถบแรกมีขอบสีดำตัดบาง ๆ ทั้งด้านหน้าและหลัง ปลายครีบบนและครีบล่างเจือด้วยปื้นสีส้ม โคนหางมีจุดสีดำเล็ก ๆ และมีจุดสีดำขนาดใหญ่บริเวณโคนครีบบนหนึ่งจุด คล้ายตา เพื่อใช้หลอกล่อศัตรูให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นดวงตาจริง ๆ ในขณะที่ดวงตาแท้ ๆ มีแถบสีส้มคาดเพื่ออำพรางไม่ให้ดูเด่นกว่าจุดวงกลมสีดำนั้น ปากยื่นยาวและมีขนาดเล็กคล้ายหลอด ใช้สำหรับดูดกินหรือแทะกินสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก หรือ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังต่าง ๆ ที่อาศัยตามแนวปะการังที่หลบตามซอกหลีบได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้แล้วยังสามารถกินดอกไม้ทะเลแก้ว (Aiptasia spp.) ซึ่งเป็นดอกไม้ทะเลขนาดเล็กที่หนวดพิษสามารถทำร้ายปะการังได้ด้วย นับเป็นปลาที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศในทะเลชนิดหนึ่ง ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแนวปะการังของมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตก เช่น ทะเลอันดามัน, อ่าวไทย, หมู่เกาะริวกิว จนถึงออสเตรเลีย เป็นปลาที่ได้รับความนิยมในแง่ของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม จัดเป็นปลาที่ราคาไม่แพง เลี้ยงง่าย แต่ไม่อาจจะฝึกให้กินอาหารสำเร็จรูปได้เหมือนปลาผีเสื้อชนิดอื่น ๆ ซึ่งผู้เลี้ยงต้องให้กินอาหารสด เช่น ไรทะเลหรือเนื้อหอยชนิดต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นปลาที่ต้องรวบรวมมาจากแหล่งน้ำรรมชาติ ซึ่งในปลาขนาดกลางที่ไม่เล็กไปหรือใหญ่ไป ราว ๆ 2.5-3.5 นิ้ว เป็นขนาดที่กำลังพอดีที่จะนำมาเลี้ยง เพราะปลาจะปรับตัวให้เข้ากับตู้เลี้ยงได้ไม่ยากนัก ไม่ตื่นกลัวเหมือนปลาใหญ่หรืออ่อนแอเกินไปเหมือนปลาขนาดเล็ก อนึ่ง ปลาผีเสื้อนกกระจิบนั้น ในแวดวงของการดำน้ำยังมีการเรียกปนกับปลาผีเสื้อจมูกยาวในสกุลปลาผีเสื้อจมูกยาว ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ ปลาผีเสื้อจมูกยาวใหญ่ (Forcipiger longirostris) และปลาผีเสื้อจมูกยาวเหลือง (F. flavissimus) ซึ่งปลาทั้ง 2 ชนิดนั้นมีสีสันที่แตกต่างออกจากปลาผีเสื้อนกกระจิบพอสมควร โดยมีสีเหลืองสดเป็นสีพื้นเป็นหลัก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาผีเสื้อนกกระจิบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจะละเม็ด

วามหมายอื่นดูที่: จะละเม็ด ปลาจะละเม็ด (Pomfrets) เป็นสกุลของปลาทะเลในสกุล Pampus (/แพม-พัส/) ในวงศ์ปลาจะละเม็ด (Stromatidae) มีรูปร่างโดยรวม คือ รูปร่างป้อม ค่อนข้างสั้น ลำตัวแบนข้างมาก หัวเล็กมน ปากเล็ก เกล็ดเล็ก บริเวณคอดหางไม่มีสันคม เป็นปลาที่นิยมบริโภค เนื้อมีรสชาติดี จัดเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญจำพวกหนึ่ง มีประเทศไทยพบ 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจะละเม็ด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจะละเม็ดขาว

ปลาจะละเม็ดขาว (White pomfret, Silver pomfret) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาจะละเม็ด (Stromateidae) มีรูปร่างป้อมสั้น เกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ลำตัวแบนข้างมาก ส่วนหัวป้อมสั้น ตาค่อนข้างเล็ก จะงอยปากสั้นทู่ ปากเล็กและเฉียงขึ้น ครีบหลังและครีบก้นมีความยาวของฐานเกือบเท่ากัน ครีบหางเว้า และปลายทั้งสองเรียวยาวเป็นรยางค์ ครีบอกยาว ปลาที่โตเต็มวัยจะไม่มีครีบท้อง เกล็ดมีลักษณะเล็กบางและหลุดง่าย สันหลังสีเทาปนสีขาวเงิน ส่วนที่อยู่ใต้ลงมาจะมีสีจางลง บริเวณท้องจะเป็นสีขาวเงิน ปลายของครีบท้องมีแถบสีดำ ครีบอื่น ๆ สีเหลือง มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 60 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง, เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงทะเลญี่ปุ่น มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง มักหากินอยู่ตามพื้นหน้าดินที่มีน้ำใส พื้นเป็นทรายปนโคลน บางครั้งเข้าไปหากินในบริเวณแหล่งน้ำกร่อย ในน่านน้ำไทย พบได้ทั้งในฝั่งอ่าวไทย และบริเวณหมู่เกาะอ่างทองมีอยู่ชุกชุม รวมถึงฝั่งทะเลอันดามันด้วย โดยอาหารที่ชื่นชอบ คือ แมงกะพรุนขนาดเล็ก มีชื่ออื่น ๆ เรียกอีก เช่น "ปลาแปะเชีย" (银鲳) ในภาษาแต้จิ๋ว เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย เช่น นึ่ง, นึ่งบ๊วย, นึ่งซีอิ๊ว หรือทอ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจะละเม็ดขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจะละเม็ดดำ

ปลาจะละเม็ดดำ (Black pomfret) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Parastromateus มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลาจะละเม็ดขาว (Pampus argenteus) ซึ่งอยู่ในวงศ์ปลาจะละเม็ด (Stromateidae) ต่างกันที่มีสีและคอดหางของปลาจะละเม็ดดำจะเป็นสันแข็ง ครีบหางใหญ่และเว้าเล็กน้อย ครีบอกยาวเรียวคล้ายขนของหางไก่ตัวผู้ ลำตัวมีสีเทาปนน้ำตาล ของครีบหลัง เมื่อยังเป็นปลาวัยอ่อนจะมีครีบท้อง และครีบหางมีสีดำ มีขนาดโตเต็มที่ได้ 75 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยทั่วไปประมาณ 30 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอยู่เป็นฝูง อาศัยอยู่ในชายฝั่ง, แนวปะการัง และปากแม่น้ำที่เป็นน้ำกร่อย ในเขตอินโด-แปซิฟิก, แอฟริกาตะวันออก, ทะเลญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ปลาขนาดเล็กซึ่งยังปรากฏครีบท้องชัดเจน มีชื่อเรียกอื่น อีก เช่น "ปลาโอวเชีย" (黑色鲳) ในภาษาแต้จิ๋ว เป็นปลาเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง ที่รสชาติสู้ปลาจะละเม็ดขาวไม่ได้ จึงมีราคาขายที่ถูกกว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจะละเม็ดดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจะละเม็ดเทา

ปลาจะละเม็ดเทา หรือ ปลาเต๋าเต้ย หรือ ปลาจะละเม็ดน้ำลึก (Gray pomfret, Chinese silver pomfret; 灰鯧; พินอิน: Hēi chāng) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง จำพวกปลาจะละเม็ด ในวงศ์ปลาจะละเม็ด (Stromateidae) มีรูปร่างเหมือนปลาจะละเม็ดชนิดอื่น ต่างกันที่มีขนาดที่ใหญ่กว่า พื้นลำตัวเป็นสีเทา ครีบหลังมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม ครีบหางไม่เว้าเป็นรูปส้อม คอดหางสั้น ครีบก้นเป็นรูปสามเหลี่ยม พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลเขตอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่อ่าวเปอร์เซียจนถึงญี่ปุ่นตอนเหนือ แต่ไม่พบในนิวกินีหรือออสเตรเลีย นิยมรับประทานกันเป็นปลาเศรษฐกิจเหมือนปลาจะละเม็ดชนิดอื่น แต่ทว่ามีรสชาติที่อร่อยกว่า จึงมีราคาซื้อขายที่แพงกว่ามาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปลาจะละเม็ดขาว (P. argenteus).

ใหม่!!: สัตว์และปลาจะละเม็ดเทา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจาด

ปลาจาด เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Poropuntius (/พอร์-โอ-พุน-ชัส/) ความเป็นมาของปลาในสกุลนี้เริ่มจากแม็กซ์ วีลเฮม คาร์ล เวบเบอร์ และลีฟาน เฟอดินานด์ เดอ โบฟอร์ต ได้ตั้งสกุล Lissocheilus (ปัจจุบันถูกยกเลิกไปแล้ว) ขึ้นในปี ค.ศ. 1916 เพื่อใช้กับปลาในวงศ์ปลาตะเพียนที่พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอธิบายว่า ต่อมาในปี ค.ศ. 1919 มะสึมิสึ โอชิมะ นักมีนวิทยาชาวญี่ปุ่น ได้พบว่าปลาบางส่วนของสกุล Lissocheilus มีริมฝีปากล่างแยกออกมาเป็น 3 ส่วน ส่วนกลางเป็นแผ่นหนังใหญ่ ทำให้มีปัญหาในการจำแนกชนิด จึงได้ตั้งสกุล Acrossocheilus ขึ้น (ซึ่งปัจจุบันสกุลนี้ใช้ระบุปลาที่พบในประเทศเวียดนามและจีนตอนใต้ เป็นหลัก) โดยจำแนกปลาที่อยู่ในสกุล Lissocheilus เดิมที่มีลักษณะของริมฝีปากล่างตามที่กล่าวมาให้อยู่ในสกุลนี้ ต่อมา ฮิวจ์ แมคคอร์มิค สมิธ ได้ตั้งสกุล Poropuntius นี้ขึ้น ในปี ค.ศ. 1931 โดยแยกออกจากสกุล Lissocheilus ซึ่งครีบหลังมีก้านครีบแขนง 8 ก้าน ก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายเป็นหนามแข็งและขอบจักเป็นฟันเลื่อย ชื่อสกุล Lissocheilus ต้องถูกยกเลิก เพราะพบว่าตั้งซ้ำซ้อนกับสกุลของหอยที่เป็นซากฟอสซิลซึ่งมีผู้ตั้งไว้ในปี ค.ศ. 1882 ดังนั้น จึงต้องหันกลับไปพิจารณาระหว่างสกุล Poropuntius กับสกุล Acrossocheilus ก็พบว่าลักษณะทางอนุกรมวิธานของสกุล Poropuntius นั้นเด่นกว่าสกุล Acrossocheilus ในปี ค.ศ. 1996 วอลเตอร์ เรนโบธ เสนอให้ใช้สกุล Poropuntius กับปลาที่แมลคัม อาร์เธอร์ สมิธ อนุกรมวิธานไว้ในปี ค.ศ. 1945 คือ ปลาจาดบ้านถ้ำ (P. bantamensis) และปลาเขยา (P. deauratus) ที่เดิมเคยใช้ชื่อสกุล Acrossocheilus เปลี่ยนมาใช้ชื่อสกุลนี้ แต่อย่างไรก็ดี ยังมีความสับสนอย่างมากในการใช้ชื่อสกุลของสกุลนี้ เรนโบธจึงเสนอขึ้นมาในปี ค.ศ. 1985 ให้ใช้สกุล Neolissocheilus ขึ้น ซึ่งปัจจุบันนี้ใช้ในกลุ่มปลาพลวง อย่างไรก็ตาม สกุล Poropuntius นี้ มีความคล้ายคลึงกับสกุล Hypsibarbus ซึ่งเป็นสกุลที่เรนโบธตั้งขึ้นเองในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาจาด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจาดแถบดำ

ปลาจาดแถบดำ หรือ ปลาตะเพียนสมพงษ์ เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Poropuntius melanogrammus อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะลำตัวแบนข้างเล็กน้อย หัวสั้น ปากเรียวเล็ก ริมฝีปากล่างเป็นขอบแข็งและคม ลำตัวสีเงินแวววาว ด้านบนสีคล้ำหรืออมม่วง ครีบมีสีแดงเรื่อ ๆ ครีบหางเว้าลึกมีขอบด้านบนสีคล้ำหรือสีแดงส้ม ครีบหลังสูง มีขนาดความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร เป็นปลาที่เพิ่งถูกอนุกรมวิธานในปี พ.ศ. 2541 พบอาศัยอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ราว 5-10 ตัว ในบริเวณที่มีน้ำไหลแรง ในลุ่มแม่น้ำแม่กลองและสาขาในบริเวณที่มีป่าไม้ปกคลุม จัดเป็นปลาที่พบเฉพาะถิ่นที่พบได้น้อย กินอาหารจำพวก พืชน้ำและตะไคร่น้ำตามโขดหินหรือไม้ใต้น้ำ นิสัยรักสงบ ปลาจาดแถบดำ ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "จาด" หรือ "หางแดง".

ใหม่!!: สัตว์และปลาจาดแถบดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจิ้มฟันจระเข้

ปลาจิ้มฟันจระเข้ (Pipefish) คือ ปลากระดูกแข็งจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ย่อย Syngnathinae ในวงศ์ Syngnathidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับม้าน้ำและมังกรทะเล ปลาจิ้มฟันจระเข้ มีลักษณะและพฤติกรรมโดยรวมคล้ายกับปลาชนิดอื่นและสกุลอื่นที่อยู่ในวงศ์เดียวกัน กล่าวคือ มีปากที่ยื่นเป็นท่อ ลำตัวหน้าตัดเป็นเหลี่ยม แต่ยาวเรียวมากดูคล้ายกิ่งไม้ ผิวหนังเป็นแผ่นแข็งเรียงต่อกันเป็นเหลี่ยมเป็นข้อ ครีบต่าง ๆ มีขนาดเล็ก ไม่มีครีบท้อง ตัวผู้ทำหน้าที่ฟักไข่โดยเก็บไว้บริเวณหน้าท้อง ลำตัวมักมีสีน้ำตาล อาจมีลายสีเข้มพาดขวางในบางชนิด หากแต่ปลาจิ้มฟันจระเข้ จะพบได้แม้ในน้ำจืดและน้ำกร่อยด้วย ซึ่งผิดไปจากปลาในวงศ์เดียวกันนี้ส่วนใหญ่ มีขนาดแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่เพียงไม่กี่เซนติเมตรจนถึงฟุตกว่า ๆ ในชนิด ปลาจิ้มฟันจระเข้ยักษ์ (Doryichthys boaja) ที่พบในน้ำจืด เป็นต้น มีความสำคัญต่อมนุษย์ในแง่ของการนำไปทำเป็นยาจีนเช่นเดียวกับม้าน้ำ และนิยมเลี้ยงไว้ในตู้ปลาเพื่อความเพลิดเพลิน อีกทั้งยังเป็นที่นิยมของนักดำน้ำอีกด้วย ในการถ่ายภาพใต้น้ำในแนวปะการัง เช่น ปลาจิ้มฟันจระเข้ลายด่าง (Corythoichthys haematopterus)เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจิ้มฟันจระเข้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจิ้มฟันจระเข้ยักษ์

ปลาจิ้มฟันจระเข้ยักษ์ (Freshwater pipefish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ม้าน้ำและปลาจิ้มฟันจระเข้ (Syngnathidae) วงศ์ย่อย Syngnathinae มีรูปร่างแปลกไปจากปลาทั่ว ๆ ไป กล่าวคือ มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายกิ่งไม้ สัณฐานเป็นเหลี่ยม เกล็ดได้เปลี่ยนรูปกลายเป็น แผ่นกระดูกแข็ง เป็นข้อรอบตัว จะงอยปากยื่นแหลม ปลายปากคล้ายปากแตร ไม่มีฟัน ใช้ปากดูดอาหาร ลำตัวมีสีน้ำตาลเขียว และมีลายดำเป็นวงทั่วตัว ว่ายน้ำเชื่องช้า อาหารได้แก่ แมลงน้ำ, ลูกกุ้ง, ลูกปลาขนาดเล็ก และแพลงก์ตอนสัตว์ มีความยาวประมาณ 16-47 เซนติเมตร ปลาในวงศ์นี้ โดยมากเป็นปลาทะเล พบในน้ำจืดเพียงไม่กี่ชนิด มีลักษณะเฉพาะ คือ เมื่อวางไข่ ตัวผู้จะเป็นฝ่ายอุ้มท้องโดยตัวเมียจะวางไข่ไว้ที่หน้าท้องตัวผู้ และตัวผู้จะเป็นผู้ดูแลจนกระทั่งไข่ฟักเป็นตัว ปลาจิ้มฟันจระเข้ยักษ์ พบอาศัยอยู่บริเวณผิวน้ำ ในแม่น้ำลำคลองและหนอง, บึง ทางน้ำติดต่อกับแม่น้ำ ทั่วทุกภาคของประเทศไทย สำหรับภาคใต้พบมากในส่วนของทะเลน้อยของทะเลสาบสงขลา โดยมักหลบซ่อนอยู่ใต้กอพืชน้ำหรือผักตบชวา ไม่ใช้สำหรับการบริโภค แต่ในสูตรยาจีน ใช้ตากแห้งเพื่อเป็นสมุนไพรทำยาเช่นเดียวกับม้าน้ำ และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ก็เป็นชนิดที่เลี้ยงยากมาก เนื่องจากปากมีขนาดเล็ก ผู้เลี้ยงจึงหาอาหารให้กินได้ลำบาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจิ้มฟันจระเข้ยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจิ้มฟันจระเข้ลายด่าง

ปลาจิ้มฟันจระเข้ลายด่าง (Scribbled pipefish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ (Syngnathidae) เป็นปลาจิ้มฟันจระเข้ชนิดหนึ่ง มีลำตัวเรียวยาว จะงอยปากสั้น ตาโต ครีบหลังอยู่ตอนกลางลำตัว ครีบหางเล็กปลายมน ครีบอกเล็ก ตามลำตัวเป็นสันเล็ก ๆ เป็นปล้องตลอดลำตัวไปจนโคนหาง มีลำตัวสีเทาอมเขียวหรือสีฟ้า และมีลายเส้นเป็นสีคล้ำหรือดำ ครีบต่าง ๆ ใสโปร่งแสง ครีบหางสีแดงเรื่อ ๆ มีความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร พบยาวเต็มที่ได้ถึง 19.8 เซนติเมตร ในตัวผู้ อาศัยอยู่ตามกอสาหร่ายหรือกองหินใต้น้ำ หรือแนวปะการัง ในแถบอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่แอฟริกาตะวันออก จนถึงวานูอาตู ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน จัดเป็นปลาที่พบได้ไม่บ่อยนัก เป็นปลาที่กินแพลงก์ตอนสัตว์เป็นอาหาร ตัวผู้จะเป็นฝ่ายฟักไข่โดยติดไว้ที่หน้าท้องเป็นแพ โดยทุก ๆ เช้า ตัวเมียที่มีไข่เต็มท้องจะออกมาจากที่อาศัยเพื่อว่ายคลอเคลียกับตัวผู้เพื่อทำความคุ้นเคย ทั้งคู่จะว่ายพันกันไปมา และตัวผู้จะใช้โอกาสนี้ย้ายไข่ของตัวเมียมาไว้ที่หน้าท้องของตัวเอง โดยไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัว 10 ตัว ซึ่งตัวเมียสามารถผลิตไข่ชุดใหม่ได้เลยภายใน 20 วัน ดังนั้นปีหนึ่ง ๆ ปลาจิ้มฟันจระเข้ลายด่างจึงสามารถผลิตลูกได้เยอะมาก นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจิ้มฟันจระเข้ลายด่าง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ

ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ (Shortbodied pipefish, Ghost pipefish, Harlequin ghost pipefish) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ (Solenostomidae) มีจะงอยปากยาว ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย มีติ่งสั้น ๆ ทั่วทั้งตัว ครีบมีขนาดใหญ่ และมีขอบเป็นเส้นสั้น ๆ ลำตัวค่อนข้างใส มีสีสันหลากหลาย ทั้งสีแดง, ขาวสลับดำหรือเหลือบสีอื่น ๆ โดยปรับเปลี่ยนสีให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่อาศัย มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 8 เซนติเมตร มักพบในแนวปะการังหรือกัลปังหาที่เขตน้ำลึก ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก มักลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ เพื่อแฝงตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เป็นปลาที่หากินในเวลากลางคืน โดยกิน แพลงก์ตอนสัตว์และครัสเตเชียนขนาดเล็ก เป็นอาหาร โดยเอาส่วนหัวทิ่มลงพื้น ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ มีพฤติกรรมการวางไข่ที่แตกต่างไปจากปลาชนิดอื่นในอันดับเดียวกัน คือ ตัวเมียจะเป็นฝ่ายอุ้มท้อง โดยใช้ครีบหน้าท้องขนาดใหญ่สองครีบไว้สำหรับโอบอุ้มไข่ที่ได้รับการผสม และอุ้มท้องพาไข่ติดตัวไปด้วยตลอดเวลาจนกว่าจะฟักออกเป็นตัว โดยมีปลาตัวผู้ที่มีขนาดเล็กกว่า คอยดูแลอยู่ตลอด ซึ่งถุงครีบใต้ท้องของแม่ปลานั้นจะคอยกระพือเปิดปิดเป็นระยะ ๆ เพื่อให้น้ำทะเลและออกซิเจนที่ผสมอยู่ในน้ำไหลเวียนถ่ายเท เพื่อให้ตัวอ่อนในไข่เจริญเติบโต ซึ่งสามารถมองเห็นเป็นไข่ลูกกลม ๆ ใส ๆ หรือบางครั้งก็สามารถมองเห็นดวงตาจุดดำ ๆ คู่โตในไข่ได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า ปลาจิ้มฟันจระเจ้ปีศาจ เป็นปลาที่พบได้น้อยมาก ในน่านน้ำไทยอาจพบได้ที่หมู่เกาะสิมิลัน ไม่จัดว่าเป็นปลามีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และปัจจุบันได้มีการจับมาจากแหล่งธรรมชาติเพื่อขายเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจใบไม้

ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจใบไม้ (Green ghost pipefish, Bluefinned ghost pipefish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ (Solenostomidae) มีจะงอยปากยาว ลำตัวแบนข้างเล็กน้อยคล้ายปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ (S. paradoxus) แต่ตามตัวไม่มีติ่งเนื้อสั้น ๆ สามารถปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมได้ ทั้งสีน้ำตาล, น้ำตาลแดง หรือสีเขียว มีความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร โตเต็มที่ได้ถึง 15 เซนติเมตร พบว่าเป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุดของวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ พบกระจายพันธุ์ตามแนวปะการัง, กอหญ้าทะเล, ปะการังอ่อน หรือกัลปังหา กระจายพันธุ์ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก พบได้จนถึงอินโดนีเซียและออสเตรเลีย ในน่านน้ำไทยจัดเป็นปลาที่พบได้น้อยมาก โดยพบได้เฉพาะทะเลอันดามันเท่านั้น มีพฤติกรรมลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ อาศัยอยู่รวมกันเป็นคู่ กินอาหารจำพวกแพลงก์ตอนสัตว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจใบไม้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจิ้มฟันจระเข้แคระ

ปลาจิ้มฟันจระเข้แคระ หรือ ปลาจิ้มฟันจระเข้ลำธาร (Longsnouted pipefish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้และม้าน้ำ (Syngnathidae) วงศ์ย่อย Syngnathinae มีลักษณะคล้ายปลาจิ้มฟันจระเข้ยักษ์ (D. boaja) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีลำตัวที่สั้นกว่า จะงอยปากสั้นกว่ามาก หัวเล็ก ลำตัวมีปล้อง 15-17 ปล้อง หางยาวกว่าลำตัวมาก ซึ่งแตกต่างจากปลาจิ้มฟันจระเข้ยักษ์ ลำตัวสีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลแดง และมีจุดดำเล็ก ๆ ระหว่างปล้อง ครีบใส ครีบหางสีน้ำตาลและขอบสีจาง มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ใหญ่สุด 15 เซนติเมตร อาหารได้แก่ แพลงก์ตอนสัตว์ และสัตว์น้ำขนาดเล็ก อาศัยอยู่ตามลำธารหรือแม่น้ำในภาคตะวันออกและภาคใต้ของไทยไปจนถึงมาเลเซียและอินโดนีเซีย พบมากในบางแหล่งน้ำ โดยมักหลบซ่อนอยู่ตามพื้นท้องน้ำใต้ใบไม้ที่ร่วง หากินโดยคืบคลานไปกับพื้นน้ำ ตัวผู้และตัวเมียต่างกันชัดเจนในขณะที่ปลาตัวเมียโตเต็มที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้เล็กน้อย และไม่มีถุงช่องหน้าท้องที่มีไว้เพื่อเก็บไข่และลูก ๆ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจิ้มฟันจระเข้แคระ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจิ้มฟันจระเข้ใบสาหร่าย

ปลาจิ้มฟันจระเข้ใบสาหร่าย หรือ ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจใบสาหร่าย (Halimeda ghost pipefish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ (Solenostomidae) มีรูปร่างคล้ายปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจใบไม้ (S. cyanopterus‎) แต่มีครีบอกที่กลมมนกว่า มีลำตัวสีเขียวอมเทาคล้ายสีของสาหร่าย มีลายด่างและจุดสีเทากระจายอยู่ทั่วตัว จะงอยปากมีติ่งเป็นกระจุกสีน้ำตาล มีความยาวโดยประมาณ 6 เซนติเมตร มักอาศัยอยู่ตามลำพัง โดยลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ เหนือกอสาหร่ายหรือหญ้าทะเลในพื้นทราย ในแนวปะการังที่มีหญ้าทะเลขึ้น กินแพลงก์ตอนสัตว์เป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในอินโด-แปซิฟิกตะวันตก ในน่านน้ำไทย ถือว่าเป็นปลาที่หาได้ยากมาก พบเพียงทะเลในภาคใต้ตอนล่างเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจิ้มฟันจระเข้ใบสาหร่าย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจิ้มฟันจระเข้เขียว

ปลาจิ้มฟันจระเข้เขียว หรือ ปลาจิ้มฟันจระเข้ท้องคม (Alligator pipefish, Horned pipefish, Twobarbel pipefish, Spiraltail pipefish) เป็นปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง จำพวกปลาจิ้มฟันจระเข้ (Syngnathinae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Syngnathoides ลำตัวเป็นปล้อง 15-18 ปล้อง มีปล้องส่วนหาง 40-45 ปล้อง ทั้งสันส่วนบนและส่วนล่างต่อเนื่องกับสันของส่วนหางที่อยู่ในแนวเดียวกัน ส่วนท้ายของสันด้านข้างลำตัวโค้งขึ้นสู่ด้านหลังและสิ้นสุดใกล้กับฐานครีบหลัง ลำตัวแบนจากบนลงล่าง ส่วนกลางของลำตัวกว้างที่สุด ปลายหัวตามแนวกลางมีสันแข็งไม่สูงและขอบเรียบ สันแข็งบริเวณท้ายทอยมักมีหนามแหลม ๆ เล็ก ๆ บนขอบ จุดกำเนิดของครีบหลังอยู่ตรงปล้องลำตัว ไม่มีครีบหาง ปลายหางสามารถม้วนงอได้ มีสีลำตัวสีเขียวจนถึงสีน้ำตาลหรือสีเทา และมีแต้มสีเข้มที่ไม่แน่นอนตางกันไปตามแต่ละตัว มีความยาวเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร อาศัยอยู่ตามกอสาหร่ายและหญ้าทะเล โดยมักจะเอาส่วนหางเกาะเกี่ยวกับใบของพืชเหล่านี้ไม่ให้ไหลไปกับกระแสน้ำ แล้วตั้งตัวเป็นมุมฉากเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูผู้ล่าและดักจับแพลงก์ตอนสัตว์กินเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในทะเลเขตร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ปัจจุบัน เป็นปลาที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามตามตู้ปลาหรือในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจิ้มฟันจระเข้เขียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจิ้งจก

ปลาจิ้งจก (Gecko fish, Lizard fish) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์ย่อย Balitorinae ในวงศ์ใหญ่ Balitoridae ใช้ชื่อสกุลว่า Homaloptera (/โฮ-มา-ล็อพ-เทอ-รา/) มาจากภาษากรีกคำว่า "Homalos" หมายถึง "แบน" กับคำว่า "pteron" หมายถึง "ปีก, ครีบ" มีลักษณะสำคัญ คือ มีเกล็ดเล็กสามารถมองด้วยตาเปล่าเห็น อาศัยอยู่ตามลำธารบนภูเขาที่มีกระแสน้ำเชี่ยว ลำตัวเรียวยาว ใต้หัวและลำตัวตอนหน้าแบนราบ จะงอยปากกลมมน นัยน์ตาอยู่สูง จมูกมีข้างละ 2 คู่ จมูกแต่ละคู่มีแผ่นเนื้อเยื่อคั่น ปากโค้งเป็นรูปวงเดือน มุมปากแคบ ริมฝีปากหนา ขากรรไกรหนาและมีขอบแข็ง หน้าจะงอยปากมีหนวด 2 คู่ และที่มุมปาก 1 คู่ รวมเป็น 3 คู่ ครีบหลังสั้นอยู่ตรงข้ามกับครีบท้อง ครีบอกและครีบท้องอยู่ในแนวเดียวกัน ครีบอกมีก้านครีบเดี่ยว 2-5 ก้าน และก้านครีบแขนง 8-12 ก้าน ครีบท้องมีก้านครีบ 8-12 ก้าน ครีบหางเว้าลึก มีเส้นข้างลำตัวปรากฏให้เห็น ช่องเหงือกแคบและอยู่หน้าครีบอก สามารถแบ่งออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจิ้งจก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจิ้งจกสมิธ

ปลาจิ้งจกสมิธ หรือ ปลาผีเสื้อติดหินสมิธ (Smith's hillstream loach) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาค้อ (Balitoridae) เป็นปลาขนาดเล็ก มีส่วนหัวคล้ายจิ้งจก อันเป็นที่มาของชื่อ ครีบอกและครีบท้องแผ่กว้างใช้เกาะก้อนหินเพื่อพยุงตัวให้อยู่ในกระแสน้ำเชี่ยวได้ มีหนวด 3 คู่ คือ ที่จะงอยปาก 2 คู่ และมุมปาก 1 คู่ ลักษณะเด่นเฉพาะตัว คือ จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่หลังจุดเริ่มต้นของครีบท้อง และปลายครีบอกยาวเลยจุดเริ่มต้นของครีบท้อง ตามลำตัวมีแถบสีดำพาดขวางประมาณ 6 แถบ ครีบทุกครีบมีลายดำจาง ๆ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 6 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในลำธารหรือน้ำตกทั่วประเทศไทย จัดเป็นปลาที่พบได้ง่ายในวงศ์ปลาค้อ กินอาหารจำพวก แมลงน้ำและไรน้ำ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจิ้งจกสมิธ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจิ้งจอก

ปลาจิ้งจอก (Siamese algae eater, Siamese flying fox) เป็นชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) วงศ์ย่อย Garrinae มีรูปร่างลำตัวเพรียวทรงกระบอก หัวเรียว ตาเล็ก ปากเล็ก มีหนวดสั้น 1 คู่ มีแผ่นหนังคลุมด้านริมฝีปากบน ลำตัวสีน้ำตาลอ่อนเหลือบทอง และมีแถบสีคล้ำพาดยาวจากหัวถึงกลางครีบหาง ครีบสีจาง ครีบหางเว้าลึก มีขนาดความยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ใหญ่สุด 16 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่ในแม่น้ำสายใหญ่และลำธาร โดยเฉพาะที่เป็นแก่งและมีพรรณไม้หนาแน่น ในประเทศไทยพบเฉพาะที่ภาคใต้ที่เดียวเท่านั้น กินอาหารได้แก่ อินทรียสารและสัตว์หน้าดินขนาดเล็ก เป็นปลาที่พบชุกชุมบางฤดูกาล มีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามและนำไปทำเป็นฟิชสปาเช่นเดียวกับปลาในสกุล Garra.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจิ้งจอก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจุมพรวด

ปลาจุมพรวด หรือ ปลาตีนจุดฟ้า (Blue-spotted mudskipper, Boddart's goggle-eyed goby) เป็นปลากระดูกแข็งทะเลและน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) ในวงศ์ย่อยปลาตีน (Oxudercinae) มีรูปร่างเหมือนปลาตีนทั่วไป โดยมีจุดเด่น คือ มีลำตัวสีเข้มจนเกือบดำ และมีจุดสีฟ้ากระจายอยู่ทั่วตัว ซึ่งเชื่อว่าแถบสีข้างลำตัวนี้ สามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ของปลาในตอนนั้นได้อีกด้วย หากช่วงเวลาไหนอารมณ์ดีรู้สึกปลอดภัย แถบสีก็จะเห็นเด่นชัด แต่ถ้าหากอยู่ในอารมณ์ตื่นตกใจ แถบสีข้างลำตัวก็จะจางจนบางครั้งแทบมองไม่เห็น เป็นปลาตีนขนาดเล็ก มีขนาดความยาวประมาณ 6-8 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุดได้ถึง 22 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในป่าชายเลนที่เป็นพื้นโคลนเลนตั้งแต่อ่าวเปอร์เซีย, อินโด-แปซิฟิก, อินเดีย, จีนตอนเหนือ จนถึงนิวกินี เป็นปลาตีนอีกชนิดหนึ่ง ที่ถูกจับมากินโดยคนพื้นถิ่น และจับเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจุมพรวด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจีด

ปลาจีด หรือ ปลาเมง ในภาษาใต้(Stinger catfish, Heteropneustid catfish, Airsac catfish) เป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดในอันดับปลาหนังจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Heteropneustidae (/เฮท-แอร์-โอ-นิวส์-ทิ-ดี้/) มีเพียงสกุลเดียว คือ Heteropneustes (/เฮท-แอร์-โอ-นิวส์-ทิส/) มีรูปร่างคล้ายปลาใน วงศ์ปลาดุก (Clariidae) แต่มีลำตัวยาวเรียวและแบนข้างกว่ามาก ส่วนหัวแบนลาดลงข้างล่าง ปากเล็ก ตาเล็ก มีหนวดค่อนข้างยาว 4 คู่รอบปาก ครีบหลังมีขนาดเล็ก อยู่ตรงกับครีบท้อง ครีบหูมีก้านครีบที่เป็นหนามแหลมหนึ่งอัน มีพิษแรงกว่าปลาดุกมาก ครีบก้นเป็นแผง ครีบหางกลมมน ไม่มีครีบไขมัน ครีบก้นเล็ก ตัวมีสีดำคล้ำหรือสีน้ำตาลอมแดง และอาจมีแถบสีขาวจางบนข้างลำตัวข้างละ 1-2 แถบตามความยาวลำตัว นอกจากนี้แล้วปลาจีดยังมีอวัยวะช่วยหายใจที่แตกต่างไปจากปลาในวงศ์ Clariidae ชนิดและสกุลอื่น คือ มีท่อยื่นยาวจากช่องเหงือกไปทางด้านท้ายของลำตัว 1 คู่ Nelson, J. S.: Fishes of the World, John Wiley & Sons, Inc., p, 2006 ISBN 0-471-25031-7 ปลาจีดพบได้ในทุกแหล่งน้ำทั่วประเทศไทย รวมทั้งพบในประเทศใกล้เคียง ตั้งแต่ อินเดีย, ปากีสถาน, ศรีลังกา, พม่า จนถึงมาเลเซียและอินโดนีเซียด้วย สำหรับในประเทศไทย ใกล้สูญพันธุ์แล้วในภาคกลาง แต่ในภาคใต้ยังพบมากอยู่ และมีการนิยมเพาะเลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจด้วยการผสมเทียมในบ่อเลี้ยง ปลาจีดจะแพร่พันธุ์วางไข่ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน โดยแม่ปลาที่มีน้ำหนักตัว 70-100 กรัม สามารถวางไข่ได้ประมาณ 2,500-4,000 ฟอง โดยไข่มีลักษณะเป็นไข่จมน้ำและมีสภาพเกาะตัวติดกัน นอกจากนี้แล้ว ปลาจีดยังถูกนิยมรวบรวมปลาวัยอ่อนที่พบในธรรมชาติ เลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจีด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจีดอินเดีย

ปลาจีดอินเดีย หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า ปลาจีด (Stinger catfish, Airsac catfish) ปลาน้ำจืดในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heteropneustes fossilis ในวงศ์ Heteropneustidae จัดเป็นหนึ่งในชนิดที่อยู่ในสกุล Heteropneustes ซึ่งมีพบขณะนี้เพียง 2 ชนิดเท่านั้น (อีกชนิดหนึ่งนั้นคือ H. kemratensis) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายปลาจีดชนิด H. kemratensis เพียงแต่ปลาจีดชนิดนี้ จะมีแถบสีขาวจางบนข้างลำตัวข้างละ 1-2 แถบตามความยาวลำตัว ซึ่งดูแล้วจะมีสีคล้ำกว่า ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้มีขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1 ฟุต และมีน้ำหนักประมาณ 60-120 กรัม นอกจากนี้แล้วยังสามารถพบได้กว้างขวางกว่า กล่าวคือ พบได้แต่ตั้งแต่อินเดีย, พม่า, ศรีลังกา จนถึงกลุ่มประเทศอินโดจีน รวมถึงในลุ่มน้ำเจ้าพระยา, ลุ่มน้ำน่าน และลุ่มน้ำโขง ในประเทศไทย ปลาจีด นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาเศรษฐกิจในภาคใต้ของไทย โดยมีชื่อเรียกในภาษาใต้ว่า "ปลาเมง" และยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจีดอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจีดเขมราฐ

ปลาจีดเขมราฐ เป็นปลาน้ำจืดในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) ในวงศ์ปลาจีด (Heteropneustidae) ปลาจีดเขมราฐ มีลักษณะลำตัวคล้ายปลาดุกที่อยู่ในสกุล Clarias แต่มีส่วนหัวที่แบนราบกว่า ตาและปากมีขนาดเล็ก มีหนวดยาว 4 คู่ ด้านหลังมีครีบหลังอันเล็ก ไม่มีครีบไขมันเช่นปลาในอันดับปลาหนังอื่น ๆ ครีบก้นยาว ครีบหางมีขนาดเล็กและปลายมน ครีบอกมีก้านแข็งแรงและแหลมคม ลำตัวมีสีน้ำตาลแดง ท้องสีขาวจาง และข้างลำตัวมีแถบสีขาวจาง ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 15 เซนติเมตร พบใหญ่สุดได้ถึง 1 ฟุต นิยมอยู่เป็นฝูงใหญ่ โดยที่ครีบอกมีพิษที่ร้ายแรงกว่าปลาดุกในสกุล Clarias พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น แม่น้ำและหนองคลองบึงต่าง ๆ ในภาคกลาง, ภาคอีสานและภาคใต้ของประเทศไทย โดยมีชื่อเรียกในภาษาใต้ว่า "ปลาเมง" นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาเศรษฐกิจในบ่อในภาคใต้ เนื้อมีรสชาติอร่อย ขณะที่สถานภาพของปลาที่พบในธรรมชาติของภาคกลาง ใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาจีดเขมราฐ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาจ่าเอก

ำหรับปลาตะกรับอย่างอื่น ดูที่: ปลาตะกรับ ปลาจ่าเอก หรือ ปลาตะกรับทะเล หรือ ปลาสลิดหินบั้ง (Sergeant-major, Sergeant fishes) สกุลของปลาทะเลในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae) ใช้ชื่อสกุลว่า Abudefduf โดยชื่อมาจากภาษาอาหรับคำว่า "อาบู" (Abu) โดยแปลตรงตัวหมายถึง "พ่อ" แต่ไม่ได้เป็นความหมายในบริบทนี้ โดยชื่อในที่นี้หมายถึง "หนึ่งด้วย" และความหมายคำว่า "ด้าน" และมีพหูพจน์ในตอนท้ายคำว่า duf โดยรวมจึงมีความหมายว่า "ปลาหนึ่งตัวกับด้านที่โดดเด่น".

ใหม่!!: สัตว์และปลาจ่าเอก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทรงเครื่อง

ปลาทรงเครื่อง เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Epalzeorhynchos bicolor อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาทรงเครื่อง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทรงเครื่อง (สกุล)

ปลาทรงเครื่อง (Epalzeorhynchos) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะสำคัญทางอนุกรมวิธาน คือ เป็นปลาขนาดเล็ก รูปร่างเพรียวทรงกระบอก แบนข้างเล็กน้อย หัวเป็นทรงกรวย จะงอยปากมีติ่งเนื้อยื่นออกมาสองข้าง ปลายติ่งเนื้อนี้สามารถกระดิกได้ หนังที่จะงอยปากติดเป็นแผ่นเดียวกับริมฝีปากบน มีขอบหยักเป็นชายครุย และคลุมช่องปากในขณะที่หุบปาก มีหนวด 1-2 คู่ ช่องเหงือกแคบอยู่ค่อนไปทางท้อง เยื่อขอบกระดูกแก้มติดต่อกับกล้ามเนื้อคาง มีฟันที่คอ 3 แถว ครีบหลังสั้นไม่มีก้านครีบแข็ง จุดเริ่มของครีบหลังอยู่ล้ำหน้ากึ่งกลางลำตัว และมีก้านครีบแขงประมาณ 10-13 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแขนง 5 ก้าน เป็นปลาที่มักหากินอยู่ตามพื้นท้องน้ำ โดยแทะเล็มกินตะไคร่น้ำ, สาหร่าย หรืออินทรียสารต่าง ๆ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามและบริโภคกันเป็นปลาเศรษฐกิจ ปลาในสกุลนี้มีความคล้ายคลึงกับปลาในสกุล Crossocheilus, Garra และ Labeo มาก โดยถือว่าอยู่วงศ์ย่อยหรือเผ่าเดียวกัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทรงเครื่อง (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทอง

ปลาทอง หรือ ปลาเงินปลาทอง (goldfish) เป็นปลาน้ำจืด อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนและญี่ปุ่น เดิมใช้บริโภค ต่อมาถูกพัฒนาสายพันธุ์มาไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี จนกลายเป็นปลาสวยงามในปัจจุบัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทอง (สกุล)

ปลาทอง (Goldfish, Common carp, Crucian carp) เป็นสกุลของปลาน้ำจืด ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Carassius (/คา-ราส-สิ-อัส/) ในวงศ์ย่อย Cyprininae เป็นปลาที่มนุษย์คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เหมือนกับปลาในสกุล Cyprinus ที่เดิมอยู่รวมอยู่ด้วยกันมาก่อน ในฐานะของปลาที่เป็นปลาใช้ในการบริโภค และต่อมาได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีรูปร่าง และสีสันสวยงามมากขึ้น เพื่อเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยชาวจีนเมื่อกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ปลาในสกุลนี้ มีรูปร่างทั่วไปเหมือนกับปลาในสกุล Cyprinus จุดที่แตกต่างกันคือ ไม่มีหนวดที่ริมฝีปาก และมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่เฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออก และบางส่วนในรัสเซียเท่านั้น ขณะที่บางชนิดเป็นปลาเฉพาะถิ่นพบได้เฉพาะทะเลสาบบิวะ ที่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทอง (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทองทะเล

ำหรับปลาน้ำจืดดูที่ ปลาทอง ปลาทองทะเล หรือ ปลากะรังจิ๋วสีทอง (Lyretail basslet, Sea goldie) ปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะรัง (Serranidae) จัดเป็นปลากะรังจิ๋วชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายปลาการ์ตูน มีครีบหลังต่อเนื่องกัน ครีบหางเว้าตื้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวตื้น ครีบอกเล็ก ลำตัวมีสีแดงหรือสีชมพู มีแถบสีแดงพาดตั้งแต่ปลายปากผ่านตาถึงข้างแก้ม ครีบมีขลิบสีฟ้า และครีบอกมีแต้มสีแดง เป็นปลาที่มีความแตกต่างระหว่างเพศสูง โดย ตัวผู้ ที่ครีบหลังตอนหน้ามีก้านครีบยาวเป็นเส้น มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 8 เซนติเมตร และสามารถโตเต็มที่ได้ถึง 15 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่ใกล้กองหินหรือแนวปะการังก้อนใหญ่ หรือตามกิ่งก้านของกัลปังหา ในความลึกตั้งแต่ 2-20 เมตร โดยที่มีตัวผู้เป็นจ่าฝูง โดยจะมีตัวเมียนับร้อย และมีปลาเพศผู้อยู่ 1-2 ตัวเท่านั้น และเมื่อปลาตัวผู้มีอันเป็นไป ปลาตัวเมียในฝูงจะเปลี่ยนเพศกลายเป็นปลาตัวผู้ทันที ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงจะเกิดภายในเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ เป็นปลาที่กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร และมีอัตราการเผาพลาญพลังงานสูงมาก เป็นปลาที่มักอยู่ไม่นิ่ง จะว่ายน้ำไปมาตลอด นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทองทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทองทะเลหลังสีเหลือง

ปลาทองทะเลหลังสีเหลือง ปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะรัง (Serranidae) เป็นปลาทองทะเลชนิดหนึ่ง มีลักษณะเด่น คือ ลำตัวสีน้ำเงินมีด้านหลังสีเหลือง มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ในแนวปะการัง บางครั้งอาจพบรวมฝูงกับปลากล้วยฟ้าครีบเหลือง หรือปลาข้างเหลือง (Caesio teres) วัยอ่อน ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันจนยากจะแยกแยะ แต่ปลาทองทะลหลังสีเหลืองมีความตื่นตกใจต่อสัตว์นักล่ามากกว่า เมื่อตกใจจะหลุบหลบเข้าไปใต้กองหินหรือปะการัง เมื่ออันตรายผ่านพ้นไปแล้วค่อยโผล่ออกมารวมฝูงกันใหม่ ขณะที่ปลากล้วยฟ้าครีบเหลืองไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้น ตัวผู้มีตัวเมียในฮาเร็มจำนวนมาก บางครั้งอาจถึง 10 ตัว ในแต่ละอาณาเขต บางครั้งเมื่อมีตัวผู้จากอาณาเขตอื่นล่วงล้ำเข้ามาก็จะมีการทะเลาะวิวาทกัน เป็นปลาที่กินแพลงก์ตอนที่ลอยตามกระแสน้ำเป็นอาหาร ด้วยการอ้าปากรอ พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในมหาสมุทรอินเดีย ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลของแอฟริกาตะวันออก, มัลดีฟส์, ทะเลแดง, ทะเลอันดามัน ไปจนถึงหมู่เกาะโคโคส และเกาะคริสต์มาสของออสเตรเลีย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทองทะเลหลังสีเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทาทูเอีย

ปลาทาทูเอีย หรือชื่อที่นิยมเรียกกันในวงการปลาสวยงามว่า ปลาอามาทัสหางแดง (Tatauaia, Red-tailed payara) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hydrolycus tatauaia จัดอยู่ในวงศ์ปลาฟันสุนัข (Cynodontidae) มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับปลาในสกุลเดียวกันคือ Hydrolycus ชนิดอื่น ๆ มาก เช่น ปลาสคอมบิรอยด์ (H. scomberoides) หรือ ปลาอามาทัส (H. armatus) แต่ทว่า ปลาทาทูเอียจะมีส่วนหัวหรือปากที่เชิดขึ้นน้อยกว่าปลาสคอมบิรอยด์ แต่มากกว่าปลาอามาทัส ลำตัวเพรียวยาวกว่าปลาสคอมบีรอยด์ แต่ก็ไม่เท่าปลาอามาทัส ส่วนท้องโย้ลงมาด้านล่างเป็นสันน้อยกว่าปลาสคอมบีรอยด์ แต่ก็มากกว่าปลาอามาทัส การทรงตัวในน้ำส่วนหัวจะทิ่มลงน้อยกว่าปลาสคอมบีรอยด์ แต่ก็มากกว่าปลาอมาทัสซึ่งมักจะทรงตัวเป็นแนวราบมากกว่า อีกทั้งมีดวงตาที่กลมโตกว่า อีกทั้งปลาในสกุลนี้ เมื่อยังเล็ก จะมีสีสันและลักษณะคล้ายคลึงกันมาก ยากแก่การแยกแยะ โดยที่ปลาทาทูเอียจะคงสีครีบและหางเป็นสีส้มแดงจนถึงวัยเติบโตเต็มที่ ขณะที่ยังเป็นปลาวัยรุ่นครีบต่าง ๆ จะเป็นสีทอง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 45.5 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในลุ่มน้ำอเมซอน ตอนบนของแม่น้ำโอรีโนโกแถบประเทศบราซิล, โคลอมเบีย และกายอานา นิยมตกกันเป็นเกมกีฬาและเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งในบางครั้งอาจพบปะปนกันมาพร้อมกันทั้ง 3 ชนิด และขายในชื่อและราคาเดียวกัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทาทูเอีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทุงงะ

ปลาทุงงะ หรือ ปลาแป้งแช่ ในภาษาเหนือแถบดอยหัวมด (ดอยหัวหมด อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก) เป็นปลาน้ำจืดจำพวกปลาพลวงขนาดกลางชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Neolissochilus dukai จัดเป็นหนึ่งในแปดชนิดของปลาพลวงที่พบได้ในประเทศไทย มีลำตัวยาวเรียว แบนข้าง ปากเล็กอยู่ตํ่า บริเวณหัวตอนหน้าหรือก่อนถึงตามีตุ่มเนื้อขนาดเล็กกระจายอยู่ เกล็ดใหญ่ มีจุดสีดำที่โคนครีบหางเห็นได้ชัดในปลาขนาดเล็ก พบอาศัยอยู่ตามเขตต้นนํ้าลำธารบริเวณภูเขาทั่วประเทศไทย และพบได้ในประเทศข้างเคียง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทุงงะ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทู

ปลาทู, ปลาทูตัวสั้น หรือ ปลาทูสั้น เป็นปลาทูชนิดที่ชาวไทยนิยมบริโภคมากที.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทู (สกุล)

ปลาทู (Rastrelliger) เป็นสกุลปลาทะเลสกุลหนึ่งในวงศ์ปลาอินทรี (Scombridae) ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับปลาอินทรี, ปลาโอ และปลาทูน่า มีพฤติกรรมมักอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงบริเวณกลางน้ำถึงผิวน้ำ ตั้งแต่บริเวณชายฝั่งจนถึงระดับความลึก 200 เมตร ในน่านน้ำไทยพบทั้งหมด 3 ชนิด ปลาในสกุลนี้เป็นปลาที่ผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นอาหารทะเลหลักของคนไทยมาช้านาน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทู (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทูปากจิ้งจก

ปลาทูปากจิ้งจก เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่งในสกุลปลาทู (Rastrelliger) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลาลังหรือปลาทูโม่ง (R. kanagurta) แต่มีขนาดความยาวเท่าปลาทู (R. neglectus) ความกว้างของลำตัวน้อยกว่าปลาลัง ปากแหลม ด้านบนลำตัวมีสีน้ำเงิน แวววาว ด้านท้องมีสีขาวเงิน มีความยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในน่านน้ำไทยทั้งด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน โดยกินแพลงก์ตอนเป็นอาหารในระดับผิวน้ำและกลางน้ำ ปลาทูปากจิ้งจกมีเนื้อหยาบแข็ง รสชาติไม่อร่อย ดังนั้นจึงไม่เป็นที่นิยมรับประทาน แต่บางครั้งอาจพบเห็นขายปะปนมากับปลาทูชนิดอื่น ๆ โดยรายงานขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) รายงานว่าปลาทูปากจิ้งจกไม่ใช่ปลาเศรษฐกิจ แต่ในรายงานของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (ไอยูซีเอ็น) รายงานว่าในแต่ละปีมีการจับรวมเป็นน้ำหนักมากกว่า 800,000 ตัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทูปากจิ้งจก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทูน่า

ปลาทูน่า หรือ ปลาโอ (tuna; マグロ) เป็นปลาทะเลกลุ่มหนึ่ง ในเผ่า Thunnini วงศ์ Scombridae โดยเฉพาะในสกุล Thunnus จัดเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญมาก เนื้อของปลาทูน่าจะมีสีชมพูหรือแดงเข้ม ต่างจากปลาทั่วไปที่มักจะมีเนื้อสีขาว นิยมเอามาทำเป็นปลากระป๋อง หรือปรุงสดต่าง ๆ เช่น ซาชิมิ ปลาทูน่า มีลักษณะรวม คือ อาศัยอยู่เป็นฝูงในทะเลหรือมหาสมุทรห่างจากชายฝั่ง มีรูปร่างเพรียวคล้ายกระสวย บริเวณฐานครีบหูมีกลุ่มเกล็ดเล็ก ๆ ครีบหางเว้าลึก เป็นปลาที่ว่ายน้ำได้รวดเร็วว่องไวมาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทูน่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทูน่าครีบยาว

ปลาทูน่าครีบยาว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Thunnus alalunga) หรือชื่อการตลาดในสหรัฐอเมริกาคือ ปลาทูน่าเนื้อขาว (white meat tuna) เป็นปลาทูน่าที่พบในแหล่งน้ำเปิดและมหาสมุทรทุกเขตและทุกอุณหภูมิ รวมถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นหนึ่งในวัตถุดิบอาหารที่ได้รับรางวัลและยังถือเป็นปลาเศรษฐกิจพันธุ์หนึ่ง ในฤดูการผสมพันธุ์ ตัวเมียจะวางไข่คราวละ 800,000 ถึง 2.6 ล้านฟอง ซึ่งจะฟังตัวภายในหนึ่งหรือสองวัน ภายหลังฟักตัวแล้ว ตัวอ่อนก็จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ในช่วงปีแรกจะอาศัยอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่พวกมันฟักตัว หลังจากอายุได้หนึ่งปีพวกมันก็จะเริ่มอพยพ ปลาทูน่าครีบยาวมีอายุไขราว 11-12 ปี โดยจะเริ่มสืบพันธุ์เมื่อมีอายุราว 5-6 ปี ปลาทูน่าครีบยาวตัวโตเต็มวัยมีขนาดตัวเฉลี่ย 90–100 เซนติเมตร และอาจมีน้ำหนักได้ถึง 40 กิโลกรัม ลำตัวมีสีขาวออกเงิน ส่วนหลังมีสีน้ำเงินเข้ม มีครีบส่วนหลังเป็นสีเหลืองเข้ม ในบางพื้นที่ พวกมันมักจะอาศัยอยู่ในในระดับน้ำลึกกว่า 200 เมตรในตอนกลางวัน และอาศัยอยู่บริเวณผิวน้ำในตอนกลางคืน แต่ในบางพื้นที่ พวกมันก็อาศัยอยู่ใกล้ผิวน้ำตลอดวัน พวกมันเป็นปลาประเภทที่ไม่นอนหลับ เนื่องจากต้องขยับตัวตลอดเวลาเพื่อให้ได้ออกซิเจนเพียงพอ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทูน่าครีบยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือ

ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือ หรือ ปลาทูน่ายักษ์ (Northern bluefin tuna, Atlantic bluefin tuna, Giant blufin tuna; タイセイヨウクロマグロ) ปลาทะเลกระดูกแข็งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาอินทรี (Scombridae) จัดเป็นปลาโอหรือปลาทูน่าชนิดหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรเขตอบอุ่นระหว่างละติจูดที่ 5-50 องศาเหนือ สามารถอยู่อาศัยบริเวณผิวน้ำในระยะอุณหภูมิกว้างมากพบการแพร่กระจายบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกฝั่งตะวันตกและมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันออก มีลักษณะพิเศษที่เห็นได้เด่นชัดคือ ความกว้างที่สุดของลำตัวปลาอยู่ทางตอนต้นของครีบหลังอันที่หนึ่ง ตัวค่อนข้างอ้วนสั้น หัวโต ตาโต ครีบหลังแยกออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน ที่คอดหางมีสีดำ มีขนาดความยาวที่สุดมากกว่า 300 เซนติเมตร แต่ที่พบทั่วไปมีขนาด 200 เซนติเมตร โดยตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่บันทึกได้ คือ ยาว 458 เซนติเมตร และมีน้ำหนักถึง 684 กิโลกรัม มีอายุยืนยาวกว่า 30 ปี และเป็นสัตว์เลือดอุ่น เพราะร่างกายมีระบบปรับอุณหภูมิอย่างยอดเยี่ยม สามารถดูดซึมออกซิเจนไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงสูง มีกลไกการทำงานของหัวใจที่ยอดเยี่ยม จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือ นั้นเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับปลาทูน่าชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น เป็นปลาที่ชาวญี่ปุ่นทำการประมงมานานกว่า 5,000 ปี โดยชาวพื้นเมืองชาวไฮดาในแถบแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือหน้า 18 เรื่องเล่าจากต่างแดน, ราชาแห่งมัจฉ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทูน่าครีบเหลือง

ปลาทูน่าครีบเหลือง (Yellowfin tuna, Allison's tuna, Pacific long-tailed tuna, Yellowfinned albacore) ปลาทะเลกระดูกแข็งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาอินทรี (Scombridae) จัดเป็นปลาทูน่าหรือปลาโอที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง แต่เล็กกว่าปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือ (T. thynnus) และปลาทูน่าครีบน้ำเงินแปซิฟิค (T. orientalis) พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่น ระหว่างละติจูดที่ 40 องศาเหนือ ถึง 40 องศาใต้ มักชอบว่ายน้ำตั้งแต่ผิวน้ำจนถึงความลึกประมาณ 300 เมตร ในระดับอุณหภูมิ 18-31 องศาเซลเซียส มีลักษณะพิเศษที่เห็นได้ชัดคือ ความกว้างที่สุดของลำตัวปลาอยู่บริเวณกึ่งกลางของครีบหลังอันแรก ครีบหลังอันแรกแยกออกจากครีบหลังอันที่สองอย่างชัดเจน ครีบหูมีความยาวถึงกึ่งกลางของฐานครีบหลังอันที่สองในปลาทูน่าขนาดใหญ่ ครีบหลังอันที่สองและครีบก้นมีขนาดยาวมาก (ยาวกว่าความยาวของครีบหลังร้อยละ 20) เมื่อผ่าท้องออกดูจะพบว่าด้านล่างของตับจะไม่ลาย ด้านหลังเป็นสีน้ำเงินดำ แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง และสีน้ำเงินด้านล่างของลำตัว ปลาทูน่าครีบเหลืองขนาดใหญ่ขนาดใหญ่จะพบจุดสีเข้มเป็นแถวตามแนวดิ่งประมาณ 20 แถว ครีบหลังและครีบก้นมีสีเหลืองสด มีครีบเล็กสีเหลืองจำนวน 7-10 คู่ และที่ปลายของครีบเล็กจะเป็นสีดำ ขนาดเมื่อโตเต็มที่มีความยาวมากกว่า 2 เมตร (วัดจากปากถึงเว้าครีบหาง) และมีหน้ำหนักได้ถึง 200 กิโลกรัม แต่ที่พบทั่วไปมีขนาด ประมาณ 0.5-1.5 เมตร เริ่มเข้าสู่ภาวะโตเต็มวัยเมื่อมีความยาว 50-60 เซนติเมตร และร้อยละของปลาที่โตเต็มวัยจะสูงขึ้นเมื่อมีความยาวมากกว่า 70 เซนติเมตร ปลาทูน่าครีบเหลืองทุกตัวจะอยู่ในภาวะโตเต็มวัยเมื่อมีความยาว มากกว่า 120 เซนติเมตร มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 9 ปี ไข่เป็นลักษณะไข่ลอยไปตามกระแสบนผิวน้ำ เมื่อฟักเป็นตัวใช้เวลา 2 ปี จึงจะมีสภาพโตเต็มที่ ลูกปลาแรกฟักมีความยาว 3 มิลลิเมตร ถึงแม้จะว่ายน้ำได้ แต่ก็ไม่คล่องแคล่ว จนกระทั่งอีกหลายปสัดาห์ต่อมาจึงสามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ลูกปลาวัยอ่อนไม่สามารถที่จะปกป้องตัวเองได้ จึงตกเป็นอาหารของสัตว์นักล่าต่าง ๆ เสมอ ปลาทูน่าครีบเหลืองเป็นปลาที่นิยมรับประทานสด และเป็นวัตถุดิบในการทำปลากระป๋อง จัดเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญมากอีกชนิดหนึ่ง อุปกรณ์ในการประมงที่ใช้ในการจับ คือ อ้วนล้อม, เบ็ดตวัด, อวนลอย และเบ็ดราว มีราคาซื้อขายสูงถึงกิโลกรัมละ 2,000 บาท เป็นปลาที่มีส่วนที่เป็นเนื้อแดงเยอะ ที่เรียกกันในภาษาญี่ปุ่นว่า "ชูโทะโระ" (中とろ).

ใหม่!!: สัตว์และปลาทูน่าครีบเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทูน่าแท้

ปลาทูน่าแท้ (true tuna, real tuna) เป็นสกุลของปลาทะเลขนาดใหญ่สกุลหนึ่ง จำพวกปลาทูน่า ใช้ชื่อสกุลว่า Thunnus จัดอยู่ในวงศ์ปลาอินทรี (Scombridae) ปลาทูน่าแท้เป็นปลาที่มีวิวัฒนาการชั้นสูง ทำให้มีรูปร่างปราดเปรียวเพรียวยาวเหมือนตอร์ปิโด ลำตัวสีเงินแวววาว ถือเป็นปลาที่เป็นสัตว์เลือดอุ่น มีเหงือกมีขนาดใหญ่ ร่างกายมีระบบปรับอุณหภูมิที่ดีเยี่ยม สามารถดูดซึมออกซิเจนไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงสูง และมีกลไกการทำงานของหัวใจที่ดีเยี่ยม มีครีบแข็งทรงโค้งทั้งครีบทวารและครีบหลังอันที่สอง ส่วนครีบหางที่ใช้แหวกว่ายหักเลี้ยวได้อย่างว่องไวเป็นตัวขับเคลื่อนไปข้างหน้า ด้วยสรีระดังกล่าว จึงทำให้ปลาทูน่าแท้เป็นปลาที่ว่ายน้ำได้เร็วมากกลุ่มหนึ่งในมหาสมุทร โดยสามารถทำความเร็วไปข้างหน้าได้ราว 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสูงถึงเกือบ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 70-74 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นรองเพียงปลากระโทงแทง ซึ่งเป็นปลาที่ว่ายน้ำได้เร็วที่สุดในโลกเท่านั้นซึ่งคำว่า Thunnus นั้นมาจากคำ 2 คำในภาษาละตินหรือภาษากรีกโบราณคำว่า θύννος (thýnnos) แปลว่า “ปลาทูน่า” และ θύνω (thynō) แปลว่า "ที่พุ่ง; ที่โผ" ทั้งหมดเป็นปลาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเป็นปลาเศรษฐกิจ ทั้งในการประมงและตกเป็นเกมกีฬา มีราคาซื้อขายกันที่สูงมาก และสามารถปรุงเป็นอาหารต่าง ๆ ได้หลากหลายทั้งรับประทานเนื้อสด ๆ แบบปลาดิบของญี่ปุ่น และปรุงเป็นเมนูอาหารต่าง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทูน่าแท้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทูน่าเขี้ยวหมา

ปลาทูน่าเขี้ยวหมา หรือ ปลาโอฟันหมา (Dogtooth tuna, Scaleless tuna) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาอินทรี (Scombridae) จัดเป็นปลาโอ หรือปลาทูน่าชนิดหนึ่ง ที่มีเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในสกุล Gymnosarda มีรูปร่างเพรียวยาวเป็นทรงกระสวยหรือตอร์ปิโดป้อม ครีบหลังตอนท้ายคล้ายกับของปลาทู ครีบหางเว้าลึก โคนครีบมีสันเล็ก ๆ ผิวเรียบ บริเวณครีบอกมีแถบเกล็ดหนา ครีบอกมีขนาดเล็ก ลำตัวสีเงินอมฟ้า มีลายเส้นสีคล้ำที่ด้านท้าย ด้านท้องสีจาง ครีบสีคล้ำ มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ย 100 เซนติเมตร หรือ 1 เมตร โตเต็มที่ได้ถึง 160 เซนติเมตร หรือ 1.6 เมตร เป็นปลาที่อาศัยอยู่ลำพังเพียงตัวเดียวหรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในระดับกลางน้ำในทะเลเปิดในแนวปะการังที่ค่อนข้างลึก หรือข้างเกาะ พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ในน่านน้ำไทยพบได้เฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน เป็นปลาที่พบได้น้อย นิยมตกเป็นเกมกีฬา และบริโภคเป็นปลาเศรษฐก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทูน่าเขี้ยวหมา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาทูแขก

ปลาทูแขก (mackerel scad, round scad, horse mackerel) เป็นปลาทะเลสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Decapterus (/ดี-แคป-เท-รัส/) จัดอยู่ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) มีรูปร่างเรียวยาว แต่ตัวกลมเนื้อหนาแน่น มีเกล็ดหนามแข็งที่โคนหางอันเป็นเอกลักษณะเฉพาะตัวของปลาในวงศ์ปลาหางแข็ง ดูเผิน ๆ คล้ายกับปลาลัง (Rastrelliger kanagurta) หรือปลาทูปากจิ้งจก (R. faughni) ที่อยู่ในวงศ์ปลาอินทรี (Scombridae) เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมเป็นฝูง พบกระจายพันธุ์ทั่วโลก เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่รับประทานสดจะไม่อร่อย จึงนิยมใช้ทำปลากระป๋องแทนปลาซาร์ดีนหรือปลาทู.

ใหม่!!: สัตว์และปลาทูแขก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาที่มีก้านครีบ

ปลาที่มีก้านครีบ (Ray-finned fishes) เป็นชั้นย่อยของปลากระดูกแข็ง (Osteichthyes) ชั้นหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Actinopterygii (/แอก-ติ-โน-เทอ-ริ-กิ-ไอ/) เป็นปลาที่เคลื่อนไหวโดยอาศัยครีบและกล้ามเนื้อลำตัวเป็นสำคัญ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ก้านครีบแข็ง และก้านครีบอ่อน ซึ่งปลาส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จะถูกจัดอยู่ในชั้นนี้ บรรพบุรุษของปลาในชั้นนี้จะมีขนาดเล็ก มีเกราะหุ้มตัวหนา มีปอดและเหงือก ชื่อ Andreolepis hedei โดยพบเป็นฟอสซิลอยู่ในยุคปลายซิลลูเรียนเมื่อกว่า 420 ล้านปีก่อนที่รัสเซีย, สวีเดน และเอสโตเนีย ปลาชั้นนี้มีการวิวัฒนาการอยู่ 3 ขั้นตอน คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาที่มีก้านครีบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาที่มีครีบเป็นพู่

ปลาที่มีครีบเป็นพู่ หรือ ปลาครีบเป็นพู่ (Lobe-finned fishes) เป็นปลาที่อยู่ในชั้นใหญ่ Sarcopterygii (มาจากภาษากรีกคำว่า σαρξ (sarx), "เนื้อ" และ πτερυξ (pteryx), "ครีบ") หรือในบางครั้งอาจใช้ชื่อว่า Crossopterygii (แปลว่า "Fringe-finned fish", มาจากภาษากรีก κροσσός krossos, "ชายขอบ") เป็นปลาที่มีลักษณะแตกต่างจากปลาในชั้นอื่น ๆ คือ มีเกล็ดเป็นแบบ Cosmoid มีลักษณะเฉพาะ คือ ครีบที่บริเวณหน้าอกวิวัฒนาการจากครีบธรรมดา ๆ มาเป็นเสมือนอวัยวะที่ใช้เคลื่อนไหวได้เหมือนการเดินในน้ำ โดยลักษณะของครีบจะเป็นพู่เนื้อหรือเนื้อเยื่อ มีความแข็งแรงมาก โดยมีแกนกระดูก จึงเป็นเสมือนรอยต่อของการวิวัฒนาการของปลาซึ่งเป็นสัตว์น้ำอาศัยอยู่ในน้ำได้อย่างเดียว ขึ้นมาอยู่บนบกกลายเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำก่อนจะวิวัฒนาการเป็นสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ในชั้นอื่น ๆ ต่อไป ปลาที่มีครีบเป็นพู่ ถือกำเนิดมาในยุคซิลูเรียนตอนปลาย (418 ล้านปีก่อน) ในทะเลและค่อยคืบคลานสู่แหล่งน้ำจืดที่มีลักษณะเป็นหนองหรือคลองบึง สันนิษฐานว่าการที่พัฒนาเช่นนี้ คงเป็นเพราะต้องการหนีจากปลาที่เป็นปลากินเนื้อขนาดใหญ่ที่ครองพื้นที่ทะเลในขณะนั้น เช่น ดังเคิลออสเตียส เป็นต้น ปัจจุบัน ปลาในชั้นนี้ได้สูญพันธุ์หมดแล้ว คงเหลือไว้เพียง 2 จำพวกเท่านั้น คือ ปลาซีลาแคนท์ ที่ครั้งหนึ่งเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว กับปลาปอด ที่กลายมาเป็นปลาน้ำจืดอย่างถาวร และได้มีพัฒนาถุงลมที่ใช้ในการว่ายน้ำและทรงตัวเหมือนปลาทั่วไป กลายเป็นอวัยวะที่ใช้ในการหายใจคล้ายกับปอดของสัตว์บก สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้เป็นอย่างดี จึงทำให้อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่คุณภาพน้ำแย่ มีปริมาณออกซิเจนต่ำได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาที่มีครีบเป็นพู่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาท่องเที่ยว

ปลาท่องเที่ยว เป็นสกุลของปลาทะเลจำพวกปลาตีน ในสกุล Parapocryptes พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย โดยคำว่า Parapocrytes มาจากภาษากรีกคำว่า παρά (para) แปลว่า "ใกล้", από (apo) แปลว่า "ระยะทาง" และ kρυπτος (kryptos) แปลว่า "ซ่อน" ขณะที่ชื่อสามัญในประเทศไทย "ปลาท่องเที่ยว" เป็นชื่อในภาษาถิ่นของจังหวัดสงขลา ที่มาจากพฤติกรรมของปลาสกุลนี้ที่ไม่มักไม่ค่อยอยู่ประจำที.

ใหม่!!: สัตว์และปลาท่องเที่ยว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาขวาน

ปลาขวานทะเลลึก (Deep Sea Hatchetfish) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ปลาขวานนั้น ชื่อก็บอกอย่างตรงตัวแปลว่า ขวานด้ามเล็ก ๆ ซึ่งถูกตั้งมาจากลักษณะของตัวมันที่มองแล้วคล้ายกับขวานอย่างชัดเจน ส่วนลักษณะลำตัวของมันจะบางคล้ายกับใบมีดของขวานด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาขวาน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาขาไก่

ปลาขาไก่ (blue sheatfish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) มีรูปร่างเพรียว ลำตัวแบนข้าง ส่วนหัวสั้น ปากเล็ก ตาโตอยู่ต่ำกว่ามุมปาก ส่วนหลังไม่ยกสูง มีหนวดยาว 2 คู่ หนวดที่ริมฝีปากยาวถึงบริเวณขอบฝาปิดเหงือก หนวดใต้คางสั้น ครีบหลังเล็กมากเห็นเป็นเส้นสั้น ๆ ครีบอกใหญ่มีก้านแข็งที่ยาวเกือบเท่าความยาวของครีบ ครีบก้นยาว มีหางเว้าตื้น ตัวมีสีเหลืองอ่อนเหลือบเขียว ตัวค่อนข้างใส ครีบสีจาง ขอบครีบก้นมีสีคล้ำเช่นเดียวกับครีบหาง ครีบอกในตัวผู้ที่โตเต็มวัยมีสีคล้ำ มีความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 20 เซนติเมตร อาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่ มักย้ายถิ่นขึ้นมาในบริเวณน้ำหลากในฤดูฝน โดยกินอาหารได้แก่ แมลงและสัตว์น้ำขนาดเล็ก พบในแม่น้ำของทุกภาค ยกเว้นแม่น้ำสาละวิน บริโภคโดยการปรุงสด หรือนำมาทำเป็นปลาแห้ง ปลารมควัน นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย แค่ค่อนข้างเลี้ยงยาก เนื่องจากเป็นปลาขี้ตกใจ ตายง่าย ปลาขาไก่ มีชื่อเรียกที่เรียกกันหลากหลายแตกต่างกันออกไป เช่น "ปลาเพียว" ที่ภาคอีสาน "ปลากะปิ๋ว" ที่ จังหวัดปราจีนบุรี "ปลาปีกไก่" หรือ "ปลานาง" หรือ "ปลาดอกบัว" ในแถบแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูล หรือบางครั้งเรียก "ปลาหางไก่" หรือ "ปลาไส้ไก่" เป็นต้น ซึ่งนอกจากปลาชนิดนี้แล้ว ชื่อเหล่านี้ยังเป็นชื่อที่เรียกปลาชนิดอื่น ๆ ในสกุลเดียวกันที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาขาไก่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาขิ้ง

ปลาขิ้ง หรือ ปลาขิ่ง ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวแบนข้างเล็กน้อย หัวค่อนข้างโต ปากกว้างและริมฝีปากหนา มีหนวด 2 คู่ ตาโตอยู่ค่อนไปทางด้านบนของส่วนหัว ส่วนแก้มกว้างทำให้ส่วนหัวดูค่อนข้างสูง เกล็ดมีขนาดเล็กหลุดง่าย มีเกล็ดตามแนวเส้นข้างลำตัว 42-45 แถว ลำตัวสีเงินเจือชมพูอ่อน ๆ เหนือครีบอกมีแถบสีดำตามแนวตั้ง ครีบทุกครีบเป็นสีเหลืองอ่อน ปลายครีบหางมีแต้มสีแดงปนส้มทั้ง 2 แฉก มีความยาวเต็มที่ไม่เกิน 40 เซนติเมตร เป็นปลาที่กินพืชน้ำและตะไคร่น้ำเป็นอาหาร มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดเล็กในแหล่งน้ำไหล พบกระจายพันธุ์ในประเทศพม่า และแม่น้ำสาละวินซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่า จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวในสกุล Chagunius ที่พบได้ในประเทศไทย ค้นพบครั้งแรกทางวิทยาศาสตร์ที่ห้วยแม่ละเมา บ้านแม่ละเมา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ที่พิกัด 16°48’N, 98°44’E, โดยที่คำว่า Chagunius ดัดแปลงมาจากคำว่า "คากูนี (chaguni)" ซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่เรียกปลาสกุลนี้ในรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย และ baileyi ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักมีนวิทยาชาวอเมริกัน รีฟ เอ็ม. ไบเลย์ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาขิ้ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาขิ้ง (สกุล)

ปลาขิ้ง (Chagunius) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เดิมที ปลาในสกุลนี้ ฮิว แมคคอร์มิค สมิธได้ตั้งสกุลนี้ขึ้นมาโดยใช้ Cyprinus chagunio ที่พบในประเทศอินเดีย เป็นตัวแทนของสกุล มีลักษณะเด่น คือ หัวแบนข้าง มีหนวดยาว 2 คู่ ที่ริมฝีปากบน 1 คู่ และมุมปาก 1 คู่ โดนหนวดที่จมูกมีกล้ามเนื้อเป็นพู ซี่กรองเหงือกคู่แรกเป็นรูปสามเหลี่ยมมี 9 อัน ที่จะงอยปากและแก้มมีติ่งเนื้อขนาดเล็กลักษณะคล้ายหนวดสั้น ๆ ตัวผู้จะมีติ่งเนื้อมากกว่าตัวเมีย ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายเป็นหนามแข็งและขอบจักเป็นฟันเลื่อย ปัจจุบัน มีทั้งหมด 3 ชนิด พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในอินเดียและพม่า สำหรับประเทศไทยพบเพียงชนิดเดียวในลุ่มแม่น้ำสาละวิน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาขิ้ง (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาขี้ยอก

ปลาขี้ยอก หรือ ปลาหนามไผ่ เป็นสกุลของปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ที่ใช้ชื่อสกุลว่า Mystacoleucus (/มีส-ทา-โค-ลิว-คัส/) เป็นปลาในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างโดยรวมเหมือนปลาในวงศ์นี้ส่วนใหญ่ โดยมีรูปร่าวยาวปานกลาง ลำตัวค่อนข้างแบนมาก ท้องกลม หัวมีขนาดเล็ก นัยน์ตามีขนาดโต บนจะงอยปากมีรูพรุนเล็ก ๆ เรียงเป็นแถว ๆ ปากอยู่เกือบปลายสุด ริมฝีปากบาง บางชนิดมีหนวด 2 คู่ (จะงอยปาก 1 คู่ และมุมปาก 1 คู่) บางชนิดมีหนวด 1 คู่ (มุมปาก) บางชนิดไม่มีหนวด มีฟันที่ลำคอ 3 แถว เกล็ดมีขนาดปานกลาง เส้นข้างลำตัวสมบูรณ์และส่วนปลายไปสิ้นสุดที่กึ่งกลางของฐานครีบหาง หน้าครีบหลังมีก้านกระดูกเป็นหนามแหลม 1 ก้าน ครีบหลังอยู่ตรงข้ามฐานครีบท้อง ก้านครีบเดี่ยวก้านก้านสุดท้ายของครีบหลังเป็นหนามแข็ง และมีขอบจักเป็นฟันเลื่อย ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของสกุล อันเป็นที่มาของชื่อเรียก หรือในบางชนิดก็มีก้านครีบเดี่ยวนี้ไม่เป็นหนามแข็งและขอบเรียบ ก้านครีบแขนงของครีบหลังมี 8 หรือ 9 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแขนง 6-10 ก้าน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาขี้ยอก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาขี้ควาย

ปลาขี้ควาย หรือ ปลาขี้ขุย (Star-gazing stonefish, Stareye goblinfish.) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหิน (Synanceiidae) จัดว่าเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Trachicephalus มีตัวแบนข้างเล็กน้อย หัวสั้น ปากกว้างเชิดขึ้น ลำตัวมีรอยด่างสีนํ้าตาล มักมีจุดขาวประปราย ขอบครีบเป็นสีดำคลํ้า เงี่ยงมีพิษ ซ่อนตัวอยู่ตาม ซอกหินหรือพื้นท้องทะเล มีขนาดความยาวเต็มที่ 8 เซนติเมตร (3.1 นิ้ว) พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก มักอาศัยอยู่กับพื้นน้ำที่เป็นโคลนหรือเลน และอาจพบได้ตามปากแม่น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาขี้ควาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาขี้ตัง

ปลาขี้ตัง หรือ ปลาตะกรับ (Scats) เป็นปลาน้ำเค็มสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะกรับ (Scatophagidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Scatophagus (/สะ-แคท-โท-ฟา-กัส/) มีรูปร่างคล้ายปลาในวงศ์ปลาผีเสื้อ (Chaetodontidae) คือ รูปร่างกลมและแบนข้างมาก แต่จะงอยปากไม่ยื่นยาว ปากเล็ก ครีบหลังมีก้านครีบแข็งแหลมคม รวมถึงก้านครีบก้น ซึ่งก้านครีบดังกล่าวมีสารพิษ ที่อาจตำหรือแทงถูกมือของผู้ที่จับต้องได้ แต่ทว่าก็ก่อให้เกิดพิษน้อยมาก จำแนกออกได้เป็น 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาขี้ตัง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาขี้ตังเบ็ด

ปลาขี้ตังเบ็ด หรือ ปลาเซอร์เจี้ยน (Lancetfish, Surgeonfish, Tang) เป็นปลาทะเลกลุ่มหนึ่ง ในสกุล Acanthurus (/อะ-แคน-ทู-รัส/) ในวงศ์ปลาขี้ตังเบ็ด (Acanthuridae) เป็นปลาที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในวงศ์นี้ จัดเป็นสกุลต้นแบบของวงศ์นี้ โดยรวมแล้วมีขนาดกว่าสกุลอื่น ๆ มักกินสาหร่ายเส้นใยเป็นอาหาร มักอาศัยรวมกันเป็นฝูงใหญ่ บางครั้งจะว่ายรวมตัวกันกับปลาในวงศ์อื่น เช่น วงศ์ปลานกแก้ว (Scaridae) พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแนวปะการัง ของทะเลและมหาสมุทรแถบอินโด-แปซิฟิก มีขนาดตั้งแต่ 15-50 เซนติเมตร (5.9-19.7 นิ้ว) เป็นปลาที่มีสีสันหรือลวดลายสดใสสวยงาม จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยมีชื่อเรียกเฉพาะในวงการว่า "ปลาแทงค์" นอกจากนี้แล้ว ปลาในสกุลนี้ บริเวณโคนหางยังมีหนามแหลมที่เมื่อสัมผัสกับมือเปล่า ๆ ทำให้เกิดบาดแผลได้ และหนามดังกล่าวยังมีพิษ พิษของปลาขี้ตังเบ็ดมีฤทธิ์คล้ายกับพิษของกลุ่มปลากะรังหัวโขนหรือปลาสิงโต แต่มีความรุนแรงน้อยกว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาขี้ตังเบ็ด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า

ปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า หรือชื่อที่นิยมเรียกกันในวงการปลาสวยงามว่า ปลาบลูแทง (blue tang, regal tang, palette surgeonfish, royal blue tang, hippo tang, flagtail surgeonfish, blue surgeonfish, Pacific regal blue tang) เป็นปลาทะเลที่อาศัยตามแนวปะการังที่มีสีสันสดใส จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม จัดอยู่ในวงศ์ปลาขี้ตังเบ็ด (Acanthuridae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวในสกุล ParacanthurusFroese, Rainer, and Daniel Pauly, eds.

ใหม่!!: สัตว์และปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาขี้ตังเบ็ดฟ้าอกขาว

ปลาขี้ตังเบ็ดฟ้าอกขาว (Powder blue tang, Powderblue surgeonfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาขี้ตังเบ็ด (Acanthuridae) เป็นปลาขี้ตังเบ็ดชนิดหนึ่ง มีรูปร่างแบนข้าง ลำตัวรูปไข่ ด้านหน้ากว้าง จะงอยปากเรียว ปากเล็ก ครีบใหญ่ หน้าดำ มีแถบสีขาวที่จะงอยปาก ใต้คางและอกเป็นสีขาวนวล ลำตัวมีสีฟ้าสด ครีบหลังสีเหลืองมีขอบสีขาว ครีบหางขาว มีแถบดำ ครีบก้นสีจางขอบขาว คอดหางสีเหลือง มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ย 23 เซนติเมตร เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ตามแนวปะการัง กินสัตว์ขนาดเล็ก ๆ ที่เกาะตามโพรงหินและสาหร่าย เป็นปลาที่พบได้บ่อยในมหาสมุทรอินเดีย ในเขตน่านน้ำไทยพบได้เฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเลี้ยงรวมกันเป็นกลุ่ม หรือรวมกับปลาชนิดอื่นที่มีความใกล้เคียงกัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาขี้ตังเบ็ดฟ้าอกขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาขี้ตังเบ็ดลาย

ปลาขี้ตังเบ็ดลาย (Clown surgeonfish, Lined surgeonfish, Striped surgeonfish) หรือที่นิยมเรียกกันในวงการปลาสวยงามว่า ปลาเซอร์เจี้ยนลาย เป็นปลาทะเลที่มีความสวยงามชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาขี้ตังเบ็ด (Acanthuridae) มีสีสันและลวดลายที่สวยงามหลากหลายบนลำตัว ที่เป็นลายเส้นในแนวนอนทั้งเขียว, เหลือง, ดำ และน้ำเงิน พาดไปตามลำตัวตั้งแต่หัวจรดหาง ครีบหางแฉกปลายแหลมทั้งสองข้าง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 38 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแนวปะการังของเขตอบอุ่นตั้งแต่ชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออก จนถึงทะเลอันดามัน และอินโด-แปซิฟิก มีพฤติกรรมชอบที่อาศัยอยู่เพียงตัวเดียว หรือรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยมีตัวผู้เพียงตัวเดียว รวมกับตัวเมียหลายตัว โดยตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียและเจริญเติบโตเร็วกว่าตัวเมียอย่างเห็นได้ชัด เมื่อผสมพันธุ์จะกระทำในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ที่น้ำขึ้นอย่างเต็มที่ ด้วยการปล่อยไข่และอสุจิให้ปฏิสนธิกันในกระแสน้ำ และปล่อยไข่ให้ล่องลอยไปกับกระแสน้ำ จนกระทั่งลูกปลาฟักออกมาเป็นตัว เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับปลาชนิดอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน เช่น ปลาขี้ตังเบ็ดโซฮาล (A. sohal) หรือปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า (Paracanthurus hepatus) แต่จัดเป็นปลาที่เลี้ยงได้ยากชนิดหนึ่ง เนื่องจากปลาที่ถูกจับจากแหล่งน้ำธรรมชาติมักไม่ค่อยยอมรับอาหารและไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในที่เลี้ยงได้ จะมีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สามารถจะยอมกินอาหารได้ และในอีกหลาย ๆ ตัวเมื่อเลี้ยงไปสักระยะหนึ่ง กลับตายอย่างไร้สาเหต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาขี้ตังเบ็ดลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาขี้ตังเบ็ดครีบลาย

ปลาขี้ตังเบ็ดครีบลาย (Eyestripe surgeonfish, Dussumieri tang) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาขี้ตังเบ็ด (Acanthuridae) มีลำตัวแบนข้าง รูปร่างเป็นรูปไข่ไปทางด้านท้าย คอดหางเล็ก มีเงี่ยมคมคล้าบใบมีดชี้ไปทางด้านท้ายข้างละอัน ครีบหางเว้าเป็นวงเดือน ครีบหลังและครีบก้นมีฐานยาว ครีบท้องอันเล็ก ครีบอกมีปลายแหลม เกล็ดเล็กมาก หนังเหนียว มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 35 เซนติเมตร อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่เหนือกองหินหรือแนวปะการัง ว่ายน้ำโดยใช้การกระพืบครีบอกเป็นจังหวะ เป็นปลาที่พบได้บ่อยในแนวปะการังของมหาสมุทรอินเดีย ในน่านน้ำไทยพบได้เฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเหมือนปลาขี้ตังเบ็ดหรือปลาแทงค์ชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาขี้ตังเบ็ดครีบลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาข้อมือนาง

ปลาข้อมือนาง (cá ngựa bắc) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Folifer โดยสันนิษฐานว่า มาจากภาษาละตินคำว่า foli หมายถึง "ใบไม้" และ ifer หมายถึง "แบก" รวมความแล้วหมายถึงลักษณะของปากของปลาชนิดนี้ที่อยู่ด้านล่าง และ brevis หมายถึง "เล็ก, น้อย" และ filum หมายถึง "หนวด" หรือ "เส้นด้าย" อันหมายถึง หนวดที่ลักษณะสั้นมาก มีลำตัวกลมเรียวยาว แบนข้างเล็กน้อย ใต้คางมีติ่งเนื้อ 1 ชิ้น ดูแลเหมือนหนวดขนาดสั้น เกล็ดเล็ก ลำตัวสีเงินแวววาวอมเขียว ด้านบนมีสีคล้ำเล็กน้อย ข้างแก้มมีแต้มสีเหลือง ครีบจางใส ครีบหลังสูง ก้านครีบอันใหญ่สุดมีจักละเอียดที่ขอบด้านท้าย มีความยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร เป็นปลาที่หากินตะไคร่น้ำตามก้อนหินใต้พื้นน้ำและโขดหิน พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำที่ไหลแรงและสะอาดในหลายประเทศ เช่น ตอนใต้ของจีน, เวียดนาม, ลาว ในประเทศไทยพบเฉพาะลุ่มแม่น้ำสาละวินบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอนและตาก และยังมีรายงานพบที่เกาะไหหลำและฮ่องกงอีกด้วย โดยตัวอย่างต้นแบบแรกถูกส่งมาจากฮ่องกงไปยังจีนเพื่อทำการอนุกรมวิธาน มีการจับขายเป็นปลาสวยงาม แต่พบได้น้อยและเลี้ยงดูยากมาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาข้อมือนาง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาข้าวเม่า

ำหรับปลาข้าวเม่าที่เป็นปลาซิวหรือปลาแปบ ดูที่: ปลาข้าวเม่า (ปลาซิว) ปลาข้าวเม่า (Asian glassfish) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาแป้นแก้ว (Ambassidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Parambassis (/พา-แรม-บาส-ซิส/) ปลาในสกุลนี้มีเกล็ดค่อนข้างเล็ก มีเกล็ดบนเส้นข้างลำตัวประมาณ 40-60 แถว บนกระดูกแก้มมีเกล็ด 4-7 แถว ไม่มีฟันที่ปลายลิ้น กระดูกแก้ม 2 ชิ้นที่อยู่ใกล้ตามีขอบจักเป็นฟันเลื่อย ลำตัวบางใส ครีบทุกครีบใส ในบางชนิดอาจมีตัวเป็นสีสันต่าง ๆ ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง กิน แมลงและแพลงก์ตอนสัตว์ และสัตว์น้ำขนาดเล็กรวมทั้งตะไคร่น้ำเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงอินโดนีเซีย และออสเตรเลีย มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 2-7 เซนติเมตร โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด พบในออสเตรเลีย คือ P. gulliveri ที่มีขนาดใหญ่ได้ถึงเกือบ 30 เซนติเมตร นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่น ซึ่งชาวประมงจะนิยมจับกันในเวลากลางคืน โดยใช้แสงไฟจากนีออนล่อให้ขึ้นมากินแมลงที่มาเล่นไฟเหนือน้ำ โดยจะจับได้ทีละมาก ๆ โดยในภาษาไทยจะเรียกปลาในสกุลนี้รวม ๆ กันว่า "แป้น", "แป้นแก้ว", "แว่น", "คับข้อง" หรือ "ขี้ร่วง" ในบางท้องถิ่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาข้าวเม่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาข้าวเม่า (ปลาซิว)

ำหรับปลาข้าวเม่าที่มีลำตัวใส ดูที่: ปลาข้าวเม่า ปลาข้าวเม่า เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กที่อยู่ในสกุล Chela (/เคล-อา/) ในวงศ์ปลาตะเพียน จัดเป็นปลาซิวหรือปลาแปบจำพวกหนึ่ง มีลำตัวยาวไม่เกิน 10 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในลำธารและบ่อน้ำขนาดเล็ก ๆ ลำตัวแบนข้างมาก ส่วนท้องที่อยู่ระหว่างคางจนถึงครีบท้องแบนเป็นสัน ปากเล็กและเฉียงขึ้นบน เส้นข้างลำตัวอยู่ต่ำและโค้งขนานไปกับแนวท้อง ปลายเส้นข้างลำตัวไปสิ้นสุดลงที่ครึ่งล่างของโคนหาง ครีบก้นมีฐานครีบยาวกว่าฐานของครีบหลัง ครีบอกใหญ่ ยาวและปลายครีบแหลม ครีบท้องมีก้านครีบยื่นออกเป็นเส้นเดี่ยวและครีบหางมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ปลายแยกเป็นแฉกลึก เดิมทีปลาในสกุลนี้เคยมีประชากรมากกว่านี้ แต่ปัจจุบันได้แยกออกไปเป็นสกุลต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะในสกุล Laubuka หรือปลาซิวหัวตะกั่ว จึงเหลือเพียง 2 ชนิดเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาข้าวเม่า (ปลาซิว) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาข้างตะเภา

ำหรับปลาวงศ์อื่น ดูที่: ปลาสร้อยนกเขา (ทะเล) ปลาข้างตะเภา (Trumpeter, Grunter) สกุลของปลากระดูกแข็ง 3 ชนิด ที่อยู่ในวงศ์ Terapontidae ใช้ชื่อสกุลว่า Tetrapon เป็นปลาขนาดเล็ก ที่หากินบริเวณชายฝั่งทะเลที่เป็นน้ำกร่อยและบริเวณป่าชายเลน ลำตัวค่อนข้างสั้น ปากเล็ก ลำตัวสีขาว และมีแถบสีดำพาดตามลำตัวตั้งแต่ 3-6 แถบตามแนวนอน ซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างไปกันตามแต่ละชนิด มีความสามารถพิเศษ คือ สามารถทำเสียงได้ จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "ครืดคราด" หรือ "ออดแอด" จัดเป็นปลาที่นิยมบริโภคกันในท้องถิ่นเนื่องจากเป็นปลาขนาดเล็ก และนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม พบกระจายพันธุ์ในเขตอบอุ่น ตั้งแต่ทะเลแดงจนถึงอินโด-แปซิฟิก มีทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาข้างตะเภา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาข้างตะเภาลายโค้ง

ปลาข้างตะเภาลายโค้ง (Target fish, Crescent bass, Tiger bass, Jarbua terapon; 花身鯻) ปลาน้ำเค็มชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Terapon jarbua ในวงศ์ Terapontidae เป็นปลาที่หากินบริเวณชายฝั่งทะเลที่เป็นน้ำกร่อย และบริเวณป่าชายเลน สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดได้ ลำตัวค่อนข้างสั้นปากเล็ก ลำตัวสีขาวเงิน และมีแถบสีดำพาดตามลำตัว 3 แถบ ซึ่งแถบนั้นจะโค้งต่ำลงตอนกลาง เป็นปลาที่มีความว่องไวปราดเปรียวและนิยมอยู่เป็นฝูง พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทะเลแดง, ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก, ซามัว, ทางตอนใต้ของจีนไปจนถึงออสเตรเลีย ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 36 เซนติเมตร มีความสามารถพิเศษคือ สามารถเปล่งเสียงได้ จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "ปลาออดแอด" หรือ "ปลาครีดคราด" หรือ "ปลามโหรี" หรือ "ปลาข้างลาย" เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันเฉพาะท้องถิ่น ด้วยความที่เป็นปลาขนาดเล็ก และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ที่มีชื่อเรียกในวงการปลาสวยงามว่า "ปลามงกุฎ".

ใหม่!!: สัตว์และปลาข้างตะเภาลายโค้ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาข้างเหลือง

ปลาข้างเหลือง หรือ ปลาสีกุนข้างเหลือง (Yellow-stripe scad, Yellow-stripe trevally, Thinscaled trevally) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Selaroides มีรูปร่างค่อนข้างเรียวยาว ลักษณะคล้ายกับปลาทู แต่ปลาข้างเหลืองจะมีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากปลาทูอย่างชัดเจนคือ ลำตัวจะมีแถบสีเหลืองเป็นแนวยาวจากหัวจนถึงโคนหาง ลำตัวแบนมีส่วนโค้งทางด้านหลังและด้านท้องเท่ากัน นัยน์ตาโต ปากเล็ก คอดหางเรียว ครีบหูยาวเรียวปลายแหลม ครีบหลังมี 2 อัน ครีบหลังและครีบก้นยาว เส้นข้างตัวโค้งตามแนวสันหลังและเป็นเส้นตรงบริเวณตอนกลางครีบหลังอันที่สอง และมีจุดดำอยู่เหนือครีบหูตรงขอบแก้มด้านบน ความยาวตลอดลำตัวประมาณ 9-16 เซนติเมตร เป็นปลาที่กินพืชและสัตว์ขนาดเล็กที่ล่องลอยในน้ำ อาศัยอยู่เป็นฝูง พบในทุกระดับของทะเลเขตร้อน แถบอินโด-แปซิฟิก ถึงอ่าวเปอร์เซียจนถึงภาคตะวันตกของวานูอาตูและนิวแคลิโดเนีย ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ ใช้ในการบริโภค ปลาข้างเหลือง นอกจากนี้แล้วยังมีชื่อเรียก ๆ อื่น เช่น "ปลาข้างลวด" หรือ"ปลากิมซัว".

ใหม่!!: สัตว์และปลาข้างเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดอกหมาก

ำหรับปลาดอกหมากที่เป็นปลาน้ำจืด ดูที่: ปลาดอกหมาก (น้ำจืด) ปลาดอกหมาก (Mojarra, Silver-biddy) เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาดอกหมาก (Gerreidae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gerres มีลำตัวสั้นป้อม แบนข้าง แลดูคล้ายปลาแป้น ต่างกันตรงที่มีเกล็ดใหญ่ไม่หลุดง่าย ส่วนท้ายทอยไม่มีกระดูกแข็งโผล่ บางชนิดมีก้านครีบหลังอันแรก ๆ ยาวเป็นเส้น ด้านหลังสีนํ้าตาลอมเทา ด้านข้างและท้องสีเงิน มักมีจุดสีเข้มเป็นดอกดวงเรียงลงมาจากหลังหลายแนว อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง เป็นปลาที่กระจายพันธุ์ตามชายฝั่งหรือปากแม่น้ำของมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงมหาสมุทรแอตแลนติก สามารถพบได้ในแหล่งน้ำกร่อยและน้ำจืด จำแนกได้ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดอกหมาก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดอกหมาก (น้ำจืด)

ำหรับปลาดอกหมากที่เป็นปลาทะเล ดูที่: ปลาดอกหมาก ปลาดอกหมาก หรือ ปลาน้ำหมึก เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Barilius ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะโดยรวม คือ ลำตัวยาว แบนข้างเล็กน้อย มีหนวดสั้น ๆ หรือไม่มี แต่ก็มีจุดสีดำหรือนํ้าตาลบนพื้นลำตัวสีเงินกระจายอยู่ข้างตัว อาศัยอยู่เป็นฝูงตามต้นนํ้าลำธาร เป็นปลาที่มีความคล่องแคล่วว่องไวมาก เป็นปลาที่มีความใกล้ชิดและคล้ายคลึงกับปลาในสกุล Opsarius มาก โดยเคยจัดอยู่ในสกุลเดียวกัน ก่อนที่จะแยกออกมาต่างหาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดอกหมาก (น้ำจืด) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดอกหมากกระโดง

ปลาดอกหมากกระโดง (Whipfin silver-biddy; Whipfin mojarra) ปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาดอกหมาก (Gerreidae) ปลาดอกหมากกระโดงมีรูปร่างของลำตัวป้อมดูคล้ายรูปไข่หรือสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนแบนข้าง หัวเล็กสั้น นัยน์ตาโต จะงอยปากแหลม ปากยืดหดได้ เกล็ดเล็กหลุดง่ายมีความแวววาวเงางาม ตัวโตเต็มวัยก้านครีบแข็งอันที่สองของครีบหลังจะเจริญยาวเป็นเส้นเดี่ยว ครีบอกยาว ครีบหางลึกเว้ารูปส้อม สีลำตัวอมเทามีสีดำแต้มเป็นจุดประปรายท้องสีขาวเงิน ครีบทุกครีบสีเทาอมเหลือง มีความยาวประมาณ 11-22 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ตามชายฝั่งทะเลตื้น ๆ หรือปากแม่น้ำในจังหวัดชุมพร, ประจวบคีรีขันธ์, สมุทรปราการ, ชลบุรี และระยอง เป็นปลาที่กินสัตว์น้ำเล็ก ๆ รวมทั้งพืชเป็นอาหาร ใช้ประโยชน์เป็นปลาที่บริโภคเนื้อเป็นอาหาร และยังสามารถเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้อีกด้วย เนื่องจากมีความสวยงามพอสมควร อีกทั้งยังสามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ แต่เป็นปลาที่เลี้ยงยาก มีความเปราะบาง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดอกหมากกระโดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดัก

ปลาดัก (Blackskin catfish) ปลาดุกชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Clarias meladerma อยู่ในวงศ์ปลาดุก (Clariidae) มีรูปร่างลักษณะคล้ายปลาดุกด้าน (C. batrachus) เว้นแต่ที่ครีบอกด้านหน้ามีลักษณะขอบหยักคล้ายฟันเลื่อย และมีผิวเนื้อสีดำ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ปลาดุกเนื้อเลน" (ภาษาใต้) โตเต็มที่ขนาดความยาวประมาณ 35 เซนติเมตร ในประเทศไทยพบได้แถบภาคกลางตอนบนและภาคอีสาน ในต่างประเทศพบได้ที่ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย โดยสถานที่ค้นพบครั้งแรกคือ ปัตตาเวีย (ปัจจุบัน คือ จาการ์ตา) บนเกาะชวา ในอินโดนีเซีย ไม่มีการเลี้ยงเป็นปลาเศรษฐก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดัก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดัง

ปลาดัง ชื่อสกุลของปลากระดูกแข็งในอันดับปลาหนังจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) ใช้ชื่อสกุลว่า Hemisilurus (/เฮม-อิ-ซิ-ลู-รัส/) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลาในสกุล Ceratoglanis ซึ่งเคยถูกจัดให้อยู่ในสกุลเดียวกันมาก่อน แต่ทว่าปลาในสกุลปลาดังนั้น จะมีความลาดที่ส่วนหลังหลังจากหัวสูงกว่า หนวดมีขนาดยาวกว่าและมีพฤติกรรมกระดิกหนวดเพื่อช่วยในการหาอาหารได้เร็วน้อยกว่าปลาสกุล Ceratoglanis มีความยาวตั้งแต่ 50–80 เซนติเมตร โดยที่คำว่า Hemisilurus นั้นมาจากภาษากรีก ที่หมายถึง "ครึ่ง" (ημι) ของ "ปลาเนื้ออ่อน" (silurus) พบทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดัง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดังแดง

ปลาดังแดง ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemisilurus mekongensis อยู่ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) มีส่วนหัวแบนข้างเล็กน้อย จะงอยปากสั้นและงุ้มเล็กน้อย ปากเล็ก ขากรรไกรมีหนังนิ่ม ๆ หุ้ม มีหนวดหนึ่งคู่ ตาเล็ก ครีบหลังเล็กมากเป็นเพียงเส้นสั้น ๆ ครีบท้องเล็ก ครีบหางเว้าลึกแฉกมนป้าน ตัวผู้มีหนวดเรียวสั้น ตัวเมียมีหนวดเส้นใหญ่ปลายแบนและยาวถึงบริเวณหลัง สีลำตัวมีสีเทาอ่อนอมฟ้า หนังบางค่อนข้างใส ครีบสีจางขอบครีบหางสีคล้ำ ส่วนหัวมีสีแดงเรื่อโดยเฉพาะบริเวณจะงอยปาก จึงเป็นที่มาของชื่อ (ดัง เป็นภาษาอีสานแปลว่า จมูก) มีขนาดประมาณ 30–40 เซนติเมตร อาหารได้แก่ หอย, ไส้เดือนน้ำ, กุ้งขนาดเล็ก มีพฤติกรรมขณะว่ายน้ำจะยื่นหนวดและกระดิกถี่ ๆ เพื่อเป็นการสัมผัส พบเฉพาะแม่น้ำโขงเท่านั้น ถูกจับขึ้นมาขายครั้งละมาก ๆ ในบางฤดูกาลของจังหวัดริมแม่น้ำโขง ตั้งแต่จังหวัดเชียงรายถึงอุบลราชธานี เนื้อมีรสชาติดี มักบริโภคโดยการปรุงสด ปลาดังแดง มีชื่อเรียกอีกชื่อนึงว่า "เจ๊ก".

ใหม่!!: สัตว์และปลาดังแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดาบลาวยาว

ปลาดาบลาวยาว (Dorab wolf-herring) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาหลังเขียว (Clupeiformes) จัดเป็นปลาดาบลาวชนิดหนึ่ง มีลำตัวเรียวยาวและมีทรวดทรงแบนมาก ปากมีลักษณะเฉียงขึ้นข้างบน มีฟันเขี้ยวคู่หน้าใหญ่และคมมากเขี้ยวคู่นี้จะยื่นเลยริมฝีปาก ครีบหางเว้าลึกครีบหลังมีรอยแต้มสีดำลำตัวสีน้ำเงินเข้มปนเหลือง ท้องเป็นสันคม มีความยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร และยาวที่สุด 100 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ตามปากอ่าว, ชายทะเล หรือพื้นที่ ๆ เป็นน้ำกร่อย ตั้งแต่ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกจนถึงหมู่เกาะโซโลมอน, ทะเลแดง, ทะเลญี่ปุ่น, ตอนเหนือและตอนใต้ของออสเตรเลีย รวมถึงตองกา ในน่านน้ำไทยพบทั้งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เป็นปลาที่ล่าเหยื่อบนผิวน้ำกินเป็นอาหาร เช่น ลูกปลาขนาดเล็กและกุ้งขนาดเล็ก จัดเป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง FAO, Species Fact Sheet.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดาบลาวยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดาบเงินใหญ่

ปลาดาบเงินใหญ่ (Atlantic cutlassfish, Australian hairtail, Largehead hairtail, タチウオ) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาดาบเงิน (Trichiuridae) เป็นปลาที่มีลำตัวแบนเรียวยาว มีลักษณะคล้ายแถบริบบิ้น ไม่มีเกล็ด ปากล่างยื่นย่าวล้ำปากบน หางเรียวยาวปลายแหลม แผ่นปิดเหงือกมีปลายเป็นมุมแหลม ๆ อยู่แนวเดียวกับครีบอก ไม่มีครีบท้องและครีบหาง มีฟันแหลมคมเป็นเขี้ยวยาวโค้งออกมานอกปาก มีขนาดความยาวได้ถึง 2 เมตร น้ำหนักเต็มที่ได้ถึง 5 กิโลกรัม แต่ขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไปประมาณ 40-50 เซนติเมตร มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 15 ปี แพร่กระจายพันธุ์ทั่วไปในหลายพื้นที่ของโลก ในอ่าวไทยอยู่รวมกันเป็นฝูงตามชายฝั่งทะเลน้ำตื้นและปากแม่น้ำ กินอาหาร โดยไล่ล่าปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่า เป็นปลาที่นำมาแปรรูป เช่น ทำลูกชิ้น, ทำปลาเค็มและปลาแห้งเป็นอาหาร ในอาหารญี่ปุ่น ปลาดาบเงินใหญ่ยังนิยมนำมาทำซาชิม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดาบเงินใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดินสอ (สกุล)

ปลาที่มีขนาดใหญ่กว่า ดูที่: ปลาดินสอ ปลาดินสอ (Pencil fishes) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาดินสอ (Lebiasinidae) ในอันดับปลาคาราซิน (Characiformes) ใช้ชื่อสกุลว่า Nannostomus (/นัน-โน-สะ-โต-มัส/; nannus มาจากภาษาละติน หมายถึง "เล็ก" และภาษากรีก stoma (στόμιο) หมายถึง "ปาก" ซึ่งหมายถึงปากที่มีขนาดเล็กของปลาสกุลนี้) รูปร่างและลักษณะโดยรวมของปลาดินสอ คือ เป็นปลาขนาดเล็ก มีขนาดโตเต็มที่ราว 5 เซนติเมตร มีลักษณะลำตัวเรียวยาวเป็นแท่งคล้ายดินสออันเป็นที่มาของชื่อ มีปากที่แหลมเล็กสำหรับใช้จิกอาหารขนาดเล็ก มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม โดยว่ายน้ำช้า ๆ และมักอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่น้ำไหลเอื่อย ๆ บางชนิดจะลอยตัวในน้ำ โดยยกหัวตั้งขึ้น ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แลดูแปลก พบกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้ นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดินสอ (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดินสอแดง

ปลาดินสอแดง (Coral red pencilfish) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาดินสอ (Lebiasinidae) นับเป็นปลาดินสอชนิดหนึ่งที่มีสีสันสวยงามที่สุด มีสีแดงสดทั่วทั้งตัว และมีลวดลายตัดแนวขวางเป็นเส้นสีดำ มีลักษณะเหมือนกันทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่ตัวผู้มักมีพฤติกรรมชอบอวดสีสันและลวดลายตามลำตัวข่มกันมากกว่า เป็นปลาขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ประมาณ 25–30 มิลลิเมตร เป็นปลาที่พบได้เฉพาะในแคว้นโลเรโต ประเทศเปรูเท่านั้น โดยอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำหรือแม่น้ำขนาดเล็กที่มีพืชน้ำขึ้นอย่างหนาแน่น หรือในพื้นที่ป่าที่น้ำท่วมหรือน้ำที่มีสีชา นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยนิยมเลี้ยงเป็นฝูงในตู้ไม้น้ำ ปัจจุบันเป็นปลาที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดินสอแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุก

ปลาดุก (Walking catfishes) เป็นสกุลของปลาหนังน้ำจืดในสกุล Clarias (/คลา-เรียส/) ในวงศ์ Clariidae โดยคำว่า Clarias มาจากภาษากรีกคำว่า chlaros หมายถึง "มีชีวิต" มีความหมายถึง การที่ปลาสกุลนี้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้บนบกหรือสภาพที่ขาดน้ำ มีการแพร่กระจายพันธุ์ในน้ำจืดและน้ำกร่อยตามแหล่งน้ำของทวีปเอเชียและแอฟริกา เป็นปลาไม่มีเกล็ด ลำตัวยาว มีหัวที่แบนและแข็ง มีหนวดยาวแปดนิ้ว มีครีบหลังและครีบก้นยาวเกินครึ่งของความยาวลำตัว จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่ล้ำหน้าจุดเริ่มต้นของครีบท้อง ครีบหลังไม่มีเงี่ยงแข็ง ไม่มีครีบไขมัน ครีบหางมนกลม ครีบทั้งหมดเป็นอิสระจากกัน สามารถหายใจและครีบคลานบนบกได้เมื่อถึงฤดูแล้ง เป็นปลาวางไข่ เป็นปลากินเนื้อโดยเฉพาะเมื่อตัวโตเต็มที่ชอบกินปลาอื่นที่ตัวเล็กกว่าเป็นอาหาร รวมถึงกินซากพืชและซากสัตว์อีกด้วย เป็นปลาที่รู้จักกันดีในแง่ของการเป็นปลาเศรษฐกิจ ที่นิยมบริโภคกันโดยเฉพาะในทวีปเอเชี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกบอน

ำหรับปลาดักชนิดอื่น ดูที่: ปลาดุกดัก สำหรับปลาวงศ์อื่น ดูที่: วงศ์ปลาดัก ปลาดุกบอน หรือ ปลาดัก เป็นปลาหนังน้ำจืดขนาดเล็กในสกุล Olyra อยู่ในวงศ์ปลากด (Bagridae) เป็นปลาขนาดเล็กที่กระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ตั้งแต่ภาคตะวันออกของอินเดีย, พม่า, ภาคตะวันตกของไทย ตลอดจนภูมิภาคอินโดจีน โดยในภูมิภาคเอเชีย ปลาดุกบอนจะรู้จักกันในฐานะของปลานักสู้เหมือนกับปลากัด และถูกเลี้ยงเพื่อกัดกันเอาเงินเดิมพัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกบอน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกมูน

ปลาดุกมูน ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bagrichthys obscurus อยู่ในวงศ์ปลากด (Bagridae) มีส่วนหัวสั้น จะงอยปากเล็ก ตาเล็กมาก มีหนวดสั้น 4 คู่ คู่ที่อยู่ด้านล่างจะเป็นเส้นแบนบิดเป็นเกลียว ริมฝีปากเล็กเป็นจีบ ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย ส่วนหลังยกสูง ครีบหลังสูง ครีบไขมันยาวมาก ครีบหางเว้าลึก ครีบหลังยกสูงและครีบอกแข็งเป็นก้านแข็งปลายคม ตัวมีสีคล้ำหรือน้ำตาลอ่อน ด้านท้องสีจาง ปลาวัยอ่อนมีแถบเฉียงสีจางพาดขวางลำตัว ครีบสีจาง หางใส มีขนาดประมาณ 15 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุด 30 เซนติเมตร พบชุกชุมในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ตั้งแต่แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำบางปะกง, แม่น้ำโขง มีพฤติกรรมมักหากินบริเวณท้องน้ำที่มีน้ำขุ่น วางไข่ในฤดูฝน นิยมบริโภคด้วยการปรุงสด เนื้อมีรสชาติดี อร่อย มีราคาสูง และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ปลาดุกมูน ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกว่า "ปลาแขยงหนู", "ปลาแขยงหมู", "ปลากดหมู" หรือ "ปลาแขยงดาน" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกมูน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกยักษ์ทะเลสาบบิวะ

ปลาดุกยักษ์ทะเลสาบบิวะ (Giant Lake Biwa catfish; ビワコオオナマズ; โรมะจิ: Biwako-o'namazu) ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่จำพวกปลาหนังชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) ปลาดุกยักษ์ทะเลสาบบิวะ มีลักษณะคล้ายกับปลาเวลส์ (S. glanis) ซึ่งเป็นปลาขนาดใหญ่กว่า แต่อยู่ในสกุลเดียวกัน ซึ่งพบในภาคพื้นยุโรป โดยมีความยาวได้ถึง 1.18 เมตร (3 ฟุต 10 นิ้ว) และน้ำหนักมากกว่า 17 กิโลกรัม (37 ปอนด์) โดยมีส่วนหัวที่แบน ตาเล็ก ปากกว้าง ลำตัวด้านบนสีคล้ำและด้านล่างสีขาวกว่า เป็นปลาที่พบอาศัยอยู่เฉพาะในทะเลสาบบิวะ ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดโบราณที่มีอายุกว่า 4 ล้านปี และเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น และถือเป็นปลาในสกุลนี้ 1 ใน 3 ชนิด ที่พบได้ในทะเลสาบบิวะ ปลาดุกยักษ์ทะเลสาบบิวะ เป็นปลากินเนื้อ ล่าปลาและกบตลอดจนสัตว์น้ำประเภทต่าง ๆ กินเป็นอาหาร ออกหากินในเวลากลางคืน โดยใช้เส้นข้างลำตัวเป็นเสมือนเส้นประสาทตรวจสอบความเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับปลาหนังชนิดอื่น และเป็นปลาที่อายุยืนได้มากกว่า 50 ปี และยังเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุด้วย ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบิวะ ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบบิวะ มีการแสดงปลาดุกยักษ์ทะเลสาบบิวะขนาดใหญ่หลายตัวซึ่งจับได้ตั้งแต่ยังเป็นปลาเล็ก ๆ ในทะเลสาบไว้ด้วย นอกจากนี้แล้ว ปลาดุกยักษ์ทะเลสาบบิวะ ยังเชื่อว่าเป็นที่มาของตำนานความเชื่อเรื่อง "นะมะสุ" (鯰) ซึ่งเป็นปลาดุกขนาดใหญ่ที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า มีก้อนหินขนาดใหญ่ที่เทพเจ้าแห่งลม คะชิมะ (鹿島) นำมาถ่วงไว้ที่หัว เมื่อนะมะสุขยับตัวก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหว ซึ่งเรื่องนี้เป็นไปได้ว่า อาจเกิดจากชาวประมงในสมัยโบราณได้พบเห็นการเคลื่อนไหวของปลาดุกยักษ์ทะเลสาบบิวะพร้อม ๆ กันครั้งใหญ่ ก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวไม่นาน ทั้งนี้ในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า ปลาจำพวกปลาดุกหรือปลาหนังจะมีประสาทสัมผัสหรือสัญชาตญาณรับรู้ว่าจะมีแผ่นดินไหวก่อนได้ โดยปลาจะเคลื่อนไหวในท่าทางที่ผิดปกติCold Blooded Horror, "River Monsters".

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกยักษ์ทะเลสาบบิวะ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกลำพัน

ปลาดุกลำพัน (Slender walking catfish, Nieuhof's walking catfish) เป็นปลาน้ำจืดจำพวกปลาดุกชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาดุก (Clariidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกลำพัน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกลำพันภูเขา

ปลาดุกลำพันภูเขา (Hillstram walking catfish) เป็นปลาหนัง ในวงศ์ Clariidae มีส่วนหัวเล็ก ลำตัวยาว ครีบหลังและครีบก้นยาวมาก อาจติดต่อกับครีบหางที่โคนครีบ มีหนวด 4 คู่ รอบปาก ตามีขนาดเล็ก ลำตัวสีน้ำตาลอมเขียวและมีจุดสีจางหรือสีเหลืองอ่อนเรียงเป็นบั้ง 10-12 บั้ง ด้านท้องสีจาง มีลักษณะใกล้เคียงกับปลาดุกลำพัน (C. nieuhofii) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ปลาดุกลำพันภูเขามีลำตัวที่สั้นกว่าและพบในแหล่งน้ำแถบภูเขาในภาคอีสานและภาคใต้ของประเทศไทยเท่านั้น โดยอาจพบได้ในประเทศมาเลเซีย หรือภาคตะวันออกของไทยด้วย ปัจจุบันพบน้อยมาก สถานภาพจึงไม่เป็นที่แน่ชั.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกลำพันภูเขา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกหนามไนเจอร์

ปลาดุกหนามไนเจอร์ (Ripsaw catfish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseudodoras niger ในวงศ์ปลาทอล์คกิ้งแคทฟิช (Doradidae) มีรูปร่างค่อนข้างยาว มีส่วนหัวเป็นทรงกรวย มีกระดูกแข็ง ครีบอกมีเงี่ยงแข็ง ด้านข้างลำตัวมีชุดของแผ่นกระดูกแข็งคล้ายเกราะมีปลายแหลม เรียงตัวไปทางท้ายของลำตัวจนสุดปลายหาง ลำตัวมีสีเทาอมดำ ปลายแหลมของเกล็ดแข็งเป็นสีขาว ครีบหลัง ครีบหาง และครีบอกมีสีเข้ม มีขนาดใหญ่เต็มที่ 1 เมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยคือ 59 เซนติเมตร มักอาศัยอยู่เป็นฝูง หากินบริเวณพื้นน้ำ โดยกินอาหารจำพวก ซากพืช ซากสัตว์ อินทรียสารต่าง ๆ รวมทั้งไส้เดือนน้ำ, แมลง และสัตว์มีกระดองด้วย พบกระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำหลักทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ เช่น ประเทศโบลิเวีย, บราซิล, เวเนซุเอลา, เอกวาดอร์, เฟรนช์เกียนา, เปรู โดยอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่เป็นแม่น้ำหรือบึงขนาดใหญ่ ที่มีสภาพน้ำค่อนข้างขุ่นหรือมีโคลนตมขุ่นตลอดทั้งปี มีอุณหภูมิประมาณ 21-29.8 องศาเซลเซียส ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำ (pH) ประมาณ 5.0-9.0 เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่น โดยมีชื่อเรียกในภาษาถิ่นว่า Cuyú-cuyú และยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกหนามไนเจอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกอุย

ปลาดุกอุย หรือ ปลาดุกนา หรือ ปลาอั้วะชื้อ(劃鼠) ในภาษาแต้จิ๋ว (-zh 大頭鬍鯰; อังกฤษ: Broadhead catfish, Günther's walking catfish; ชื่อวิทยาศาสตร์: Clarias macrocephalus) เป็นปลาน้ำจืดในวงศ์ Clariidae มีกระดูกท้ายทอยยื่นแหลมออกไปลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยม ลำตัวสั้นป้อมกว่าปลาดุกด้าน (C. batrachus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน ลำตัวมีสีดำปนเหลือง มีจุดขาวเล็ก ๆ เรียงเป็นแถวขวางลำตัวหลายแถว มีครีบหลังสูงกว่าปลาทั่วไปมาก สามารถเคลื่อนที่บนบกได้เป็นระยะทางสั้น ๆ โดยใช้ครีบช่วย พบได้ในพื้นที่แถบประเทศไทยไปจนถึงเวียดนาม และมีการนำไปเลี้ยงในประเทศจีน, มาเลเซีย, เกาะกวม และฟิลิปปินส์ ปลาดุกอุยย่าง บางครั้งมีความเข้าใจผิดกันว่าปลาดุกอุยคือปลาดุกด้านตัวเมีย แต่ที่จริงเป็นปลาคนละชนิดกัน ปลาดุกอุยเป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวไทยและชาวลาวมากกว่าปลาดุกด้าน เนื่องจากเนื้อมีรสชาติมัน อร่อย มีราคาที่สูงกว่าปลาดุกด้าน จึงได้มีการเพาะเลี้ยงและผสมเทียมในบ่อ แต่ปัจจุบันได้นำมาผสมกับปลาดุกเทศ (C. gariepinus) เป็นปลาลูกผสม เรียกว่า "ปลาดุกบิ๊กอุย" ทำให้โตเร็วและเลี้ยงง่ายกว่าปลาดุกอุยแท้ ๆ ซึ่งได้มีการเพาะเลี้ยงอย่างแพร่หลาย ในภาษาใต้ เรียกปลาดุกอุยว่า "ปลาดุกเนื้ออ่อน".

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกอุย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกทะเล

ปลาดุกทะเล หรือ ปลาปิ่นแก้ว เป็นปลาหนังที่อยู่ในสกุล Plotosus (/พโล-โต-ซัส/) ในวงศ์ปลาดุกทะเล (Plotosidae) ลำตัวปกคลุมด้วยเมือกลื่น รูปร่างเรียวยาวด้านข้างแบน ส่วนหัวแบนลงมีหนวด 4 คู่ อยู่ที่บริเวณรูจมูก 1 คู่, ริมฝีปาก 1 คู่ และใต้คาง 2 คู่ ครีบหลังอันที่สอง ครีบก้นและครีบหางติดต่อกันครีบหลังและครีบอกมีก้านครีบแข็งซึ่งมีลักษณะเป็นหยักคล้ายฟันเลื่อย ขนาดใหญ่แข็งแรง ส่วนหัวใหญ่ ส่วนท้ายลำตัวเรียวเล็กลง เป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามชายทะเล เช่น แนวปะการัง รวมถึงปากแม่น้ำ หรือป่าชายเลน หรือพื้นที่ ๆ มีสภาพเป็นโคลน โดยจะฝังตัวอยู่ เมื่อยังเป็นปลาขนาดเล็กจะรวมตัวกันเป็นฝูง ในบางชนิดจะมีพฤติกรรมรวมตัวกันเป็นลูกกลมคล้ายลูกบอลประมาณ 100 ตัว อาศัยและหากินอยู่ตามแนวปะการังซึ่งเป็นน้ำใส โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุดยาวได้ถึง 150 เซนติเมตร (59 นิ้ว) เป็นปลาที่มีพิษร้ายแรง โดยพิษจะอยู่บริเวณก้านครีบแข็งบริเวณครีบหลังและครีบอก ที่สามารถแทงทะลุเนื้อเข้าไปได้หากสัมผัสโดนสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ถูกแทงเป็นอันมาก บางครั้งอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งผู้ที่จะจับโดยเฉพาะนำมาบริโภคเป็นอาหารต้องใช้ความชำนาญเฉพาะตัว พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรอินเดีย, แปซิฟิกตะวันตก จนถึงนิวกินี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกทะเลยักษ์

ปลาดุกทะเลยักษ์ หรือ ปลาดุกทะเลดำ หรือ ปลาดุกทะเลเทา (Black eeltail catfish, Gray eeltail catfish, Canine catfish eel) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Plotosus canius อยู่ในวงศ์ปลาดุกทะเล (Plotosidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกทะเลยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกทะเลลาย

ปลาดุกทะเลลาย หรือ ปลาดุกทะเลแถบ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ปลาดุกทะเล (Striped eel catfish) เป็นปลาหนังชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Plotosus lineatus (มาจากภาษากรีก Plotos หมายถึง "ว่ายน้ำ" และ lineatus หมายถึง "ลายแถบ") อยู่ในวงศ์ปลาดุกทะเล (Plotosidae) มีรูปร่างเรียวยาวด้านข้างแบน ส่วนหัวแบนลงมีหนวด คู่ครีบหลังและครีบหูมีก้านครีบแข็งเป็นเงี่ยง มีลักษณะเป็นฟันเลื่อย ไม่มีครีบไขมัน ส่วนหัวแบนยาวเรียวแหลมครีบหลังอันที่สอง ครีบก้นและครีบหางติดต่อกัน นอกจากนี้ยังมีอวัยวะพิเศษช่วยในการหายใจอยู่ที่รูก้น ด้านหลังลำตัวมีสำดำปนน้ำตาล ด้านท้องมีสีขาว ปลาขนาดเล็กจะมีลายแถบสีขาวปนเหลือง 3 แถบพาดไปตามยาวลำตัว เมื่อโตขึ้นแถบเหล่านี้จะเลือนหายไปกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนแทน โดยที่ปลาดุกทะเลชนิดนี้ ตามเงี่ยงแข็งในแต่ละครีบนั้นมีพิษร้ายแรงมาก ถึงขนาดมีรายงานแทงมนุษย์จนถึงขั้นเสียชีวิตมาแล้ว มีความยาวเต็มที่ประมาณ 60 เซนติเมตร แต่ขนาดที่พบทั่วไปคือ 30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปตั้งแต่ทะเลแดง, ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก, ซามัว, ทะเลญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และพบในทะเลสาบน้ำจืดของทวีปแอฟริกา เช่น ทะเลสาบมาลาวี และมาดากัสการ์ด้วย ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน รวมถึงในปากแม่น้ำเจ้าพระยา ปลาวัยอ่อนจะอาศัยอยู่รวมเป็นฝูงในทะเลใกล้ชายฝั่ง ในแนวปะการังหรือตามกอสาหร่าย เป็นปลาที่หากินในเวลากลางคืน โดยมักจะขุดรูอยู่ในดินหรือเลนใกล้ชายฝั่ง เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม และนิยมนำมาบริโภคกันโดยปรุงสุด แต่เนื้อมีกลิ่นคาวจึงมักจะนำไปปรุงประเภทรสจัดเช่น ผัดฉ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกทะเลลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกด้าน

ปลาดุกด้าน (อังกฤษ: Walking catfish, Batrachian walking catfish; ชื่อวิทยาศาสตร์: Clarias batrachus) เป็นปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาดุก (Clariidae) มีรูปร่างค่อนข้างยาวเรียว ส่วนหางค่อนข้างแบน มีสีเทาปนดำ ส่วนท้องมีสีขาว สามารถเคลื่อนที่บนบกได้เป็นระยะทางสั้น ๆ โดยใช้ครีบ เรียกว่า "ปลาแถก" ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 50 เซนติเมตร พบได้ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง, ลุ่มน้ำเจ้าพระยา, คาบสมุทรมลายู, เกาะสุมาตรา, เกาะชวา, เกาะบอร์เนียว, ฟิลิปปินส์ และมีรายงานว่าพบในศรีลังกา, บังกลาเทศ, อินเดีย และพม่า ถูกควบคุมการซื้อขายในประเทศเยอรมนี และมีรายงานจากบางประเทศว่าส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศหลังจากนำเข้าไป เนื่องจากเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ ปลาดุกด้านเป็นปลาที่ใช้เป็นอาหารชนิดสำคัญชนิดหนึ่ง และปลาสีเผือกหรือสีที่แปลกไปจากปกติ ยังถูกเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย ในประเทศไทย ปลาดุกด้านถือเป็นปลาน้ำจืดเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง ถูกนำมาปรุงเป็นอาหารต่าง ๆ เช่น ปลาดุกย่าง, ปลาดุกฟู หรือปลาหยอง เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกด้าน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกแอฟริกา

ปลาดุกแอฟริกา เป็นปลาน้ำจืดในอันดับปลาหนังชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Clarias gariepinus ในวงศ์ปลาดุก (Clariidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายปลาดุกด้าน (C. batrachus) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน แต่มีส่วนหัวยาวกว่าและแนวระหว่างจะงอยปากถึงท้ายทอยเว้าและโค้งลาด ด้านบนของศีรษะขรุขระกว่า เมื่อมองจากด้านบนจะเห็นเป็นรูปสามเหลี่ยม ท้ายทอยแหลมเป็นโค้ง 3 โค้ง โดยส่วนกลางยื่นยาวมากที่สุด ลำตัวยาว ครีบหลังและครีบก้นยาว ลำตัวด้านบนมีสีน้ำตาลคล้ำอมเหลือง และมีลายแต้มแบบลายหินอ่อนบนลำตัว แก้มและท้องสีจาง ที่โคนครีบหางมีแถบตามแนวตั้งสีจาง ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของปลาชนิดนี้ ครีบมีสีเข้ามกว่าลำตัวเล็กน้อย บางตัวอาจมีขอบครีบสีแดง นับเป็นปลาที่ขนาดใหญ่สุดในสกุล Clarias ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 1.70 เมตร เป็นปลาพื้นเมืองของทวีปแอฟริกา พบได้ในตอนเหนือและตอนตะวันออกของทวีป สำหรับในประเทศไทยได้ถูกนำเข้ามาในปี พ.ศ. 2528 โดยเอกชนบางรายในจังหวัดหนองคายและอุบลราชธานี โดยนำเข้ามาจากประเทศลาวเพื่อเลี้ยงไว้ดูเล่น เนื่องจากมีขนาดลำตัวใหญ่กว่าปลาดุกทั่วไป ต่อมากรมประมงได้นำมาทดลองผสมข้ามพันธุ์กับปลาดุกอุย (C. macrocephalus) พบว่าลูกผสมระหว่างพ่อปลาดุกแอฟริกาและแม่ปลาดุกอุยมีผลการรอดสูง และมีการเจริญเติบโตเร็วที่สุด เนื้อมีรสชาติที่ดีขึ้น จึงส่งเสริมและแพร่วิธีการเพาะขยายพันธุ์และเลี้ยงดูสู่เกษตรกรอย่างกว้างขวาง จนปัจจุบันนี้ กลายเป็นปลาเศรษฐกิจที่ได้รับความนิยมชนิดหนึ่งของไทย และเรียกชื่อลูกปลาผสมนี้ว่า "ปลาดุกบิ๊กอุย" แต่ในปัจจุบัน สถานะของปลาดุกแอฟริกาในประเทศไทย จากบางส่วนได้หลุดรอดและถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้เป็นสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นชนิดหนึ่งที่คุกคามการอยู่รอดสัตว์น้ำพื้นเมืองของไทย สำหรับชื่ออื่น ๆ ที่เรียกปลาดุกแอฟริกา ก็ได้แก่ "ปลาดุกรัสเซีย", "ปลาดุกเทศ" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกไฟฟ้า

ปลาดุกไฟฟ้า (Electric catfish) เป็นสกุลปลาหนังน้ำจืดในวงศ์ปลาดุกไฟฟ้า (Malapteruridae) ใช้ชื่อสกุลว่า Malapterurus (/มา-แลป-เทอ-รู-รัส/) โดยมาจากภาษากรีกคำว่า μαλακός (malakos) หมายถึง "อ่อนนุ่ม", πτερων (pteron) หมายถึง "ครีบ" และ ουρά (oura) หมายถึง "หาง" โดยมีความหมายถึง ครีบไขมันที่แลดูโดดเด่น เนื่องจากปลาในสกุลนี้ไม่มีครีบหลัง โดยรวมมีรูปร่างกลมยาวอวบอ้วนทรงกระบอกคล้ายไส้กรอก ตามีขนาดเล็ก ริมปากหนาและรูจมูกกลมและมีความห่างจากกันพอสมควร ช่องเหงือกแคบและบีบตัว มีหนวดสามคู่ ไม่มีครีบหลัง มีครีบไขมันขนาดใหญ่อยู่ค่อนไปทางส่วนท้ายของลำตัวติดกับครีบหาง ครีบทุกครีบปลายครีบมนกลม ถุงลมแบ่งเป็นสองห้องยาว มีลำตัวทั่วไปสีน้ำตาลหรือเทา และมีลายจุดหรือกระสีคล้ำกระจายอยู่บนหลังและด้านข้างลำตัว ใต้ท้องเป็นสีขาวไม่มีลาย คอดหางมีลายแถบสีคล้ำสลับขาว และครีบหางมีลายสีขาวคล้ายรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวอยู่กลางครีบ เป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ เช่น แม่น้ำไนล์, แม่น้ำคองโก, แม่น้ำแซมเบซี, แม่น้ำไนเจอร์ และแม่น้ำหลายสาย ในทวีปแอฟริกา รวมถึงทะเลสาบต่าง ๆ เช่น ทะเลสาบแทนกันยีกา หรือทะเลสาบชาด มีอวัยวะที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว ซึ่งสามารถปล่อยได้มากถึง 350 โวลต์ ในขนาดลำตัว 50 เซนติเมตร (19 นิ้ว) โดยชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ยาวได้ถึง 122 เซนติเมตร (48 นิ้ว) และน้ำหนัก 20 กิโลกรัม (44 ปอนด์) อาศัยอยู่ในน้ำขุ่นและมีวัสดุต่าง ๆ เช่น ตอไม้หรือโพรงหินสำหรับหลบซ่อนตัว โดยใช้ไฟฟ้าในการป้องกันตัวและช็อตเหยื่อสำหรับเป็นอาหาร เป็นปลาที่เคลื่อนไหวได้เชื่องช้า เมื่อช็อตเหยื่อจนสลบแล้วจึงค่อยกลืนกิน มีการจับคู่ผสมพันธุ์ด้วยการขุดโพรงยาวถึง 3 เมตร (10 ฟุต) ที่ริมตลิ่งในระดับความลึกประมาณ 1-3 เมตร (3.3-9.8 ฟุต) เป็นปลาที่มนุษย์ใช้รับประทานเป็นอาหารมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกไฟฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกไฟฟ้ายักษ์

ปลาดุกไฟฟ้ายักษ์ (Smallmouth electric catfish) ปลาน้ำจืดในอันดับปลาหนังชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาดุกไฟฟ้า (Malapteruridae) มีรูปร่างอ้วนป้อม ลำตัวยาว ครีบทั้งหมดสั้น ส่วนหัวมีลักษณะเรียวแหลม ช่องปากมีขนาดเล็ก มีหนวดอยู่สามคู่รอบ ๆ ปาก ใช้รับสัมผัสหาอาหาร สีของลำตัวเป็นสีเทาหรือสีน้ำเงินอ่อนมีลายจุดสีดำอยู่ทั่วตัว ใต้ท้องสีขาว อาศัยอยู่ตามพื้นท้องน้ำในแหล่งน้ำนิ่ง โดยจะหลบอาศัยตามโพรงหิน โพรงไม้ และตามรากไม้จมน้ำต่าง ๆ สภาพเป็นน้ำขุ่นแสงส่องผ่านได้น้อย พบเฉพาะในทวีปแอฟริกาเท่านั้น เป็นปลาที่ไม่ค่อยจะเคลื่อนไหวและเคลื่อนไหวได้ช้า โดยกินสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร โดยการช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าและกลืนกินลงไปทั้งตัว เป็นปลาที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วมาก นับเป็นปลาดุกไฟฟ้าชนิดที่ใหญ่ที่สุด ตัวที่ใหญ่ที่สุดพบยาวถึง 122 เซนติเมตร นิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกไฟฟ้ายักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุกไฟฟ้าแอฟริกา

ปลาดุกไฟฟ้าแอฟริกา (African electric catfish) ปลาน้ำจืดในอันดับปลาหนังชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาดุกไฟฟ้า (Malapteruridae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุกไฟฟ้าแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาดุมชี

ปลาดุมชี ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nandus oxyrhynchus อยู่ในวงศ์ปลาเสือดำ (Nandidae) มีรูปร่างคล้ายปลากะพงทั่วไป แต่มีส่วนหน้ายื่นยาวกว่า ปากกว้างสามารถยืดออกไปได้มาก ลำตัวมีลายสีด่างคล้ำ เนื่องจากต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม มีลายพาดสีดำที่ลูกตาไปจนถึงโคนครีบหลัง กลางหัวมีแถบสีจาง ครีบสีคล้ำ ครีบก้นใสและมีจุดสีคล้ำ มีความยาวประมาณ 6 เซนติเมตร-10 เซนติเมตร เป็นปลาที่เพิ่งถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1996 มักอาศัยอยู่นิ่ง ๆ ตามใบไม้ใต้น้ำหรือกองหินเพื่อดักล่าเหยื่อที่มีชีวิต ซึ่งได้แก่ ลูกกุ้ง ลูกปลาขนาดเล็ก และแมลง พบอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำนิ่งที่มีพืชน้ำหนาแน่นในภาคกลางและภาคอีสานของประเทศ เป็นปลาที่มักตายอยู่บ่อย ๆ เมื่อจับขึ้นมาพ้นน้ำ หรือขี้ตื่นตกใจ จึงได้ชื่อเรียกในภาษาอีสานว่า "ปลาเสียจิต" หรือ "ปลาบ่มีจิต" ที่นครสวรรค์นิยมเรียกว่า "ปลาเสือปรือ" หรือ "ปลาเสือดำ" นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งมีชื่อเรียกในวงการปลาสวยงามว่า "ปลาเสือลายเมฆ".

ใหม่!!: สัตว์และปลาดุมชี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาคลาวน์คิลลี่ฟิช

ปลาคลาวน์คิลลี่ฟิช (Clown killi, Banded panchax, Rocket panchax;; Epi เป็นภาษากรีกหมายถึง "ยอด" หรือ "อยู่บน" platys หมายถึง "แบนราบ", annulatus เป็นภาษาละติน หมายถึง "วงแหวน", โดยรวมหมายถึงลักษณะที่มีปล้องลำตัวเหมือนวงแหวนที่ว่ายน้ำแบนราบไปกับผิวน้ำ) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาคิลลี่ฟิช จัดอยู่ในวงศ์ Nothobranchidae พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนใต้ของกินี, เซียร์ราลีโอน ไปจนถึงไลบีเรีย พบในแหล่งน้ำจืดช่วงที่ใกล้กับชายฝั่งทะเล โดยอาศัยอยู่ในลำธารน้ำที่ไหลเอื่อย ๆ ในป่าเปิดแบบสะวันนา และลำธารในเขตป่าฝน มักอาศัยในลำธารที่มีพรรณไม้น้ำขึ้นอยู่หนาแน่น เนื่องจากวางไข่ไว้ตามใบของพืชน้ำ ส่วนหัวมีจุดกลมเล็ก ๆ เห็นเด่นชัด เชื่อว่ามีไว้เพื่อเป็นประสาทรับแสงสว่าง เพื่อให้รู้ถึงความมืด-สว่าง ในช่วงเวลากลางวัน สีสันตามลำตัวมีความหลากหลายมาก ตามแหล่งที่มา เช่น มีครีบสีส้มเข้ม และครีบอกสีฟ้า-เขียว หรือครีบหลังและครีบอกที่เป็นสีน้ำตาลเหลืองอ่อน มีความยาวเต็มที่ 4-5 เซนติเมตร ในตัวผู้ และ 3-4 เซนติเมตร ในตัวเมีย โตเต็มที่เมื่ออายุได้ 2 ปี นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ และสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้ ราวทุก ๆ 1-2 วัน จะออกไข่เสมอ ใช้เวลาราว 12-14 วัน ในการฟักเป็นตัว หน้า 44-49, ผีเสื้อน้อยแห่งแอฟริกา Epiplatys annulatus.

ใหม่!!: สัตว์และปลาคลาวน์คิลลี่ฟิช · ดูเพิ่มเติม »

ปลาคลุด

ปลาคลุด (Orbfish, Spadefish) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหูช้าง (Ephippidae) เป็นปลาที่มีส่วนลำตัวลึกแบน ส่วนโค้งของหัวลาดชันมาก มีปากเล็ก ตาโต จะงอยปากสั้นก้านครีบแข็งแยกจากครีบอ่อนได้ชัดเจน จะมีส่วนก้านครีบยื่นออกไป 2-4 ก้าน ครีบอกเล็กสั้นและกลมมีแถบสีดำ 4-5 เส้น พาดจากส่วนหลังไปทางด้านท้อง มีพื้นลำตัวออกสีเงิน ครีบหลัง ครีบท้อง ครีบก้นมีรอยแต้มสีดำ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไปคือ 15 เซนติเมตร เป็นปลาที่อาศัยและหากินตามพื้นดินที่มีสภาพเป็นโคลนเลน พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแถบอินโด-แปซิฟิค, แอฟริกาใต้, อินเดีย, อ่าวไทย พบจนถึงออสเตรเลียตอนเหนือ, เกาะไต้หวัน, ทะเลญี่ปุ่น เป็นปลาที่ใช้บริโภคได้ โดยเนื้อใช้ปรุงอาหารและแปรรูปทำเป็นปลาเค็ม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาคลุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาคาร์ดินัล

ปลาคาร์ดินัล หรือ ปลาคาร์ดินัลเตตร้า หรือ ปลานีออนแดง (อังกฤษ: Cardinal, Red neon; ชื่อวิทยาศาสตร์: Paracheirodon axelrodi) เป็นปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาคาราซินของอันดับปลาคาราซิน มันเป็นสัตว์ประจำถิ่นทางเหนือของแม่น้ำโอริโนโคและแม่น้ำนิโกรของอเมริกาใต้ เมื่อโตเต็มที่จะยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ลักษณะของปลาคาร์ดินัลจะมีเส้นเหลือบสีน้ำเงินสดใสอันลักษณะประจำปลาในสกุล Paracheirodon ซึ่งเป็นปลาที่มีเส้นแบ่งด้านข้าง ร่างกายส่วนร่างเส้นนี้จะเป็นสีแดงสดดังนั้นจึงได้ชื่อว่า คาร์ดินัลเตตร้า คาร์ดินัลมองดูคล้ายญาติสนิทคือ ปลานีออนเตตร้า ซึ่งมักทำให้สับสนกันเป็นประจำ อย่างไรก็ตามสีแดงของปลานีออนจะมีแค่ครึ่งหนึ่งของลำตัวและเส้นสีน้ำเงินจะเปล่งประกายน้อยกว่า ลักษณะสะท้อนแสงของปลาชนิดนี้และปลานีออนเป็นสีทางโครงสร้างเกิดจากการสะท้อนแสงภายในผลึกguanineซึ่งพัฒนามาจากเซลล์พิเศษที่เรียกว่าiridocytesในชั้นใต้ผิวหนัง สีน้ำเงินที่มองเห็นนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นกับมุมที่มองถ้ามองจากล่างขึ้นบนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มจนกระทั่งเป็นสีคราม อย่างไรก็ตามถ้าเปลี่ยนมามองจากข้างบนตัวปลาสีก็จะกลายเป็นสีเขียว ปลาคาร์ดินัลเป็นปลาตู้ที่คนนิยมอย่างมากแต่ว่าแพร่หลายน้อยกว่าปลานีออนเพราะว่าจนเมื่อไม่นานมานี้มันเป็นการยากที่จะเพาะพันธุ์ในที่เลี้ยง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน นักเพาะพันธุ์หลายรายก็สามารถที่จะเพาะพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว แต่ก็มีประเด็นที่น่าสนใจอย่างหนึ่งในการตัดสินใจว่าเราควรซื้อปลาคาร์ดินัลที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงหรือปลาที่ครีบขาด ๆ จากการจับจากธรรมชาติ โดยปกตินักเลี้ยงปลามักซื้อปลาเพาะแต่นักวิชาการชาวบราซิลเชื่อว่านักสะสมปลาควรที่จะสนับสนุนการจับปลาคาร์ดินัลของลุ่มน้ำอเมซอนต่อไป เพราะนับตั้งแต่คนหลายพันในท้องถิ่นถูกจ้างให้จับปลาเพื่ออุตสาหกรรมปลาตู้ มันมีข้อบ่งชี้ว่าถ้าชาวประมงเหล่านั้นสูญเสียวิถีชีวิตของพวกเขาในการจับปลาคาร์ดินัลและปลาเขตร้อนอื่นๆ พวกเขาอาจกลับไปตั้งหน้าตั้งตาตัดไม้ทำลายป่าต่อ ปลาเป็นสัตว์จำพวกที่รอบปีมีผลกับมันด้วยและช่วงชีวิตของมันจะมีเพียงแค่ปีเดียวในธรรมชาติ แต่ในที่เลี้ยงมันจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงเจ็ดปี อุตสาหกรรมทั้งหมดที่บาร์เซลอสบนฝั่งของแม่น้ำริโอเนรโกของบราซิลที่ซึ่งชาวบ้านจับปลาสำหรับอุตสาหกรรมปลาตู้ การจับปลาคาร์ดินัลนั้นถูกประเมิณราคาไว้สูงมากโดยชาวบ้านที่สวมบทบาทเป็นผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อม มันอาจกล่าวได้ว่าพวกชาวบ้านจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมที่มีความเป็นไปได้ที่จะทำลายธรรมชาติ เช่นการตัดไม้ทำลายป่าเพราะว่าพวกเขาสามารถเลี้ยงชีพอยู่ได้ด้วยการประมง บางทีระหว่างที่พวกเขาจับจากแหล่งกำเนิด คาร์ดินัลมีแนวโน้มว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนในการจับ ในธรรมชาติปลาเหล่านี้อาศัยอยู่ในน้ำอ่อนสุดๆ มีความเป็นกรดแต่ดูเหมือนมันก็จะทนทานกับน้ำที่มีภาวะกระด้าง เป็นด่าง สิ่งที่ต้องกังวลที่สุดก็คือน้ำในตู้ที่มีมลพิษ(รวมทั้งน้ำที่มีไนเตรทในระดับสูง) พวกมันพอใจน้ำที่อุ่นสักหน่อย และยอมรับกับอาหารแห้งส่วนใหญ่ได้เร็วมาก ปลาคาร์ดินัลเพาะมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเข้ากับน้ำกระด้างได้ดีกว่าปลาคาร์ดินัลที่จับจากธรรมชาติ P. axelrodi มักถูกเรียกว่าปลานีออนแดงอีกด้วย Cheirodon axelrodi (ชื่อดั้งเดิม)และ Hyphessobrycon cardinalisเป็นชื่อเรียกที่เลิกใช้ไปแล้ว ชื่อสามัญของมัน(คาร์ดินัลเตตร้า)มาจากการที่สีแดงแวววาวของมันชวนให้นึกถึงเสื้อคลุมยาวของพระคาร์ดินัลส่วนชื่อรองของมันตั้งให้เป็นเกียรติแก่นักสัตววิทยา Herbert R. Axelrod.

ใหม่!!: สัตว์และปลาคาร์ดินัล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาคาร์ป

ปลาคาร์ป (Carp) เป็นสกุลของปลาน้ำจืด ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Cyprinus (/ไซ-พริน-อัส/) เป็นปลาที่มีลำตัวป้อมยาวและแบนข้าง มีจุดเด่น คือ มีหนวดที่ริมฝีปาก อันเป็นลักษณะสำคัญของสกุล เป็นปลาที่มนุษย์รู้จักเป็นอย่างดี โดยเชื่อว่าเป็นปลาชนิดแรกที่ได้มีการเลี้ยง เป็นระยะเวลานานกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ในฐานะการเลี้ยงเพื่อการบริโภคเป็นอาหาร ต่อมาชาวจีนก็ได้ ปรับปรุงสายพันธุ์ให้มีสีสันสวยงามขึ้นกว่าเดิม จนกลายเป็นปลาสวยงามเช่นในปัจจุบัน เป็นปลาที่กระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในทวีปเอเชีย ตั้งแต่ เอเชียเหนือ, เอเชียตะวันออก, เอเชียกลาง ไปจนถึงอิหร่าน ในภูมิภาคตะวันออกกลาง หลายชนิดเป็นปลาเฉพาะถิ่นที่พบได้แต่เฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น และบางชนิดก็สูญพันธุ์ไปแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาคาร์ป · ดูเพิ่มเติม »

ปลาคาร์ปเลต

ปลาคาร์ปเลต (Carplet) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ในสกุล Amblypharyngodon จัดในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาซิวจำพวกหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ในประเทศอินเดียและเมียนมา ในประเทศไทยพบเพียงชนิดเดียว โดยที่ชื่อสกุลนั้นมาจากภาษากรีกโบราณคำว่า ἀμβλύς (amblús) หมายถึง "ทื่อ", φάρυξ (pháruks) หมายถึง "ลำคอ" และ ὀδών (odṓn) หมายถึง "ฟัน" โดยมีความหมายถึง รูปร่างที่แบนหรือเว้าของฟันในปลาสกุลนี้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาคาร์ปเลต · ดูเพิ่มเติม »

ปลาคางคก

ปลาคางคก หรือ ปลาย่าดุก (อังกฤษ: Freshwater toadfish, Grunting toadfish, Freshwater stonefish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง จำพวกปลาคางคก (Batrachoididae) ชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายกับปลาย่าดุก (Batrachomoeus trispinosus) ที่มีลักษณะใกล้เคียงและพบในแหล่งที่อยู่เดียวกัน ด้วยมีสีเลอะทั้งลำตัว หัวมีขนาดใหญ่ มุมปากกว้าง ตากลมโต แต่ว่าปลาคางคกมีลายแถบที่ครีบอกมีมากกว่า โดยมีถึง 7-8 ขีด (ขณะที่ปลาย่าดุก มี 3-4 ขีด) ขณะที่หนวดที่บริเวณแก้มและหัวของปลาย่าดุก แตกแขนงมากกว่าปลาคางคก มีความยาวเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ตามพื้นโคลนหรือเลนตามปากแม่น้ำขนาดใหญ่ในเขตร้อนและอบอุ่นของทวีปเอเชีย ตั้งแต่ อินเดีย, บังกลาเทศ, พม่า, ไทย, เวียดนาม จนถึงฟิลิปปินส์ พบได้น้อยมากในแหล่งที่เป็นน้ำจืดสนิท หากินในเวลากลางคืนด้วยการซุมรอเหยื่ออย่างนิ่ง ๆ ด้วยการเขมือบกินไปทั้งตัว เหมือนเช่นปลาคางคกชนิดอื่น ๆ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยมีการปรับสภาพให้เข้ากับน้ำจืดได้เหมือนกับปลาย่าดุก โดยมีชื่อเรียกเฉพาะในแวดวงปลาสวยงามว่า "ปลาสิงโต" หรือ "ปลาแซมเบ้"หน้า 110-129, Amphidromous story สุดยอดนักล่า ปลาสองน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาคางคก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาคางเบือน

ปลาคางเบือน (Twisted-jaw catfish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) ชนิดหนึ่ง มีลักษณะส่วนหัวแบนข้างมากเช่นเดียวกับลำตัว รูปร่างเพรียวยาว ด้านท้ายเล็กหัวและจะงอยปากงอนขึ้นด้านบน ปากกว้างมาก คางเชิดขึ้น จึงได้ชื่อว่า "คางเบือน" มีฟันแหลมคมบนขากรรไกร ตาโตอยู่ตอนกลางของหัว ใกล้มุมปากมีหนวด 1 คู่ยาวจนถึงครีบอก ครีบหลังเล็กมาก ครีบอกใหญ่ปลายแหลม ครีบท้องเล็ก ครีบหางเล็กเว้าตื้น ตัวมีสีเงินวาวหรือเหลือบสีเขียวอ่อน ด้านท้องสีจาง ครีบก้นและครีบหางมีขอบสีคล้ำ มีขนาดประมาณ 35-40 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 80 เซนติเมตร พบในแม่น้ำสายใหญ่ทั่วประเทศ ยกเว้นแม่น้ำสาละวินและภาคตะวันออก ในธรรมชาติมักอยู่ในแหล่งน้ำที่มีกระแสน้ำไหลเวียนดี โดยหันหน้าทวนกระแสน้ำเพื่อดักจับกินลูกปลาขนาดเล็ก ๆ ที่รวมฝูงกันตามตอม่อสะพาน หรือบริเวณประตูน้ำหน้าเขื่อน เนื้อมีรสชาติดีและราคาแพง สามารถปรุงเป็นอาหารได้หลายชนิด เช่น ทอดกระเทียม ต้มยำ และยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย โดยปลาที่เลี้ยงกันจะเป็นปลาที่จับได้จากธรรมชาติ มักจะมีขายกันในช่วงปลายฤดูฝน ปลาคางเบือนยังมีชื่อเรียกในภาษาอีสานอีกว่า "เบี้ยว", "ขบ", "ปากวิบ" หรือ "แก็ก" เป็นปลาชนิดหนึ่งที่มีชื่อถูกกล่าวถึงกาพย์แห่ชมปลาของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร ไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ที่ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาคางเบือน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาคิลลี่ฟิชราโชวี่อาย

ปลาคิลลี่ฟิชราโชวี่อาย (Bluefin notho, Rainbow killifish) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาคิลลี่ฟิช ในวงศ์ปลาหัวตะกั่ว (Aplocheilidae) จัดเป็นปลาขนาดเล็ก ตัวผู้ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5 เซนติเมตร ตัวเมียขนาด 4 เซนติเมตร เป็นปลาที่มีสีสันสวยงามมาก โดยมีลำตัวสีส้มแดง เกล็ดมีสีฟ้าสะท้อนแสง ครีบหางเป็นสีส้ม ขอบหางสีดำ กระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกาตะวันออกจนถึงแอฟริกาใต้ เช่น อุทยานแห่งชาติครูเกอร์ในแอฟริกาใต้ โดยมักพบในแหล่งน้ำตื้น ๆ ที่จะแห้งเหือดลงในฤดูร้อน แพร่กระจายพันธุ์โดยการวางไข่ฝังไว้ในพื้นดิน ในขณะที่ปลาตัวพ่อและแม่จะตายไป จึงเป็นปลาที่มีวงจรชีวิตสั้น ซึ่งไข่สามารถที่จะผ่านพ้นช่วงน้ำแห้งไปได้จนกระทั่งฝนตกลงมาใหม่ ทำให้แหล่งน้ำเต็มอีกครั้ง ลูกปลาจึงฟักเป็นตัว โดยไข่สามารถเก็บไว้ได้นานถึง 1-8 เดือน เป็นปลาที่มีความสวยงามมากชนิดหนึ่ง จึงนิยมที่จะเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ ซึ่งสามารถเก็บไข่ปลาในลักษณะแห้งซื้อขายส่งต่อเพื่อที่จะนำมาฟักต่อกันเองได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาคิลลี่ฟิชราโชวี่อาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาคู้

ปลาคู้ หรือ ปลาเปคู (Pacu ปากู) หรือที่นิยมเรียกกันในเชิงการเกษตรว่า ปลาจะละเม็ดน้ำจืด เป็นชื่อสามัญที่เรียกปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่งในวงศ์ปลาคาราซิน (Characidae) ในวงศ์ย่อย Serrasalminae หรือวงศ์ย่อยของปลาปิรันยา ปลาคู้มีรูปร่างโดยรวมคล้ายกับปลาปิรันยาซึ่งอยู่ในวงศ์ย่อยเดียวกัน หากแต่อยู่ต่างสกุลกัน โดยปลาคู้นั้นจะมีรูปร่างที่ใหญ่โตกว่าปลาปิรันยามาก โดยอาจยาวได้ถึง 80-110 เซนติเมตร และอาจหนักได้เกือบ 40 กิโลกรัม และมีพฤติกรรมที่ต่างกัน คือ ปลาคู้จะกินได้ทั้งพืชและสัตว์ โดยบางครั้งอาจจะขึ้นไปบนผิวน้ำเพื่อรอกินผลไม้หรือลูกไม้ที่ร่วงหล่นจากต้นได้เลย ขณะที่ปลาปิรันยาจะกินแต่เนื้อเพียงอย่างเดียว อีกประการหนึ่งที่แตกต่างกัน คือ ฟันและกรามของปลาคู้แม้จะแข็งแรงและแหลมคม แต่ก็ไม่เป็นซี่แหลมเหมือนปลาปิรันยา และกรามล่างจะไม่ยื่นยาวออกมาจนเห็นได้ชัด ปลาคู้มักอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง กระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้เช่น อเมซอน, โอรีโนโก เป็นต้น รูปแสดงให้เห็นถึงฟันของปลาคู้ ปลาที่ได้ชื่อว่าเป็น ปลาคู้ จะเป็นปลาที่อยู่ในสกุล Acnodon, Colossoma, Metynnis, Mylesinus, Mylossoma, Ossubtus, Piaractus, Tometes และUtiaritichthys เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาเศรษฐกิจในหลายส่วนของโลกรวมถึงในประเทศไทยด้วย เนื่องจากเป็นปลาที่โตได้เร็วมาก กินเก่ง กินอาหารได้ไม่เลือก อีกทั้งยังพบว่าเป็นปลาที่ช่วยในการกำจัดหอยเชอรี่อันเป็นศัตรูข้าวที่สำคัญได้อีกด้วย ประกอบกับเนื้อมีรสชาติอร่อยสามารถปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย อีกทั้งนิยมตกกันเป็นเกมกีฬาด้วย แต่ด้วยความแพร่หลายนี้ ทำให้กลายเป็นปัญหาของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในบางพื้นที่ สำหรับในประเทศไทย ชนิดของปลาคู้ที่นำเข้ามาและนิยมเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย คือ ปลาคู้แดง (Piaractus brachypomus) และปลาคู้ดำ (Colossoma macropomum) ซึ่งเป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งทั้งสองชนิดนี้ยังนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามด้วย ปลาคู้ แม้จะได้ชื่อว่าไม่เป็นปลาอันตรายต่อมนุษย์เท่ากับปลาปิรันยา แต่ที่ปาปัวนิวกินีและสหรัฐอเมริกา กลับมีปลาคู้ที่มีพฤติกรรมกัดอัณฑะของผู้ที่ตกปลาหรือลงไปว่ายน้ำในแม่น้ำถึงขั้นเสียชีวิตมาแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาคู้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาคู้ดำ

ปลาคู้ดำ หรือ ปลาเปคูดำ (Blackfin pacu, Black pacu) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Colossoma macropomum อยู่ในวงศ์ปลาคาราซิน (Characidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายปลาปิรันยา ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในวงศ์เดียวกัน หากแต่ปลาคู้ดำจะมีส่วนเว้าของหน้าผากเว้าเข้ามากกว่า โคนหางจะคอดเล็ก ฟันภายในปากมีสภาพเป็นหน้าตัดคล้ายฟันมนุษย์ไม่แหลมคม เมื่อเทียบกับส่วนของลำตัว ลำตัวและปลายหางจะมีสีเงินปนดำ และเมื่อปลาโตยิ่งขึ้นในส่วนของสีดำนี้ก็จะเห็นชัดขึ้นด้วย มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 1 เมตร หนักได้ถึง 40 กิโลกรัม มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ในลุ่มแม่น้ำอเมซอนและแม่น้ำโอริโนโคซึ่งเป็นแม่น้ำสาขา มีพฤติกรรมชอบอาศัยอยู่รวมเป็นฝูง กินได้ทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งแตกต่างไปจากปลาปิรันยาที่จะกินเพียงสัตว์อย่างเดียว และยังสามารถกินเมล็ดพืชที่ตกลงน้ำได้อีกด้วย โดยมักไปรอกินบริเวณผิวน้ำ ปลาคู้ดำ จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์ย่อย Serrasalminae อันเป็นวงศ์ย่อยเดียวกับปลาปิรันยา แต่ไม่มีนิสัยดุร้ายเท่า มีชื่อเป็นภาษาพื้นเมืองเรียกว่า Tambaqui หรือ Cachama หรือ Gamitana และเป็นปลาเพียงชนิดเดียวด้วยที่อยู่ในสกุล Colossoma เป็นปลาที่นิยมบริโภคกันในท้องถิ่น สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่นเดียวกับปลาปิรันยาชนิดอื่น ๆ สำหรับในประเทศไทย ปลาคู้ดำได้เข้ามาสู่ประเทศไทยในฐานะเป็นปลาเศรษฐกิจที่กรมประมงส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยง โดยมีชื่อเรียกกันในแวดวงเกษตรว่า "ปลาจะละเม็ดน้ำจืด" เช่นเดียวกับ ปลาคู้แดง (Piaractus brachypomus) ด้วย นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย ซึ่งจากการนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามนี้ เมื่อปลาโตขึ้นผู้เลี้ยงไม่สามารถเลี้ยงต่อไปได้ไหว จึงนิยมนำไปปล่อยตามแหล่งน้ำธรรมชาติต่าง ๆ ทำให้ในปัจจุบัน มีปลาคู้ดำในแหล่งน้ำธรรมชาติตามที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เช่น เขื่อนศรีนครินทร์ เป็นต้น จัดเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในจำพวกชนิดพันธุ์ต่างถิ่นอีกชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาคู้ดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาคู้แดง

ปลาคู้แดง หรือ ปลาเปคูแดง (Red bellied pacu) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาคาราซิน (Characidae) วงศ์ย่อย Serrasalminae มีรูปร่างเหมือนกับปลาปิรันยาแดง (Pygocentrus nattereri) แต่ปลาคู้แดงมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่า กรามล่างไม่ยื่นยาวออกมาและลักษณะของฟันไม่แหลมคมเหมือนกับปลาปิรันยาแดง เกล็ดมีขนาดเล็กละเอียด มีสีสันแวววาวเหมือนกับปลาปิรันยาแดง แต่ในส่วนของสีแดงไม่เข้มเท่า แต่ลูกปลาวัยอ่อนมีจุดกลมสีแดงเหมือนกัน และจุดเหล่านี้จะค่อย ๆ เล็กลงและหายไปเมื่อปลาโตขึ้น ปลาคู้แดง มีขนาดโตเต็มที่ยาวได้ 80 เซนติเมตร น้ำหนักหนัก 25 กิโลกรัม (ขนาดและน้ำหนักโดยเฉลี่ยคือ 45 เซนติเมตร และน้ำหนัก 2-3 กิโลกรัม) มีถิ่นกำเนิดในลุ่มแม่น้ำอเมซอนและแม่น้ำโอริโนโคในประเทศอาร์เจนตินา นิยมอยู่รวมกันเป็นฝูง กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ โดยเฉพาะพืชเช่นเมล็ดพืชหรือลูกไม้ที่ร่วงหล่นจากต้น โดยจะไปรอกินถึงบริเวณผิวน้ำเลยทีเดียว ปลาคู้แดงขณะเมื่อยังเล็ก ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม เป็นปลาที่นิยมทำเป็นอาหารของชนพื้นถิ่น มีชื่อเรียกในภาษาพื้นเมืองว่า Pirapitinga ในประเทศไทยปลาคู้แดงถูกนำเข้ามาครั้งแรกในฐานะปลาสวยงาม เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาคู้แดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาคู้แดง (สกุล)

ปลาคู้แดง (Pacu) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในสกุล Piaractus (/พิ-อา-แร็ค-ตัส/) ในวงศ์ปลาปิรันยา (Serrasalmidae) (ในบางข้อมูลจัดให้อยู่ในวงศ์ Characidae) จำแนกได้ 2 ชนิด เป็นปลากินพืชทั้งคู่ พบกระจายพันธุ์ได้ในทวีปอเมริกาใต้ มีการเลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ ทั้งคู.

ใหม่!!: สัตว์และปลาคู้แดง (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาค็อดน้ำแข็ง

ปลาค็อดน้ำแข็ง (Nototheniidae หรือ nothothens หรือ cod icefishes) เป็นปลาน้ำเค็มในตระกูลโนโทเธนไนเดประเภทปลากระดูกแข็งที่มีประมาณ 50 สปีชีส์และ 13 genera ที่มักจะจัดอยู่ในอันดับปลากะพงกับปลาในเครือเดียวกัน แต่สายพันธุ์และปลาที่เกี่ยวข้องกับสายอันดับปลากะพงจริงๆ ยังไม่ได้รับการศึกษาที่แน่นอน ปลาค็อดน้ำแข็งพบในมหาสมุทรตอนใต้และในบริเวณนอกฝั่งทวีปแอนตาร์กติกา ปลาค็อดน้ำแข็งอาศัยอยู่ตามพื้นทะเลและช่องคอลัมน์น้ำ แม้ว่าจะไม่มีถุงลมแต่ปลาค็อดน้ำแข็งก็ปรับตัวให้ดำรงชีวิตอยู่ใด้ในสถาวะน้ำลึกโดยการเพิ่ม fatty tissue และลดแร่ธาติในกระดูกซึ่งเป็นผลทำให้ความหนาแน่นของร่างกายเป็นกลาง และเชื่อกันว่าปลาค็อดใช้ม้ามในการกำจัดเกล็ดน้ำแข็งจากกระแสเลือด เมื่อน้ำในมหาสมุทรแอนตาร์กติกอยู่ในระดับราวระหว่าง –1 ถึง 4 องศาเซลเซียส สปีชีส์ส่วนใหญ่มีโปรตีนต้านความแข็งตัวเป็นน้ำแข็งในกระแสเลือดและของเหลวอื่น ๆ ภายในร่างก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาค็อดน้ำแข็ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาค้อมาเนิร์ท

ปลาค้อมาเนิร์ท หรือปลาค้อซี่กรง (Burmese border loach, Burmese-border sand loach, Red-tail sand loach) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาค้อ (Balitoridae) มีลักษณะทั่วไปเหมือนกับปลาในสกุลเดียวกัน มีความพิเศษที่โคนครีบหลังไม่มีจุดสีแดง ลำตัวไม่เพรียวยาวมาก ครีบหางเป็นแบบส้อม มีลายขวางครึ่งลำตัวหน้ามักแตกเป็นซี่เหมือนซี่กรง บางตัวหลังมีแต้มสีทองเล็กน้อย มีความยาวเต็มที่ประมาณ 6-10 เซนติเมตร พบการกระจายพันธุ์เฉพาะในลำธารและน้ำตกที่มีคุณภาพน้ำดี ในแนวป่าภาคตะวันตกในลุ่มแม่น้ำสาละวิน, แม่น้ำแม่กลอง เช่น อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ ในเขตอำเภอพบพระ จังหวัดตาก ต่อเนื่องลงถึงลุ่มแม่น้ำในเขตภาคใต้ฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นชายแดนระหว่างไทยกับพม่าเท่านั้น นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาค้อมาเนิร์ท · ดูเพิ่มเติม »

ปลาค้อถ้ำพระวังแดง

ปลาค้อถ้ำพระวังแดง เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Schistura spiesi อยู่ในวงศ์ปลาค้อ (Balitoridae) มีลักษณะลำตัวค่อนข้างป้อม สีเนื้ออมชมพูและเหลืองอ่อน ครีบมีสีใสสีเหลืองเรื่อ ๆ ตัวผู้มีส่วนหลังโค้งนูน รูจมูกมีติ่งแหลมคล้ายหนวด ตาลดขนาดเล็กจนมีขนาดเล็กมากจนเป็นจุดเล็ก ๆ เนื่องจากไม่ได้ใช้งานเพราะอาศัยอยู่ในถ้ำลึก ปากมีขนาดหนา มีลำตัวยาวประมาณ 8–13 เซนติเมตร เป็นปลาที่เพิ่งถูกค้นพบเมื่อ..

ใหม่!!: สัตว์และปลาค้อถ้ำพระวังแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาค้าวขาว

ปลาค้าวขาว หรือ ปลาเค้าขาว เป็นชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) มีส่วนหัวและจะงอยปากปากยื่นแหลม ปากกว้างมาก มุมปากอยู่เลยด้านหลังของลูกตา มีฟันแหลมเล็กบนขากรรไกร ตาเล็ก มีหนวดที่ริมฝีปากยาวถึงครีบก้น หัวและลำตัวตอนหน้าแบนข้างเล็กน้อย แต่ตอนท้ายแบนข้างมาก ส่วนหลังป่องออก ครีบหลังอันเล็กมีปลายแหลม ครีบหางเว้า ตื้น ครีบก้นยาว ครีบอกใหญ่ ตัวมีสีเงินวาวอมเขียวอ่อนที่ด้านหลัง ในปลาบางตัวมีแถบยาวสีคล้ำที่ด้านข้างลำตัว ด้านท้องสีจาง บางตัวอาจมีครีบสีคล้ำอมเหลืองอ่อน มีขนาดโดยเฉลี่ย 70–80 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 2 เมตร มักหากินในเวลากลางคืน อาหารได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่า เวลาล่าเหยื่อจะว่องไวและดุดันมาก ในบางครั้งที่ล่าเหยื่อบนผิวน้ำกระแทกตัวกับน้ำจนเกิดเสียงดังหนังสือสารานุกรมปลาไทย โดย สุรศักดิ์ วงศ์กิตติเวชสกุล (กรุงเทพ, พ.ศ. 2540) ISBN 9789748990026 พบในแม่น้ำสายใหญ่ ตั้งแต่ประเทศอินเดีย, ปากีสถาน, บังกลาเทศ, แม่น้ำสาละวินถึงแม่น้ำโขง พบน้อยในภาคใต้และคาบสมุทรมลายู เป็นปลาที่นิยมบริโภคโดยปรุงสด รมควัน มีราคาค่อนข้างสูง นอกจากนี้แล้วยังนิยมตกเป็นเกมกีฬาและเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้ โดยมีชื่อเรียกในภาคอีสานว่า "ค้าวคูน".

ใหม่!!: สัตว์และปลาค้าวขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาค้าวขาว (สกุล)

ปลาค้าวขาว หรือ ปลาเค้าขาว เป็นสกุลปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่งในอันดับปลาหนังของวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) ใช้ชื่อสกุลเป็นภาษาละตินว่า Wallago มีรูปร่างโดยรวมคือ ลำตัวยาว ลำตัวที่อยู่ค่อนไปทางหางมีลักษณะแบนข้างมาก ส่วนหัวมีขนาดใหญ่และแบน ปากกว้าง ภายในมีฟันซี่เล็ก ๆ อยู่ในขากรรไกรทั้ง 2 ข้าง มีหนวด 2 คู่ โดยคู่ที่อยู่มุมปากมีลักษณะเรียวยาว ส่วนคู่ที่ใต้คางจะสั้นและเล็กมาก มีครีบทั้งหมด 7 ครีบ ครีบก้นใหญ่และยาวจรดครีบหาง ขอบปลายหางด้านบนจะใหญ่กว่าด้านล่าง พบกระจายพันธุ์โดยทั่วไปตั้งแต่อนุทวีปอินเดียจนถึงแหลมมลายู มีอุปนิสัยคือมักอยู่นิ่ง ๆ กับพื้นน้ำ กินอาหารจำพวกปลาขนาดเล็กกว่า และออกหากินในเวลากลางคืน ปลาค้าวขาวจัดเป็นปลาขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ ที่พบได้ในทวีปเอเชีย และถือว่าใหญ่เป็นอันดับสองรองจากสกุล Silurus ที่พบได้ในทวีปยุโรป โดยมีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 1 เมตร ปัจจุบันพบว่ามีปลาทั้งหมด 2 ชนิดในสกุลนี้ ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาค้าวขาว (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาค้าวดำ

ปลาค้าวดำ หรือ ปลาเค้าดำ เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) จัดเป็นปลาที่อยู่ในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) ปลาค้าวดำมีรูปร่างลำตัวยาวแต่ค่อนข้างป้อม ลำตัวที่อยู่ค่อนไปทางหางมีลักษณะแบนข้างมาก พื้นลำตัวสีเทาถึงดำสนิท ส่วนหัวมีขนาดใหญ่และแบน ปากกว้าง ภายในมีฟันซี่เล็ก ๆ อยู่ในขากรรไกรทั้ง 2 ข้าง มีหนวด 2 คู่ โดยคู่ที่อยู่มุมปากมีลักษณะเรียวยาว ส่วนคู่ที่ใต้คางจะสั้นและเล็กมาก มีครีบทั้งหมด 7 ครีบ ครีบก้นใหญ่และยาวจรดครีบหาง ขอบปลายหางด้านบนจะใหญ่กว่าด้านล่าง ส่วนท้องป่องออก ส่วนหลังยกสูงขึ้นกว่าปลาค้าวขาว (Wallago attu) ซึ่งเป็นปลาที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน แต่จัดอยู่ในคนละสกุล มีขนาดลำตัวยาวได้ถึง 1 เมตร น้ำหนักกว่า 50 กิโลกรัม โดยอาจยาวได้ถึงกว่า 2 เมตร น้ำหนัก 80 กิโลกรัม สถิติที่ใหญ่ที่สุดพบที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ พฤติกรรมตามปกติ มักจะซุกตัวอยู่นิ่ง ๆ ใต้น้ำ เป็นปลาที่สายตาไม่ดี จึงใช้หนวดในการนำทางและหาอาหาร พบตามแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ทั้งภาคกลางและภาคอีสานรวมทั้งภาคใต้ของประเทศไทย เช่น แม่น้ำเจ้าพระยาและสาขา, แม่น้ำโขงและสาขา, แม่น้ำตาปีรวมทั้งที่ทะเลสาบสงขลาด้วย เป็นต้น ปลาค้าวดำ มีสถานภาพในปัจจุบันใกล้สูญพันธุ์อีกชนิดหนึ่งในธรรมชาติ แต่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้โดยสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในปี พ.ศ. 2534 โดยได้มีการปล่อยลูกปลาที่เพาะได้กลับคืนถิ่นธรรมชาติ ปลาค้าวดำเป็นปลาไทยอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่เป็นปลาที่มีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว หวงถิ่นที่อยู่อาศัยมาก กินปลาขนาดเล็กตัวอื่นเป็นอาหาร จึงมักเลี้ยงตัวเดียวเดี่ยว ๆ นอกจากนี้แล้ว ปลาค้าวดำเป็นปลาที่สามารถฮุบกลืนกินเหยื่อหรืออาหารขนาดใหญ่ได้ โดยในอดีตที่บ้านปากกิเลน อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เคยมีเหตุการณ์ปลาค้าวดำกินคนมาแล้ว โดยเกิดเหตุที่โป๊ะท่าน้ำ เมื่อทารกคนหนึ่งอุจจาระเลอะเปรอะเปื้อนทั้งตัว ผู้เป็นแม่จึงนำไปแกว่งล้างในแม่น้ำ ทันใดนั้นก็ได้มีปลาค้าวดำตัวใหญ่โผล่ขึ้นมาจากน้ำฮุบกินเด็กเข้าไปทั้งตัว เหตุการณ์นี้เป็นที่แตกตื่นตกใจของผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น นอกจากนี้แล้ว ปลาค้าวดำมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลาอีทุก" หรือ "ปลาทุก" ในภาษาอีสาน โดยเรียกตามสีลำตัวที่มีสีดำสนิทเหมือนกับคนสวมชุดไว้ทุก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาค้าวดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาค้างคาว (น้ำจืด)

ปลาค้างคาว หรือ ปลาติดหิน (Freshwater batfish, Bat catfish) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในชั้นปลากระดูกแข็งสกุลหนึ่ง มีชื่อสกุลว่า Oreoglanis (/ออ-รี-โอ-แกลน-อิส/) ในวงศ์ปลาแค้ (Sisoridae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาค้างคาว (น้ำจืด) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาค้างคาวดอยอินทนนท์

ปลาค้างคาวดอยอินทนนท์ (Siamese freshwater batfish, Siamese bat catfish) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กในอันดับปลาหนังชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแค้ (Sisoridae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาค้างคาวดอยอินทนนท์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตกเบ็ด

ปลาตกเบ็ด (anglerfish) หรือ ปลาแองเกลอร์ คือปลาทะเลลึกอยู่ในชั้นปลากระดูกแข็งซึ่งชื่อของมันตั้งมาจากวิธีการล่าเหยื่อของมันซึ่งคำว่า แองเกลอร์ (Angler) นั้นมีความหมายว่า ผู้ตกปลา พวกมันมีสายพันธุ์มากกว่า 200 ชนิดซึ่ง พวกมันสามารถพบได้ทั่วโลกตรงบริเวณที่เป็นไหล่ทวีปจนถึงทะเลลึกส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกและแอนตาร์กติกและยังอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำเขตร้อนตื้นๆด้วย พวกมันมีจุดเด่นตรงที่พวกมันมีติ่งเนื่อเรืองแสงที่คล้ายเบ็ดตกปลาซึ่งเอาไว้ใช่ในการล่อเหยือและมันยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือกรณีเพศสัณฐานของปรสิตเพศชายที่จะรวมตัวกันกับตัวเมี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตกเบ็ด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตกเบ็ดหลังค่อม

ปลาตกเบ็ดหลังค่อม (humpback anglerfish) เป็นสายพันธุ์ของปลาในตระกูล Melanocetidae ซึ่งเป็นปลาทะเลสีดำ เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ตกเบ็ดหลังค่อมหลังค่อม เป็นปลาน้ำลึกที่อาศัยอยู่ที่ระดับความลึกถึง 4,500 เมตร แต่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่บริเวณน้ำลึก 1,500 เมตร มีถิ่นกำเนิดในมหาสมุทรของโลกซึ่งสามารถพบได้ในเขตร้อนชื้นและในหลายพื้นที่ที่มีอุณหภูมิปานกลางเป็นที่รู้จักจากทะเลรอสในบนทวีปแอนตาร์กติกา มันถูกค้นพบและได้รับการตั้งชื่อตาม เจมส์ เยต จอห์นสัน Australian Museum.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตกเบ็ดหลังค่อม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตอง

ปลาตอง (Clown knifefishes, Featherbackfishes) เป็นสกุลปลากระดูกแข็งที่อยู่ใน วงศ์ปลากราย (Notoperidae) อันดับปลาลิ้นกระดูก (Osteoglossiformes) ใช้ชื่อสกุลว่า Chitala (/ไค-ตา-ลา/).

ใหม่!!: สัตว์และปลาตอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตองลาย

ปลาตองลาย (Royal knifefish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลากราย (Notopteridae) มีรูปร่างเหมือนปลาทั่วไปในวงศ์นี้ แต่มีส่วนหลังและหน้าผากลาดชันน้อยกว่าปลากราย (C. ornata) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน สีลำตัวเป็นสีเงินแวววาว ลำตัวด้านท้ายมีลายจุดและขีดจำนวนไม่แน่นอนคาดเฉียงค่อนข้างเป็นระเบียบ มีขนาดประมาณ 60 เซนติเมตร ใหญ่สุด 1 เมตร เป็นปลาที่พบได้เฉพาะแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขาที่ไหลสู่แม่น้ำโขง โดยมีรายงานพบเมื่อปี พ.ศ. 2510 และมีรายงานพบที่แม่น้ำน่านด้วยเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งถือว่าเป็นมีแค่เพียงสองแหล่งนี้ในโลกเท่านั้น เป็นปลาที่หายากชนิดหนึ่ง โดยมีชื่อติดอยู่ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List) เมื่อปี พ.ศ. 2537 ด้วย โดยอยู่ในระดับหายาก (R)แต่ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยการเพาะขยายพันธุ์สำเร็จเป็นครั้งแรกที่สถานีประมงน้ำจืดจังหวัดชัยนาท โดยพ่อแม่ปลาเป็นปลาที่จับมาจากแม่น้ำโขง เมื่ออายุประมาณ 1 ปี น้ำหนักประมาณ 100-120 กรัม ใช้เวลาในการเลี้ยงประมาณ 3 ปี ในตู้กระจก จนปลามีความสมบูรณ์เต็มที่เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์พบว่าตัวผู้มีน้ำหนัก 1.8 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 2.1 กิโลกรัม โดยตัวผู้มีความยาวครีบท้องมากกว่าตัวเมียถึงสองเท่า เมื่อจับคู่ผสมพันธุ์วางไข่ ปลาจะมีนิสัยดุร้ายก้าวร้าว จะมีพฤติกรรมไล่กัดปลาตัวอื่นที่มาข้องแวะหรือมาอยู่ใกล้ ๆ ฤดูวางไข่ของปลาตองลายอยู่ที่เดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม แม่ปลาวางไข่ครั้งทั้งหมด 5 ครั้ง ครั้งละประมาณ 200-400 ฟอง การวางไข่แต่ละครั้งห่างกันราว 2-8 วัน ไข่มีลักษณะเป็นไข่จมเกาะติดกับวัสดุใต้น้ำ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 มิลลิเมตร ฟักเป็นตัวใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน ที่อุณหภูมิ 23-26 องศาเซลเซียส ลูกปลาจะเจริญเติบโตได้ดีและมีอัตราการรอดตายสูงที่อุณหภูมิประมาณ 29-31 องศาเซลเซี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตองลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตองลายแอฟริกา

ปลาตองลายแอฟริกา (Marbled knifefish, Reticulate knifefish, Arowana knifefish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Papyrocranus afer ในวงศ์ปลากราย (Notopteridae) มีส่วนหัวมนกลม ตากลมโต มุมปากกว้างเลยดวงตา รูปร่างเพรียวยาวและแบนข้างมาก มีจุดเด่นคือ ตามลำตัวมีจุดกลมสีเหลืองกระจายไปทั้งตัว ที่โคนครีบหูไม่มีจุดกลมสีดำเหมือนปลากรายในสกุล Chitala ที่พบในทวีปเอเชีย มีขนาดลำตัวโตเต็มที่ได้ถึง 80 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำจืดของทวีปแอฟริกาแถบตะวันตกบริเวณประเทศไนเจอร์, แกมเบีย, เซเนกัล และกานา โดยมักหากินและอาศัยอยู่บริเวณพื้นน้ำ ซึ่งยังไม่สามารถที่จะแยกเพศระหว่างปลาตัวผู้และตัวเมียได้ชัดเจน นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เช่นเดียวกับ Notopterus notopterus ซึ่งเป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์เดียวกันที่พบในทวีปแอฟริกา แต่อยู่คนละสกุล โดยมีอายุสูงสุดในที่เลี้ยงถึง 15 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตองลายแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตองแอฟริกา

ปลาตองแอฟริกา เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งน้ำจืดในวงศ์ปลากราย (Notopridae) ในอันดับปลาลิ้นกระดูก (Osteoglossiformes) ใช้ชืิ่อสกุลว่า Papyrocranus เป็นปลาที่พบได้เฉพาะทวีปแอฟริกาเท่านั้น มีรูปร่างโดยรวมคือ มีลำตัวเพรียวยาวและแบนข้างมาก ส่วนหัวกลมมน ตาโต ปากกว้าง มีครีบหลังเช่นเดียวกับปลากรายในสกุล Chitala ที่พบในทวีปเอเชีย พบเพียงแค่ 2 ชนิดเท่านั้น คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตองแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะพัด

ปลาตะพัด หรือที่นิยมเรียกว่า ปลาอาโรวาน่า (Malayan bonytongue fish, Arowana, Asian arowana, Arawana) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะพัด (Osteoglossidae) ซึ่งถือได้ว่าเป็นปลาที่สืบเผ่าพันธุ์มาตั้งแต่ปลาในยุคก่อนประวัติศาสตร์ จัดได้ว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตชนิดหนึ่ง นับว่าเป็นปลาที่ใกล้สูญพันธุ์ในธรรมชาติ เนื่องจากเป็นปลาที่สืบพันธุ์ยาก ประกอบกับแหล่งที่อยู่ถูกทำลายไป ได้รับความนิยมอย่างสูงของนักเลี้ยงปลาสวยงาม ในฐานะของปลาสวยงาม ราคาแพง และถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะพัด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะพัดพม่า

ปลาตะพัดพม่า หรือ ปลาตะพัดลายงู (Blue arowana, Myanmar arowana, Batik myanmar arowana) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะพัด (Osteoglossidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะพัดพม่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะพาก

ปลาตะพาก เป็นปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ในสกุล Hypsibarbus (/ฮีป-ซี-บาร์-บัส/) จัดเป็นปลาขนาดกลางในวงศ์นี้ มีรูปร่างลักษณะทั่วไปคล้ายปลาตะเพียนในสกุล Barbonymus ซึ่งอยู่วงศ์เดียวกัน แต่ปลาตะพากจะมีลำตัวที่ยาวกว่า และขนาดจะใหญ่ได้มากกว่า แพร่กระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์และทางตอนใต้ของประเทศจีน พบอาศัยในแม่น้ำสายใหญ่รวมถึงลำธารน้ำตกบนภูเขาหรือป่าดิบชื้น โดยมีขนาดลำตัวประมาณ 60-80 เซนติเมตร มีทั้งหมด 11 ชนิด (สูญพันธุ์ไปแล้ว 1 ชนิด ดูในตาราง) โดยมีชนิดที่รู้จักกันดีที่สุดคือ ปลาตะพากเหลือง (H. wetmorei) โดยปลาในสกุลนี้ถูกแยกออกมาจากสกุล Puntius ในปี ค.ศ. 1996 โดยวอลเตอร์ เรนโบธ โดยมีลักษณะสำคัญที่แตกต่างจากปลาในสกุลอื่น คือ มีก้านครีบเดี่ยวของครีบหลังมีขอบจักเป็นฟันเลื่อย ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 8 ก้าน ใต้คางมีร่องแยกระหว่างขากรรไกรล่างและคาง ฐานครีบก้นยาวคิดเป็นร้อยละ 60 ของความยาวหัว ขอบเกล็ดแต่ละเกล็ดมีลายสีดำติดต่อกันเป็นร่างแห ปลาตะพากมีชื่อเรียกรวมกันแบบอื่นอีก อาทิ "ปลากระพาก" (ประพาสไทรโยค), "ปลาปากหนวด", "ปลาปีก" (ภาษาอีสาน), "ปลาปากคำ" หรือ "ปลาสะป๊าก" (ภาษาเหนือ) เป็นต้น โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์ Hypsibarbus มาจากภาษากรีกโบราณคำว่า "ὕψι" (ฮิปซี) และ barbus (บาร์บัส) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้ทั่วไปของปลาในวงศ์ปลาตะเพียน โดยมีความหมายถึง สันฐานที่มีความแบนข้าง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะพาก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะพากส้ม

ปลาตะพากส้ม, ปลาจาด หรือ ปลาจาดแมลคัม (Goldfin tinfoil barb) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hypsibarbus malcolmi ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) จัดเป็นปลาที่มีรูปร่างและขนาดใกล้เคียงปลาตะพากเหลือง (H. wetmorei) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่ครีบก้นมีลักษณะโค้งเหมือนเคียว ครีบและหางเป็นสีแดงหรือสีส้ม รูปร่างอ้วนป้อมกว่า แต่ขนาดและรูปร่างใกล้เคียงกัน มีลำตัวกว้างและแบนข้าง เกล็ดค่อนข้างใหญ่ จำนวนแถวของเกล็ดตามแนวเส้นข้างลำตัวมี 26 แถว ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยว 3 ก้าน ก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายเป็นหนามแข็งขอบจักเป็นฟันเลื่อย มีก้านครีบแขนง 8 ก้าน ครีบหางเป็นแฉกลึกและยาวมากกว่าความยาวหัว ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยว 3 ก้าน และมีก้านครีบแขนง 5 ก้าน ลำตัวมีสีขาวเงินสะท้อนแสง และมีลายดำเชื่อมต่อกันระหว่างเกล็ดดูคล้ายตาข่าย ปลาตะพากส้มแพร่ขยายพันธุ์โดยมนุษย์ เป็นครั้งแรกจากการผสมเทียมจากสถานีประมงน้ำจืด จังหวัดเพชรบุรี พบว่าวางไข่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ไข่เป็นประเภทไข่ติด มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 50 เซนติเมตร พบได้ที่แม่น้ำเพชร ที่จังหวัดเพชรบุรี และแม่น้ำปิง ที่จังหวัดตาก และแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ทั่วประเทศไทย ที่พบบ่อยคือ แม่น้ำแม่กลองและแม่น้ำโขง ยกเว้นแม่น้ำสาละวิน ปลาตะพากส้มได้รับการอนุกรมวิธานจาก ฮิวจ์ แมคคอร์มิค สมิธ นักวิชาการประมงชาวอเมริกัน ได้เก็บตัวอย่างต้นแบบจากแม่น้ำปิง เมืองระแหง ซึ่งปัจจุบันคือ จังหวัดตาก เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1924 เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นปลาชนิดใหม่ จึงส่งตัวอย่างไปยังพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ แห่งกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ แมลคัม อาเธอร์ สมิธ นักมีนวิทยาและวิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชาวอังกฤษที่เข้ามาศึกษาสัตว์ทั้งสองประเภทนี้ในประเทศไทย มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลาปีกแดง" นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะพากส้ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะพากเหลือง

ปลาตะพากเหลือง หรือ ปลาตะพากทอง (Golden-bellied barb) เป็นปลาน้ำจืดจำพวกปลาตะพากชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) จัดเป็นปลาตะพากชนิดที่พบได้หลากหลายและเป็นที่รู้จักกันดีที.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะพากเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะกรับ

ำหรับปลาตะกรับอย่างอื่น ดูที่: ปลาตะกรับ ปลาตะกรับ (Spotted scats, Green scats, Common scats, Argusfishes) ปลาน้ำเค็มชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะกรับ (Scatophagidae) มีรูปร่างสั้น ด้านข้างแบนและกว้างมาก หัวทู่ ปากเล็ก หางมน เกล็ดเป็นแบบสากขนาดเล็ก สีพื้นลำตัวมีสีแตกต่างกันมากอาจเป็นสีเขียว, สีเทาหรือสีน้ำตาล ครึ่งบนของลำตัวสีเข้มกว่าและมีแถบสีเทาเข้มหรือดำพาดขวางหลายแนวและแตกเป็นจุดที่ด้านล่างหรือเป็นแต้มเป็นจุดทั่วตัวดูล้ายเสือดาว ครีบต่าง ๆ มีสีเหลืองอ่อนอมเทา ปลาตัวผู้จะมีหน้าผากโหนกนูนกว่าตัวเมียแต่ขนาดลำตัวจะเล็กกว่าเล็กน้อย เส้นก้านครีบหลังชิ้นที่ 4 จะยาวที่สุด ขณะที่ตัวเมียเส้นก้านครีบหลังเส้นที่ 3 จะยาวที่สุด ก้านครีบแข็งที่หลังรวมถึงที่ท้องมีความแข็งและมีพิษแบบอ่อน ๆ เป็นอันตรายได้เมื่อไปสัมผัสถูกก่อให้เกิดความเจ็บปวด บริเวณส่วนหัวของตัวเมียบางตัวจะเป็นสีแดง โดยลักษณะดังกล่าวจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อปลามีความยาวมากกว่า 4 นิ้วขึ้นไป ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 38 เซนติเมตร ปลาตะกรับเป็นปลาทะเลที่สามารถปรับตัวให้อาศัยอยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดสนิทได้ โดยปกติจะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลใกล้ปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน มีการกระจายพันธุ์กว้างขวางตั้งแต่ตะวันออกกลาง, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียตะวันออกไปจนถึงเขตโอเชียเนีย สำหรับปลาในบางพื้นที่มีความหลากหลายทางสีมาก เช่น ปลาบางกลุ่มจะมีลายพาดสีดำเห็นชัดเจนตั้งแต่ส่วนหัว และลำตัวมีสีแดงเข้มจนเห็นได้ชัด ถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยที่มีชื่อเรียกว่า "ปลาตะกรับหน้าแดง" (S. a. var. rubifrons) เป็นปลาที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่ม กินอาหารได้ทั้งพืชน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็ก นิยมตกเป็นเกมกีฬาและใช้รับประทานเป็นอาหารเป็นที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะในภาคใต้ สามารถนำไปปรุงเป็นแกงส้มแต่เมื่อรับประทานต้องระวังก้านครีบ นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามอีกด้วย โดยในที่เลี้ยง ปลาตะกรับเป็นปลาที่สามารถทำความสะอาดตู้ได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถกินตะไคร่น้ำและสาหร่ายบางชนิดได้ แต่เป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าวพอสมควร ปัจจุบันกรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วด้วยวิธีการผสมเทียม โดยฤดูผสมพันธุ์มีตั้งแต่เดือนสิงหาคม-พฤษภาคม ของอีกปีหนึ่ง ชื่ออื่น ๆ เรียกว่า "ปลากระทะ" หรือ "ปลาแปบลาย" ในภาษาใต้เรียกว่า "ปลาขี้ตัง" และชื่อในแวดวงปลาสวยงามจะเรียกว่า "ปลาเสือดาว" ตามลักษณะลวดลายบนลำตัว แต่ปลาตะกรับมีครีบหลังและครีบก้นที่มีหนามแหลม ซึ่งอาจแทงถูกมือมนุษย์ได้ โดยมักจะเกิดขึ้นเมื่อปลดปลาออกจากเครื่องมือประมง แต่ก่อให้เกิดพิษน้อยมาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะกรับ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะกรับห้าแถบ

ปลาตะกรับห้าแถบ หรือ ปลาสลิดหินลายบั้ง หรือ ปลาตะกรับเขียวเหลืองหรือปลานายสิบอินโดแปซิฟิก (Indo-Pacific sergeant) เป็นปลาในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะกรับห้าแถบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะกรับเจ็ดแถบ

ปลาตะกรับเจ็ดแถบ (Bengal sergent fish, Narrow-banded sergeant major) เป็นปลาทะเลขนาดเล็ก ในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae) มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับปลาตะกรับห้าแถบ (A. vaigiensis) เพียงแต่มีลายแถบสีคล้ำในแนวตั้งทั้งหมด 7 แถบ และมีสีสันที่คล้ำกว่า มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 15 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแนวปะการังและชายฝั่งในมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่น มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง และรวมฝูงกับปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน เป็นปลาที่ไม่ตื่นกลัวมนุษย์ และมักจะเป็นปลาชนิดที่ว่ายเข้ามากินขนมปังที่มนุษย์โปรยให้เป็นอาหารตามทะเลหรือแหล่งท่องเที่ยวทั่วไป ร่วมกับปลาสลิดหินห้าแถบ ปัจจุบัน เป็นปลาที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว เช่นเดียวกับปลาสลิดหินห้าแถบ แต่ทว่าไม่สวยงามเมื่อเทียบกับปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะกรับเจ็ดแถบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะกาก

ปลาตะกาก เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cosmochilus harmandi อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาในสกุล Cyclocheilichthys หรือ ปลาตะโกก คือ ลำตัวเพรียวยาว มีหนวด 2 คู่ ที่ริมฝีปากมีติ่งเนื้อเล็ก ๆ เป็นชายครุยรอบ ๆ ครีบหลังยกสูงมาก โดยจะสูงมากกว่าปลาตะโกก ครีบหางเว้าลึก เกล็ดใหญ่สีเงิน ว่ายน้ำได้รวดเร็ว ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 60 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 1 เมตร หนักได้ถึง 10 กิโลกรัม กินอาหารได้แก่ แมลง, พืชน้ำ และสัตว์หน้าดิน เช่น หอย เป็นอาหาร เป็นปลาที่พบได้ตามแม่น้ำขนาดใหญ่ในภาคกลางและภาคอีสาน เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำโขง แม่น้ำมูล เป็นต้น เป็นปลาเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งของภาคอีสาน นิยมบริโภคด้วยการปรุงสดหรือทำปลาร้า จัดเป็นปลาที่มีราคาสูงชนิดหนึ่ง แต่ต่ำกว่าปลาตะโกก (C. enoplus) เพราะเนื้อแข็งกว่า พบเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเป็นบางครั้ง ถูกเรียกในตลาดปลาสวยงามว่า "กระมังครีบสูง " และมีชื่อเรียกในภาษาอีสานว่า "ปากบาน" หรือ "โจกเขียว".

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะกาก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะลุมพุก

ทความนี้หมายถึงปลา ส่วนตะลุมพุกในความหมายอื่นดูที่: ตะลุมพุก ปลาตะลุมพุก หรือ ปลากระลุมพุก หรือ ปลาหลุมพุก (ใต้) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่งที่เข้ามาวางไข่ในน้ำจืด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tenualosa toli ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะลุมพุก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะลุมพุก (สกุล)

ปลาตะลุมพุก (Shads; 托氏鰣; แต้จิ๋ว: ชิกคั่กฮื้อ) เป็นสกุลของปลาทะเลและปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Tenualosa (/เท-นู-อะ-โล-ซา/) ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) แบ่งออกได้เป็น 5 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะลุมพุก (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะลุมพุกฮิลซา

ปลาตะลุมพุกฮิลซา (Hilsa shad, Ilisha, โอริยา: ଇଲିଶି, Ilishii, เบงกาลี: ইলিশ, Ilish, เตลูกู: పులస, Pulasa หรือ Polasa, สินธี: پلو مڇي, Pallu Machhi) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tenualosa ilisha อยู่ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) ปลาตะลุมพุกฮิลซา เป็นปลาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะประเทศในแถบอ่าวเบงกอล เช่น บังกลาเทศ, อินเดียและพม่าเนื่องจากใช้เป็นอาหารบริโภคกันมาอย่างยาวนาน จนเสมือนเป็นสมบัติของชาติชิ้นหนึ่งของบังกลาเทศ มีลักษณะคล้ายกับปลาตะลุมพุก (T. toli) มีเกล็ดบริเวณสันท้อง 30-33 เกล็ด ครีบใสและมีจุดสีดำที่ช่องปิดเหงือก เมื่อยังเป็นปลาวัยอ่อนจะมีจุดตามลำตัวสีต่าง ๆ เช่น สีเงิน, สีทอง และสีม่วง มีซี่กรองเหงือก 30-40 ซี่ ขณะที่ปลาตะลุมพุกจะมีมากกว่าคือ 60-100 ซี่ ความยาวเต็มที่ประมาณ 60 เซนติเมตร โดยปกติแล้วเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในทะเลใกล้ชายฝั่ง กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร เมื่อจะวางไข่จะอพยพเข้ามาสู่แหล่งน้ำจืด ได้แก่ แม่น้ำและปากแม่น้ำ เพื่อวางไข่ ลูกปลาจะฟักและเลี้ยงดูตัวเองในน้ำจืด พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในมหาสมุทรอินเดีย ได้แก่ อ่าวเปอร์เซีย, ภาคตะวันตกและตะวันออกของพม่า, อินเดีย และมีรายงานจากอ่าวตังเกี๋ยและแม่น้ำไทกริสในอิหร่าน ซึ่งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย ปลาตะลุมพุกฮิลซา ปัจจุบันเป็นปลาที่พบได้มากและหลากหลายกว่าปลาตะลุมพุก ซึ่งปลาตะลุมพุกที่นำมารับประทานและมีการซื้อขายกันในตลาดในประเทศไทย เชื่อว่าน่าจะเป็นปลาชนิดนี้มากกว่าและกล่าวกันว่าเป็นปลาระดับสูงกว่าปลาตะลุมพุก โดยเนื้ออุดมไปด้วยกรดไขมันที่มีความสำคัญ อาทิ โอเมกา 3.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะลุมพุกฮิลซา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะคอง

ระวังสับสนกับ: ปลาตะคองจุดเหลือง ปลาตะคอง หรือ ปลาตะคองเหลือง หรือ ปลาทูทอง (Golden trevally, Golden toothless trevally, Yellow jack) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Gnathanodon มีลำตัวด้านข้างแบนข้างมาก ลักษณะลำตัวค่อนไปทางยาวแบนคล้ายรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน เกล็ดมีขนาดเล็ก ใต้ท้องไม่มีเกล็ด ในปลาวัยอ่อนมีสีเหลืองทอง มีแถบสีดำเล็ก ๆ พาดตามแนวตั้ง ซึ่งจะค่อย ๆ ลดจำนวนและจางลงเมื่อปลาโตขึ้น หัวมีลักษณะกลมป้าน จะงอยปากกลมมน ปากกว้าง ไม่มีฟัน ครีบทุกครีบเป็นสีเหลือง ปลายครีบสีดำ ขนาดโดยทั่วไปประมาณ 50–70 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุด 120 เซนติเมตร อาศัยอยู่เป็นฝูงในแนวปะการังและกองหิน พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิกตั้งแต่ชายฝั่งแคลิฟอร์เนียจนถึงเอกวาดอร์, มหาสมุทรอินเดีย ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน เป็นปลาเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามตามพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ตลอดจนการเลี้ยงดูไว้ดูเล่นตามบ้าน โดยเฉพาะในลูกปลาที่มีแถบสีดำ เพราะมีสีสันสวยงามและมีความแวววาวบนลำตัว อีกทั้งสามารถเลี้ยงในน้ำที่มีสภาพเป็นน้ำกร่อย ที่มีปริมาณความเค็มต่ำได้ โดยจัดเป็นปลาน้ำกร่อยที่เลี้ยงได้ง่ายมากอีกชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะคอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะคองจุดเหลือง

ระวังสับสนกับ: ปลาตะคองเหลือง ปลาตะคองจุดเหลือง (Island trevally, Yellow-spotted trevally, Thicklip trevally) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหางแข็ง (Carangidae) มีรูปร่างแบนข้างและกว้างปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน ครีบหลังและครีบก้นมีปลายเรียวยาว ลำตัวมีสีเงินเทาหรือเงินอมเหลือง กลางลำตัวมีจุดสีเหลืองสดอันเป็นที่มาของชื่อ มีขนาดโดยเฉลี่ย 20 เซนติเมตร แต่พบใหญ่ที่สุดได้ถึง 75 เซนติเมตร น้ำหนัก 6.6 กิโลกรัม เป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามลำพังหรือเป็นฝูงตั้งแต่แนวปะการัง จนถึงชายฝั่งจนถึงหิ้งไหล่ทวีป ในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ตั้งแต่โมซัมบิก จนถึงฮาวาย, หมู่เกาะเซเชลส์ และหมู่เกาะเรบียาคีเคโด ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน เป็นปลาที่พบได้บ่อย กินอาหารจำพวกสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร จัดเป็นปลาเศรษฐกิจเหมือนกับปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะคองจุดเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะโกก

ปลาตะโกก (Soldier river barb) เป็นชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cyclocheilichthys enoplos อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะโกก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะโกกหน้าสั้น

ปลาตะโกกหน้าสั้น เป็นปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Albulichthys มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาตะโกก (Cyclocheilichthys spp.) แต่มีส่วนหน้าที่สั้น หัวเล็ก ตาโต ปากเล็กสั้นมน ลำตัวสีเงินวาวอมเหลือง ครีบสีเหลือง ครีบหลังสั้น ครีบอก ครีบท้อง และครีบก้นเล็ก ครีบหางเว้าลึกสีส้มหรือสีแดง และมีขอบสีคล้ำ กินอาหารได้แก่ อินทรียสารหรือสัตว์หน้าดินขนาดเล็ก มีขนาดความยาวลำตัวประมาณ 15-35 เซนติเมตร ปัจจุบันเป็นปลาที่มีสถานะภาพใกล้สูญพันธุ์แล้ว เนื่องจากเป็นปลาที่พบได้เฉพาะลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะโกกหน้าสั้น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนลาย

ปลาตะเพียนลาย หรือ ปลาตะเพียนม้าลาย (Striped barb, Zebra barb) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเรียวยาว มีลายสีดำทั้งหมด 4 แถบ ยาวตามแนวนอนตามลำตัว ลายแต่ละเส้นขนานกัน ลำตัวสีเหลืองจาง ๆ เกล็ดเป็นเงามันสะท้อนแสงแวววาว เม่อยังเป็นลูกปลาวัยอ่อน ลายตามลำตัวจะเป็นแนวขวาง และค่อย ๆ กลายเป็นแนวนอนเมื่อปลาโตขึ้นหน้า 70, ตะเพียน Update, "คุยเฟื่องเรื่องปลาไทย" โดย อ.ชัยวุฒิ กรุดพันธุ์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนลายมาเลย์

ปลาตะเพียนลายมาเลย์ ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Striuntius โดยเป็นสกุลใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนลายมาเลย์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนลายหมากรุก

ปลาตะเพียนลายหมากรุก (Checker barb, Checkered barb, Checkerboard barb) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ถูกบรรยายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนลายหมากรุก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนสาละวิน

ปลาตะเพียนสาละวิน หรือ ปลาตะพากสาละวิน ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hypsibarbus salweenensis ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาตะพากชนิดหนึ่ง มีขนาดความยาวประมาณ 20–40 เซนติเมตรเท่านั้น จัดเป็นปลาที่เล็กกว่าปลาตะพากชนิดอื่น มีลักษณะคือ ครีบหลังยกสูงตอนปลายมีสีดำ มีก้านครีบแข็งที่อันที่ 2 หยักที่ขอบด้านท้าย ครีบก้นสูงและมีฐานครีบสั้น เกล็ดไม่มีสีเหลืองหรือสีส้มหรือสีแดงเช่นปลาตะพากชนิดอื่น ๆ และมีรูปร่างที่ยาวกว่าปลาตะพากชนิดอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด มีพฤติกรรมที่ไม่ทราบแน่นอนและพบเฉพาะลุ่มน้ำสาละวินในภาคตะวันตกของไทยที่ติดกับชายแดนพม่าเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนสาละวิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนหยดน้ำ

ปลาตะเพียนหยดน้ำ (Snakeskin barb) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาเสือสุมาตรา (Puntigrus tetrazona) หรือปลาเสือข้างลาย (P. partipentazona) ซึ่งเดิมเคยอยู่ร่วมสกุลเดียวกัน แต่ปลาตะเพียนหยดน้ำมีรูปร่างที่ยาวกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน มีสีลำตัวน้ำตาลออกส้ม มีสีดำเป็นรูปหยดน้ำ 4-5 แถบ เป็นลักษณะเด่น มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 5 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอยู่รวมตัวกันเป็นฝูงเหมือนปลาชนิดอื่นในสกุลเดียวกัน โดยแพร่ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ติดกับใบของไม้น้ำ ไข่ฟักเป็นตัวภายใน 24-36 ชั่วโมง พบเฉพาะในแหล่งน้ำที่มีสีชา ด้วยมีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (Ph) ของน้ำต่ำกว่า 7 เช่น น้ำในป่าพรุ บนเกาะบอร์เนียว เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะการเลี้ยงในตู้ไม้น้ำ รวมกับปลาชนิดอื่น ๆ จัดเป็นปลาที่เลี้ยงได้ง่ายมาก สามารถกินได้ทั้งอาหารสดและอาหารสำเร็จรูป.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนหยดน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนหน้าแดง

ปลาตะเพียนหน้าแดง (Red-line torpedo barb, Denison barb) เป็นปลาน้ำจืดกึ่งเขตร้อนในสกุล Sahyadria และวงศ์ Cyprinidae มีถิ่นอาศัยอยู่ในแม่น้ำและลำธารไหลแรงในประเทศอินเดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนหน้าแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนอินเดีย

ปลาตะเพียนอินเดีย หรือ ปลาตะเพียนจุด (Blackspot barb, Filamented barb, Mahecola barb) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวเรียวยาวแบนข้าง พื้นลำตัวมีสีเหลืองอมชมพู ครีบหลัง ครีบอกและครีบหางมีสีแดงจาง ๆ ขอบหางด้านล่างและด้านบนมีสีดำ ที่โคนครีบหางมีจุดสีดำขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน ปลาตัวผู้มีรูปร่างเพรียวบางกว่าตัวเมีย และมีครีบต่าง ๆ พริ้วยาวแลดูสวยงามกว่ามาก มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ย 13-15 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง กินอาหาร จำพวกสัตว์น้ำและแมลงขนาดเล็ก มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 4 ปี พบกระจายพันธุ์ในพื้นที่น้ำจืดและน้ำกร่อยในอินเดียตอนใต้ เช่น รัฐเกรละ, ทมิฬนาดู และกรณาฏกะ เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนจุด

ปลาตะเพียนจุด (Spotted barb) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่าง คือ ลำตัวแบนข้าง สันหลังโค้งเล็กน้อย หัวมีขนาดปานกลาง ปากแคบ มีหนวดยาว 2 คู่ โดยอยู่ที่จะงอยปาก 1 คู่ มุมปาก 1 คู่ ลำตัวมีสีเงินแวววาว มีจุดสีดำเป็นทรงกลมที่ครีบหลังและคอดหางแห่งละ 1 จุด เป็นปลาที่มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร พบทั่วไปได้ที่ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ตั้งแต่ พม่า, ไทย, มาเลเซีย ไปจนถึงอินโดนีเซีย สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ง่ายบริเวณแหล่งน้ำที่เป็นลำธารหรือน้ำตกในป่าดิบ เช่น จังหวัดเชียงใหม่, นครศรีธรรมราช, จันทบุรี, ตราด, ชุมพร, เกาะช้าง และเกาะสมุย เป็นต้น มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินตะไคร่น้ำและอินทรียสารตามโขดหินและพื้นน้ำ รวมทั้งแมลงน้ำขนาดเล็ก นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีชื่ออยู่ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List) เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการสูญพันธุ์ หรือ LC.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนทราย

ปลาตะเพียนทราย หรือ ปลาขาวนา ในภาษาอีสาน (Swamp barb) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปลาตะเพียนขาว (Barbonymus gonionotus) ซึ่งเดิมเคยอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ลำตัวป้อมกว่า หัวมีขนาดเล็ก ปากเล็ก มีหนวด 1 คู่ ลำตัวสีเงินเทา ครีบหลังมีประสีคล้ำ ก้านครีบหลังอันใหญ่มีขอบด้านท้ายเรียบ ครีบหางเว้าลึก ก้านครีบหลังอันใหญ่มีขอบด้านท้ายเรียบ ครีบหางเว้าลึก โคนครีบหางมีแต้มสีคล้ำ ในฤดูผสมพันธุ์แก้มจะมีแต้มสีส้มอ่อน มีขนาดความยาวประมาณ 6-12 เซนติเมตร มีพฤติกรรมรวมฝูงกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ตามแหล่งน้ำนิ่งที่มีพรรณไม้น้ำขึ้นหนาแน่น กินอาหารจำพวกแพลงก์ตอน, สัตว์หน้าดินขนาดเล็ก และพืชน้ำ จัดเป็นปลาที่พบชุกชุมตามหนองบึง, ทะเลสาบ, อ่างเก็บน้ำ, ลำห้วย และแม่น้ำต่าง ๆ ในภาคกลาง, ภาคเหนือและภาคอีสานของประเทศไทย ในต่างประเทศพบได้ในลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย จนถึงเกาะชวา ในอินโดนีเซี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนทราย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนทอง

ปลาตะเพียนทอง เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Barbonymus altus อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างลักษณะคล้ายปลากระแห (B. schwanenfeldi) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน กล่าวคือ มีเกล็ดตามลำตัวแวววาวสีเหลืองทองเหลือบแดงหรือส้ม ครีบหางเป็นสีส้มหรือสีแดงสด แต่ปลาตะเพียนทองมีเกล็ดขนาดใหญ่กว่า ครีบหลังและครีบหางไม่มีแถบสีดำ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณไม่เกิน 30 เซนติเมตร ปลาตะเพียนทองพบอยู่ทั่วไปตามห้วยหนองคลองบึงและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ของภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยมักจะอยู่ปะปนกับปลากระแหและปลาตะเพียนขาว (B. gonionotus) ด้วยกันเสมอ ๆ สำหรับต่างประเทศพบในลาว กัมพูชา และภาคใต้ของเวียดนาม ปลาตะเพียนทองเป็นปลาที่คนไทยรู้จักกันดี โดยนิยมบริโภคเป็นอาหารมายาวนานและใช้สานเป็นปลาตะเพียนใบลาน นอกจากนี้ยังเป็นปลาชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น "ปลาตะเพียนหางแดง", "ปลาลำปำ" หรือ "ปลาเลียนไฟ" ในภาษาปักษ์ใต้ ซึ่งเป็นชื่อเรียกซ้ำซ้อนกับปลากระแห.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนทอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนขาว

ปลาตะเพียนขาว หรือ ปลาตะเพียนเงิน หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า ปลาตะเพียน (Java barb, Silver barb) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเหมือนปลาในวงศ์ปลาตะเพียนทั่วไป ตัวมีสีเงินแวววาว ด้านหลังมีสีคล้ำเล็กน้อย ด้านท้องสีจาง ครีบอื่น ๆ มีสีเหลืองอ่อน ภาคอีสานเรียกว่า "ปลาปาก" ปลาตะเพียนขาวเป็นปลาพื้นเมืองของภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ นับเป็นปลาน้ำจืดที่คนไทยรู้จักดี และอยู่ในวิถีชีวิตความเป็นอยู่มาแต่โบราณ เช่น ปลาตะเพียนใบลาน มีการเลี้ยงปลาชนิดนี้ในประเทศมานานกว่า 30 ปี และถูกนำพันธุ์ไปเลี้ยงยังต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย, บอร์เนียว, อินโดนีเซีย แม้ว่าในประเทศเหล่านี้จะมีปลาชนิดนี้อยู่ในธรรมชาติแล้วก็ตาม ขนาดโดยเฉลี่ย 36 เซนติเมตร (พบใหญ่ที่สุด 90 เซนติเมตร น้ำหนัก 13 กิโลกรัม ที่มาเลเซีย) พบชุกชุมในทุกแหล่งน้ำทุกภาคของไทย ยกเว้นแม่น้ำสาละวิน อยู่กันเป็นฝูง ชอบที่น้ำไหลเป็นพิเศษ เป็นปลากินพืช, แมลง และสัตว์หน้าดิน นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย โดยเฉพาะตัวที่เป็นปลาเผือก ซึ่งเรียกกันว่า "ปลาตะเพียนอินโด" นิยมเลี้ยงเพื่อใช้ประโยชน์เก็บกินเศษอาหารที่ปลาใหญ่กินเหลือหรือเก็บตะไคร่น้ำและปรสิตในตู้ หรือแม้กระทั่งเลี้ยงเป็นปลาลูกไล่ของปลาใหญ่กว่า หรือเลี้ยงเพื่อทดสอบค่าความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำ (pH) หรือความเข้มข้นของคลอรีน ก่อนที่จะปล่อยปลาที่จะเลี้ยงจริงลงไป เนื่องจากเป็นปลาที่มีราคาถูก หาซื้อได้ง่าย และมีความไวต่อคุณภาพน้ำ มีการผสมพันธุ์และวางไข่ในช่วงฤดูฝน ตัวเมียเมื่อถึงสภาพสมบูรณ์ ลำตัวจะอวบอ้วนและใหญ่กว่าตัวผู้ถึง 2-3 เท่า ตัวผู้บริเวณข้างแก้มจะมีตุ่มคล้ายสิวอันเป็นเอกลักษณ์ของปลาในวงศ์ปลาตะเพียน ตัวเมียใช้เวลาอุ้มท้องจนกระทั่งวางไข่ประมาณ 1 เดือน ปัจจุบันมีการเพาะพันธุ์ปลาเพื่อนำไปปล่อยในแหล่งน้ำต่าง ๆ มีการนำมาทำเป็นอาหาร เช่น ปลาตะเพียนต้มเค็ม หรือปลาส้ม นับว่าเป็นตำรับที่มีชื่อมากของปลาชนิดนี้ แต่เป็นปลาที่มีก้างมาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนปากหนวด

ำหรับปลาปากหนวดชนิดอื่น ดูที่ Hypsibarbus vernayi ปลาตะเพียนปากหนวด หรือ ปลาปากคีบแดง (ชื่อท้องถิ่น) (Yellow eyed silver barb) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาในสกุลปลาตะพากชนิดหนึ่ง ที่พบได้ในประเทศไทย มีลักษณะเหมือนปลาตะพากทั่วไป มีลำตัวกว้าง 9.5 เซนติเมตร ยาว 15 เซนติเมตร พบยาวเต็มที่ 30 เซนติเมตร กระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำโขงในประเทศไทย ในต่างประเทศพบที่เวียดนามและมาเลเซีย เป็นปลาที่กินพืชน้ำ, ไส้เดือนน้ำ และแมลงน้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร โดยปลาที่พบในลุ่มแม่น้ำโขงนั้น พบชุกชุมในช่วงปลายปี คือ เดือนกันยายน-พฤศจิกายน เป็นปลาเศรษฐกิจในชุมชน ที่ชนพื้นถิ่นจับมารับประทานและขายกันในท้องถิ่นเป็นวิถีชีวิต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนปากหนวด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนน้ำเค็ม

ปลาตะเพียนน้ำเค็ม หรือ ปลาโคก หรือ ปลามักคา (Shortnose gizzard shad, Chacunda gizzard shad) ปลาน้ำเค็มและน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาตะเพียนที่พบในน้ำจืด ซึ่งเป็นปลาต่างวงศ์และต่างอันดับกัน ลักษณะลำตัวป้อมสั้นจะงอยปากสั้นทู่ ตามีเยื่อไขมันหุ้ม ปากเล็ก ท้องแบนเป็นสันคมซึ่งเกิดขึ้นเพราะการเปลี่ยนรูปของเกล็ดไปทำหน้าที่ในการป้องกันตัว ครีบหางเว้าลึก ครีบอื่น ๆ มีขนาดเล็ก สีของลำตัวด้านหลังมีสีดำปนเทา ทางด้านท้องสีขาวเงิน หลังช่องเปิดเหงือกมีจุดสีดำข้างละจุด มีความยาวประมาณ 14-20 เซนติเมตร กินซากสัตว์และพืชเน่าเปื่อยเป็นอาหาร มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินตามพื้นที่หน้าดินตามชายฝั่งและบริเวณปากแม่น้ำ พบทั่วไปในอ่าวไทย ในต่างประเทศพบในแถบอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่อ่าวเปอร์เซีย, ชายฝั่งอินเดีย, ทะเลอันดามัน จนถึงนิวแคลิโดเนีย เป็นปลาเศรษฐกิจ ใช้เนื้อในการรับประทานเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนน้ำเค็ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเพียนแคระ

ปลาตะเพียนแคระ (Pygmy barb) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายคล้ายกับปลาตะเพียน แต่ลำตัวเรียวยาวกว่า ตาโต ปากมีขนาดเล็ก ไม่มีหนวด เกล็ดมีขนาดใหญ่ ลำตัวใสมีสีเหลืองหรือสีน้ำตาลอ่อน ครีบใส ปลายครีบมีสีดำคล้ำ ตัวผู้มีครีบหลังใหญ่กว่าตัวเมีย ครีบก้นมีแต้มสีดำ ด้านหลังมีสีจาง ๆ มีขนาดความยาว 3-4 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ในแหล่งน้ำที่มีพืชน้ำขึ้นอย่างหนาแน่นในป่าที่ราบต่ำหรือป่าพรุ พบในภาคตะวันออกและภาคใต้ไทย โดยพบได้ตั้งแต่ตอนเหนือของแหลมมลายู จัดเป็นปลาที่พบได้น้อย กินอหารจำพวก สัตว์น้ำหน้าดินและอินทรียสารต่าง ๆ เป็นอาหาร นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเพียนแคระ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตะเกียง

ปลาตะเกียง (μυκτήρmyktḗr)เป็นปลาทะเลลึกเล็กมีจำนวน 246 ชนิดใน 33 สกุลและพบได้ในมหาสมุทรทั่วโลกพวกมันถูกตั้งชื่อตามความสามารถในการเรืองแสงของมัน จากการสุ่มตัวอย่างตรวจสอบปลาให้ทะเลลึกนั้นพบว่ามันมีจำนวนมากถึง 65% ของสายพันธุ์ปลาทะเลลึกทั้งหมด หรือก็คือมันเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่กระจายพันธุ์นอยู่อย่างแพร่หลายและมีประชากรมากที่สุดและยังมีบทบาททางนิเวศวิทยาที่สำคัญอย่างมากในฐานะของเหยื่อของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ เช่นหมึกกล้วยและเพนกวินราชาถึงแม้ว่ามันจะมีสายพันธุ์และจำนวนที่เยอะแต่กลับมีการทำประมงปลาชนิดนี้แค่ที่อ่าวโอมานและแอฟริกาใต้เท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตะเกียง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตั๊กแตนหินสองสี

ปลาตั๊กแตนหินสองสี หรือ ปลาตุ๊ดตู่สองสี (Bicolor blenny) ปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตั๊กแตนหิน (Blenniidae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาบู่ แต่ตัวป้อมสั้นกว่าและแบนข้าง ริมฝีปากหนา เหนือตามีติ่งสั้น ๆ เป็นเส้น ครีบหลังเว้าเป็นสองตอน ครีบอกใหญ่ ครีบท้องเป็นเส้นเล็ก ลำตัวแบ่งเป็นสีสองสีชัดเจน คือ ลำตัวช่วงแรกเป็นสีเทา ขณะที่ด้านหลังเป็นสีส้ม มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ย 10-12 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในโพรงหินหรือซอกหินในแนวปะการัง ในความลึกระดับ 1-21 เมตร กินอาหารจำพวก แพลงก์ตอนสัตว์และสัตว์น้ำหน้าดินขนาดเล็ก พบกระจายพันธุ์ในทะเลแถบฟิจิ, อินโดนีเซีย และศรีลังกา ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน จัดเป็นปลาที่พบได้บ่อย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตั๊กแตนหินสองสี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตั๊กแตนหินแปลงสีส้ม

ปลาตั๊กแตนหินแปลงสีส้ม (Midas blenny, Persian blenny) ปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตั๊กแตนหิน (Blenniidae) เป็นปลาจำพวกปลาตั๊กแตนหิน หรือปลาเบลนนี่ มีลักษณะคล้ายปลาบู่ แต่ปากมีขนาดเล็ก เหนือตามีเส้นเป็นติ่งสั้น ๆ ไม่มีเกล็ด ครีบท้องเป็นเส้น ครีบหลังตอนเดียว ครีบหางมีลักษณะเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ตามีสีน้ำเงินอมฟ้า ครีบหลังเป็นสีเหลืองทองขอบฟ้า ตอนหลังสีเหลืองทอง ส่วนท้องสีชมพู มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ย 12 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแนวปะการัง อาศัยอยู่ตามซอกหิน กินอาหารจำพวกแพลงก์ตอนสัตว์ และสัตว์น้ำขนาดเล็ก กระจายพันธุ์ในแถบอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่ทะเลแดงจนถึงโพลีนีเซีย ในน่านน้ำไทยเป็นปลาที่พบได้ไม่บ่อย พบได้เฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน เป็นปลาอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตั๊กแตนหินแปลงสีส้ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตามิน

ปลาตามิน ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amblyrhynchichthys truncatus อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาตะเพียน ลำตัวแบนข้าง แต่ส่วนหัวและจะงอยบปากสั้นทู่ หน้าหนัก ปากเล็ก ริมฝีปากบาง ไม่มีหนวด ตามีขนาดใหญ่มีเยื่อไขมันใสคลุม จึงเป็นที่มาของชื่อ ครีบหลังสูง มีก้านแข็งที่ขอบหยัก ครีบหางเว้า เกล็ดมีขนาดใหญ่ปานกลาง ครีบอกสั้น ตัวมีสีเงินวาวตลอดทั้งตัว ไม่มีจุดหรือสีอื่นใด ๆ ด้านท้องสีจาง ครีบมีสีเหลืองอ่อนใส มีขนาดประมาณ 20 เซนติเมตร ใหญ่สุดที่พบคือ 40 เซนติเมตร อาศัยในแม่น้ำสายใหญ่ตั้งแต่ แม่น้ำแม่กลอง, แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำโขง และพบไปถึงบอร์เนียว เป็นปลาที่กินพืช และแมลง รวมถึงสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น หอย เป็นต้น โดยมีพฤติกรรมหากินตามพื้นท้องน้ำ เป็นปลาที่มักถูกจับได้ครั้งละมาก ๆ มีราคาขายปานกลาง นิยมบริโภคโดยปรุงสดและทำปลาร้า อีกทั้งยังมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย ปลาตามิน ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลาตาโป" ในภาษาอีสาน "ปลาตาเหลือก" หรือ "ปลาหนามหลัง" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตามิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตามิน (สกุล)

ปลาตามิน เป็นสกุลของปลาน้ำจืด ในสกุล Amblyrhynchichthys (/แอม-ไบล-รีนค์-อิค-ธีส/) ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) โดยมีลักษณะทางอนุกรมวิธานที่สำคัญ คือ ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยวที่ค่อนข้างใหญ่ แข็ง และขอบจักเป็นฟันเลื่อย ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 9 ก้าน ปลายจมูกตัดตรงมีเยื่อเหมือนวุ้นรอบนัยน์ตา ระหว่างรูทวารจนถึงต้นครีบก้นมีเกล็ด 3 แถว เป็นปลาที่พบได้ในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ จำแนกออกได้เป็น 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตามิน (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตาดำ

ปลาตาดำ หรือ ปลาเปี่ยน หรือ ปลาปากเปี่ยน (Sharp-mouth barb) เป็นปลาน้ำจืดสกุล Scaphognathops (/สแค-โฟ-แน็ธ-ออฟส์/) ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มี 3 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตาดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตาเหลือก

ปลาตาเหลือก หรือ ปลาตาเหลือกสั้น (ชื่อวิทยาศาสตร์: Megalops cyprinoides; Indo-Pacific tarpon, Pacific tarpon, Oxeye) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่งที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดหรือน้ำกร่อยได้ อยู่ในวงศ์ปลาตาเหลือก (Megalopidae) มีรูปร่างป้อม ปากกว้าง ที่ใต้คางระหว่างกระดูกกรามล่างมีแผ่นกระดูกแข็ง 1 ชิ้น และมีก้านครีบหลังอันสุดท้ายยื่นยาวเป็นเส้น เกล็ดเป็นสีเงินแวววาวตลอดทั้งลำตัว ตามีขนาดโต จึงเป็นที่มาของชื่อ ขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 1.5 เมตร น้ำหนักเต็มที่ประมาณ 15 กิโลกรัม อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิก แถบทะเลแดง ชายฝั่งทวีปแอฟริกาและเอเชีย และยังสามารถปรับตัวให้อยู่น้ำจืดหรือน้ำกร่อยได้ด้วย โดยบางครั้งพบว่ายเข้ามาในลำคลองที่ติดกับทะเลหรือนากุ้ง นาเกลือของชาวบ้าน ปลาจะผสมพันธุ์ วางไข่ และลูกปลาวัยอ่อนจะเติบโตที่บริเวณปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน เป็นปลากินเนื้อ อาหารได้แก่ ลูกปลา ลูกกุ้งขนาดเล็ก นิยมตกเป็นเกมกีฬา และเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย มีชื่อเรียกแตกต่างไปอีกเช่น "ข้าวเหนียวบูด" ภาษาใต้เรียก "เดือน" และภาษายาวีเรียก "บุหลัน" ซึ่งหมายถึง "ดวงจันทร์" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตาเหลือก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตาเหลือกยาว

ปลาตาเหลือกยาว (Ladyfish, Tenpounder) ปลาน้ำเค็มชนิดหนึ่งที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ อยู่ในวงศ์ปลาตาเหลือกยาว (Elopidae) มีรูปร่างคล้ายปลาตาเหลือก (Megalops cyprinoides) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ต่างวงศ์กัน แต่อยู่อันดับเดียวกัน โดยที่ปลาตาเหลือกยาวมีรูปร่างที่เปรียวยาวกว่า อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเล บริเวณมหาสมุทรอินเดีย สามารถปรับตัวให้อาศัยอยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ พฤติกรรมและนิเวศวิทยาคล้ายคลึงกับปลาตาเหลือก มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 1 เมตร นิยมตกเป็นเกมกีฬ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตาเหลือกยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตาเหลือกยาวซอรัส

ปลาตาเหลือกยาวซอรัส (Ladyfish) เป็นปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตาเหลือกยาว (Elopidae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาตาเหลือกยาวชนิดอื่น ๆ แต่ปลาตาเหลือกยาวซอรัสมีจำนวนซี่กรองเหงือก 12-15 ซี่ ที่ซี่กรองบนส่วนล่างด้านหน้าของกระดูกเหงือก มีลำตัวสีเงินหรือสีขาวแวววาว ครีบต่าง ๆ มีสีเหลืองจาง ๆ ปลายครีบหางเว้าลึกเป็นสองแฉก มีกระจายพันธุ์ทั่วไปในชายฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติก, เบอร์มิวดา, อ่าวเม็กซิโก จนถึงอเมริกาใต้ เป็นต้น มีขนาดโตเต็มที่ได้ 100 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยทั่วไป 60 เซนติเมตร นิยมตกเป็นเกมกีฬา ซึ่งปลาตาเหลือกยาวซอรัส ครั้งหนึ่งเคยถูกระบุว่าเป็นชนิดของปลาตาเหลือกยาวที่พบได้ในน่านน้ำไทย แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปเป็นชนิด E. machnata.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตาเหลือกยาวซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตาเดียว

ปลาตาเดียว เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psettodes erumei อยู่ในวงศ์ปลาตาเดียว (Psettodidae) อันดับปลาซีกเดียว (Pleuronectiformes) มีรูปร่างยาวรี หัวเล็ก จะงอยปากสั้นทู่ นัยน์ตาทั้งสองข้างอยู่ใกล้กันและอยู่บนซีกเดียวกับตำแหน่งของตาซึ่งอยู่ค่อนไปทางส่วนบนของลำตัว ปากกว้างและเฉียงขึ้น มีฟันแหลมคมแบบฟันเขี้ยวเห็นชัดเจนอยู่บนขากรรไกรบนและล่าง จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่หลังนัยน์ตา ครีบหลัง ครีบหางและครีบก้นไม่เชื่อมติดกัน ครีบหางมีปลายเว้าเป็นสองลอน มีพื้นลำตัวด้านมีนัยน์ตาเป็นสีน้ำตาลเข้มตลอดทั้งตัว ส่วนซีกล่างมีสีขาว สามารถปรับเปลี่ยนสีลำตัวได้ตามสภาพแวดล้อม มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 64 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยทั่วไปมีความยาวประมาณ 18-50 เซนติเมตร นับว่าเป็นชนิดที่มีความใหญ่ที่สุดของวงศ์นี้ โดยพบน้ำหนักมากที่สุดคือ 9,000 กรัม พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ชายฝั่งของทวีปแอฟริกา, ทะเลแดง, มหาสมุทรอินเดีย, อ่าวไทย, ทะเลอันดามัน, ทะเลญี่ปุ่น จนถึงออสเตรเลีย โดยกินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่าตามพื้นน้ำหรือพื้นทรายในเวลากลางคืนเป็นอาหาร พบได้ตั้งแต่ความลึก 1-100 เมตร ปลาตาเดียวนับเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะมีขนาดลำตัวใหญ่ เนื้อเยอะ จึงมักนิยมทำเป็นอาหาร โดยนอกจากชื่อตาเดียวแล้วยังมีชื่ออื่น ๆ อีก เช่น "จักรผาน", "หน้ายักษ์", "ซีกเดียว", "ใบขนุน" หรือ "โทต๋า" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตาเดียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตุม

ปลาตุม หรือ ปลาตุ่ม (Bulu barb) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเหมือนปลากระมังชนิดอื่น ๆ เว้นแต่ก้านครีบก้นไม่มีรอยหยัก เกล็ดเล็กกว่า และลำตัวมีรอยขีดสีคล้ำตามขวางประมาณ 7-8 รอย ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร เป็นปลาที่พบได้น้อย โดยจะพบแต่เฉพาะภาคใต้เท่านั้น ที่สามารถพบชุกชุมได้แก่ ทะเลสาบสงขลาตอนในที่เป็นส่วนของน้ำจืด ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วโดยกรมประมง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตุม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตูหนา

ปลาตูหนา หรือ ปลาไหลหูดำ (Shortfin eel, Level-finned eel) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาตูหนา (Anguilidae) มีรูปร่างอ้วนป้อม ลักษณะโดยทั่วไปเหมือนปลาสะแงะ (A. bengalensis) ซึ่งอยู่ในวงศ์และสกุลเดียวกัน แต่ปลาตูหนามีรูปร่างที่เล็กกว่า ครีบอกของปลาตูหนามีสีคล้ำ ในปลาโตเต็มวัยครีบหลังและครีบก้นมีสีคล้ำด้วยเช่นกัน จึงเป็นที่มาของชื่อว่า "ปลาไหลหูดำ" ลำตัวสีน้ำตาลอ่อนไม่มีลวดลาย ใต้ท้องสีขาว ขนาดโตเต็มที่ได้ 1.5 เมตร ในประเทศไทยพบได้ตั้งแต่ภาคใต้ฝั่งตะวันตกแถบริมชายฝั่งอันดามัน เรื่อยไปจนถึงประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย และในภาคตะวันตกในชายแดนที่ติดกับประเทศพม่า เช่น จังหวัดตาก แม่ฮ่องสอน เป็นต้น โดยชาวกะเหรี่ยงเรียกปลาชนิดนี้ว่า "หย่าที" ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกพบได้ตั้งแต่พม่า บังกลาเทศ จนถึงอินเดีย โดยปลาที่พบในประเทศแถบนี้จะเป็นสายพันธุ์ย่อยที่เรียกว่า A. b. pacifica ส่วนปลาที่พบในแถบเอเชียตะวันออกมีชื่อเรียกว่า A. b. bicolor ปลาตูหนามีพฤติกรรมจะกลับไปผสมพันธุ์และวางไข่แถบป่าชายเลนหรือปากแม่น้ำ ลูกปลาแรกเกิดมีลำตัวใสเหมือนวุ้นเส้น มีสีแดงเรื่อ จากนั้นเมื่อโตขึ้นจะค่อยอพยพว่ายทวนน้ำมาสู่แหล่งน้ำจืด ซึ่งบางครั้งอาจพบได้ไกลถึงลำธารน้ำตกบนภูเขา ปลาชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีนในแถบจังหวัดระนองหรือตรัง ถือเป็นเมนูราคาแพง สามารถนำไปปรุงได้หลากหลาย เช่น ต้มยำ ย่าง หรือทำน้ำแดง ในต่างประเทศที่นิยมบริโภคได้แก่จีนและญี่ปุ่น โดยหน่วยงานประมงของประเทศเหล่านี้ได้มีการส่งเสริมให้เป็นปลาเศรษฐกิจ มีการทำฟาร์มเพาะขยายพันธุ์ แต่ว่าเนื้อมีกลิ่นคาวมาก จึงนิยมปลาตูหนาญี่ปุ่น (A. japonica) มากกว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตูหนา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตูหนายุโรป

ปลาตูหนายุโรป หรือ ปลาไหลยุโรป (European eel, Common eel) ปลาน้ำจืดกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตูหนา (Anguillidae) มีรูปร่างเหมือนปลาตูหนาชนิดอื่น ๆ ทั่วไป โดยที่ปลาตูหนายุโรปมีข้อกระดูกสันหลังประมาณ 114 ข้อ เมื่อโตเต็มที่แล้วมีความยาวได้มากกว่า 1 เมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 60-80 เซนติเมตร กระจายพันธุ์อยู่ตามแถบชายฝั่งแม่น้ำในทวีปยุโรปและใกล้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยที่ปลาพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์จะว่ายน้ำไปวางไข่ในทะเลลึก โดยจะใช้เวลานานถึง 1-2 เดือน ลูกปลาเมื่อฟักเป็นตัวอ่อน จะมีลักษณะใส โปร่งแสง เหมือนวุ้นเส้น เมื่อปลาวางไข่แล้วจะตาย ขณะที่ลูกปลาขนาดเล็กจะเดินทางกลับสู่แม่น้ำทางทวีปยุโรป โดยลอยไปตามกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม และถูกกินระหว่างทางเป็นจำนวนมาก ตัวอ่อนใช้เวลาถึง 2 ปี ในการเดินทางถึงมหาสมุทรแอตแลนติกตอนกลาง จนกระทั่งถึงปลายปีที่ 3 จึงถึงชายฝั่งแม่น้ำในทวีปยุโรป โดยจะใช้เวลา 8-15 ปี ในการเจริญเติบโต จนเป็นตัวเต็มวัย ก่อนที่จะหวนกลับไปวางไข่ในทะเลตามวงจรชีวิต จัดเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญอย่างหนึ่งชนิดหนึ่ง ของทวีปยุโรป โดยใช้บริโภคกันมาอย่างยาวนาน สามารถปรุงได้หลายวิธีและจัดเป็นอาหารราคาแพง จนกระทั่งในกลางปี ค.ศ. 2009 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้ออกกฎหมายห้ามล่าปลาตูหนายุโรปเพื่อการค้าระหว่างเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน เพราะเกรงว่าจะสูญพันธุ์ ทั้งนี้มีจำนวนประชากรปลาตูหนายุโรปลดลงกว่าร้อยละ 95 ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา คาดว่าเกิดจากการจับในปริมาณที่มากเกิน รวมถึงมลภาวะน้ำเป็นพิษจากการปล่อยสารเคมีลงในแม่น้ำและการติดเชื้อร้ายแรง ผู้ใดละเมิดจะถูกปรับเป็นเงิน 3,000 ยูโร (เกือบ 150,000 บาท) และจะขยายเป็นตลอด 3 เดือนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ส่งผลกระทบชาวประมงที่ยึดอาชีพจับปลา ทางรัฐบาลจะจ่ายค่าชดเชยจำนวนทั้งสิ้น 700,000 ยูโร (ราว 23.8 ล้านบาท) จากการคำนวณของกลุ่มชาวประมงที่คาดว่าจะขาดรายได้เดือนละ 1,000 ยูโร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตูหนายุโรป · ดูเพิ่มเติม »

ปลาตีน

ปลาตีน คือปลาที่อยู่ในวงศ์ย่อย Oxudercinae ในวงศ์ปลาบู่ กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปตามชายทะเลโคลนและป่าชายเลนในเขตร้อนตั้งแต่เขตมหาสมุทรแอตแลนติก ชายฝั่งแอฟริกาจนถึงเอเชียแปซิฟิก มีความยาวลำตัวแตกต่างออกไปตั้งแต่เพียงไม่กี่เซนติเมตร ในชนิด Zappa confluentus จนถึงเกือบหนึ่งฟุต ในชนิด Periophthalmodon schlosseri.

ใหม่!!: สัตว์และปลาตีน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลาม

ปลาฉลาม (ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Selachimorpha) เป็นปลาในชั้นปลากระดูกอ่อนจำพวกหนึ่ง มีรูปร่างโดยรวมเพรียวยาว ส่วนใหญ่มีซี่กรองเหงือก 5 ซี่ ครีบทุกครีบแหลมคม ครีบหางเป็นแฉกเว้าลึก มีจุดเด่นคือ ส่วนหัวและจะงอยปากแหลมยาว ปากเว้าคล้ายพระจันทร์เสี้ยวภายในมีฟันแหลมคม ปลาฉลามทุกชนิดเป็นปลากินเนื้อ มักล่าสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ กินเป็นอาหาร แต่ก็มีฉลามบางจำพวกที่กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร เช่น ปลาฉลามในอันดับ Orectolobiformes ได้แก่ ปลาฉลามวาฬ, ปลาฉลามในอันดับ Lamniformes เช่น ปลาฉลามเมกาเมาท์ (Megachasma pelagios) และปลาฉลามอาบแดด (Cetorhinus maximus) แต่ปลาฉลามบางสกุลในอันดับ Lamniformes เช่น ปลาฉลามมาโก (Isurus spp.) และปลาฉลามในอันดับ Carcharhiniformes มีรูปร่างเพรียวยาว ว่ายน้ำได้ปราดเปรียว โดยอาจทำความเร็วได้ถึง 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง เช่น ซึ่งฉลามในอันดับนี้ หลายชนิดเป็นปลาที่ดุร้าย อาจทำร้ายมนุษย์หรือกินสิ่งต่าง ๆ ถึงแม้จะไม่ใช่อาหารได้ด้วย ฉลามในอันดับนี้ได้แก่ ปลาฉลามขาว (Carcharodon carcharias), ปลาฉลามเสือ (Galeocerdo cuvier), ปลาฉลามหัวบาตร (Carcharhinus leucas) เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ยังมีปลาฉลามที่มีรูปร่างประหลาดและพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากปลาฉลามส่วนใหญ่ อาทิ ปลาฉลามเสือดาว (Stegostoma fasciatum), ปลาฉลามกบ (Chiloscyllium spp.) ที่อยู่ในอันดับ Orectolobiformes ซึ่งเป็นปลาฉลามที่ไม่ดุร้าย มักหากินและอาศัยอยู่ตามพื้นทะเล มีครีบหางโดยเฉพาะครีบหางตอนบนแหลมยาวและมีขนาดใหญ่ และมักมีสีพื้นลำตัวเป็นลวดลายหรือจุดต่าง ๆ เพื่อพรางตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม หรือ ปลาฉลามโบราณ (Chlamydoselachus anguineus) ที่อยู่ในอันดับ Hexanchiformes ที่มีรูปร่างยาวคล้ายปลาไหล เป็นปลาน้ำลึกที่หาได้ยากมาก ๆ และเดิมเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว ปลาฉลามโดยมากเป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว ในตัวผู้จะมีอวัยวะเพศเป็นติ่งยื่นยาวออกมาหนึ่งคู่เห็นได้ชัด ซึ่งเรียกว่า "เดือย" หรือ "Clasper" ในภาษาอังกฤษ แต่ก็มีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่ออกลูกเป็นไข่ โดยมากแล้วเป็นปลาทะเล อาศัยอยู่ในทะเลทั้งเขตอบอุ่นและขั้วโลก มีเพียงบางสกุลและบางชนิดเท่านั้น ที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดหรือน้ำกร่อยได้ อาทิ ปลาฉลามแม่น้ำ (Glyphis spp.) ที่เป็นปลาฉลามน้ำจืดแท้ โดยมีวงจรชีวิตอยู่ในน้ำจืดตลอดทั้งชีวิต และปลาฉลามหัวบาตร หรือ ปลาฉลามครีบดำ (Carcharhinus melanopterus) ที่มักหากินตามชายฝั่งและปากแม่น้ำ ซึ่งอาจปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดสนิทได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลาม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามพยาบาล

ปลาฉลามพยาบาล หรือ ปลาฉลามขี้เซา (nurse shark, sleepy shark) เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ginglymostoma cirratum อยู่ในวงศ์ Ginglymostomatidae เป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Ginglymostoma โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์นั้นคำว่า Ginglymostoma หรือ Ginglymostomatidae มาจากภาษากรีกคำว่า γίγγλυμος (ginglymos) หมายถึง "บานพับ" หรือ "สายยู" และ στόμα (stoma) หมายถึง "ปาก" และคำว่า cirratum มาจากภาษากรีก หมายถึง "ขด" หรือ "ว่ายน้ำ" จัดเป็นปลาฉลามในอันดับ Orectolobiformes หรือปลาฉลามหน้าดินขนาดใหญ่ มีลักษณะคล้ายกับปลาฉลามพยาบาลสีน้ำตาล (Nebrius ferrugineus) ที่พบได้ในทวีปเอเชียและแอฟริกา ซึ่งในอดีตได้สร้างความสับสนให้แก่แวดวงวิชาการมาแล้ว โดยปลาฉลามพยาบาลจะพบได้ตามแถบหมู่เกาะแคริบเบียน, แถบชายฝั่งของรัฐฟลอริดาตอนใต้และฟลอริดาคียส์, ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิกของสหรัฐอเมริกา, ทะเลคอร์เตสไปจนถึงชายฝั่งเปรูในทวีปอเมริกาใต้ มีขากรรไกรที่แข็งแรง ในปากมีฟันที่แบนและงุ้มเข้าภายใน ใช้สำหรับงับอาหารซึ่งได้แก่ ปลาขนาดเล็กกว่าตามหน้าดินและสัตว์มีกระดองและมอลลัสคาต่าง ๆ รวมถึงหอยเม่นให้อยู่และกัดให้แตก โดยใช้อวัยวะที่คล้ายหนวดเป็นเครื่องนำทางและเป็นประสาทสัมผัส จะใช้วิธีการกินด้วยการดูดเข้าปาก มีครีบหางที่ยาวถึงร้อยละ 25 ของความยาวลำตัว ลำตัวเป็นสีเหลืองน้ำตาลจนถึงสีน้ำตาลเข้ม ขณะที่ยังเป็นปลาวัยอ่อนจะมีจุดเข้มเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่ว ขณะกินอาหาร เป็นปลาที่อาศัยและหากินตามพื้นน้ำในความลึกไม่เกิน 70 เมตร บางครั้งพบได้ใกล้ชายฝั่งหรือป่าชายเลน เนื่องจากเข้ามาหาอาหารกิน ใช้เวลาหากินในเวลากลางคืน และนอนหลับตามโพรงถ้ำหรือกองหินในเวลากลางวัน เป็นปลาที่มักจะอยู่นิ่ง ๆ ซึ่งบางครั้งอาจพบรวมตัวกันได้นับสิบตัวVacation Nightmares, "Dangerous Encounters".

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามพยาบาล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามพยาบาลสีน้ำตาล

ปลาฉลามพยาบาลสีน้ำตาล หรือ ปลาฉลามขี้เซาสีน้ำตาล (Tawny nurse shark, Nurse shark, Sleepy shark) เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nebrius ferrugineus (นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า ปลาฉลามพยาบาล หรือ ปลาฉลามขี้เซา) อยู่ในวงศ์ Ginglymostomatidae เป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Nebrius จัดเป็นปลาฉลามในอันดับ Orectolobiformes หรือปลาฉลามหน้าดินขนาดใหญ่ จะงอยปากยื่นยาว ตาเล็กมาก มีรูหายใจเล็ก ๆ อยู่หลังตา ครีบใหญ่ ปลายครีบแหลม ครีบอกโค้งยาว ครีบหางยาว มีครีบก้น ลำตัวสีน้ำตาลเข้มหรือสีเทาอมน้ำตาลอ่อน และอาจมีจุดกระสีดำเล็ก ๆ กระจายไปทั่ว ซึ่งในครั้งหนึ่งเคยสร้างความสับสนให้แก่แวดวงวิชาการว่ามี 2 ชนิดหรือไม่ แต่ในปัจจุบันได้จัดแบ่งออกมาเป็นอีกชนิด คือ ปลาฉลามพยาบาล (Ginglymostoma cirratum) ซึ่งเป็นปลาฉลามพยาบาลชนิดที่พบได้ในทวีปอเมริกา มีขากรรไกรที่แข็งแรง ในปากมีฟันที่แบนและงุ้มเข้าภายใน ใช้สำหรับงับอาหารซึ่งได้แก่ ปลาขนาดเล็กกว่าตามหน้าดินและสัตว์มีกระดองและมอลลัสคาต่าง ๆ รวมถึงหอยเม่นให้อยู่และกัดให้แตก โดยใช้อวัยวะที่คล้ายหนวดเป็นเครื่องนำทางและเป็นประสาทสัมผัส จะใช้วิธีการกินด้วยการดูดเข้าปาก เป็นปลาที่อาศัยและหากินตามพื้นน้ำในความลึกไม่เกิน 70 เมตร ตามกองหินหรือแนวปะการังใต้น้ำ บางครั้งพบได้ใกล้ชายฝั่งหรือป่าชายเลน เนื่องจากเข้ามาหาอาหารกินVacation Nightmares, "Dangerous Encounters".

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามพยาบาลสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามพอร์ตแจ็กสัน

ปลาฉลามพอร์ตแจ็กสัน (Port Jackson shark) เป็นปลาฉลามขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ Heterodontidae ปลาฉลามพอร์ตแจ็กสันเป็นปลาฉลามขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ที่ไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ มีความยาวประมาณ 100-120 เซนติเมตร และพบยาวเต็มที่ 1.67 เมตร มีลำตัวยาวทรงกระบอก มีส่วนหัวที่เหลี่ยมคล้ายกับหัวของวัว ปากมีขนาดเล็ก และมีฟันซี่เล็ก ๆ ที่ไม่แหลมคม ใช้สำหรับกินสัตว์มีเปลือกตามหน้าดินชนิดต่าง ๆ, เม่นทะเล และหอยเป็นอาหารโดยเฉพาะ นอกจากนี้แล้วมีรายงานว่า ที่ครีบหลัง 2 ครีบ มีเงี่ยงที่มีพิษ ปลาฉลามพอร์ตแจ็กสันเป็นปลาที่หากินและอาศัยอยู่บริเวณหน้าดิน พื้นทะเล รอบ ๆ ออสเตรเลีย เช่น ท่าเรือแจ็กสัน หรือ อ่าวซิดนีย์ อันเป็นที่มาของชื่อเรียก ปลาฉลามพอร์ตแจ็กสันเป็นปลาที่มีวงจรชีวิตค่อนข้างมหัศจรรย์ กล่าวคือ เป็นปลาฉลามที่ออกลูกเป็นไข่ ซึ่งเชื่อว่าลักษณะเดียวกับปลาฉลามในยุคจูราสซิคแพร่ขยายพันธุ์เช่นเดียวกัน ลักษณะของไข่จะมีลักษณะเป็นเกลียวคล้ายกับที่เปิดจุกไวน์สีคล้ำ ปลาตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าปลาตัวผู้ จะวางไข่ครั้งละ 2 ฟอง การผสมพันธุ์จะเกิดในช่วงที่พระจันทร์เต็มดวงที่น้ำขึ้นเต็มที่ ปลาจะว่ายมารวมตัวกันนับร้อยตัว ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายกัดที่ครีบหลังตัวเมีย เมื่อออกไข่แล้ว ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายใช้ปากคาบไข่ไปซ่อนไว้ในกอสาหร่ายเพื่อให้ปกป้องไข่ ซึ่งจะเวลา 9 เดือน ที่ลูกปลาจะฟักออกมา เมื่อลูกปลาออกมาแล้ว จะว่ายน้ำเข้าสู่ชายฝั่งและเลี้ยงดูตัวเองบริเวณนั้น เช่น ป่าโกงกาง, ปากแม่น้ำ เป็นต้น ปลาจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 25 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามพอร์ตแจ็กสัน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามกบ

ปลาฉลามกบ หรือ ปลาฉลามปล้องอ้อย (Brownbanded bamboo shark, Banded cat shark) เป็นปลาฉลามขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chiloscyllium punctatum อยู่ในวงศ์ Hemiscylliidae มีลำตัวและหางเรียวยาว จะงอยปากกว้างอยู่บริเวณด้านหน้าของตาทั้ง 2 ข้าง ตามีขนาดเล็ก ครีบหางแฉกบนโค้งเรียวยาวกว่าแฉกล่าง ในลูกปลาวัยอ่อนจะมีลายเป็นแถบสีขาวสลับดำคาดตามขวางลำตัวและจะค่อย ๆ จางลงเมื่อโตขึ้นและกลายเป็นสีน้ำตาลแทน และมีอวัยวะคล้ายหนวดบริเวณส่วนหน้าด้วย จึงได้อีกชื่อเรียกหนึ่งว่า "ปลาฉลามแมว" ขนาดเมื่อโตเต็มที่ความยาวที่เคยพบสูงสุด คือ 121 เซนติเมตร พบทั่วไปตามพื้นทรายแนวปะการังในเขตน่านน้ำอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่ อินเดีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, จีน, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, ฟิลิปปินส์ จนถึงตอนเหนือของออสเตรเลีย และไทย พบทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เป็นปลาฉลามที่หากินอยู่บริเวณหน้าดิน มีพฤติกรรมชอบอยู่นิ่ง ๆ กินแต่พืชและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร ออกลูกเป็นไข่ โดยที่ตัวเมียจะไม่ดูแลไข่ แต่จะวางไข่อยู่บริเวณแนวปะการังที่มีสาหร่ายล้อมรอบอยู่ และสร้างเปลือกไข่ที่แข็งแรงเพื่อปกป้องตัวอ่อน จัดเป็นปลาทะเลอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม จากการที่เป็นปลาขนาดเล็กและสีสันที่สวยงาม ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในตู้เลี้ยง ตั้งแต่ยังเป็นไข่ โดยมีการเพาะฟักจนกลายเป็นปลาวัยอ่อนและนำไปปล่อยคืนสู่ทะเลเพื่อเป็นการอนุรักษ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามกบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามกรีนแลนด์

ปลาฉลามกรีนแลนด์ (Greenland shark, Gray shark, Ground shark, Gurry shark) ปลากระดูกอ่อนชนิดหนึ่ง จำพวกปลาฉลาม ในวงศ์ปลาฉลามสลีปเปอร์ (Somniosidae) ปลาฉลามกรีนแลนด์ เป็นปลาฉลามกินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่ง นับว่ารองมาจากปลาฉลามขาว เพราะอาจยาวได้ถึง 24 ฟุต และมีน้ำหนักได้ถึง 2,500 ปอนด์ แต่ขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไปยาว 2.44–4.8 เมตร (8.0–16 ฟุต) และมีน้ำหนักประมาณ 400 กิโลกรัม (880 ปอนด์) ปลาฉลามกรีนแลนด์มีผิวหนังที่หนาหยาบเหมือนกระดาษทรายสีเทาเข้มเกือบดำ ครีบหลังเป็นเพียงโหนกสั้น ๆ ไม่เหมือนกับปลาฉลามทั่วไป มีขากรรไกรกว้าง มีฟันที่แหลมคมเรียงกันเป็นแถว บนขากรรไกรบน 48–52 ซี่ ในขณะที่ขากรรไกรล่างมีประมาณ 50–52 ซี่ ใช้สำหรับจับอาหารให้แน่นและงับเหยื่อ รวมทั้งสะบัดให้ขาด ลักษณะกรามและฟันของปลาฉลามกรีนแลนด์ ปลาฉลามกรีนแลนด์ พบกระจายพันธุ์อยู่ในแถบน้ำที่หนาวเย็นมีอุณหภูมิเพียง 10 ถึง -6 องศาเซลเซียส ในแถบอาร์กติก เช่น กรีนแลนด์, ไอซ์แลนด์ หรือนอร์เวย์ นับว่าเป็นปลาฉลามที่อาศัยอยู่ในซีกโลกตอนเหนือที่สุด นอกจากนี้แล้วยังอาศัยอยู่ในความลึกกว่า 2,000 ฟุตจากผิวน้ำ ดังนั้น วงจรชีวิตของปลาฉลามกรีนแลนด์จึงยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เชื่อว่ากินปลาและสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ ตามพื้นทะเลเป็นอาหาร รวมถึงซากสัตว์ขนาดใหญ่ที่ตายลงน้ำด้วย เช่น หมีขั้วโลก, ม้า หรือ กวางแคริบู เนื่องจากมีการผ่าพบซากสัตว์เหล่านี้ในกระเพาะอาหาร และเชื่อว่าด้วยขนาดและรูปร่าง กอรปกับถิ่นที่อยู่อาศัยจึงเป็นต้นเหตุของความเชื่อเรื่องสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ในแม่น้ำหรือมหาสมุทรในแถบซีกโลกทางเหนือ เช่น สัตว์ประหลาดล็อกเนสส์ เนื้อปลาฉลามกรีนแลนด์แขวนตาก หรือฮัลกาติ ที่ไอซ์แลนด์ แม้จะยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ทว่าชาวไวกิ้งหรือชาวไอซ์แลนด์ได้รับประทานเนื้อของปลาฉลามกรีนแลนด์มานานนับเป็นพันปีแล้ว โดยมีชื่อเรียกในภาษาอินุอิตว่า "Eqalussuaq" โดยมีการทำการประมงจนเป็นอุตสาหกรรม โดยเรือประมงที่ใช้เอ็นเบ็ดน้ำลึกยาวถึง 1 ไมล์ หรือ 1 ไมล์ครึ่ง และมีระยะเวลาการออกเรือเป็นช่วงเวลา ซึ่งอาจทิ้งเวลานานถึงหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน เนื้อของปลาฉลามกรีนแลนด์เมื่อรับประทานสด ๆ จะมีสภาพเป็นพิษ ต้องผ่านกระบวนการถนอมอาหาร เช่น หมัก และ ตากแห้ง เรียกในภาษาไอซ์แลนด์ว่า ฮัลกาติ (Hákarl) เป็นระยะเวลานานก่อนจึงจะสามารถรับประทานได้ เนื้อเมื่อหั่นมาแล้วจะมีสีขาวบาง กระนั้นก็ยังคงมีกลิ่นฉุนคล้ายกลิ่นปัสสาวะอยู่ดี เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วก็ยังคงมีกลิ่นติดอยู่ในปากไปอีกนาน Legend of Loch Ness, "River Monsters".

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามกรีนแลนด์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามก็อบลิน

ปลาฉลามก็อบลิน หรือ ปลาฉลามปีศาจ (Goblin shark, Elfin shark) ปลากระดูกอ่อนจำพวกปลาฉลามชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามก็อบลิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามมาโก

ปลาฉลามมาโก (Mako shark) ปลากระดูกอ่อนจำพวกปลาฉลามในสกุล Isurus (/อิ-ซัว-รัส/) ในวงศ์ Lamnidae อันเป็นวงศ์เดียวกับปลาฉลามขาว ซึ่งเป็นปลากินเนื้อและสัตว์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังคงสืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน ปลาฉลามมาโก จัดเป็นปลาฉลามที่มีความปราดเปรียวว่องไว เป็นปลาฉลามที่ว่ายน้ำได้เร็วที่สุดในโลก โดยทำความเร็วได้ถึง 50-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งนี้เป็นผลมาจากการขยับหางที่เว้าเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถเพิ่มความเร็วได้ในช่วงระยะเวลาเสี้ยววินาที เพื่อใช้ในการล่าเหยื่อประเภทต่าง ๆ เช่น โลมา, แมวน้ำ หรือเต่าทะล จากการจู่โจมจากด้านล่าง อีกทั้งยังสามารถกระโดดได้พ้นน้ำได้สูงถึง 9 เมตรอีกด้วย เป็นปลาที่มีดวงตากลมโตสีดำสนิท ภายในปากมีฟันแหลมคมจำนวนมากจนล้นออกนอกปาก จัดเป็นปลาฉลามอีกจำพวกหนึ่งที่ทำอันตรายมนุษย์ได้ เป็นปลาที่ถือกำเนิดมาจากตั้งแต่ยุคครีเตเชียสจนถึงควอเทอนารี (ประมาณ: 99.7 ถึง 0.781 ล้านปีก่อน) จำแนกออกได้เป็น 2 ชนิด ที่ยังคงสืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน มีความยาวประมาณ 2.5 ถึง 4.5 เมตร (8.2 ถึง 14.8 ฟุต) และน้ำหนักมากที่สุดถึง 800 กิโลกรัม (1,800 ปอนด์) โดยคำว่า "มาโก" มาจากภาษามาวรี หมายถึง ปลาฉลามหรือฟันปลาฉลาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามมาโก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามวาฬ

ปลาฉลามวาฬ (Whale shark) เป็นปลาฉลามเคลื่อนที่ช้าที่กินอาหารแบบกรองกิน เป็นปลาขนาดใหญ่ที่สุด ยาวถึง 12.65 ม. หนัก 21.5 ตัน แต่มีรายงานที่ไม่ได้รับยืนยันว่ายังมีปลาฉลามวาฬที่ใหญ่กว่านี้ เป็นปลาชนิดเดียวในสกุล Rhincodon และวงศ์ Rhincodontidae (ก่อนปี ค.ศ. 1984 ถูกเรียกว่า Rhinodontes) ซึ่งเป็นสมาชิกในชั้นย่อย Elasmobranchii ในชั้นปลากระดูกอ่อน ปลาฉลามวาฬพบได้ในทะเลเขตร้อนและอบอุ่น อาศัยอยู่ในทะเลเปิด มีช่วงอายุประมาณ 70 ปี ปลาฉลามชนิดนี้กำเนิดเมื่อประมาณ 60 ล้านปีมาแล้ว อาหารหลักของปลาฉลามวาฬคือแพลงก์ตอน ถึงแม้ว่ารายการแพลนเน็ตเอิร์ธของบีบีซีจะถ่ายภาพยนตร์ขณะที่ปลาฉลามวาฬกำลังกินฝูงปลาขนาดเล็กไว้ได้Jurassic Shark (2000) documentary by Jacinth O'Donnell; broadcast on Discovery Channel, August 5, 2006.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามวาฬ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามหลังหนาม

ปลาฉลามหลังหนาม (Spurdog) เป็นสกุลของปลาฉลามสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Squalus ในวงศ์ปลาฉลามน้ำลึก (Squalidae) โดยที่คำว่า Squalus นั้นมาจากภาษาละตินหมายถึง "ปลาฉลาม" ซึ่งคำนี้ยังเป็นรากศัพท์ของปลาฉลามอีกจำนวนมาก มีลักษณะเด่นคือ ครีบหลังบริเวณก้านครีบที่เป็นหนามแหลม อันเป็นที่มาของชื่อ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามหลังหนาม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามหลังหนามหนามสั้น

ปลาฉลามหลังหนามหนามสั้น (Shortspine spurdog, Green-eye spurdog) เป็นปลากระดูกอ่อนจำพวกปลาฉลามชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาฉลามน้ำลึก (Squalidae) ปลาฉลามหลังหนามหนามสั้นเป็นปลาฉลามที่มีขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มที่มีขนาดไม่เกิน 1 เมตร มีลักษณะเด่น คือ ครีบหลังมีก้านครีบที่เป็นหนามแหลม อันเป็นที่มาของชื่อ ปลาฉลามหลังหนามหนามสั้น เป็นปลาที่หาอาศัยและหากินบริเวณหน้าดินที่เป็นโขดหินในจุดที่ลึกมากถึง 950 เมตร แต่ส่วนใหญ่จะพบในความลึกประมาณ 100-700 เมตร เช่น ไหล่ทวีป แต่บางครั้งอาจพบได้ที่บริเวณชายฝั่ง แพร่กระจายพันธุ์ทั่วไปในมหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรแอตแลนติก, มหาสมุทรอินเดีย จนถึงตอนใต้ของออสเตรเลีย ในเขตน่านน้ำไทยจะพบได้ในทะเลอันดามัน ในบริเวณไหล่ทวีปที่ลึกประมาณ 90 เมตร เป็นปลาที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร สามารถจับได้ด้วยอุปกรณ์ประมงแบบน้ำลึก และใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้ เช่น ทำน้ำมันปลา และผิวหนังนำไปทำเป็นกระดาษทร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามหลังหนามหนามสั้น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามหัวบาตร

ปลาฉลามหัวบาตร (Bull shark) เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาฉลามครีบดำ (Carcharhinidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามหัวบาตร · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามหัวค้อน

ปลาฉลามหัวค้อน (Hammerhead shark) เป็นปลาฉลามในวงศ์ Sphyrnidae มีเพียงสกุลเท่านั้น คือ Sphyrna.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามหัวค้อน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามหัวค้อนยาว

ปลาฉลามหัวค้อนยาว (Winghead shark ชื่อวิทยาศาสตร์ Eusphyra blochii) คือสปีชีส์ในกลุ่มปลาฉลามหัวค้อนและเป็นส่วนหนึ่งในวงศ์ปลาฉลามหัวค้อน มีความยาวของลำตัวได้ถึง 1.9 เมตร มีสีน้ำตาลหรือสีดำ มีรูปร่างเพรียวบางและมีครีบหลังในรูปเคียวด้ามยาว ชื่อของฉลามชนิดนี้มาจากลักษณะส่วนหัวรูปค้อนที่มีขนาดใหญ่มากเรียกว่า cephalofoil ซึ่งมีความกว้างได้มากถึงครึ่งหนึ่งของความยาวลำตัว การใช้งานจากโครงสร้างลำตัวเช่นนี้ไม่ปรากฏชัดเจนแต่อาจเกี่ยวกับระบบประสาทสัมผัสของฉลาม ช่องว่างระหว่างตาทั้งสองข้างช่วยให้ฉลามมองด้วยระบบการเห็นภาพจากสองตาได้ดีเยี่ยม ส่วนรูจมูกที่ยาวมากนั้นอาจช่วยให้ฉลามตรวจจับและติดตามกลิ่นในน้ำได้ดียิ่งขึ้น ส่วนหัว cephalofoil ยังมีพื้นสัมผัสที่มีขนาดใหญ่สำหรับรูเปิดที่มีชื่อว่าampullae of Lorenziniและเส้นข้างลำตัวซึ่งส่งผลดีต่อความสามารถในการตรวจจับกระแสไฟฟ้าและการตรวจจับพลังงาน ปลาฉลามหัวค้อนยาวอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งน้ำตื้นของทะเลอินโด-แปซิฟิกตะวันตก โดยออกหาอาหารกลุ่มปลากระดูกแข็ง สัตว์พวกกุ้งกั้งปูและสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ฉลามหัวค้อนยาวออกลูกเป็นตัวโดยตัวอ่อนจะได้รับอาหารผ่านทางสายที่เชื่อมรก ตัวเมียจะตกลูกคราวละ 6-25 ตัว ขึ้นอยู่กับพื้นที่อาศัย ช่วงเวลาตกลูกมักเกิดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมิถุนายนหลังจากระยะเวลาตั้งครรภ์นาน 8-11 เดือน ฉลามที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์นี้ มักจะถูกล่าเพื่อเป็นอาหาร สำหรับเนื้อปลา ครีบ น้ำมันตับปลาและปลาป่น สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติได้ประเมินสถานะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกือบอยู่ในข่ายเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เนื่องจากจำนวนของฉลามที่ลดลงเนื่องมาจากการถูกล่าหาประโยชน์ที่มากเกินไป.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามหัวค้อนยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามหัวค้อนหยัก

ปลาฉลามหัวค้อนหยัก หรือ ปลาฉลามหัวค้อนสั้น หรือ อ้ายแบ้หยัก หรือ อ้ายแบ้สั้น (Scalloped hammerhead, Squat-headed hammerhead, Kidney-headed shark) เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาฉลามหัวค้อน (Sphyrnidae) รูปร่างยาวเรียวคล้ายกับปลาฉลามหัวค้อนชนิดอื่น ๆ มีลักษณะเด่น คือ ส่วนของหัวที่แผ่ออกแบนออกไปทั้งสองข้าง เป็นรูปค้อน นัยน์ตาอยู่ตรงบริเวณปลายส่วนที่แผ่ออกไปทั้ง 2 ด้าน มีรอยหยักลึกด้านหน้าสุดของหัวที่แตกต่างไปจากปลาฉลามหัวค้อนชนิดอื่น มีเยื่อหุ้มนัยน์ตา ปากอยู่ค่อนไปทางด้านล่างของลำตัว ลักษณะคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว ครีบหลังมีขนาดใหญกว่าครีบอก พื้นลำตัวสีเทา หลังสีเทาปนน้ำตาล ท้องสีขาว ขอบครีบมีรอยแต้มสีดำที่ปลาย มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง เป็นปลาล่าเหยื่อที่สามารถกินสัตว์น้ำได้หมดแทบทุกอย่าง มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 4.3 เมตร (14 ฟุต) น้ำหนักถึง 15 กิโลกรัม (330 ปอนด์) แต่ขนาดโดยเฉลี่ยประมาณอยู่ที่ 50-100 เซนติเมตร จัดเป็นปลาฉลามหัวค้อนที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง โดยหากินตั้งแต่กลางน้ำจนถึงหน้าดิน มีรายงานว่าพบได้ในที่ ๆ ลึกถึง 500 เมตร ในบางครั้งอาจหากินเข้ามาถึงในแหล่งน้ำกร่อย มีการกระจายพันธุ์ค่อนข้างกว้างขวาง ตั้งแต่ตลอดแนวชายฝั่งด้านมหาสมุทรแอตแลนติกของทวีปอเมริกาเหนือ, อเมริกากลาง จนถึงอเมริกาใต้, ทวีปแอฟริกา, ทวีปเอเชีย, ออสเตรเลีย สำหรับน่านน้ำไทยพบได้ที่ฝั่งอ่าวไทย เป็นปลาเศรษฐกิจ สามารถนำมาบริโภคได้ ครีบสามารถทำไปเป็นหูฉลามได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามหัวค้อนหยัก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามหางยาว

ปลาฉลามหางยาว (Thresher shark, Long-tailed shark) เป็นปลากระดูกอ่อนประเภทปลาฉลามวงศ์หนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ Alopiidae ในอันดับปลาฉลามขาว (Lamniformes) โดยมีเพียงสกุลเดียว คือ Alopias แม้ว่าปลาฉลามหางยาวจะอยู่ในอันดับเดียวกันกับปลาฉลามขาว แต่ปลาฉลามหางยาวมีอุปนิสัยที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยเป็นปลาที่ขี้อาย หาตัวพบเห็นได้ยากมาก แม้ว่าจะพบได้ในทะเลและมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก แต่สถานที่ ๆ พบเห็นตัวได้มีเพียงไม่กี่แห่ง ปลาฉลามหางยาว มีลักษณะเด่น คือ ลำตัวเพรียวยาวทรงกระสวย ดวงตากลมโตมีขนาดใหญ่ แต่มีปากขนาดเล็กและส่วนหัวที่กลมเล็ก ลำตัวเป็นสีเงินแวววาว ครีบหางตอนบนยาวมากอันเป็นลักษณะเด่นและเป็นที่มาของชื่อ ยามเมื่อว่ายน้ำครีบหางส่วนนี้สามารถขยับขึ้นลงได้ด้วย ครีบอกมีขนาดใหญ่ ปลาฉลามหางยาว มีประสาทรับกลิ่นที่ไวมากเช่นเดียวกับปลาฉลามทั่วไป เป็นปลาที่ล่าปลาชนิดอื่นในแนวปะการังกินเป็นอาหาร สามารถพบได้ในระดับความลึกกว่า 150 เมตร จัดเป็นปลาที่พบเห็นได้ยาก โดยแหล่งที่ขึ้นชื่อที่พบเห็นได้บ่อย คือ เกาะมาลาปัสกัว ที่อยู่ทางเหนือของเกาะเซบู ของทะเลฟิลิปปิน จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำดูปลาฉลามหางยาวจนขึ้นชื่อ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามหางยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามหางยาวหน้าหนู

ปลาฉลามหางยาวหน้าหนู หรือ ปลาฉลามหางยาวตาโต (Bigeye thresher shark, False thresher) ปลากระดูกอ่อนจำพวกปลาฉลามชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาฉลามหางยาว (Alopiidae) โดยคำว่า superciliosus ที่ใช้เป็นชื่อวิทยาศาสตร์นั้น มาจากภาษาละตินคำว่า super หมายถึง "เหนือ" และ ciliosus หมายถึง "คิ้ว" อันหมายถึง ร่องที่อยู่เหนือดวงตา ปลาฉลามหางยาวตาโต มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับปลาฉลามหางยาวชนิดอื่นทั่วไป มีร่างกายสีเทาออกม่วงกลมกลืนไปกับสีของสภาพแวดล้อม มีดวงตากลมโตรูปลูกแพร์ขนาดใหญ่กว่าปลาฉลามหางยาวชนิดอื่น โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 10 เซนติเมตร นับว่าเป็นขนาดของตาของสัตว์โลกที่ใหญ่ที่สุดที่ไม่ใช่สัตว์จำพวกนก สันนิษฐานว่ามีไว้เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพของทะเลลึกที่มืดมิดที่มีปริมาณแสงน้อย นอกจากนี้แล้วยังสามารถที่ปรับอุณหภูมิในร่างกายให้อุ่นกว่าอุณหภูมิของน้ำที่อาศัยอยู่ โดยจะมีอุณหภูมิร่างกายอยู่ที่ 2-4 องศาเซลเซียส ปลาฉลามหางยาวตาโต จัดเป็นปลาฉลามกินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ขนาดเมื่อโตเต็มที่มีขนาดเฉลี่ยประมาณ 4.6 เมตร หรือเล็กกว่านี้ พบใหญ่ที่สุด 4.8 เมตร น้ำหนักประมาณ 360 กิโลกรัม ปลาฉลามหางยาวตาโต อาศัยอยู่ในมหาสมุทรที่มีความลึกกว่า 500 เมตร น้ำมีอุณหภูมิเย็น พบได้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก แต่จะพบได้บ่อยที่มหาสมุทรแอตแลนติก รวมถึงบางส่วนในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียด้วย เป็นปลาที่มีความปราดเปรียวว่องไว ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ล่าปลาขนาดเล็กและสัตว์น้ำต่าง ๆ กินเป็นอาหาร โดยใช้ครีบหางท่อนบนที่ยาวใหญ่นั้นตีไล่เหยื่อ เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 12-13 ปีในตัวเมีย และ 9-10 ปีในตัวผู้ ลูกปลาเกิดใหม่มีความยาว 70-106 เซนติเมตร โดยเกิดเป็นตัวจากไข่ในช่องท้องของปลาตัวแม่ เป็นปลาฉลามอีกชนิดหนึ่งที่ถูกจับและใช้ประโยชน์ในทางการประมง และก็ถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน 10 ชนิดของปลาฉลามที่ถูกคุกคามจนใกล้สูญพันธุ์ทั่วโลก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามหางยาวหน้าหนู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามหางยาวธรรมดา

ปลาฉลามหางยาวธรรมดา หรือ ปลาฉลามเทรเชอร์ (Common thresher shark, Thresher shark, Long-tailed thresher shark) ปลากระดูกอ่อนชนิดหนึ่ง จำพวกปลาฉลาม อยู่ในวงศ์ปลาฉลามหางยาว (Alopiidae) โดยที่คำว่า vulpinus นั้นแปลงมาจากภาษาละตินคำว่า vulpes หมายถึง "หมาจิ้งจอก" ซึ่งในบางแหล่งข้อมูลที่มีข้อมูลเก่าอาจจะใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Alopias vulpes จัดเป็นปลาฉลามกินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง โดยมีความยาวเฉลี่ยเต็มที่ประมาณ 5.5-6.1 เมตร น้ำหนักตัวหนักได้ถึง 499 กิโลกรัม มีลักษณะเด่น คือ ครีบหางส่วนบนที่ยาวมาก คิดเป็นร้อยละ 50 ของขนาดตัว และมีน้ำหนักส่วนหางมากถึงร้อยละ 33 ของน้ำหนักตัวทั้งหมด ซึ่งครีบหางนี้ยามว่ายน้ำสามารถโบกขึ้นลงไปในแนวตั้งได้ด้วย ส่วนหัวมีขนาดกลมเล็ก ปากเล็ก ขากรรไกรเล็ก ภายในปากมีฟันแหลม ๆ คมซี่เล็ก ๆ จำนวนมาก ดวงตากลมโตมีขนาดใหญ่ ลำตัวสีขาวปลอดหรือขาวเงินแวววาวทั้งตัว ครีบอกแหลมยาว ครีบหลังตอนที่ 2 มีขนาดเล็ก ปลาฉลามหางยาวธรรมดา เป็นปลาฉลามที่มีนิสัยขี้อาย มักพบเห็นตัวได้ยากมาก เป็นปลาที่หากินและอาศัยอยู่ตามลำพัง โดยล่าปลาขนาดเล็กรวมถึงสัตว์น้ำอื่น ๆ กินเป็นอาหาร โดยมีวิธีการล่าเหยื่อด้วยการตีวนรอบฝูงเหยื่อให้เกิดน้ำวน เพื่อให้เหยื่อเกิดอาการตื่นตระหนกและจับทิศทางไม่ถูก จากนั้นปลาฉลามหางยาวธรรมดาก็จะว่ายผ่าตรงกลางวงไปงับกินเหยื่อทันที จัดเป็นปลาฉลามอีกชนิดหนึ่งที่ว่ายน้ำได้ว่องไวมาก เป็นปลาที่พบได้ทั่วโลกในทะเลและมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่น แต่ก็ถือว่าเป็นปลาที่พบเห็นได้ยากมาก สามารถพบเห็นได้ในที่ลึกถึง 500 เมตร แต่ปลาฉลามหางยาวธรรมดาก็สามารถว่ายเข้าชายฝั่งและเขตที่น้ำตื้นได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงสามารถกระโดดได้สูงขึ้นเหนือน้ำได้ด้วย เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว โดยลูกปลาจะกินกันเองตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เหมือนปลาฉลามชนิดอื่นอีกหลายชนิด ลูกปลาแรกเกิดมีความยาวประมาณ 1.5 เมตร โดยออกลูกครั้งละ 2-6 ตัว เป็นปลาฉลามอีกชนิดหนึ่ง ที่ถูกคุกคามจนใกล้สูญพันธุ์จากการทำประมง จนถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน 10 ชนิดของปลาฉลามที่ใกล้สูญพันธุ์ที่สุดของโลก โดยนำชิ้นส่วนต่าง ๆ ไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ หรือบริโภคเป็นปลาเศรษฐกิจ ที่เกาะมาลาปาสกัว ทางตอนเหนือของเกาะเซบู ในทะเลฟิลิปปิน เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่พบปลาฉลามหางยาวธรรมดาได้บ่อย จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำดูปลาฉลามหางยาวจนขึ้นชื่อ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามหางยาวธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามหางไหม้ (อินโดนีเซีย)

ปลาฉลามหางไหม้ (Bala shark, Silver shark, Tricolor sharkminnow) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างและทรวดทรงที่เพรียวยาว ตาโต ปากเล็ก ขยับปากอยู่ตลอดเวลา ใต้คางมีแผ่นหนังเป็นถุงเปิดออกด้านท้าย ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย เกล็ดมีขนาดเล็กสัดส่วนของครีบทุกครีบเหมาะสมกับลำตัว โดยเฉพาะครีบหางซึ่งเว้าเป็นแฉกลึก สีของลำตัวเป็นสีเงินแวววาว ด้านหลังสีเขียวปนเทา ครีบหลัง ครีบท้อง ครีบก้นและครีบหาง สีเหลืองหรือสีเหลืองอมขาว และมีขอบเป็นแถบดำ อันเป็นที่มาของชื่อ ว่ายน้ำได้ปราดเปรียวมาก และกระโดดขึ้นได้สูงจากน้ำมาก มีขนาดโตเต็มราว 20–30 เซนติเมตร เป็นปลาที่พบแพร่กระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำของประเทศอินโดนีเซีย มีความว่องไวปราดเปรียวมาก โดยสามารถที่จะกระโดดได้สูงถึง 2 เมตร มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง ปัจจุบันมีสถานะในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์แล้ว นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยใช้วิธีการผสมเทียมด้วยการฉีดฮอร์โมน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามหางไหม้ (อินโดนีเซีย) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามหางไหม้ (ไทย)

ปลาหางไหม้ หรือที่นิยมเรียกกันว่า ปลาฉลามหางไหม้ (Burnt-tailed barb, Siamese bala-shark) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ปลาหางไหม้ มีรูปร่างและทรวดทรงที่เพรียวยาว ตาโต ปากเล็ก ขยับปากอยู่ตลอดเวลา ใต้คางมีแผ่นหนังเป็นถุงเปิดออกด้านท้าย ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย เกล็ดมีขนาดเล็กสัดส่วนของครีบทุกครีบเหมาะสมกับลำตัว โดยเฉพาะครีบหางซึ่งเว้าเป็นแฉกลึก สีของลำตัวเป็นสีเงินแวววาว ด้านหลังสีเขียวปนเทา ครีบหลัง ครีบท้อง ครีบก้นและครีบหาง สีส้มแดงและขอบเป็นแถบดำ อันเป็นที่มาของชื่อ ว่ายน้ำได้ปราดเปรียวมาก และกระโดดขึ้นได้สูงจากน้ำมาก มีขนาดโตเต็มราว 20–30 เซนติเมตร นิยมอยู่เป็นฝูง หากินตามใต้พื้นน้ำ ในอดีตพบชุกชุมในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ในประเทศไทย แต่ปัจจุบันไม่พบแล้ว เชื่อว่าได้สูญพันธุ์ไปจนหมดแล้ว สันนิษฐานว่าเป็นผลมาจากการจับจากธรรมชาติเพื่อจำหน่ายเป็นปลาสวยงาม แต่ก็เพียงข้อสันนิษฐาน โดยถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตถิ่นเดียว แม้จะมีรายงานพบในลุ่มแม่น้ำโขง ในเวียดนาม, กัมพูชา และลาว แต่ทว่าก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน และไม่เป็นที่ยอมรับจาก IUCN ซึ่งในอดีตปลาหางไหม้ได้ถูกใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ร่วมกับปลาฉลามหางไหม้ชนิดที่พบในประเทศอินโดนีเซีย (B. melanopterus) และถูกใช้ชื่อวิทยาศาสตร์และข้อมูลนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2007 มีการจัดอนุกรมวิธานกันขึ้นมาใหม่ Ng, Heok Hee; Kottelat, Maurice (2007).

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามหางไหม้ (ไทย) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามหิน

ปลาฉลามหิน หรือ ปลาฉลามกบ (Grey bamboo shark, Bamboo cat shark) เป็นปลาทะเลกระดูกอ่อนจำพวกปลาฉลาม อยู่ในวงศ์ Hemiscylliidae มีลักษณะคล้ายกับปลาฉลามกบ (C. punctatum) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน มีขนาดยาวเต็มที่ไม่เกิน 1 เมตร พบได้ทั่วไปในพื้นทะเลทุกสภาพ ไม่ว่าจะเป็นพื้นทราย, พื้นโคลน หรือทรายปนโคลน กระจายพันธุ์อย่างกว้างไกลตั้งแต่ทะเลอาหรับ, ปากีสถาน, อินเดีย, ศรีลังกา, ทะเลอันดามัน, อ่าวไทย, ทะเลญี่ปุ่น, ทะเลตะวันออก, ทะเลฟิลิปปิน, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เมื่อยังเป็นลูกปลาวัยอ่อน จะมีสีสันและลวดลายสวยงาม โดยจะมีสีขาวเป็นสีพื้น และมีสีดำสลับเป็นปล้อง ๆ จึงมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า "ปลาฉลามปล้องอ้อย" แต่เมื่อโตขึ้นแล้วลวดลายเหล่านี้จะหายไป เหลือเพียงแค่ลำตัวสีเขียวหรือเทาตลอดทั้งลำตัว และมีจุดกระสีดำเป็นจุด ๆ ทั้งลำตัวไปจรดปลายหาง เป็นปลาฉลามที่ออกลูกเป็นไข่ โดยลักษณะไข่เป็นกระเปาะคล้ายแคปซูลรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเปลือกเหนียวและมีเส้นใยไว้ยึดติดกับวัสดุใต้น้ำ ลูกปลาจะใช้เวลาในการพัฒนาตัวในกระเปาะไข่ประมาณ 12 สัปดาห์ โดยกินอาหารจากถุงไข่แดง และเมื่อฟักออกมาแล้วจะสามารถหาอาหารกินได้เองเลย ซึ่งได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กที่อาศัยอยู่หน้าดินพื้นทะเล จัดเป็นปลาฉลามที่มีขนาดเล็ก และมีสีสันสวยงามโดยเฉพาะเมื่อยังเล็ก จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ซึ่งสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในสถานที่เลี้ยง ซึ่งการขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงเมื่อแม่ปลาออกไข่มาแล้ว จะเก็บขึ้นมาอนุบาลในบ่อที่มีกระแสน้ำไหลเวียนและมีคุณภาพดี จนกว่าลูกปลาจะฟักออกมาเป็นตัว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามหิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามหนูใหญ่

ปลาฉลามหนูใหญ่ หรือ ปลาฉลามหนูหัวแหลม (Spadenose shark, Walbeehm's sharp-nosed shark) เป็นปลากระดูกอ่อนชนิดหนึ่ง จำพวกปลาฉลาม อยู่ในวงศ์ปลาฉลามครีบดำ (Carcharhinidae) เป็นปลาฉลามเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในสกุล Scoliodon ปลาฉลามหนูใหญ่ จัดเป็นปลาฉลามขนาดเล็ก มีอุปนิสัยไม่ค่อยดุร้าย มีรูปร่างยาวเพรียวคล้ายกระสวย ความยาวของลำตัวมาก หัวแบนลาดลงไปทางด้านหน้า จะงอยปากยาว ฟันที่ตาค่อนข้างโต มีเยื่อหุ้มตา ปากอยู่ด้านล่าง รูปร่างโค้งคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว มีฟันคม ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ขอบเรียบ ครีบหลังมี 2 อัน อันแรกมีขนาดใหญ่รูปสามเหลี่ยม อันที่สองมีขนาดเล็กเกล็ดมีฐานรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนฝังอยู่ใต้ผิวหนัง โผล่เฉพาะปลายที่เป็นหนามแข็งและคม เมื่อลูบจะสากมือ ครีบหูมีขนาดใกล้เคียงกับกระโดงหลัง ครีบหางมีขนาดใหญ่ และแยกเป็น 2 ส่วน อันบนมีขนาดใหญ่กว่าอันล่างมาก พื้นลำตัวสีเทาเข้ม ท้องสีขาว ครีบต่าง ๆ สีดำ มีความยาวตั้งแต่ 35-95 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในพื้นทะเลที่เป็นทราย หรือเป็นโคลนแถบชายฝั่งตื้น ๆ อาจพบได้ในแหล่งน้ำกร่อยและน้ำจืดได้ด้วย พบตั้งแต่ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก, ทวีปเอเชีย จนถึงญี่ปุ่น ในน่านน้ำไทยพบได้ที่ฝั่งอ่าวไทย เป็นปลาฉลามอีกชนิดหนึ่ง ที่ใช้บริโภคได้ โดยเนื้อมีราคาถูก นิยมทำเป็นลูกชิ้น ขณะที่ครีบต่าง ๆ นำไปทำเป็นหูฉลาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามหนูใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามอาบแดด

ปลาฉลามอาบแดด หรือ ปลาฉลามยักษ์น้ำอุ่น (basking shark) เป็นปลากระดูกอ่อนขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกปลาฉลาม นับเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์ Cetorhinidae และสกุล Cetorhinus ปลาฉลามอาบแดดจัดอยู่ในอันดับ Lamniformes เช่นเดียวกับปลาฉลามขาว จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองมาจากปลาฉลามวาฬ ปลาฉลามอาบแดดมีความยาวได้ถึง 10 เมตร เท่ากับรถโดยสารสองชั้นคันหนึ่ง (ขนาดโดยเฉลี่ย 8 เมตร) มีน้ำหนักมากถึงได้ 7 ตัน เท่ากับช้างสองเชือก มีลักษณะเด่น คือ มีลำตัวสีเทาออกน้ำตาล มีปลายจมูกเป็นรูปกรวย มีปากขนาดใหญ่ มีซี่กรองเหงือกสีแดงมีลักษณะเป็นซี่คล้ายหวีหรือแปรงที่พัฒนามาเป็นอย่างดีสำหรับกรองอาหาร มีริ้วเหงือกภายนอกตั้งแต่ส่วนบนหัวถึงด้านล่างหัว ซึ่งปลาฉลามอาบแดดจะใช้ซี่กรองเหงือกนี้ในการหายใจเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย กรองกินแพลงก์ตอนสัตว์ต่าง ๆ ผ่านซี่กรองนี้เป็นอาหารเหมือนปลาฉลามวาฬ และปลาฉลามเมกาเมาท์ จัดเป็นปลาฉลามที่มีสมองขนาดเล็ก แต่ก็มีประสาทสัมผัสโดยเฉพาะประสาทการดมกลิ่นที่ดีเยี่ยมเหมือนปลาฉลามกินเนื้อชนิดอื่น ปลาฉลามอาบแดด เป็นปลาฉลามขนาดใหญ่อีกชนิดหนึ่งที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ กระจายพันธุ์อยู่ในทะเลหรือมหาสมุทรเขตน้ำอุ่นทั่วโลก โดยเฉพาะรอบ ๆ เกาะอังกฤษ นับเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดที่พบได้ในเกาะอังกฤษ ปลาฉลามอาบแดดบางครั้งจะรวมตัวกันเป็นฝูงเล็ก ๆ เพื่อกินแพลงก์ตอนสัตว์บริเวณผิวน้ำ ตามสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมที่แพลงก์ตอนสัตว์จะเจริญเติบโตได้ดี คือ มีแสงแดด มีอุณหภูมิอบอุ่นที่เหมาะสม ปลาฉลามอาบแดดจะอ้าปากได้กว้าง จนกระทั่งเห็นซี่กรองภายในปากชัดเจน ไล่กินแพลงก์ตอนสัตว์ตามผิวน้ำ แต่โดยปกติจะอาศัยอยู่ในน้ำลึก และจะมีพฤติกรรมย้ายถิ่นฐานไปตามแพลงก์ตอนตามฤดูกาล ซึ่งเชื่อว่าจะว่ายตามแพลงก์ตอนไปตามกลิ่น จากการศึกษาพบว่าสามารถเดินทางได้ไกลถึง 2,000 กิโลเมตร ภายในระยะเวลา 7 วันThe Basking Shark, "Nick Baker's Weird Creatures" สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามอาบแดด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามจ้าวมัน

ปลาฉลามจ้าวมัน หรือ ปลาฉลามสีเทา (Grey reef shark, Gray reef shark) เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาฉลามครีบดำ (Carcharhinidae) มีรูปร่างโดยทั่วไปคล้ายกับปลาฉลามในสกุลนี้ทั่วไป เช่น ปลาฉลามครีบดำ (C. melanopterus) แต่ทว่ามีรูปร่างที่หนาและบึกบึนกว่า ครีบหลังทำมุมเป็นรูปสามเหลี่ยม ลำตัวเป็นสีเทาอมฟ้า ส่วนท้องเป็นสีขาว มีขนาดลำตัวใหญ่เต็มที่ประมาณ 1.9 เมตร พบใหญ่ที่สุดถึง 2.6 เมตร และน้ำหนักเต็มที่ 33.7 กิโลกรัม อายุขัยโดยเฉลี่ย 25 ปี พบกระจายพันธุ์ในแนวปะการังและกองหินในแถบอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่เกาะมาดากัสการ์ จนถึงออสเตรเลีย ในน่านน้ำไทยมักพบติดมากับอวนหรือเครื่องมือประมง หายากกว่าปลาฉลามครีบดำ และหายากที่พบตัวที่มีชีวิตอยู.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามจ้าวมัน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามขาว

ปลาฉลามขาว (Great white shark) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง มีขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่ พบได้ตามเขตชายฝั่งแถบทะเลใหญ่ มีความยาวประมาณ 6 เมตร น้ำหนักประมาณ 2250 กิโลกรัม ทำให้ปลาฉลามขาวเป็นปลากินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงเป็นสัตว์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย และเป็นสิ่งมีชีวิตสปีชี่ส์เดียวในสกุล Carcharodon ที่ยังคงสืบทอดเผ่าพันธุ์อยู่ในปัจจุบัน โดยเป็นปลาที่ถือกำเนิดมาแล้วนานกว่า 16 ล้านปี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามครุย

ปลาฉลามครุย (Frilled shark; ラブカ) เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง ที่มีรูปร่างประหลาดมากคล้ายปลาไหล อาศัยอยู่ในน้ำลึก 1,968 – 3,280 ฟุต มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chlamydoselachus anguineus ในอยู่ในวงศ์ Chlamydoselachidae เดิมเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่มีรายงานพบในหลายพื้นที่ รวมถึงในเขตน่านน้ำของญี่ปุ่น ทำให้ปลาฉลามครุยกลายเป็น "ซากดึกดำบรรพ์มีชีวิต" อีกชนิดหนึ่งของโลก เพราะเชื่อว่ามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะเลยมาตั้งแต่ยุคครีเทเชียส จนกระทั่งถึงปัจจุบัน บริเวณส่วนหัว ลักษณะฟันและปาก ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 ปลาฉลามชนิดนี้ได้สร้างความฮือฮากลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั้งโลก เมื่อชาวประมงชาวญี่ปุ่นสามารถจับตัวอย่างที่ยังมีชีวิตได้ตัวหนึ่งในเขตน้ำตื้นใกล้ชายฝั่งใกล้สวนน้ำอะวาชิมา ในเมืองชิซุโอะกะทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงโตเกียว ซึ่งเชื่อว่าปลาตัวนี้ลอยขึ้นมาเพราะร่างกายอ่อนแอเนื่องจากความร้อนที่ขึ้นสูงของอุณหภูมิของน้ำ ซึ่งมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานก็ตายไป เชื่อว่าปลาฉลามชนิดนี้ กระจายพันธุ์อยู่ในเขตน้ำลึกใกล้นอร์เวย์, แอฟริกาใต้, นิวซีแลนด์, ชิลี และญี่ปุ่น มีรูปร่างเรียวยาวคลายปลาไหลหรืองูทะเล เป็นไปได้ว่าตำนานงูทะเลขนาดใหญ่ที่เป็นเรื่องเล่าขานของนักเดินเรือในสมัยอดีตอาจมีที่มาจากปลาฉลามชนิดนี้ มีผิวสีน้ำตาลหรือเทาเข้ม มีซี่กรองเหงือก 6 คู่ สีแดงสด และฟูกางออกเหมือนซาลาแมนเดอร์บางชนิด ทำให้ดูแลเหมือนครุย ซึ่งมีไว้สำหรับดูดซับออกซิเจนโดยเฉพาะ เนื่องจากในทะเลลึกมีปริมาณออกซิเจนน้อยกว่าด้านบนถึงกว่าครึ่ง ปากกว้างเลยตำแหน่งของตา ภายในปากมีฟันที่แตกเป็นดอกแหลม ๆ 3 แฉก ทำให้สันนิษฐานว่าเป็นปลาที่ล่าปลาเล็กเป็นอาหารที่เก่งฉกาจชนิดหนึ่ง ความยาวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 6.5 ฟุต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามครุย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามครีบขาว

ปลาฉลามครีบขาว (Whitetip reef shark) เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาฉลามครีบดำ (Carcharhinidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Triaenodon มีรูปร่างโดยทั่วไปคล้ายกับปลาฉลามในวงศ์เดียวกันนี้ รูปร่างเพรียวยาว แต่มีส่วนหัวที่แบนราบกว่า ตาโต มีจุดเด่นอยู่ที่ปลายครีบมีแต้มสีขาวที่ครีบหลังและครีบหาง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 1.6 เมตร น้ำหนักราว 18 กิโลกรัม ถือเป็นปลาฉลามขนาดเล็ก มีพฤติกรรมชอบอยู่ลำพังตัวเดียว หรือบางครั้งจะพบได้เป็นฝูง โดยอาจพบได้มากกว่า 30-40 ตัว โดยมากมักจะอาศัยและหากินบริเวณพื้นน้ำในเวลากลางคืน ในช่วงกลางวันจะพักผ่อน อาหารโดยมาก ได้แก่ กุ้ง, หอย, ปู, หมึกยักษ์ และปลาขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ โดยปลาฉลามครีบขาวมีความพิเศษต่างจากปลาจำพวกอื่น ๆ คือ การที่มีส่วนหัวที่แบนราบและลำตัวที่เพรียวยาวคล้ายปลาไหล ทำให้สามารถซอกซอนไปในโขดหินหรือแนวปะการังเพื่อหาอาหารได้ ออกลูกเป็นตัว ครั้งละ 3-5 ตัว ตั้งท้องราว 1 ปี มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 25 ปี เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 5 ปี พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย จนถึงเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ในน่านน้ำไทยจะพบได้ที่บริเวณหมู่เกาะสิมิลัน จัดเป็นปลาฉลามที่ไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ และครีบสามารถนำไปทำเป็นหูฉลามได้เหมือนกับปลาฉลามชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามครีบขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามครีบดำ

ปลาฉลามครีบดำ หรือ ปลาฉลามหูดำ (Blacktip reef shark) เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง มีรูปร่างเพรียวยาว ปากกว้าง มีแถบดำที่ครีบหลัง ครีบไขมัน ครีบก้น และครีบหางตอนล่าง เป็นที่มาของชื่อ กินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร มีนิสัยไม่ดุร้ายเมื่อเทียบกับปลาฉลามชนิดอื่น ๆ นิยมอยู่รวมเป็นฝูงบริเวณใกล้ชายฝั่ง และอาจเข้ามาในบริเวณน้ำกร่อย หรือปากแม่น้ำ โดยสามารถเข้ามาหากินใกล้ชายฝั่ง แม้กระทั่งในพื้นที่ ๆ มีน้ำสูงเพียง 1 ฟุต เป็นปลาหากินในเวลากลางคืน ในเวลากลางวันจะหลบซ่อนตัวพักผ่อนตามแนวปะการัง โดยจะหากินอยู่ในระดับน้ำความลึกไม่เกิน 100 เมตร ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 2 เมตร ตัวเมียตั้งท้องนาน 18 เดือน ออกลูกเป็นตัว ครั้งละ 2-4 ตัว เมื่อโตขึ้นมาแล้วสีดำตรงที่ครีบหลังจะหายไป คงเหลือไว้แต่ตรงครีบอกและครีบส่วนอื่น ปลาฉลามครีบดำ นับเป็นปลาฉลามชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในทะเล และเป็นต้นแบบของปลาฉลามในสกุลปลาฉลามปะการัง มีนิสัยเชื่องคน สามารถว่ายเข้ามาขออาหารได้จากมือ เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาผู้ที่นิยมการดำน้ำ พบทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน นิยมใช้บริโภคโดยเฉพาะปรุงเป็นหูฉลาม เมนูอาหารจีนราคาแพง และนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามครีบดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามครีบเงิน

ปลาฉลามครีบเงิน (Silvertip shark) เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาฉลามครีบดำ (Carcharhinidae) มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 3 เมตร มีลักษณะคล้ายกับปลาฉลามครีบดำ (C. melanopterus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน เพียงแต่มีปลายครีบต่าง ๆ เป็นสีขาวหรือสีเงิน อันเป็นที่มาของชื่อ ลูกปลาแรกเกิดมีความยาวประมาณ 50-80 เซนติเมตร ออกลูกเป็นตัว ครั้งละ 5-6 ตัว ลูกปลาจะหากินในเขตน้ำตื้น เมื่อเติบใหญ่ขึ้นจะลงไปหากินบริเวณที่ลึก ประมาณ 40 เมตร หรือมากกว่า เคยมีรายงานว่าสามารถลงไปได้ลึกถึง 400 เมตร อาหารส่วนที่กิน ได้แก่ ปลาชนิดต่าง ๆ เช่น ปลานกกระจอก, ปลาลิ้นหมา, ปลากระเบนนก, ปลาทูน่า, ปลาปักเป้า, ปลานกแก้ว และหมึกสาย เป็นต้น มีถิ่นหากินในระยะไม่เกิน 2-5 กิโลเมตร พบกระจายพันธุ์ตามแนวปะการังและชายฝั่งของเขตร้อนและเขตอบอุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ในน่านน้ำไทยจะหาได้ยาก พบได้ที่บริเวณหมู่เกาะสิมิลัน, เกาะตาชัย หรือบริเวณกองหินที่ห่างไกลจากชายฝั่ง จัดเป็นปลาฉลามอีกชนิดหนึ่ง ที่มีอุปนิสัยไม่ดุร้ายก้าวร้าวมากนัก จึงเป็นที่ชื่นชอบของบรรดานักดำน้ำอีกชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามครีบเงิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามคุกกี้คัตเตอร์

ปลาฉลามคุกกี้คัตเตอร์ cookiecutter shark หรือเรียกอีกอย่างว่าปลาฉลามซิการ์ เป็นสายพันธุ์ปลาฉลามหลังหนามขนาดเล็กในวงศ์Dalatiidae ฉลามชนิดนี้พบได้ทั่วไปในเขตอบอุนน่านน้ำมหาสมุทรทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใกล้เกาะ และได้รับการบันทึกความลึกที่สุดเท่าพบอยู่ที่ 3.7 กิโลเมตร (2.3 ไมล์) ฉลามคุกกี้คัตเตอมีลำตัวเป็นแนวยาวทรงกระบอก มีจมูกสั้นทื่อ ตาขนาดใหญ่สองข้าง ไม่มีกระดูกสันหลังและครีบหลัง และมีครีบหางขนาดใหญ่ ตัวมันเป็นสีน้ำตาลเข้ม มีสีเข้มรอบคอและช่องเหงือก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามคุกกี้คัตเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามปากเป็ด

ปลาฉลามปากเป็ด (American paddlefish, Mississippi paddlefish) เป็นปลากระดูกแข็งในอันดับปลาสเตอร์เจียน (Acipenseriformes).

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามปากเป็ด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามปากเป็ดจีน

ปลาฉลามปากเป็ดจีน (จีนตัวย่อ: 白鲟; จีนตัวเต็ม: 白鱘; พินอิน: báixún) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psephurus gladius อยู่ในวงศ์ปลาฉลามปากเป็ด (Polyodontidae) ในอันดับปลาสเตอร์เจียน (Acipenseriformes) ซึ่งมีอยู่ด้วยกันเพียง 2 ชนิด (อีกชนิดหนึ่งคือ ปลาฉลามปากเป็ด (Polyodon spathula) พบในทวีปอเมริกาเหนือบริเวณลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี) ปลาฉลามปากเป็ดจีนเป็นปลาที่พบเฉพาะแม่น้ำ, ทะเลสาบ และสาขาของแม่น้ำแยงซี และตัวโตเต็มวัยมักจะอพยพลงสู่ทะเล และบ่อยครั้งที่จะถูกพบในทะเลเหลือง ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของประเทศจีน หากจะกล่าวว่ามีการพบเห็นบางตัวได้โดยบังเอิญโดยการเดินทางเนื่องจากกระแสน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ปลาชนิดนี้เป็นปลาที่อยู่ตัวเดียว แต่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ กลับพบเห็นตัวเต็มวัยขนาดต่าง ๆ มารวมตัวกันในแหล่งน้ำตื้น ปลาฉลามปากเป็ดจีนเป็นปลากินปลา ซึ่งต่างจากอีกชนิดที่พบในทวีปอเมริกาเหนือที่กินแพลงก์ตอนเป็นอาหารหลัก การหาอาหารจะอยู่ในระดับความลึกจากกลางน้ำลงไป ขากรรไกรของปลาชนิดนี้สามารถยื่นออกมาได้ในขณะที่ขากรรไกรปลาฉลามปากเป็ดอเมริกาเหนือไม่สามารถยื่นยาวออกไปคว้าเหยื่อได้ ปลาฉลามปากเป็ดจีนสามารถโตเต็มที่ได้ถึง 7 เมตร ซึ่งใหญ่กว่าปลาฉลามปากเป็ดอเมริกาเหนือมาก น้ำหนักถึง 300 กิโลกรัม ฤดูผสมพันธุ์ของปลาฉลามปากเป็ดจีนจะเกิดขึ้นประมาณกลางเดือนมีนาคมไปจนถึงต้นเดือนเมษายน ปลาที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 25 กิโลกรัมขึ้นไป มารวมตัวกันบริเวณพื้นที่กลางแม่น้ำที่มีท้องน้ำเป็นดินโคลนหรือทราย ที่มีความเร็วของกระแสน้ำ 0.72–0.94 m/s ปริมาณอ็อกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำ 8–10 มิลลิกรัม/l ค่า pH 8.2 อุณหภูมิประมาณ 18.3–20.0 องศาเซลเซียส ช่วงที่ตัวผู้ปล่อยน้ำเชื้อน้ำบริเวณนั้นจะขุ่นราวกับสีน้ำนม ในขณะที่ตัวเมียสามารถผลิตไข่ได้ถึง 100,000 ฟอง มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 2.7 มิลลิเมตร มีสีเทาอมน้ำตาล ปัจจุบัน ปลาฉลามปากเป็ดจีนเป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญพันธุ์เป็นอย่างยิ่ง เป็นปลาที่หาได้ยากมาก น้อยครั้งที่จะพบตัวแม้จะเป็นเพียงซากก็ตาม ในปัจจุบัน ทางการจีนได้ให้การอนุรักษ์และศึกษาเป็นการด่วน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามปากเป็ดจีน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามนางฟ้า

ปลาฉลามนางฟ้า (Angel shark) ปลากระดูกอ่อนทะเลจำพวกปลาฉลาม จัดอยู่ในอันดับ Squatiniformes วงศ์ Squatinidae ปลาฉลามนางฟ้า เป็นปลาฉลามที่มีลำตัวแบนราบคล้ายกับปลากระเบน แต่ไม่มีครีบก้น เป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลเขตร้อน สามารถพบได้ในทะเลลึกถึง 1,300 เมตร (4,300 ฟุต) ปลาฉลามนางฟ้า เป็นปลาที่หากินตามพื้นทะเลทั้งพื้นทรายหรือพื้นโคลน โดยหาอาหารกินคล้ายกับปลากระเบน หรือปลาฉนาก ซึ่งเป็นปลากระดูกอ่อนเช่นเดียวกัน แต่ต่างอันดับและวงศ์กันออกไป อาหารได้แก่ ปลาขนาดเล็ก, หอย หรือครัสเตเชียน ปลาฉลามนางฟ้า มีความยาวประมาณ 1.5-2 เมตร เป็นปลาที่ออกลูกเป็นไข่ซึ่งไข่นั้นจะพัฒนาในช่องท้องของปลาตัวเมียจนคลอดออกมาเป็นตัวคราวละ 13 ตัว ลูกปลาจะได้รับอาหารจากไข่แดงที่อยู่ในฟอง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามนางฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามน้ำจืด

ำหรับปลาฉลามน้ำจืดอย่างอื่นดูที่: ปลาฉลามน้ำจืด (แก้ความกำกวม) ปลาฉลามน้ำจืด หรือ ปลาฉลามแม่น้ำ (River sharks, Freshwater sharks) เป็นปลาฉลามที่หายากจำนวน 6 ชนิด ในสกุล Glyphis (/กลาย-ฟิส/) เป็นสมาชิกในวงศ์ Carcharhinidae ซึ่งเป็นปลาฉลามเพียงประเภทเดียวเท่านั้นที่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดสนิทได้ตลอดทั้งชีวิต ปัจจุบันยังไม่มีองค์ความรู้เพียงพอเกี่ยวกับปลาฉลามสกุลนี้มากนัก และอาจมีชนิดอื่น ๆ ที่ยังไม่ถูกค้นพบ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าในบางชนิดเป็นชนิดเดียวกันด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ปลาฉลามในสกุลนี้ มีลักษณะคล้ายกับปลาฉลามสีน้ำเงิน (Prionace glauca) ซึ่งเป็นปลาฉลามที่พบในทะเลด้วย ซึ่งสำหรับปลาฉลามบางชนิดที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดสนิทได้ เช่น ปลาฉลามหัวบาตร (Carcharhinus leucas) หรือ ปลาฉลามครีบดำ (C. melanopterus) ไม่จัดว่าเป็นปลาฉลามแม่น้ำ เพราะปลาฉลามแม่น้ำแท้ ๆ นั้นต้องอยู่ในสกุล Glyphis เท่านั้น แม้จะได้รับการเรียกขานบางครั้งว่าเป็นปลาฉลามแม่น้ำก็ตาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามน้ำจืด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามแม่น้ำฟันหอก

ปลาฉลามแม่น้ำฟันหอก หรือ ปลาฉลามฟันหอก (Speartooth shark) เป็นปลาฉลามชนิดหนึ่ง จำพวกปลาฉลามแม่น้ำ จัดอยู่ในวงศ์ปลาฉลามครีบดำ (Carcharhinidae) ปลาฉลามแม่น้ำฟันหอก เป็นปลาฉลามที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลแถบป่าชายเลนทางตอนเหนือของออสเตรเลีย, นิวกินี และบอร์เนียว โดยสามารถปรับตัวอาศัยให้อยู่ในน้ำจืดสนิทหรือน้ำกร่อยได้ มีรูปร่างเพรียวยาวสีเทา มีครีบหลังชิ้นที่ 2 ที่มีขนาดใหญ่และมีปื้นสีดำอยู่ใต้ครีบอกทั้ง 2 ข้าง มีซี่เหงือกทั้งหมด 5 ซี่ โดยที่ซี่แรกจะมีขนาดยาวกว่าซี่อื่น ๆ มีฟันรูปร่างเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ โดยฟันแถวบนนั้นมีลักษณะเป็นหยัก ฟันแถวล่างมีรูปร่างเหมือนหัวหอกแคบ ๆ และมีรอยหยักอยู่ตรงปลาย ใช้สำหรับกัดกินอาหารซึ่งได้แก่ ปลากระดูกแข็ง และสัตว์น้ำหน้าดินที่มีกระดองแข็งอย่างครัสเตเชียน เป็นอาหารโดยเฉพาะ มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ย 1 เมตร แต่เชื่อว่าอาจใหญ่ได้เต็มที่ถึง 2.5–3 เมตร ปลาฉลามแม่น้ำฟันหอก ได้รับการบรรยายทางวิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรกจากนักชีววิทยาชาวเยอรมัน 2 คน คือ โยฮันเนส มึลเลอร์ และยาค็อบ เฮนเล ในราวปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามแม่น้ำฟันหอก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามแนวปะการัง

ปลาฉลามแนวปะการัง หรือ ปลาฉลามปะการัง (Reef sharks, Requiem sharks) เป็นสกุลของปลาฉลามสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาฉลามครีบดำ (Carcharhinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Carcharhinus (/คา-คา-ไร-นัส/) เป็นปลาฉลามที่ว่ายหากินอยู่บริเวณผิวน้ำและตามแนวปะการังเป็นหลัก จึงมักเป็นปลาฉลามที่เป็นที่รู้จักดีและพบเห็นได้บ่อยที่สุดในทะเล จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ที่ออสเตรเลียพบว่า ปลาฉลามกลุ่มนี้มีประโยชน์ในเชิงนิเวศวิทยา คือ ช่วยรักษาแนวปะการังและปะการังให้ดำรงยั่งยืนอยู่ได้ เนื่องจากเป็นสัตว์นักล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร จึงเป็นตัวควบคุมนักล่าระดับกลางที่กินปลาขนาดเล็กที่มีประโยชน์ต่อปะการัง และดูแลปะการังให้เจริญเติบโต โดยพบจากการศึกษาว่า น่านน้ำแถบเกรตแบร์ริเออร์รีฟ คือ แถบตะวันตกเฉียงเหนือมีจำนวนปลาฉลามกลุ่มนี้มากกว่าน่านน้ำแถบตะวันออกเฉียงเหนือ ปะการังในแถบที่พบปลาฉลามกลุ่มนี้มากจะเจริญเติบโตมากขึ้นรวมถึงการฟื้นตัวจากภาวะปะการังฟอกขาวก็เร็วกว่าด้วย เป็นปลาฉลามที่ใช้เวลาอุ้มท้องนานประมาณ 8–12 เดือน มีลูกครั้งละ 10–40 ตัว ออกลูกเป็นตัว โดยอาจจะมีการกินกันเองตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ด้วยอายุอย่างน้อยที่สุด 4–5 ปี พบทั้งหมด 32 ชนิด โดยมี ปลาฉลามครีบดำ (C. melanopterus) เป็นชนิดต้นแ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามแนวปะการัง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามเมกาเมาท์

ปลาฉลามเมกาเมาท์ (Megamouth shark) เป็นปลาฉลามน้ำลึกขนาดใหญ่ที่พบได้ยากมาก หลังจากพบครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1976 จากการติดกับสมอของเรือรบ AFB 14 ของกองทัพเรือสหรัฐ เมื่อกว้านขึ้นมา พบเป็นซากปลาฉลามขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครรู้จักเหมือนสัตว์ประหลาดขนาดความยาวประมาณ 4.5 เมตร น้ำหนักราว 3-4 ตัน มีจุดเด่น คือ ปากที่กว้างใหญ่มากและฟันซี่แหลม ๆ เหมือนเข็มอยู่ทั้งหมด 7 แถว ซึ่งมีความยาวไม่เกิน 5 มิลลิเมตร นักวิทยาศาสตร์เมื่อได้ศึกษาแล้วพบว่าเป็นปลาชนิดใหม่ และมีจุดที่แตกต่างไปจากปลาฉลามทั่วไป จึงจัดให้อยู่ในสกุล Megachasma และวงศ์ Megachasmidae ซึ่งยังมีเพียงชนิดนี้ชนิดเดียวเท่านั้น ปัจจุบัน เป็นปลาที่ยังพบได้น้อย โดยมีรายงานการพบเห็นและเก็บตัวอย่าง 39 ครั้ง และมีการบันทึกภาพไว้ได้ 3 ครั้ง (ตามข้อมูลเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2007) โดย 1 ใน 3 ของการพบตัวอย่างปรากฏในเขตน่านน้ำญี่ปุ่น ปลาฉลามชนิดนี้กินแพลงก์ตอนเป็นอาหารเหมือนปลาฉลามบาสกิ้น และปลาฉลามวาฬ โดยมีปากกว้างใหญ่เพื่อกลืนเอาน้ำเข้าไปมาก ๆ แล้วกรองน้ำออกให้เหลือแต่แพลงก์ตอนและแมงกะพรุน ส่วนหัวขนาดใหญ่และริมฝีปากเป็นผิวหนังเหนียวจัดเป็นลักษณะเด่นของปลาฉลามชนิดนี้ นอกจากนี้แล้ว จากการสังเกตของนักวิทยาศาสตร์ ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามเมกาเมาท์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามเสือ

ปลาฉลามเสือ (Tiger shark) ปลากระดูกอ่อนขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกฉลาม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Galeocerdo cuvier ในวงศ์ Carcharhinidae เป็นปลาเพียงชนิดเดียวในสกุล Galeocerdo.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามเสือ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉลามเสือดาว

ำหรับปลาฉลามเสือดาวอีกชนิดหนึ่ง ดูที่ ปลาฉลามเสือดาว (''Triakis semifasciata'') ปลาฉลามเสือดาว (Leopard shark, Zebra shark, Leppard shark) ปลาฉลามชนิดหนึ่งที่ไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stegostoma fasciatum อยู่ในวงศ์ Stegostomatidae และถือเป็นปลาชนิดเดียวที่อยู่ในวงศ์นี้และสกุล Stegostoma ปลาฉลามเสือดาวเป็นปลาที่มีครีบหางยาวมาก มีส่วนหัวมนกลมสั้นทู่ พื้นลำตัวสีเหลืองสลับลายจุดสีดำคล้ายลายของเสือดาว ยกเว้นส่วนหัวและหาง จึงเป็นที่มาของชื่อสามัญ เมื่อยังเล็กอยู่ ลายบนลำตัวจะเป็นสีน้ำตาลดำคาดขาวคล้ายลายของม้าลาย บนลำตัวมีสันเป็นเหลี่ยมด้านละสองสัน ผิวหนังหยาบเป็นเม็ด เป็นปลาที่มีไม่มีฟันแหลมคมเหมือนปลาฉลามชนิดอื่น ๆ มีอุปนิสัยชอบนอนอยู่นิ่ง ๆ บนพื้นทรายและแนวปะการังใต้ทะเล ในความลึกตั้งแต่ 5-30 เมตร โดยพบในทะเลบริเวณแถบอินโด-แปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย โดยใช้เวลาในช่วงกลางวันนอน กลางคืนออกหากิน อาหารได้แก่ สัตว์มีกระดอง และสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่า เมื่อถูกรบกวนจะว่ายหนีไป โดยใช้อวัยวะคล้ายหนวดที่อยู่รอบ ๆ ปลายส่วนหัวซึ่งเป็นอวัยวะใช้รับสัมผัสในการนำทางและหาอาหาร ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ประมาณ 3 เมตร ปลาฉลามเสือดาวเป็นปลาฉลามที่ออกลูกเป็นไข่ โดยจะวางไข่ในเขตน้ำตื้น ลูกปลาขนาดเล็กอาจจะเข้าไปอยู่ในบริเวณน้ำกร่อยหรือน้ำจืด แถบป่าชายเลนหรือปากแม่น้ำได้ เมื่อโตขึ้นจึงค่อยย้ายลงสู่ทะเลลึก ดังนั้นลูกปลาขนาดเล็กจึงมักติดเบ็ดหรืออวนของชาวประมงอยู่บ่อย ๆ ซึ่งในทางประมงแล้ว ปลาฉลามชนิดนี้ไม่จัดว่าเป็นปลาที่ใช้ในการบริโภคแต่อย่างใด นอกจากนี้แล้วยังเป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และมักพบเลี้ยงในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ทั่วโลก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉลามเสือดาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉนาก

ปลาฉนาก (Sawfishes) เป็นปลาจำพวกหนึ่งของปลาในชั้นปลากระดูกอ่อน ใช้ชื่ออันดับว่า Pristiformes และวงศ์ Pristidae (โดยมาจากภาษากรีกโบราณคำว่า πρίστης, prístēs หมายถึง "เลื่อย" หรือ "ใบเลื่อย").

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉนาก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉนากฟันเล็ก

ปลาฉนากฟันเล็ก (Smalltooth sawfish) เป็นปลากระดูกอ่อนขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pristis pectinata อยู่ในวงศ์ปลาฉนาก (Pristidae) มีรูปร่างเหมือนปลาฉนากทั่วไป มีจะงอยปากมีความยาวประมาณ 1/4 ของขนาดลำตัวและหาง มีรูปทรงที่แคบและยาวเมื่อเทียบกับฉนากชนิดอื่น ๆ มีซี่ฟัน 21-34 คู่ ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 7.6 เมตร ขนาดเมื่อแรกเกิด 60 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อยู่กว้างขวาง ตั้งแต่บริเวณชายฝั่งของทวีปอเมริกาเหนือ ไปจนถึงทวีปอเมริกาใต้, ประเทศบราซิล, ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน, มหาสมุทรอินเดีย, มหาสมุทรแปซิฟิก เป็นปลาฉนากอีกชนิดหนึ่งที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อย หรือน้ำจืดได้ โดยมีรายงานพบที่ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้แล้วยังมีรายงานว่า ฉนากฟันเล็กมีพฤติกรรมก้าวร้าวใส่ปลาฉลามที่ร่วมตู้เดียวกัน ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉนากฟันเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉนากจะงอยปากกว้าง

ปลาฉนากจะงอยปากกว้าง หรือ ปลาฉนากน้ำจืด (Largetooth sawfish, Freshwater sawfish) เป็นปลากระดูกอ่อน ในวงศ์ปลาฉนาก (Pristidae) เป็นปลากระดูกอ่อน รูปร่างคล้ายปลาฉลาม มีลักษณะเด่นคือ จะงอยปากที่แหลมยาว มีกระดูกแข็งรอบ ๆ จะงอยแลดูคล้ายฟันเลื่อย มีความยาวได้ถึง 2 นิ้ว มีความคม มีจำนวนประมาณ 14–24 แถว ขนาดเมื่อโตเต็มที่ราว 6 เมตร หนักได้ถึง 600 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ค่อนข้างกว้าง โดยพบได้ตั้งแต่แอฟริกาตะวันออก, อินเดียทางตอนเหนือ, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อิเรียนจายา, ปาปัวนิวกินี ไปจนถึงออสเตรเลียทางตอนเหนือบริเวณรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ปลาฉนากจะงอยปากกว้าง เป็นปลาทะเลที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดได้ สามารถพบในเขตน้ำจืดได้ เช่นที่ ปากแม่น้ำคงคา, ปากแม่น้ำโขง, แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำฟริซต์รอย สำหรับในประเทศไทยเคยมีผู้พบไกลถึงบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ในปี ค.ศ. 1957 การเข้ามาในน้ำจืดของปลาฉนากจะงอยปากกว้าง นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยด้วยการติดแทคที่ตัวปลาเชื่อว่า ปลาเข้ามาเพื่อขยายพันธุ์ เพราะในน้ำจืดมีสัตว์นักล่าและอันตรายน้อยกว่าในทะเล จนกระทั่งปลามีความยาวได้ 8–9 ฟุต หรืออายุราว 5 ปี จึงจะค่อยว่ายออกทะเลไป ในออสเตรเลียทางตอนเหนือ ปลาฉนากจะงอยปากกว้างจะว่ายน้ำเข้ามาในแม่น้ำที่เป็นน้ำจืดไกลถึง 200 ไมล์ ในถิ่นที่เป็นแดนทุรกันดาร และถึงแม้จะเป็นช่วงฤดูแล้งที่ระดับน้ำลดลงอย่างมากก็ตาม พฤติกรรมของปลาชนิดนี้ คือ มักหากินบริเวณหน้าดินที่มีดินเลนค่อนข้างขุ่นในเวลากลางคืน โดยอาหารได้แก่สัตว์น้ำมีกระดอง เช่น กุ้ง, ปู และหอย เป็นต้น โดยใช้จะงอยปากที่เหมือนใบเลื่อยนั้นไล่ตามและตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ และถึงแม้จะมีจะงอยปากยาวเหมือนเลื่อย แต่ปลาฉนากจะงอยปากกว้างก็ยังมีศัตรูตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในออสเตรเลียทางตอนเหนือ ปลาฉนากที่นั่นพบว่ามีบาดแผลจากการถูกโจมตีโดยสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ เช่น ปลาฉลามหัวบาตร หรือจระเข้น้ำจืดออสเตรเลีย โดยปลาที่พบในแม่น้ำฟริซต์รอยจำนวนร้อยละ 60 ที่มีบาดแผลเช่นนี้หน้า 10 ต่างประเทศ, ภาพสะท้อน 'ปลาฉนาก' อยู่ยากเจอจระเข้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉนากจะงอยปากกว้าง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉนากจะงอยปากแคบ

ปลาฉนากจะงอยปากแคบ (Knifetooth sawfish, Pointed sawfish) ปลากระดูกอ่อนชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาฉนาก (Pristidae) จัดเป็นปลาฉนากเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Anoxypristis โดยมาจากภาษากรีก oxy (οξυ) หมายถึง "คม", pristis (πρίστης) หมายถึง "เลื่อย" และ custidata มาจากภาษาละตินคำว่า cuspidatus หมายถึง "จุด" มีรูปร่างเหมือนปลาฉนากทั่วไป แต่มีรูปร่างเพรียวกว่า ส่วนหัวแคบกว่า สีลำตัวเป็นสีน้ำตาลหรือสีเทา จะงอยปากแคบกว่าปลาฉนากจะงอยปากกว้าง (Pristis microdon) และมีจำนวนซี่ฟันมากกว่า คือ มีจำนวน 23-35 คู่ ขนาดโตเต็มที่ราว 4 เมตร เป็นปลาฉนากอีกชนิดหนึ่งที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดได้ พบตามชายฝั่งของทะเลอินโด-แปซิฟิก, ทะเลแดง, อ่าวเปอร์เซีย, ปาปัวนิวกินี, ออสเตรเลียทางตอนเหนือ, ญี่ปุ่นตอนใต้ รวมถึงปากแม่น้ำขนาดใหญ่ในประเทศไทยด้วย ปลาฉนากจะงอยปากแคบ จัดเป็นปลาที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤตตามบัญชีของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN).

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉนากจะงอยปากแคบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาฉนากเขียว

ปลาฉนากเขียว (Green sawfish, Longcomb sawfish, Narrowsnout sawfish) ปลากระดูกอ่อนขนาดใหญ่ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pristis zijsron ในวงศ์ปลาฉนาก (Pristidae) มีรูปร่างคล้ายปลาฉนากจะงอยปากกว้าง หรือ ปลาฉนากน้ำจืด (P. microdon) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน มีจะงอยปากที่ยาวเป็น 1/3 ของความยาวลำตัวและหาง มีซี่ฟันทั้งหมด 24-34 คู่ ครีบหลังอันแรกคู่หลังครีบอก ครีบหางท่อนบนมีขนาดใหญ่ ขนาดโตเต็มที่ได้ 7.3 เมตร พบกระจายพันธุ์บริเวณชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย, แอฟริกาตะวันออก, มหาสมุทรแปซิฟิคตอนใต้,ทะเลจีนใต้, ปาปัวนิวกินี และตอนเหนือและรัฐนิวเซาท์เวลส์ของประเทศออสเตรเลีย ในบริเวณน้ำขุ่นหรือดินเลน เป็นปลาฉนากอีกชนิดหนึ่งที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อย หรือน้ำจืดสนิทได้ ลูกปลาวัยอ่อนซี่ฟันจะไม่แข็งเหมือนปลาวัยโต และจะแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ตามวั.

ใหม่!!: สัตว์และปลาฉนากเขียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซักเกอร์

ปลาซักเกอร์ (Orinoco sailfin catfish, butterfly pleco; 多輻翼甲鯰) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pterygoplichthys multiradiatus ในวงศ์ปลาซักเกอร์ (Loricariidae) มีลำตัวยาว ปากเป็นรูปถ้วยเพื่อใช้ในการดูดอาหารและยึดติดกับก้อนหินหรือวัสดุแข็ง ๆ ต่าง ๆ ในน้ำ ครีบหลังสูงใหญ่ มีก้านครีบเดี่ยวหนึ่งคู่ และมีก้านครีบแข็ง 12-14 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยวหนึ่งก้าน และก้านครีบแขนงสี่ก้าน ครีบอกมีก้านครีบเดี่ยวหนึ่งก้าน และก้านครีบแขนงห้าก้าน ครีบท้องมีก้านครีบเดี่ยวหนึ่งก้าน และก้านครีบแขนงสี่ก้าน ครีบไขมันมีเงี่ยงแหลมหนึ่งก้าน ลำตัวปกคลุมด้วยแผ่นกระดูกแข็งด้านละ 23-24 แผ่นทั่วลำตัวเหมือนสวมใส่เสื้อเกราะ ลำตัว ครีบหลัง ครีบอก ครีบท้องและครีบหางมีจุดสีน้ำตาลหรือดำกระจายไปทั่ว มีการกระจายพันธุ์ในแม่น้ำโอรีโนโก แถบประเทศอาร์เจนตินา, เวเนซุเอลา และตรินิแดด มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 50-60 เซนติเมตร ปลาซักเกอร์ชนิดนี้นับเป็นปลาซักเกอร์อีกชนิดหนึ่ง ที่มีการแพร่กระจายไปในหลายพื้นที่เหมือนเช่นปลาซักเกอร์ชนิด Hypostomus plecostomus ซึ่งอยู่ต่างสกุลกัน ด้วยการนำเข้าเป็นปลาสวยงามเพื่อทำความสะอาดในตู้ปลาเหมือนกับปลาซักเกอร์ชนิดอื่น ๆ ทำให้บางคนเรียกปลาชนิดนี้ว่า "ปลาดูดกระจก" ปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นปัญหาชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานแหล่งน้ำรวมถึงสัตว์น้ำของประเทศอื่นที่ได้ไปแพร่กระจายพันธุ์ รวมถึงในประเทศไทย รวมถึงยังมีผู้นำไปหลอกขายเป็นปลาปล่อย โดยเรียกว่า "ปลาราหู".

ใหม่!!: สัตว์และปลาซักเกอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซักเกอร์กระโดงสูง

ปลาซักเกอร์กระโดงสูง ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pterygoplichthys gibbiceps ในวงศ์ปลาซักเกอร์ (Loricariidae) ในอันดับปลาหนัง มีรูปร่างหน้าตาคล้ายปลาซักเกอร์ธรรมดา (Hypostomus plecostomus) แต่มีสีลำตัวที่อ่อนกว่า โดยมีพื้นสีเหลือง และมีจุดสีน้ำตาลเข้มกระจายไปทั่วทั้งตัว มีจุดเด่นคือ ครีบหลังที่สูงใหญ่ เมื่อแผ่ออกมาเต็มที่จะดูคล้ายใบเรือ อันเป็นที่มาของชื่อ สามารถเปลี่ยนสีให้เข้มหรืออ่อนไปได้ตามวัย ขนาดเมื่อโตเต็มที่ราว 40-50 เซนติเมตร พบอาศัยเฉพาะแม่น้ำอเมซอนตอนบนและแม่น้ำโอริโนโคเท่านั้น นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ในประเทศไทยในระยะแรก ปลาซักเกอร์กระโดงสูงเมื่อถูกนำเข้ามามีราคาแพงมาก แต่ปัจจุบัน สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว ทำให้ราคาถูกลงมาก นับเป็นปลาในวงศ์ปลาซักเกอร์ประเภทสวยงามที่มีราคาถูกที่สุด และมีลักษณะใกล้เคียงกับปลาซักเกอร์ธรรมดามากที่สุด โดยมีรหัสทางการค้าว่า L083 หรือ L165.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซักเกอร์กระโดงสูง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซักเกอร์ม้าลาย

ปลาซักเกอร์ม้าลาย (Zebra sucker, Royal sucker, Royal pleco) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาซักเกอร์ (Loricariidae) หรือ ปลาเทศบาล ซึ่งเป็นปลาในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) มีรูปร่างเหมือนปลาในวงศ์นี้ทั่วไป มีจุดเด่นคือ มีพื้นลำตัวสีขาวสลับกับลายสีดำเข้มดูแลคล้ายม้าลาย จึงเป็นที่มาของชื่อ มีขนาดลำตัวยาวไม่เกิน 6 นิ้ว มีถิ่นกำเนิดในแม่น้ำซิงกูในลุ่มแม่น้ำอเมซอนในประเทศบราซิล อาศัยอยู่รวมเป็นกลุ่มขนาดเล็กในแหล่งน้ำไหล มีออกซิเจนละลายในน้ำสูง ตัวผู้มีขนาดใหญ่และเพรียวกว่าตัวเมีย ครีบอกทั้งคู่มีเงี่ยงแหลม ตัวเมียท้องอูมกว่า ปลาซักเกอร์ม้าลายได้รับความนิยมอย่างสูงในฐานะเป็นปลาสวยงาม เนื่องจากมีสีสันที่สวยงามสะดุดตา สามารถที่จะเพาะขยายพันธุ์ได้ในตู้เลี้ยง ในประเทศไทยถือว่าเป็นปลาที่มีราคาแพงมาก เนื่องจากหายากและขยายพันธุ์ยาก โดยมากแล้วผู้เลี้ยงจะนิยมเลี้ยงต่างหากโดยไม่รวมกับปลาประเภทอื่น ยกเว้นปลาในวงศ์ซักเกอร์เหมือนกัน ปลาซักเกอร์ม้าลาย มีรหัสทางการค้าปลาสวยงามว่า L-46.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซักเกอร์ม้าลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซักเกอร์ธรรมดา

ปลาซักเกอร์ธรรมดา หรือ ปลาเทศบาล (common sucker, common pleco; ชื่อวิทยาศาสตร์: Hypostomus plecostomus) เป็นปลาชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาซักเกอร์ (Loricariidae) เป็นปลาตู้ชนิดหนึ่งที่รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีส่วนหัวโต ตามีขนาดเล็ก ปากอยู่ด้านล่างมีขนาดใหญ่และมีกล้ามเนื้อแข็งแรงสามารถใช้ดูดเกาะติดเป็นสุญญากาศกับตู้กระจกหรือวัสดุต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี มีลำตัวสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม ลำตัวสากและหยาบกร้านมาก หนังมีลักษณะแข็งจนดูเหมือนเกราะ มีลวดลายสีเขียวตามครีบหลังและครีบหาง ตัวผู้มีเงี่ยงแหลมบริเวณครีบอกและข้างหัว มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 2 ฟุต มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกากลางจนถึงอเมริกาใต้ ปลาซักเกอร์ธรรมดาถูกนำไปยังประเทศต่าง ๆ ที่มิใช่ถิ่นกำเนิดในฐานะเป็นปลาสวยงามที่ใช้ทำความสะอาดเศษอาหารหรือคราบตะไคร่ภายในตู้ ซึ่งในบางครั้งพฤติกรรมของปลาซักเกอร์ธรรมดา ถ้าหากอาหารไม่เพียงพอก็จะก้าวร้าวไล่ดูดเมือกของปลาอื่น จนถึงแก่ความตายก็มี และเนื่องจากเป็นปลาที่มีความสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี แม้ในภาวะที่เป็นพิษ หรือแหล่งน้ำที่มีออกซิเจนละลายในน้ำต่ำกว่ามาตรฐานปกติที่ปลาทั่วไปจะอาศัยอยู่ได้ จึงทำให้กลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมในหลายประเทศ ในแม่น้ำแซนแอนโทนีโอ ในรัฐเท็กซัส ของสหรัฐอเมริกา พบได้เพิ่มปริมาณขึ้นเป็นจำนวนมากจนไปกินและทำลายไข่ของปลาเซนทรัลสโตนโรลเลอร์ (Campostoma anomalum) ซึ่งเป็นปลาพื้นเมือง ในส่วนประเทศไทย ขณะนี้กรมประมงได้มีประกาศให้กลายเป็นปลาต้องห้ามสำหรับเลี้ยงและจำหน่ายแล้ว โดยรณรงค์ให้นำไปปรุงเป็นอาหารแทนถ้าหากเจอ แต่ในปัจจุบันได้มีผู้นำไปหลอกขายเป็นปลาปล่อย โดยเรียกว่า "ปลาราหู" สำหรับชื่ออื่น ๆ ที่เรียกกันในภาษาไทย เช่น "ปลากดเกราะ", "ปลากดควาย" หรือ "ปลาดูด" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซักเกอร์ธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซักเกอร์ครีบสูง

ปลาซักเกอร์ครีบสูง หรือ ปลาซักเกอร์กระโดงสูง (Amazon sailfin catfish, Common pleco, Janitor fish, Hifin pleco) เป็นปลาหนังชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pterygoplichthys pardalis อยู่ในวงศ์ปลาซักเกอร์ (Loricariidae) มีลักษณะคล้ายปลาซักเกอร์ (P. multiradiatus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ทว่ามีความแตกต่างกันที่จำนวนก้านครีบหลังที่ปลาซักเกอร์ครีบสูงนั้นจะมีประมาณ 11-13 ชิ้น ขณะที่ปลาซักเกอร์จะมีประมาณ 5-8 ชิ้น ซึ่งน้อยกว่า ขณะที่ครีบก้นจะมีประมาณ 4-5 ชิ้น เกล็ดบริเวณเส้นข้างลำตัวราว 29-30 ชิ้น มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 45 เซนติเมตร จึงจัดเป็นปลาขนาดใหญ่ มีถิ่นกระจายพันธุ์ดั้งเดิมอยู่ในแม่น้ำอเมซอนและสาขาในทวีปอเมริกาใต้ นิยมเลี้ยงกันอยู่ในตู้ปลาสวยงาม เพื่อให้กำจัดตะไคร่น้ำและเศษอาหารที่ตกหล่น และสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ด้วยในที่เลี้ยงโดยมนุษย์ ซึ่งในปัจจุบัน ปลาซักเกอร์ชนิดนี้ได้กลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ที่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมให้เกิดแก่หลายพื้นที่ รวมถึงในประเทศไทยด้วย ด้วยการปล่อยขนาดใหญ่แล้วลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งปลาสามารถปรับตัวให้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมของไทยได้เป็นอย่างดี อีกทั้งนังสามารถสืบเผ่าพันธุ์ได้ด้วย พบในหลายพื้นที่ อาทิ เขื่อนลำตะคอง ในจังหวัดนครราชสีมา เป็นต้น ปลาซักเกอร์ครีบสูงมีรหัสทางการค้าว่า L021 หรือ L023.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซักเกอร์ครีบสูง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซักเกอร์ไฮฟิน

ปลาซักเกอร์ไฮฟิน (Sailfin catfish, Janitor fish) เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่งในอันดับปลาหนัง ในวงศ์ปลาซักเกอร์ (Loricariidae) ซึ่งถือว่าได้เป็นวงศ์ใหญ่ ใช้ชื่อสกุลว่า Pterygoplichthys (/เทอ-รี-โก-พลิค-ธีส/) โดยมาจากภาษากรีก คำว่า πτέρυγ- (pteryg-) หมายถึง "ปีก", (hoplon) - อาวุธ และ ἰχθύς (ichthys) หมายถึง "ปลา" มีลำตัวสั้น ท่อนหางค่อนข้างยาว หัวและลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ดที่เปลี่ยนเป็นแผ่นกระดูก ลำตัวแต่ละข้างมีเกล็ดเป็นสันแข็งสี่หรือห้าแถว พาดยาวตามลำตัว ท่อนหางค่อนข้างกลม จะงอยปากยาวและปลายทู่ ปากอยู่ใต้จะงอยปาก มีฟันเล็กละเอียดเป็นซี่โค้งเรียงเป็นแถวที่ขากรรไกรบนและล่างแห่งละหนึ่งแถว ช่องเหงือกแคบมาก ครีบหลังสูงมีก้านครีบแขนง 12-14 แถว ก้านครีบเดี่ยวของครีบหลังค่อนข้างใหญ่และยืดหยุ่นได้ ครีบก้นสั้น ครีบท้องมีก้านครีบแขนงหกก้าน ครีบอกมีก้านครีบเดี่ยวเป็นเงี่ยงแข็งหนึ่งก้าน ครีบไขมันเล็กมีเงี่ยงแข็งอยู่ด้านหน้าหนึ่งก้าน พบกระจายพันธุ์อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ในระบบแม่น้ำสายใหญ่ ๆ เช่น แอมะซอน, โอรีโนโก, เซาฟรังซีสกู, มักดาเลนา, ปารานา มีขนาดใหญ่สุดราว 2 ฟุต แต่ขนาดโดยเฉลี่ยคือหนึ่งฟุต เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่น โดยเฉพาะปลาตัวเมียที่มีไข่เต็มท้อง และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เพื่อทำความสะอาดตู้เลี้ยง แต่ก็กลายมาเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในเรื่องชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในหลายพื้นที.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซักเกอร์ไฮฟิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซันฟิช

ปลาซันฟิช (common sunfish, eared sunfish) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กถึงกลางสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลากะพงปากกว้าง (Centrarchidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Lepomis (/เลป-โพ-มิส/) เป็นปลาที่มีขนาดกลาง มีขนาดทั่วไปประมาณ 20 เซนติเมตร มีจุดเด่น คือ มีลำตัวแบนข้างไม่มาก ข้อหางเรียวยาว ใช้สำหรับในการว่ายน้ำและเปลี่ยนทิศทางด้วยความรวดเร็ว ตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลไข่จนกระทั่งฟักเป็นตัว พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแหล่งน้ำตื้น ๆ ของหลายพื้นที่ในทวีปอเมริกาเหนือ โดยที่คำว่า Lepomis นั้นมาจากภาษากรีกคำว่า επίς หมายถึง "เกล็ด" และ πώμα หมายถึง "ปกปิด" หมายถึง แผ่นปิดเหงือก อันหมายถึง แผ่นปิดเหงือกที่ลดรูปลง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซันฟิช · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซันฟิชหูยาว

ปลาซันฟิชหูยาว (Sunfish, Long-eared sunfish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะพงปากกว้าง (Centrarchidae) มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับปลาหมอสี (Cichlidae) ซึ่งเป็นปลาคนละวงศ์กัน โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์นั้น คำว่า Lepomis มาจากภาษากรีก หมายถึง "แผ่นเหงือกที่ลดรูปลงมา" และคำว่า megalotis หมายถึง "หูขนาดใหญ่" ซึ่งหมายถึงแผ่นปิดเหงือกที่ยื่นออกมา และมีจุดสีดำแต้มอยู่ มีลักษณะลำตัวแบนข้างไม่มาก ลำตัวมีสีออกน้ำตาลอมเหลือง มีจุดสีน้ำตาลอมแดงกระจายเป็นลวดลายอยู่ทั่วตัว บริเวณแก้ม จุดดังกล่าวจะเชื่อมต่อกันดูเหมือนลายเส้น ครีบต่าง ๆ มีลวดลายสีแดงกระจายอยู่ ข้อหางยาว มีความยาวเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำตื้น เช่น ลำธาร หรือตลิ่งอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ หรือแม่น้ำ ของภาคตะวันออกของเทือกเขาร็อกกี้ จากชายฝั่งรัฐเวอร์จิเนียจรดรัฐฟลอริดา, ทางทิศตะวันตกของรัฐเท็กซัส จนถึงทางตอนเหนือของเม็กซิโก โดยมักจะอาศัยหากินโดยว่ายลัดเลาะไปตามกอพืชน้ำ หรือวัสดุใต้น้ำต่าง ๆ ในที่ ๆ ท้องน้ำเป็นหินกรวดและหินหลาย ๆ ขนาดคละเคล้ากันไป กินอาหารได้หลากหลาย ทั้ง กุ้ง, สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง, หอย หรือตัวอ่อนของแมลง เป็นต้น การแยกเพศสามารถทำได้จาก ปลาตัวผู้จะมีสีสดสวยและขนาดตัวใหญ่กว่า โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ มีขึ้นระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิของน้ำอุ่นขึ้น ปลาตัวเมียจะเลือกตัวผู้จากขนาด และจุดสีดำบริเวณแผ่นปิดเหงือก โดยปลาตัวเมียจะใช้เวลาและความพิถีพิถันในการเลือก ขณะที่ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายขุดหลุมสร้างรัง ขนาดกว้างประมาณ 6-12 นิ้วในบริเวณน้ำตื้น ปลาตัวผู้จะเกี้ยวพาราสีโดยการว่ายน้ำตีคู่พร้อมทำตัวสั่น ๆ ขณะที่ปลาตัวเมียปล่อยไข่ ปลาตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าผสมทันที จากนั้นเมื่อไข่ได้รับการปฏิสนธิหมดแล้ว ปลาตัวผู้จะไล่ปลาตัวเมียออกไป และดูแลไข่จนกระทั่งฟักเป็นตัว จนกว่าลูกปลาจะเริ่มหากินเองได้ จึงจะแยกทางไป ซึ่งการวางไข่ครั้งหนึ่งจะมีปริมาณราว 1,000-100,000 ฟอง โดยลูกปลาจะเจริญเติบโตไวมากในช่วงขวบปีแรก จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 1 ปี มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 5-8 ปี พบมากที่สุดถึง 11 ปี ปลาซันฟิชหูยาว เป็นปลาที่นิยมตกกันเป็นเกมกีฬา และนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ปัจจุบัน ได้มีการนำไปปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติของหลายประเทศ ที่ไม่ใช่ต้นกำเนิด เช่น ญี่ปุ่น, เยอรมนี, หลายประเทศในทวีปยุโรป, แอฟริกาใต้ และเอเชี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซันฟิชหูยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซาบะ

ปลาซาบะ (さば Saba) เป็นชื่อของปลาทะเลสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Scomber จัดอยู่ในวงศ์ปลาอินทรี (Scombridae) จัดเป็นปลาแมคเคอเรลจำพวกหนึ่ง มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายกระสวยหรือจรวด เป็นปลาผิวน้ำ อาศัยอยู่เป็นฝูง ว่ายน้ำได้รวดเร็ว กินปลาขนาดเล็กและสัตว์น้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร รวมถึงแพลงก์ตอนสัตว์ เช่น โคพีพอด ด้วย โดยมากเป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรและน่านน้ำเขตหนาว เช่น มหาสมุทรแอตแลนติกทางตอนเหนือ แถบส่วนเหนือของทวีปแอฟริกา ไล่เรียงขึ้นไปทางทวีปยุโรป จนถึงแถบสแกนดิเนเวีย แต่ก็มีประชากรบางส่วนพบที่มหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ญี่ปุ่น หรือจีน และสหรัฐอเมริกา หรือซีกโลกทางใต้ เช่น นิวซีแลนด์ ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซาบะ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซาร์ดีนยุโรป

ปลาซาร์ดีนยุโรป หรือ ปลาซาร์ดีนแท้ (Sardine, European pilchard, True sardine) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sardina pilchardus อยู่ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Sardina มีรูปร่างเพรียวยาวทรงกระบอก ลำตัวกลม แต่ในขณะที่เป็นปลาวัยอ่อน ลำตัวจะแบนเป็นสันบริเวณส่วนท้องมากกว่านี้ ตาโต ครีบหลังมีเพียงตอนเดียว ไม่มีก้านครีบแข็ง มีก้านครีบอ่อนประมาณ 13–21 ก้าน ครีบก้นมี 2 ครีบขนาดเล็ก ลำตัวมีสีเงิน ลำตัวด้านข้างช่วงบนมีแต้มวงกลมสีน้ำเงินอมม่วง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 27 เซนติเมตร มีพฤติกรรมรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ กินแพลงก์ตอนสัตว์และครัสเตเชียนชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร อาศัยและหากินใกล้ชายฝั่งในมหาสมุทรแอตแลนติก เฉพาะในทวีปยุโรป ตั้งแต่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงทะเลดำ และแอฟริกาเหนือ โดยหากินในเวลากลางคืน ในระดับความลึกตั้งแต่ 55–100 เมตร และอาจเพิ่มขึ้นในระดับ 10–35 เมตรได้ในแต่ละวัน เป็นปลาที่วางไข่และตัวอ่อนพัฒนาในแหล่งน้ำจืดหรือใกล้ชายฝั่ง โดยไข่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ย 1.5 มิลลิเมตร วางไข่ได้มากถึงครั้งละ 50,000–60,000 ฟอง ผลการทดลองในที่เลี้ยง พบว่าจะวางไข่ในเวลากลางคืนในช่วงเวลา 19.00–21.00 น. (ตามเวลามาตรฐานกรีนิช) โดยอุณหภูมิของน้ำสัมพันธ์กับการฟักเป็นตัว และความแข็งแรงของลูกปลาที่เกิดมาด้วย ปลาซาร์ดีนยุโรป ถือเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญอย่างมากของยุโรปและทั่วโลก นับเป็นปลาซาร์ดีนชนิดที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นที่นิยมในการแปรรูปทำเป็นปลากระป๋อง หรือการปรุงสด เช่น การย่างหรือรมควัน ซึ่งเนื้อปลาซาร์ดีนให้คุณค่าทางอาหารมากกว่านมถึง 3 เท่า โดยเนื้อปลาจำนวน 100 กรัม ให้สารอาหารต่าง ๆ เช่น โอเมกา 3 ถึง 200 มิลลิกรัม ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายมนุษย์ในแต่ละสัปดาห์ นอกจากนี้แล้วยังมี ฟอสฟอรัส, ทองแดง, แม็กนีเซียม, เหล็ก, แมงกานีส, ไลโคปีน และวิตามินบี ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซาร์ดีนยุโรป · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซาร์ดีนทะเลสาบ

ปลาซาร์ดีนทะเลสาบ หรือ ปลาซาร์ดีนทะเลสาบมาลาวี (lake sardine, Lake Malawi sardine; ชื่อพื้นเมือง: อูซีปา, usipa) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง พบในทวีปแอฟริกา ปลาซาร์ดีนทะเลสาบมีรูปร่างคล้ายกับปลาซาร์ดีนแต่ไม่ใช่ปลาซาร์ดีน หากแต่เป็นปลาในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) โดยเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Engraulicypris ปลาซาร์ดีนทะเลสาบมีความยาวประมาณ 13 เซนติเมตร อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง เป็นปลาที่พบได้เฉพาะทางตอนเหนือของทะเลสาบมาลาวีซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศมาลาวี, โมซัมบิก และแทนซาเนีย รวมถึงแม่น้ำชีเร (Shire) เท่านั้น เป็นปลาที่กินแพลงก์ตอนสัตว์ รวมถึงตัวอ่อนของแมลงจำพวกริ้น (ที่รวมตัววางไข่เป็นจำนวนนับหลายล้านตัวจนเป็นปรากฏการณ์เหมือนหมู่เมฆหรือพายุลอยเหนือผิวน้ำในทะเลสาบ) เป็นอาหาร ปลาซาร์ดีนทะเลสาบเป็นปลาเศรษฐกิจสำคัญของทะเลสาบมาลาวี เป็นแหล่งโปรตีนสำหรับประชากรถึง 20 ล้านคนรอบ ๆ ทะเลสาบ ชาวประมงท้องถิ่นจะรวมตัวกันจับด้วยเรือโกลนในคืนเดือนมืด ด้วยการใช้ไฟจากตะเกียงเป็นตัวล่อ แบ่งระหว่างเรือใหญ่ 2 ลำ แผ่อวนออกไปเป็นวงกลม เรือที่อยู่ตรงกลางจะจุดตะเกียงเพื่อดึงดูดปลาขึ้นสู่ผิวน้ำ จากนั้นจึงสาวอวนขึ้นมา ปริมาณการจับ จับได้ครั้งละ 2–3 กิโลกรัม แต่สามารถจับได้มากกว่า 10 รอบก่อนรุ่งสาง นิยมนำไปแปรรูปเป็นปลาตากแห้งซึ่งสามารถเก็บไว้นานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน เนื่องจากความร้อนของอุณหภูมิในพื้นที่ทำให้ปลาไม่สด และก่อนจะกลับถึงฝั่ง ชาวประมงท้องถิ่นก็นิยมย่างปลาซาร์ดีนทะเลสาบเป็นอาหารเช้าอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซาร์ดีนทะเลสาบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซาร์ดีนแปซิฟิก

ปลาซาร์ดีนแปซิฟิก หรือ ปลาซาร์ดีนอเมริกาใต้ (South American pilchard, Pacific sardine, California sardine, Chilean sardine, Japanese sardine, South African sardine, Monterrey sardine) เป็นปลาทะเลจำพวกปลาซาร์ดีนชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sardinops sagax อยู่ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Sardinops และเป็นปลาที่มีชื่อพ้องจำนวนมาก มีรูปร่างลักษณะคล้ายปลาซาร์ดีนยุโรป (Sardina pilchardus) ซึ่งพบในภาคพื้นยุโรป แต่มีความยาวกว่า คือ ยาวได้ถึงเกือบ 40 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยทั่วไป คือ 20 เซนติเมตร ครีบหลังและครีบก้นไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบก้นมีกานครีบอ่อน 12-23 ก้าน มีกระดูกสันหลัง 48-53 ท่อน มีรูปร่างยาวทรงกระบอกและกลม ลำตัวมีสีฟ้าอมเขียวเหลือบขาว ลำตัวด้านข้างท่อนบนมีจุดสีคล้ำเป็นแถว มีแผ่นกระดูกปิดเหงือกที่แตกต่างไปจากปลาในวงศ์นี้ชนิดอื่น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการแยกชนิดได้ชัดเจน มีการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวาง ในแถบอินโด-แปซิฟิก ทั้ง อเมริกาเหนือ, อเมริกาใต้, มหาสมุทรอินเดีย, ทะเลอันดามัน, อ่าวไทย, ทะเลญี่ปุ่น, ทะเลฟิลิปปิน, ทะเลจีนใต้, ทะเลซูลู จนถึงตอนเหนือของออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยปลาที่พบในนิวซีแลนด์จะมีขนาดความยาวของลำตัวใหญ่กว่าที่อื่น และมีไข่ที่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย จัดเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีความสำคัญมากชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซาร์ดีนแปซิฟิก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวพม่า

ปลาซิวพม่า หรือ ปลาซิวควายพม่า (Slender rasbora, Black-line rasbora) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะคล้ายกับปลาซิวทอง (R. einthovenii) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน คือ ครีบทุกครีบใส มีแถบสีดำพาดตามความยาวลำตัว แต่มีความแตกต่างกัน คือ ปลาซิวพม่ามีครีบอกสั้นกว่าความยาวส่วนหัว และเกล็ดระหว่างเส้นข้างลำตัวที่คาดหางมี 9 แถว ในขณะที่ปลาซิวทองมีครีบอกที่ยาวกว่าความยาวหัว เกล็ดที่เส้นข้างลำตัวที่คาดหางมี 7 แถว มีความยาวเต็มที่ประมาณ 15 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำสายใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น แม่น้ำโขง, เจ้าพระยา และตอนเหนือของคาบสมุทรมลายู นอกจากนี้แล้วยังพบในภูมิภาคเอเชียใต้ เช่น ลุ่มน้ำสาะวินและแม่น้ำสายใหญ่ในประเทศพม่า และแม่น้ำสายใหญ่ในรัฐมหาราษฏระ และรัฐกรณาฏกะ ประเทศอินเดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวพม่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวกาแล็กซี

ปลาซิวกาแล็กซี (celestial pearl danio, halaxy rasbora) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง เป็นปลาจำพวกปลาซิว ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ปลาซิวกาแล็กซีเป็นปลาที่มีลวดลายและสีสันสวยงามมาก โดยเฉพาะในตัวผู้ โดยจะมีลำตัวสีน้ำตาลเข้มถึงดำ และมีลายจุดสีทองกระจายอยู่ทั่วตัว อีกทั้งยังมีสีส้มแดงสลับดำตามครีบหลัง ครีบหางและครีบท้อง ทำให้แลดูคล้ายท้องฟ้าและหมู่ดาวในดาราจักร (กาแล็กซี) ในเวลาค่ำคืน อันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ปลาซิวกาแล็กซีได้รับการค้นพบครั้งแรกในเดือนสิงหาคม..

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวกาแล็กซี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวสมพงษ์

ปลาซิวสมพงษ์ เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกปลาซิวชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ได้รับการค้นพบโดยนายสมพงษ์ เล็กอารีย์ พ่อค้าปลาสวยงามชาวไทย ปลาเพศผู้รูปร่างลักษณะรูปร่างเรียวยาวและมีขนาดเล็กกว่าปลาเพศเมีย บริเวณลำตัวมีสีเหลืองส้มและลวดลายข้างลำตัวจะเข้มชัดเจนเมื่อใกล้ฤดูผสมพันธุ์ เพศเมียมีลักษณะรูปร่างป้อมมีสีซีดจางและลวดลายข้างลำตัวไม่ชัดเจน ข้อแตกต่างจะเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นช่วงที่ปลาพร้อมจะวางไข่ ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 10.5 เซนติเมตร กินอาหารง่าย เป็นปลาที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ว่ายน้ำตลอดเวลา วางไข่โดยการแปะติดกับใบของพืชน้ำ ไข่จะฟักภายใน 30 ชั่วโมง แม่ปลาสามารถวางไข่ได้ประมาณ 8-10 ฟอง กินอาหารจำพวกแพลงก์ตอนสัตว์และตัวอ่อนแมลงน้ำขนาดเล็ก ปลาซิวสมพงษ์จัดเป็นปลาที่หายากมาก เนื่องจากเป็นปลาเฉพาะถิ่น พบเฉพาะลุ่มน้ำแม่กลองแถบจังหวัดกาญจนบุรีเท่านั้น มีรายงานการส่งออกไปขายยังต่างประเทศ เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น ในฐานะปลาสวยงาม จนทำให้ปลาซิวสมพงษ์มีสถานะในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤต เคยถูกจัดให้เป็นปลาที่สูญพันธุ์ไปแล้วจากบัญชีของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติเมื่อกว่า 50 ปีก่อน จนกระทั่งหลังเหตุมหาอุทกภัยในปลายปี พ.ศ. 2554 ในเหตุการณ์น้ำท่วมทุ่งที่จังหวัดนครนายกในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวสมพงษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวหัวตะกั่ว

ำหรับปลาในวงศ์อื่น ดูที่: ปลาหัวตะกั่ว ปลาซิวหัวตะกั่ว หรือ ปลาท้องพลุ เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกปลาท้องพลุหรือปลาซิว ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Laubuka (/ลอ-บู-คา/) จัดเป็นปลาซิวขนาดกลาง มีลักษณะทั่วไปคือ ลำตัวแบนข้าง สีลำตัวทั่วไปเป็นสีเงินขาว มีลักษณะเด่น คือ มีส่วนท้องที่ลึกและกว้างเหมือนอ้วนหรือท้องป่อง เมื่อจับขึ้นมาแล้ว ส่วนท้องจะแตกได้ง่าย อีกทั้งมีจุดสีเงินเข้มที่ส่วนหัว แลดูคล้ายปลาหัวตะกั่ว จึงเป็นที่มาของชื่อสามัญ มีเส้นข้างลำตัวที่สมบูรณ์ มีก้านครีบท้องยื่นยาวลงมาเป็นเส้นเดี่ยว เดิมทีปลาในสกุลนี้ถูกจัดให้อยู่ในสกุล Chela มีพฤติกรรมรวมฝูงเป็นฝูงเล็ก ๆ กินแมลงที่ตกลงน้ำเป็นอาหารหลัก โดยมีปากที่เชิดขึ้นด้านบน นอกจากนี้แล้วเมื่อตกใจจะสามารถกระโดดขึ้นขนานไปกับผิวน้ำได้เหมือนปลาขวานบิน ซึ่งเป็นปลาในกลุ่มปลาคาราซิน พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในอนุทวีปอินเดียจนถึงเอเชียอาคเนย์จนถึงแหลมมลายูและหมู่เกาะต่าง ๆ ของอินโดนีเซียซึ่งพบได้ในทวีปอเมริกาใต้ในประเทศไทยจะพบได้ 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวหัวตะกั่ว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวหัวตะกั่วสุโขทัย

ปลาซิวหัวตะกั่วสุโขทัย หรือ ปลาท้องพลุ หรือ ปลาข้าวเม่า (Flying minnow, Flying barb, Leaping barb, Siamese hatchetfish) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาซิวและปลาท้องพลุ ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างค่อนข้างกว้าง ลำตัวแบนข้างมาก ส่วนท้องเป็นสัน เส้นข้างลำตัวโค้งลงเห็นชัดเจน และขนานกับริมท้อง ครีบอกแหลมยาว ก้านครีบของครีบท้องยื่นยาวเป็นเส้นเดี่ยว ที่หัวและบนหลังตอนหน้าครีบหลังมีจุดสีน้ำเงินเข้ม บนลำตัวหลังช่องเหงือกมีจุดสีดำขนาดใหญ่ 1 จุด และเหนือครีบอกมีจุดสีดำ 4-9 จุด สีของลำตัวทั่วไปเป็นสีขาวอมเขียวแวววาว มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 7 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ย 4-5 เซนติเมตร จัดเป็นปลาซิวหัวตะกั่ว 1 ใน 2 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย พบกระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบนและแม่น้ำโขง มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดเล็กในแหล่งน้ำที่มีพรรณไม้ขึ้นหนาแน่น กินอาหารบริเวณผิวน้ำ เช่น แมลง, ลูกน้ำ, ลูกไร เป็นอาหาร เป็นปลาที่เมื่อตกใจแล้วสามารถกระโดดพ้นน้ำได้สูง มีสถานะพบในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์แล้ว นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะรวบรวมจากแหล่งธรรมชาติจำหน่ายยังต่างประเทศ และในปัจจุบัน ก็สามารถเพาะขยายพันธุ์ในบ่อเลี้ยงได้เป็นผลสำเร็.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวหัวตะกั่วสุโขทัย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวหัวตะกั่วอินเดีย

ปลาซิวหัวตะกั่วอินเดีย (Indian glass barb, Indian hatchetfish) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาซิวและปลาท้องพลุ ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวรูปร่างกว้าง แบนข้างจนริมท้องเป็นสัน ช่วงท้องลึก มีครีบอกแหลมยาว ก้านครีบของครีบท้องยื่นยาวเป็นเส้นเดี่ยว เส้นข้างลำตัวสมบูรณ์ ลำตัวมีลักษณะโปร่งแสงเป็นสีเงินแกมเขียวแววาวสะท้อนแสง มีจุดเด่นคือมีลายเส้นจุดสีน้ำเงินเข้มยาวตั้งแต่ฐานครีบอกไปจนถึงฐานของครีบหาง ด้านหลังของลำตัวจะมีสีเข้ม ครีบต่าง ๆ มีสีเหลืองอ่อนหรือสีส้มปนน้ำตาล มีความยาวประมาณ 4 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในอนุทวีปอินเดียจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะต่าง ๆ สำหรับในประเทศไทยจะพบได้ที่ แหล่งน้ำทางภาคตะวันออกและภาคใต้ตอนบน มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ที่มีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ขึ้นครึ้ม กินแมลงที่ตกลงน้ำเป็นอาหารหลัก เมื่อตกใจสามารถที่จะกระโดดเหินขนานไปกับผิวน้ำได้เป็นระยะทางสั้น ๆ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลาแปบ" หรือ "ปลาท้องพลุ".

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวหัวตะกั่วอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวหางกรรไกร

ปลาซิวหางกรรไกร หรือ ปลาซิวหางดอก (Scissor-tailed rasbora, Three-lined rasbora) เป็นปลาซิวชนิดหนึ่ง ในสกุล Rasbora มีรูปร่างเรียวยาว แบนข้าง ท่อนหางยาว ส่วนหลังโค้ง หัวโต นัยน์ตาโต ท้องใหญ่ ครีบใหญ่ เกล็ดตามลำตัวมีสีขาวเงินปนน้ำตาล หลังมีสีน้ำตาลปนดำ มีแถบสีดำตามลำตัว มีลายดำบนแฉกของครีบหาง หางแฉกเว้าคล้ายกรรไกรอันเป็นที่มาของชื่อ จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในสกุลนี้ เนื่องจากสามารถโตเต็มที่ได้ 15 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ กินพืชน้ำและแพลงก์ตอนสัตว์น้ำเป็นอาหาร รวมถึงแมลงขนาดเล็กด้วย ในประเทศไทยพบได้ที่ แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำโขง และภาคใต้ ในต่างประเทศพบได้เรื่อยไปจนถึงคาบสมุทรมลายู, เกาะบอร์เนียว และเกาะสุมาตรา เป็นปลาที่สามารถพบได้ทั่วไปในธรรมชาติ นิยมนำมาบริโภคกันในท้องถิ่นที่อาศัย และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะการเลี้ยงในตู้ไม้น้ำ ปัจจุบัน สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยง โดยการคัดเลือกพ่อแม่ปลาที่สมบูรณ์ จากนั้นจึงฉีดฮอร์โมนกระตุ้นให้แก่ปลาตัวผู้ และปล่อยทั้งคู่ผสมพันธุ์และวางไข่กันในตู้เลี้ยงหรือบ่อ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวหางกรรไกร · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวหางแดง

ปลาซิวหางแดง หรือ ปลาซิวแถบดำ หรือ ปลาซิวบอระเพ็ด (Blackline rasbora, Redline rasbora, Borapet rasbora) ปลาน้ำจืดจำพวกปลาซิวชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rasbora borapetensis อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะเส้นข้างลำตัวไม่สมบูรณ์ ลำตัวแบนข้าง นัยน์ตาค่อนข้างโต ครีบหางแยกเป็นแฉก มีแถบสีดำพาดตามความยาวลำตัวจากหัวจนถึงโคนหาง และมีลายสีเขียวปนสีทองพาดตามแนวแถบสีดำ ครีบหางมีสีแดงสด มีขนาดความเต็มที่ประมาณ 5 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ พบครั้งแรกที่บึงบอระเพ็ด ในปี ค.ศ. 1934 จึงได้มีการตั้งชื่อสายพันธุ์ตามสถานที่พบ ซึ่งนอกจากจะพบที่บึงบอระเพ็ดแล้ว ยังพบได้ที่หนองหาน จังหวัดสกลนคร, แม่น้ำโขง, กว๊านพะเยา และป่าพรุโต๊ะแดง ที่จังหวัดนราธิวาสอีกด้วย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ได้รับความนิยมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมาช้านาน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวหางแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวหนวดยาว

ปลาซิวหนวดยาว (Flying barb, Striped flying barb) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกปลาซิว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Esomus metallicus ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวยาวทรงกระบอก แบนข้าง นัยน์ตาโต ครีบหลังและครีบก้นมีขนาดใกล้เคียงกัน ครีบอกมีขนาดใหญ่ปลายแหลม ครีบหางปลายแยกเป็นแฉกลึก มีหนวดที่มุมปากยาวมากหนึ่งคู่เห็นได้ชัดเจน มีแถบสีดำยาวตามลำตัวจากหลังตาจรดปลายหาง มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 7.2 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแม่น้ำ หนอง คลอง บึง ทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมถึงนาข้าวหรือตามท้องร่องสวนผลไม้ต่าง ๆ ด้วย ในต่างประเทศพบได้จนถึงแหลมมลายู เป็นปลาที่ใช้บริโภคเป็นอาหารในพื้นที่ และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวหนวดยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวหนวดยาว (สกุล)

ปลาซิวหนวดยาว (Flying barb) เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กในจำพวกปลาซิวจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชิ่อสกุลว่า Esomus (/อี-โซ-มัส/) มีลำตัวโดยรวมค่อนข้างยาว แบนข้าง แนวสันหัวตั้งแต่ปลายจะงอยปากจนถึงท้ายทอยหลังเป็นเส้นตรง ถัดไปเป็นส่วนสันหลังจะโค้งนูนขึ้นไม่มากนัก ปากแคบและเฉียงขึ้น ขากรรไกรล่างไม่มีปุ่มตรงกลาง มีหนวดสองคู่ คู่ที่ริมฝีปากบนสั้น แต่คู่ที่ริมฝีปากล่างยาวมากจนเห็นได้ชัด อันเป็นที่มาขอชื่อเรียก ซึ่งบางชนิดยาวถึงฐานครีบก้น ครีบหลังสั้นอยู่ค่อนไปทางหาง มีก้านครีบแขนงห้าก้าน เกล็ดมีขนาดปานกลาง เส้นข้างลำตัวอยู่ต่ำใกล้กับท้องและยาวไปจนสิ้นสุดที่ปลายหางส่วนล่าง มีฟันที่ลำคอหนึ่งแถว มีทั้งหมดห้าซี่ มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินอาหารจำพวกแพลงก์ตอนและแมลงน้ำบริเวณผิวน้ำ มีขนาดลำตัวยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 5-7 เซนติเมตร นิยมใช้บริโภคกันในพื้นที่ และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวหนวดยาว (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวหนู

ปลาซิวหนู (Least rasbora, Exclamation-point rasbora) เป็นปลาซิวชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะคล้ายปลาซิวชนิดอื่น แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก หัวและตามีขนาดโต ปากมีขนาดเล็ก ครีบและเกล็ดมีขนาดใหญ่ หัวและลำตัวมีสีส้มหรือแดงอมส้ม มีแถบสีดำพาดตามแนวยาวกลางลำตัว โคนหางมีจุดสีคล้ำ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอยู่รวมตัวกันเป็นฝูงขนาดใหญ่และว่ายขึ้นมาใกล้ผิวน้ำ ในแหล่งน้ำที่นิ่งมีหญ้าและพืชน้ำขึ้นหนาแน่น และน้ำมีสภาพเป็นกรดเล็กน้อย (pH ต่ำกว่า 7 เล็กน้อย) เช่น น้ำในป่าพรุ เป็นต้น จัดเป็นปลาที่พบได้น้อยในแหล่งที่อยู่ในธรรมชาติ โดยพบกระจายทั่วไปในภูมิภาคอินโดจีน สำหรับในประเทศไทยพบเพียงไม่กี่แห่ง อาทิ พื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งทะเลใกล้ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ในที่ราบลุ่มภาคกลางของประเทศ เป็นต้น นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ซึ่งสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวหนู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวอ้าว

ำหรับปลานางอ้าวชนิดอื่น ดูได้ที่ ปลาน้ำหมึก และปลาสะนาก ปลาซิวอ้าว (Apollo shark) เป็นชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Luciosoma bleekeri อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) วงศ์ย่อย Danioninae มีรูปร่างค่อนข้างเพรียว ลำตัวค่อนข้างกลม ส่วนหัวและจะงอยปากยื่นยาว ปากกว้าง ไม่มีหนวด ตาโต เกล็ดใหญ่ ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อน ด้านหลังสีคล้ำ มีแถบสีดำพาดตามแนวยาวของลำตัวตั้งแต่ตาไปจนถึงโคนหาง ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร มักอาศัยเป็นฝูงเล็ก ๆ หากินใกล้ผิวน้ำ กินปลาเล็กและแมลงเป็นอาหาร ส่วนมากพบในแม่น้ำ ตั้งแต่แม่น้ำแม่กลองจนถึงแม่น้ำโขง มักบริโภคโดยการปรุงสด และทำปลาร้า และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ปลาซิวอ้าว ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลานางอ้าว" หรือ "ปลาอ้ายอ้าว" หรือ "ปลาซิวควาย" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวอ้าว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวทอง

ปลาซิวทอง (Brilliant rasbora, Long-band rasbora, Einthoven's rasbora) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rasbora einthovenii อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) จัดเป็นปลาซิวชนิดหนึ่ง ซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายปลาซิวพม่า (R. daniconius) ซึ่งอยู่สกุลเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกัน คือ ปลาซิวทองมีครีบอกที่ยาวกว่าความยาวหัว เกล็ดที่เส้นข้างลำตัวที่คาดหางมี 7 แถว ในขณะที่ปลาซิวพม่ามีครีบอกสั้นกว่าความยาวส่วนหัว และเกล็ดระหว่างเส้นข้างลำตัวที่คาดหางมี 9 แถว มีลักษณะตำตัวแบนข้าง เรียวยาว นัยน์ตาโต คาดหางยาว หลังมีสีเทา ลำตัวสีขาวเงินสะท้อนแสง เกล็ดมีขอบสีดำ นัยน์ตาสีแดง มีแถบสีดำพาดยาวผ่านนัยน์ตาไปสิ้นสุดที่ปลายครีบหาง มีความยาวเต็มที่ 10 เซนติเมตร นับเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งในสกุลเดียวกัน พบกระจายพันธุ์ที่แม่น้ำป่าสักที่จังหวัดเพชรบูรณ์ และปัจจุบันจะพบได้ที่ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส ในต่างประเทศพบได้จนถึงที่คาบสมุทรมลายู, อินโดนีเซีย และเกาะบอร์เนียว เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวทอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวข้าวสาร

ำหรับปลาทะเลขนาดเล็ก ดูที่: ปลากะตัก ปลาซิวข้าวสาร หรือ ปลาในนาข้าว (วงศ์: Adrianichthyidae; Ricefishes) เป็นชื่อวงศ์ของปลาน้ำจืดและปลาน้ำกร่อยจำพวกหนึ่งที่มีขนาดเล็ก มีขนาดโดยเฉลี่ยไม่เกิน 9 เซนติเมตร มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศอินเดียจนถึงญี่ปุ่น เกาะสุลาเวสี คาบสมุทรอินโดจีนจนถึงออสเตรเลีย เดิมเคยถูกจัดให้อยู่ในวงศ์ Oryziidae แต่ปัจจุบันวงศ์นี้ได้กลายเป็นเพียงวงศ์ย่อยและสกุลหนึ่งของวงศ์นี้ มีลักษณะทางอนุกรมวิธานที่สำคัญ คือ ไม่มีเส้นข้างลำตัว ช่องจมูกเปิดทะลุถึงก้น นัยน์ตาโต ปากเฉียงขึ้นเล็กน้อย ครีบหลังอยู่ใกล้ครีบหาง ครีบหางมีทั้งปลายตรงและปลายกลมมน โดยปลาในวงศ์นี้ซึ่งเป็นตัวอย่างแรกได้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรก ในนาข้าวที่ประเทศญี่ปุ่น จึงเป็นที่มาของชื่อในภาษาอังกฤษ โดยชนิดที่ค้นพบล่าสุด พบที่ลุ่มแม่น้ำโขงในภาคอีสานของไทย คือ ปลาซิวข้าวสารแม่น้ำสงคราม (Oryzias songkhramensis) เมื่อปี ค.ศ. 2010.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวข้าวสาร · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวข้าวสารชวา

ปลาซิวข้าวสารชวา (Javanese ricefish) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาซิวข้าวสาร (Adrianichthyidae) มีลำตัวค่อนข้างหนาและยาว มีแถบสีดำข้างลำัตัว ปลายสุดของเส้นที่คอดหางจะขยายออกเป็นรูปวงรีหรือจุดค่อนข้างกลม ครีบทั้งหมดใสโปร่งแสง บริเวณหลังมีสีน้ำตาลอ่อนคล้ำ ด้านท้องสีขาว ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 13 เซนติเมตร เป็นปลาที่หากินและอาศัยอยู่บริเวณพื้นท้องน้ำ ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพน้ำดีมีออกซิเจนละลายในน้ำปริมาณสูงและมีอุณหภูมิเย็น แพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่ภาคใต้ของไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุืได้ในที่เลี้ยงได้แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวข้าวสารชวา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวข้าวสารญี่ปุ่น

ปลาซิวข้าวสารญี่ปุ่น หรือ ปลาซิวข้าวสารจิ๋ว (Japanese rice fish, Japanese killifish; メダカ; โรมะจิ: Medaka) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาซิวข้าวสาร (Adrianichthyidae) จัดเป็นปลาชนิดแรกที่ถูกค้นพบและศึกษาในวงศ์นี้ โดยพบในนาข้าวประเทศญี่ปุ่น อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ "ปลาข้าวสาร" หรือ "ปลาซิวข้าวสาร" และถือเป็นชนิดต้นแบบของสกุล Oryzias ด้วย เป็นปลาที่มีขนาดเล็ก ความยาวไม่เกิน 3 เซนติเมตร พบในแหล่งน้ำที่มีอุณหภูมิประมาณ 20 องศาเซลเซียส มีถิ่นกระจายพันธุ์ที่กว้างไกลมาก โดยพบได้ตั้งแต่ประเทศญี่ปุ่น, ยูเรเซีย, จีน, เกาหลี, ลาว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวข้าวสารญี่ปุ่น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวข้าวสารแม่น้ำสงคราม

ปลาซิวข้าวสารแม่น้ำสงคราม เป็นปลาสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดที่เพิ่งค้นพบได้ของโลก โดยนักมีนวิทยาชาวไทย ปลาซิวข้าวสารแม่น้ำสงคราม ได้รับการเปิดเผยจาก รองศาสตราจารย์ ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวข้าวสารแม่น้ำสงคราม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวข้าวสารเดซี่

ปลาซิวข้าวสารเดซี่ หรือ ปลาซิวข้าวสารโวโวแรย์ (Daisy's ricefish) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oryzias woworae ในวงศ์ปลาซิวข้าวสาร (Adrianichthyidae) จัดเป็นปลาซิวข้าวสารในสกุล Oryzias ชนิดใหม่ที่เพิ่งค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 2010 จัดเป็นปลาที่มีสีสันสวยงามมากชนิดหนึ่ง แตกต่างไปจากปลาในสกุลเดียวกันชนิดอื่น โดยมีสีที่พบได้ทั้งตัวผู้และตัวเมีย มีสีแดงบริเวณใต้ส่วนหัวไล่ไปตามลำตัวส่วนล่างจนถึงด้านหน้าของครีบท้อง ครีบหลัง รวมถึงคอดหางและครีบหางบางส่วนด้วย และมีสีฟ้าเป็นประกายตั้งแต่ขอบหลังบนของลูกตาลากสีไปตามแนวเกล็ดกลางลำตัวจนถึงฐานของครีบหาง นอกจากนี้สีฟ้ายังกินพื้นที่เกล็ดในตำแหน่งใต้เส้นสีกลางลำตัวไปจนถึงบริเวณหน้าครีบก้น พื้นที่บริเวณแผ่นกระดูกเปิดปิดเหงือก ไปจนถึงฐานของครีบอกเป็นสีเงินแวววาว ครีบหางมีลักษณะตัดตรงมากกว่าขอบหางที่เว้าเข้า มีขนาดประมาณ 6-7 เซนติเมตร ปลาซิวข้าวสารเดซี่ พบกระจายพันธุ์เฉพาะบนเกาะมูนา ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย ในลำธารที่สงบเงียบ โดยอยู่รวมฝูงกับปลาในวงศ์ปลาเข็ม ในระดับความลึกประมาณ 1-1.5 เมตร พื้นน้ำเป็นโคลนเลนและเศษใบไม้ร่วง ค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำประมาณ 6-7 (pH 6-7) โดยตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.เดซี่ โวไว นักสัตววิทยาชาวอินโดนีเซียผู้เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์น้ำจืด จำพวกปูและกุ้ง ปลาซิวข้าวสารเดซี่ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เดิมเคยใช้ชื่อวงการปลาสวยงามว่า "ปลาข้าวสารนีออน" ปัจจุบันได้มีการอนุกรมวิธานแยกออกไปเป็นชนิดต่างหาก คือ O. walasi ซึ่งมีลักษณะบางประการที่แตกต่างออกไป แต่ทั้งสองชนิดนี้ก็พบในถิ่นที่อยู่เดียวกัน หน้า 26-27, สกุล Oryzias ปลาข้าวสาร โดย สุริศา ซอมาดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวข้าวสารเดซี่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวข้างขวาน

ปลาซิวข้างขวาน หรือ ปลาซิวขวาน เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่งจำพวกปลาซิว ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Trigonostigma เดิมปลาในสกุลนี้เคยถูกจัดให้อยู่ในสกุล Rasbora แต่ปัจจุบันนี้ได้ถูกแยกออกมาต่างหาก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 โดยมีลักษณะเด่นคือ มีแถบสีดำใต้จุดเริ่มต้นของครีบหลังถึงกลางของฐานครีบหาง และมักจะเป็นแถบกว้างด้านหน้า โดยมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมหรือเป็นรูปขวาน ในขณะที่บางชนิดจะเป็นเพียงแถบบาง ๆ และมีพฤติกรรมการวางไข่ โดยวางติดกับใบของพืชน้ำ เป็นปลาที่มีขนาดเล็ก นิยมอยู่เป็นฝูง จึงมีความสำคัญต่อระบบนิเวศในน้ำในแง่ของการเป็นห่วงโซ่อาหารของสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า และมีความสำคัญต่อมนุษย์ในแง่ของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งมักจะเลี้ยงกันในตู้ไม้น้ำ โดยมีพฤติกรรมในที่เลี้ยง คือ มักจะรวมฝูงว่ายกันอยู่ในระดับกลางน้ำ พบกระจายพันธุ์ในภาคตะวันออกและภาคใต้ของไทย ไปจนถึงกัมพูชา, เกาะสุมาตรา และเกาะบอร์เนียว ปัจจุบันได้มีการอนุกรมวิธานไว้แล้วทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวข้างขวาน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวข้างขวานใหญ่

ปลาซิวข้างขวานใหญ่ (harlequin rasbora) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่งจำพวกปลาซิว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trigonostigma heteromorpha ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะลำตัวแบนข้างกว่าปลาซิวทั่วไป หัวและตาโต ปากเล็กและไม่มีหนวด ลำตัวสีส้มแดงเหลือบชมพูหรือม่วง ลำตัวช่วงกลางจนถึงโคนหางมีแต้มสีดำรูปสามเหลี่ยม ครีบใสมีแถบสีชมพูเรื่อหรือแต้มสีส้ม ครีบหลังอยู่กึ่งกลางลำตัว ครีบหางเว้าลึก มีขนาดไม่เกิน 5 เซนติเมตร พบอาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่ไม่ต่ำกว่า 100 ตัว ในประเทศไทยพบเฉพาะแหล่งน้ำไหลเชี่ยวบริเวณภาคใต้แถบจังหวัดตรัง และที่ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส เท่านั้น มีพฤติกรรมผสมพันธุ์เป็นฝูง โดยวางไข่ติดอยู่กับใต้ใบไม้ของพืชน้ำ ครั้งละ 90-100 ฟอง นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ปัจจุบันมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์แล้ว นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "มะลิเลื้อย" เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ยังมีปลาซิวอีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกันคือ ปลาซิวข้างขวานเล็ก (T. espei).

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวข้างขวานใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวข้างขวานโกลว์ไลต์

ปลาซิวข้างขวานโกลว์ไลต์ (glowlight rasbora, porkchop rasbora) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) จัดเป็นปลาซิวจำพวกปลาซิวข้างขวานชนิดหนึ่ง แตกต่างจากปลาซิวข้างขวานชนิดอื่นตรงที่มีสีบริเวณลำตัวใสสามารถมองทะลุได้ แต่ยังมีลักษณะเด่นตรงรูปขวานสีดำกลางลำตัว ขนาบไปด้วยสีน้ำตาลแดงไปจนถึงหาง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 3 เซนติเมตร เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงในเกาะสุมาตราและบอร์เนียว นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ แต่ในประเทศไทย เป็นปลาที่ค่อนข้างหายาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวข้างขวานโกลว์ไลต์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวข้างขวานเล็ก

ปลาซิวข้างขวานเล็ก (Espe's rasbora, false harlequin rasbora, lambchop rasbora) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่งจำพวกปลาซิว ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างและพฤติกรรมเหมือนปลาซิวข้างขวานใหญ่ (T. heteromorpha) ซึ่งเป็นปลาที่ลักษณะใกล้เคียงกันมากที่สุดทุกประการ เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า คือ มีขนาดใหญ่ได้สุดเพียง 2.5 เซนติเมตร และแถบดำรูปสามเหลี่ยมที่ลำตัวก็เล็กกว่า สามารถพบได้กว้างกว่า โดยสามารถพบในแหล่งน้ำตกของภาคตะวันออกและภาคใต้ของประเทศไทยได้อีกด้วย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเช่นเดียวกัน ชื่ออื่น ๆ ที่เรียก เช่น "ปลาซิวข้างขวานภูเขา" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวข้างขวานเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวข้างเหลือง

ปลาซิวข้างเหลือง (Red-striped rasbora, Big scale rasbora, Glowlight rasbora) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาซิว ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาที่มีรูปร่างเรียวยาว แบนข้าง ท่อนหางยาวเรียว ท้องโต หัวเล็ก นัยน์ตาโต เกล็ดใหญ่ ครีบหลังใหญ่ ตำแหน่งของครีบหลังอยู่ระหว่างครีบื้องกับครีบก้น ครีบหางเว้าเป็นแฉก ลำตัวมีสีเขียวอ่อน มีแถบสีเหลืองทองและแถบสีดำตามยาวลำตัวตั้งแต่หัวจรดฐานครีบหาง ขอบของครีบหางมีสีดำจาง ๆ เป็นปลาที่อยู่รวมกันเป็นฝูง มีขนาดความยาวประมาณ 7.5 เซนติเมตร กินตัวอ่อนของแมลงและแพลงก์ตอนสัตว์เป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในประเทศไทยตอนล่าง แถบแม่น้ำสายบุรีและแม่น้ำปัตตานี ไปจนถึงแหลมมลายูจนถึงอินโดนีเซีย นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวข้างเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวควาย

ปลาซิวควาย (Silver rasbora, Yellowtail rasbora) เป็นปลาน้ำจืดจำพวกปลาซิวชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rasbora tornieri อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างยาวทรงกระบอก แบนข้างเล็กน้อย ปากเล็กไม่มีหนวด ตาโต ครีบเล็ก ครีบหางเว้าลึก มีเกล็ดใหญ่ ตัวมีสีเหลืองอ่อนอมทอง มีแถบสีเงินพาดตามความยาวกลางลำตัวจนถึงโคนหาง ครีบสีเหลืองอ่อนมีขอบสีคล้ำ มีขนาดประมาณ 6 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 10 เซนติเมตร อาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่ในแม่น้ำและแหล่งน้ำนิ่ง รวมถึงลำธารในที่สูงบางแห่ง พบในภาคใต้ ภาคกลาง ถึงแม่น้ำโขง มีพฤติกรรมชอบตอมตะไคร่หรือสาหร่ายบริเวณใต้แพหรือท่าน้ำ อาหารได้แก่ พืชน้ำ และแมลงน้ำขนาดเล็ก เป็นปลาเศรษฐกิจ นิยมบริโภคโดยปรุงสด ทำปลาร้าหรือปลาแห้ง และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย โดยที่ ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวควาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวควายข้างเงิน

ปลาซิวควายข้างเงิน (Silver rasbora) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rasbora argyrotaenia อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาซิวควาย (R. torieri) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันมาก เป็นปลาผิวน้ำ ชอบอยู่กันเป็นฝูง ลำตัวยาวเรียว ว่ายน้ำได้ปราดเปรียวว่องไว ข้างลำตัวมีแถบสีเงิน และสีเหลืองสดอมส้มพาดคู่ขนานไปกับแถบสีเงินตามยาวลำตัว พบในแหล่งน้ำนิ่งและน้ำไหล พบอยู่ทั่วทุกภาค กินอาหารได้แก่ ลูกน้ำ ตัวอ่อนของแมลง และแมลงน้ำ รวมทั้งแมลงที่บินตามผิวน้ำ มีขนาดความยาวตั้งแต่ 5 เซนติเมตร ถึง 17 เซนติเมตร นิยมบริโภคด้วยการปรุงสด ตากแห้งและทำปลาร้า และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวควายข้างเงิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวคาโลโครม่า

ปลาซิวคาโลโครม่า (Clown rasbora, Big-spot rasbora) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาซิว ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ลำตัวเรียวยาวมีสีน้ำตาลแดง มีจุดเด่น คือ จุดวงกลมสีดำ 2 จุด โดยเฉพาะจุดหลังที่เป็นจุดขนาดใหญ่ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร จัดเป็นปลาซิวที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง พบกระจายพันธุ์บนแผ่นดินใหญ่ของคาบสมุทรมลายู เช่น รัฐเซอลาโงร์, ตรังกานู, ปะหัง, ซาราวะก์ และยะโฮร์ในมาเลเซีย และหมู่เกาะต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย เช่น เกาะบอร์เนียว, สุมาตรา, จังหวัดกาลีมันตันตะวันออก และกาลีมันตันใต้ เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมเป็นฝูงในน้ำที่มีสภาพเป็นพรุ ที่มีเศษใบไม้และกิ่งไม้ร่วงอยู่ก้นพื้นน้ำ และปล่อยสารแทนนินออกมาทำให้สีของน้ำดูคล้ำ สภาพน้ำมีความเป็นกรดซึ่งอาจจะต่ำไปถึงขั้น 4 pH ได้ ซึ่งพื้นที่อาศัยในธรรมชาติในปัจจุบันกำลังถูกคุกคามจากการทำปาล์มน้ำมัน และสวนยางพารา นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวคาโลโครม่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวตาเขียว

ปลาซิวตาเขียว หรือ ปลาซิวเขียว (Yellow neon rasbora, Green neon rasboara) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาซิว ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวสั้นและแบนข้างมากกว่าปลาซิวทั่ว ๆ ไป ตามีขนาดกลมโต ไม่มีหนวด เกล็ดมีขนาดเล็กสีเงินแววาวอมเหลืองอ่อน ตามีสีเหลือบเขียวอ่อน ลำตัวค่อนข้างใส ครีบใส ครีบหางมีขอบสีคล้ำ มีขนาดโดยทั่วไป 2-3 เซนติเมตร มีพฤติกรรมรวมตัวกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ใกล้กับบริเวณผิวน้ำ โดยพบได้เฉพาะในลำธารในป่าดิบ ในบริเวณที่เป็นคุ้งน้ำใส เดิมทีเคยพบได้เฉพาะในพื้นที่จังหวัดระนองและตลอดจนภาคใต้ฝั่งอันดามันของไทย แต่ปัจจุบันได้มีการนำไปปล่อยในแม่น้ำแควน้อย, แม่น้ำซองกาเลีย และแม่น้ำกษัตริย์ อันเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างไทยกับพม่า ในแถบจังหวัดตากและกาญจนบุรี ซึ่งปลาสามารถปรับตัวให้อาศัยอยู่ได้และขยายเผ่าพันธุ์ได้เองในธรรมชาติ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวตาเขียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวซอ-บวา

ปลาซิวซอ-บวา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Sawbwa resplendens; ซอ-บวา เป็นคำภาษาพม่า แปลว่า "เจ้าฟ้า") เป็นปลาในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) และเป็นปลาชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Sawbwa ปลาซิวซอ-บวาเป็นปลาถิ่นเดียวในทะเลสาบอินเล รัฐฉาน ในประเทศพม่า ในอุณหภูมิน้ำค่อนข้างเย็น คือ ประมาณ 26-28 องศาเซลเซียส มีรูปร่างเรียวยาว แบนข้าง ส่วนหัวเล็ก ปากเล็กเป็นมุมแหลม หางคอดเรียว ใบหางรูปแฉกตัววี ครีบบางใส เมื่อโตเต็มที่ปลาซิวซอ-บวามีความยาวประมาณ 35 มิลลิเมตร เพศผู้มีสีเงินเหลือบฟ้า ส่วนหัวและปลายหางมีสีแดง เพศเมียและปลาที่ยังไม่โตเต็มวัยมีสีเทา มีจุดสีดำตรงช่องทวาร ไม่มีเกล็ด กินแพลงก์ตอน, ตัวอ่อนของแมลงน้ำและตะไคร่น้ำ เป็นอาหาร มีนิสัยรักสงบ ตื่นตกใจ ชอบอยู่รวมเป็นฝูง ในแวดวงปลาสวยงามในประเทศไทยมีผู้เพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว โดยเรียกกันว่า "ปลาซิวซับวา".

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวซอ-บวา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวแก้ว

ปลาซิวแก้ว (Thai river sprat) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) เป็นปลาขนาดเล็ก รูปร่างเพรียวยาว ตัวใส ที่ริมฝีปากมีขากรรไกรเป็นแผ่นแบน และมีเขี้ยวแหลมโค้งขนาดเล็กมาก เกล็ดบางมากและหลุดร่วงได้ง่าย ครีบก้นมี 2 ตอน ตอนท้ายเห็นเป็นติ่งเล็ก ๆ แยกออกมา ลำตัวใสสีอมเหลืองอ่อนมีแถบสีเงินคาดกลางลำตัว หัวมีสีคล้ำเล็กน้อยออกสีเขียวอ่อน มีขนาดลำตัวประมาณ 4 เซนติเมตร ใหญ่สุดพบประมาณ 6 เซนติเมตร พบเฉพาะในแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขาเท่านั้น นอกจากนี้ยังพบมากที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น, เขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์, เขื่อนสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี และเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ อาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่มากบริเวณผิวน้ำและกลางน้ำในแหล่งน้ำนิ่งขนาดใหญ่ กินอาหารโดยได้แก่ แมลง โดยการกระโดดงับขึ้นเหนือน้ำ และแพลงก์ตอนสัตว์ มีวิธีจับด้วยการยกยอและใช้ไฟล่อในเวลากลางคืน นิยมใช้บริโภคและเป็นปลาเศรษฐกิจในท้องถิ่นภาคอีสาน โดยนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลายชนิด เช่น ทำน้ำปลา, ปลาแห้ง, ปลาเจ่า เป็นต้น และได้ถูกส่งไปปล่อยในอ่างเก็บน้ำของมาเลเซียและอินโดนีเซียจนกลายเป็นปลาเศรษฐกิจของทื่นั่นด้วย ปลาซิวแก้ว มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกว่า ปลาแก้ว, ปลาแตบแก้ว หรือ ปลาแปบควาย เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวแก้ว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวแคระ

ปลาซิวแคระ เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Boraras (/บอรารัส/) อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) สกุลปลาซิวแคระนั้นถูกแยกออกมาจากสกุล Rasbora ในปี ค.ศ. 1993 โดยมอริส ก็อตลา นักมีนวิทยาชาวสวิส และชวลิต วิทยานนท์ นักมีนวิทยาชาวไทย โดยมีทั้งหมด 6 ชนิดในปัจจุบัน พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงหมู่เกาะต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย เป็นปลาที่มีขนาดลำตัวเล็กมาก โดยมีความยาวเฉลี่ยเพียง 1.3 เซนติเมตรเท่านั้น นิยมอยู่รวมกันเป็นฝูงเหมือนปลาซิวสกุลอื่น ๆ และบางครั้งอาจปะปนไปกับปลาซิวสกุลอื่นหรือสกุลเดียวกันแต่ต่างชนิดกันได้ มีลักษณะเด่น คือ ทุกชนิดจะมีสีบริเวณช่องท้อง และสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มที่มีลายจุดบนลำตัวและกลุ่มที่มีลายเส้นบนลำตัว ทุกชนิดนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ และสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวแคระ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวใบไผ่

ปลาซิวใบไผ่ หรือ ปลาจุกกี (ภาษาใต้) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Danio (/แดน-อิ-โอ/) จัดเป็นปลาซิวสกุลหนึ่ง ปลาในสกุลนี้ มีลักษณะสำคัญ คือ เป็นปลาขนาดเล็กที่มักอาศัยอยู่ตามน้ำตกและลำธารที่มีกระแสน้ำไหลแรง มีลำตัวที่สั้นและแบนข้าง เส้นข้างลำตัวสมบูรณ์ ช่วงท้องกลม บริเวณหน้านัยน์ตามีกระดูกที่เป็นเงี่ยงแหลม 1 ชิ้น ครีบหลังมีก้านครีบแขนง 11-15 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแขนง 11-18 ก้าน มีหนวดสั้นหรือบางชนิดไม่มี มีด้วยกันหลายชนิด พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย, ภูมิภาคอินโดจีน, แหลมมลายู จนถึงเกาะต่าง ๆ ในอินโดนีเซี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวใบไผ่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวใบไผ่มุก

ปลาซิวใบไผ่มุก หรือ ปลาซิวใบไผ่เล็ก หรือ ปลาซิวเจ็ดสี (Pearl danio, White-lined danio, Rearing danio) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาซิว อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเรียวยาวแบนข้าง หัวและจะงอยปากมน ปากกว้าง มีหนวดยาวที่ริมฝีปากบน 1 คู่ และที่มุมปาก 1 คู่ เกล็ดมีขนาดใหญ่มีลักษณะบางและหลุดง่าย ครีบหลังค่อนไปทางทางด้านหาง ครีบก้นสั้น ครีบหางเว้าตื้น เส้นข้างลำตัวไม่สมบูรณ์ ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยว 2 ก้าน และก้านครีบแขนง 7 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยว 3 ก้าน และก้านครีบแขนง 13 ก้าน มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 3.5 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางทั้งในแม่น้ำสาละวิน, แม่น้ำแม่กลอง, แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำโขง และแม่น้ำต่าง ๆ ในภาคใต้ รวมถึงแหล่งน้ำในป่าพรุด้วย โดยมักซ่อนอยู่ใต้ซากใบไม้ และพบเรื่อยไปจนถึงเกาะสุมาตรา ในประเทศอินโดนีเซีย เป็นปลาที่กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ เป็นปลาที่มีความสวยงามมากชนิดหนึ่ง จึงนิยมเก็บรวบรวมจากธรรมชาติเพื่อส่งขายเป็นปลาสวยงาม ซึ่งปัจจุบันสามารถที่จะเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวใบไผ่มุก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวใบไผ่ยักษ์

ปลาซิวใบไผ่ยักษ์ (Giant danio) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง จำพวกปลาซิว ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Devario (/เด-วา-ริ-โอ/) ปลาซิวในสกุลนี้ เคยถูกรวมเป็นสกุลเดียวกันกับปลาซิวสกุล Danio หรือ ปลาซิวใบไผ่ หรือ ปลาจุกกี มาก่อน แต่ปลาซิวที่อยู่ในสกุลปลาซิวใบไผ่ใหญ่นี้ จะมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่า โดยจะมีความยาวลำตัวเฉลี่ย 5-15 เซนติเมตร และมีลวดลายสีสันต่าง ๆ ในบริเวณข้างลำตัว โดยก็ถูกเรียกชื่อสามัญว่า "ปลาซิวใบไผ่" หรือ "ปลาซิวใบไผ่ใหญ่" พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำโดยเฉพาะแหล่งน้ำที่เป็นลำธารหรือน้ำตกในป่าดิบ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอาจจะมีบางชนิดที่เป็นชื่อพ้องกันหน้า 28-29, Genus Devario - ปลาซิวใบไผ่ใหญ่ (Giant danio), "Mini Attlas" โดย สุริศา ซอมาดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวใบไผ่ยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวใบไผ่แม่แตง

ปลาซิวใบไผ่แม่แตง (Fire bar danio) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาซิว อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะลำตัวแบนข้าง ส่วนหางเรียวยาว มีหนวดสั้น ๆ ที่มุมปาก ตัวผู้ในฤดูผสมพันธุ์มีสีสันสดใส โดยท้องและครีบก้นมีสีแดงอมส้ม แต้มบนลำตัวจะเห็นเด่นชัดขึ้น มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 4-5 เซนติเมตร โดยเป็นปลาที่ถูกค้นพบและอนุกรมวิธานไปเมื่อปี พ.ศ. 2540 จะพบแพร่กระจายพันธุ์เฉพาะในลำธารที่มีป่าปกคลุมเฉพาะลุ่มแม่น้ำแม่แตง และพื้นที่ ๆ รอบ ๆ ดอยหลวงเชียงดาว ในจังหวัดเชียงใหม่เท่านั้น จัดเป็นปลาที่พบเฉพาะถิ่นเท่านั้น โดยมีพฤติกรรมรวมกันอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ใกล้กับพื้นท้องน้ำ และแพร่กระจายพันธุ์ด้วยการวางไข่ติดกับเศษใบไม้ที่ร่วงลงพื้นน้ำ นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยมีราคาซื้อขายที่ค่อนข้างสูง ปัจจุบันกรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวใบไผ่แม่แตง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวใบไผ่ใหญ่

ปลาซิวใบไผ่ใหญ่ (Giant danio) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาซิว ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวแบนข้าง นัยน์ตากลมโต ปากเฉียงขึ้น ครีบหลังมีฐานยาวอยู่หน้าครีบก้น มีก้านครีบแขนง 14-15 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบแขนง 15-17 ก้าน ครีบหางเว้าไม่ลึกมากนัก มีเส้นข้างลำตัวสมบูรณ์ มีสีพื้นลำตัวสีเหลืองจาง ๆ มีแถบสีฟ้าพาดยาวตามลำตัวและลายสีเหลือง 2-3 ลายทับอยู่บนแถบสีฟ้า ก้านครีบหางบางส่วนมีแถบสีดำ มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 12.5 เซนติเมตร จัดเป็นปลาซิวขนาดใหญ่ พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่อินเดีย, เนปาล จนถึงอินโดนีเซีย ในประเทศไทยพบได้ในแหล่งน้ำที่เป็นน้ำตกหรือลำธารที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน, นครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวใบไผ่ใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวใบไผ่เขียว

ปลาซิวใบไผ่เขียว หรือ ปลาไส้ขม (Blue danio, Kerr's danio, Long-barbel danio) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาซิว อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะรูปร่างเรียวยาว ส่วนหัวเล็ก ปากกว้าง มีหนวดยาว 2 คู่ที่ขากรรไกรบน สีลำตัวสีเขียวเข้มถึงสีน้ำเงิน ด้านข้างลำตัวมีแถบสีเหลืองสดหรือสีส้มสลับดำ มีขนาดความยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร กระจายพันธุ์ตั้งแต่พื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย พบได้ที่อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา จนถึงแหลมมลายู และเกาะลังกาวี ในประเทศมาเลเซีย มีพฤติกรรมอยู่รวมตัวกันเป็นฝูง ในระดับใกล้พื้นท้องน้ำ มักซ่อนตัวอยู่ใต้เศษใบไม้ โดยพบในแหล่งน้ำประเภทน้ำตกหรือลำธารบนที่สูงหรือเป็นเนินเขา เป็นปลาประเภทที่พบไม่ชุกชุม นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ มีการเพาะขยายพันธุ์และรวบรวมจากแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อส่งออกไปขายยังต่างประเท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวใบไผ่เขียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซิวเจ้าฟ้า

ปลาซิวเจ้าฟ้า หรือ ปลาซิวเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amblypharyngodon chulabhornae อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีสีโปร่งใส เห็นแกนดำของกระดูกสันหลังชัดเจน ตาโต หลังค่อม ท้องเป็นสีเงินแวววาว บริเวณส่วนหัวด้านบนมีสีเขียวเหลือบทอง มีความยาวเต็มที่ 4 เซนติเมตร พบอาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ของภาคเหนือ ภาคกลาง และพบโดยมากในภาคอีสานของประเทศไทย กินตัวอ่อนของแมลงน้ำ และพืชหรือตะไคร่น้ำ เป็นอาหาร เป็นปลาที่ใช้บริโภคในท้องถิ่น มีรสชาติไม่ขม จึงนิยมทำเป็นปลาจ่อม มีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า "ปลาแตบแก้ว" เป็นปลาที่เพิ่งค้นพบใหม่ในปี พ.ศ. 2533 ที่บึงบอระเพ็ด และให้ชื่อสายพันธุ์เพื่อถวายเป็นพระเกียรติแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี นอกจากนี้แล้วยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซิวเจ้าฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซีลาแคนท์

ซีลาแคนท์ (Coelacanth, ดัดแปลงมาจากคำละตินสมัยใหม่ Cœlacanthus เมื่อ cœl-us + acanth-us จากภาษากรีกโบราณ κοῖλ-ος + ἄκανθ-α) เป็นชื่อสามัญของปลาออร์เดอร์หนึ่งที่รวมถึงสายพันธุ์ของปลาในปัจจุบันที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่รู้จักในปัจจุบันพวก gnathostomata นักวิทยาศาสตร์เคยเชื่อว่าปลาซีลาแคนท์มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปลาปอดและเตตราพอดที่เคยเชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปเมื่อครั้งสิ้นสุดยุคครีเทเชียส จนกระทั่งมีการพบปลา แลติเมอเรีย ครั้งแรกที่นอกชายฝั่งด้านตะวันออกของแอฟริกาใต้เลยแม่น้ำชาลัมนาออกมาในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาซีลาแคนท์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซีลาแคนท์มหาสมุทรอินเดียตะวันตก

ปลาซีลาแคนท์มหาสมุทรอินเดียตะวันตก (Latimeria chalumnae) เป็นปลาซีลาแคนท์หนึ่งในสองชนิดที่ยังมีชีวิตอยู่ ลำตัวมีสีน้ำเงิน เป็นที่รู้จักกันดีกว่าปลาซีลาแคนท์อีกชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซีลาแคนท์มหาสมุทรอินเดียตะวันตก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซีลาแคนท์อินโดนีเซีย

ปลาซีลาแคนท์อินโดนีเซีย (raja laut; /รา-จา-ลี-เจา/; แปลว่า: "เจ้าแห่งทะเล") เป็นหนึ่งในสองชนิดของปลาซีลาแคนท์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ลำตัวมีสีน้ำตาล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซีลาแคนท์อินโดนีเซีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาซ่ง

ปลาซ่ง หรือ ปลาซ่งฮื้อ หรือ ปลาหัวโต (Bighead carp) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) สกุล Hypophthalmichthys มีลักษณะแบบเดียวกับ ปลาลิ่น (H. molitrix) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน รวมทั้งมีขนาดและถิ่นกำเนิดในแหล่งเดียวกันอีกด้วย แต่ทว่าปลาซ่งจะมีส่วนหัวที่โตกว่าปลาลิ่น และส่วนท้องมนกลมไม่เป็นสันแคบเหมือนปลาลิ่น ถูกนำเข้ามาสู่ประเทศไทยราวปี พ.ศ. 2465-พ.ศ. 2475 โดยเรือสำเภาของชาวจีนจากเมืองซัวเถา ต่อมากรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีการฉีดฮอร์โมนและผสมเทียม ซึ่งปลาในธรรมชาติจะไม่วางไข่เอง ซึ่งจะทีชื่อเรียกรวม ๆ กันว่า "ปลาจีน" ปัจจุบัน ปลาในสกุล Hypophthalmichthys ทั้ง 2 ชนิด รวมทั้งปลาเฉา (Ctenopharyngodon idella) เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญของหลายประเทศในโลก รวมทั้งนิยมในการตกเป็นเกมกีฬา สำหรับในประเทศไทย เป็นที่นิยมรับประทานมากโดยเฉพาะชาวจีนหรือชาวไทยเชื้อสายจีน และนิยมเลี้ยงปลาทั้ง 3 ชนิดนี้รวมกันในบ่อเพื่อกินแพลงก์ตอนที่ทำให้น้ำเขียว และกินมูลจากปลาชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาซ่ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปล้องอ้อย

ปลาในทวีปอเมริกาใต้ ดูที่: ปลาปล้องอ้อย ปลาปล้องอ้อย เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมูแท้ (Cobitidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Pangio (/แพน-กิ-โอ/) มีรูปร่างโดยรวมคือ ลำตัวยาว แบนข้าง ท้องมน คอดหางกว้าง หัวเล็กปลายทู่ ปากเล็กอยู่ต่ำ ตาเล็ก มีกระดูกเป็นหนามอยู่ใต้ตา เกล็ดเล็กมาก ครีบหลังและครีบก้นอยู่ค่อนไปทางหาง ลำตัวมีสีต่าง ๆ ต่างออกไปตามแต่ละชนิด ตั้วแต่ มีลำตัวสีเหลืองทองมีแถบสีดำ ในชนิด P. anguillaris, สีน้ำตาลตลอดทั้งตัว ในชนิด P. oblonga และเป็นสีดำสลับกับสีเหลืองเป็นปล้อง ๆ ในชนิด P. kuhlii และ P. myersi มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 10 เซนติเมตร นิยมอยู่เป็นฝูงในลำธารน้ำตกหรือป่าพรุ หรือแม้แต่แหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น แม่น้ำ มีการเคลื่อนไหวที่แลดูคล้ายการเลื้อยของงู ออกหากินในเวลากลางคืน กินอาหารจำพวก แมลงน้ำหรือแพลงก์ตอนสัตว์น้ำ จึงทำให้ได้อีกชื่อว่า "ปลางู" ซึ่งในภาษาอีสานเรียกว่า "ปลาอาด" พบกระจายพันธุ์อินเดียจนถึงพม่า, ภูมิภาคอินโดจีน จนถึงหมู่เกาะซุนดา มีความสัมพันธ์ต่อมนุษย์ในแง่ของการเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในชนิด P. kuhlii และ P. myersi และใช้บริโภคในชนิด P. anguillaris ค้นพบครั้งแรกบริเวณลุ่มน้ำทางใต้ของประเทศไทย และประเทศมาเลเซีย ในขั้นแรกพบ 10 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปล้องอ้อย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปล้องอ้อย (อเมริกาใต้)

ปลาน้ำจืดที่เป็นปลาไทย ดูที่: ปลาปล้องอ้อย ปลาดินสอที่มีขนาดเล็กกว่านี้ ดูที่: ปลาดินสอ ปลาปล้องอ้อย หรือ ปลาดินสอ (Banded leporinus, Black-banded leporinus) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาคาราซิน (Characiformes) ในวงศ์ปลาปล้องอ้อย (Anostomidae) ปลาปล้องอ้อย มีรูปร่างกลมและเรียวยาวอย่างเห็นได้ชัดเจน มีจุดเด่น คือ มีลายสีดำพาดผ่านลำตัวในแนวตั้งเป็นปล้อง ๆ ราว 10 ปล้อง อันเป็นที่มาของชื่อเรียก บนพื้นลำตัวสีเหลืองสด มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 15 เซนติเมตร แพร่กระจายพันธุ์อยู่ในลุ่มแม่น้ำอเมซอนและสาขา ในทวีปอเมริกาใต้ เช่น แม่น้ำลาพลาตา ในกายอานา เป็นต้น โดยเป็นปลาที่ชนพื้นเมืองใช้รับประทานเป็นอาหาร และถูกนำเข้าไปในสหรัฐอเมริกา ในรัฐฟลอริดาและฮาวาย เป็นปลาที่อยู่รวมกันเป็นฝูง จัดเป็นปลาที่มีความปราดเปรียวว่องไวมาก สามารถกินได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น สาหร่าย, ตะไคร่น้ำ และสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นปลาที่มีความสวยงาม แปลกตาชนิดหนึ่ง จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยถือเป็นปลาที่มีอุปนิสัยก้าวร้าวพอสมควร และมีความปราดเปรียวว่องไวมาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปล้องอ้อย (อเมริกาใต้) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปล้องอ้อยคูลี่

ปลาปล้องอ้อยคูลี่ หรือ ปลางูคูลี่ (Kuhli loach) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมูแท้ (Cobitidae) มีลำตัวเรียวยาวคล้ายงู หัวเล็ก ตาเล็ก รูจมูกมีติ่งสั้น หัวและลำตัวมีลายปล้องสีดำบนพื้นเหลืองส้ม 11-12 บั้ง ลงมาถึงด้านท้องหรือรอบตัว ครีบใส โคนครีบหลังและครีบก้นมีสีดำ มีขนาดความยาวเต็มที่ไม่เกิน 12 เซนติเมตร มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ชอบมุดใต้กองใบไม้หรือกรวดหิน พบอาศัยอยู่ในลำธารที่มีกรวดและใบไม้ร่วงหนาแน่น เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วว่องไวมาก ตั้งแต่บริเวณน้ำตกจนถึงที่ราบต่ำและป่าพรุ กินสัตว์หน้าดินขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร พบชุกชุมในบางแหล่งน้ำ เช่น น้ำตกภาคตะวันออกของไทยแถบจังหวัดจันทบุรี และพบไปจนถึงมาเลเซียและอินโดนีเซีย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามและจับส่งออกไปขายยังต่างประเท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปล้องอ้อยคูลี่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปล้องทองปรีดี

ปลาปล้องทองปรีดี (Mini dragon loach, Dr.) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาค้อ (Balitoridae) มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายปลาไหล แต่ทว่าลำตัวแบนข้าง หัวทู่สั้น ตาเล็ก มีหนวด 2 คู่อยู่เหนือปาก และอีก 2 คู่อยู่ใต้ปาก ลำตัวมีสีเหลืองสลับดำเป็นปล้อง ๆ ดูแลสวยงาม มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 4 นิ้ว เป็นปลาที่เพิ่งค้นพบใหม่ของโลก พบที่ลำธารบนภูเขาสูงในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ที่เดียวในโลกเท่านั้น โดยอาศัยอยู่ในลำธารน้ำที่ไหลแรงและเย็น การศึกษาทางนิเวศวิทยาของปลาชนิดนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก เนื่องจากเป็นปลาชนิดใหม่และพบได้น้อย แต่เชื่อว่า ออกหากินในเวลากลางคืน เคลื่อนไหวได้ว่องไวมาก โดยกินอาหารได้แก่ แมลงน้ำ หรือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในลำธารเหมือนปลาชนิดอื่น ในวงศ์และสกุลเดียวกัน ถูกตั้งชื่อสายพันธุ์เพื่อเป็นเกียรติแก่ นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสของไท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปล้องทองปรีดี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปอมปาดัวร์

ปลาปอมปาดัวร์ (Pompadour, Discus) เป็นปลาน้ำจืดในสกุล Symphysodon (/ซิม-ฟี-โซ-ดอน/) ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ซึ่งเป็นปลาวงศ์ใหญ่ มีจำนวนสมาชิกที่หลากหลายมากกว่า 1,000 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปอมปาดัวร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปอมปาดัวร์น้ำตาล

ปลาปอมปาดัวร์น้ำตาล หรือ ปลาปอมปาดัวร์น้ำเงิน (Brown discus, Blue discus; หรือ Symphysodon aequifasciata haraldi) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) เป็นปลาปอมปาดัวร์ชนิดหนึ่ง ซึ่งในข้อมูลบางแหล่งจัดให้เป็นชนิดย่อยของปลาปอมปาดัวร์เขียว (S. aequifasciata) ปลาปอมปาดัวร์น้ำตาลมีลักษณะที่เห็นได้เด่นชัดคือ บริเวณกลางลำตัวไม่มีลวดลาย จะมีลายเฉพาะบริเวณส่วนหัว ครีบหลังกระโดงบนและล่าง ส่วนบริเวณกลางลำตัวจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลเข้ม หรือกระทั่งเข้มไปเป็นสีแดง ขึ้นอยู่กับแหล่งน้ำที่อาศัย นอกจากนี้แล้วบางตัวยังอาจมีลายบั้งสีดำเห็นเด่นชัดเช่นเดียวกับปลาปอมปาดัวร์เฮคเคล (S. discus) อีกด้วย ในอดีต ปลาปอมปาดัวร์น้ำตาล จะถูกแยกออกจากปลาปอมปาดัวร์น้ำเงิน แต่ในปัจจุบัน ได้มีนักมีนวิทยาบางคนได้เสนอให้รวมเป็นชนิดเดียวกัน (ดังนั้นจึงทำให้การจำแนกปลาปอมปาดัวร์เป็นชนิดต่าง ๆ จึงยังไม่มีข้อยุติ) โดยปลาปอมปาดัวร์น้ำเงิน เป็นปลาที่มีลายสีน้ำเงินหรือสีฟ้าขึ้นอยู่เกือบเต็มหรือเต็มลำตัว มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแหล่งน้ำที่อาศัย ปลาปอมปาดัวร์น้ำตาลนั้นเป็นต้นสายพันธุ์ของปลาปอมปาดัวร์ชนิดแรกที่ถูกนำมาเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ต่อมาได้ถูกพัฒนาสายพันธุ์จากการที่เป็นปลาป่ามาเป็นสีสันและลวดลายที่หลากหลายในปัจจุบัน โดยปลาปอมปาดัวร์น้ำตาลจะเป็นต้นสายพันธุ์ของ "ปลาปอมปาดัวร์ 5 สี" และปลาปอมปาดัวร์น้ำเงินเป็นต้นสายพันธุ์ของ "Red turquoise" หรือ "Blue turquoise" หรือในชื่อภาษาไทยว่า "ปลาปอมปาดัวร์ 7 สี" นั่นเอง ปลาปอมปาดัวร์น้ำเงิน นอกจากนี้แล้ว ปลาปอมปาดัวร์น้ำตาลยังมีชื่อเรียกอื่นในวงการปลาสวยงามในประเทศไทยว่า "ปลาป่าแดง" ซึ่งปลาในกลุ่มปลาป่าแดง จัดเป็นปลาปอมปาดัวร์ชนิดที่หาซื้อได้ง่ายที่สุด เพราะเป็นชนิดที่พบได้มากที่สุดในธรรมชาติ ปลาป่าแดงจึงมีราคาซื้อขายที่ย่อมเยาที่สุด นอกจากนี้แล้ว ปลาปอมปาดัวร์น้ำตาล ที่พบในแหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งมีสีสันหรือลวดลายแตกต่างออกไป จะมีชื่อเรียกทางการค้าต่างกันออกไป เช่น "อเลนคิวร์เรด" (Alenquer red) หมายถึง ปลาที่มาจากแม่น้ำอเลนคิวร์, "อิคาเรด" (Içá red) เป็นปลาปอมปาดัวร์น้ำตาลที่มีเส้นข้างลำตัวเส้นที่ 5 เป็นสีดำเข้มหรือเทาเข้มชัดเจนคล้ายกับปลาปอมปาดัวร์เฮคเคล แต่แถบแรกจะมีขนาดแคบกว่า แรกเริ่มปลาลักษณะนี้พบได้ในแม่น้ำอิคา ในประเทศเปรู แต่ปัจจุบันพบได้ในแหล่งน้ำอื่น ๆ ด้วย, "รอยัลบลู" (Royal blue) เป็นปลาปอมปาดัวร์น้ำเงินที่มีลวดลายขึ้นจนเต็มตัวเห็นได้ชัดเจน ลักษระเช่นนี้หาได้ยากเพราะส่วนใหญ่มักมีลายขึ้นเพียงบริเวณขอบด้านบนและด้านล่างของลำตัวเท่านั้น ทำให้ปลาปอมปาดัวร์รอยัลบลูมีราคาซื้อขายที่สูงมาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปอมปาดัวร์น้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปอมปาดัวร์เฮคเคล

ปลาปอมปาดัวร์เฮคเคล (Heckel discus, Red discus) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดเป็นปลาปอมปาดัวร์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะโดดเด่นที่แตกต่างจากปลาปอมปาดัวร์ชนิดอื่น ๆ คือ กลางลำตัวมีแถบสีดำในแนวตั้งข้างลำตัว 9 แถบ โดยแถบที่ 5 บริเวณกลางลำตัวจะเป็นแถบหนาใหญ่เห็นชัดเจนที่สุด และแถบแรกที่พาดบริเวณดวงตาและแถบสุดท้าย คือ แถบที่ 9 บริเวณโคนหางจะมีสีดำเข้มเช่นเดียวกัน แต่มีขนาดเล็กกว่า ปลาปอมปาดัวร์เฮคเคล จะพบในแหล่งน้ำที่น้ำมีสีชา หรือที่เรียกว่า "Black Water" ความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ของน้ำประมาณ 3.8-4.8 ซึ่งนับว่ามีความเป็นกรดสูง และปลาปอมปาดัวร์เฮคเคลเมื่อเทียบกับปลาปอมปาดัวร์ชนิดอื่นอีก 2 ชนิดนั้นจะมีขนาดเล็กกว่า โดยทั่วไปพฤติกรรมในธรรมชาติมักรวมกลุ่มเป็นฝูงขนาดใหญ่เฉพาะปลาปอมปาดัวร์เฮคเคลด้วยกัน นอกจากนี้แล้วในวงการปลาสวยงาม ปลาปอมปาดัวร์เฮคเคลยังสามารถแบ่งออกเป็นสายพันธุ์ย่อย ๆ ได้อีกจำนวนหนึ่งตามสีสรร และแหล่งน้ำที่พบ ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปอมปาดัวร์เฮคเคล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปอมปาดัวร์เขียว

ปลาปอมปาดัวร์เขียว (Green discus) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) เป็นปลาปอมปาดัวร์ชนิดหนึ่ง แม้จะมีชื่อว่าเขียว แต่ทว่าสีพื้นลำตัวของปลาปอมปาดัวร์เขียวมักออกไปทางโทนสีเขียวอมเหลือง และมีลักษณะที่แตกต่างจากปลาปอมปาดัวร์ชนิดอื่น ๆ ที่เห็นได้ชัดเจน คือ มีจุดสีแดงคล้ายสนิมขนาดเล็กขึ้นกระจายอยู่ตามลำตัว ซึ่งจุดเหล่านี้เป็นลักษณะที่พบได้บ่อยในปลาปอมปาดัวร์เขียวโดยปลาแต่ละตัวอาจจะมีจำนวนจุด และการกระจายมากน้อยแตกต่างออกไปตามแต่ละตัว แต่อย่างน้อยจะต้องมีปรากฏลักษณะจุดเช่นนี้บริเวณรอบครีบทวารเสมอ โดยปลาตัวใดที่มีจุดดังกล่าวมากและเห็นชัดเจน โดยที่มีลวดลายสีเขียวมรกตขึ้นชัดเจนตามบริเวณแนวครีบหลังและครีบท้องด้วย จะเรียกว่า "Red spotted green" ปลาปอมปาดัวร์เขียว พบในแหล่งน้ำที่เป็นน้ำสีชา หรือ "Black Water" เช่นเดียวกับปลาปอมปาดัวร์เฮคเคล (S. discus) แต่จะพบในสภาพที่มีความเป็นกรดเป็นด่าง หรือ pH น้อยกว่า คือ ประมาณ 5.0-6.0 จึงไม่พบว่าปลาปอมปาดัวร์ทั้งสองชนิดนี้อยู่ในแหล่งน้ำเดียวกันเลย นอกจากนี้แล้ว ปลาปอมปาดัวร์เขียวมีแหล่งกระจายพันธุ์เทียบกับปลาปอมปาดัวร์ชนิดอื่นแคบกว่า ดังนั้น จึงเป็นปลาที่ถูกจับนำมาขายในตลาดปลาสวยงามน้อยที่สุดในบรรดาปลาปอมปาดัวร์ทั้งหม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปอมปาดัวร์เขียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปอด

ปลาปอดในสวนสัตว์พาต้า ปลาปอด (Lungfish, Salamanderfish, Amphibious fish) เป็นปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่งที่อยู่ในชั้นย่อย Dipnoi เป็นปลาเพียงจำพวกเดียวในโลกที่ยังมีการสืบสายพันธุ์จนปัจจุบันนี้ที่หายใจด้วยอวัยวะที่คล้ายกับปอดของสัตว์ทั่วไป โดยไม่ใช้เหงือกเหมือนปลาชนิดอื่น ๆ ปลาปอดได้ชื่อว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิต เพราะเป็นปลาที่ไม่ได้เปลี่ยนรูปร่างมากนักจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยปลาปอดจัดอยู่ในชั้นใหญ่ Sarcopterygii ซึ่งจะมีลักษณะเด่น คือ มีพู่เนื้อหรือเนื้อเยื่อเป็นครีบ มีครีบหางเดี่ยว มีครีบ 2 คู่ มีเกล็ดแบบ Cosmoid ซึ่งแตกต่างไปจากปลาชนิดอื่น ๆ ในโลก ซึ่งปลาในกลุ่มนี้จะแยกออกได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ 1.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปอด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปอดออสเตรเลีย

ปลาปอดออสเตรเลีย หรือ ปลาปอดควีนส์แลนด์ (Australian lungfish, Queensland lungfish) เป็นปลากระดูกแข็งในชั้นปลาปอด (Dipnoi) ที่อยู่ในวงศ์ Ceratodontidae และในอันดับ Ceratodontiformes เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ยังคงสืบสายพันธุ์มาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งปลาปอดที่อยู่ในวงศ์นี้และอันดับนี้ มีความแตกต่างไปจากปลาปอดชนิดที่พบในทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้ที่อยู่ในอันดับ Lepidosireniformes พอสมควร เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงกับปลาปอดในยุคก่อนประวัติศาสตร์ราว 100 ล้านปีก่อน มากกว่า ซึ่งในอดีตมีปลาปอดที่อยู่ในวงศ์นี้มากถึง 7 ชนิด แต่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ซึ่งปลาปอดออสเตรเลียมีความแตกต่างจากปลาปอดในอันดับ Lepidosireniformes กล่าวคือ มีครีบอกและครีบบริเวณท้อง มีรูปทรงคล้ายใบพาย มีถุงลมที่ใช้ช่วยในว่ายน้ำและพยุงตัว 1 ถุง ซึ่งถุงลมนี้มีความสามารถที่จะแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กับออกซิเจนได้ แต่ไม่มีความสามารถที่จะสร้างเมือกมาปกคลุมลำตัวเพื่อช่วยในการจำศีลในฤดูแล้งได้ และอวัยวะที่ช่วยในการหายใจที่ทำหน้าที่คล้ายกับปอดของสัตว์บกก็มีเพียงชิ้นเดียว อีกทั้งยังมีรูปร่างที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ มีดวงตาที่กลมโตเห็นได้ชัดเจน เกล็ดมีขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน เป็นแบบ Cosmoid คือ เกล็ดลื่น ลักษณะเรียบ และมีขนาดใหญ่ ซึ่งไม่ปรากฏแล้วในปลาชนิดอื่นในปัจจุบัน ปลาปอดออสเตรเลีย ไม่สามารถที่อาศัยอยู่ใต้น้ำได้เป็นระยะเวลานานเท่าปลาปอดจำพวกอื่น โดยจะขึ้นมาฮุบอากาศหายใจเป็นระยะ ๆ ในช่วงฤดูแล้งที่แหล่งน้ำที่อาศัยแห้งขอด ปลาปอดออสเตรเลียจะอยู่นิ่ง ๆ ขึ้นมาฮุบอากาศหายใจเพียงครั้งละ 1-2 ครั้งต่อชั่วโมงเท่านั้น พบกระจายพันธุ์อยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นพื้นที่ ๆ มีคุณภาพน้ำในเกณฑ์ดี มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำสูง สภาพกระแสน้ำไหลเอื่อย ๆ พบในรัฐควีนส์แลนด์และนิวเซาท์เวลส์ในประเทศออสเตรเลียเพียงที่เดียวในโลกเท่านั้น กินอาหารจำพวกกบ, ลูกอ๊อด, ปลา, กุ้ง, ไส้เดือน, หอย, พืชน้ำ รวมถึงผลไม้ที่ตกลงมาจากต้นด้วย อีกทั้งยังสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าแบบอ่อน ๆ เพื่อค้นหาอาหารที่ซุกซ่อนอยู่ตามซอกหินได้อีกด้วย ขนาดลำตัวเมื่อโตเต็มที่ยาวได้มากกว่า 1.2 เมตร น้ำหนักกว่า 20 กิโลกรัม และเชื่อว่ามีอายุได้มากกว่า 70 ปี สถานะปัจจุบันของปลาปอดออสเตรเลีย นับว่าใกล้สูญพันธุ์จากแหล่งธรรมชาติมากแล้ว ได้รับการอนุรักษ์ตามกฎหมายของออสเตรเลีย อีกทั้งยังบมีชื่อติดอยู่ในบัญชีรายชื่อหมายเลข 2 (Appendix II) ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ (ไซเตส) ที่จะมีการค้าขายหรือครอบครองต้องได้รับการอนุญาตจากทางการเสียก่อน โดยได้รับการขึ้นทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1975 แต่ปัจจุบัน ได้มีการเพาะขยายพันธุ์ปลาปอดออสเตรเลียในบ่อเพาะเลี้ยงได้แล้ว ทำให้ปลาปอดออสเตรเลียกลายเป็นปลาสวยงามอีกชนิดหนึ่งของผู้ที่ชื่นชอบการเลี้ยงปลาตู้ แต่ทว่ามีราคาซื้อขายที่แพงมาก อีกทั้งลูกปลาเมื่อเกิดขึ้นมาใหม่ได้ระยะหนึ่ง จะทำการฝังชิพเพื่อระบุถึงตัวปลาด้วย และเมื่อมีการซื้อขายกันก็ต้องมีหนังสืออนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งปลาปอดออสเตรเลียมีนิสัยไม่ดุร้ายก้าวร้าวเหมือนเช่นปลาปอดที่พบในทวีปแอฟริกา ซึ่งผู้เลี้ยงสามารถให้กินอาหารสำเร็จรูปได้ โดยลูกปลาปอดออสเตรเลียที่เกิดใหม่จะไม่มีพู่เหงือกพิเศษเหมือนปลาปอดจำพวกอื่น และมีอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วมากในขวบปีแรก จากนั้นจะค่อย ๆ โตช้าลง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปอดออสเตรเลีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปอดอเมริกาใต้

ปลาปอดอเมริกาใต้ (South American lungfish, American mud-fish, Scaly salamander-fish) เป็นปลาปอดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lepidosiren paradoxa อยู่ในวงศ์ Lepidosirenidae จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุลนี้และวงศ์นี้ ปลาปอดอเมริกาใต้ มีลักษณะโดยรวมแล้วคล้ายกับปลาปอดที่พบในทวีปแอฟริกา (Protopterus spp.) แต่จะมีรูปร่างที่เพรียวยาว เมื่อยังเล็ก จะมีพู่เหงือกเหมือนสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกซาลาแมนเดอร์ ซึ่งจะใช้อวัยวะส่วนนี้ช่วยในการหายใจ จนกระทั่งอายุได้ราว 7 สัปดาห์ อวัยวะส่วนนี้จะหายไป และจะมีสีเหลืองเป็นจุดเป็นแต้มกระจายไปทั่วลำตัว แลดูสวยงาม ปลาปอดอเมริกาใต้จัดเป็นปลาปอดโลกใหม่ ที่มีพัฒนาการจากปลาปอดในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ไม่เหมือนปลาปอดโลกเก่าอย่าง ปลาปอดออสเตรเลีย (Neoceratodus forsteri) โดยจะมีถุงลมจำนวนหนึ่งคู่ มีอวัยวะที่ทำหน้าที่คล้ายปอดของมนุษย์หนึ่งคู่ มีครีบอกและครีบส่วนล่างเป็นเส้นยาวเห็นได้ชัดเจน โดยที่ไม่มีก้านครีบ ซึ่งครีบตรงส่วนนี้เมื่อขาดไปแล้ว สามารถงอกใหม่ได้ โตเต็มที่ประมาณ 125 เซนติเมตร มีอายุสูงสุดราว 8 ปี ตามีขนาดเล็ก ปลาตัวเต็มวัยมีลำตัวสีเทาคล้ำหรือสีดำ กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ ได้แก่ หอย, กุ้ง, ปลาขนาดเล็ก, แมลงน้ำ รวมถึงเห็ดรา ในขณะที่ยังเล็กจะกินอาหารจำพวกสัตว์เพียงอย่างเดียว พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำสาขาต่าง ๆ ที่เป็นสาขาของแม่น้ำอเมซอน เช่น แม่น้ำปารานา ขณะเดียวกันปลาปอดอเมริกาใต้ก็ตกเป็นอาหารของสัตว์ใหญ่กว่าชนิดอื่นด้วย สามารถดำรงชีวิตในแหล่งน้ำที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำได้เป็นอย่างดี เมื่อถึงฤดูแล้งที่น้ำแห้งขอด ปลาปอดอเมริกาใต้จะขุดหลุมลึกประมาณ 30-50 เซนติเมตร และจะใช้โคลนปิดปากหลุมไว้เพื่อการจำศีล ลดการเผาผลาญพลังงาน จนกว่าจะถึงฤดูฝนที่ปริมาณน้ำจะกลับมามากดังเดิม มีพฤติกรรมในการขยายพันธุ์ คือ พ่อแม่ปลาจะขุดหลุมลึกประมาณ 1.5 เมตร เพื่อสร้างเป็นรัง โดยที่ปลาตัวผู้จะทำหน้าที่ดูแลตัวอ่อน ตัวผู้จะเพิ่มปริมาณออกซิเจนในหลุม เพราะช่วงฤดูวางไข่ ครีบหางจะพัฒนาให้มีเส้นเลือดบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก เหงือกที่คล้ายโครงสร้างของขนนก ซึ่งจะทำหน้าที่ตรงข้ามกับเหงือก คือ จะทำหน้าที่ปล่อยออกซิเจนออกจากเลือด และรับคาร์บอนไดออกไซด์ และเนื้อเยื่อหายไปหลังจากช่วงสิ้นสุดฤดูกาลวางไข่ ปลาปอดอเมริกาใต้ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เป็นปลาที่มีนิสัยไม่ดุร้ายก้าวร้าวเหมือนปลาปอดที่พบในทวีปแอฟริกา จึงสามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าในตู้เลี้ยงได้เป็นอย่างดี โดยผู้เลี้ยงสามารถให้กินอาหารสำเร็จรูปได้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปอดอเมริกาใต้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปอดแอนเนคเทน

ปลาปอดแอนเนคเทน (West african lungfish) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Protopterus annectens อยู่ในวงศ์ปลาปอดแอฟริกา (Protopteridae) มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายปลาไหล มีลำตัวสีเทาหรือสีน้ำตาล มีลวดลายสีดำทั้งตัว แต่จะไม่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกันแบบปลาปอดเอธิโอปิคัส (P. aethiopicus) จะงอยปากจะยื่นยาวออกมาและเชิดขึ้น หัวมีลักษณะคล้ายงูเหลือมหรืองูหลาม เป็นปลาที่มีพละกำลังมาก ขนาดยาวเต็มที่ได้ถึง 1 เมตร จัดเป็นปลาปอดชนิดที่พบเห็นได้บ่อยและเป็นที่รู้จักดีที่สุด สามารถขุดรูจำศีลได้ในฤดูที่น้ำแล้ง มีพฤติกรรมรักสงบ แต่จะดุร้าย ก้าวร้าว สามารถขบกัดได้รุนแรงเมื่อหากินและเพื่อป้องกันตัว ปลาปอดแอนเนคเทนสามารถแบ่งออกเป็นชนิดย่อยได้อีก 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปอดแอนเนคเทน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปอดเอธิโอปิคัส

ปลาปอดเอธิโอปิคัส หรือ ปลาปอดลายหินอ่อน (Marbled lungfish, Leopard lungfish) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Protopterus aethiopicus อยู่ในวงศ์ปลาปอดแอฟริกา (Protopteridae) มีรูปร่างเรียวยาวคลายปลาไหล รูปร่างทั่วไปคล้ายปลาปอดแอนเนคเทน (P. annectens) แต่ปลาปอดเอธิโอปิคัสมีส่วนหัวที่กลมมนกว่า และมีลวดลายบนลำตัวเชื่อมติดกันและเรียวยาวคล้ายหินอ่อน ขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 2 เมตร หนักถึง 71 กิโลกรัม จัดว่าเป็นปลาปอดชนิดที่ความใหญ่ที่สุดในโลก พบอาศัยอยู่ในทะเลสาบวิกตอเรียและหนองน้ำ ทะเลสาบรอบ ๆ บริเวณทวีปแอฟริกาฝั่งตะวันออก ในฤดูร้อนที่หนองน้ำแห้งแล้ง สามารถขุดรูจำศีลได้นานถึง 1 ปี และสามารถอยู่บนพื้นดินที่ชุ่มชื้นได้นานถึง 3 ปี ปลาปอดเอธิโอปิคัสจะผสมพันธุ์กันในช่วงฤดูน้ำหลาก ปลาตัวเมียหลาย ๆ ตัว จะวางไข่ในโพรงเดียวกันได้ โดยที่ตัวผู้จะเป็นฝ่ายขุดและทำความสะอาดรัง ซึ่งตัวผู้เหล่านี้จะทำการปกป้องดูแลไข่ และตัวอ่อน อาหารที่สำคัญของปลาโตเต็มวัย และกลุ่มที่อยู่ในช่วงก่อนที่จะโตเต็มวัยนั้น จะเป็นพวกหอย แต่ในขณะที่ยังเป็นปลาวัยเล็กกว่า 35 เซนติเมตรจะกินแมลงเป็นสำคัญ ปลาปอดเอธิโอปิคัส สามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิดย่อยได้อีกตามลวดลาย ขนาด และสถานที่ที่พบ คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปอดเอธิโอปิคัส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าฟาฮากา

ปลาปักเป้าฟาฮากา (Fahaka pufferfish, the Nile puffer, Globe fish, Lineatus puffer; อาหรับ: فهقة) เป็นปลาปักเป้าชนิดหนึ่งที่อาศัยในน้ำจืด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tetraodon lineatus อยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) เป็นปลาปักเป้าที่มีรูปร่างอ้วนกลม ลำตัวยาว มีจุดเด่นคือ พื้นลำตัวสีเขียวเหลือบเหลืองมีลายพาดสีน้ำตาลขวางอยู่ตลอดทั้งลำตัว ซึ่งสีเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนไปตามอารมณ์ปลาและสภาพแวดล้อม ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร จัดเป็นปลาปักเป้าที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก ปลาปักเป้าเอ็มบู (T. mbu) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน มีถิ่นกำเนิดในลุ่มแม่น้ำไนล์ ในทวีปแอฟริกาทางตอนเหนือและตะวันตก แต่ทว่าลักษณะนิสัยนั้นต่างจากปลาปักเป้าเอ็มบู เพราะว่ามีนิสัยดุร้ายก้าวร้าวกว่ามาก ในลูกปลานิสัยจะยังไม่ก้าวร้าวเท่าปลาโต แต่จะค่อย ๆ เพิ่มความก้าวร้าวขึ้นตามอายุ ดังนั้น การเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ปลาปักเป้าฟาฮากาจะไม่สามารถเลี้ยงรวมกับปลาอื่น ๆ ได้เลย แม้จะเป็นปลาชนิดเดียวกันก็ตาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าฟาฮากา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้ากล่องดำลายจุด

ปลาปักเป้ากล่องดำลายจุด หรือ ปลาปักเป้ากล่องจุดขาว (Spotted boxfish, Pahu, White-spotted boxfish) ปลาปักเป้ากล่องชนิดหนึ่ง ลำตัวมีเกราะหุ้มเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูในแนวตัดขวาง ปากมีขนาดใหญ่และมีฟันซี่เล็ก ๆ ครีบหางใหญ่ ส่วนครีบอื่น ๆ เล็กเหมือนปลาปักเป้าทั่วไป มีลำตัวสีดำ ด้านหลังมีจุดกลมสีขาว ด้านข้างสีคล้ำ มีลายเป็นตาข่ายสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน และสีเหลือง ครีบหางมีจุดดำ ปลาปักเป้ากล่องดำลายจุด ใน 2 เพศสามารถแยกแยะได้ด้วยตาเปล่าได้ง่าย เริ่มต้นวงจรชีวิตโดยการเป็นปลาเพศเมียที่มีลวดลายดังกล่าว ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเพศผู้ หรือเมื่อโตขึ้น โดยเริ่มจากบริเวณส่วนหน้า ก่อนจะมีพื้นข้างลำตัวเป็นสีน้ำเงินประเหลืองทั้งตัว คงสีพื้นดำจุดขาวไว้เฉพาะบริเวณส่วนหลังเท่านั้น มีขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 40 เซนติเมตร กระจายพันธุ์ในแนวปะการังตอนลึกของมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย จัดเป็นปลาที่พบได้น้อย กินสาหร่ายและสัตว์น้ำขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ ที่ไม่มีกระดูกสันหลังที่หลบซ่อนหรือเกาะติดกับหลืบหินปะการังเป็นอาหาร รวมทั้งฟองน้ำด้วย ปกติจะอาศัยอยู่ตามลำพัง ในน่าน้ำไทยพบเฉพาะจุดในฝั่งทะเลอันดามันเท่านั้นหน้า 174, "คู่มือปลาทะเล" โดย ชวลิต วิทยานนท์ ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้ากล่องดำลายจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้ากล่องเหลืองลายจุดดำ

ปลาปักเป้ากล่องเหลืองลายจุดดำ หรือ ปลาปักเป้ากล่องจุดเหลือง (Yellow boxfish, Cubicus boxfish) เป็นปลาปักเป้าชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาปักเป้ากล่อง (Ostraciidae) ลำตัวมีเกราะหุ้มเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูในแนวตัดขวาง ปากมีขนาดใหญ่และมีฟันซี่เล็ก ๆ ครีบหางใหญ่ แต่ครีบอื่น ๆ เล็ก เหมือนปลาปักเป้าชนิดอื่นทั่วไป ลำตัวเป็นสีเทาและมีลายสีเหลืองตามแนวเกล็ด มีจุดกลม ๆ เล็ก ๆ สีดำประค่อนข้างมากโดยเฉพาะที่ส่วนหัว ปลาที่ยังเป็นปลาขนาดเล็กจะมีลำตัวสีเหบืองสดและมีจุดสีดำเข้มกว่าปลาที่โตแล้ว มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 35 เซนติเมตร เป็นปลาที่หากินอยู่ตามลำพัง โดยว่ายน้ำช้า ๆ ในแนวปะการังใกล้ชายฝั่ง กินอาหารซึ่งเป็นสัตว์น้ำขนาดเล็ก ๆ ตามโพรงหินของปะการัง ปลาขนาดใหญ่ พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้ง 2 ฝั่ง จัดเป็นปลาที่พบบ่อย เป็นปลาทะเลอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้ากล่องเหลืองลายจุดดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้ายักษ์

ำหรับปลาปักเป้ายักษ์ที่พบในน้ำจืด ดูที่: ปลาปักเป้าเอ็มบู ปลาปักเป้ายักษ์ หรือ ปลาปักเป้าลายเสือ หรือ ปลาปักเป้าก้นดำ (Starry blowfish, Starry toadfish, Star puffer) เป็นปลาปักเป้าชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีรูปร่างยาว หัวโต ลำตัวค่อนข้างกลม ส่วนท้ายแบนข้างเล็กน้อย ลำตัวสีขาว มีลายเลอะสีเทาและจุดสีดำเล็ก ๆ กระจายทั่วตัว มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 120 เซนติเมตร นับเป็นปลาปักเป้าชนิดที่ใหญ่ที่สุดที่พบได้ในประเทศไทย เป็นปลาที่หากินในระดับใกล้กับหน้าดิน อาศัยอยู่ตามแนวปะการัง กินสัตว์น้ำเล็ก ๆ ตามหน้าดินเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในแถบอินโด-แปซิฟิก ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน แต่เป็นปลาที่ไม่พบบ่อยมากนัก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้ายักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าสมพงษ์

ปลาปักเป้าสมพงษ์ (Redeye puffer, Sompong's puffer) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีพื้นลำตัวสีเทาอมเขียว ใต้ท้องสีขาว มีลวดลายสีเทาเข้มขนาดใหญ่พาดบนแผ่นหลังและข้างลำตัว สามารถปรับเปลี่ยนสีลำตัวให้เข้มหรือจางได้ตามสภาพแวดล้อม ตามีสีแดงสามารถกรอกกลิ้งไปมาได้ ตัวผู้และตัวเมียความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยปลาตัวผู้จะมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่า ตัวสีแดง ขณะที่ตัวเมียมีขนาดเล็ก มีลำตัวสีเขียวมีลาดพาดตามลำตัว มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 3 นิ้ว พบกระจายอยู่ทั่วไปตามแม่น้ำลำคลองทั่วประเทศ โดยมักหลบอยู่ใต้กอผักตบชวา หรือในบริเวณน้ำกร่อยตามชายฝั่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยพบได้แม้แต่ในพื้นที่ฝั่งธนบุรีของกรุงเทพมหานคร เป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าว มักกัดกันเองเสมอ ๆ ปัจจุบัน สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในตู้เลี้ยง โดยจะวางไข่ในน้ำกร่อย ปลาชนิดนี้ถูกค้นพบโดยคนไทย จึงตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ คือ นายสมพงษ์ เล็กอารีย์ ซึ่งเป็นนักธุรกิจส่งออกปลาสวยงาม นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม และมีชื่อเรียกอื่น เช่น "ปลาปักเป้าตาแดง" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าสมพงษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าหางวงเดือน

ปลาปักเป้าหางวงเดือน (Ocellated pufferfish; Kottelat, M. (2013): The Raffles Bulletin of Zoology, 2013, Supplement No. 27: 1–663.) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) เป็นปลาปักเป้าที่มีขนาดเล็ก ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย ครีบเล็ก ลำตัวสีคล้ำหรือเขียวขี้ม้า มีจุดประสีเหลืองหรือสีจางทั่วตัว หลังมีลายพาดสีคล้ำ ข้างลำตัวมีดวงสีดำใหญ่ ตาสีแดง ครีบหางมีขอบสีแดงหรือชมพู มีขนาดประมาณ 4-5 เซนติเมตร จัดเป็นเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Leiodon พบอาศัยอยู่ตามลำธารและแม่น้ำในภาคตะวันตกตั้งแต่จังหวัดแม่ฮ่องสอนไปจนถึงภาคใต้ โดยหลบซ่อนอยู่ตามซอกหินหรือใบไม้ใต้น้ำ อาหารได้แก่ ลูกปลา, ลูกอ๊อด, ปู, หอย และกุ้งขนาดเล็ก เป็นปลาที่ไม่พบบ่อยมากนัก นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลาปักเป้าแคระ" หรือ "ปลาปักเป้าเขียวจุด" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าหางวงเดือน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าหนามทุเรียน

ปลาปักเป้าหนามทุเรียน (Porcupinefishes, Balloonfishes) เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งในอันดับปลาปักเป้า (Tetraodontiformes) ในวงศ์ปลาปักเป้าฟัน 2 ซี่ (Diodontidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Diodon (/ได-โอ-ดอน/) ปลาปักเป้าหนามทุเรียนนั้น มีรูปร่างคล้ายปลาปักเป้าทั่วไป แต่มีรูปร่างเพรียวยาว หนังหยาบหนา และมีหนามแข็งชี้ไปข้างท้ายลำตัวตลอดทั้งตัว ซึ่งหนามนี้จะตั้งแข็งตรงเมื่อพองตัวกลมคล้ายลูกบอล เพื่อใช้ในการป้องตัวตัวเองจากนักล่าขนาดใหญ่กว่าในธรรมชาติ เช่น ปลาฉลาม ครีบหางเป็นทรงกลม มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 60 เซนติเมตร มีลักษณะเด่น คือ มีฟันที่แหลมคมจำนวน 2 ซี่ภายในช่องปากใช้สำหรับขบกัดสัตว์มีเปลือกต่าง ๆ เป็นอาหาร เช่น กุ้ง, ปู, หอยฝาเดี่ยว หรือหอยสองฝา เป็นต้น ปลาปักเป้าหนามทุเรียนมีลักษณะแตกต่างไปจากปลาปักเป้าสกุลอื่นในวงศ์เดียวกัน คือ ลักษณะของหนามบนลำตัว มีทั้งหมด 5 ชนิด (ดูในเนื้อหา) กระจายพันธุ์ไปในทะเลและมหาสมุทรต่าง ๆ ทั่วโลก เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามตามบ้านหรือในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และนิยมนำมาสตัฟฟ์เป็นเครื่องประดับโดยเฉพาะเมื่อยามพองตัว แต่ถือเป็นปลาที่มีอันตราย หากได้รับประทานเข้าไป เนื่องจากมีสารพิษชนิด เตโตรโดท็อกซิน และซิกัวเตราอย่างรุนแรง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าหนามทุเรียน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าหนามทุเรียนหนามยาว

ปลาปักเป้าหนามทุเรียนหนามยาว หรือ ปลาปักเป้าสามแถบ (long-spine porcupinefish, spiny balloonfish, freckled ballonfish) เป็นปลาปักเป้าชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟัน 2 ซี่ (Diodontidae) มีตัวค่อนข้างกลมและแบนทางด้านบนเล็กน้อย หัวขนาดใหญ่เรียวเล็กลงไปทางหาง ตากลมโตกลอกไปมาได้และมีหนังตายื่นลงมาเป็นติ่ง ปากหนามีฟันเชื่อมต่อกัน ครีบหูมีขนาดใหญ่คลี่ออกคล้ายพัด ครีบหลังมีอันเดียวอยู่เยื้องไปทางหาง ไม่มีครีบท้อง ครีบทวารอยู่ตรงกับครีบหลัง ครีบหางโค้งกลม ขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 50 เซนติเมตร ผิวลำตัวเป็นหนังย่นและมีหนามแข็งพับลู่ไปทางหาง ซึ่งเมื่ออยู่ในยามปกติก็เห็นได้ชัดเจน แต่จะตั้งขึ้นเมื่อตกใจหรือถูกรบกวนและพองตัวได้ พื้นลำตัวมีสีน้ำตาลเขียว มีลายจุดสีดำเป็นปื้นตามลำตัวและบนหลัง ซึ่งเมื่อปลาโตขึ้นจุดเหล่านี้จะค่อย ๆ จางไป จัดเป็นปลาปักเป้าที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในแนวปะการังเขตร้อนและเขตอบอุ่น ตั้งแต่ฟลอริดา, บาฮามาส, บราซิล, หมู่เกาะกาลาปากอส, เกาะอีสเตอร์ รอบ ๆ แอฟริกาใต้, เรอูนียง, ทะเลแดง, มาดากัสการ์, มอริเชียส, หมู่เกาะฮาวาย, อ่าวเบงกอล, อินโด-แปซิฟิก, ทะเลอันดามัน, อ่าวไทย, อ่าวตังเกี๋ย, ทะเลเหลือง, ทะเลจีนใต้, ทะเลจีนตะวันออก พบไปจนถึงทะเลญี่ปุ่น, ทะเลฟิลิปปิน และเกรตแบร์ริเออร์รีฟ เป็นปลาที่ไม่ใช้เนื้อในการบริโภค แต่นิยมทำมาเป็นเครื่องประดับ โดยนำมาสตัฟฟ์เมื่อเวลาที่พองตัวออก และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าหนามทุเรียนหนามยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าหนามทุเรียนด่างดำ

ปลาปักเป้าหนามทุเรียนด่างดำ (Black-blotched porcupinefish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสองซี่ (Diodontidae) เป็นปลาปักเป้าหนามทุเรียนชนิดหนึ่ง มีรูปร่างทรงกลม มีขากรรไกรและฟันแบบไม่ผ่าซีก ผิวหนังมีหนามสั้น ที่บริเวณใต้ตามีหนามชิ้นหนึ่งชี้ลงด้านล่าง ครีบทุกครีบมีขนาดเล็กปลายมน ลำตัวสีเทาอมเหลือง มีจุดเด่น คือ มีดวงสีดำขนาดใหญ่ที่มีขอบขาวทั่วตัว ครีบทุกครีบมีสีเหลืองใสโปร่งแสง ใต้ท้องสีขาว มีความยาวเต็มที่ประมาณ 30-45 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุด 65 เซนติเมตร อาศัยอยู่ตามโพรงหินและวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำ พบกระจายพันธุ์ในแถบอินโด-แปซิฟิก จากแอฟริกาใต้จนถึงทะเลญี่ปุ่น จนถึงตอนใต้ของออสเตรเลีย และหมู่เกาะมาร์แชลล์ ในน่านน้ำไทยพบได้ชุกชุม ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน มักพบตามชายฝั่งและแนวปะการัง กินอาหารจำพวก สัตว์น้ำขนาดเล็กที่อยู่บริเวณพื้นทะเล เป็นปลาที่มีพิษ เนื้อใช้รับประทานไม่ได้ นิยมสตั๊ฟฟ์ทำเป็นเครื่องประดับ และเลี้ยงแสดงในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าหนามทุเรียนด่างดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าหน้ากาก

ปลาปักเป้าหน้ากาก หรือ ปลาปักเป้าแพนด้า (Masked puffer, Panda puffer) ปลาปักเป้าชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับปลาปักเป้าหน้าหมา (A. nigropunctatus) ซึ่งอยู่ร่วมสกุลเดียวกัน คือ มีลำตัวสีเทา-น้ำตาล มีจุดสีดำกระจัดกระจายอยู่ทั่วลำตัว มีแต้มสีเข้มรอบ ๆ ปาก แต่ปลาปักเป้าหน้ากากมีแต้มสีดำคล้ายหน้ากากพาดอยู่บริเวณ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ พบกระจายพันธุ์ในแนวปะการังในทะเลแดงเท่านั้น คู่ปลาปักเป้าหน้ากากในแนวปะการังที่ทะเลแดง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามหรือจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Siliotti, A. (2002) fishes of the red sea Verona, Geodia ISBN 88-87177-42-2.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าหน้ากาก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าหน้าหมา

ปลาปักเป้าหน้าหมา (Blackspotted puffer, Dog-faced puffer, Brown puffer) เป็นปลาปักเป้าทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Arothron nigropunctatus ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีลำตัวสีน้ำตาลเทา มีจุดสีดำกระจัดกระจายอยู่ทั่วลำตัว มีแต้มสีเข้มรอบ ๆ ปาก จะงอยปากยื่นยาวออกมาดูคล้ายปากของสุนัขหรือหมา อันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีความยาวเต็มที่ประมาณ 33 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ได้กว้างขวาง ตั้งแต่ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกไปจนถึงหมู่เกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิก จัดเป็นปลาปักเป้าที่เคลื่อนไหวได้อย่างว่องไวและไม่ค่อยจะอยู่นิ่ง อาหารหลักของปลาปักเป้าหน้าหมา มิใช่ครัสเตเชียนหรือหอยเหมือนปลาปักเป้าจำพวกอื่น แต่เป็นปะการังในสกุลปะการังเขากวาง (Acropora spp.) สาหร่ายและฟองน้ำชนิดต่าง ๆ เป็นปลาที่มีอุปนิสัยไม่ดุร้ายก้าวร้าว แต่กินปลาขนาดเล็กและสัตว์น้ำอย่างอื่นเป็นอาหาร นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามตามบ้านเรือนทั่วไปหรือในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ โดยปกติแล้ว ปลาปักเป้าชนิดนี้มีสีเทา แต่บางตัวจะมีสีที่แปลกไป คือ สีเหลือง ซึ่งเรียกกันว่า "ปลาปักเป้าทอง" ซึ่งสีเหลืองนี้จะมีมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันออกไป บางตัวยังมีสีขาวปะปนอยู่เป็นปื้น ๆ อีกด้วย ลักษณะการผิดเพี้ยนของสีสันนี้เป็นลักษณะที่พบได้น้อย ทำให้ปลาปักเป้าหน้าหมาลักษณะนี้มีราคาซื้อขายกันสูงในตลาดค้าปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าหน้าหมา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าอ้วน

ปลาปักเป้าอ้วน (Fat puffer) เป็นสกุลของปลาปักเป้าสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Arothorn (/อะ-โร-ทรอน/) จัดอยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีลักษณะ ลำตัวป้อม หัวทู่ จมูกแต่ละข้างมีปลายแยกออกเท่ากันเป็นเส้นคล้ายหนวดหรือเป็นเส้นแบน ๆ 2 เส้น จะงอยปากค่อนข้างยาว มีช่องระหว่างตากว้าง ครีบหลัง ครีบหู และครีบก้นมีลักษณะกลม ครีบหางตัดตรง ปลายจมูกเป็นแท่งคล้ายหนวด มีเส้นข้างลำตัว 1 เส้น มีหนามขนาดเล็กทั่วตัว ยกเว้นรอบปากและคอดหาง ปลาปักเป้าในสกุลนี้ จัดเป็นปลาปักเป้าสกุลที่มีสมาชิกมากที่สุดสกุลหนึ่งในวงศ์นี้ หลายชนิดนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามหรือจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เป็นปลาปักเป้าที่อาศัยอยู่ในทะเลทั้งหมด โดยมีชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ A. stellatus ที่ยาวได้ถึง 48 นิ้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าอ้วน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าจมูกแหลม

ปลาปักเป้าจมูกแหลม หรือ ปลาปักเป้าหนู (Sharpnose puffer, Toby) เป็นสกุลของปลาปักเป้าสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Canthigaster (/แคน-ทิ-แกส-เตอร์/) จัดอยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีลักษณะสำคัญ คือ มีลำตัวแบนข้าง จะงอยปากยาวกว่าปลาปักเป้าสกุลอื่น ปากเล็กแหลมยื่นยาว ช่องเปิดเหงือกแคบ คอดหางแผ่แบนออกเป็นแผ่นกว้าง ลำตัวมีหนามขนาดเล็ก ไม่มีเส้นข้างตัว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าจมูกแหลม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าจุดส้ม

ปลาปักเป้าจุดส้ม หรือ ปลาปักเป้าจุดแดง ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในอันดับปลาปักเป้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pao abei ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายปลาปักเป้าดำ (P. cochinchinensis) และปลาปักเป้าปากขวด (P. cambodgiensis) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน แต่ปลาปักเป้าจุดส้มนั้นมีลักษณะเด่น คือ มีจุดสีแดงหรือสีส้มกระจายอยู่ทั่วตัว อันเป็นที่มาของชื่อ ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร พบกระจายอยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในภาคกลางและลุ่มแม่น้ำโขงในภาคอีสานของประเทศไทย จัดเป็นปลาปักเป้าอีกชนิดหนึ่งที่มีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว ชอบกัดกินเกล็ดหรือครีบของปลาชนิดอื่นที่ติดเบ็ดหรืออวนของชาวประมง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าจุดส้ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าจุดดำ

ปลาปักเป้าจุดดำ หรือ ปลาปักเป้าเขียวจุด (Green spotted puffer) เป็นปลาปักเป้าชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tetraodon nigroviridris ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีรูปร่างกลมป้อม หัวท้ายเรียว ปากเล็ก ตาโต ด้านหลังและด้านท้องมีผิวสากเป็นหนามเล็กละเอียด ด้านท้องนิ่มขยายตัวได้มาก ครีบหลังเล็กเช่นเดียวกับครีบก้น พื้นลำตัวเป็นสีเหลืองสด ท้องสีขาว มีจุดกลมสีดำกระจายอยู่ทั่วตัว มีขนาดความยาวเต็มที่ 17 เซนติเมตร พบกระจายอยู่ทั่วไปในพื้นที่น้ำกร่อยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้จนถึงเอเชียตะวันออก ในประเทศไทยพบมากบริเวณป่าชายเลน นิยมอยู่รวมกันเป็นฝูง เป็นปลาชนิดหนึ่งที่สามารถปรับตัวไดทั้งในน้ำเค็ม, น้ำกร่อยและน้ำจืด มักนิยมถูกจับมาเป็นปลาสวยงาม มีชื่อเรียกในแวดวงปลาสวยงามว่า "ฟิชโช่" นับเป็นปลาปักเป้าชนิดหนึ่งที่มีนิสัยไม่ดุร้ายเมื่อเทียบกับปลาปักเป้าชนิดอื่น ๆ แต่ก็ไม่ควรที่จะเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าจุดดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าทอง

ปลาปักเป้าทอง (Bronze puffer, Goldern puffer, Avocado puffer) เป็นปลาน้ำจืดและน้ำกร่อย ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีลำตัวแบนข้างมากกว่าปลาปักเป้าในสกุล Tetraodon อย่างเห็นได้ชัด และมีดวงตาที่โตกว่า ครีบหลังและครีบก้นใหญ่ ครีบหางปลายตัดตรง มีลำตัวสีทองเหลือบเขียวแวววาว โดยที่ไม่มีลวดลายหรือจุดใด ๆ ทั้งสิ้น หลังมีสีเทาเงิน ใต้ท้องสีขาว มีหนามสั้น ๆ ฝังอยู่ใต้ผิว และสามารถสะบัดครีบว่ายน้ำได้เร็วกว่าปลาปักเป้าในสกุลอื่น อีกทั้งยังสามารถพองลมได้ใหญ่กว่าด้วย เดิมเคยถูกจัดว่าเป็นชนิดเดียวกับ Chonerhinos naritus แต่สามารถจัดแนกออกได้จากสัณฐานวิทยา จึงแยกออกมาอยู่ในสกุลนี้ตั้งแต่ปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าทอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าทอง (สกุล)

ปลาปักเป้าทอง (Green puffer, Golden puffer) เป็นสกุลของปลาปักเป้า ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Auriglobus (/ออ-ริ-โกล-บัส/) มีรูปร่างคือ ลำตัวแบนข้างและตาโตมากกว่าสกุล Tetraodon มาก พื้นลำตัวเป็นสีเหลืองทองเหลือบเขียวแวววาว โดยที่ไม่มีลวดลายใด ๆ ทั้งสิ้น ใต้ท้องสีขาว ครีบหลังและครีบก้นใหญ่ ครีบหางปลายตัดตรง ทำให้ว่ายน้ำได้รวดเร็วกว่า อีกทั้งยังพองลมได้ใหญ่กว่าด้วย มักหากินในระดับผิวน้ำจนถึงกลางน้ำ พบอาศัยอยู่บริเวณปากแม่น้ำ เป็นสกุลปลาที่มีขนาดเล็ก ใหญ่ที่สุดประมาณ 20 เซนติเมตร เล็กที่สุดเพียง 7 เซนติเมตร เท่านั้น เดิมเคยถูกจัดให้อยู่ในสกุล Chonerhinos แต่พบมีความแตกต่างจากหลักสัณฐานวิทยา จึงได้ย้ายมาอยู่ในสกุลปัจจุบันตั้งแต่ปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าทอง (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าทองแม่น้ำโขง

ปลาปักเป้าทองแม่น้ำโขง (Greenbottle pufferfish) เป็นปลาปักเป้าชนิด ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีรูปร่างเหมือนปลาปักเป้าชนิดอื่นในวงศ์นี้ทั่วไป แต่ทว่ามีรูปร่างที่เพรียวยาวกว่าและมีสีของลำตัวออกไปทางเหลือบเขียวมากกว่า หลังมีสีเทาเงิน ท้องสีขาวและมีหนามเล็ก ๆ ฝังอยู่ใต้ผิว ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร พบอาศัยอยู่ในลุ่มน้ำโขงของภาคอีสานและภาคใต้ฝั่งตะวันออกของไทย มีนิสัยดุร้ายชอบกัดกินเกล็ดปลาตัวอื่นที่ติดแหของชาวประมง นับเป็นปลาปักเป้าในสกุลนี้ 1 ใน 2 ชนิด ที่พบได้ในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าทองแม่น้ำโขง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าท้องตาข่าย

ปลาปักเป้าท้องตาข่าย (Kingkong puffer, Humpback puffer; Kottelat, M. (2013): The Raffles Bulletin of Zoology, 2013, Supplement No. 27: 1–663.) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาปักเป้า ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีลักษณะเด่น คือ หนังหนา หนามค่อนข้างใหญ่ และมีตาโตมาก สีลำตัวออกไปทางสีน้ำตาลแดง ใต้ท้องสีขาวและมีลวดลายคล้ายตาข่ายและจุดดำปกคลุมไปทั่ว อีกทั้งเวลาพองลมและพองได้กลมใหญ่มากคล้ายลูกบอล จัดเป็นปลาปักเป้าอีกชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ โดยขนาดใหญ่ที่สุดพบยาวถึง 19.4 เซนติเมตร ในประเทศไทยพบได้เฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีรายงานจากทะเลสาบสงขลา เป็นปลาที่พบชุกชุมในบางฤดูกาลบริเวณลำคลองรอบ ๆ ป่าพรุโต๊ะแดง ที่จังหวัดนราธิวาส และพบเรื่อยไปจนถึงมาเลเซียจนถึงอินโดนีเซีย โดยมีการตั้งชื่อสายพันธุ์ตามชื่อเมืองที่ค้นพบครั้งแรก คือ เมืองปาเล็มบัง ในเกาะสุมาตราใต้ ปลาปักเป้าท้องตาข่าย เป็นปลาปักเป้าอีกชนิดหนึ่งที่มีนิสัยไม่ก้าวร้าวดุร้าย อีกทั้งมีสีสันและลวดลายที่สวยงาม จึงเป็นปลาปักเป้าอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าท้องตาข่าย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าขน

ปลาปักเป้าขน (Hairy puffer; Kottelat, M. (2013): The Raffles Bulletin of Zoology, 2013, Supplement No. 27: 1–663.) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าขน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าดำ

ปลาปักเป้าดำ ปลาปักเป้าน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pao cochinchinensisKottelat, M. (2013): The Raffles Bulletin of Zoology, 2013, Supplement No.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าดำแม่น้ำโขง

ปลาปักเป้าดำแม่น้ำโขง หรือ ปลาปักเป้าบึง (Kottelat, M. (2013): The Raffles Bulletin of Zoology, 2013, Supplement No. 27: 1–663.) เป็นปลาปักเป้าน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodonidae) ปลาปักเป้าดำแม่น้ำโขงมีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาปักเป้าดำ (P. cochinchinensis) และปลาปักเป้าจุดแดง (P. abei) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันที่จุดที่ข้างลำตัวจะไม่มีจุดที่กลมใหญ่เหมือนรูปดวงตาในปลาขนาดใหญ่ (แต่ในปลาขนาดเล็ก อาจจะยังมีอยู่) แต่จะมีลักษณะเป็นวงดำ โดยสีทั่วไปเป็นสีคล้ำบนพื้นสีเขียวขี้ม้า มีดวงตาสีแดง และมีแนวของเกล็ดฝอยขนาดเล็กบนผิวหนังที่เป็นลักษณะสาก คลุมลงมาแค่ระหว่างดวงตา แต่ไม่ถึงบริเวณช่องจมูก ด้านท้องมีจุดเล็กเป็นแต้ม ๆ ตัวเมียมีสีจางกว่าตัวผู้ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 15 เซนติเมตร แต่โดยเฉลี่ยประมาณ 8-10 เซนติเมตร พบเฉพาะในลุ่มแม่น้ำโขงเท่านั้น ตั้งแต่จังหวัดหนองคาย, อุดรธานี, บึงกาฬ พบอาศัยอยู่ในน้ำตื้นของแหล่งน้ำนิ่ง พบได้ตลอดทั้งปี เช่น หนอง หรือบึง ที่มีน้ำใสสะอาดมีพืชน้ำ และชายฝั่งมีต้นไม้น้ำขึ้นหนาแน่น ปลาปักเป้าดำแม่น้ำโขงได้รับการอนุกรมวิธานโดยภาสกร แสนจันแดง, ชวลิต วิทยานนท์ และชัยวุฒิ กรุดพันธ์ นักมีนวิทยาชาวไทย จากการศึกษาวิจัยร่วมกันในเรื่องปลาปักเป้าน้ำจืดในสกุลเดียวกันนี้ในลุ่มแม่น้ำโขง 6 ชนิด ซึ่งปลาปักเป้าดำแม่น้ำโขงนั้นเป็นรู้จักกันมานานไม่ต่ำกว่า 20 ปีแล้ว โดยปะปนไปกับปลาปักเป้าชนิดอื่น ๆ และเพิ่งถูกแยกออกมาต่างหากเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าดำแม่น้ำโขง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าควาย

ปลาปักเป้าควาย หรือ ปลาปักเป้าสุวัตถิ (Arrowhead puffer; Kottelat, M. (2013): The Raffles Bulletin of Zoology, 2013, Supplement No. 27: 1–663.) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาปักเป้า ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) โดยได้รับการตั้งชื่อสายพันธุ์เพื่อเป็นเกียรติแด่ ศาสตราจารย์โชติ สุวัตถิ อดีตคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.สืบสิน สนธิรัตน และ ทรงพรรณ สุนทรสถิตย์ โดยเก็บตัวอย่างต้นแบบแรกได้จากลุ่มแม่น้ำโขงที่จังหวัดหนองคาย มีจุดเด่นคือ มีปากที่เรียวยาวปากงอนขึ้นด้านบน และยังมีลายลักษณะคล้ายหัวลูกศรที่บริเวณด้านบนระหว่างตาทั้งสองข้าง ลำตัวมีสีส้มแดงและมีจุดดำกระจายอยู่ทั่ว จัดเป็นปลาปักเป้าที่พบในน้ำจืดชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบในประเทศไทย ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 11 เซนติเมตร พบได้ในภาคอีสาน ในลุ่มแม่น้ำโขงและแควสาขา มีพฤติกรรมชอบฝังตัวใต้ทรายใต้พื้นน้ำเพื่อซุ่มล่าเหยื่อ ปลาปักเป้าควายจัดเป็นปลาปักเป้าชนิดหนึ่งที่มีอุปนิสัยไม่ดุร้ายมากนัก จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาตู้สวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าควาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าคองโก

ปลาปักเป้าคองโก หรือ ปลาปักเป้าแดง (Congo puffer, Pooey pooer.) ปลาปักเป้าชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tetraodon miurus ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีรูปร่างอ้วนป้อม มีส่วนจะงอยปากที่ยาวยื่นออกมา คล้ายปลาปักเป้าควาย (Pao suvatti) ซึ่งเป็นปลาปักเป้าน้ำจืดเหมือนกัน แต่พบในทวีปเอเชีย ปลาปักเป้าคองโก มีจุดเด่น คือ สีลำตัวที่เป็นสีเดียวตลอดโดยไม่มีลวดลาย โดยมากจะเป็นสีแดงสด หรืออาจจะเปลี่ยนเป็น สีส้ม, น้ำตาล หรือแม้กระทั่งดำได้ตามอารมณ์ของปลา และสภาพแวดล้อม ขนดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 15 เซนติเมตร แพร่กระจายพันธุ์อยู่ในลุ่มแม่น้ำคองโก ในทวีปแอฟริกาตอนกลาง เป็นปลาปักเป้าที่มีนิสัยดุร้ายมากอีกชนิดหนึ่ง มีการล่าเหยื่อโดยการซุ่มซ่อนตัวในพื้นทรายใต้น้ำ โดยโผล่มาเพียงแต่จะงอยปากกับดวงตาเท่านั้น คล้ายกับปลาปักเป้าควายที่พบในลุ่มแม่น้ำโขง ในเอเชียอาคเนย์ นอกจากจะกินสัตว์น้ำมีเปลือกเช่น กุ้งหรือหอยแล้ว ปลาปักเป้าคองโกยังเป็นปลาปักเป้าอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความว่องไวจนสามารถฉกกัดปลาชนิดอื่น กินเป็นอาหารได้อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าคองโก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าตาแดง

ปลาปักเป้าตาแดง (Redeye puffers) เป็นชื่อสกุลของปลาปักเป้าจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Carinotetraodon (/คา-ริ-โน-เต-ตรา-โอ-ดอน/; โดยคำว่า carina เป็นภาษาละตินหมายถึง "กระดูกงูเรือ" และtetraodon คือ สกุล Tetraodon ซึ่งเป็นสกุลที่มีจำนวนสมาชิกมากของปลาปักเป้าในวงศ์นี้ ที่เคยจัดให้อยู่ในสกุลเดียวกันมาก่อน) มีรูปร่างโดยรวม เป็นปลาขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ไม่เกิน 4 นิ้ว ซึ่งนับว่าเล็กที่สุดในบรรดาปลาปักเป้าทั้งหมด มีรูปร่างคล้ายปลาปักเป้าในสกุล Tetraodon ซึ่งเคยอยู่ร่วมสกุลเดียวกันมาก่อน แต่ทว่ามีขนาดเล็กกวากันมาก ปลาปักเป้าในสกุลนี้มีจุดเด่น คือ มีดวงตาสีแดงคล้ายทับทิม ซึ่งสามารถกลิ้งกลอกไปมาได้ ตัวผู้และตัวเมียมีความแตกต่างระหว่างเพศอย่างเห็นได้ชัด โดยตัวผู้จะมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่า ลำตัวโดยมากจะเป็นสีแดงหรือสีเทาอมแดง ขณะที่ตัวเมียมีขนาดเล็ก มีลำตัวสีเขียวมีลาดพาดตามลำตัว แต่สีพื้นของตัวผู้โดยปกติและเมื่อยังเล็กอยู่ก็เป็นสีเดียวกับตัวเมีย และสามารถปรับเปลี่ยนสีตามอารมณ์และสภาพแวดล้อมได้ด้วย ในการผสมพันธุ์ตัวผู้จะเปลี่ยนสีให้เข้มและพองผิวหนังลำตัวจนกลายเป็นเหนียงบริเวณใต้คางและใต้ท้อง พบในน้ำกร่อยและน้ำจืด ในภูมิภาคเอเชียใต้จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทั้งหมด 6 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าตาแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าตุ๊กแก

ปลาปักเป้าตุ๊กแก (Milk-spotted Puffer, Marbled toadfish) ปลาปักเป้าชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chelonodon patoca อยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) จัดเป็นปลาปักเป้าขนาดกลาง เมื่อโตเต็มที่ยาวได้ประมาณ 25 เซนติเมตร พบใหญ่สุดได้ถึง 38 เซนติเมตร แต่โดยเฉลี่ยจะพบเพียงแค่ 13-15 เซนติเมตร ลำตัวมีลวดลายสะดุดตา โดยเฉพาะมีลายพาดบริเวณหลังในแนวครีบอกและครีบก้น เป็นลายพาดคล้ายอานม้าสีดำมีขอบสีขาว หลังมีสีเขียวอมเหลือง และมีจุดกลมสีขาวขนาดแตกต่างกันกระจายทั่ว ข้างลำตัวมีสีขาวเหลือบเงิน ท้องมีสีเหลืองสด ครีบต่าง ๆ ใสไม่มีสี ยกเว้นครีบหางที่เป็นสีเหลืองสด ในประเทศไทยพบกระจายพันธุ์อยู่บริเวณปากแม่น้ำและชายฝั่งทะเลแถบอันดามันและอ่าวไทย นับเป็นปลาปักเป้าที่อาศัยอยู่ได้ทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย และทะเล ในต่างประเทศพบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ชายฝั่งทะเลของทวีปแอฟริกาตะวันออก ไปจนถึงชายฝั่งทะเลของจีน, สิงคโปร์, อินโด-แปซิฟิก จนถึงออสเตรเลียทางตอนเหนือและตอนใต้ และนับเป็นปลาปักเป้าเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Chelonodon ที่ปรับตัวอาศัยอยู่ได้ในน้ำจืด ปรกติจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำกร่อยและน้ำเค็ม แต่เมื่อเวลาจะวางไข่จะว่ายกลับไปวางไข่ในแหล่งน้ำจืด จัดเป็นปลาที่มีสีสันสวยงามมากชนิดหนึ่ง จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าตุ๊กแก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าซีลอน

ปลาปักเป้าซีลอน (Figure eight puffer) ปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาปักเป้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tetraodon biocellatus ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายปลาปักเป้าจุดดำ (T. nigroviridris) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน แต่ว่าปลาปักเป้าซีลอนมีขนาดที่เล็กกว่า ลำตัวมีสีสันสวยงาม สีพื้นลำตัวจนถึงหลังมีสีเขียวอมทองแวววาว มีลวดลายสีดำดูคล้ายเลขแปด มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร พบในบริเวณปากแม่น้ำที่ติดกับชายทะเลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยพบมากที่แม่น้ำในภาคตะวันออก เช่น แม่น้ำบางปะกงและสาขา เป็นต้น ปลาปักเป้าซีลอนจัดว่าเป็นปลาปักเป้าชนิดหนึ่งที่มีนิสัยไม่ดุร้ายก้าวร้าวเหมือนปลาปักเป้าชนิดอื่น ๆ ประกอบกับที่มีสีสันสวยงาม จึงทำให้นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าซีลอน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าปากขวด

ปลาปักเป้าปากขวด หรือ ปลาปักเป้าปากยาว ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งจำพวกปลาปักเป้า Kottelat, M. (2013): The Raffles Bulletin of Zoology, 2013, Supplement No.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าปากขวด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าปากแม่น้ำอเมริกาใต้

ปลาปักเป้าปากแม่น้ำอเมริกาใต้ (South American estuarine puffer, Banded puffer, Parrot puffer) ปลาน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง จำพวกปลาปักเป้า จัดอยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีลักษณะคล้ายกับปลาปักเป้าแอมะซอน (C. asellus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่พบเฉพาะในน้ำจืด แต่ปลาปักเป้าปากแม่น้ำอเมริกาใต้ มีขนาดความยาวเต็มที่ได้ถึง 30 เซนติเมตร และเป็นปลาสองน้ำที่อพยพไปมาระหว่างน้ำจืด-น้ำกร่อย-ทะเล และมีลักษณะร่วมที่เหมือนกัน คือ มีแถบสีดำที่บริเวณหลังและเป็นวงแหวนบริเวณโคนครีบหาง พบกระจายพันธุ์ในเขตชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกฝั่งตะวันตกในทวีปอเมริกาใต้ตั้งแต่อ่าวเปเรียจนถึงปากแม่น้ำแอมะซอนในบราซิล นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเช่นเดียวกับปลาปักเป้าแอมะซอน โดยควรเลี้ยงให้อยู่ตามลำพังเพียงตัวเดียวหรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กินอาหารจำพวก มอลลัสคาและครัสเตเชียนเหมือนปลาปักเป้าชนิดอื่น หากเลี้ยงในน้ำเค็มและสถานที่กว้างพอจะทำให้มีสุขภาพดีและทำให้มีอายุที่ยาวนาน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าปากแม่น้ำอเมริกาใต้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าน้ำจืดอเมริกาใต้

ปลาปักเป้าน้ำจืดอเมริกาใต้ หรือ ปลาปักเป้าแอมะซอน หรือ ปลาปักเป้าอะเซลล์ หรือ ปลาปักเป้าเปรู (South American freshwater puffer, Amezon puffer, Peruvian puffer, Asell puffer) ปลาปักเป้าชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) เป็นปลาปักเป้าขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในสกุล Colomesus ซึ่งเป็นปลาปักเป้าชนิดที่พบได้ในแหล่งน้ำจืดของทวีปอเมริกาใต้ โดยมีขนาดเฉลี่ยประมาณ 8 เซนติเมตร ขนาดเมื่อโตเต็มที่ได้ประมาณ 15 เซนติเมตร มีแถบสีดำที่บริเวณหลังและเป็นวงแหวนบริเวณโคนครีบหาง พบอาศัยอยู่ในแม่น้ำสายใหญ่ของทวีปอเมริกาใต้ เช่น แม่น้ำแอมะซอน และอาจพบได้จนถึงบริเวณน้ำกร่อย แต่จะไม่พบในน้ำเค็มหรือทะเล เป็นปลาเฉพาะถิ่นที่พบได้เฉพาะในประเทศเปรูเท่านั้น เป็นปลาที่มีอุปนิสัยไม่ดุร้าย จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม สามารถเลี้ยงรวมกันเป็นฝูง และเลี้ยงรวมกับปลาจำพวกอื่น ชนิดอื่นได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าน้ำจืดอเมริกาใต้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าแอมะซอน

ปลาปักเป้าแอมะซอน (South American puffers, Amazon puffers, Brazilian puffers) เป็นชื่อของปลาปักเป้า 2 ชนิดที่อยู่ในสกุล Colomesus ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) ทั้ง 2 ชนิดนี้ได้แก่ C. psittacus และ C. asellus จัดเป็นปลาปักเป้าที่มีขนาดเล็ก มีนิสัยไม่ดุร้ายและชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง กินอาหารจำพวกสัตว์น้ำมีเปลือก อาทิ กุ้ง, หอย หรือปู มีการกระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำแอมะซอนแถบประเทศเปรู, เวเนซุเอลา, โคลอมเบีย, กายอานา และบราซิล ความแตกต่างของทั้ง 2 ชนิดนี้ กล่าวคือ C. psittacus มีขนาดความยาวเต็มที่ได้ถึง 30 เซนติเมตร และเป็นปลาสองน้ำที่อพยพไปมาระหว่างน้ำจืด-น้ำกร่อย-ทะเล ในขณะที่ C. asellus มีขนาดเล็กกว่า โดยมีขนาดเฉลี่ยประมาณ 8 เซนติเมตร โตเต็มที่ได้ถึง 15 เซนติเมตร และมีแถบสีดำที่บริเวณหลังและเป็นวงแหวนบริเวณโคนครีบหาง และจะอาศัยอยู่เฉพาะแค่ในน้ำกร่อยกับน้ำจืดเท่านั้น ทั้ง 2 ชนิดนี้ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในชนิด C. asellus มีการจำหน่ายในประเทศไทยด้วย จัดเป็นปลานำเข้าที่ราคาไม่แพง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าแอมะซอน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าแคระ

ปลาปักเป้าแคระ หรือ ปลาปักเป้าปิ๊กมี่ (Dwarf pufferfish, Malabar pufferfish, Pea pufferfish, Pygmy pufferfish) เป็นปลาปักเป้าชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าแคระ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าเอ็มบู

ปลาปักเป้าเอ็มบู หรือ ปลาปักเป้ายักษ์ (Tanganika puffer, Mbu puffer) ปลาน้ำจืดจำพวกปลาปักเป้าชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าเอ็มบู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปักเป้าเขียว

ปลาปักเป้าเขียว หรือ ปลาปักเป้าจุดดำยักษ์ (Green pufferfish, Ceylon puffer) เป็นปลาปักเป้าชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tetraodon fluviatilis อยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) มีลักษณะคล้ายกับปลาปักเป้าจุดดำ (T. nigroviridis) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกันมาก เพียงแต่ปลาปักเป้าเขียวมีขนาดใหญ่กว่า กล่าวคือ อาจยาวได้ถึง 25 เซนติเมตร ขณะที่ปลาปักเป้าจุดดำยาวได้เพียงแค่ 17 เซนติเมตรเท่านั้น ในปลาขนาดเล็กจะมีส่วนท้องสีขาว เมื่อโตขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ด้านหลังเมื่อมองจากด้านบนจะเห็นจุดสีดำขนาดใหญ่ 3-4 แต้ม และในบางตัวจุดดำจะลามไปจนถึงครีบหาง พบกระจายพันธุ์ในชายฝั่งทะเลและปากแม่น้ำตั้งแต่อ่าวเบงกอล, ศรีลังกา, พม่า, ชายฝั่งทะเลด้านอันดามันของไทย ไปจนถึงเกาะบอร์เนียว โดยอาศัยในน้ำจืดที่ค่อนข้างไปทางกร่อยเล็กน้อย มีนิสัยดุร้ายกว่าปลาปักเป้าจุดดำ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งต้องเลี้ยงเดี่ยว หากเลี้ยงรวมกับปลาอื่นหรือแม้แต่ปลาปักเป้าเช่นเดียวกันมักจะกัดกันตลอดเวล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปักเป้าเขียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปากหนวด

ำหรับปลาปากหนวดชนิดอื่นดูที่: Hypsibarbus pierrei ปลาปากหนวด หรือ ปลาปีกแดง ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hypsibarbus vernayi ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างและขนาดใกล้เคียงปลาตะพากเหลือง (H. wetmorei) แต่ต่างกันตรงที่ครีบก้นไม่ยาวถึงโคนหางเหมือนปลาตะพากเหลือง ครีบและหางเป็นสีแดงเข้มหรือสีส้ม และถิ่นที่อยู่พบในภาคอีสาน, ภาคเหนือ และภาคกลางแถบ จังหวัดเพชรบุรี, ราชบุรี พบน้อยกว่าปลาตะพากเหลือง คือพบเป็นบางฤดูกาลเท่านั้น ความเป็นมาของปลาปากหนวด เริ่มจาก อาเธอร์ เอส. เวอร์เนย์ นักมีนวิทยาชาวอังกฤษได้เก็บตัวอย่างปลาปากหนวดได้ 2 ตัว จากอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก จึงได้ส่งตัวอย่างให้ จอห์น ร็อกโบโรห์ นอร์แมน เพื่อตรวจสอบว่าเป็นปลาชนิดใหม่หรือไม่ ปรากฏว่าเป็นปลาชนิดใหม่ นอร์แมนจึงตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติให้แก่เวอร์เนย์ ปลาปากหนวดมีลำตัวที่แบนข้าง หัวค่อนข้างเล็ก มีหนวดยาว 2 คู่ มีเกล็ดตามลำตัวประมาณ 26-28 แถว เกล็ดรอบคอดหาง 12 แถว ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายเป็นซี่แข็งและขอบจักเป็นฟันเลื่อย ตัวมีสีขาวเงินเจือเหลือง ขอบเกล็ดบนหลังแต่ละเกล็ดมีลายสีดำติดต่อกันเป็นร่างแห ปลาปากหนวด หรือ ปลาปีกแดง ในช่วงวันขึ้น 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ ในเดือนมีนาคม ของทุกปี ในแม่น้ำมาง ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำน่าน ในตำบลภูฟ้า อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน จะมีปรากฏการณ์ที่ปลาปากหนวดนับหมื่นหรือแสนตัวว่ายทวนน้ำขึ้นไปผสมพันธุ์และวางไข่ตามลำน้ำและโขดหิน ซึ่งปลาจะมากองรวมกัน ชาวบ้านเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "ปลากอง" ซึ่งจะเกิดขึ้นเพียง 2 วันนี้เท่านั้น และก่อนที่จะเกิดปรากฏการณ์นี้ จะมีสิ่งบอกเหตุ คือ ท้องฟ้ามืดครึ้ม อากาศเย็นกว่าปกติ และนกเค้าแมวส่งเสียงร้อง เมื่อผสมพันธุ์และวางไข่เสร็จแล้ว จะกลับไปอาศัยอยู่ยังที่เดิม หรือบางตัวก็ตายลงตามอายุขั.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปากหนวด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปากขลุ่ย

ปลาปากขลุ่ย หรือ ปลาปากแตรจุดสีฟ้า (Bluespotted cornetfish, Reef cornetfish) ปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสามรส (Fistulariidae) มีรูปร่างเรียวยาว ปากเป็นท่อยาวเหมือนแตรหรือขลุ่ย ปลายครีบหางมีเปียยื่นยาวออกมาเหมือนแส้ ไม่มีก้านครีบแข็งหน้าครีบหลัง ลำตัวด้านหลัง ด้านข้าง และจะงอยปากมีจุดสีฟ้าเรียงกันเป็นแถว อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 150 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ได้กว้างไกล ทั้งทะเลแดง, ทะเลญี่ปุ่น, อินโด-แปซิฟิค และน่านน้ำไทยด้านทะเลอันดามัน โดยมีพฤติกรรมมักลอยตัวนิ่ง ๆ อยู่เหนือพื้นทราย หรือแนวปะการังเพื่อหาอาหาร อันได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ โดยรวมกลุ่มกันประมาณ 2-3 ตัว อาจพบได้ในท้องน้ำลึกได้ถึง 123 เมตร ซึ่งอาจจะสังเกตได้ยากเนื่องจากมีสีลำตัวเป็นสีเขียวกลมกลืนไปกับสีของน้ำทะเล จัดว่าเป็นปลาที่พบได้บ่อ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปากขลุ่ย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปากแตร

ปลาปากแตร (Painted flute mouth, Chinese trumpetfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาปากแตร (Aulostomidae) มีลำตัวยาว มีปากยาวและใหญ่ ครีบหางรูปพลั่วมีจุดสีดำขนาดเล็ก 2 จุด ตอนปลายไม่มีแส้ยื่นยาวออกไป สีลำตัวมีหลากหลายทั้งสีเหลืองและสีเทาอ่อน มีความยาวได้ถึง 80 เซนติเมตร แต่พบโดยเฉลี่ย 60 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิก แถบอินโด-แปซิฟิก พบตั้งแต่ฮาวาย, แอฟริกาตะวันออกจนถึงทะเลญี่ปุ่น อาศัยอยู่บริเวณแนวปะการังที่มีน้ำค่อนข้างใส เช่น บริเวณหมู่เกาะที่อยู่ห่างจากชายฝั่ง กินกุ้งและปลาขนาดเล็กเป็นอาหาร ล่าเหยื่อโดยการว่ายน้ำตัวแนบติดไปกับปลาอื่น เช่น ปลาเก๋า เพื่อเข้าใกล้เหยื่อ ในเวลากลางคืน พบได้ที่ระดับความลึกตั้งแต่ 3 เมตร จนถึงความลึกมากกว่า 100 เมตร ไม่ได้ใช้เป็นปลาเศรษฐกิจ แต่มีความสำคัญในการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ในน่านน้ำไทยพบได้ที่ เกาะยาง, เกาะราวี จังหวัดสตูล เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปากแตร · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปากแตรเรียบ

ปลาปากแตรเรียบ หรือ ปลาปากขลุ่ยแดง (Red cornetfish, Pacific cornetfish, Smooth cornetfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสามรส (Fistulariidae) มีรูปร่างเรียวยาว ตาโต ปากยาวยื่นเหมือนแตรเหมือนปลาชนิดอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน มีด้านหลังสีแดง ด้านท้ายของเส้นข้างตัวมีลักษณะของหนามแหลม ปลายหางมีครีบยาวออกมาเส้นหนึ่งเหมือนแส้ มีความยาวได้ถึง 2 เมตร พบในมหาสมุทรแอตแลนติก และอินโด-แปซิฟิกตอนกลาง อาศัยอยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ 2-3 ตัว หากินสัตว์น้ำขนาดเล็ก ๆ เป็นอาหาร ในระดับความลึกตั้งแต่ 2 เมตร จนพบได้ลึกถึงเป็น 100 เมตร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปากแตรเรียบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปากเปี่ยนบ้านด่าน

ปลาปากเปี่ยนบ้านด่าน (Bandan sharp-mouth barb) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปลาตะเพียนทั่วไป แต่ลําตัวกว้างและแบนข้างมากกว่า ส่วนหัวเล็กมีขนาดเล็ก ปากจะอยู่ตําแหน่งลงมาด้านล่าง จะงอยปากแหลมริมฝีปากล่างมนกลมมีขอบแข็ง บริเวณขากรรไกรล่างมีลักษณะคล้ายปลอกเขาสัตว์ ไม่มีหนวด ครีบหลังสีคล้ำ ปลายขอบของก้านครีบอันแรกเป็นหยักแข็ง ถัดจากส่วนนี้ไปจะมีลักษณะเรียวแหลม ครีบหางเว้าลึก ครีบอกและครีบท้องเล็ก ครีบหางสีเหลืองจาง ๆ เกล็ดลำตัวสีเงินอมเทามีแต้มประสีคล้ำ มีขนาดใหญ่เต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 15 เซนติเมตร เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง มีอุปนิสัยชอบกัดกินเกล็ดปลาชนิดอื่น พบได้เฉพาะในแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขาเท่านั้น โดยพบตั้งแต่จังหวัดหนองคายลงมา เป็นปลาที่มีฤดูกาลอพยพ โดยจะอพยพย้ายขึ้นมาจากประเทศลาวโดยเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม พร้อม ๆ กับปลาในกลุ่มปลาหมูและปลาสร้อย เป็นปลาที่พื้นถิ่นนิยมบริโภคกันเป็นปลาเศรษฐกิจ โดยบริโภคกันทั้งสด และรมควันหรือทำเป็นปลาร้า รวมถึงมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปากเปี่ยนบ้านด่าน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปิรันยา

ปลาปิรันยา (piranha) เป็นชื่อสามัญเรียกปลาน้ำจืดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอยู่ในวงศ์ Serrasalmidae (หรือในวงศ์ Characidae) โดยทั่วไป ปลาที่ได้ชื่อว่า "ปิรันยา" นั้นจะหมายถึงปลาในสกุล Pristobrycon, Pygocentrus, Pygopristis และ Serrasalmus แต่ก็อาจรวมถึงปลาในสกุล Catoprion ด้วย รวมกันแล้วประมาณ 40 ชนิดFace Ripper, "River Monsters" สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปิรันยา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปิรันยาดำ

ปลาปิรันยาดำ หรือ ปลาปิรันยาขาว หรือ ปลาปิรันยาตาแดง (Black piranha, White piranha, Redeye piranha) ปลาน้ำจืดกินเนื้อชนิดหนึ่ง จำพวกปลาปิรันยา อยู่ในวงศ์ปลาปิรันยา (Serrasalmidae) ปลาปิรันยาดำ มีลำตัวที่มีลักษณะยาวเรียวกว่าปลาปิรันย่าชนิดอื่น ลำตัวเป็นสีเทาเข้มจนออกสีเขียวมะกอกส่วนลำตัวด้านบนจะสีข้างจะมีจุดสีคล้ำ ๆ จำนวนมาก ได้ชื่อว่าเป็นปลาปิรันยาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยโตเต็มที่ยาวได้ถึง 45-55 เซนติเมตร และเป็นไปได้ว่าอาจยาวได้มากกว่านี้ แต่เป็นปลาปิรันยาเมื่อเทียบกับปลาปิรันยาชนิดอื่น เช่น ปลาปิรันยาแดง แล้ว ปลาปิรันยาดำจัดว่ามีความดุร้ายน้อยกว่ามาก โดยเป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามลำพังตัวเดียว และมีนิสัยขี้อาย แต่ทว่าเป็นปลาที่มีแรงกัดของกรามเมื่อเทียบกันแล้วแรงที่สุดในโลก โดยมีการวิจัยด้วยทีมนักวิทยาศาสตร์ด้วยการวัดแรงกัดกับเครื่องมือพิเศษ ผลปรากฏว่าพลังกัดของปลาปิรันยาดำทำได้ถึง 320 นิวตัน สูงกว่าขนาดร่างกายถึง 30 เท่า เมื่อเทียบขนาดร่างกายกันแบบปอนด์ต่อปอนด์แล้วมีพลังมากกว่าจระเข้อเมริกันถึง 3 เท่า สาเหตุที่แรงกัดของปลาปิรันยาดำมีมากขนาดนี้ อยู่ที่กล้ามเนื้อกรามอันแข็งแรงและมีขนาดใหญ่ โดยมีพื้นที่ของกล้ามเนื้อส่วนนี้มีมากกว่าร้อยละ 2 ของมวลร่างกายทั้งตัว ทั้งนี้ 1 นิวตันเท่ากับแรงที่ใช้เคลื่อนสิ่งของขนาด 1 กิโลกรัมไปได้ 1 เมตร ใน 1 วินาที ซึ่งแรงกัดของปลาปิรันยาดำนี้เทียบได้กับปลาปิรันยายักษ์ที่มีความยาว 70 เซนติเมตร น้ำหนัก 10 กิโลกรัม ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 5 ล้านปี ปลาปิรันยาดำ กระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่หลายสายในทวีปอเมริกาใต้ เช่น อะแมซอน, ปารานา, ยาตา และโอรีโนโก เป็นต้น เป็นปลาปิรันยาอีกชนิดหนึ่งที่มีความอันตราย และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปิรันยาดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปิรันยาแดง

ปลาปิรันยาแดง หรือ ปลาปิรันยาท้องแดง (Red piranha, Red-bellied piranha) จัดเป็นปลาปิรันยาที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดี อยู่ในวงศ์ปลาปิรันยา (Serrasalmidae) (หรือในวงศ์ Characidae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาในวงศ์นี้โดยทั่วไป แต่กรามล่างยื่นยาวออกมาเห็นได้ชัด ภายในปากมีฟันแหลมคม ส่วนหัวมีขนาดใหญ่ และข้างกระพุ้งแก้มมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงหนาแน่นใช้สำหรับออกแรงกรามเพื่อใช้ในการกัดกินอาหาร เกล็ดมีขนาดเล็กมีสีแดงอมชมพูแวววาวดูสวยงามเหมือนกากเพชร มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 33 เซนติเมตร น้ำหนักราว 3.5 กิโลกรัม ปลาปิรันยาแดงมีถิ่นกำเนิดที่ลุ่มแม่น้ำอเมซอนและแม่น้ำขนาดใหญ่ใกล้เคียง บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิลและปารากวัย มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ว่ายน้ำและล่าเหยื่อด้วยความรวดเร็วและดุดัน จึงขึ้นชื่อว่าเป็นปลาที่ดุร้าย สามารถจู่โจมสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ แต่โดยมากหากจะโจมตีสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าแล้ว สัตว์ตัวนั้นต้องได้รับบาดเจ็บและอ่อนแออยู่แล้ว แต่ก็มีรายงานจากแม่น้ำยาตาทางตอนเหนือของโบลิเวีย ปลาปิรันยาแดงโจมตีมนุษย์ที่กำลังว่ายน้ำอยู่จนเสียชีวิต โดยกัดแทะที่บริเวณใบหน้าโดยเฉพาะ และมีการโจมตีม้าจนท้องทะลุด้วยFace Ripper, "River Monsters" สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปิรันยาแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาปีศาจครีบพัด

ปลาปีศาจครีบพัด (fanfin seadevils หรือ Caulophryne jordani) เป็นปลาทะเลลึก ในตระกูลปลาตกเบ็ด ปลาปีศาจครีบพัดมีสิ่งที่แปลกและโดดเด่นกว่าปลาในตระกูลปลาตกเบ็ดทั่วไปก็คือ พวกมันไม่มีคันเบ็ดเรืองแสงบนหัวที่ใช้ปลาในตระกูลปลาตกเบ็ดใช้สำหรับการล่อเหยือในที่มืด และทั่วทั้งร่างกายของมันมีครีบยาวที่ยาวคล้ายพัด และเช่นเดียวกับปลาในตระกูลปลาตกเบ็ดเพศผู้มีขนาดเล็กกว่ามากเพศเมีย เพศผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดเพียง 0.5 นิ้ว (1.27 เซนติเมตร) ส่วนเพศเมียจะมีขนาดใหญ่ได้ถึง 10 นิ้ว (25 เซนติเมตร ความยาวไม่รวมหนวด) พวกมันจะพบได้ที่บริเวณมหาสมุทรแปซิกฟิกมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรอินเดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาปีศาจครีบพัด · ดูเพิ่มเติม »

ปลานกขุนทองปากยื่น

ปลานกขุนทองปากยื่น (Longjawed wrasse, Slingjaw wrasse) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลานกขุนทอง (Labridae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Epibulus เป็นปลาที่มีความแปรฝันของสีสันลำตัวสูง โดยปกติแล้วตัวเมียจะมีสีเหลือง ส่วนตัวผู้มีลำตัวสีดำ บริเวณส่วนหน้าและหลังสีขาว แต้มด้วยสีแดงบริเวณหน้าผาก มีขากรรไกรที่ออกแบบมาให้ยื่นออกไปได้ยาวเป็นพิเศษเพื่อใช้จับสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร อันเป็นที่มาของชื่อ มีพฤติกรรมว่ายน้ำโดยการเอาหน้าทำมุมกับพื้นเพื่อมองหาเหยื่ออยู่ตลอดเวลา อาศัยอยู่ในบริเวณแนวปะการัง มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในเขตอินโด-แปซิฟิก ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลานกขุนทองปากยื่น · ดูเพิ่มเติม »

ปลานกแก้วหัวตัด

ปลานกแก้วหัวตัด (Steephead parrotfish, Indian ocean steephead parrotfish) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลานกแก้ว (Scaridae) มีตัวอ้วนกลม หัวตัดโค้ง ปลายแพนหางบนและล่างแหลมยาว ปลาเพศผู้มีสีเขียวเข้ม แก้มมีสีขาวอมเหลือง หลังตามีแถบสีเขียวเข้ม 3 แถบ ปลาเพศเมียลำตัวด้านบนมีสีเหลืองอมเขียวอกและท้องมีสีส้ม มีฟันและจะงอยปากที่เป็นแผ่นตัดแหลมคม ใช้สำหรับกัดแทะปะการังหรือสาหร่ายเป็นอาหาร มีขนาดความยาวได้ถึง 75 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรอินเดีย ตั้งแต่แอฟริกาตะวันออก, อินโดนีเซีย และทะเลอันดามันทางตอนเหนือ มักอาศัยอยู่ในแนวปะการัง ในระดับความลึก 2- 25 เมตร มักหากินอยู่เพียงลำพัง หรืออยู่เป็นคู่ ไม่ค่อยพบอยู่รวมกันเป็นฝูงเหมือนปลานกแก้วชนิดอื่น เวลากลางคืนนอนตามพื้นหรือซากปะการัง มีการสร้างเมือกห่อหุ้มตัว เป็นปลานกแก้วชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามและใช้บริโภคเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และปลานกแก้วหัวตัด · ดูเพิ่มเติม »

ปลานกแก้วหัวโหนก

ระวังสับสนกับ: ปลานกขุนทองหัวโหนก ปลานกแก้วหัวโหนก (Bumphead parrotfish, Green bumphed parrotfish) เป็นปลากระดูกแข็งทะเลชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลานกแก้ว (Scaridae) ถือเป็นปลานกแก้วมีขนาดใหญ่ที่สุด โดยมีขนาดใหญ่ได้ถึง 1 เมตร หรือ 1.3 เมตร น้ำหนักได้ถึง 46 กิโลกรัม และมีอายุยืนยาวได้นานถึง 40 ปี มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลานกขุนทองหัวโหนก (Cheilinus undulatus) ซึ่งอยู่ในวงศ์ปลานกขุนทอง (Labridae) และถือเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Bolbometopon โดยมีลักษณะเด่น คือ บริเวณหน้าผากโหนกหนาแข็งแรง ทำหน้าที่เปรียบเสมือนกันชนเวลาที่เข้ากัดกินหินหรือปะการังแข็ง ๆ เพื่อกินเป็นอาหาร ปากและฟันหน้าใหญ่แข็งแรง ติดกันเป็นพรืดเหมือนกันกับปลานกแก้วชนิดอื่นทั่วไปไม่เป็นซี่ ๆ เหมือนสัตว์ทั่วไป ลักษณะของปากและฟันเช่นนี้ทำให้ถูกเปรียบเทียบว่าคล้ายกับจะงอยปากของนกแก้ว อันเป็นที่มาของชื่อ มีลำตัวทั่วไปสีเขียว ปลานกแก้วหัวโหนกเป็นปลาที่อยู่อาศัยหากินรวมกันเป็นฝูง ตามแนวปะการัง ในฝูงหนึ่งประมาณ 13-14 ตัว ออกหากินในเวลากลางวัน และเข้านอนตามซอกหลืบถ้ำหรือตามซากเรือจมในเวลากลางคืน ในระดับความลึกไม่เกิน 30 เมตร พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก, ทะเลแดง, ซามัว จนถึงนิวแคลิโดเนียและเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ในออสเตรเลีย สำหรับน่านน้ำไทย ถือเป็นปลาที่พบได้น้อย หายาก จึงมักเป็นที่ชื่นชอบของนักประดาน้ำเพื่อถ่ายรูปเช่นเดียวกับปลานกขุนทองหัวโหนก โดยอาจพบได้ที่เขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันและหมู่เกาะสุรินทร์แต่ก็ไม่บ่อยนัก และจำนวนก็ไม่มาก ครั้งละ 3-4 ตัวเท่านั้น แต่สำหรับที่เกาะเซปาดัง ในมาเลเซีย และเกาะบอร์เนียว ในอินโดนีเซียจะพบได้ง่ายกว่า ปลานกแก้วหัวโหนก.

ใหม่!!: สัตว์และปลานกแก้วหัวโหนก · ดูเพิ่มเติม »

ปลานวลจันทร์ทะเล

ปลานวลจันทร์ทะเล หรือ ปลานวลจันทร์ (milkfish; bangus) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่งที่สามารถอาศัยในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chanos chanos อยู่ในวงศ์ Chanidae ซึ่งถือเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์นี้และสกุลนี้ ปลานวลจันทร์ทะเลมีรูปร่างเพรียวยาว เกล็ดเล็กละเอียดสีเงินแวววาว ครีบหางเว้าลึก ครีบท้องและครีบหลังเล็ก เป็นปลาที่มีความปราดเปรียวว่องไว พบได้ตามชายฝั่งทะเลแถบอบอุ่นทั่วภูมิภาคของโลก มักอยู่รวมกันเป็นฝูง กินอาหารได้แก่ ปลาอื่น ๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า และสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ รวมถึงสาหร่ายทะเลด้วย มีขนาดโตเต็มที่ยาวได้ถึง 1.5 เมตร ในประเทศไทยพบมากที่แถบจังหวัดเพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร และบางส่วนในจังหวัดตราด โดยมีการสำรวจพบครั้งแรกที่บ้านคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์หน้า 24 เกษตร, ปลานวลจันทร์ทะเล ตลาดยังสดใส, "เกษตรนวัตกรรม".

ใหม่!!: สัตว์และปลานวลจันทร์ทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ปลานวลจันทร์น้ำจืด

ปลานวลจันทร์น้ำจืด หรือ ปลานวลจันทร์ เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) วงศ์ย่อย Labeoninae มีรูปร่างลำตัวเรียวยาวทรงกระบอก หัวโต ปากและตาเล็ก เกล็ดเล็ก ปลาในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาจะมีหัวและลำตัวสีเงินอมเหลืองทอง ส่วนปลาในลุ่มน้ำโขงจะเป็นสีชมพู ครีบหลังยกสูง ครีบหางเว้าลึก ครีบก้นเล็ก อาหารได้แก่ อินทรียสาร สัตว์หน้าดินขนาดเล็ก แพลงก์ตอน และแมลงต่าง ๆ มีขนาดประมาณ 46 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 69 เซนติเมตร น้ำหนัก 5 กิโลกรัม ปลานวลจันทร์น้ำจืดมีพฤติกรรมวางไข่ในแหล่งน้ำหลากและเลี้ยงตัวอ่อนจนน้ำลดลงจึงอพยพลงสู่แม่น้ำ ปัจจุบันเป็นปลาที่หายาก เชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วจากแม่น้ำเจ้าพระยา และยังพบได้บ้างที่แม่น้ำโขงและแม่น้ำแม่กลอง ปลานวลจันทร์น้ำจืดมีชื่อเป็นภาษาอีสานว่า "ปลาพอน" และ "ปลาพรวน" ในภาษาเขมร และจัดเป็นสัตว์น้ำประจำจังหวัดสุรินทร.

ใหม่!!: สัตว์และปลานวลจันทร์น้ำจืด · ดูเพิ่มเติม »

ปลานวลจันทร์น้ำจืด (สกุล)

ปลานวลจันทร์น้ำจืด เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Cirrhinus ทั้งหมด 11 ชนิด มีลักษณะสำคัญคือ มีปากเล็ก บางชนิดไม่มีริมฝีปากล่าง บางชนิดทีริมฝีปากบางมาก มีฟันที่ลำคอ 3 แถว มีหนวด 2 คู่ หนวดที่ริมฝีปากบนยาวกว่าหนวดที่มุมปากบน ความยาวของหนวดแตกต่างกันแต่ละชนิด จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่หน้าจุดเริ่มต้นของครีบท้อง มีก้านครีบแขนง 10–13 ก้าน ก้านครีบเดี่ยวมีขอบเรียบ และไม่เป็นหนามแข็ง ครีบก้นมีก้านครีบแขนง 5 ก้าน ปลาในสกุลนี้เป็นปลาที่นิยมบริโภคกันเป็นปลาเศรษฐกิจ พบกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย ตั้งแต่ตอนใต้ของจีน, เกาะไต้หวัน, อนุทวีปอินเดีย และภูมิภาคอินโดจีน สำหรับในประเทศไทยมักเรียกปลาในสกุลนี้รวม ๆ กันว่า "ปลานวลจันทร์", "ปลาพอน" หรือ "ปลาพรวน" ในภาษาเขมร หรือ "ปลาสร้อย" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลานวลจันทร์น้ำจืด (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลานวลจันทร์เทศ

ปลานวลจันทร์เทศ ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cirrhinus cirrhosus อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเรียวยาว ลำตัวกลม หัวสั้น ปากเล็ก ริมฝีปากบางมีชายครุยเล็กน้อย ครีบหลังและครีบก้นสั้น ครีบหางเว้าลึก เกล็ดมีขนาดใหญ่ หัวและลำตัวด้านบนมีสีเงินหรือสีเงิมอมน้ำตาลอ่อน ด้านท้องสีจาง ครีบมีสีส้มหรือชมพู ขอบครีบมีสีคล้ำเล็กน้อย ตามีสีทอง มีขนาดเต็มที่โดยเฉลี่ย 50-60 เซนติเมตร ขนาดใหญ่สุดที่พบ คือ 1 เมตร มีพฤติกรรมชอบหากินในระดับพื้นท้องน้ำ โดยสามารถปรับตัวได้ดีในแหล่งน้ำนิ่ง และกินอาหารด้วยวิธีการแทะเล็มพืชน้ำขนาดเล็กและอินทรีย์สาร รูปร่างโดยทั่วไปคล้ายปลานวลจันทร์ (C. microlepis) ที่พบได้ในประเทศไทย ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ปลานวลจันทร์เทศเป็นปลาพื้นเมืองของทางเหนือของภูมิภาคเอเชียใต้ พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำคงคา, แม่น้ำสินธุจรดถึงแม่น้ำอิรวดีของพม่า นำเข้ามาสู่ประเทศไทยครั้งใน 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 จำนวน 100 ตัว โดยอธิบดีกรมประมงในขณะนั้น เพื่อทำการขยายพันธุ์เพาะเลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจ โดยทำการเลี้ยงอยู่ที่สถานีประมงน้ำจืดจังหวัดเชียงใหม่ และอีกครั้งเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2533 โดยผ่านมาจากประเทศลาว ซึ่งประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงจนขยายไปสู่ฟาร์มของเอกชนต่าง ๆ ในภาคอีสานจนกระจายมาสู่ภาคกลาง เช่นเดียวกับปลายี่สกเทศ (Labeo rohita) หรือปลากระโห้เทศ (Catla catla) ปลานวลจันทร์เทศที่อาศัยในแม่น้ำโขงสามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดีจนสามารถแพร่ขยายพันธุ์เองได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลานวลจันทร์เทศ · ดูเพิ่มเติม »

ปลานางอ้าว

ปลานางอ้าว หรือ ปลาน้ำหมึก เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Opsarius (/ออพ-ซา-เรียส/) จัดอยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เดิมทีปลาในสกุลนี้ ฮิว แมคคอร์มิค สมิธ ได้รวมให้อยู่ในสกุล Barilius และได้ทำการอนุกรมวิธานไว้ด้วยกัน 2 ชนิด แต่ต่อมา ไทสัน อาร์. โรเบิร์ตส์ ได้ทำการปรับปรุงใหม่โดยให้กลับมาใช้สกุลเช่นในปัจจุบัน ในปี ค.ศ. 1989 โดยลักษณะสำคัญของปลาในสกุลนี้ คือ บนลำตัวมีแถบสีดำขวางเรียงกันเป็นแถว เส้นข้างลำตัวโค้งใกล้กับแนวท้อง และไปสิ้นสุดที่โคนหางส่วนล่าง หนวดมีขนาดเล็กมาก และบางชนิดไม่มีหนวด เป็นปลาขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง มีความปราดเปรียวว่องไวมาก อาศัยอยู่ตามลำธารน้ำตกในป่าดิบชื้น กินแมลงน้ำและสัตว์น้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร ไข่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 2.8-2.9 เซนติเมตร มีสีเหลืองหรือเขียวอมเทา มีทั้งแบบลอยและแบบจมและกึ่งจมกึ่งลอย ปัจจุบัน พบแล้ว 3 ชนิด มีอยู่ 2 ชนิดที่พบบ่อยและนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ได้แก่ O. koratensis และ O. pulchellusสมโภชน์ อัคคะทวีวัฒน์, หน้า 117 สาระน่ารู้ปลาน้ำจืดไทย เล่ม ๑ (พ.ศ. 2547) ISBN 974-00-8701-9.

ใหม่!!: สัตว์และปลานางอ้าว · ดูเพิ่มเติม »

ปลานิล

ปลานิล เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oreochromis niloticus เป็นปลาเศรษฐกิจ แพร่ขยายพันธุ์ง่าย และมีรสชาติดี.

ใหม่!!: สัตว์และปลานิล · ดูเพิ่มเติม »

ปลานิล (สกุล)

ปลานิล (Tilapia) เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาหมอสี (Cichilidae) พบกระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกาจนถึงภูมิภาคตะวันออกกลาง ใช้ชื่อสกุลว่า Oreochromis (/ออ-เร-โอ-โคร-มิส/) โดยที่มาของสกุลนี้ อัลเบิร์ต กึนเธอร์ นักสัตววิทยาชาวเยอรมันได้ตั้งสกุลนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1889 โดยมีลักษณะทางอนุกรมวิธานของสกุลนี้โดยย่อ คือ มีลำตัวป้อมสั้นและแบนข้าง เกล็ดเป็นแบบบางเรียบ มีเส้นข้างลำตัวที่ไม่สมบูรณ์ 2 เส้น มีฟัน 2 หรือหลายแถวที่ขากรรไกรบนและล่าง รูปร่างของฟันแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิด ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยวที่เป็นซี่แข็งปลายแหลม จำนวน 14-17 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยวที่เป็นซี่แข็งปลายแหลมจำนวน 3 ก้าน คอดหางมีความกว้างและความยาวใกล้เคียงกัน มีกระดูกสันหลัง 29-32 ข้อ ต่อมาในปี ค.ศ. 1915 จอร์จ อัลเบิร์ต บุนเลเยอร์ นักสัตววิทยาและนักอนุกรมวิธานชาวเบลเยี่ยมได้ตั้งสกุล Tilapia ขึ้น และได้รวมปลาหลายสกุลในวงศ์นี้เข้ามาอยู่ในสกุลนี้ รวมทั้งสกุลปลานิลนี้ด้วย ซึ่งทำให้ครั้งหนึ่งปลาที่อยู่ในสกุลนี้ใช้ได้ชื่อชื่อสกุลว่า Tilapia นำหน้าชื่อชนิดกัน และกลายเป็นชื่อพ้องในเวลาต่อมา ต่อมาในปี ค.ศ. 1983 อีเทลเวนน์ เทรวาวาส นักมีนวิทยาชาวอังกฤษได้ศึกษาลักษณะของปลาในสกุล Tilapia เห็นว่าสกุลปลานิลที่กึนเธอร์ตั้งขึ้นมานั้น มีลักษณะทางอนุกรมวิธานที่มีข้อจำกัดเฉพาะและเหมาะสมมากกว่า จึงได้ให้ใช้ชื่อสกุลนี้ตราบมาจนปัจจุบัน โดยปรากฏเป็นผลงานในหนังสือชื่อ Tilapia fishes of the genera Sarotherodon, Oreochromis and Danakilia โดยปัจจุบันพบปลาที่อยู่ในสกุลปลานิลนี้มากกว่า 30 ชนิด มีชนิดที่สำคัญ ๆ ได้แก่ ปลานิล (Oreochromis miloticus), ปลาหมอเทศ (O. mossambicus), ปลาหมอเทศข้างลาย (O. aureus) เป็นต้น ซึ่งเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญของทวีปแอฟริกาและในอีกหลายภูมิภาคทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลานิล (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลานิลอกแดง

ปลานิลอกแดง (Redbreast tilapia, Redbrested bream, Redbreast kurper (ในแอฟริกาใต้)) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) เป็นปลาจำพวกทิลอาเพียพบกระจายพันธุ์โดยทั่วไปในแอฟริกาใต้สะฮารา โดยอาศัยอยู่ในบึง, ทะเลสาบน้ำจืด ตลอดจนห้วยหนองต่าง ๆ ในประเทศไทย ปัจจุบันกลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยเป็นปลาที่ถูกนำเข้ามาจากประเทศเบลเยียม ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลานิลอกแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลานีออน

ปลานีออน หรือ ปลานีออนเตตร้า (อังกฤษ: Neon, Neon tetra; ชื่อวิทยาศาสตร์: Paracheirodon innesi) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาคาราซิน.

ใหม่!!: สัตว์และปลานีออน · ดูเพิ่มเติม »

ปลานีออน (สกุล)

ปลานีออน หรือ ปลาคาร์ดินัล (Neon tetras, Cardinal tetras) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Paracheirodon (/พา-รา-คี-อาย-โร-ดอน/) ในวงศ์ปลาคาราซิน (Characidae) มีรูปร่างโดยรวมคล้ายกับปลาซิว ซึ่งอยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) และพบเฉพาะทวีปเอเชีย, ยุโรป และแอฟริกา คือ มีรูปทรงยาวรี คล้ายเมล็ดข้าวสาร ตากลมโต มีครีบบางใสยาวพอประมาณทั้งหมด 7 ครีบ (ครีบว่าย 2, ครีบท้อง 2, ครีบกระโดง 1, ครีบทวาร 1, ครีบหาง 1) ต่างกันตรงที่มีครีบไขมันขนาดเล็ก ที่ก่อนถึงโคนหาง อันเป็นลักษณะประจำของปลาในวงศ์นี้ ลำตัวมีเกล็ดขนาดเล็กมันวาวปกคลุมทั้งตัว และมีฟันขนาดเล็กในปาก จุดเด่น คือ มีเส้นยาวเรืองแสงสีเขียวอมฟ้าพาดตั้งแต่จมูกผ่านลูกตายาวไปสุดที่ครีบไขมัน อันเป็นเอกลักษณ์ประจำสกุล ซึ่งเกิดจจากการสะท้อนแสงภายในผลึกกัวไนน์ ซึ่งพัฒนามาจากเซลล์พิเศษที่เรียกว่า อิริโดไซเตส ในชั้นใต้ผิวหนัง อันเป็นที่มาของชื่อสามัญของปลาในสกุลนี้ มีขนาดความยาวเต็มที่ 3 เซนติเมตร เป็นปลาที่หากินบริเวณกลางน้ำและผิวน้ำ อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงกินแมลงน้ำ, แพลงก์ตอนสัตว์ และครัสเตเชียนขนาดเล็กเป็นอาหาร มีความปราดเปรียวว่องไว กระจายพันธุ์ทั่วไปในแม่น้ำและลำคลองหลายสายของทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะแหล่งน้ำที่มีเงาไม้ริมน้ำหรือไม้น้ำขึ้นหนาแน่น และสภาพความเป็นกรดด่าง (pH) ของน้ำค่อนข้างเป็นกรด (ต่ำกว่า 7-6.5 ลงไป) สภาพน้ำเป็นสีชาหรือสีน้ำตาล ขยายพันธุ์ด้วยการที่ตัวผู้ไล่ตัวเมียเข้าไปผสมพันธุ์และวางไข่ไว้กับไม้น้ำ แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในตู้เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และปลานีออน (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลานโปเลียน

ปลานโปเลียน หรือ ปลานกขุนทองหัวโหนก (Napoleonfish, Humphead wrasse, Mauri wrase) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cheilinus undulatus จัดอยู่ในวงศ์ปลานกขุนทอง (Labridae).

ใหม่!!: สัตว์และปลานโปเลียน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาน้ำฝาย

ปลาน้ำฝาย เป็นปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Sikukia (/สี-กุก-เอีย/).

ใหม่!!: สัตว์และปลาน้ำฝาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาน้ำฝายหลังดำ

ปลาน้ำฝายหลังดำ ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sikukia stejnegeri อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาที่มีขนาดเล็ก พบได้ไม่บ่อยนัก มีลำตัวแบนข้าง ท่อนหางยาว นัยน์ตาโตมีเยื่อไขมันบาง ๆ เหมือนวุ้นหุ้มอยู่รอบตา ไม่มีหนวด ครีบมีก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายเป็นหนามแข็งขอบจักเป็นฟันเลื่อย ลำตัวมีสีขาวเงิน ครีบหลังมีแถบสีดำที่โคนและปลายครีบ ขอบบนและล่างครีบหางมีลายสีดำ และที่ฐานครีบมีลายสีดำจาง ๆ ครีบอื่นสีจางใส มีขนาดโตเต็มที่ยาวได้ประมาณ 12 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำใหญ่ ๆ ทั่วประเทศไทย ทั้ง แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำท่าจีน, แม่น้ำแม่กลอง, แม่น้ำโขง ยกเว้นแม่น้ำสาละวิน เป็นปลาที่ถูกค้นพบและอนุกรมวิธานเป็นครั้งแรก โดย ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาน้ำฝายหลังดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาน้ำหมึก

ปลาน้ำหมึก (Stream barilius) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Opsarius pulchellus อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) รูปร่างคล้ายปลาน้ำหมึกโคราช (O. koratensis) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน ต่างกันที่น้ำหมึกมีลำตัวที่ป้อมสั้นกว่า ปลายปากป้าน มีสีสันที่สดใสกว่าและลายขีดข้างลำตัวใหญ่และชัดเจนกว่า เกล็ดมีขนาดใหญ่กว่า ครีบหลังมีแต้มสีแดงเห็นชัดเจน มีขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร พบอาศัยอยู่ในแม่น้ำสายใหญ่และลำธารในป่าและเชิงเขาที่น้ำสะอาดไหลแรงที่ภาคเหนือของประเทศไทย พบในแม่น้ำโขงด้วย แต่ไม่พบในแม่น้ำสาละวิน มีพฤติกรรมมักแย่งชิงตัวเมียกันในฤดูผสมพันธุ์ โดยปลาตัวผู้จะใช้หัวและลำตัวฟาดคู่ต่อสู้ บริเวณส่วนหัวจะมีตุ่มขึ้นในฤดูนี้ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาน้ำหมึก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาน้ำหมึกยักษ์

ปลาน้ำหมึกยักษ์ หรือ ปลาชะนาก หรือ ปลาสะนาก (Trout carps) ชื่อสกุลของปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีชื่อสกุลว่า Raiamas (/ไร-อา-มาส/) เดิมเคยจัดให้อยู่ในสกุล Barilius มีรูปร่างโดยรวม คือ ลำตัวยาวทรงกระบอก หัวและปากแหลม ปากกว้างมาก มีปุ่มในปากล่าง มุมปากยาวเลยนัยน์ตา จะงอยปากล่างงุ้มคล้ายตะขอ ไม่มีหนวด เกล็ดเล็ก ลำตัวสีเงินวาว ข้างลำตัวมีจุดสีน้ำเงินเข้มที่ใหญ่กว่าเกล็ด หางเว้าเป็นแฉกลึก ในตัวผู้มีตุ่มข้างแก้มคล้ายสิวแตกต่างจากตัวเมียโดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ และสีลำตัวก็จะเปลี่ยนไปเห็นได้ชัดเจน เป็นปลาที่มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง มีความปราดเปรียวว่องไวมาก อาศัยหากินอยู่ในระดับผิวน้ำและกลางน้ำ โดยล่าปลาขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร ขนาดความยาวลำตัวสูงสุดราว 1 ฟุต จำแนกได้ทั้งหมด 17 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาน้ำหมึกยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาน้ำหมึกจีน

ปลาน้ำหมึกจีน (Freshwater minnow, Pale chub, Zacco; 平頜鱲; พินอิน: píng hé liè) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเพรียวยาว มีลำตัวสีเงินอมฟ้า มีเหลือบสีเขียว และมีลายแถบข้างลำตัว 7-8 แถบ หรือมากกว่านั้น ลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาในสกุลปลาน้ำหมึก แต่ทว่ามีขนาดใหญ่กว่ามาก ครีบต่าง ๆ ยาว โดยเฉพาะครีบก้นยาวเกือบถึงครีบหาง สีน้ำตาล มีก้านครีบ 10-13 ก้าน ม่านตาสีแดง เป็นปลาที่มีสีสันสวยงาม โดยเฉพาะตัวผู้ในฤดูผสมพันธุ์ สีจะสดเข้มกว่าปกติ และมีเม็ดคล้ายกับสิวขึ้นที่บริเวณใบหน้าและแผ่นปิดเหงือก มีความยาวประมาณ 8-12 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุดได้ถึง 17 เซนติเมตร เป็นปลาที่มีความคล่องแคล่วว่องไวมาก พบกระจายพันธุ์อยู่ในลำธารที่น้ำมีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ ในจีนตอนใต้ต่อกับตอนเหนือของเวียดนาม และยังพบได้จนถึงเกาหลีและญี่ปุ่น อยู่รวมกันเป็นฝูง กินแมลงและตัวอ่อนของแมลง รวมถึงสัตว์น้ำขนาดเล็กและพืชน้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร มีการจับเพื่อการบริโภค พบชุกชุมตลอดทั้งปี และยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งสามารถเลี้ยงให้กินได้ทั้งอาหารสดและอาหารสำเร็จรูป.

ใหม่!!: สัตว์และปลาน้ำหมึกจีน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาน้ำหมึกโคราช

ปลาน้ำหมึกโคราช หรือ ปลานางอ้าวโคราช เป็นชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Opsarius koratensis อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเพรียวยาว ปากกว้างปลายแหลม เกล็ดใหญ่ค่อนข้างบาง มีลายขีดข้างลำตัวเล็กสีน้ำเงินตามแนวตั้ง ครีบสีเหลือง มีแต้มสีน้ำเงินหรือสีคล้ำอยู่ตรงกลางระหว่างขากรรไกรล่าง ในฤดูผสมพันธุ์ปลาตัวผู้จะมีสีสันสดใส มีขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร เป็นปลากินเนื้อ อาหารได้แก่ แมลง แมลงน้ำ แพลงก์ตอน ลูกปลา ลูกกุ้งขนาดเล็ก มีพฤติกรรมอาศัยอยู่เป็นฝูงในฤดูผสมพันธุ์ ปลาตัวอ่อนเลี้ยงตัวชายฝั่งของแม่น้ำและลำธารที่อยู่ พบในลำธารในป่าและบริเวณเชิงเขาในภาคเหนือและภาคอีสานของประเทศไทย รวมทั้งพบในแม่น้ำโขงด้วย เป็นปลาที่พบชุกชุม และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีชื่อเรียกอื่นอีกว่า "ปลาน้ำหมึก" หรือ "ปลาแปบ" เป็นต้นสมโภชน์ อัคคะทวีวัฒน์, หน้า 118 สาระน่ารู้ปลาน้ำจืดไทย เล่ม ๑ (พ.ศ. 2547) ISBN 974-00-8701-9.

ใหม่!!: สัตว์และปลาน้ำหมึกโคราช · ดูเพิ่มเติม »

ปลาน้ำเงิน

ปลาน้ำเงิน (コモンシート) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phalacronotus apogon อยู่ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) มีรูปร่างคล้ายปลาเนื้ออ่อนชนิดอื่นที่อยู่ในวงศ์เดียวกัน คือลำตัวเรียวยาวและแบนข้าง ไม่มีเกล็ด พื้นลำตัวสีขาวเงิน ส่วนหลังมีสีดำอมเขียว หัวแบนสั้นและตาเล็ก ปากค่อนข้างกว้าง มีฟันแหลมคมอยู่บนขากรรไกรทั้งสองข้าง ครีบหูใหญ่ปลายมน ครีบท้องมีขนาดเล็ก ครีบก้นเป็นแผงยาว แต่ไม่มีครีบหลัง สันหลังบริเวณต้นคอสูงและลาดต่ำลงไปทางปลายหาง ครีบหางยาวเป็นแฉกเว้าลึก มีขนาดความยาวประมาณ 15-77 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 1.5 เมตร อาศัยตามแม่น้ำสายใหญ่ของภาคเหนือ, ภาคอีสาน และภาคกลาง เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำโขง เป็นต้น โดยมักอยู่รวมกันเป็นฝูงในระดับกลางน้ำ อาหารได้แก่ ปลา สัตว์น้ำขนาดเล็ก และแมลงต่าง ๆ และจะชอบอาหารกลิ่นแรง เช่น แมลงสาบ เป็นที่รู้จักกันดีของนักตกปลาที่ใช้เป็นเหยื่อ เป็นปลาที่มีรสชาติอร่อยมาก สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น ทอดพริก, ทอดกระเทียม เป็นต้น ของจังหวัดตามริมแม่น้ำ และยังสามารถเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้อีกด้วย จัดเป็นปลาที่เมื่ออยู่ในตู้แล้วจะมีความแวววาวสวยงามมากชนิดหนึ่ง เคยพบชุกชุมในธรรมชาติ ปัจจุบันพบน้อยลงเพราะการจับมากเกินไปและสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แต่ปัจจุบันกรมประมง โดยสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดชัยนาทสามารถเพาะพันธุ์ปลาชนิดนี้ได้สำเร็จแล้ว โดยวิธีการผสมเทียม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาน้ำเงิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแบมบูซ่า

ปลาแบมบูซ่า (Yellowcheek; 鳡; ชื่อวิทยาศาสตร์: Elopichthys bambusa) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Elopichthys โดยชื่อสกุล Elopichthys มาจากคำว่า Elops ซึ่งหมายถึงปลาในกลุ่มปลาตาเหลือกหรือปลาตาเหลือกยาวในภาษาอังกฤษ และภาษากรีกโบราณ ἰχθύς (ikhthús) หมายถึง "ปลา" โดยรวมหมายถึง ปลาในสกุลนี้มีรูปร่างคล้ายกับปลาตาเหลือก และชื่อชนิด bambusa หมายถึง "ไม้ไผ่" ซึ่งอ้างอิงมาจากภาษาถิ่นของจีนที่เรียกปลาชนิดนี้ว่า "ชู่ ไหน่ หยู" (พินอิน: Chǔh nuy yu) หมายถึง "ปลาไม้ไผ่นิสัยเสีย" โดย จอห์น รีฟส์ ผู้วาดภาพปลานี้ระหว่างทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบชาในจีนระหว่างปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาแบมบูซ่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแบล็คบาร์เรดฮุก

ปลาแบล็คบาร์เรดฮุก (Disk tetra, Black-barred redhook) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จำพวกปลาซิลเวอร์ดอลลาร์ ในวงศ์ปลาปิรันยา (Serrasalmidae) จัดเป็นปลากลุ่มซิลเวอร์ดอลลาร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีรูปร่างแบนข้างมาก มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปลาปิรันยาหรือปลาเปคู ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า และอยู่ในวงศ์เดียวกัน แต่ปลาแบล็คบาร์เรดฮุกมีขนาดเล็กกว่า มีลำตัวสีเงินแวววาวตลอดทั้งตัว มีจุดเด่น คือ มีแถบสีดำขนาดใหญ่ที่ด้านข้างลำตัวข้างละขีดบริเวณกลางลำตัว และมีครีบต่าง ๆ ยาวได้มากกว่า มีส่วนปลายของครีบก้นยาวงอนเหมือนตะขอและเป็นสีแดง อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้ เช่น แม่น้ำแอมะซอน, แม่น้ำโอรีโนโก ในประเทศบราซิล, เวเนซุเอลา, เปรู และซูรินาม เป็นปลาที่กินอาหารได้หลากหลายทั้งพืชและสัตว์น้ำ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแบล็คบาร์เรดฮุก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแบล็คสวอลโล

ปลาแบล็คสวอลโล (Black swallower)เป็นสายพันธุ์ปลาทะเลลึกในตระกูล Chiasmodontidae เป็นที่รู้จักด้วยความสามารถของมันทีสามารถกลืนปลาที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเองได้ มันมีการแพร่กระจายไปทั่วโลกในเขตร้อนและเขตหุบเขาใต้ทะเลลึกภูเขาใต้ทะเลที่มีความลึก 700-2,745 เมตร (2,297-9,006 ฟุต) เป็นปลาทะเลลึกที่แพร่พันธุ์ได้แพร่หลายมากCarpenter, K.E., et al.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแบล็คสวอลโล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแบล็คโกสต์

ปลาแบล็คโกสต์ หรือ ปลาผีดำ (Black ghost knifefish, Apteronotid eel) เป็นปลาที่จัดอยู่ในอันดับ Gymnotiformes เช่นเดียวกับปลาไหลไฟฟ้า และปลาไนท์ฟิช แหล่งที่อยู่แถบลุ่มแม่น้ำอะเมซอนและซูรินามในทวีปอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแบล็คโกสต์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแบสลายจุด

ปลาแบสลายจุด (Spotted bass; หรือที่เรียกว่า "Spotty", "Leeman" และ"Spots") เป็นปลาน้ำจืดในวงศ์ปลากะพงปากกว้าง (Centrarchidae) ในอันดับปลากะพง เป็นปลาแบสดำชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดในลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปีข้ามไปถึงรัฐรอบอ่าวเม็กซิโก จากกลางรัฐเทกซัสผ่านรัฐฟลอริดาไปถึงรัฐตอนกลางของมหาสมุทรแอตแลนติก และถูกนำเข้าสู่ทางตะวันตกของรัฐนอร์ทแคโรไลนาและรัฐเวอร์จิเนีย รวมถึงทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกาที่ซึ่งสามารถดำรงอยู่ได้ในแหล่งน้ำโดดเดี่ยวบางแห่ง บ่อยครั้งที่เกิดการเข้าใจผิด เพราะว่ามีลักษณะคล้ายกับปลาแบสปากใหญ่ (M. salmoides) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน ปลาแบสลายจุดมีขนาดยาวประมาณ 64 เซนติเมตร หนักได้ถึง 4.6 กิโลกรัม มีช่วงชีวิตอย่างน้อยที่สุด 7 ปี ลำตัวมีลายจุดสีดำใต้เส้นข้างลำตัวของอันเป็นที่มาของชื่อ ปลาแบสลายจุดจะคล้ายกับปลาแบสปากใหญ่มากในเรื่องของลักษณะและสีสัน แต่ปลาแบสลายจุดมีปากที่มีขนาดเล็กกว่า ปลากินแมลง, กุ้ง-กั้ง-ปู, กบ, แอนเนลิดา และปลาขนาดเล็กเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแบสลายจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแบสดำ

ปลาแบสดำ (Black bass) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลากะพงปากกว้าง (Centrarchidae) ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อสกุลว่า Micropterus ชนิดต้นแบบคือ M. dolomieu (ปลาแบสปากเล็ก) ปลาแบสดำมีการกระจายพันธุ์ในพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตะวันออกของเทือกเขาร็อกกีในทวีปอเมริกาเหนือ จากลุ่มน้ำฮัดสันเบย์ในประเทศแคนาดาถึงทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเม็กซิโก พบในรัฐแคลิฟอร์เนียด้วยเช่นกัน 2-3 ชนิดอย่างปลาแบสปากใหญ่ (M. salmoides) และปลาแบสปากเล็กถูกนำไปเลี้ยงทั่วโลกอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันถูกพิจารณาว่าเป็นชนิดที่พบทั่วโลก ปลาแบสดำทุกชนิดเป็นปลาเกมที่เป็นที่นิยมตกเป็นเกมกีฬา ปลาในสกุลนี้โดยมากมีสีเขียวทึม มีลายสีดำข้างลำตัว ยาวประมาณประมาณ 40-60 เซนติเมตร แต่บางชนิดอย่างปลาแบสปากใหญ่มีรายงานว่าพบตัวที่มีขนาดถึง 1 เมตร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแบสดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแบสปากใหญ่

ปลาแบสปากใหญ่ หรือ ปลากะพงปากกว้าง (Largemouth bass, Widemouth bass, Bigmouth, Black bass, Bucketmouth, Potter's fish, Florida bass, Florida largemouth, Green bass, Green trout, Gilsdorf bass, Linesides, Oswego bass, Southern largemouth, Northern largemouth) เป็นปลาแบสดำชนิดหนึ่งในวงศ์ปลากะพงปากกว้าง (Centrarchidae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Micropterus salmoides มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ ปลาแบสปากใหญ่มีสีเขียวมะกอก มีจุดสีดำหรือสีเข้มเรียงต่อกันเป็นแนวยาวดูขรุขระในแต่ละด้านของลำตัว ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ ปลาแบสปากใหญ่เป็นปลาแบสดำชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่มีบันทึกไว้มีขนาดยาวถึง 1 เมตร และหนักมากที่สุดถึง 11.4 กิโลกรัม มีอายุโดยเฉลี่ย 16 ปี ลูกปลาขนาดเล็ก เป็นปลาที่นิยมตกเป็นเกมกีฬาอย่างมากในทวีปอเมริกาเหนือ โดยเป็นปลาที่กระจายพันธุ์ไปตามแหล่งน้ำจืดต่าง ๆ เช่น หนอง, บึง อีกทั้งยังมีบางส่วนเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแบสปากใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแบสปากเล็ก

ปลาแบสปากเล็ก (Smallmouth bass, Smallmouth, Bronzeback, Brown bass, Brownie, Smallie, Bronze bass, Bareback bass) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลากะพงปากกว้าง (Centrarchidae) ในอันดับปลากะพง (Perciformes) เป็นชนิดต้นแบบของสกุล มีถิ่นกำเนิดในลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปีตอนบนและตอนกลาง ระบบแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์-เกรตเลกส์ และลุ่มน้ำฮัดสัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแบสปากเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแชด

ปลาแชด (Shad ITIS) เป็นวงศ์ย่อยของปลาที่อยู่ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Alosinae พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วโลก ประมาณ 30 ชนิด พบได้ทั้งในทะเล, ชายฝั่ง, แม่น้ำ หรือในแหล่งน้ำจืด และในที่ประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง แบ่งออกเป็นสกุลต่าง ๆ เช่น Alosa (ปลาแฮร์ริ่งแม่น้ำ), Hilsa (ปลามงโกรย) หรือ Tenualosa (ปลาตะลุมพุก).

ใหม่!!: สัตว์และปลาแชด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแฟลกเทลแคทฟิช

ปลาแฟลกเทลแคทฟิช (Flagtail catfish, Stripedtail catfish) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแพะ (Callichthyidae) มีรูปร่างเรียวยาวเป็นทรงกระบอก ส่วนหัวแหลม ปากแบนเล็ก มีหนวดบนปากสองเส้นและข้างปากอีกสองเส้น และริมฝีปากอีก 4 เส้น ใช้ในการสัมผัสหาอาหาร ลำตัวมีผิวหนังที่พัฒนาเป็นเกราะแข็งใช้สำหรับป้องกันตัว ส่วนหัวมีจุดสีดำกระจัดกระจายไปทั่ว มีแถบสีดำในแนวนอนลากยาวตั้งแต่จมูกจรดแผ่นปิดเหงือก ดวงตาอยู่ตรงขนานกับปาก ครีบหางมีลายสีขาวดำพาดผ่านเป็นแนวนอน เป็นปลาขนาดเล็ก มีความยาวไม่เกิน 10 เซนติเมตร กระจายพันธุ์ในแม่น้ำอเมซอน ในทวีปอเมริกาใต้ ในสภาพที่มีน้ำไหลเอื่อย ๆ ไม่แรงมากนัก มีเศษซากใบไม้หรือพืชน้ำทับถมรวมกันและขึ้นอยู่บ้าง หากินโดยใช้ปากควานหาอาหารกับพื้นน้ำ เป็นปลาที่มีความสวยงาม จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเพื่อเก็บกินเศษอาหารที่ปลาอื่นกินเหลือไว้ จัดเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย กินอาหารได้หลากหลายทั้งอาหารสดและอาหารเม็ด มีนิสัยเรียบร้อย ไม่ดุร้ายก้าวร้าว ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แลวในสถานที่เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแฟลกเทลแคทฟิช · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแฟงค์ทูธ

ปลาแฟงค์ทูธ (fangtooth.) มีลักษณะรูปร่างที่น่ากลัวเขี้ยวยาวมี2ชนิดใหญ่ๆโดยพวกมันเป็นอาศัยในน้ำลึกพบได้ทั้วโลก ส่วน Anoplogaster Brachycera อาศัยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนและมหาสมุทรแอตแลนติก ตัวที่โตเต็มวัยมีหลากสีตั้งแต่ น้ำตาลแก่ จนถึงดำ ในขณะที่ตัวที่อายุยังน้อยมีลักษณะต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะมีสีเทาสว่างและมีหนามยาวบนหัวหรือ ดวงตาของมันมีขนาดเล็กขากรรไกรขนาดใหญ่และเขี้ยวที่ยาวและคม รูปร่างเหมือนสัตว์ประหลาด ตัวโตเต็มวัยของมันก็มีขนาดความยาวแค่ 6 นิ้ว แถมมีลำตัวสั้นและหัวขนาดใหญ่ แฟงค์ทูธ ตั้งชื่อตามตัวปลาที่มีฟันยาวและคม เหมือนเขี้ยวเรียงตัวกันอยู่ในปากขนาดใหญ่ แฟงค์ทูธเป็นอีกสายพันธุ์สุดขั้วที่อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกลงไปถึง 16,000 ฟุต ด้วยความลึกระดับนี้ แรงดันน้ำจึงมีระดับสูงและเย็นมากจนแทบจะเป็นน้ำแข็ง อาหารจึงเป็นสิ่งหายาก ดังนั้นแฟงค์ทูธจึงกินทุกอย่างที่หาได้ และอาหารส่วนใหญ่ก็ตกลงมาจากทะเลด้านบน เจ้าปลาแฟงค์ทูธสามารถพบเจอได้ทั่วโลก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแฟงค์ทูธ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแฟนซีคาร์ป

ปลาแฟนซีคาร์ป (Fancy carp, Mirror carp; 鯉, 錦鯉; โรมะจิ: Koi, Nishikigoi-ปลาไน, ปลาไนหลากสี) เป็นปลาคาร์ปหรือปลาไน ชนิดย่อย Cyprinus carpio haematopterus.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแฟนซีคาร์ป · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแพะลาย

ปลาแพะลาย (Mottled goatfish, Blackstriped goatfish, Freckled goatfish, Bartail goatfish) ปลาทะเลและปลาน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแพะ (Mullidae) มีลักษณะสำคัญ คือ กลางลำตัวมีแถบหนาสีน้ำตาลเข้มพาดตามยาวลำตัว อันเป็นที่มาของชื่อ ท้องมีลายจุดสีแดง ปลายครีบหลังทั้งสองอันมีสีน้ำตาลเข้ม ครีบหางท่อนบนและท่อนล่างมีแถบสีน้ำตาลเข้ม 4-5 แถบ ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร ขนาดโดยเฉลี่ย 20 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อยู่ในแนวปะการังตลอดทั้งแถบอินโด-แปซิฟิก ไปจนถึงสิงคโปร์และออสเตรเลีย พบทั้งในเขตเขตน้ำตื้นจนถึงระดับลึกมากกว่า 20 เมตร บริเวณพื้นทะเลที่เป็นทรายปนโคลนและมีน้ำขุ่น ออกหากินในเวลากลางวัน โดยใช้หนวดคุ้ยเขี่ยสัตว์น้ำขนาดเล็กที่หลบอยู่ใต้พื้นเป็นอาหาร เป็นปลาที่มีการนำมาบริโภคบ้าง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแพะลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแพะเหลือง

ปลาแพะเหลือง (Sunrise goatfish, Sulphur goatfish) ปลาทะเลและปลาน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแพะ (Mullidae) มีลำตัวยาวเล็กน้อย คางมีหนวดเรียวยาว 2 เส้น ปากบนและปากล่างมีแถบของฟันซี่เล็ก บนเพดานปากด้านข้างแต่ละข้างมีฟันหนึ่งแถบ และแนวกลางเพดานปากส่วนหน้ามีฟัน 2 หย่อมเล็ก ๆ ช่องระหว่างครีบหลังทั้ง 2 อันมีเกล็ดคั่นกลาง 5 1/2 เกล็ด แนวของคอดหางมีเกล็ด 12-13 เกล็ด ด้านหลังมีสีเขียวออกเงินหรือชมพู และกลายเป็นสีเงินบริเวณด้านข้างและท้อง ด้านข้างลำตัวมีแถบสีเหลืองทองหรือส้ม 2 แถบ พาดตามแนวยาวลำตัว เป็นลักษณะเด่น ขอบปลายสุดของครีบหลังอันแรกเป็นสีดำ ส่วนที่เหลือเป็นสีเหลืองคล้ำ 2 แถบ ขอบท้ายของครีบหางเป็นสีคล้ำ หนวดสีขาว มีความยาวโดยเฉลี่ย 20 เซนติเมตร ยาวที่สุด 23 เซนติเมตร กระจายพันธุ์ตามแถบชายฝั่งที่เป็นพื้นโคลน และอาจพบได้ในแหล่งน้ำกร่อย ในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิคฝั่งตะวันตก มีการประมงบ้าง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแพะเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแพะเขียว

ปลาแพะเขียว (Bronze corydoras, Green corydoras) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแพะ (Callichthyidae) มีลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ด เป็นแผ่น ๆ ซ้อนกัน ลำตัวมีลักษณะกลมป้อมเบนข้างทางด้านท้ายมีครีบ 8 ครีบ ที่ครีบอกมีเงี่ยงแข็งข้างละเงี่ยง ปากอยู่ทางด้านใต้มี หนวดเล็ก ๆ 2 คู่ ที่มุมปากสีของลำตัวปกติเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล ข้างลำตัวเป็นสีเขียวเงาแวววาว หาง และครีบแต่ละครีบมีสีค่อนข้างโปร่งใส ขนาดตัวยาวประมาณ 6-7 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำลาพลาตาทางด้านทิศตะวันออกของเทือกเขาแอนดีส มักพบในแหล่งน้ำตื้น ที่เป็นโคลนขุ่น อุณหภูมิประมาณ 17-30 องศาเซลเซียส บางครั้งอาจพบเป็นหมื่น ๆ ตัว โดยมีอวัยวะพิเศษช่วยในการหายใจ โดยปลาสามารถขึ้นมาฮุบอากาศที่เหนือผิวน้ำได้ จึงสามารถปรับตัวให้อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำได้ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะที่คล้ายกัน ความแตกต่างของทั้ง 2 เพศ สังเกตเห็นได้ชัดเมื่อตอนปลาโตได้ขนาด โดยปลาตัวเมียมีรูปร่างที่กลมป้อมหนากว่า และขนาดใหญ่กว่า ส่วนในตัวผู้มีรูปร่างที่เล็กเรียวกว่า สามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้ นับเป็นปลาแพะชนิดที่เพาะขยายพันธุ์ได้ง่าย โดยตัวผู้เข้าไปสั่นร่างเป็นสัญญาณเชิญชวน หากตัวเมียพร้อมก็มีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการขยับเข้าหา ตัวผู้ปล่อยน้ำเชื้อออกให้ตัวเมียอมไว้ในปาก จากนั้นตัวเมียจะออกไข่มาจำนวนหนึ่งแล้วอุ้มไว้ด้วยครีบท้องที่มีลักษณะกลมกว้างคล้ายตะกร้า วางไข่ที่ใบของไม้น้ำ โดยแม่ปลาพ่นน้ำเชื้อในปากลงบนใบไม้ก่อนเอาไข่ที่อุ้มไว้แปะลงไป หลังจากนั้นก็ทำวิธีการเดียวกันซ้ำอีกเรื่อย ๆ จนกระทั่งไข่หมดท้อง แม่ปลาวางไข่ครั้งละประมาณ 150-300 ฟอง ไข่ปลาฟักออกเป็นตัวประมาณ 3-4 วัน ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำ ลูกปลาระยะแรกจะยังว่ายน้ำไม่ได้ โดยกินอาหารผ่านทางถุงไข่แดงที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ใช้เวลา 2-3 วัน ถุงไข่แดงถึงจะยุบลงไป และลูกปลาจะว่ายน้ำหาอาหารกินเองได้ เมื่ออายุได้ 3 วัน ใช้เวลาในการเจริญเติบโตจนเต็มวัยประมาณ 2 ปี ปลาแพะเขียว นับเป็นปลาแพะชนิดที่แพร่หลายมากที่สุดในวงการปลาสวยงามของประเทศไทย จัดเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ไม่รบกวนหรือทำร้ายปลาอื่น อีกทั้งยังสามารถเพาะขยายพันธุ์จนได้เป็นปลาแพะเผือก ที่มีตาสีแดง ผิวลำตัวเป็นสีขาวอมชมพูอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแพะเขียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแกมบูเซีย

ปลาแกมบูเซีย (Gambusias, Topminnows) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Gambusia (/แกม-บู-เซีย-อา/) ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliidae) จัดเป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัวจำพวกหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับปลาในวงศ์นี้สกุลอื่นทั่วไปหรือคล้ายปลาหางนกยูง แต่มีขนาดใหญ่กว่า ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 3 นิ้วในตัวเมีย และ 1.5 นิ้ว ในตัวผู้ กระจายพันธุ์ตั้งแต่รัฐเท็กซัส ของสหรัฐอเมริกา ไปจนถึงแคริบเบียน และทวีปอเมริกาใต้ มีลักษณะเด่น คือ มีศักยภาพในการกินลูกน้ำ ซึ่งเป็นตัวอ่อนของยุงได้เป็นอย่างดี โดยกินในปริมาณที่มาก แม้แต่ลูกปลาที่เกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปลากินยุง (G. affinis) จึงเป็นนิยมนำเข้ามาในประเทศต่าง ๆ เพื่อกำจัดยุงในแหล่งน้ำต่าง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแกมบูเซีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแกง

ปลาแกง (Chinese mud carp fish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลานวลจันทร์น้ำจืด (C. microlepis) และปลานวลจันทร์เทศ (C. cirrhosus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน มีส่วนท้องที่ป่องออก เกล็ดเล็กละเอียดมีสีเงินอมเทา ตาเล็ก ส่วนหัวมีขนาดเล็ก ปากเล็กหนาอยู่สุดปลายสุดของส่วนหัว ครีบหางเว้าลึก มีจุดกลมสีดำที่โคนครีบหาง ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 55 เซนติเมตร กระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศจีนจนถึงไต้หวัน และเวียดนาม, กัมพูชา, ลาวและประเทศไทย พบในภาคกลาง ภาคเหนือ และบางส่วนของภาคใต้ หากินโดยและเล็มตะไคร่น้ำและอินทรีย์สารตามพื้นท้องน้ำ โดยที่ปลาชนิดนี้นิยมรับประทานเป็นปลาเศรษฐกิจด้วยการรับประทานด้วยการปรุงสด เนื่องจากเนื้อมีรสชาติดี ในภาษาอีสานจะเรียกว่า "ปลาพอนดำ" และในภาษาเหนือจะเรียกว่า "ปลาลูกแกง" ส่วนในภาษาจีนเรียกว่า "ลิ่นฮื้อ" หรีอ "ตูลิ่นฮื้อ" (鲮).

ใหม่!!: สัตว์และปลาแกง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแก้มช้ำ

ปลาแก้มช้ำ (Red cheek barb, Javaen barb) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายปลาชนิดอื่นในวงศ์นี้ แต่มีรูปร่างป้อมกลมกว่า ด้านข้างแบน หัวเล็ก ปากค่อนข้างเล็กและอยู่ปลายสุด มีหนวดสั้น ๆ และเล็กจำนวน 4 เส้น มีเกล็ดค่อนข้างใหญ่ สีตามบริเวณลำตัวและหัวจะเป็นสีขาวเงิน หลังสีน้ำตาลอ่อน ฝาปิดเหงือกมีสีแดงหรือสีส้มเหมือนรอยช้ำ อันเป็นที่มาของชื่อ บริเวณหลังช่องเปิดเหงือกมีสีแถบดำ ครีบทั้งหมดมีสีแดง ครีบหางจะมีสีแถบดำ ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร พบกระจายอยู่ทั่วไปทุกภูมิภาคของไทย โดยอาศัยอยู่รวมเป็นฝูงใหญ่ และบางครั้งอาจปะปนกับปลาตะเพียนชนิดอื่น ๆ เช่น ปลาตะเพียนเงิน (Barbonymus gonionotus), ปลาตะเพียนทอง (B. altus) หรือ ปลากระแห (B. schwanenfeldii) เป็นต้น มีชื่อเรียกต่าง ๆ มากมายตามแต่ละภูมิภาค เช่น ภาษาใต้เรียก "ปลาลาบก", ภาษาเหนือเรียก "ปลาปกส้ม", ภาษาอีสานเรียก "ปลาสมอมุก" หรือ "ปลาขาวสมอมุก" เป็นต้น เป็นปลาที่นิยมใช้บริโภคเหมือนปลาตะเพียนทั่วไป และนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยปลาที่ถูกเลี้ยงในตู้กระจกสีสันจะสวยกว่าปลาที่อยู่ในธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแก้มช้ำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแมกเคอเรลแท้

ปลาแมกเคอเรลแท้ (True mackerels) เป็นเผ่าของปลาทะเลจำพวกปลาแมกเคอเรลเผ่าหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scombrini ในวงศ์ปลาอินทรี หรือปลาทูน่า (Scombridae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาแมกเคอเรลแท้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแมว

ปลาแมว (Dusky-hairfin anchovy) เป็นชื่อปลาชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาแมว (Engraulidae) มีลำตัวแบนข้าง ท้องเป็นสันคม เกล็ดเล็กหลุดร่วงง่าย ครีบอกมีปลายเรียวเป็นเส้น ตัวผู้มีสีคล้ำ ครีบหางสีเหลือง และขอบสีคล้ำ มีขนาดประมาณ 15 เซนติเมตร ใหญ่สุด 25 เซนติเมตร สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดหรือน้ำกร่อยได้ โดยมีพฤติกรรมอยู่เป็นฝูงเล็ก ว่ายในระดับกลางน้ำ อาหารได้แก่ ลูกกุ้ง ลูกปลา พบในปากแม่น้ำตอนล่างถึงชายฝั่ง ในภาคอีสานพบที่แม่น้ำโขง เป็นต้น ไม่พบบ่อยมากนัก และมักตายง่ายมากเมื่อพ้นจากน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแมว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแมงป่องยักษ์

ปลาแมงป่องยักษ์ (Tassled scorpionfish) ปลาทะเลมีพิษชนิดหนึ่ง จำพวกปลาแมงป่อง (Scorpaenidae) มีปากกว้าง ส่วนหน้าเว้าเล็กน้อย ครีบอกค่อนข้างกลม ปลายริ้ว ครีบหลังมีก้านสั้น ใต้คางและผิวทั่วทั้งตัวมีติ่งหนังเป็นเส้นริ้วเล็ก ๆ ครีบหางปลายตัดมน มีลำตัวสีแดงหรือสีน้ำตาล มีลายบั้งสีเข้มและลายด่างสีจาง ๆ หางมีบั้งและขอบสีจาง เป็นปลาที่มีพฤติกรรมนอนอยู่นิ่ง ๆ ในโพรงหินหรือปะการังใต้น้ำ เพื่อรอฮุบเหยื่อซึ่งได้แก่ ปลาขนาดเล็กต่าง ๆ โดยอยู่ตามลำพังหรือเป็นคู่ พบในแนวปะการังตามชายฝั่ง มีความยาวเต็มที่ประมาณ 35 เซนติเมตร จัดเป็นปลาที่พบได้บ่อย กระจายพันธุ์ทั่วไปในมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย ในน่านน้ำไทยพบเฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแมงป่องยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแมนดาริน

ปลาแมนดาริน (Mandarinfish, Mandarin dragonet, Common mandarin, Striped mandarin, Striped dragonet, Mandarin goby) เป็นปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Synchiropus splendidus อยู่ในวงศ์ปลามังกรน้อย (Callionymidae) ซึ่งเป็นปลาทะเลขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปลาในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) แต่มิได้อยู่ในวงศ์ปลาบู่ ปลาแมนดาริน เหตุที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะด้วยลำตัวของที่แลดูเรียบลื่น เต็มไปด้วยเส้นสายสีเขียวทาบทับกันไปมาบนพื้นลำตัวสีส้มเป็นมัน เหมือนกับลายผ้าไหมหรือแพรชั้นดี จนดูละม้ายคล้ายคลึงกับชุดขุนนางจีนโบราณ ขณะที่ชื่อวิทยาศาสตร์นั้นก็สอดคล้องเช่นกัน โดยคำว่า "Syn" มาจากภาษากรีกโบราณหมายถึง มี และ "chiropus" มีความหมายถึง มีมือเป็นเท้า เพราะปลาชนิดนี้จะใช้ครีบท้องที่มีขนาดใหญ่คืบคลานไปมาตามท้องทะเลเพื่อหาอาหารได้แก่ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กต่าง ๆ ตามพื้นทราย มากกว่าจะว่ายน้ำ และใช้ครีบหูที่ใสกระพือไปมาอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ครีบหางใช้เสมือนหางเสือบังคับทิศทาง และ "spendidus" ที่เป็นชื่อชนิดนั้น มีความหมายว่า สีสันสดใสสวยงาม ตลอดทั้งลำตัวนั้น จะมีสีต่าง ๆ ทั้งหลายหลากสีมาก เช่น สีฟ้า, สีเขียว, สีส้ม และสีเหลือง ซึ่งเป็นสีสะท้อนแสงคล้ายกับแสงหลอดนีออน สีเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นชัดเป็นจุดและลวดลายต่าง ๆ โค้งไปมา เป็นปลาที่พบกระจายพันธุ์ค่อนข้างกว้าง โดยพบได้ตั้งแต่ตอนใต้ของหมู่เกาะริวกิว ในประเทศญี่ปุ่น จนถึงทะเลฟิลิปปิน, ประเทศอินโดนีเซีย, หมู่เกาะไมโครนีเซีย, นิวแคลิโดเนีย จนถึงออสเตรเลีย แต่ไม่พบในน่านน้ำไทย พบอาศัยในกระแสน้ำไม่แรงนักตามกองหินและแนวปะการัง ออกหากินในเวลากลางคืน เริ่มตั้งแต่พลบค่ำ ขณะที่กลางวันจะนอนพักผ่อน มีขนาดความยาวเต็มที่ไม่เกิน 8 เซนติเมตร แต่โดยเฉลี่ยแล้วมีขนาดเล็กกว่านี้ถึงครึ่งหนึ่ง โดยสีต่าง ๆ เหล่านี้สามารถปรับให้เข้มหรืออ่อนได้ตามสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ ในปลาตัวผู้สีจะเข้มขึ้นเมื่อต่อสู้กันหรืออยู่ในช่วงผสมพันธุ์ ปลาตัวผู้และตัวเมียมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดย ตัวผู้จะมีครีบหลังเป็นกระโดงยาวยืดออกมา ขณะที่ตัวเมียไม่มี และตัวผู้มีส่วนหัวที่ใหญ่กว่า ปลาแมนดารินมีอุปนิสัยก้าวร้าวพอสมควร โดยเฉพาะกับปลาชนิดเดียวกัน โดยเฉพาะตัวผู้จะมีอาณาเขตที่ชัดเจน หากพบผู้บุกรุกจะกางครีบต่าง ๆ และเบ่งสีเพื่อข่มขู่ อีกทั้งยังถือเป็นปลาที่มีพิษชนิดหนึ่ง เพราะเมือกที่ปกคลุมลำตัวนั้นมีพิษ ใช้กันสำหรับเมื่อตกเป็นอาหารของสัตว์น้ำหรือปลาที่มีขนาดใหญ่กว่า พฤติกรรมเมื่อผสมพันธุ์ จะสวยงามมาก เมื่อตัวผู้เป็นฝ่ายว่ายไปรอบ ๆ ตัวเมียเพื่อเกี้ยวพาจนแลดูเหมือนกับการเต้นรำ ซึ่งถือว่าเป็นปลาที่ปล่อยไข่ให้ลอยไปตามกระแสน้ำ ก่อนที่ตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าไปผสม ความที่เป็นปลาที่มีความสวยงามมาก จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามที่ได้รับความนิยมกันมาอย่างยาวนาน แต่ปลาที่มีการซื้อขายกันนั้นเป็นปลาที่ถูกจับมาจากแหล่งธรรมชาติ คือ ทะเลเท่านั้น โดยชาวประมงในบางพื้นที่เช่น ฟิลิปปินส์ จะใช้เครื่องมือจับที่ทำจากวัสดุง่าย ๆ เช่น ไม้หรือไผ่ ตัดให้คล้ายกับปืน ซึ่งตอนปลายพันด้วยเหล็กแหลมคล้ายฉมวกหรือหอก ใช้สำหรับเล็งปลาเป็นตัว ๆ ไปตามแนวปะการัง ซึ่งปลาตัวที่ถูกแทงจะได้รับบาดแผลหรือหางเป็นรู แต่สำหรับปลาแมนดารินแล้วเมื่อได้รับการพักฟื้นในสถานที่เลี้ยงไม่นาน แผลดังกล่าวก็จะหายเป็นปกติภายในเวลาไม่กี่วัน ปัจจุบัน ถือเป็นปลาที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในที่เลี้ยง สำหรับในประเทศไทยเพิ่งเพาะได้สำเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อกลางปี พ.ศ. 2552 โดย สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี โดยตัวผู้หนึ่งตัวสามารถผสมกับตัวเมียได้ 2-3 ตัว ปลาจะทำการจับคู่กันในเวลาพลบค่ำ และวางไข่ ถือเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก เมื่อไข่ถูกปล่อยออกมาแล้วจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ ก่อนจะนำไปอนุบาลต่อไป ซึ่งลูกปลาใช้เวลาในการฟักเป็นตัวเร็วมาก คือ ใช้เวลาไม่เกิน 14 ชั่วโมง ในอุณหภูมิน้ำราว 28 เซลเซียส เมื่อฟักออกเป็นตัวนั้น ลูกปลาจะใช้ส่วนหัวดันออกมาก่อนก่อนใช้หางดันกับผนังเปลือกไข่ จนกว่าจะหลุดออกมาได้สำเร็จ โดยแรกเกิดมีขนาดความยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตรเท่านั้น และมีขนาดของถุงไข่แดงเป็นครึ่งหนึ่งของขนาดลำตัว ขณะที่อวัยวะภายในและครีบต่าง ๆ ยังพัฒนาการไม่สมบูรณ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแมนดาริน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแมนดารินจุด

ปลาแมนดารินจุด (Spotted mandarin, Spotted mandarin goby, Target dragonfish, Green mandarin) ปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Synchiropus picturatus อยู่ในวงศ์ปลามังกรน้อย (Callionymidae) มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับปลาแมนดาริน (S. splendidus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันมาก หากแต่ปลาแมนดารินจุดนั้นมีลวดลายและลายจุดที่มีขนาดใหญ่กว่า ล้อมรอบด้วยเส้นตัดขอบจุดซ้อนกันเป็นวงเป็นเส้นสีส้มและสีเขียวเป็นชั้นซ้อนกันกระจายอยู่บนหัวและตลอดลำตัว มีความยาวเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในเขตอินโด-แปซิฟิก โดยหากินและอาศัยอยู่ในแนวปะการังและกองหินใต้น้ำ หาจำพวกสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กกินเป็นอาหาร จากพื้นทราย จัดเป็นปลาที่มีความสวยงามอีกชนิดหนึ่ง จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเช่นเดียวกับปลาแมนดาริน ซึ่งก็สามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้วเช่นกัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแมนดารินจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแรด

ปลาแรด (Giant gourami) เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในวงศ์ Osphroneminae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae นับเป็นปลาแรดชนิดที่เป็นที่รู้จักมากที.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแรด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแรดหกขีด

ปลาแรดหกขีด เป็นปลาแรดชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) เป็นปลาแรดที่มีลักษณะใกล้เคียงกับปลาแรดแดง (O. laticlavius) โดยพบในอินโดนีเซียเช่นเดียวกัน และมีขนาดลำตัวเมื่อโตขึ้นมาก็เท่ากันด้วย นั่นคือ ประมาณ 50 เซนติเมตร แต่ปลาแรดหกขีดนั้นจะพบได้เฉพาะในรัฐซาราวะก์ ในแถบลุ่มแม่น้ำกาปวซ, ลุ่มแม่น้ำมาฮากัม, กาลีมันตัน และติมอร์-เลสเตเท่านั้น ลักษณะเด่นของปลาชนิดนี้ คือ มีแถบข้างลำตัว 6-7 ขีด ซึ่งแถบนี้จะติดตัวไปตลอดชีวิตจึงเป็นที่มาของชื่อเรียกสามัญ แถบแต่ละแถบจะสมบูรณ์ในปลาวัยเยาว์หากเทียบกับ ปลาแรดแดงแล้วนั้น ปลาแรดแดงจะมีแถบแค่ 3-5 แถบเท่านั้นอีกทั้งแถบก็ไม่สมบูรณ์ เมื่อใหญ่ขึ้น แถบนี้จะยาวเหลือ 2 ใน 3 นอกจากนี้แล้วก้านครีบอ่อนของครีบหลังปลาแรดหกขีดจะมีทั้งหมด 11-12 ก้าน ในขณะที่ปลาแรดแดงจะมี 10 ก้าน จำนวนซี่กรองเหงือกของปลาแรดหกขีดจะมีทั้งหมด 11-13 ซี่ ในขณะที่ปลาแรดแดงจะมีราว 8-9 ซี่ นอกจากนั้นแล้วยังมีครีบอื่น ๆ เหลื่อมล้ำกันอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแรดหกขีด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแรดแม่น้ำโขง

ปลาแรดแม่น้ำโขง หรือ ปลาแรดเขี้ยว (Elephant ear gourami; ชื่อวิทยาศาสตร์: Osphronemus exodon) เป็นปลาแรดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างคล้ายปลาแรดธรรมดา (O. goramy) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้ทั่วไป หากแต่ปลาแรดแม่น้ำโขงนั้น จะพบเฉพาะในแม่น้ำโขงที่เดียวเท่านั้น มีความแตกต่างคือ มีลำตัวสีน้ำตาลแดงคล้ำ ครีบก้นแคบและเล็กกว่า และริมผีปากจะไม่สามารถสบกันจนสนิท จนเผยอให้เห็นซี่ฟันในปาก โดยเฉพาะฟันที่ริมฝีปากบน อันเป็นที่มาของชื่อ สันนิษฐานว่าเพื่อใช้สำหรับในการงับลูกไม้หรือผลไม้ต่าง ๆ ที่ตกลงไปในน้ำซึ่งเป็นอาหารหลัก มีขนาดเมื่อโตเต็มที่เล็กกว่าปลาแรดธรรรมดา กล่าวคือ ประมาณ 40 เซนติเมตร เท่านั้น โดยพบใหญ่ที่สุดประมาณ 2 ฟุต โดยปลาขนาดเล็กจะมีแถบสีส้มหรือสีแดงคล้ายคลึงกับปลาแรดแดง (O. laticlavius) มาก และไม่มีแถบแนวตั้งที่ชัดเจน หรือมีก็แค่จาง ๆ มีจุดสีดำขนาดใหญ่ที่โคนหางเหนือครีบก้นชัดเจน มีส่วนหลังสีน้ำตาลเข้มและส่วนท้องสีจางกว่า นอกจากนี้แล้วปลาแรดแม่น้ำโขงยังมีกระดูกปิดเหงือก เมื่อเทียบกับขนาดตัวใหญ่กว่าปลาแรดชนิดอื่น ๆ อีกด้วย ตัวผู้มีหัวโหนกนูน ขากรรไกร และริมฝีปากหนาและใหญ่กว่าตัวเมีย ขณะที่ตัวเมียจะมีจุดสีดำบริเวณโคนครีบอก ซึ่งตัวผู้ไม่มี จากการสำรวจของ ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแรดแม่น้ำโขง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแรดแดง

ปลาแรดแดง หรือ ปลาแรดแดงอินโด (Giant red tail gourami; ชื่อวิทยาศาสตร์: Osphronemus laticlavius) เป็นปลาแรดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากัด ปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างโดยทั่วไปเหมือนปลาแรดชนิดอื่น ๆ แต่ทว่าปลาแรดแดงจะมีรูปร่างที่ยาวกว่า และพบได้เฉพาะในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียเท่านั้น มีลำตัวสีแดงสด ยิ่งเมื่อปลาโตขึ้นเท่าไหร่ สีดังกล่าวจะยิ่งเข้มตามด้วย จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ปลาแรดแดงจะมีการเจริญเติบโตช้ากว่าปลาแรดชนิดอื่น ๆ และขนาดเมื่อโตเต็มที่จัดว่าเป็นปลาแรดชนิดที่เล็กที่สุดด้วย กล่าวคือมีขนาดประมาณ 50 เซนติเมตรเท่านั้น และมีนิสัยดุร้ายก้าวร้าวน้อยที่สุด ตัวผู้และตัวเมียมีจุดสีดำเหนือโคนครีบอกทั้งคู่ แตกต่างกันตรงที่ขนาดของลำตัว โดยแรกนั้น ปลาแรดแดง ได้ถูกนำมาสู่ประเทศไทยในฐานะปลาสวยงาม ราวปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาแรดแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแลมป์เพรย์

ปลาแลมป์เพรย์ (Lamprey, Lamprey eel) เป็นปลาที่อยู่ในชั้นใหญ่ปลาไม่มีขากรรไกร จัดอยู่ในอันดับ Petromyzontiformes และวงศ์ Petromyzontidae ปลาแลมป์เพรย์มีลำตัวยาวลักษณะคล้ายปลาไหล ลำตัวด้านหลังมักจะเป็นสีดำ มีครีบหลังและครีบหาง แต่ไม่มีครีบคู่ ไม่มีเกล็ด ปากจะอยู่ค่อนลงมาทางด้านท้อง มีลักษณะเป็นวงกลมใช้สำหรับดูด มีฟันแหลมคมจำนวนมากที่เจริญดีอยู่ในอุ้งปาก รูจมูกมี 1 รูซึ่งอยู่กึ่งกลางด้านบนของหัว มีตา 1 คู่ ถุงเหงือก 7 ถุง และมีช่องเหงือก 7 ช่อง หัวใจประกอบด้วยเวนตริเคิล 1 ห้อง และเอเตรียม 1 ห้อง โครงร่างเป็นกระดูกอ่อนและเส้นใย และยังคงมีโนโตคอร์ดอยู่ เส้นประสาทหลัง มีการพัฒนาเป็นสมองซึ่งมีเส้นประสาทสมอง 8-10 คู่ ทางเดินอาหารไม่มีกระเพาะอาหาร ส่วนลำไส้บิดเป็นเกลียว มีลักษณะเพศแยกออกเป็นเพศผู้และเพศเมียชัดเจน ปลาแลมป์เพรย์พบได้ทั้งลำธารในน้ำจืด และในทะเล พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วโลก ทั้งยุโรปตอนบน, อเมริกาเหนือ, อเมริกาใต้, แอฟริกาตะวันตก, ญี่ปุ่น, เกาหลี, ชิลี, ออสเตรเลีย และเกาะแทสมาเนีย ปลาแลมป์เพรย์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 จำพวกใหญ่ ๆ คือ แบบธรรมดา จะอาศัยอยู่ตามลำธาร ช่วงชีวิตส่วนใหญ่จะเป็นระยะตัวอ่อนที่กินอาหารแบบกรอง ตัวเต็มวัยมีชิวิตอยู่ 3-4 สัปดาห์ โดยไม่กินอาหารเนื่องจากทางเดินอาหารสลายตัว เหลือเพียงสายของเนื้อเยื้อที่ไม่มีหน้าที่การทำงานและจะตายไปหลังวางไข่ ปลาแลมป์เพรย์จำพวกนี้สามารถดำรงชีวิตได้เอง โดยการกินสัตว์อื่นเป็นอาหาร มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 15-60 เซนติเมตร จะมีการวางไข่ที่ลำธารน้ำจืดที่มีพื้นเป็นทรายและก้อนกรวดเล็ก ๆ ตามพื้นท้องน้ำและวางไข่ในฤดูตัวผู้จะเริ่มสร้างแอ่งวางไข่โดยใช้ปากคาบเอาหินและกรวดจากพื้นโดยการแกว่งลำตัวทำให้ก้อนกรวดกระจายออกไปเกิดเป็นแอ่งรูปไข่ ตัวเมียจะตามมาและเกาะกับหินเหนือแอ่ง ตัวผู้เกาะทางด้านหัวของตัวเมีย ตัวเมียปล่อยไข่ลงในแอ่ง ตัวผู้ปล่อยน้ำเชื้อออกผสม ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วจะยึดเกาะกับก้อนกรวดในแอ่ง แล้วกลบด้วยทราย ลักษณะพิเศษคือ หลังวางไข่แล้วทั้งตัวผู้และเมียก็จะตายไป จากนั้น ไข่จะฟักออกในเวลา 2 สัปดาห์ เป็นตัวอ่อนขนาดเล็กตัวยาว เรียกว่า แอมโมซีทิส (Ammocoetes) ซึ่งจะคงอยู่ในแอ่งจนตัวยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ก็จะฝังตัวเข้าไปในทรายแล้วออกมาหากินในเวลากลางคืน ระยะตัวอ่อนแอมโมซีทีสจะยาวนานประมาณ 3-7 ปี จึงจะเจริญเปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวเต็มวัย ซึ่งตัวเต็มวัยจะคงอยู่ในน้ำจืดอีกประมาณ 1 ปี แล้วก็วางไข่ จากนั้นก็จะตายไป ส่วนชนิดที่เป็นปลาทะเลก็จะอพยพคืนถิ่นสู่ทะเล มีอายุยืนยาวกว่าชนิดที่เป็นปลาน้ำจืด เมื่อเข้ามาวางไข่ในน้ำจืดจะไม่กินอาหาร และ ปลาแลมป์เพรย์ที่เป็นปรสิต จะมีปากคล้ายแว่นดูดและมีอุ้งปาก คล้ายถ้วยลึกลงไปในอุ้งปาก และลิ้นมีฟันที่เจริญดีอยู่ มันจะใช้ปากเกาะเหยื่อและใช้ฟันและลิ้นครูดเอาเนื้อออก และให้เลือดของเหยื่อไหลผ่านได้สะดวก ปลาแลมป์เพรย์จะสร้างสารป้องกันการตกตะกอนของเลือดส่งไปที่ปากแผล เมื่อดูดเลือดของเหยื่อจนตัวเหยื่อแห้งก็จะปล่อยแล้วหาเหยื่อใหม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแลมป์เพรย์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแลมป์เพรย์ทะเล

ปลาแลมป์เพรย์ทะเล หรือ ปลาแลมป์เพรย์ทะเลสาบ (Sea lamprey, Lake lamprey) ปลาชนิดหนึ่ง จำพวกปลาแลมป์เพรย์ หรือปลาปากกลม จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Petromyzon ปลาแลมป์เพรย์ทะเล มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 125 เซนติเมตร น้ำหนักได้ถึง 2.5 กิโลกรัม นับเป็นปลาแลมป์เพรย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีลำตัวยาวคล้ายปลาไหล ลำตัวเรียบลื่นไม่มีเกล็ด มีลักษณะเด่นคือ ปากเป็นวงกลมไม่มีขากรรไกรหรือกราม ภายในปากเต็มไปด้วยฟันคมขนาดเล็กจำนวนมาก เรียงเป็นแถวไปตามวงกลมของปาก ภายในปากมีอวัยวะพิเศษคล้ายท่อ ใช้สำหรับดูดเลือด มีสีลำตัวตั้งแต่สีฟ้าจนถึงสีดำเทา มีดวงตาขนาดเล็ก และมีซี่กรองเหงือกข้างละ 7 แถว กระจายพันธุ์อยู่ตั้งแต่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน, ชายฝั่งแปซิฟิกของอเมริกาเหนือ, โนวาสโกเทีย, ตอนใต้ของเกาะกรีนแลนด์, ไอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร และสแกนดิเนเวีย รวมถึงเกรตเลคส์และแม่น้ำ หรือลำธารน้ำจืดต่าง ๆ กินอาหารโดยการดูดเลือดของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น ปลาขนาดใหญ่ชนิดต่าง ๆ ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม เช่น ปลาโบว์ฟิน, ปลาการ์, ปลาเทราต์, ปลาซัคเกอร์ โดยมักจะดูดบริเวณหลังครีบอกหรือใต้ท้อง รอยแผลจะปรากฏเป็นรอยช้ำแดงเป็นจั้ม ๆ ปลาที่ถูกดูดอาจถึงตายหรือบาดเจ็บสาหัส รวมกระทั่งมีรายงานว่าโจมตีดูดเลือดมนุษย์ที่ลงเล่นน้ำด้วย โดยแผลที่ถูกดูดจะปรากฏรอยฟันเป็นวงกลมเห็นชัดเจน และมีเลือดไหลซิบ ๆ รอยแผลของปลาที่ถูกปลาแลมป์เพรย์ทะเลดูดเลือด ส่วนหัวของปลาแลมป์เพรย์ทะเล ปลาแลมป์เพรย์ทะเล มีวงจรชีวิตปกติอาศัยอยู่ในทะเล แต่จะเดินทางเข้าสู่เขตน้ำจืดเป็นระยะทางไกลนับเป็นพัน ๆ กว่ากิโลเมตร เพื่อผสมพันธุ์และวางไข่ในลำธารน้ำที่ไหลเชี่ยว บางครั้งที่พบเขื่อนหรือที่กั้นที่เป็นที่สูง ก็จะพยายามคืบคลานขึ้นไป ในช่วงนี้ปลาแลมป์เพรย์ทะเลจะไม่กินอาหารทั้งตัวผู้และตัวเมีย การผสมพันธุ์เป็นการปฏิสนธิภายนอก วางไข่ได้ครั้งละ 35,000-100,000 ฟอง โดยปลาตัวเมียจะขุดหลุมวางไข่ซึ่งมีความกว้างประมาณ 1 เมตร และลึกประมาณ 15 เซนติเมตร ไข่จะฟักเป็นตัว หลังจากปลาพ่อแม่ตายไปแล้ว ปลาในวัยอ่อนจะยังไม่มีฟันและตาบอด ซึ่งมีลักษณะภายนอกแตกต่างจากปลาเต็มวัยพอสมควร และต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ปีก่อนที่จะเติบโตจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นปลาเต็มวัย ซึ่งในระยะนี้ปลาวัยอ่อนจะเลี้ยงตัวเองในน้ำจืด ปลาแลมป์เพรย์ทะเล แม้จะมีรูปลักษณ์ที่น่าเกลียด แต่ก็นิยมนำมารับประทานเป็นอาหารทั้งสตูหรือพาย และมีอินเดียนแดงบางเผ่าที่นำมาย่างรมควัน รับประทานเป็นอาหารด้วยVampires of the Deep, "River Monsters".สารคดีทางดิสคัฟเวอรี่แชนแนล ทางทรูวิชั่นส์: จันทร์ที่ 9 กันยายน 2556 ในกลางปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาแลมป์เพรย์ทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแสงอาทิตย์

ำหรับปลาแสงอาทิตย์ที่เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ดูที่: ปลาซันฟิช ปลาแสงอาทิตย์ หรือ ปลาโมลา โมลา (Ocean sunfish, Pacific sunfish, Sunfish, Mola mola) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแสงอาทิตย์ (Molidae) ในอันดับปลาปักเป้า (Tetraodontiformes).

ใหม่!!: สัตว์และปลาแสงอาทิตย์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแอฟริกันไทเกอร์

ปลาแอฟริกันไทเกอร์ (African tigerfishes) เป็นสกุลของปลาน้ำจืด 5 ชนิดที่อยู่ในวงศ์ปลาเตตร้าแอฟริกัน (Alestiidae) ในอันดับปลาคาราซิน ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hydrocynus (/ไฮ-โดร-ไซ-นัส/) โดยมาจากภาษากรีก คำว่า "hydro" (ὕδωρ) หมายถึง "น้ำ" บวกกับคำว่า "kyon" (κύων) ที่หมายถึง "สุนัข" เป็นปลากินเนื้อทั้งหมด มีรูปร่างโดยรวมคือ ลำตัวเพรียวยาวเหมือนตอร์ปิโด เกล็ดมีขนาดใหญ่ มีสีเงินแวววาว และที่ชิ้นเกล็ดจะมีจุดสีเข้ม ทำให้เห็นเป็นลายพาดตามยาวไปตามแนวข้างลำตัวเหนือเส้นข้างลำตัว ทำให้มองดูคล้ายลายของเสือลายพาดกลอน อันเป็นที่มาของชื่อ นอกจากแถบดังกล่าวแล้วส่วนที่ไม่ใช่แถบจะมีสีออกสีเงิน, สีขาว และสีเทา ขณะที่บางตัวอาจมีเหลือบสีฟ้า, สีเขียว, สีส้ม หรือสีเหลืองอ่อนผสมอยู่ด้วย ปลาในสกุลนี้จะมีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ทั้งหมด ครีบหลังจะอยู่ในระดับเดียวกับ ครีบท้องอาจจะอยู่ข้างหน้าเล็กน้อย ภายในปากมีฟันหนึ่งชุดที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนและเป็นจุดเด่น ซึ่งฟันแต่ละซี่ตั้งอยู่ในเบ้า ระหว่างฟันซี่อื่น ๆ บนขากรรไกร และจะแลเห็นได้ตลอดเวลาแม้แต่เมื่อปิดปากสนิท ขากรรไกรมีความแข็งแรงและทรงพลังมาก อีกทั้งสามารถยืดขยายได้กว้างเพราะมีจุดยึดกับมุมปากอยู่ถึงสองจุด ตาจะถูกคลุมโดยเปลือกตาเกือบทั้งหมด ครีบหางเว้าลึกเป็นสองแฉก พบในลุ่มแม่น้ำคองโก ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวมากในทวีปแอฟริกาตอนกลาง เป็นปลาล่าเหยื่อที่ล่าได้อย่างรวดเร็ว ดุดัน ไม่แพ้ปลาปิรันยาในลุ่มแม่น้ำอเมซอน ในทวีปอเมริกาใต้ แต่ไม่นิยมล่ารวมเป็นฝูง เป็นปลาที่กินพวกเดียวกันเองเป็นอาหารและกัดทำร้ายจระเข้ได้ รวมถึงเคยมีรายงานว่าทำร้ายมนุษย์ได้อีกด้วย โดยที่ชาวพื้นเมืองแอฟริกาได้เรียกปลาสกุลนี้ในภาษาลิงกาลาว่า เอ็มเบ็งกะ (Mbenga) หรือ อิงเกวส (Ndweshi) และมีความเชื่อว่าการที่มันล่าและทำร้ายมนุษย์เพราะมีวิญญาณที่ชั่วร้ายสิงสถิตอยู่ มีทั้งหมด 5 ชนิด โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ H. goliath ที่มีความยาวที่สุดได้ถึง 6 ฟุต และมีน้ำหนักถึง 100 ปอน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแอฟริกันไทเกอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแองหวู (สกุล)

ปลาแองหวู (เวียดนาม: Anh Vũ cá) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Semilabeo.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแองหวู (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแอตแลนติกทาร์ปอน

ปลาแอตแลนติกทาร์ปอน (Atlantic tarpon) ปลาทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Megalops atlanticus ในวงศ์ปลาตาเหลือก (Megalopidae) จัดเป็น 1 ใน 2 ชนิดของปลาในวงศ์นี้ มีรูปร่างเหมือนปลาตาเหลือกซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน ต่างกันเพียงปลาแอตแลนติกทาร์ปอนมีดวงตาขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนกับขนาดของหัว ส่วนหัวมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับสัดส่วนของลำตัว ส่วนหัวตรงบริเวณหน้าผากเหนือตา มีลักษณเป็นหยัก ทำให้ปากดูเชิดขึ้นด้านบนมากกว่าและจะชัดเจนมากเมื่อปลาโตขึ้น ลำตัวค่อนข้างเพรียวยาวกว่าชัดเจน ไม่ป้อมสั้นและไม่มีเยื่อไขมันคลุมตาเหมือนปลาตาเหลือก อีกทั้งรูปร่างเมื่อโตขึ้นมาเต็มที่อาจยาวได้ถึง 2.5 เมตร หนักถึง 161 กิโลกรัม ซึ่งใหญ่กว่าปลาตาเหลือกมาก จนได้รับฉายาในภาษาอังกฤษว่า "ราชาสีเงิน" (Silver king) มีการแพร่กระจายพันธุ์ในแถบมหาสมุทรแอตแลนติกแถบชายฝั่งทะเลตั้งแต่แอฟริกาตะวันตก, ทวีปอเมริกาเหนือจนถึงแคนาดาและจนถึงทวีปอเมริกาใต้ เป็นปลากินเนื้อ กินสัตว์น้ำขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร นิยมตกเป็นเกมกีฬา สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ซึ่งเป็นปลาที่มีราคาขายแพงมาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแอตแลนติกทาร์ปอน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแฮลิบัต (สกุล)

ปลาแฮลิบัต (halibut) เป็นสกุลของปลาในอันดับปลาซีกเดียว ในสกุล Hippoglossus (/ฮิป-โป-กลอส-ซัส/) จัดอยู่ในวงศ์ปลาลิ้นหมาตาข้างขวา (Pleuronectidae) เป็นปลาซีกเดียว หรือปลาลิ้นหมา ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อาศัยและหากินอยู่ตามพื้นทะเลในซีกโลกทางตอนเหนือ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแฮลิบัต (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแขยงจุด

ปลาแขยงจุด (Twospot catfish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากด (Bagridae) จัดเป็นปลาหนังขนาดเล็ก หรือปลาแขยง รูปร่างค่อนข้างสั้นมีหนวดยาว 4 คู่ ครีบอกและครีบหลังมีก้านครีบแข็ง ครีบไขมันค่อนข้างสั้น ครีบหางเว้าลึกมีจุดสีดำที่ขอดหาง อันเป็นที่มาของชื่อ ตัวมีสีเทาอมเขียวเข้ม ขนาดที่พบยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 10-20 กรัม ปลาขนาดเล็กจะมีสีเหลืองนวล มักอยู่รวมกันเป็นฝูง พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำไหล เช่นแม่น้ำ, ลำคลอง, ลำธาร พบในภาคกลาง, ภาคตะวันออกและภาคใต้ ของไทย ในต่างประเทศ พบได้ที่กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย พบในแหล่งน้ำที่มีพืชน้ำหรือก้อนหินใต้น้ำ เพื่อใช้เป็นที่หลบซ่อนอาศัย กินอาหารประเภท ตัวอ่อนของแมลงที่อาศัยอยู่ตามพื้นท้องน้ำ, ลูกกุ้ง, ไรน้ำ, ซากสัตว์ และพืชที่เน่าเปื่อย ปลาตัวเมียมีความกว้างลำตัวมากกว่าตัวผู้ และมีขนาดใหญ่กว่า และสามารถเห็นชัดเจนได้ในช่วงฤดูวางไข่โดยตัวเมียจะมีลำตัวกว้าง ท้องอูม เมื่อปลามีไข่ ส่วนตัวผู้จะมีลำตัวเรียวและมีขนาดเล็กกว่า ปลาแขยงจุดที่จับได้ในธรรมชาติพบว่ามีสัดส่วนตัวผู้ต่อตัวเมีย 1:1 เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ปัจจุบันยังไม่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ แต่มีความพยายามจากทางกรมประมงอยู.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแขยงจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแขยงทอง

ปลาแขยงทอง หรือ ปลาอิแกลาเอ๊ะ (ภาษาอินโดนีเซีย: Ikan nuayang) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseudeutropius moolenburghae อยู่ในวงศ์ปลาหวีเกศ (Schilbeidae) มีรูปร่างเพรียวยาว นัยน์ตาโต มีหนวดทั้งหมด 4 คู่ ที่ระหว่างจมูกคู่หน้ากับคู่หลัง 1 คู่ ริมฝีปากบน 1 คู่ ริมฝีปากล่าง 1 คู่ และที่คาง 1 คู่ มีครีบไขมันขนาดเล็กอยู่ใกล้ครีบหาง ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 42-49 ก้าน ครีบหางเว้าเป็นแฉกลึก ลำตัวมีสีเหลืองเหลือบทองจาง ๆ มีจุดสีดำที่บริเวณหน้าครีบหลัง มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง กินอาหารจำพวก แมลง, แมลงน้ำ และกุ้งขนาดเล็ก ในประเทศไทยพบได้ที่แม่น้ำสาละวินในแถบจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในต่างประเทศพบได้ที่ เกาะสุมาตราและบอร์เนียว โดยปลาชนิดนี้เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพของน้ำได้เป็นอย่างดี เป็นปลาที่ชาวพื้นเมืองที่จะนิยมนำมาบริโภคกันโดยจับได้ในปริมาณทีละมาก ๆ ใช้หมักเค็มกับเกลือ เป็นปลาที่ความสวยงามมากชนิดหนึ่ง นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางนัก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแขยงทอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแขยงดาน

ปลาแขยงดาน เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Bagrichthys (/บา-กริค-ทีส/) อยู่ในวงศ์ปลากด (Bagridae) อันดับปลาหนัง (Siluformes) มีลักษณะสำคัญ คือ มีส่วนหัวขนาดเล็ก จะงอยปากเป็นรูปกระสวย ลำตัวแบนข้าง ปากเล็ก รีมฝีปากบนและล่างเป็นจีบ นัยน์ตามีขนาดเล็กมาก ตามีเยื่อหุ้ม หนวดค่อนข้างเล็กสั้นมี 4 คู่ แบ่งเป็นที่จมูก 1 คู่, ริมฝีปากบน 1 คู่, ริมฝีปากล่าง 1 คู่, และคาง 1 คู่สันหลังโค้ง ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยว 1 ก้านเป็นซี่แข็งขอบจักเป็นฟันเลื่อย ซึ่งตั้งตรงเห็นได้ชัดเจน ในบางชนิดจะยาวจนแลดูเด่น มีก้านครีบแขนง 5-6 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยว 2-3 ก้าน และก้านครีบแขนง 5-6 ก้าน ครีบอกมีก้านครีบเดี่ยว 1 ก้านที่แข็งและหยักเป็นฟันเลื่อยปลายแหลม ครีบท้องสั้น ครีบไขมันมีฐานยาวด้านหน้าจรดฐานครีบหลังและปลายจรดโคนครีบหาง ครีบหางเว้าลึก เป็นสกุลที่มีความคล้ายคลึงกับสกุล Bagroides และทั้ง 2 สกุลนี้ก็มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับสกุล Leiocassis ซึ่งเป็นปลาแขยงหรือปลากดที่มีขนาดเล็ก จัดเป็นปลาขนาดกลาง โตเต็มที่ประมาณ 1 ฟุต มีสีลำตัวเป็นสีม่วงคล้ำเกือบดำ ส่วนท้องสีขาว ในปลาวัยอ่อนอาจมีสีลำตัวเป็นลวดลายเหมือนลายพรางทหาร เป็นปลาที่หากินในเวลากลางคืน พบกระจายพันธุ์ในประเทศไทย, แม่น้ำโขง จนถึงอินโดนีเซีย แต่ไม่พบในแม่น้ำสาละวิน เป็นปลาที่นิยมบริโภคกัน และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแขยงดาน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแดง

ปลาแดง ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phalacronotus bleekeri อยุ่ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) มีรูปร่างลักษณะคล้ายปลาน้ำเงิน (P. apogon) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ปากล่างยื่นน้อยกว่า ตาโต ปากกว้าง แต่ส่วนคางไม่เชิดขึ้น มีหนวดสั้น ๆ 2 คู่ที่มุมปากและใต้คาง ส่วนหลังไม่ยกสูง และครีบหางเว้าตื้น ฟันบนเพดานเป็นแผ่นรูปโค้ง ตัวค่อนข้างใสและมีสีเงินวาวอมแดงเรื่อ หรือมีสีเหลืองอ่อนเหลือบเขียวที่ด้านบนลำตัว หรือสีขาวอมชมพู โดยสีเหล่านี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละแหล่งน้ำ ครีบก้นสีจาง ไม่มีแถบสีคล้ำ มีขนาดลำตัวประมาณ 30 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 80 เซนติเมตร มีน้ำหนักได้ถึง 8.3 กิโลกรัม มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับปลาน้ำเงิน โดยมักอาศัยในแหล่งน้ำเดียวกันและอาจปะปนกันในฝูง แต่พบในภาคใต้มากกว่า ซึ่งในการตกปลาชนิดนี้ (รวมถึงปลาน้ำเงินด้วย) พรานเบ็ดมักใช้เหยื่อกลิ่นฉุนเช่น แมลงสาบ เป็นต้น เนื่องจากเป็นปลาที่ชอบกินอาหารกลิ่นแรง ทำให้ในบางคนไม่นิยมรับประทานโดยอ้างว่าเนื้อมีกลิ่นฉุน มีชื่อเรียกในภาคอีสานแถบแม่น้ำโขงว่า "เซือม", "นาง" หรือ "นางแดง" เป็นต้น ปลาแดง ถือเป็นปลาที่มีราคาซื้อขายกันสูงโดยเฉพาะในพื้นที่บึงบอระเพ็ด โดยขายกันในราคากิโลกรัมละ 200 กว่าบาท ถือเป็นปลาที่มีราคาซื้อขายสูงที่สุดในพื้นที่นี้ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแดงน้อย

ปลาแดงน้อย ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Discherodontus ashmeadi อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาแดงน้อย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแค้

ปลาแค้ (Devil catfish, Goonch, Bagarius catfish; বাঘাইর) เป็นปลากระดูกแข็งในสกุล Bagarius (/บา-กา-เรียส/) อยู่ในอันดับปลาหนัง ในวงศ์ปลาแค้ (Sisoridae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาแค้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแค้ยักษ์

ปลาแค้ยักษ์ (Goonch) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งอยู่ในวงศ์ปลาแค้ (Sisoridae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาแค้ยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแค้วัว

ปลาแค้วัว หรือ ปลาแค้ (Dwarf goonch, Devil catfish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาแค้ (Sisoridae) มีลักษณะหัวแบนราบมีด้านบนโค้งและด้านล่างเรียบ จะงอยปากยื่นยาว มองจากด้านบนจะโค้ง หนวดเป็นเส้นแข็งมีผังผืดที่ริมฝีปาก ตาเล็กอยู่ด้านบนของหัว มีลักษณะคล้ายตาของงูหรือจระเข้ คือ มีม่านตาดำเล็กเป็นช่องแนวตั้ง ปากกว้างมากมีฟันเป็นเขี้ยวแหลมคมอย่างสัตว์ดุร้าย ส่วนหลังยกสูง ลำตัวแบนราบเล็กน้อย ครีบหลังยกสูงมีก้านครีบแข็งแหลมคมเช่นเดียวกับครีบอก ที่ปลายครีบอก ครีบท้อง ครีบหลัง มีลักษณะเป็นเส้นเรียวยาว โดยเฉพาะในตัวเมีย ผิวหนังสาก บนหัวมีกระ ไม่เรียบ ตัวมีสีเขียวมะกอกหรือน้ำตาลอ่อนอมเหลือง มีประด่างสีคล้ำและสีดำตลอดลำตัวด้านบนและครีบ ด้านท้องสีจาง ครีบท้องของปลาแค้วัวจะตั้งตรงอยู่แนวเดียวกับด้านท้ายของครีบหลัง เป็นปลาล่าเหยื่อ กินปลาและซากสัตว์เป็นอาหาร อาศัยอยู่ในแม่น้ำสายใหญ่ของทุกภาคในประเทศไทย พบน้อยในภาคใต้ พบมากในแม่น้ำเจ้าพระยา ในต่างประเทศพบที่อินเดีย, กัมพูชา, เวียดนาม ไปจนถึงเกาะสุมาตรา, บอร์เนียว และชวา มีความยาวเต็มประมาณ 30-40 เซนติเมตร พบใหญ่สุดไม่เกิน 70 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลาตุ๊กแก" เป็นต้น นิยมบริโภคด้วยการปรุงสด เนื้อมีรสชาติดี อร่อย ทำเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น ต้มยำ เป็นต้น มักพบขายในร้านแม่น้ำตามภูมิภาคที่ติดริมแม่น้ำ และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแค้วัว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแค้ขี้หมู

ปลาแค้ขี้หมู ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Erethistes maesotensis (/เออ-รี-ธีส-ทีส แม่-สอด-เอน-ซิส/) อยู่ในวงศ์ปลาแค้ขี้หมู (Erethistidae) ซึ่งแยกมาจากวงศ์ปลาแค้ (Sisoridae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาแค้ขี้หมู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแค้งู

ปลาแค้งู (Crocodile catfish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาแค้ (Sisoridae) มีรูปร่างเหมือนปลาแค้ทั่วไป แต่มีสีลำตัวอ่อนกว่า และมีส่วนหัวแบนราบกว่า และมีกระอยู่ทั่วลำตัวมากกว่าเห็นได้ชัด มีขนาดประมาณ 70 เซนติเมตร โดยมีอาหารและถิ่นที่อยู่เหมือนกับปลาแค้อีก 2 ชนิด คือ ปลาแค้วัว (B. bagarius) และปลาแค้ยักษ์ (B. yarrelli) ที่อยู่ในสกุลเดียวกันแต่พบในส่วนที่เป็นหน้าดินกว่า เป็นปลาแค้ชนิดที่พบได้น้อย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ซึ่งเป็นปลาที่มีราคาสูง และมีชื่ออื่นอีกว่า "ปลาแค้หัวแบน".

ใหม่!!: สัตว์และปลาแค้งู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแค้ติดหิน

ปลาแค้ติดหิน หรือ ปลาแค้ห้วย (Hill-stream catfish) เป็นปลาหนังในสกุล Glyptothorax (/กลีพ-โท-ทอ-แร็กซ์/) ในวงศ์ปลาแค้ (Sisoridae) จัดเป็นปลาขนาดเล็ก มีรูปร่างโดยรวมคือ มีลำตัวเพรียวยาว ครีบหางเว้าลึก อาจมีสีเหลืองเป็นลายพาดด้านข้างลำตัว พื้นลำตัวสีน้ำตาล มีหนวด 4 คู่ โดยหนวดที่ริมฝีปากเป็นเส้นแบนและแข็ง หนวดที่จมูกสั้น หนวดใต้คางยาว ผิวสาก และมีแผ่นหนังย่นใต้อกซึ่งใช้เกาะพื้นหินได้ ครีบหลังอยู่หน้าครีบท้อง ครีบอกและครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยวที่เป็นเงี่ยงแข็งและขอบจักเป็นฟันเลื่อย มักพบอาศัยอยู่ในลำธารน้ำตกบนภูเขาที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว กินอาหารจำพวก แมลงน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็ก ออกหากินในเวลากลางคืน มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 10-15 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ลุ่มน้ำของทะเลดำทางตอนเหนือของตุรกี ไปจนถึงเอเชียไมเนอร์, ตอนใต้ของจีนและลุ่มแม่น้ำแยงซี, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงเกาะชวาในอินโดนีเซีย มีทั้งหมดประมาณ 93 ชนิด มีชื่อเรียกโดยรวมในภาษาไทยว่า "แค้", "แค้ห้วย" หรือ "ปลาติดหิน" ในขณะที่วงการปลาสวยงามจะนิยมเรียกว่า "ฉลามทอง".

ใหม่!!: สัตว์และปลาแค้ติดหิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแค้ติดหินสามแถบ

ปลาแค้ติดหินสามแถบ (Three line hill-stream catfish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาแค้ (Sisoridae) เป็นปลาแค้ติดหินชนิดหนึ่งที่มีลำตัวเพรียวยาว ครีบหางเว้าลึก ลำตัวสีน้ำตาลหรือคล้ำอมเหลือง มีแถบสีเหลืองสดพาดลำตัวตามแนวยาวตรงกลางหลังและด้านข้างไปถึงโคนครีบ ครีบสีเหลืองและมีแต้มสีคล้ำ มีขนาดประมาณ 10 - 15 เซนติเมตร พบใหญ่สุด 30 เซนติเมตร พบอาศัยอยู่เฉพาะลำธารและน้ำตกในระบบแม่น้ำสาละวินเท่านั้น และมีรายงานพบที่จีน, อินเดียและเนปาลด้วย มีพฤติกรรมอาศัยอยู่เป็นกลุ่ม โดยจะหันหน้าสู้กับกระแสน้ำ อาหารได้แก่ แมลงน้ำและลูกปลา ลูกกุ้งขนาดเล็ก เป็นปลาที่ไม่พบบ่อยมากนัก แต่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ที่บางครั้งพบมีขายในตลาดปลาสวยงาม โดยมีชื่อเรียกว่า "ฉลามทอง" ปลาแค้ติดหินสามแถบ มีชื่อเรียกในภาษาเหนือว่า "ก๊องแก๊ง".

ใหม่!!: สัตว์และปลาแค้ติดหินสามแถบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแซลมอนชินูก

ปลาแซลมอนชินูก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Oncorhynchus tshawytscha) เป็นสปีชีส์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสกุลปลาแซลมอนแปซิฟิก ตั้งชื่อตามชาวชินูก ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่เคยอาศัยอยู่ชายฝั่งแปซิฟิกด้านตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ปลาแซลมอนชินูกยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก คือ คิงแซลมอน, ปลาแซลมอนควินแนต และ ปลาแซลมอนใบไม้ผลิ ปลาแซลมอนชินูกเป็นปลาน้ำกร่อยซึ่งกระจายพันธุ์อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือ ตลอดจนเครือข่ายแม่น้ำในภาคตะวันตกของอเมริกาเหนือ ตั้งแต่รัฐแคลิฟอร์เนียไปจนถึงรัฐอะแลสกา และยังกระจายพันธุ์อยู่ในทวีปเอเชียบริเวณตอนเหนือของญี่ปุ่นไปจนถึงบริเวณทะเลไซบีเรียตะวันออกของรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ปลาสายพันธุ์นี้ก็ยังพบได้ในส่วนอื่น ๆ ของโลกได้เช่นกัน อาทิในนิวซีแลนด์, ภูมิภาคปาตาโกเนีย เป็นต้น ปลาแซลมอนชินูกถือเป็นปลาเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง และมีกรดไขมันโอเมกา-3 ในปริมาณที่สูงซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ผลิตปลาแซลมอนชินูกได้มากที่สุดโดยทำตลาดในชื่อว่า "คิงแซลมอน" ใน..

ใหม่!!: สัตว์และปลาแซลมอนชินูก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแซลมอนทองคำ

ปลาแซลมอนทองคำ หรือที่เรียกอีกชื่อนึงว่า ปลาโดราโด (Dorado, โดราโด ในภาษาสเปน หมายถึง "ทองคำ") ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Salminus brasiliensis ในวงศ์ปลาคาราซิน (Characidae) ในอันดับปลาคาราซิน (Characiformes) ลักษณะภายนอก มีส่วนหัวขนาดใหญ่ ปากกว้างมีลักษณะเฉียงลง ภายในปากเต็มไปด้วยฟันซี่เล็ก ๆ ที่แหลมคม ขากรรไกรแข็งแรง ครีบหลังอยู่ถัดออกไปกว่าความยาวของครึ่งลำตัว มีครีบไขมันก่อนถึงครีบหาง ขนาดโตเต็มที่ยาวได้ประมาณ 3 ฟุต หนักถึง 68 ปอนด์ เมื่อโตเต็มที่แล้วจะมีสีของลำตัวเป็นสีเหลืองทองอร่าม เมื่อยังเล็กลำตัวจะเป็นสีเงินอมเทา ครีบหางเป็นสีส้มปนแดงและมีแถบสีดำพาดตั้งแต่โคนหางไปจรดสุดปลายครีบ ครีบอกเป็นสีเหลืองปนส้ม เมื่อโตขึ้นจะสีลำตัวจะค่อย ๆ กลายเป็นสีส้ม และเริ่มเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ตามวัย จนกระทั่งกลายเป็นสีทองไปในที่สุด มีอายุยืนได้สูงสุด 9 ปี กระจายพันธุ์อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ในแม่น้ำอเมซอนและสาขา บริเวณรอยต่อระหว่างบราซิล, อาร์เจนตินา, เปรู, ปารากวัย และโบลิเวีย เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร ล่าเหยื่อด้วยความเร็วสูงโดยใช้ขากรรไกรที่แข็งแรงและฟันอันคมกริบงับเหยื่อ ซึ่งได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ รวมทั้งสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและสัตว์เลือดอุ่นขนาดเล็ก เช่น นก หรือ หนู ด้วย โดยมีพฤติกรรมอาศัยอยู่เป็นฝูงขนาดเล็ก บางครั้งจะล่าเหยื่อโดยการเข้าไปปะปนในฝูงปลาที่กำลังกินเมล็ดพืชที่ตกลงน้ำเพิ่อหาจังหวะโฉบงับกิน จนได้รับฉายาจากชาวพื้นเมืองว่า "Tigre del rio" (เสือแม่น้ำ) และถึงแม้นว่าจะได้ชื่อเป็นปลาแซลมอน ด้วยเหตุที่มีรูปร่างคล้ายกัน จึงถูกเรียกว่า "ปลาแซลมอนทองคำ" แต่แท้ที่จริงแล้ว ปลาชนิดนี้มิได้จัดว่าเป็นปลาจำพวกแซลมอน แต่ประการใด ปลาแซลมอนทองคำนั้นนิยมตกเป็นปลาเกม ในกีฬาตกปลาด้วยความที่เป็นปลาขนาดใหญ่ และต่อสู้กับเบ็ดได้อย่างสนุกรวมถึงมีสีสันที่สวยงามอีกด้วย และนอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงปลาขนาดใหญ่ ซึ่งพฤติกรรมของปลาแซลมอนทองคำในที่เลี้ยงนั้นดุร้ายมาก จนไม่สามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นได้เลย นอกจากพวกเดียวกันเอง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแซลมอนทองคำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแซลมอนซ็อกอาย

ปลาแซลมอนซ็อกอาย หรือ ปลาแซลมอนแดง (Sockeye salmon, Red salmon, Blueback salmon) เป็นปลาน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง จำพวกปลาแซลมอน พบในตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกและแม่น้ำที่ไหลสู่บริเวณดังกล่าว และพบประชากรจำนวนหนึ่งในแหล่งน้ำบนแผ่นดินซึ่งไม่ไหลออกสู่ทะเล โดยรู้จักกันในชื่อ kokanee หรือ "ปลาเทราต์สีเงิน" ปลาแซลมอนแดงเป็นปลาในสกุลปลาแซลมอนแปซิฟิกที่พบได้มากเป็นอันดับสามรองจากปลาแซลมอนสีชมพู (O. gorbuscha) และปลาแซลมอนชัม (O. keta) โดยที่คำว่าชื่อ "Sockeye" แผลงมาจาก suk-kegh ซึ่งเป็นชื่อในภาษาแฮลโคเมเลม ซึ่งเป็นภาษาของชนพื้นเมืองที่อาศัยตามแนวแม่น้ำเฟรเซอร์ตอนล่าง โดยคำว่า Suk-kegh หมายถึง "ปลาสีแดง" เนื่องจากปลาแซลมอนซ็อกอายตัวผู้ จะเปลี่ยนสีลำตัวเป็นสีแดงเข้มและส่วนหัวมีโหนกในฤดูผสมพัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแซลมอนซ็อกอาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแซลมอนแอตแลนติก

ปลาแซลมอนแอตแลนติก หรือ ปลาแอตแลนติกแซลมอน (Atlantic salmon) เป็นปลาน้ำกร่อยในวงศ์ปลาแซลมอน (Salmonidae) พบในมหาสมุทรแอตแลนติกและสาขาแม่น้ำที่เชื่อมต่อกับมหาสมุทรดังกล่าว พบในตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือด้วยเนื่องจากมนุษย์นำเข้าไป ปลาแซลมอนแอตแลนติกเป็นปลาขนาดใหญ่ ลำตัวรูปรูปกระสวย ยาว 71 - 76 เซนติเมตร หนัก 3.6 - 5.4 กิโลกรัม เมื่อยังเล็กขณะที่อาศัยในน้ำจืดลูกปลาจะมีจุดสีแดงและฟ้า มีโตเต็มที่จะมีสีเงินออกฟ้าเป็นประกาย มีจุดสีดำเหนือเส้นข้างลำตัว ครีบหางไม่มีจุด เมื่อสืบพันธุ์ตัวผู้มีสีออกเขียวหรือแดง ปลาแซลมอนแอตแลนติก ในประเทศอังกฤษจะไม่กินอาหารเลยตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ และจะว่ายทวนกระแสน้ำกลับมาผสมพันธุ์และวางไข่ในแหล่งน้ำจืดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของอังกฤษ (ราวเดือนพฤศจิกายน) ซึ่งเป็นฤดูที่มีน้ำหลากจากปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาก่อนหน้านั้น โดยตัวผู้จะเป็นฝ่ายขุดหลุมและปล่อยน้ำเชื้อ ขณะที่ตัวเมียวางไข่ ในปริมาณนับเป็นหมื่นฟอง เมื่อเสร็จสิ้นจากการวางไข่ ปลาตัวผู้จะผอมลงและตายลงไปในที่สุดและจะกลายเป็นอินทรีวัตถุในก้นแม่น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแซลมอนแอตแลนติก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแซลมอนแปซิฟิก

ปลาแซลมอนแปซิฟิก (Pacific salmon) เป็นสกุลของปลาเศรษฐกิจสกุลหนึ่ง จำพวกปลาแซลมอน ใช้ชื่อสกุลว่า Oncorhynchus จัดอยู่ในวงศ์ Salmonidae อันดับ Salmoniformes โดยที่คำว่า Oncorhynchus มาจากภาษากรีกคำว่า nkos หมายถึง "ตะขอ" และ rynchos หมายถึง "จมูก" ซึ่งมาจากการที่ตัวผู้ในฤดูผสมพันธุ์จะเปลี่ยนสีตัวเองให้เข้ม และมีส่วนปลายปาก (จมูก) งองุ้มเป็นดั้งขอ เป็นปลาแซลมอนที่กระจายพันธุ์อยู่ในตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียตลอดแนวชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรอาร์กติก และมหาสมุทรแอตแลนติก พบได้ตั้งแต่อาร์กติก, อลาสกา, ทะเลเบริง, สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก จนถึงญี่ปุ่น เป็นปลาที่กินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่เป็นปลาที่ต้องการแหล่งน้ำที่สะอาด มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำสูง น้ำมีอุณหภูมิเย็นและไหลแรงซึ่งมักพบตามปากแม่น้ำต่าง ๆ ขณะที่ปลาเมื่ออยู่ในทะเลหรือมหาสมุทรก็มักจะว่ายตามผิวน้ำ และเช่นเดียวกับปลาแซลมอนสกุลและชนิดอื่น ๆ ที่เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์วางไข่ จะว่ายกลับไปผสมพันธุ์และวางไข่ในแหล่งน้ำจืด อันเป็นถิ่นกำเนิดดั้งเดิม แม้จะไกลแค่ไหนก็ตาม โดยแต่ละชนิดจะมีระยะเวลาการวางไข่และเติบโตต่างกัน บางชนิดลูกปลาอาจใช้เวลา 5-7 เดือน ขณะที่บางชนิดอาจต้องใช้เวลานานถึง 1 ปี ในการอาศัยในแหล่งน้ำจืด จึงจะว่ายกลับไปยังทะเล และใช้ระยะเวลาการเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยประมาณ 2-4 ปี แต่ทั้งหมดก็ต้องอาศัยการวางไข่ในแหล่งน้ำที่สะอาดเหมือนกัน เป็นปลาแซลมอนที่นิยมบริโภคกันเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยมีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิด ที่เป็นชนิดที่สำคัญ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแซลมอนแปซิฟิก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแปบยาว

ปลาแปบยาว (Razorbelly minnow) เป็นปลาน้ำจืดในสกุล Salmophasia (/ซัล-โม-ฟา-เซีย-อา/) ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) จัดเป็นปลาแปบที่มีรูปร่างเรียวยาวกว่าปลาแปบสกุลอื่น ๆ พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียใต้รวมถึงประเทศพม่า พบในประเทศไทยเพียงชนิดเดียว ในลุ่มแม่น้ำสาละวินและลุ่มแม่น้ำตะนาวศรีในแถบจังหวัดระนอง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแปบยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแปบยาวสาละวิน

ปลาแปบยาวสาละวิน (Sardinella razorbelly minnow) ปลาน้ำจืืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวเรียวยาวและแบนข้างมาก ปากกว้าง ลำตัวสีเงินวาว ด้านหลังและครีบสีเหลืองอ่อน ครีบหลังอันเล็กตั้งค่อนไปทางหาง ครีบก้นยาว ครีบหางเว้าลึก แฉกล่างยาวกว่าแฉกบนเล็กน้อย และมีขอบสีคล้ำ มีความยาวเฉลี่ย 8-12 เซนติเมตร จัดเป็นปลาแปบจำพวกปลาแปบยาวเพียงชนิดเดียว ที่พบได้ในประเทศไทย โดยอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ในแม่น้ำสาละวิน, แม่น้ำตะนาวศรี และแม่น้ำกระบุรีในเขตจังหวัดระนอง จัดเป็นปลาที่พบไม่บ่อยนัก แต่พบได้ทั่วไปในรัฐโอริสสา ประเทศอินเดีย และบังกลาเทศ โดยเฉพาะแถบแม่น้ำคงคาและพรหมบุตร มีการจับขายเป็นปลาสวยงามในบางครั้ง จัดเป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่มีความสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแปบยาวสาละวิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแปบสยาม

ปลาแปบสยาม หรือ ปลาแปบบาง (Siamese glass fish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาแปบชนิดหนึ่ง มีครีบหลังอยู่หลังครีบก้นเล็กน้อย เส้นข้างลำตัวยาวถึงฐานด้านหลังของครีบก้นเท่านั้น ครีบอกยาวแต่เลยครีบท้อง สีลำตัวเป็นสีขาวเงินสะท้อนแสง ด้านหลังสีเหลืองจาง ๆ ครีบหางมีลักษณะเป็นสีเขม่าจาง ๆ ครีบอิ่นใสไม่มีสี มีความยาวเฉลี่ย 8-12 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ มีการอพยพย้ายถิ่นในฤดูน้ำหลากเพิ่อเข้าสู่แหล่งน้ำท่วม กินแมลงและแพลงก์ตอนสัตว์ต่าง ๆ เป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ทั่วประเทศ รวมถึงบึงบอระเพ็ด และป่าพรุโต๊ะแดง ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสด้วย เหตุที่ได้ชื่อว่า siamensis อันหมายถึง "อาศัยอยู่ที่ประเทศสยาม" เนื่องจากพิพิธภัณฑ์สยามได้ส่งตัวอย่างปลาจำนวน 3 ตัวอย่างที่จับได้จากแม่น้ำบางปะกง ไปพิพิธภัณฑ์อังกฤษ เพื่อทำการอนุกรมวิธาน ในภาคอีสานมีชื่อเรียกว่า "ปลาแตบเกล็ดบาง".

ใหม่!!: สัตว์และปลาแปบสยาม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแปบหางดอก

ปลาแปบหางดอก (Bartailed glass barb) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวแบนข้างมาก หัวเล็กมีสีเงิน ลำตัวใส ตาโต ครีบใสมีสีเหลืองอ่อน ครีบอกยาวเลยครีบท้อง ครีบท้องเล็ก ครีบหางเว้าตื้น มีลายสีดำเป็นแต้มคล้ำโดยมีสีพื้นเป็นสีเหลืองอ่อน นับเป็นปลาจำพวกปลาแปบหรือปลาท้องพลุเพียงชนิดเดียวที่มีสีเหลืองดำที่ครีบหาง ทำให้ดูแลคล้ายกับปลาซิวหางกรรไกร (Rasbora trilineata) เป็นปลาขนาดเล็กมีความยาวไม่เกิน 4-6 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดเล็ก กินแพลงก์ตอนสัตว์เป็นอาหาร พบในแหล่งน้ำและหนองบึงทั่วประเทศไทย แต่พบได้ไม่บ่อยนัก นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแปบหางดอก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแปบขาว

ปลาแปบขาว เป็นปลาน้ำจืดในสกุล Oxygaster (/อ็อก-ซี-แกส-เตอร์/) ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาจำพวกปลาแปบ เดิมเคยถูกจัดให้อยู่ในสกุล Chela โดยมี โยฮัน คอนราด ฟัน ฮัสเซลต์ นักมีนวิทยาชาวดัตช์ เป็นผู้อนุกรมวิธาน โดยใช้ลักษณะของเกล็ดแถวที่อยู่หน้าครีบหลังเลยเข้ามาถึงระหว่างนัยน์ตาเป็นลักษณะสำคัญ ส่วนที่มีลักษณะรองลงมา คือ ท้องแบนเป็นสันคม ปลายปากล่างมีปุ่มกระดูก ครีบอกอยู่ในแนวระดับเดียวกับท้อง จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่ด้านหน้าจุดเริ่มต้นของครีบก้น เกล็ดตามแนวบนเส้นข้างลำตัวมีประมาณ 43-60 แถว จำแนกออกได้เป็น 2 ชนิด พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแม่น้ำลำคลอง รวมถึงป่าพรุในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแปบขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแปบขาวหางดำ

ปลาแปบขาวหางดำ หรือ ปลาแปบ (publisher) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาแปบ ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเพรียวยาว ลำตัวแบนข้างมากจนริมท้องเป็นสัน หัวมีขนาดเล็ก นัยน์ตาโต ครีบหลังอยู่ค่อนไปทางหางและตรงข้ามกับครีบก้น ครีบอกยาวจรดครีบท้อง ครีบหางเป็นแฉก เกล็ดมีลักษณะบางใสและหลุดง่าย เส้นข้างลำตัวโค้งลงขนานกับริมท้อง ลำตัวมีสีขาวเงิน ด้านหลังขุ่น มีแถบสีเหลืองทองจาง ๆ ยาวตามความยาวลำตัว มีขนาดความยาวเต็มที่ 20 เซนติเมตร เป็นปลาที่อาศัยหากินตามผิวน้ำและกลางน้ำ อยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ กินแมลงและแมลงน้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำและลำคลองของแม่น้ำตาปี ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี, ทะเลน้อยในเขตจังหวัดพัทลุง, แม่น้ำจันทบุรีในจังหวัดจันทบุรี และยังพบได้ในแม่น้ำโขง รวมถึงแม่น้ำแม่กลอง และในพื้นที่ป่าพรุ และพบได้ไกลจนถึงอินโดนีเซี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแปบขาวหางดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแปบควาย

ปลาแปบควาย เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืดจำพวกปลาแปบ อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) วงศ์ย่อย Cultrinae ใช้ชื่อสกุลว่า Paralaubuca (/พา-รา-ลอ-บู-คา/) มีรูปร่างโดยรวมคือ มีรูปร่างยาว ลำตัวแบนข้างมาก ปากเล็ก ตาโต ท้องเป็นสันคม ด้านท้องค่อนข้างกว้างออก ครีบอกยาว ครีบหางเว้าลึก เกล็ดเล็กละเอียดสีเงินแวววาว เส้นข้างลำตัวไม่ต่อเนื่องกัน เกล็ดแถวที่อยู่หน้าครีบหลังไม่เลยเข้ามาถึงระหว่างนัยน์ตา เกล็ดตามเส้นข้างลำตัวมีจำนาน 50–85 แถว มีขนาดโตเต็มที่โดยเฉลี่ย 15 เซนติเมตร มักอยู่เป็นฝูงใหญ่ มีการอพยพขึ้นล่องตามแม่น้ำเพื่อวางไข่และหากินเป็นฤดูกาล มักอยู่ในแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลเชี่ยว หากินใกล้ผิวน้ำ พบตั้งแต่แม่น้ำโขงถึงแม่น้ำเจ้าพระยาไปจนถึงมาเลเซีย กินแมลงหรือสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร มีทั้งหมด 5 ชนิด โดยเป็นชนิดที่พบได้ในประเทศไทย 3 หรือ 4 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแปบควาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแปบควายอาร์ม็อง

ปลาแปบควายอาร์ม็อง หรือ ปลาท้องพลุ(Greater glass barb, Siamese river abramine) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) โดยคำว่า harmandi ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ฌูล อาร์ม็อง (ค.ศ. 1845–1921) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส มีลำตัวยาว แบนข้างมาก ริมท้องเป็นสันคม ปากมีขนาดเล็ก นัยน์ตาโต เกล็ดเล็กบางและหลุดง่าย ครีบหลังอยู่ระหว่างครีบท้องและครีบก้น ครีบอกเล็กมีปลายแหลม ครีบหางเว้าเป็นแฉกลึก เส้นข้างลำตัวไม่สมบูรณ์ หัวมีสีเขียว ลำตัวมีสีเงินอมเหลือง ปลายหางมีขอบสีดำ จัดเป็นปลาแปบควายหรือปลาท้องพลุชนิดหนึ่ง มีความยาวเต็มที่ประมาณ 23.5 เซนติเมตร หรืออาจจะยาวได้ถึงหนึ่งฟุต กินแพลงต์ตอนสัตว์และแมลงต่าง ๆ เป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ทั่วไปในประเทศไทย รวมถึงแม่น้ำโขง เป็นปลาที่นิยมรับประทานกันในท้องถิ่นและมีการรวบรวมขายเป็นปลาสวยงาม มีลักษณะใกล้เคียงกับปลาแปบควายไทพัส (P. typus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันตามรายงานของ ฮิว แมคคอร์มิค สมิธ ระบุไว้ว่า "เกล็ดตามแนวเส้นข้างลำตัวมี 75 แถว เกล็ดระหว่างจุดเริ่มต้นครีบหลังถึงเส้นข้างตัวมี 14 แถว และจากเส้นข้างตัวถึงกลางท้องมี 7 แถว เกล็ดระหว่างเส้นข้างตัวกับฐานครีบท้องมี 4 แถว เกล็ดที่หน้าครีบหลังถึงท้ายทอยมี 45 แถว ซี่กรองเหงือกของก้านเหงือกอันแรกมีจำนวน 30 ซี่ ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยว 3 ก้าน และก้านครีบแขนง 20 ก้าน".

ใหม่!!: สัตว์และปลาแปบควายอาร์ม็อง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแปบควายไทพัส

ปลาแปบควายไทพัส หรือ ปลาแปบไทพัส ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับปลาแปบควายหรือปลาท้องพลุชนิดอื่นมาก โดยมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ มีจุดสีดำที่โคนครีบอก และมีเส้นข้างลำตัวที่ไม่แน่นอน โดยจะแตกต่างไปในแต่ละตัว คือ มีเส้นข้างลำตัวหนึ่งเส้นทั้งสองข้างลำตัว หรือ มีเส้นข้างลำตัวสองเส้นทั้งสองข้างลำตัว หรือข้างหนึ่งมีเพียงเส้นเดียวแต่อีกข้างมีสองเส้น ก็มี พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศไทย รวมถึงแม่น้ำโขง กินแพลงก์ตอนสัตว์และแมลงเป็นอาหารตามผิวน้ำ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 18 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง มีการอพยพย้ายถิ่นเพื่อวางไข่ตามฤดูกาล เป็นปลาที่ชาวอีสานนิยมนำมาบริโภคกันทั้งปรุงสดหรือแปรรูปเป็นปลาร้าหรือปลาแห้ง ด้วยการจับโดยการใช้อวนหรือยกยอ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแปบควายไทพัส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแปบแม่น้ำ

ปลาแปบแม่น้ำ (Siames river abramine) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จำพวกปลาแปบหรือปลาแปบควาย ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวยาว แบนข้าง ท้องเป็นสัน ครีบอกยาวเกือบถึงจุดเริ่มต้นของครีบท้อง เส้นข้างลำตัวสมบูรณ์อยู่ต่ำกว่ากึ่งกลางลำตัว เกล็ดเล็กบางและหลุดง่าย เกล็ดตามแนวเส้นข้างลำตัวมีประมาณ 56-65 แถว แนวสันกะโหลกที่อยู่ระหว่างนัยน์ตาไม่เว้า ตัวสีขาวเงินอมเหลือง หลังสีเทาหรือเขียวอ่อน ครีบหางสีเหลืองมีขอบสีดำ ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะใกล้เคียงคล้ายคลึงกันมาก นอกจากนี้แล้วยังมีความคล้ายคลึงกับปลาแปบควายชนิดอื่น ๆ จนอาจทำให้สับสนได้ เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง มีความปราดเปรียวว่องไว กินแมลงและแมลงน้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร มีความยาวโดยเฉลี่ย 18 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ตามแม่น้ำและแหล่งน้ำสายใหญ่ ๆ ในประเทศไทย รวมถึงแม่น้ำโขง จนถึงคาบสมุทรมลายู.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแปบแม่น้ำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแปบใส

ปลาแปบใส ปลาน้ำจืดขนาดเล็กในสกุล Parachela (/ปาราแคลา/) ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เดิมปลาแปบในสกุลนี้ รวมอยู่ในสกุลเดียวกันกับสกุล Oxygaster แต่ฟรันซ์ ชไตน์ดัคเนอร์ แยกออกมาตั้งเป็นสกุลใหม่ โดยเห็นว่าปลาในสกุลนี้ไม่มีครีบท้อง แต่มีตัวอย่างปลาเพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่ยังมิได้รับการยอมรับเท่าไหร่นัก จนกระทั่งในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาแปบใส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแป้นหัวโหนก

ปลาแป้นหัวโหนก (Humpheaded glassfish, Humphead perchlet) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Parambassis pulcinella อยู่ในวงศ์ปลาแป้นแก้ว (Ambassidae) มีรูปร่างบางใส มีเกล็ดเล็กละเอียด ลำตัวแบนข้าง หัวเล็ก นัยน์ตาโต โคนหางคอดกิ่ว ครีบหลังเป็นแผงยาวแบ่งเป็นสองส่วนติดต่อกัน ส่วนหน้าเป็นก้านครีบเดี่ยวแข็งปลายแหลม 7 ก้าน ส่วนหลังประกอบด้วยก้านครีบเดี่ยวที่เป็นหนามปลายแหลม 1 ก้าน และก้านครีบแขนง 15-17 ก้าน ครีบก้นมีลักษณะเป็นแผงยาว มีก้านครีบเดี่ยวที่เป็นหนามแข็งปลายแหลม 3 ก้าน และมีก้านครีบแขนง 15-17 ก้าน มีจุดเด่นที่สังเกตได้ชัดเจน คือ ส่วนหัวที่โหนกนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่ตัวผู้จะมีหัวที่โหนกนูนนี้กว่า ขณะที่ตัวเมียจะมีรูปร่างที่ใหญ่กว่า ลำตัวมีสีเงินอมเขียวจาง ๆ สะท้อนแสง ครีบหลังและครีบก้นเป็นเขม่าสีดำ ครีบหางมีแถบสีดำจาง ๆ ทั้งขอบบนและขอบล่าง ขนาดโตเต็มที่ได้ประมาณ 7 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดเล็กราว 3-5 ตัว ในลำธารน้ำตื้น พบกระจายพันธุ์เฉพาะแม่น้ำแถบชายแดนไทย-พม่าเท่านั้น เช่น ลุ่มแม่น้ำสาละวิน, แม่น้ำอัตรัน, แม่น้ำกษัตริย์, แม่น้ำสุริยะภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง เป็นต้น เป็นปลาที่ได้รับความนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยในสถานที่เลี้ยงจะนิยมกินอาหารสด เช่น ไรน้ำ, ไรทะเล, หนอนแดง, ไส้เดือนน้ำ และสามารถฝึกให้กินอาหารเม็ดได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแป้นหัวโหนก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแป้นแก้ว

ปลาแป้นแก้ว (Siamese glassfish) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแป้นแก้ว (Ambassidae) มีลำตัวตัวใสหรือสีขาวคล้ายสีข้าวเม่า มีครีบหลัง 2 อัน ครีบหลังอันแรกมีก้านครีบแข็งเป็นหนานแหลมอยู่ 7 ก้าน ครีบหลังอันที่สองมีเฉพาะก้านครีบฝอย ครีบก้นมีก้านครีบที่เป็นหนานแหลมอยู่ 3 ก้าน มีเกล็ดกลมบางใสและหลุดง่าย ลักษณะเนื้อโปร่งใสจนมองเห็นอวัยวะภายใน ตามลำตัวมีจุดสีดำอยู่ทั่วไป มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 6 เซนติเมตร นิยมอยู่รวมกันเป็นฝูงในแหล่งน้ำทั่วไป พบกระจายพันธุ์ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย กินอาหารจำพวกสัตว์น้ำและแมลงขนาดเล็ก เป็นปลาที่หากินในเวลากลางคืน มักจับได้ในปริมาณทีละมาก ๆ โดยใช้แสงไฟล่อเพื่อให้ปลามากินแมลงบนผิวน้ำ นิยมใช้บริโภคกันในท้องถิ่น อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามอีกด้วย โดยการฉีดสีเข้าไปในตัวปลาเป็นสีสันต่าง ๆ เช่น สีน้ำเงิน, สีเหลือง, สีส้ม หรือสีแดง เพื่อประโยชน์ทางการค้า โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า "ปลาเรนโบว์" รือ "ปลาสายรุ้ง" ซึ่งสีเหล่านี้ก็จะจางและซีดลงไปเองตามเวลา ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น "ปลาข้าวเม่า" หรือ "คับของ" หรือ "แว่น" ในภาษาเหนือ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแป้นแก้ว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแป้นแก้วรังกา

ปลาแป้นแก้วรังกา (Ranga glassfish, Indian glassfish, Indian glassy fish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแป้นแก้ว (Ambassidae) ในอันดับปลากะพง (Perciformes) จัดเป็นปลาขนาดเล็ก มีลำตัวโปร่งแสงเหมือนปลาชนิดอื่น ๆ ในสกุลเดียวกัน จัดเป็นปลาล่าเหยื่อขนาดเล็ก ขนาดโดยเฉลี่ย 3-4 เซนติเมตร พบใหญ่เต็มที่ 8 เซนติเมตร กินอาหารจำพวก สัตว์น้ำและแมลงขนาดเล็ก อาศัยหากินเป็นฝูงในบริเวณกลางน้ำ พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย, เอเชียอาคเนย์ จนถึงประเทศญี่ปุ่น ในประเทศไทยพบได้เฉพาะแม่น้ำสาละวิน อันเป็นพรมแดนติดกับประเทศพม่า นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยอาจมีการฉีดสีเข้าไปในตัวปลาทำให้เกิดเป็นสีสันต่าง ๆ เช่น เหลือง, แดง, น้ำเงิน, ส้ม เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแป้นแก้วรังกา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแป้นเขี้ยว

ปลาแป้นเขี้ยว (Toothed ponyfish, Toothed soapy) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแป้น (Leiognathidae) มีลำตัวป้อมสั้นเป็นสีขาวเงิน ด้านข้างแบน นัยน์ตาโต ปากมีขนาดเล็ก ปากสามารถยืดหดได้คล้ายปลาแบบทั่ว ๆ ไป มีฟันเขี้ยวตรงบริเวณริมฝีปากบนและล่าง บริเวณลำตัวมีเกล็ดเล็กแต่ส่วนหัวและครีบใต้หูไม่มีเกล็ด ครีบหลังมีก้านครีบแข็งแล้วต่อด้วยก้านครีบอ่อนเช่นเดียวกับครีบก้น ครีบหางเว้าแฉกเข้าด้านใน ส่วนบนของลำตัวจะมีลายเส้นสีน้ำตาลทองและมีรอยแต้มสีแดงและสีน้ำเงิน บริเวณครีบอกครีบก้นจะมีแถบสีเหลืองอยู่ตรงบริเวณตอนส่วนหน้าของครีบ จัดเป็นปลาขนาดเล็กมีความยาวประมาณ 6-12 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 21 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อยู่ตามแถบชายฝั่งหรือปากแม่น้ำ เป็นปลาที่กินสัตว์น้ำขนาดเล็กรวมถึงสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ทะเลแดง, แอฟริกาตะวันออก, หมู่เกาะริวกิว และออสเตรเลีย ในน่านน้ำไทยพบได้ที่ฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เช่น บางปะกง, ชลบุรี, สมุทรปราการ, ภูเก็ต, ระนอง, พังงา เป็นต้น เป็นปลาที่มักถูกทำเป็นปลาเป็ด คือ ปลาป่นสำหรับทำอาหารสัตว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแป้นเขี้ยว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาแนนดัส

ปลาแนนดัส เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาเสือดำ (Nandidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Nandus (/แนน-ดัส/) เป็นปลาขนาดเล็ก มีรูปร่างคล้ายใบไม้ ลำตัวแบนข้างมาก หัวโต ปากกว้างและยืดหดได้ ขากรรไกรบนยาวถึงหลังนัยน์ตา เยื่อที่ริมกระดูกแก้มแต่ละข้างแยกกันเป็นอิสระ มีกระดูกเป็นซี่แข็งปลายแหลมหนึ่งอันอยู่บนกระดูกแก้ม ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยวที่เป็นซี่แข็งปลายแหลม จำนวน 15-16 ก้าน และมีก้านครีบแขนง 11-12 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบเดี่ยวที่เป็นซี่แข็งปลายแอหลม จำนวน 3 ก้าน และมีก้านครีบแขนง 5-6 ก้าน เกล็ดเป็นแบบสากขอบหยัก เส้นข้างลำตัวแยกออกเป็น 2 ตอน พบปลาขนาดเล็ก แม้จะมีสีสันไม่สวยงาม แต่ก็ยิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มักอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่มีไม้น้ำและพืชน้ำขึ้นหนาแน่น โดยมักจะอยู่นิ่ง ๆ จนดูคล้ายใบไม้ เพื่อรอดักเหยื่อซึ่งได้แก่ ปลาขนาดเล็กและสัตว์น้ำขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงเกาะบอร์เนียว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาแนนดัส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาใบขนุน

ปลาใบขนุน หรือที่นิยมเรียกและรู้จักกันในชื่อภาษาแต้จิ๋วว่า ปลาอังนั้ม (乳香鱼; False trevally, Milkfish, Whitefish, Butterfish) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lactarius lactarius อยู่ในวงศ์ Lactariidae เป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุลนี้และวงศ์นี้ มีรูปร่างโดยทั่วไปคล้ายกับปลาทู ซึ่งอยู่ในวงศ์ Scombridae คือ มีลำตัวป้อม แบนข้าง หัวโตปากกว้างและเชิดขึ้น มีฟันซี่เล็ก ๆ เรียงกันเป็นแผงอยู่บนขากรรไกรเพดานและลิ้น เกล็ดเป็นแบบบางเรียบขนาดใหญ่และหลุดง่าย มีครีบหลัง 2 ตอน ตอนที่ 2 ยาวและมีลักษณะคล้ายครีบก้นซึ่ง อยู่ตรงข้ามและยาวกว่าเล็กน้อย มีลำตัวสีเงินตลอด ที่ขอบด้านบนของแผ่นปิดเหงือกมีจุดสีดำดูเด่น ครีบต่าง ๆ สีเหลืองอ่อน และมีสีน้ำเงินแทรกด้านหลังและท้องบริเวณหลัง เป็นปลากินเนื้อ มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง มักหากินตามชายฝั่งซึ่งบางครั้งอาจพบได้ในแถบน้ำกร่อย มีขนาดโตเต็มที่ยาวได้ 40 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไป คือ 15-30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแถบอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ตอนใต้ทะเลญี่ปุ่น, ออสเตรเลียทางตอนเหนือ และฟิจิ ในน่านน้ำไทย พบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ปลาใบขนุนที่ตลาดสดของรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง เนื้อมีรสชาติดี นิยมนำมาบริโภคด้วยการปรุงสด ปลาใบขนุนยังมีมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกเช่น "ปลาขนุน", "ปลาซับขนุน", "ปลาสาบขนุน" หรือ "ปลาญวน" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาใบขนุน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาใบโพ

ปลาใบโพ (หรือสะกดว่า ปลาใบโพธิ์) หรือ ปลาใบปอ หรือ ปลาแมลงปอ (Banded sicklefish, Concertina fish) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาใบโพ (Drepaneidae) มีลำตัวป้อมสั้นเกือบกลม ด้านข้างแบน ดูคล้ายใบโพ อันเป็นที่มาของชื่อเรียก สันหลังโค้งนูน หัวค่อนข้างใหญ่ จะงอยปากสั้น นัยน์ตาโต บริเวณระหว่างตาโค้งนูนออกมา ปากเล็กและยืดหดได้ มีฟันเล็กและแหลมคมบนขากรรไกรบนและล่าง ลำตัวด้านบนสีขาวปนเทาและมีจุดเล็ก ๆ สีส้มเรียงเป็นแถวขวางลำตัวจำนวน 4-11 แถว ซึ่งแตกต่างจากปลาใบโพจุด (D. punctata) ที่มีแถบสีเทาเรียงในลักษณะเดียวกัน ปลาวัยอ่อนจะมีแถบสีดำในบริเวณที่เป็นจุดสีส้ม มีความยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุดได้ถึง 40 เซนติเมตร พบอาศัยอยู่บริเวณพื้นท้องน้ำที่เป็นกรวดทรายใกล้แนวปะการังและแหล่งน้ำกร่อย กินสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่อินเดียจนถึงออสเตรเลียตอนเหนือ ในประเทศไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน จัดเป็นปลาเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาใบโพ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาใบโพจุด

ปลาใบโพจุด (หรือสะกด ปลาใบโพธิ์จุด) (Spotted sicklefish) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาใบโพ (Drepaneidae) มีลำตัวป้อมสั้นเกือบกลม ด้านข้างแบน ดูคล้ายใบโพ อันเป็นที่มาของชื่อเรียก สันหลังโค้งนูน หัวค่อนข้างใหญ่ จะงอยปากสั้น นัยน์ตาโต บริเวณระหว่างตาโค้งนูนออกมา ปากเล็กและยืดหดได้ มีฟันเล็กและแหลมคมบนขากรรไกรบนและล่าง ลำตัวด้านบนสีขาวปนเทาและมีจุดเล็ก ๆ สีส้มเรียงเป็นแถวขวางลำตัวจำนวน 4-11 แถว ปลาวัยอ่อนจะมีแถบสีดำในบริเวณที่เป็นจุดสีส้ม มีความยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุดได้ถึง 40 เซนติเมตร พบอาศัยอยู่บริเวณพื้นท้องน้ำที่เป็นกรวดทรายใกล้แนวปะการังและแหล่งน้ำกร่อย กินสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่อินเดียจนถึงออสเตรเลียตอนเหนือ ในประเทศไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน จัดเป็นปลาเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาใบโพจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาใบไม้

ำหรับปลาใบไม้ชนิดอื่น ดูที่: ปลาใบไม้ ปลาใบไม้ (Harmand's sole) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาลิ้นหมา (Soleidae) มีรูปร่างคล้ายปลาลิ้นหมาน้ำจืด (B. panoides) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน เพียงแต่ปลาใบไม้มีรูปร่างคล้ายหยดน้ำ ตาอยู่ชิดกัน ปากเล็กและเบี้ยว ครีบมีลักษณะเชื่อมต่อกันเกือบทั้งลำตัว ครีบอกเล็กมาก ลำตัวด้านบนเป็นสีน้ำตาลเข้ม มีแต้มสีคล้ำตลอดทั้งลำตัว มีแต้มจุดสีคล้ำตลอดแนวครีบ ครีบมีขอบสีจาง มีจุดประสีคล้ำกระจาย ลำตัวด้านล่างสีขาว เกล็ดเป็นแบบสาก ขนาดลำตัวประมาณ 10 เซนติเมตร มีพฤติกรรมคล้ายกับปลาลิ้นหมาน้ำจืด พบในถิ่นที่อยู่เดียวกัน เพียงแต่ใบไม้จะพบในภาคอีสานและลุ่มแม่น้ำโขงด้วย ใช้บริโภคโดยปรุงสดและทำปลาตากแห้ง มีราคาค่อนข้างสูง และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย มีชื่อเรียกในภาษาอีสานว่า "เป".

ใหม่!!: สัตว์และปลาใบไม้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาใบไม้กายอานา

ปลาใบไม้กายอานา (Guyana leaf-fish) หรือ ปลาใบไม้โชมบวร์ค (Schomburgk's leaf-fish) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาใบไม้อเมริกาใต้ (Polycentridae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุลนี้ (Polycentrus มาจากคำว่า poly.

ใหม่!!: สัตว์และปลาใบไม้กายอานา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาใบไม้อเมริกาใต้

ปลาใบไม้อเมริกาใต้ หรือ ปลาใบไม้อเมซอน (Amazon leaffish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Monocirrhus polyacanthus ในวงศ์ปลาใบไม้อเมริกาใต้ (Polycentridae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวกันที่อยู่ในสกุล Monocirrhus ปลาใบไม้อเมริกาใต้ เป็นปลาที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีว่าสามารถพรางตัวให้กับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยได้อย่างดีเยี่ยม โดยมีรูปร่างเหมือนใบไม้ที่มีทั้งก้านและแขนงจริง ๆ ด้วยว่าที่ปลายปากมีติ่งเล็ก ๆ อยู่ด้วย มีถิ่นที่อยู่ในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ เป็นที่รู้จักครั้งในปี ค.ศ. 1840 จากการบรรยายของ โจฮานน์ จาคอบ เฮกเคล นักชีววิทยาชาวออสเตรีย โดยได้บรรยายลักษณะทางกายภาพเกี่ยวกับปลาชนิดนี้ไว้ว่า มีสีเหลืองหรือสีแดง ส่วนหัวมีรูปทรงแบนข้าง ตอนปลายแหลม ด้านหน้ามีสัณฐานเว้า ตามีขนาดเล็ก ปากใหญ่ ก้านครีบอกทุกก้านสั้น ปรากฏแถบเล็กสีน้ำตาล 3 แถบ เริ่มต้นจากตา แถบนึงลงข้างล่าง อีก 2 แถบแตกไปทางด้านหลัง ปรากฏแถบหนากลางลำตัว และปรากฏแถบที่ตอนล่างของครีบหาง ก้านครีบอกเป็นก้านครีบอ่อนที่แตกแขนง 20 ก้านครีบ ครีบท้องประกอบด้วยก้านครีบแข็ง 1 ก้านครีบต่อด้วยก้านครีบอ่อนที่แตกแขนง 4 ก้านครีบ ครีบหลังประกอบด้วยก้านครีบแข็ง 17 ก้านครีบต่อด้วยก้านครีบอ่อนที่แตกแขนง 12 ก้านครีบ ก้านครีบก้นประกอบก้วยก้านครีบแข็ง 13 ก้านครีบต่อด้วยก้านครีบอ่อนที่แตกแขนง 12 ก้านครีบ และเป็นปลาที่ไม่มีเส้นข้างลำตัว จากนั้นในปี ค.ศ. 1921 คาร์ล เอ.อีเกนแมนน์ และ วิลเลียม เรย์ อัลเลน ได้สำรวจป่าดิบชื้นในอเมริกาใต้ ได้เก็บตัวอย่างที่มีชีวิตของปลาชนิดนี้ไว้ 3 ตัว โดยพบเห็นครั้งแรกด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นใบไม้ที่ลอยน้ำจริง ๆ ปลาใบไม้อเมริกาใต้ มีพฤติกรรมมักลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ บริเวณผิวน้ำหรือบริเวณตอนบนของผิวน้ำ เพื่อรอดักอาหาร ได้แก่ ลูกปลาหรือกุ้งขนาดเล็ก มักจะอยู่รวมกันเป็นฝูง และอาศัยอยู่ในสภาพน้ำที่มีความเป็นกรด (ประมาณ 5-6 pH) ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 8 เซนติเมตร ปลาตัวเมียวางไข่ประมาณ 300 ฟอง และไข่จะฟักเป็นตัวในเวลาประมาณ 3 วัน โดยที่ปลาตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าปลาตัวผู้ ปัจจุบันนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วยความแปลกและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาใบไม้อเมริกาใต้ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโบว์ฟิน

ปลาโบว์ฟิน (Bowfin) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ที่จัดว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตชนิดหนึ่ง เนื่องจากเป็นปลาที่อยู่ในอันดับ Amiiformes และวงศ์ Amiidae เพียงชนิดเดียวที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน เป็นปลาที่ถือกำเนิดมาในยุคจูราสสิคเมื่อกว่า 200-500 ล้านปีมาแล้ว มีรูปร่างคล้ายกับปลาช่อนที่พบในทวีปเอเชียและแอฟริกา ปลาโบว์ฟินมีรูปร่างเพรียวแบบตอร์ปิโด มีเกล็ดแบบเกล็ดเรียบ มีหางกลมกว้างเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ซึ่งครีบหลังที่ยาวสามารถใช้ว่ายน้ำได้ทั้งไปข้างหน้าและถอยหลังได้ มีก้านครีบจำนวน 145-250 ก้าน มีหัวที่แข็งและสีของลำตัวคล้ายกับงูอนาคอนดา กระดูกมีทั้งกระดูกแข็งและกระดูกอ่อน มีถุงลมไว้สำหรับโผล่ขึ้นมาฮุบอากาศหายใจเองได้ โดยไม่ต้องผ่านเหงือก แต่จะใช้ก็ต่อเมื่อน้ำมีปริมาณออกซิเจนต่ำ หรือในฤดูแล้งที่มีอุณหภูมิของน้ำและอากาศสูงทำให้ออกซิเจนในน้ำลดต่ำลง เป็นต้น ปลาโบว์ฟินอาศัยอยู่บริเวณแม่น้ำมิสซิสซิปปีในตอนกลางของสหรัฐอเมริกาจนถึงรัฐเทกซัส ชอบอยู่บริเวณแหล่งน้ำที่ไหลเอื่อย ๆ มีพืชน้ำขึ้นเป็นแถบ ๆ และมีปลาเล็กต่าง ๆ ว่ายอยู่ การผสมพันธุ์มักจะตีแปลงพืชน้ำ แล้วน้ำพืชน้ำมาสร้างเป็นรัง ตัวผู้จะไล่ปลาอื่นไม่ให้เข้าไกล้ เมื่อได้ลูกปลาแล้ว ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายเลี้ยงลูก โดยลูกปลาจะกินแพลงตอนเป็นอาหาร ตัวผู้จะคอยดูแลลูกเป็นเวลา 9 สัปดาห์ มีรายงานว่าเคยทำร้ายสัตว์ใหญ่กว่าอย่าง มนุษย์ด้วย ถ้าเข้าไปในบริเวณรังสืบพันธุ์ ตัวผู้มีความยาวสุด 20 นิ้ว ตัวเมียมีความยาวสุด 3 ฟุต น้ำหนักหนักได้ถึง 9.75 กิโลกรัม (21.5 ปอนด์) เป็นปลากินเนื้อที่มีฟันแหลมคม กินสัตว์น้ำต่าง ๆ เป็นอาหารหลัก รวมทั้งงู, หนู, หรือเต่าที่มีขนาดเล็กได้ สามารรถกินปลาที่มีขนาดเล็กกว่าตัวได้ถึงครึ่ง มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 20 ปี เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ในระยะเวลา 3-5 ปี เป็นปลาที่นิยมตกกันเป็นเกมกีฬา และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามสำหรับผู้ที่นิยมปลากินเนื้อ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโบว์ฟิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโมลา

ปลาโมลา เป็นสกุลของปลาทะเลกระดูกแข็งขนาดใหญ่สกุล Mola จัดอยู่ในวงศ์ปลาแสงอาทิตย์ (Molidae) โดยคำว่า Mola มาจากภาษาละติน แปลว่า "หินโม่" ปลาโมลา เป็นปลารูปร่างลักษณะประหลาด เนื่องจากมีรูปร่างเป็นทรงกลม ส่วนหัวมีขนาดใหญ่จนดูคล้ายมีแต่เพียงหัวอย่างเดียว ขณะที่ส่วนครีบต่าง ๆ ถูกหดสั้นลง โดยส่วนครีบหลังมีขนาดใหญ่ตั้งยาวขึ้นไปข้างบน และครีบก้นให้มีขนาดใหญ่ยื่นยาวลงมาด้านล่างลำตัว เมื่อว่ายน้ำจะใช้ครีบทั้ง 2 โบกไปมา ในขณะครีบข้างลำตัวทรงโค้งจะมีขนาดเล็กและบาง ๆ เท่านั้น ขณะที่ครีบหางจะหดสั้นเข้ามาติดตอนท้ายของลำตัวที่หดสั้นจนดูว่าเป็นปลาที่มีแต่ส่วนหัว ปลาโมลา เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ อาจยาวได้ถึง 3.2 เมตรหรือ 4 เมตร และมีน้ำหนักมากกว่า 2 ตัน จัดเป็นปลาที่ว่ายน้ำได้ช้ามากด้วย มีผิวหนังที่หนาและยืดหยุ่น เป็นปลาที่มีปรสิตเกาะตามลำตัวมากถึง 40 ชนิด ดังนั้น จึงมีพฤติกรรมลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ กลางน้ำเพื่อให้ปลาขนาดเล็กต่าง ๆ มาเกาะกินปรสิตตามตัว รวมถึงกระทั่งลอยไปถึงผิวน้ำเพื่อให้นกนางนวลจิกกินปรสิตด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโมลา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโมง

ปลาโมง (Snail eater pangasius) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pangasius conchophilus อยู่ในวงศ์ปลาสวาย (Pagasiidae) มีลักษณะคล้ายปลาเผาะ (P. bocourti) อันเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน มีตาเล็ก ปากอยู่ด้านล่าง หนวดยาวถึงบริเวณช่องเหงือก แถบฟันบนเพดานเชื่อมติดกันเป็นรูปเหลี่ยม รูปร่างเพรียว หางคอด ก้านครีบแข็งที่หลังค่อนข้างยาวและใหญ่ หัวและลำตัวสีเทาหรือสีเขียวมะกอกเหลือบเหลืองหรือเขียว บางตัวสีเทาจาง ข้างลำตัวสีจางและไม่มีแถบคล้ำ ท้องสีจาง ครีบสีจาง ลูกปลามีสีเทาอมน้ำตาลหรือเหลือง มีขนาดประมาณ 60-80 เซนติเมตร พบปลาที่ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2534 โดยระบุว่าเป็นปลาชนิดใหม่ที่มีขนาดเล็ก กินกุ้ง, ปู และแมลงเป็นส่วนใหญ่ ปลาขนาดใหญ่กินหอย, ปู และเมล็ดพืช โดยหอยจะถูกกินทั้งตัวแล้วถ่ายออกมาเฉพาะเปลือก อาศัยในแม่น้ำสายใหญ่ พบมากในแม่น้ำโขง, แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำบางปะกง มีการบริโภคโดยการปรุงสด และหมักสับปะรด เนื้อมีรสชาติดี ในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย มีการเลี้ยงปลาชนิดนี้เป็นปลาเศรษฐกิจด้วย มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลาโมงออดอ้อ", "ปลาเผาะ" (เรียกซ้ำกับปลาเผาะชนิด P. bocourti), "ปลาสายยู" หรือที่ทางกรมประมงตั้งให้ คือ "ปลาสายยูเผือก" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโมง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโรซี่บาร์บ

ปลาโรซี่บาร์บ (Rosy barb) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียใต้ มีลำตัวเพรียวยาวและแบนข้าง พื้นลำตัวมีสีแดงอมส้ม แผ่นหลังสีเขียวมะกอก เกล็ดมีขนาดเล็กเป็นมันแวววาวระยิบระยับ ลำตัวบริเวณใกล้โคนหางมีจุดสีดำอยู่ ข้างละ 1 จุด เพศผู้จะมีสีแดงเข้มและหางยื่นยาวกว่าเพศเมีย จัดเป็นปลาขนาดเล็ก ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 14 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 3-4 เซนติเมตร นิยมอยู่รวมกันเป็นฝูง กระจายพันธุ์ในประเทศอินเดีย บริเวณรัฐอัสสัมและรัฐเบงกอล นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เช่นเดียวกับปลาในวงศ์นี้ชนิดอื่น ๆ เช่น ปลาเสือสุมาตรา (Puntigrus tetrazona), ปลาเสือข้างลาย (P. partipentazona) เป็นต้น สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในตู้เลี้ยงเช่นเดียวกับปลาวงศ์เดียวกันชนิดอื่น ๆ โดยปลาจะมีพฤติกรรมผสมพันธุ์เป็นหมู่ ไข่จะฟักเป็นตัวในเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง โดยจะวางไข่ติดกับพืชไม้น้ำหรือสาหร่าย ซึ่งปัจจุบันได้มีการเพาะขยายพันธุ์จนมีสีสันสวยงามกว่าปลาที่พบในธรรมชาติ และมีครีบต่าง ๆ ที่ยาวกว่าเพื่อเพิ่มความสวยงามอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโรซี่บาร์บ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโรซี่บิทเทอร์ลิ่ง

ปลาโรซี่บิทเทอร์ลิ่ง (Rosy bitterling; バラタナゴ; โรมะจิ: Baratanago; 高体鰟鮍; พินอิน: Gāo tǐ fáng pī) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาขนาดเล็ก โตเต็มที่มีขนาดประมาณ 10–11 เซนติเมตร อายุขัยโดยเฉลี่ย 4–5 ปี อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำประเภทไหลช้า เช่น บึง, ทะเลสาบน้ำจืด และแม่น้ำลำคลอง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ทั้งจีน, ญี่ปุ่น, คาบสมุทรเกาหลี จนถึงเวียดนามตอนเหนือ ปัจจุบันจำแนกออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย คือ R. o. kurumeus หรือเรียกว่า R. o. smithi และ R. o. ocellatus พบในจีน, ไต้หวัน และญี่ปุ่น โดยแต่เดิมนั้นเชื่อว่าเป็นปลาพื้นเมืองที่พบเฉพาะไต้หวันเท่านั้น แต่หลังจากศตรรษที่ 18 แล้ว ได้แพร่กระจายพันธุ์ออกสู่ที่ต่าง ๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออก มีพฤติกรรมการผสมพันธุ์วางไข่ที่แปลก คือ ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายหาหอยกาบน้ำจืดที่มีสุขภาพดี และปลาตัวเมียจะขยายอวัยวะวางไข่ด้วยการสอดท่อวางไข่ลงไปในโพรงกาบหอยและฝากไข่ไว้ในนั้น จากนั้นปลาตัวผู้จะตามเข้าไปฉีดสเปิร์ม หอยกาบจะสูบฉีดน้ำดึงเอาสเปิร์มจากปลาตัวผู้เข้าไปในตัวเองจนเกิดการปฏิสนธิ เมื่อหอยดึงเอาน้ำและออกซิเจนฟักไข่จนลูกปลาฟักออกเป็นตัวแล้วจึงว่ายออกมา โดยเฉลี่ยแล้วไข่ปลาจะยังฟักและได้รับการปกป้องภายในหอยกาบราวหนึ่งเดือน ลูกปลาจึงจะว่ายออกมา โดยที่หอยเองก็ได้ประโยชน์จากการนี้เพราะว่าได้ฝากไข่ติดไปกับตัวลูกปลาเพื่อกระจายและขยายพันธุ์ต่อด้วย เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามตามตู้ปลาที่ปูพื้นด้วยกรวดขนาดเล็กและทราย โดยผู้เลี้ยงอาจจะใส่หอยกาบน้ำจืดลงไปด้วยเพื่อให้ปลาวางไข่ เป็นปลาที่กินอาหารได้หลากหลายทั้ง สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง, ปรสิต, ตัวอ่อนแมลงน้ำ, ลูกน้ำ, ไรแดง รวมถึงพืชชนิดต่าง ๆ ในแถบยุโรปนิยมเลี้ยงกันในบ่อปลาคาร์ป เพื่อให้ช่วยกำจัดปรสิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนอนสมอ และยังใช้กำจัดลูกน้ำ ซึ่งเป็นตัวอ่อนของยุง เป็นการควบคุมโรคระบาดที่เกิดจากยุงได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้แล้ว ปลาโรซี่บิทเทอร์ลิ่งยังใช้ในการทดสอบการตั้งครรภ์ของสตรีได้อีกด้วย โดยนำเอาปัสสาวะของผู้ทดสอบหยดลงในน้ำใกล้กับปลาตัวเมีย หากเป็นปัสสาวะของสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ฮอร์โมนในยูเรียในน้ำปัสสาวะจะทำให้ท่อวางไข่ของปลาตัวเมียยื่นออกม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโรซี่บิทเทอร์ลิ่ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโรนันยักษ์

ปลาโรนันยักษ์ (Wedgefishes) ปลากระดูกอ่อนขนาดใหญ่จำพวกหนึ่ง ในกลุ่มปลากระเบน จัดอยู่ในวงศ์ Rhynchobatidae และสกุล Rhynchobatus โดยแยกออกจากปลาโรนันซึ่งอยู่ในวงศ์ Rhinobatidae อีกที (โดยในบางแหล่งข้อมูลยังคงจัดให้อยู่รวมกัน) พบกระจายพันธุ์ในทะเลและมหาสมุทรเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของอินโด-แปซิฟิก โดยมีเป็นบางชนิดที่พบในมหาสมุทรแอตแลนติกแถบตะวันออก โดยเป็นปลาที่ถูกประเมินไว้จากสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) แล้วว่าทุกชนิดตกอยู่ในสภานะของการเสี่ยงหรือล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์หรือใกล้สูญพันธุ์ เป็นปลาขนาดใหญ่ ความยาวที่สุดที่พบคือ 3 เมตร (9.8 ฟุต) จัดว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มปลากระเบนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ขนาดเล็กที่สุดมีความยาวเพียงครึ่งเดียว ทุกชนิดมีความคล้ายคลึงกันโดยมองอย่างผิวเผิน โดยสามารถจำแนกออกจากกันด้วยการพิจารณาลักษณะโดยรวมของส่วนปลายจมูก, การนับกระดูกสันหลัง ตลอดจนสีตามลำตัว (การกระจายตัวของจุดสีขาว และการมีหรือไม่มีฐานสีดำที่ใต้ครีบอก).

ใหม่!!: สัตว์และปลาโรนันยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโรนันหัวใส

ปลาโรนันหัวใส หรือ ปลาโรนันจิ้งจก เป็นสกุลของปลากระดูกอ่อนจำพวกปลาโรนัน ที่อยู่ในสกุล Rhinobatos (/ไร-โน-บา-ตอส/) จัดเป็นปลาโรนันขนาดเล็ก ในประเทศไทยพบมากแถบทะเลอันดามัน เรือประมงจะสามารถจับได้ครั้งละ 4–5 ตัว ในการออกเรือแต่ละครั้ง เป็นปลาเศรษฐกิจที่มีขายกันตามตลาดปลาทะเลทั่วไป.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโรนันหัวใส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโรนันหัวเสียม

ปลาโรนันหัวเสียม (Shovelnose guitarfish) ปลากระดูกอ่อนชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาโรนัน (Rhinobatidae) จัดเป็นปลาโรนันขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ราว 1.5 เมตร มีรูปร่างเหมือนปลาโรนันจุดขาว (Rhynchobatus djiddensis) แต่มีขนาดเล็กกว่าและไม่มีจุดสีขาว เป็นปลาโรนันที่พบกระจายอย่างกว้างขวาง โดยพบตั้งแต่บริเวณอ่าวเม็กซิโก, อ่าวแคลิฟอร์เนีย, มหาสมุทรแปซิฟิคทางตะวันออก ตลอดจนน่านน้ำในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยจัดเป็น ปลาโรนัน 1 ใน 3 ชนิดที่พบได้บ่อย (อีก 2 ชนิด คือ ปลาโรนันจุดขาว และปลาโรนิน (Rhina ancylostoma)) แต่เป็นชนิดที่พบได้น้อยกว่าปลาโรนันจุดขาวมาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโรนันหัวเสียม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโรนันหัวเสียมยักษ์

ปลาโรนันหัวเสียมยักษ์ (Giant shovelnose ray) ปลากระดูกอ่อนชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Glaucostegus typus อยู่ในวงศ์ปลาโรนัน (Rhinobatidae) มีรูปร่างคล้ายปลาโรนันหัวเสียม (Rhinobatos productus) ที่เคยอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ว่ามีรูปร่างที่ใหญ่กว่ามาก โดยพบใหญ่เต็มที่ได้ถึง 270 เซนติเมตร ในการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวาง โดยพบทั้งในศรีลังกา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เวียดนามและไทย โดยเป็นปลาที่สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ สำหรับสถานะในประเทศไทยพบได้น้อยมาก มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโรนันหัวเสียมยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโรนันจุด

ปลาโรนันจุด (Giant guitarfish, White-spotted guitarfish, Spotted guitarfish) ปลากระดูกอ่อนทะเลขนาดใหญ่ จำพวกปลาโรนัน โดยอยู่ในวงศ์ปลาโรนันยักษ์ (Rhinobatidae) มีจะงอยปากแหลม หัวดูคล้ายหัวเรือ ครีบอกปลายแหลม ครีบหลังเรียวโค้งอยู่ห่างกัน ครีบหางเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว กลางหลังมีสันขรุขระและแคบ ลำตัวด้านบนสีน้ำตาลอ่อนหรือสีกากี ลำตัวรวมถึงครีบอกมีจุดสีขาวเป็นดวง ชานครีบอกมีจุดกลมสีดำ ส่วนท้องสีขาว เป็นปลาโรนันขนาดใหญ่ ขนาดโตเต็มที่โดยเฉลี่ย 250 เซนติเมตร และอาจใหญ่ได้ถึง 3 เมตร อาศัยอยู่ตามลำพังหรือเป็นฝูงเล็ก ๆ ไม่กี่ตัว ตามชายฝั่งและแนวปะการังตอนลึก จนถึงไหล่ทวีป กินอาหารจำพวกสัตว์น้ำหน้าดิน เช่น ปู, กุ้ง หรือหอย ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งสองฟากฝั่งทะเล แต่เป็นปลาที่พบได้น้อย ในอดีตถือว่าเป็นปลาโรนันที่เป็นชนิดซับซ้อนกับปลาโรนันชนิดอื่น ๆ คือ ปลาโรนันจุดขาว (R. djiddensis), ปลาโรนันจมูกกว้าง (R. springeri) และอาจเป็นไปได้ว่ารวมถึงปลาโรนันจมูกเรียบ (R. laevisWhite, W.T. & McAuley, R. 2003.. Downloaded on 3 August 2007.).

ใหม่!!: สัตว์และปลาโรนันจุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโรนันจุดขาว

ปลาโรนันจุดขาว (Spotted guitarfish, Giant guitarfish) ปลากระดูกอ่อนขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในจำพวกปลาโรนันยักษ์ (Rhynchobatidae) มีส่วนหัวแบนราบคล้ายปลากระเบน และเป็นทรงแหลมคล้ายหัวหอก ครีบหูขนาดใหญ่ ปาก และช่องเปิดเหงือกอยู่ด้านล่าง ครึ่งหลังคล้ายปลาฉลาม เพราะลำตัวส่วนนี้ค่อนข้างกลมมีครีบหลังสองอัน และมีแพนหางเหมือนปลาฉลาม พื้นลำตัวสีเขียว มีจุดสีขาวกระจายอยู่ทั่วลำตัว ปลาโรนันจุดขาว มีความยาวประมาณ 60–180 เซนติเมตร พบใหญ่สุดได้ถึง 3 เมตร น้ำหนัก 227 กิโลกรัม จัดว่าเป็นปลาโรนันชนิดที่ใหญ่ที่สุด พบได้ตามพื้นทะเลบริเวณชายฝั่ง ของมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิค, ตอนใต้ของทวีปแอฟริกา, ทะเลแดง ในประเทศไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน มักอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำตื้นมากกว่าน้ำลึก รวมทั้งบางครั้งอาจเข้าไปในแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำจืดบริเวณปากแม่น้ำได้ด้วย หากินอาหารได้แก่ สัตว์หน้าดิน เช่น ปลาขนาดเล็ก และสัตว์น้ำมีเปลือกชนิดต่าง ๆ ปลาโรนันจุดขาว ไม่จัดว่าเป็นปลาเศรษฐกิจโดยตรง แต่ในบางครั้งก็ติดเบ็ดหรืออวนของชาวประมง จึงเจอมีขายเป็นปลาบริโภคในตลาดปลาริมทะเลบางตลาดเป็นบางครั้งบางคราว สถานภาพปัจจุบัน เป็นสัตว์ที่มีแนวโน้มใกล้สูญพัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโรนันจุดขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโรนิน

ปลาโรนิน (Bowmouth guitarfish, Mud skate, Shark ray) ปลากระดูกอ่อนชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhina ancylostoma อยู่ในวงศ์ Rhinidae จัดเป็นเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในวงศ์นี้ และสกุล Rhina มีรูปร่างแตกต่างไปคล้ายกับปลาโรนัน (Rhinobatidae) แต่มีลักษณะที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด สันนิษฐานว่ามีไว้เพื่อป้องกันตัว โดยมีส่วนหัวขนาดใหญ่ รูปทรงแบนกลมและโค้งมน ปากกลม ครีบอกแผ่กว้าง ครีบหลังตั้งสูง เป็น 2 ตอน บริเวณเหนือตามีสันเป็นหนาม ตรงกลางหลังด้านหน้าของครีบหลังมีหนามเรียงตัวกันเป็นแถวชัดเจน พื้นผิวลำตัวด้านบนมีสีเทาอมน้ำตาล มีแต้มเป็นจุดสีขาวจาง ๆ กระจายอยู่ทั่วตัว ด้านท้องมีสีขาว ยิ่งโดยเฉพาะปลาวัยอ่อนจะมีลวดลายที่มากกว่าปลาตัวโต ขนาดโตเต็มที่มีความยาวได้ถึง 3 เมตร หนักได้ถึง 135 กิโลกรัม พบอาศัยอยู่ตามบริเวณพื้นทะเลที่เป็นดินทรายปนโคลน จัดเป็นปลาที่พบเห็นได้ยากมากในปัจจุบัน พบได้ในทะเลแดง, แอฟริกาตะวันออก, ญี่ปุ่นตอนใต้, ปาปัวนิวกินี, ในน่านน้ำไทยพบที่ฝั่งอันดามัน โดยมีชื่อที่ชาวประมงเรียกว่า "ปลากระเบนพื้นน้ำ" และมีความเชื่อว่าหนามบนหลังนั้นใช้เป็นเครื่องรางของขลังในทางไสยศาสตร์ได้ โดยนิยมนำมาทำเป็นหัวแหวน หรือนำมาห้อยคอ ซ้ำยังมีราคาซื้อขายที่ไม่แพง เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยมีอยู่ที่อันเดอร์วอเตอร์เวิลด์ พัทยา จังหวัดชลบุรี และ SEA LIFE Bangkok Ocean World ที่ห้าง Siam Paragon โดยมีราคาซื้อขายที่แพงมากนับล้านบาท ซึ่งปลาในที่เลี้ยงมีพฤติกรรมที่เชื่องต่อผู้เลี้ยงและกินเก่งมาก ในวันที่ 10 สิงหาคม..

ใหม่!!: สัตว์และปลาโรนิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโลมาน้อย

ปลาโลมาน้อย หรือ ปลาโลมาน้ำจืด หรือ ปลางวงช้างจมูกสั้น (Elephant-snout fish, Dolphin mormyrid, Bottlenose mormyrid) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mormyrus kannume อยู่ในวงศ์ปลางวงช้าง (Mormyridae) มีรูปร่างเรียวยาว มีสีลำตัวเป็นสีน้ำตาลดำอมน้ำเงิน ตามีขนาดเล็กมาก มีลักษณะเด่น คือ บริเวณส่วนจมูกหรือจะงอยปากจะทู่สั้นกว่าปลาจำพวกเดียวกันสกุลอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน โดยที่ยังเป็นปลาวัยอ่อนส่วนจมูกจะสั้นและหนามากจนแทบมองไม่เห็น แต่จะยาวขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อปลาโตขึ้น แต่รูปร่างจะผอมเพรียว แต่ก็ยังสั้นและหนาอยู่ดี โดยที่ปากมีขนาดเล็กและอยู่สุดปลายของจะงอยปากที่งองุ้มลงด้านล่าง ครีบหลังยาวติดต่อกันจนถึงโคนครีบหาง โคนครีบหางยาว ครีบหางยาวแยกเป็น 2 แฉก มีขนาดเมื่อโตเต็มที่ได้ถึง 1 เมตร นับว่าเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่มากชนิดหนึ่งของวงศ์นี้ เป็นปลาที่หากินในเวลากลางคืน หากินตามพื้นท้องน้ำ โดยใช้กระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ที่ปล่อยออกมาช่วยนำทางแทนตาซึ่งใช้การได้ไม่ดี กินอาหารจำพวก ไส้เดือนน้ำหรือหนอนแดงหรือสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ รวมถึงปลาหมอสีที่มีอยู่ดาษดื่นในถิ่นที่อยู่ ในเวลากลางคืน โดยอาจจะรวมตัวกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ออกล่าอาหารร่วมกัน พบกระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา เช่น ทะเลสาบวิกตอเรีย, ทะเลสาบคโยกา, ทะเลสาบมาลาวี, ทะเลสาบแทนกันยีกา, ลุ่มแม่น้ำไนล์ และแม่น้ำอติ ในประเทศเคนยา เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่น และนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม เป็นที่นิยมอย่างมากเนื่องจากเป็นปลาที่ไม่ก้าวร้าวต่างกับปลาขนาดใหญ่ชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน อีกทั้งยังมีพฤติกรรมชอบเคลื่อนย้ายสิ่งของต่าง ๆ ในที่เลี้ยงด้วยการใช้ส่วนหัวดัน หรือเล่นลูกบอลที่ลอยเหนือน้ำได้ด้วย และเชื่องกับผู้เลี้ยงได้เมื่อคุ้นเคยกันดีแล้ว ซึ่งพฤติกรรมการแสดงออกที่แสนรู้เช่นนี้ประกอบกับส่วนหัวที่แลดูคล้ายโลมา ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล จึงทำให้เป็นที่มาของชื่อสามัญที่ใช้เรียกขานกัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโลมาน้อย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโอรีโนโกพีค็อกแบส

ปลาโอรีโนโกพีค็อกแบส (Orinoca peacock bass; ชื่อท้องถิ่น: Tucanare) ปลาน้ำจืดขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาหมอออสเซลาริส (C. ocellaris‎) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน ต่างกันที่ปลาโอรีโนโกพีค็อกแบสจะไม่มีแถบสีดำที่ลำตัว และไม่มีจุดสีดำที่เหนือแผ่นปิดเหงือก มีขนาดโตเต็มที่ได้ 61.7 เซนติเมตร แพร่กระจายพันธุ์เฉพาะแม่น้ำโอรีโนโก ในประเทศเวเนซุเอลา และโคลอมเบีย และแม่น้ำริโอเนโกร ในประเทศบราซิล โดยพบกระจายอยู่ทั้งในบริเวณที่ใกล้ชายฝั่ง และในร่องน้ำลึก รวมทั้งบึงที่มีส่วนติดต่อกับแม่น้ำสายใหญ่ด้วย ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำที่ปลาอาศัยอยู่ที่ระหว่าง 5.5-6.5 pH อุณหภูมิประมาณ 27-23 องศาเซลเซียส จากการศึกษาพบว่า ปลาโอรีโนโกพีค็อกแบสกินอาหารหลัก คือ ปลาในกลุ่มปลาคาราซิน และแมลง รวมถึงสัตว์น้ำมีกระดองแข็งด้วย เป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่นิยมตกกันเป็นเกมกีฬา เป็นปลาที่ใช้บริโภค โดยพบขายในตลาดสดท้องถิ่น และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโอรีโนโกพีค็อกแบส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโอดำ

ปลาโอดำ หรือ ปลาโอหม้อ หรือ ปลาทูน่าน้ำลึก (longtail tuna, northern bluefin tuna) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาอินทรี (Scombridae) จัดเป็นปลาโอหรือปลาทูน่าชนิดหนึ่ง เป็นปลาผิวน้ำที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเช่นเดียวกับปลาชนิดอื่นในวงศ์นี้ทั่วไป มีลำตัวค่อนข้างกลมและยาวเพรียวแบบกระสวย ครีบหลังที่แยกออกจากกันเป็นสองอันและอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่าขนาดความ ยาวของตา ครีบอกหลังยาวมาก ครีบท้องตั้งอยู่ในแนวเดียวกับครีบอก ครีบก้นอยู่เยื้องครีบหลังอันที่สองเล็กน้อย ครีบหางใหญ่เว้าลึกเป็นรูปวงเดือน มีเกล็กเล็กละเอียดอยู่บริเวณแนวท้อง มีจุดสีขาวเรียงกันเป็นแถวไปตามความยาวของส่วนท้อง ครีบฝอยของครีบหลังและครีบก้นมีสีเทาแกมเหลือง มีความยาวประมาณ 40-70 เซนติเมตร มีขนาดความยาวใหญ่สุดถึง 145 เซนติเมตร น้ำหนักกว่า 35.9 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ทะเลแดงและแอฟริกาตะวันออกถึงนิวกินี, ทะเลญี่ปุ่นตอนเหนือ จนถึงตอนใต้ของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ในน่านน้ำไทยพบทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เป็นปลาที่หากินบริเวณผิวน้ำ โดยล่าปลาหรือสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นอาหาร เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่ง เนื้อสามารถทำไปปลาดิบในอาหารญี่ปุ่นได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโอดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโอด์ไวฟ์

ปลาโอด์ไวฟ์ (Old wife) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Enoplosidae ในอันดับปลากะพง (Perciformes) จัดเป็นปลาเพียงสกุลเดียวและชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์นี้ ปลาโอล์ไวฟ์ มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับปลาในวงศ์ปลาผีเสื้อ (Chaetodontidae) หรือวงศ์ปลาอมไข่ (Apogonidae) โดยมีลายพาดสีดำสลับขาวคล้ายม้าลายตลอดทั้งลำตัว และครีบ หากแต่มีพิษที่ก้านครีบหลัง เมื่อถูกแทงเข้าจะเจ็บปวดมาก มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร เป็นปลากินเนื้อเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะคุ้งเกรทออสเตรเลีย ที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย เท่านั้น จัดเป็นปลาเฉพาะถิ่นชนิดหนึ่ง มีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามและจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบ้าง เป็นปลากินเนื้อเป็นอาหาร โดยที่มาของชื่อนั้น มาจากปลาชนิดนี้เมื่อถูกจับขึ้นมาแล้ว จะส่งเสียงร้องได้ เกิดจากเสียงของฟันที่ขบกัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโอด์ไวฟ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโอแถบ

ปลาโอแถบ หรือ ปลาทูน่าท้องแถบ (Skipjack tuna, Arctic bonito, Striped tuna, Victor fish) เป็นปลากระดูกแข็งทะเลชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาอินทรี (Scombridae) จัดเป็นปลาโอหรือปลาทูน่าชนิดหนึ่ง และเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Katsuwonus มีรูปร่างกลมและยาวเพรียวแบบรูปกระสวย ปากกว้าง นัยน์ตาขนาดปานกลาง ครีบหลังอันที่สองมีขนาดเล็กและไม่สูงครีบหูมีขนาดเล็ก ปลายแหลมเรียว ครีบท้องเล็ก ครีบก้นมีจุดเริ่มต้นอยู่ประมาณกลางครีบหลังอันที่สอง มีเกล็ดเฉพาะบริเวณใต้ครีบหลังอันแรกและบริเวณเส้นข้างลำตัวมีแถบสีดำ ประมาณ 4-6 แถบ อยู่ใต้เส้นข้างตัว แลดูเด่นเป็นลักษณะเฉพาะ เป็นปลาที่มีพฤติกรรมรวมฝูงขนาดใหญ่เป็นพันหรือหมื่นตัวกันหากินตามผิวน้ำ และชอบกระโดดพร้อมกันทีเดียว มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 40-80 เซนติเมตร โตเต็มที่ได้ถึง 110 เซนติเมตร เป็นปลาที่มีการกระจายพันธุ์กว้างขวางมาก ในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก ในน่านน้ำไทยจะพบชุกชุมที่ทะเลอันดามันแถบจังหวัดระนอง, พังงา, ภูเก็ตถึงสตูล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโอแถบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโจก

ปลาโจก (Soldier river barb) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Cyclocheilichthys (/ไซ-โคล-ไคล-อิค-ธีส/; เฉพาะชนิด C. apogon, C. armatus และ C. raspasson ใช้ชื่อสกุลว่า Anematichthys) โดยคำว่า Cyclocheilichthys มาจากภาษากรีกโบราณคำว่า κύκλος (kýklos) หมายถึง "วงกลม", χείλος (cheílos) หมายถึง "ริมฝีปาก" และ ἰχθύς (ikhthús) หมายถึง "ปลา" ซึ่งมีความหมายถึง ริมฝีปากของปลาในสกุลนี้ มีรูปร่างโดยรวม คือ มีรูปร่างเหมือนปลาในวงศ์นี้ทั่วไป ส่วนหัวแหลม ลำตัวยาวเรียว แบนข้างเล็กน้อย บางชนิดมีหนวด 2 คู่ บางชนิดมีหนวด 1 คู่ หรือไม่มีหนวดเลย บริเวณแก้มและจะงอยปากมีตุ่มประสาทเล็ก ๆ เรียงกันเป็นแถว เกล็ดตามแนวเส้นข้างลำตัวมีไม่เกิน 50 แถว มีลักษณะเด่นคือ ครีบหลังมีก้านครีบตอนหน้าแข็งยาวคล้ายเงี่ยงเห็นได้ชัดเจน และมีขอบจักเป็นฟันเลื่อย มีก้านครีบแขนง 8 ครีบ พื้นลำตัวโดยมากด้านหลังและครีบสีเทาอมฟ้า ส่วนอื่นสีเงิน แต่ก็มีบางชนิดที่เป็นสีอื่น เช่น สีแดง และมีลวดลายตามลำตัว ขนาดลำตัวแตกต่างกันไปตามชนิด มีตั้งแต่ 15 เซนติเมตร จนถึง 2 ฟุต มีทั้งหมด 10 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโจก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโจกไหม

ปลาโจกไหม เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ในสกุล Cyclocheilichthys มีรูปร่างคล้ายปลาตะโกก (C. enoplos) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ทว่ามีลำตัวที่ป้อมกว้างกว่า ลำตัวสีเงิน เกล็ดบริเวณเส้นข้างลำตัวมีลายเป็นแฉก ด้านหลังมีสีจางอมชมพู ครีบมีสีเหลืองอ่อน ๆ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 80 เซนติเมตร เป็นปลาที่พบได้เฉพาะลุ่มแม่น้ำโขงเท่านั้น มีพฤติกรรมหากินในระดับพื้นน้ำ และเมื่อลูกปลาตัวอ่อนฟักออกมา จะเลี้ยงตัวกันในแหล่งน้ำหลาก เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่น ถูกค้นพบและอนุกรมวิธาน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโจกไหม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโนรี

ำหรับโนรีที่หมายถึงนก ดูที่: นกโนรี สำหรับโนรีที่หมายถึงนักมวย ดูที่: โนรี จ๊อกกี้ยิม ปลาโนรี (Bannerfishes, Pennanfishes) เป็นสกุลของปลาทะเลสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Heniochus อยู่ในวงศ์ปลาผีเสื้อ (Chaetodontidae) มีรูปร่างโดยรวม คือ มีลำตัวสั้นแต่กว้างมาก หัวแหลม ปากเล็กอยู่ที่ปลายสุดจะงอยปาก ครีบหลังที่มีก้านแข็งราว 11-12 อัน ก้านครีบหลังอันที่ 4 ตอนแรกยื่นยาวเป็นเส้นยาวมากดูโดดเด่น ตัวมีสีสันสดสวยหัวและลำตัวมีพื้นสีขาวเงิน มีแถบสีดำเข้มพาดขวางราว 3 แถบ มีทั้งหมด 8 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโนรี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโนรีหน้าหัก

ปลาโนรีหน้าหัก หรือ ปลาโนรีเขา (Phantom bannerfish, Indian Ocean bannerfish) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heniochus pleurotaenia ในวงศ์ปลาผีเสื้อ (Chaetodontidae) มีรูปร่างเหมือนปลาโนรีหลังเหลือง (H. singularius) คือ มีครีบหลังที่ไม่ยื่นยาว มีจุดเด่น คือ บริเวณหน้าผากมีอวัยวะแข็งคล้ายเขาหรือนอแหลมยื่นออกมาบริเวณเหนือดวงตา มีครีบแข็งตั้งบนหลัง ไม่มีครีบยาวยื่นออกมาเหมือนปลาโนรีชนิดอื่น ครีบหลังยกสูง ลำตัวมีสีออกน้ำตาลคาดขาว-ดำ เมื่อยังเป็นปลาวัยอ่อน ครีบหลังจะยกสูง จนดูทำให้มีรูปร่างคล้ายตัวอักษรเอ (A) เป็นปลาที่พบในเขตน้ำลึกกว่าปลาโนรีชนิดอื่น ๆ พบเจอตัวได้ยากกว่า มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 17 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรอินเดีย ได้แก่ มัลดีฟส์, เกาะชวา, ศรีลังกา, ทะเลอันดามันตอนเหนือ แม้เป็นปลาที่ไม่สวยงาม แต่ก็มีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโนรีหน้าหัก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโนรีครีบยาว

ปลาโนรีครีบยาว (Pennant coralfish, Longfin bannerfish, Coachman, Black and White Heniochus, Poor mans' moorish idol, Black and White bannerfish, Featherfin bullfish) เป็นปลาทะเลจำพวกปลาโนรีชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heniochus acuminatus อยู่ในวงศ์ปลาผีเสื้อ (Chaetodontidae) เป็นปลาที่สังเกตและแยกแยะได้ง่าย เพราะมีครีบหลังยาวออกมาเป็นเส้น ลำตัวเป็นลายสีขาวดำ ครีบและหางมีสีเหลือง ลักษณะคล้ายกับปลาโนรีอีกชนิดหนึ่ง คือ ปลาโนรีเกล็ด (H. diphreutes) แต่ปลาโนรีเกล็ดนั้นมีลำตัวที่ค่อนข้างกลมกว่า มีความยาวเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลเขตอินโด-แปซิฟิก ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน มักหากินกระจัดกระจายตามลำพังบ้าง เป็นคู่บ้าง หรือบางทีก็พบรวมกันเป็นฝูง ตามกองหินและแนวปะการัง เป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย กินอาหารได้ง่าย และมีพฤติกรรมที่ไม่ก้าวร้าว แต่ยังเป็นปลาที่ต้องจับมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติในทะเล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโนรีครีบยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโนรีครีบสั้น

ปลาโนรีครีบสั้น หรือ ปลาโนรีหลังเหลือง (Singular bannerfish, Philippine kabubu) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heniochus singularius ในวงศ์ปลาผีเสื้อ (Chaetodontidae) มีรูปร่างคล้ายกับปลาโนรีครีบยาว (H. acuminatus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีรูปร่างใหญ่กว่า มีครีบบนหลังสั้นกว่ามากและบริเวณท้ายลำตัวมีสีออกเหลืองเข้มกว่า มีขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร พบในความลึกประมาณ 2-40 เมตร ชอบอยู่ในแหล่งน้ำที่ค่อนข้างขุ่นกว่าปลาโนรีชนิดอื่น กระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิก ได้แก่ หมู่เกาะอันดามัน, มหาสมุทรอินเดีย, ซามัว, ทะเลญี่ปุ่น และนิวแคลิโดเนีย เป็นต้น เป็นปลาที่แลดูแล้วไม่สวยเหมือนปลาโนรีชนิดอื่น ๆ แต่ก็นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยถูกจับปะปนมากับปลาโนรีชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโนรีครีบสั้น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโนรีเกล็ด

ปลาโนรีเกล็ด หรือ ปลาโนรีเทวรูปปลอม (Schooling bannerfish, False moorish idol) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heniochus diphreutes ในวงศ์ปลาผีเสื้อ (Chaetodontidae) จัดเป็นปลาโนรีอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความสวยงาม มีลักษณะและรูปร่างคล้ายเคียงกับปลาโนรีครีบยาว (H. acuminatus) มาก แต่ปลาโนรีเกล็ดมีรูปร่างที่ป้อมกลมกว่า และมีตาที่ใหญ่และจมูกที่เล็กกว่า มีความยาวเต็มที่ประมาณ 18 เซนติเมตร มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมเป็นฝูงใหญ่ทำให้แลดูสวยงามบริเวณชายฝั่งหรือแนวปะการัง พบกระจายพันธุ์อยู่ในทะเลรอบ ๆ ทวีปแอฟริกา, ทะเลแดง, หมู่เกาะฮาวาย และออสเตรเลีย เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาโนรีเกล็ด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาโนรีเทวรูป

ปลาโนรีเทวรูป หรือ ปลาผีเสื้อเทวรูป (Moorish idol) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zanclus cornutus จัดอยู่ในวงศ์ Zanclidae (มาจากภาษากรีกคำว่า zagkios หมายถึง ทแยง) และถือเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์นี้ และสกุล Zanclus ปลาโนรีเทวรูป มีลักษณะคล้ายคลึงกับปลาในวงศ์ปลาผีเสื้อ (Chaetodontidae) มาก โดยเฉพาะกับปลาโนรี (Heniochus spp.) ซึ่งในอดีตเคยถูกจัดให้อยู่ในวงศ์เดียวกัน แต่ปัจจุบันได้มีการแยกออกมา แต่ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเป็นผลมาจากการวิวัฒนาการที่มีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งปลาโนรีเทวรูปมีความใกล้เคียงกับปลาการ์ตูน (Amphiprioninae) หรือปลาสินสมุทร (Pomacanthidae) มากกว่า มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลาโนรีครีบยาว (H. acuminatus) และปลาโนรีเกล็ด (H. diphreutes) มาก แต่มีลำตัวทางด้านท้ายเป็นสีเหลืองนวล จะงอยปากแหลมยาวกว่า ครีบหางมีสีดำ และสีครีบหางจะคล้ำและมีรอยคล้ายเขม่าที่บริเวณครีบหลัง ลักษณะเกล็ดแลดูเรียบเป็นมันเงา มีความยาวเต็มที่ประมาณ 22 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแถบอินโด-แปซิฟิก ในน่านน้ำไทยจะได้พบในด้านทะเลอันดามัน ในต่างประเทศ พบได้กว้างขวางมาก ตั้งแต่ มหาสมุทรอินเดีย, อ่าวแคลิฟอร์เนีย, อเมริกาใต้, ฮาวาย, ทะเลญี่ปุ่น, ไมโครนีเซีย, แอฟริกา หากินอยู่ตามแนวปะการังเช่นเดียวกับปลาผีเสื้อ และสามารถหากินได้ลึกถึงหน้าดินในความลึกถึง 182 เมตร ซ้ำยังมีพฤติกรรมออกหากินในเวลากลางวันเช่นเดียวกัน แต่เป็นปลาที่มักอาศัยอยู่ตามลำพังหรือไม่ก็เป็นคู่หรือเป็นฝูงเล็ก ๆ โดยกินฟองน้ำเป็นอาหารหลัก และสัตว์น้ำทั่วไปขนาดเล็ก ปลาวัยอ่อนมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่ลำตัวโปร่งใส ใช้ชีวิตคล้ายกับแพลงก์ตอนคือ จะถูกกระแสน้ำพัดพาลอยไปไกลจากถิ่นกำเนิด จึงทำให้การแพร่กระจายพันธุ์เป็นไปอย่างกว้างขวาง นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามเช่นเดียวกับปลาผีเสื้อหรือปลาโนรี และสามารถเลี้ยงรวมกันได้ ซึ่งในวัฒนธรรมร่วมสมัย ปลาโนรีเทวรูปได้ถูกสร้างเป็นตัวละครตัวหนึ่งในภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Finding Nemo ของวอลต์ ดีสนีย์ ออกฉายในปี ค.ศ. 2003 โดยเป็นหัวหน้าฝูงปลาชื่อ กิลด์ (ให้เสียงพากย์โดย วิลเลม ดาโฟ) ในตู้กระจกภายในคลินิกทันตแพทย์ ปลาโนรีเทวรูป ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก ได้แก่ "ปลาผีเสื้อหนัง" หรือ "ปลาโนรีหนัง".

ใหม่!!: สัตว์และปลาโนรีเทวรูป · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไบรคอน

ปลาไบรคอน หรือ ปลาเทราต์อเมริกาใต้ (South American trout) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดที่อยู่ในวงศ์ปลาคาราซิน (Characidae) จัดอยู่ในสกุล Brycon มีขนาดยาวเต็มที่ 12–80 เซนติเมตร (4.7–31.5 นิ้ว) มีรูปร่างคล้ายกับปลาเทราต์ ซึ่งเป็นปลาต่างวงศ์และอันดับกัน และมิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่นับเป็นปลาจำพวกหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของวงศ์ปลาคาราซิน เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง พบกระจายพันธุ์ตามแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ เช่น แม่น้ำแอมะซอน เป็นปลากินพืชเป็นอาหาร สามารถกินเมล็ดพืชที่หล่นลงน้ำในช่วงที่น้ำหลากหรือน้ำท่วมป่าได้ด้วย โดยสามารถกระโดดขึ้นงับจากผิวน้ำได้สูงถึง 4 เท่าของความยาวลำตัว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไบรคอน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไบเคอร์

ปลาไบเคอร์ หรือ ปลาบิเชียร์ (Bichir) ซึ่งเป็นชื่อที่นิยมเรียกกันในประเทศไทย เป็นปลากระดูกแข็งในอันดับ Polypteriformes จัดเป็นปลาน้ำจืดที่มีโครงร่างแตกต่างไปจากปลากระดูกแข็งและปลากระดูกอ่อนทั่วไป โดยเป็นปลาที่มีพัฒนาการมาจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือ ในส่วนของกระดูกแข็งนั้นพบว่ามีกระดูกอ่อนเป็นจำนวนมาก มีช่องน้ำออก 1 คู่ และภายในลำไส้มีลักษณะขดเป็นเกลียว ซึ่งจะเป็นลักษณะเฉพาะของปลาในกลุ่มฉลามและกระเบน ทั้งยังมีเหงือกแบบพิเศษอยู่หลังตาแต่ละข้าง เกล็ดเป็นแบบกานอยด์ ซึ่งเป็นเกล็ดที่พบในปลามีกระดูกสันหลังในยุคแรก มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมรูปว่าวและมีส่วนยื่นรับกับข้อต่อ ระหว่างเกล็ดแต่ละชิ้น ซึ่งปัจจุบันจะพบปลาที่มีลักษณะเช่นนี้ ได้แก่ ปลาในอันดับปลาเข็ม, ปลาฉลามปากเป็ดและปลาสเตอร์เจียน เป็นต้น หัวมีขนาดเล็กแต่กว้าง ช่วงลำตัวรวมกับส่วนอก ลำตัวมีลักษณะเรียวยาวคล้ายกับงูมากกว่าจะเหมือนปลาทั่วไป ส่วนอกนั้น มีครีบที่ค่อนข้างแข็งแรง มีลักษณะเป็นฐานพูเนื้อคลุมด้วยเกล็ด คอยช่วยยึดเส้นครีบทั้งหลายที่แผ่ออกมาเป็นแฉก ๆ เหมือนจานพังผืด ซึ่งช่วยในการเคลื่อนไหวในพื้นน้ำเหมือนกับการเดินคล้ายกับปลาซีลาแคนท์ ในส่วนท้องจะมีถุงลม 2 ถุง ช่วยในการหายใจทำหน้าที่คล้ายกับปอด ถุงลมด้านซ้ายมีการพัฒนาน้อยกว่าด้านขวา เช่นเดียวกับปลาปอด ตั้งอยู่บริเวณช่องท้องโดยยึดติดกับหลอดอาหาร โดยที่ทำงานร่วมกับเหงือก ทำให้สามารถอยู่โดยปราศจากน้ำได้เป็นเวลาหลายชั่วโมงมีท่อจมูก สำหรับดมกลิ่น 2 ท่อ เนื่องจากเป็นปลาที่สายตาไม่ดี ต้องใช้การดมกลิ่นในการหาอาหาร ส่วนหลังจะมีชุดครีบ ประกอบไปด้วย 5-18 ครีบ ซึ่งรวมกันเป็นครีบหลัง แต่ละครีบนั้นจะมีแกนครีบเดี่ยว 1 แกน รองรับด้วยพังผืดเล็ก ๆ ในแต่ละครีบ ครีบหางมีลักษณะกลมใหญ่ปลายแหลม นับได้ว่าปลาไบเคอร์เป็นรอยต่อที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการจากปลาขึ้นมาจากน้ำมาใช้ชีวิตอยู่บกอีกจำพวกหนึ่ง ซึ่งในช่วงฤดูแล้งหรือฤดูร้อน ที่แหล่งน้ำที่อยู่อาศัยเหือดแห้ง ปลาไบเคอร์สามารถที่จะขุดรูเข้าไปจำศีลในใต้พื้นดินเพื่อรอให้ถึงฤดูฝน เช่นเดียวกับปลาปอ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไบเคอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไบเคอร์ลายบั้ง

ปลาไบเคอร์ลายบั้ง หรือ ปลาบิเชียร์ลายบั้ง (Barred bichir, Armoured bichir) เป็นปลาไบเคอร์ชนิด Polypterus delhezi มีส่วนหัวที่เล็กกลม ขากรรไกรเล็กและแคบ กรามบนยื่นยาวกว่ากรามล่าง มีก้านครีบหลัง 13 ชิ้น ลักษณะเด่น คือ ตามลำตัวจะมีลายแถบเป็นบั้ง ๆ สีดำพาดตลอดทั้งตัวขนาดใหญ่ แลดูหนาชัดเจน มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 40 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำคองโกตอนกลางและตอนบน ในแถบทวีปแอฟริกาตอนกลาง ปลาไบเคอร์ลายบั้ง นับเป็นปลาไบเคอร์อีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม แต่ทว่าถือได้ว่ามีราคาสูงพอสมควร ในขณะที่บางตัวเมื่อโตขึ้นมา ลวดลายอาจจะไม่ปรากฏเป็นลายบั้ง แต่อาจเป็นลายจุดหรือลายแต้มแทนก็ได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไบเคอร์ลายบั้ง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไบเคอร์จุด

ปลาไบเคอร์จุด หรือ ปลาบิเชียร์จุด (Ornate bichir) เป็นปลาไบเคอร์ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Polypterus ornatipinnis มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายงูผสมกับปลาช่อน (Channidae) มีขากรรไกรบนยื่นยาวกว่าขากรรไกรล่าง มีส่วนหัวขนาดกลมเล็ก ขากรรไกรมีขนาดเล็กและสั้น มีรูปร่างเพรียวยาวและบอบบาง มีก้านครีบหลังทั้งหมด 11 ก้าน มีลวดลายสีดำและเหลืองตามลำตัว มีขนาดใหญ่เต็มที่ได้ราว 60 เซนติเมตร นับเป็นปลาไบเคอร์ชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุด พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำคองโกและทะเลสาบแทนกันยีกาในแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันออก เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม นับว่าเป็นปลาไบเคอร์ที่มีความสวยงามชนิดหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงกันได้แล้ว และยังมีมีการเพาะกันเป็นปลาเผือกได้อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไบเคอร์จุด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไบเคอร์เซเนกัล

ปลาไบเคอร์เซเนกัล หรือ ปลาบิเชียร์เซเนกัล หรือ ปลาไบเคอร์ธรรมดา (Senagal bichir, Gray bichir) เป็นปลาไบเคอร์ชนิด Polypterus senegalus มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายงูหรือปลาไหล มีส่วนหัวที่เล็ก ขากรรไกรเล็ก กรามบนยื่นยาวกว่ากรามล่าง ตามีขนาดเล็ก โดยปลาไบเคอร์ชนิดนี้เป็นปลาไบเคอร์ชนิดที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามมากที่สุด และแพร่หลายมากที่สุด สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้เป็นสีต่าง ๆ หลากหลายออกไปจากสีดั้งเดิมที่เป็นอยู่ คือ สีเขียวมะกอก ทั้งสีทองหรือสีเผือกตาแดง หรือแม้กระทั่งสีแพลทินัม รวมถึงเป็นปลาที่มีลำตัวสั้นกว่าปกติ หรือมีครีบหลังที่ยาวกว่าปกติด้วย มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร กระจายพันธุ์ในลุ่มน้ำต่าง ๆ ในแอฟริกากลาง และยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย อีก คือ P. s. meridionalis ซึ่งยาวเต็มที่ประมาณ 21 เซนติเมตร และ P. s. senegalus.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไบเคอร์เซเนกัล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไม่มีขากรรไกร

ปลาไม่มีขากรรไกร (Jawless fish) เป็นปลาที่อยู่ในชั้นใหญ่ Agnatha (กรีก: ไม่มีขากรรไกร) เป็นปลาในชั้นหนึ่ง ที่แตกต่างไปจากปลากระดูกแข็ง หรือ ปลากระดูกอ่อน ซึ่งเป็นปลาส่วนใหญ่ที่พบได้ทั่วไปและเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี โดยปลาในชั้นนี้จะไม่มีกรามหรือขากรรไกร แต่จะมีปากแบบวงกลมและมีฟันแหลมคมจำนวนมากอยู่รอบ ๆ ใช้สำหรับดูดเลือดและเนื้อเยื่อของปลาชนิดอื่นกินเป็นอาหาร มีลำตัวยาวเหมือนปลาไหล มีโครงสร้างของกระดูกเป็นกระดูกอ่อน พบได้ทั้งน้ำจืดและทะเล บรรพบุรุษของปลาไม่มีขากรรไกร วิวัฒนาการมาจากปลาในชั้นออสตราโคเดิร์มซึ่งสูญพันธ์ไปแล้ว ฟอสซิลที่ถูกค้นพบครั้งล่าสุด พบว่า มีอายุกว่า 500 ล้านปีมาแล้ว และฟอสซิลที่ถูกค้นพบนั้นมีความสลับซับซ้อนมาก จึงเป็นที่น่าคาดการได้ว่า ออสตราโคเดิร์ม เก่าแก่มาก และน่าจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ปลาไม่มีขากรรไกร สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ Petromyzontida และ Myxini ซึ่งในปัจจุบัน กลุ่ม Petromyzontida มีเหลืออยู่เพียงประเภทเดียว คือ ปลาแลมป์เพรย์ ส่วน Myxini ก็เหลือเพียงประเภทเดียวเช่นกัน คือ แฮคฟ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไม่มีขากรรไกร · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไวท์คลาวด์

ปลาไวท์คลาวด์ (White cloud mountain minnow; 唐魚; พินอิน: táng yu) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) จัดเป็นปลาซิวชนิดหนึ่ง มีลักษณะของลำตัวสีขาวออกเงิน ๆ แวววาว เวลามองจากด้านบนจะเป็นสีเงินอมเขียว กลางลำตัวมีแถบสีทองออกเงินพาดขวางลำตัว ครีบหางมีสีแดงสด ขณะที่ครีบอื่น ๆ จะมีสีเหลืองตรงขอบของครีบ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 4 เซนติเมตร ตัวผู้จะมีสีสดกว่าตัวเมียและลำตัวจะเพรียวกว่า เป็นปลาที่อยู่อาศัยเป็นฝูง พบกระจายพันธุ์อยู่ทางแถบเทือกเขาสูงที่มีอุณหภูมิต่ำ ทางตอนใต้ของจีนติดต่อกับเวียดนาม ค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 โดยลูกเสือชาวจีน บนเขาไป๋หยุน ใกล้กับเมืองกวางเจา ในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งคำว่า "ไป๋หยุน" (白雲) นั้นหมายถึง "เมฆขาว" อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว ปลาจะวางไข่ติดกับใบของพืชน้ำ ไข่ใช้เวลาราว 36 ชั่วโมงในการฟักเป็นตัว ซึ่งปัจจุบัน จากการเพาะขยายพันธุ์สามารถทำให้เลี้ยงได้ในเขตโซนร้อน อีกทั้งยังสามารถให้มีสายพันธุ์ที่แปลกไปจากธรรมชาติ อาทิ สีเผือกทอง หรือที่มีครีบและหางยาวกว่าปกต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไวท์คลาวด์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไวเปอร์

ปลาไวเปอร์ (Viperfish.) เป็นปลาในสกุลChauliodus มีลำตัวยาวส่วนมากสีของมันจะดำสนิทมันมีฟันเหมือนเข็มยาวและคมมากมีขากรรไกรเหมือนบานพับ ปลาไวเปอร์นั้นถือเป็นนักล่าขนาดเล็กเนื่องจากมันมีขนาดยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตรเท่านั้นแต่มันก็อาศัยอยู่ในความลึกถึง 80–1,520 เมตรซึ่งในความมืดมิดนั้น มันจะมีการเรืองแสงเป็นจุดๆที่เรียกว่า photophores เป็นลายไปตามท้องของมัน มีทั้งหมด 9 ชนิด ส่วนมากอายุโดยเฉลี่ย 15-30 ปีในตอนกลางวันพวกมันจะอยู่บริเวณน้ำลึกในเวลากลางคืนส่วนใหญ่อยู่ในเขตน่านน้ำเขตร้อน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไวเปอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไส้ตันสนธิรัตน

ปลาไส้ตันสนธิรัตน ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ในสกุล Cyclocheilichthys มีลักษณะคล้ายกับปลาไส้ตันตาขาว (C. repasson) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน แต่ทว่าปลาไส้ตันสนธิรัตนมีลำตัวที่กว้างกว่า ไม่มีหนวดที่มุมปาก เกล็ดมีขนาดเล็ก ลำตัวสีเงินแวววาวอมสีเหลืองอ่อน ท้องสีจาง ครีบมีสีเหลืองอ่อน มีความยาวเต็มที่ประมาณ 10-15 เซนติเมตร พบเฉพาะลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบนเท่านั้น โดยมีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ หากินตามพื้นน้ำ โดยกินพวกอินทรียสารและสัตว์หน้าดินขนาดเล็กเป็นอาหาร จัดเป็นปลาที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก เป็นปลาที่ถูกค้นพบและอนุกรมวิธาน โดย ศ.สืบสิน สนธิรัตน นักวิชาการด้านมีนวิทยาชาวไท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไส้ตันสนธิรัตน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไส้ตันตาขาว

ปลาไส้ตันตาขาว ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาไส้ตันตาแดง (A. apogon) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน เว้นแต่ขอบตาบนไม่มีสีแดง และมีหนวดสั้น ๆ 2 คู่ ลำตัวสีเงินวาวหรืออมเหลืองอ่อน มีแถบสีคล้ำพาดตามความยาวลำตัว 5-6 แถบ ครีบสีเหลืองอ่อนหรือชมพูจาง ๆ มีขนาดโดยเฉลี่ย 15-20 เซนติเมตร มักอาศัยอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ พบได้ตามแม่น้ำ หนองบึง และแหล่งน้ำนิ่งของภาคกลาง ภาคเหนือ และอีสาน เป็นปลาที่พบชุกชุมเช่นเดียวกับปลาไส้ตันตาแดง ปลาไส้ตันตาขาวมีชื่อที่เรียกต่างออกไป เช่น จังหวัดพะเยาเรียกว่า "แพ็บ" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไส้ตันตาขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไส้ตันตาแดง

ปลาไส้ตันตาแดง (Beardless Barb) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาไส้ตันตาแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลช่อ

ปลาไหลช่อ (Freshwater moray, Freshwater snowflake eel, Indian mud moray) เป็นปลากระดูกแข็งขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาไหลมอเรย์ (Muraenidae) เป็นปลาไหลมอเรย์ขนาดเล็ก มีลำตัวสีน้ำตาลเข้ม บางตัวอาจมีจุดสีขาวหรือเหลืองเล็ก ๆ กระจายไปทั่วลำตัว มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 2 ฟุต อายุขัยโดยเฉลี่ย 30 ปี พบกระจายพันธุ์ในเขตร้อนเช่น อนุทวีปอินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงอินโดนีเซีย จัดเป็นปลาที่อาศัยในทะเลที่ใกล้กับชายฝั่ง ในบางตัวอาจเข้าไปอยู่ในแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำจืดเช่น ป่าชายเลนหรือตามปากแม่น้ำได้ เป็นปลาที่กินอาหารจำพวก ลูกปลาหรือปลาขนาดเล็กรวมทั้งเคยหรือกุ้งฝอยเป็นอาหาร โดยมักจะซ่อนตัวในท่อหรือโพรงต่าง ๆ ใต้น้ำ แล้วโผล่ออกมาเฉพาะแต่ส่วนหัว เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม เป็นปลาที่ไม่พบบ่อยมากนัก แต่ก็มีราคาซื้อขายที่ไม่แพง แต่ปลาที่นำมาเลี้ยงนั้นจะต้องผ่านการปรับน้ำให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นปลาจะไม่สามารถปรับตัวได้และอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งตายในที.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลช่อ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลกัลเปอร์

ปลาไหลกัลเปอร์ (Gulper, Gulper eel) เป็นวงศ์และสกุลของปลาทะเลน้ำลึกวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Saccopharyngidae (มาจากภาษาละติน "saccus" หมายถึง "ถุง" และภาษากรีก φάρυγξ, หมายถึง "คอหอย") ปลาไหลกัลเปอร์ เป็นปลาที่มีลำตัวเรียวยาวคล้ายปลาไหล ลำตัวไม่มีเกล็ด มีลักษณะเด่น คือ มีปากกว้างใหญ่ มีส่วนหัวที่ใหญ่กว่า 1 ใน 4 ของลำตัว ภายในปากมีฟันที่แหลมคมเต็มไปหมด มีหางยาวและไวต่อความรู้สึก ดวงตามีขนาดเล็ก มีลำตัวทั่วไปสีดำ และยาวได้เต็มที่ประมาณ 2 เมตร (6.5 ฟุต) พบได้ในระดับความลึก 1,800 เมตร (6,000 ฟุต) เป็นปลาที่เหมือนกับปลาใต้ทะเลลึกทั่วไป คือ กินอาหารได้หลากหลายชนิดไม่เลือก เนื่องจากเป็นสถานที่ ๆ อาหารหายาก ซึ่งด้วยปากที่กว้างใหญ่เช่นนี้ทำให้สามารถกินอาหารที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลกัลเปอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลญี่ปุ่น

ปลาไหลญี่ปุ่น (ชื่อวิทยาศาสตร์: Anguilla japonica) เป็นปลาไหลชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาตูหนา (Anguillidae) พบในญี่ปุ่น, เกาหลี, จีน, ไต้หวัน และเวียดนาม ตลอดจนแถบภาคเหนือของฟิลิปปินส์ เช่นเดียวกับปลาไหลอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน ปลาไหลญี่ปุ่นใช้ชีวิตอยู่ในน้ำจืดเป็นส่วนใหญ่แต่จะไปวางไข่ในน้ำทะเล พื้นที่วางไข่ของปลาไหลญี่ปุ่นคือบริเวณกระแสน้ำศูนย์สูตรเหนือทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกไปจนถึงแถบตะวันตกของหมู่เกาะมาเรียนา ในขณะที่ยังเป็นตัวอ่อน พวกมันจะถูกเรียกว่าปลาเมือก พวกมันจะถูกพัดพาโดยกระแสน้ำเส้นศูนย์สูตรเหนือไปทางตะวันตกของแปซิฟิก ต่อจากนั้นก็จะถูกพัดขึ้นทางเหนือไปยังเอเชียตะวันออกโดยกระแสน้ำญี่ปุ่น (คูโรชิโอะ) ซึ่งในเอเชียตะวันออกนี้เอง พวกมันอาศัยอยู่ตามแม่น้ำ, ทะเลสาบ และปากแม่น้ำ ปลาไหลญี่ปุ่นถือเป็นอาหารที่สำคัญของเอเชียตะวันออก ทำให้เกิดเป็นอุตสาหกรรมประมงบ่อเลี้ยงปลาขึ้นในประเทศส่วนใหญ่ของภูมิภาคนี้ ในญี่ปุ่นจะเรียกปลาชนิดนี้ว่า อูนางิ ถือเป็นวัตถุดิบสำคัญในวัฒนธรรมอาหารของญี่ปุ่น ร้านอาหารจำนวนมากนิยมเสิร์ฟโดยการย่าง กลายเป็นอาหารที่เรียกว่า คาบายากิ (蒲焼) นอกจากนี้ยังถูกใช้ในศาสตร์การแพทย์ของจีนอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการทำประมงปลาชนิดนี้อย่างมหาศาล แต่จำนวนที่พบในธรรมชาติกลับลดน้อยลงจนเข้าสู่ภาวะเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ ตามการจัดอันดับของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN), FAO.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลญี่ปุ่น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลมอเรย์ยักษ์

ปลาไหลมอเรย์ยักษ์ หรือ ปลาหลดหินยักษ์ (Giant moray) เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาไหลมอเรย์ (Muraenidae) มีรูปร่างเรียวยาวเหมือนปลาไหลมอเรย์ชนิดอื่น ๆ พื้นลำตัวสีเหลืองอมน้ำตาลแต้มด้วยจุดและลายสีน้ำตาลไหม้อยู่ทั่วไป ด้านข้างลำตัวบริเวณคอมีจุดสีดำเด่นชัดหนึ่งแห่ง ปลาไหลมอเรย์ยักษ์มีความยาวโดยเฉลี่ย 1.5 เมตร ยาวเต็มที่ได้ถึง 2.5-3 เมตร น้ำหนักถึง 36 กิโลกรัม นับเป็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ทะเลแดง, แอฟริกาตะวันออก, หมู่เกาะริวกิว, ฮาวาย, นิวแคลิโดเนีย, ฟิจิ, หมู่เกาะออสเตรียล มักซุกซ่อนตัวอยู่ตามซอกหินในแนวปะการัง โดยโผล่มาแค่เฉพาะส่วนหัว กินอาหาร ได้แก่ กุ้ง, ปู, ปลา และหมึกสาย ด้วยการงับด้วยกรามที่แข็งแรงและแหลมคม ปลาไหลมอเรย์ยักษ์ แม้จะมีรูปร่างหน้าตาที่น่ากลัว แต่ที่จริงแล้วเป็นปลาที่รักสงบ ไม่ดุร้าย แต่อาจทำอันตรายนักดำน้ำได้หากไปรบกวนถูก หรือเข้าใจผิดเพราะคิดว่าเป็นอาหาร ซึ่งอาจถูกกัดเป็นแผลเหวอะหวะถึงขั้นนิ้วขาดได้ และจะมีฤดูกาลที่ดุร้าย คือ ฤดูผสมพันธุ์ นอกจากนี้แล้วในเนื้อจะมีสารพิษซิกัวเทอรา ความยาวทั้งตัวในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เป็นปลาไหลมอเรย์อีกชนิดหนึ่ง ที่เป็นที่นิยมของนักประดาน้ำ และเลี้ยงแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลมอเรย์ยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลมอเรย์ลายเมฆ

ปลาไหลมอเรย์ลายเมฆ หรือ ปลาหลดหินลายเมฆ (Snowflake moray, Starry moray, White moray, Clouded moray) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาไหลมอเรย์ (Muraenidae) มีลำตัวเรียวยาว ปลายหางแหลม ส่วนหัวสั้นทู่กว่าปลาไหลมอเรย์ชนิดอื่น จะงอยปากสีเทา ลำตัวมีสีเทาอ่อน มีลายและจุดสีน้ำตาลเข้มกระจายอยู่เป็นรอยเลอะ ๆ ทั้งตัว ส่วนหัวมีลายสีเหลืองสลับกับสีน้ำตาลดำ มีความยาวโดยเฉลี่ย 80 เซนติเมตร พบยาวที่สุดได้ถึง 100 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในซอกหินในแนวปะการังน้ำตื้น เป็นปลาที่พบได้ไม่บ่อย ในเขตอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่ทะเลแดง, แอฟริกาตะวันออก, ไมโครนีเซีย จนถึงอ่าวแคลิฟอร์เนีย, อ่าวเม็กซิโก และอเมริกาใต้ ในเขตน่านน้ำไทย จะพบได้เฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลมอเรย์ลายเมฆ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลมอเรย์หน้าปาน

ปลาไหลมอเรย์หน้าปาน หรือ ปลาหลดหินหน้าปาน (Darkspotted moray, Fimbriated moray, Yellowhead eel) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาไหลมอเรย์ (Muraenidae) มีลำตัวเรียวยาวอวบ ปลายหางเรียวหัวและลำตัวมีสีเหลืองอมเทา มีด่างสีคล้ำบนใบหน้าและเป็นแต้มขนาดใหญ่บนลำตัว ครีบต่าง ๆ ไปจนถึงปลายหางมีสีดำมากขึ้น ปลาขนาดใหญ่มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มมากขึ้น มีความยาวเต็มที่ประมาณ 80 เซนติเมตร กินอาหารประเภท ปลา, กุ้ง, ปู และหมึกสาย มีพฤติกรรมรอเหยื่ออยู่ในเขตน้ำตื้นหรือบริเวณชายฝั่ง อาศัยอยู่ในแนวปะการังน้ำตื้นและหาดหิน กระจายพันธุ์ในเขตอินโด-แปซิฟิก และมาดากัสการ์ ไปจนถึงออสเตรเลีย และไมโครนีเซีย ในน่านน้ำไทยเป็นปลาที่พบได้ในเขตทะเลอันดามัน เป็นปลาที่พบได้บ่อ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลมอเรย์หน้าปาน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลมอเรย์ตาขาว

ปลาไหลมอเรย์ตาขาว หรือ ปลาหลดหินตาขาว (White-eyed moray, Slender moray, Greyface moray) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาไหลมอเรย์ (Muraenidae) มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายปลาไหลมอเรย์ยักษ์ (G. javanicus) แต่มีลำตัวเรียวกว่า ฟันเขี้ยวเล็กกว่า ผิวหนังเรียบ ลำตัวสีเหลืองอ่อนถึงเหลืองสด มีจุดด่างสีคล้ำหรือน้ำตาลเข้มกระจายทั่วลำตัว ใต้ท้องและใต้คอมีสีจาง มีม่านตาสีขาวชัดเจน ตาสีดำ มีความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 80 เซนติเมตร พบอาศัยอยู่ในซอกหินตามแนวปะการังเป็นคู่ ซึ่งอาจจะอยู่รวมกับปลาไหลมอเรย์ชนิดอื่นได้ ในมหาสมุทรแปซิฟิก แถบอินโด-แปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย จัดเป็นปลาที่พบได้บ่อ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลมอเรย์ตาขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลริบบิ้น

ปลาไหลริบบิ้น (Ribbon eel, Black leafnosed moray eel, Black ribbon eel, Ribbon moray) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาไหลมอเรย์ (Muraenidae) และจัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Rhinomuraena จัดเป็นปลาไหลมอเรย์ขนาดเล็ก มีสีสันสดใส และสามารถเปลี่ยนเพศได้ตามวัย นั้นคือเมื่อยังเล็ก ลำตัวเป็นสีดำ โดยที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย แต่เมื่อโตขึ้นลำตัวเป็นสีน้ำเงินและเป็นตัวผู้และเมื่อมีอายุมากขึ้นอีกลำตัวเป็นสีเหลืองและกลายเป็นตัวเมีย กินสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร โดยปลาไหลจะยืดตัวออกจากรูเพื่อหาอาหาร โดยปกติจะซ่อนตัวอยู่ในรูตามพื้นทะเล ซึ่งเป็นทราย มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 1 เมตร เป็นปลาที่พบได้น้อย กระจายพันธุ์อยู่ในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ในน่านน้ำไทยก็พบได้น้อย โดยพบได้ทั้งทางฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย เช่น เกาะเต่า, หมู่เกาะสิมิลัน เป็นต้น เป็นปลาที่สร้างสีสันให้แก่การดำน้ำ และมีบางส่วนที่ถูกจับไปขายเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลริบบิ้น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลหลาด

ปลาไหลหลาด (Bengal swamp eel, One-gilled eel, Pygmy eel) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาไหลนา (Synbranchidae) มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายงู มีลักษณะคล้ายปลาไหลนา (Monopterus albus) มีลักษณะที่แตกต่างคือ บริเวณส่วนหัวเรียวยาวกว่า ลำตัวเพรียวกว่า ปลายหางแบนและมีก้านครีบเห็นชัดเจน สีลำตัวเป็นสีน้ำตาลแดง หรือ สีเหลือง มีกระดูกเหงือก 4 คู่ มีขนาดทั่วไปประมาณ 30 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 1 เมตร พบอาศัยอยู่บริเวณใต้โคลมตมบริเวณปากแม่น้ำ ในประเทศไทยพบเฉพาะปากแม่น้ำในภาคกลาง เป็นปลาที่พบได้น้อย มีชื่อเรียกอย่างอื่น อีก เช่น "ปลาหลาด" หรือ "ปลาไหลงู" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลหลาด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลผีอะบาอะบา

ปลาไหลผีอะบาอะบา (Aba aba, Aba knifefish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gymnarchus niloticus ในอันดับปลาลิ้นกระดูก (Osteoglossiformes) อยู่ในวงศ์ Gymnarchidae ซึ่งมีอยู่เพียงชนิดเดียวเท่านั้น เป็นปลาขนาดใหญ่ สามารถยาวได้ถึง 1-1.5 เมตร มีรูปร่างยาวเรียวคล้ายปลาไหล ส่วนหัวมีขนาดเล็ก ตาเล็ก มีครีบพริ้วไหวตลอดลำตัวด้านบน พื้นลำตัวสีเทา ส่วนท้องสีขาว ปลายหางเล็กและเรียวยาว เกล็ดมีขนาดเล็กมาก มีการแพร่กระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำของทวีปแอฟริกาแถบตะวันตก ในลุ่มแม่น้ำแกมเบีย โดยอาศัยในความลึกประมาณ 1-1.5 เมตร เป็นปลาที่สามารถอาศัยในแหล่งน้ำที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำได้เป็นอย่างดี ด้วยสามารถฮุบอากาศได้เอง สายตาไม่ดี หาอาหารด้วยการนำทางโดยการสร้างกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อน ๆ กินปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กชนิดอื่นเป็นอาหาร เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ราคาไม่แพง จัดเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายมากชนิดหนึ่ง แต่ว่าเป็นปลาที่มีนิสัยดุร้ายมาก ไม่สามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นได้เล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลผีอะบาอะบา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลครีบยาวนิวซีแลนด์

ปลาไหลครีบยาวนิวซีแลนด์ (New Zealand longfin eel; เมารี: Tuna) ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกปลาตูหนา (Anguillidae) ปลาไหลครีบยาวนิวซีแลนด์ เป็นปลาตูหนาขนาดใหญ่ มีลักษณะที่แตกต่างจากปลาตูหนาชนิดอื่น ๆ จากครีบหลังที่ยาวกว่าครีบท้อง มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 180 เซนติเมตร น้ำหนักกว่า 18 กิโลกรัม โดยตัวที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลกเป็นตัวเมียอายุกว่า 106 ปี น้ำหนักกว่า 24 กิโลกรัม เป็นปลาที่กระจายพันธุ์เฉพาะในแหล่งน้ำจืด ตามแม่น้ำ ลำธาร และทะเลสาบต่าง ๆ ของนิวซีแลนด์ ทั้งเกาะเหนือ และเกาะใต้ จัดเป็นปลาที่มีอัตราการเจริญเติบโตช้าที่สุดด้วย โดยในช่วงปีแรกลูกปลาจะมีความยาวเพียง 1-2 เซนติเมตรเท่านั้น นอกจากนี้แล้วยังเป็นปลาที่มีการผสมพันธุ์เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิต และจะตายหลังจากนั้น ซึ่งอายุเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ได้แก่ 23 ปี สำหรับตัวผู้ 24 ปี สำหรับตัวเมีย โดยว่ายน้ำอพยพไปวางไข่กลางมหาสมุทรแปซิฟิค ที่อยู่ไกลไปถึง 8,047 กิโลเมตร ในระหว่างการเดินทางนี้ปลาไหลครีบยาวนิวซีแลนด์จะเปลี่ยนตัวเองให้มีสีเข้มขึ้น ส่วนหัวเล็กลง และดวงตาโตขึ้นเกือบ 2 เท่า และไม่กินอาหาร เมื่อปลาตัวผู้ฉีดน้ำเชื้อผสมกับไข่ของตัวเมียแล้ว ทั้งคู่ก็จะตาย ก่อนที่ลูกปลาที่ฟักออกมาจะอพยพกลับมายังนิวซีแลนด์ตามสัญชาตญาณและกระแสน้ำในมหาสมุทรDoole, G. J. (2005).

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลครีบยาวนิวซีแลนด์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลนา

ปลาไหลนา หรือ ปลาไหลบึง เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Monopterus albus อยู่ในวงศ์ปลาไหลนา (Synbranchidae) มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายงู ตามีขนาดเล็ก คอป่องออก มีอวัยวะช่วยหายใจอยู่ในคอหอยเป็นเส้นเลือดฝอย ซึ่งช่วยให้หายใจได้โดยไม่ต้องผ่านซี่กรองเหงือกเหมือนปลาทั่วไป และยังสามารถขุดรูในดินเพื่อจำศีลในช่วงฤดูร้อนได้ด้วย ไม่มีครีบใด ๆ ยกเว้นบริเวณปลายหางแบนยาวคล้ายใบพาย เมื่อยังเล็กมีครีบอก แต่โตขึ้นจะหายไป กระดูกเหงือกมีทั้งหมด 3 คู่ ลำตัวลื่นมาก สีลำตัวปกติเป็นสีเหลืองทอง ใต้ท้องสีขาว ในบางตัวอาจมีจุดกระสีน้ำตาล แต่ก็มีพบมากที่สีจะกลายไป เป็นสีเผือก สีทองทั้งตัว หรือสีด่าง มีความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 1.01 เมตร ปลาไหลนา จัดเป็นปลาในวงศ์ปลาไหลนาที่พบมากที่สุดในประเทศไทยและเป็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดด้วย โดยพบได้ทุกภาค ทุกแหล่งน้ำ พบชุกชุมทั่วไป สำหรับในต่างประเทศพบกว้างขวางมาก ตั้งแต่อเมริกากลาง, ทวีปอเมริกาใต้, ทวีปแอฟริกา, ประเทศอื่น ๆ ในทวีปเอเชีย ไปจนถึงโอเชียเนีย เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร โดยกินได้แม้กระทั่งซากสัตว์ที่เน่าเปื่อย มีพฤติกรรมชอบรวมตัวกันหาอาหาร เมื่อยังเล็กจะเป็นตัวเมีย และจะกลายเป็นตัวผู้เมื่อโตขึ้น ผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนกันยายน และมีความสมบูรณ์สูงสุดในการวางไข่ คือ เดือนสิงหาคม โดยไข่จะมีเพียง 1 ฝัก เป็นลักษณะไข่จมไม่สัมผัสกับวัสสุใด ๆ ใต้น้ำ เมื่อสัมผัส จะมีความยืดหยุ่นมาก มีลักษณะสีเหลืองสดใส ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.3 เซนติเมตร ไข่ที่ได้รับการผสมมีลักษณะกลม สีเหลืองทอง ส่วนไข่ที่ไม่ได้รับการผสมจะมีสีขาวใส ไข่จะใช้เวลาในการฟักประมาณ 3 วัน ลูกปลาเมื่อฟักออกใหม่ ๆ มีความยาว 2.5 เซนติเมตร มีถุงไข่แดง 2 ใน 3 ส่วน และมีครีบอกเมื่ออายุได้ 5 - 6 วัน ถุงไข่แดงยุบพร้อมครีบอกหายไป และเริ่มกินอาหารได้ เป็นปลาที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะนิยมบริโภคกันมาแต่โบราณ อีกทั้งยังมีความเชื่ออีกว่า หากปล่อยปลาไหลนาแล้วจะช่วยให้ทุกข์โศกไหลไปตามชื่อ ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงกันในเชิงพาณิชย์ โดยนิยมเลี้ยงในบ่อปูน ในปลาที่มีสีกลายออกไป นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลนา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลนา (สกุล)

ปลาไหลนา หรือ ปลาไหลบึง เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาไหลนา (Synbranchidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Monopterus (/โม-น็อพ-เทอ-รัส/) มีรูปร่างยาวคล้ายงู ลำตัวลื่นมาก มีเมือกอยู่ตลอดทั้งตัว มีเกล็ดขนาดเล็กฝังอยู่ใต้ผิวหนัง มีลักษณะสำคัญ คือ ฟันมีขนาดเล็ก ขากรรไกรล่างและที่กระดูกเพดานปากชิ้นข้างติดกันเป็นแผ่น ๆ ช่องเหงือกอยู่ใต้หัว หนังริมกระดูกแก้มทั้งสองข้างติดต่อรวมกัน และตรงกลางเป็นเอ็นที่ยึดติดกับเอ็นคาง ไม่มีครีบอกและครีบท้อง ตามีขนาดเล็ก เป็นปลากินเนื้อและซากสัตว์ต่าง ๆ เป็นอาหาร ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 30–60 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ, อเมริกาใต้, แอฟริกา และเอเชีย โดยมีชนิดที่รู้จักเป็นอย่างดี คือ ปลาไหลนา (M. albus).

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลนา (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลแดง

ปลาไหลแดง หรือ ปลาหล่อย ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macrotrema caligans อยู่ในวงศ์ปลาไหลนา (Synbranchidae) มีรูปร่างคล้ายปลาไหลหลาด (Ophisternon bengalense) ซึ่งเป็นปลาในวงศ์เดียวกัน แต่ปลาไหลแดงจะมีปลายหางที่แผ่แบนเป็นครีบเห็นได้ชัดเจนกว่า มีตาอยู่เยื้องมาทางด้านหน้า กระดูกเหงือกมี 4 คู่ เป็นปลาที่มีขนาดเล็กที่สุดในวงศ์ปลาไหลนาที่พบได้ในประเทศไทยทั้งหมด 3 ชนิด และจัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Macrotrema มีขนาดยาวที่สุดประมาณ 17–20 เซนติเมตร สีลำตัวเป็นสีแดง แต่สามารถปรับสีให้เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมได้ มักอาศัยอยู่ใต้โคลนตมหรือแหล่งน้ำที่มีใบไม้ทับถมกันเป็นจำนวนมาก พบในปากแม่น้ำหรือลำคลองในบริเวณภาคกลาง, ภาคใต้พบได้ที่ทะเลสาบลำปำ จังหวัดพัทลุง ในต่างประเทศพบที่มาเลเซีย จัดเป็นปลาที่พบได้น้อย และหายากที่สุดในวงศ์ปลาไหลนาที่พบในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไหลไฟฟ้า

ปลาไหลไฟฟ้า (Electric eel) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Electrophorus electricus จัดอยู่ในวงศ์ Electrophoridae จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์นี้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไหลไฟฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไฮนีเรีย

ไฮโนเรีย (Hyneria) เป็นปลาดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ในยุคดีโวเนียน เมื่อประมาณ 360 ล้านปีก่อน ยาวประมาณ 5 เมตร และหนัก 2 ตัน มันกระดูกที่มีครีบแข็งแรงมากและอาจจะขึ้นไปบนบกได้ด้วย ไฮโนเรียเป็นหนึ่งในหลายชนิดของปลาครีบ ในกลุ่มTristichopteridae ที่พบในช่วงปลายยุคดีโวเนียน มันกินปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และฉลามน้ำกร่อยอย่างสเตธาแคนธัส ไฮโนเรียยังปรากฏในสารคดี ของบีบีซี เรื่องwalking with monstersหรืออสูรร้ายโลกล้านปี โดยมันใช้ครีบของมันขึ้นมาหาด เพื่อจับไฮโนเพทอน ซึ่งเป็นสัตว์สะเทินสะเทินบกชนิดหนึ่งในยุคนั้น ไฮโนเรียในวอคกิ้ง วิด มอนสเตอร์ หมวดหมู่:ปลายุคก่อนประวัติศาสตร์.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไฮนีเรีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไจแอนท์แทนกันยีกา

ปลาไจแอนท์แทนกันยีกา (Giant cichild, Emperor cichlid) ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) เป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Boulengerochromis และเผ่า Boulengerochromini โดยดั้งเดิมปลาไจแอนท์แทนกันยีกาเคยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tilapia microlepis โดย จอร์จ อัลเบิร์ต บุลเลเยอร์ ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาไจแอนท์แทนกันยีกา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไทเกอร์วิเตตัส

ปลาไทเกอร์วิเตตัส (Tigerfish) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hydrocynus vittatus (Hydrocynus-สุนัขน้ำ, หมาน้ำ; vittatus-ลายพาด) อยู่ในวงศ์ปลาเตตร้าแอฟริกัน (Alestidae) มีรูปร่างโดยรวมทั่วไปคล้ายกับปลาในสกุล Hydrocynus ชนิดอื่น ๆ แต่มีความแตกต่างออกไป คือ มีขาไกรรไกรที่สั้นงุ้ม ส่วนหัวมีขนาดเล็กกว่าชนิดอื่น ๆ ลำตัวมีลายพาดตามยาว หางมีสีเหลืองไปจนถึงสีแดงในบางตัวและสภาพแวดล้อม ปลายปากล่างสีแดง เมื่อยังเล็กลำตัวมีความกลม แฉกของครีบหางแคบกว่าชนิด H. goliath มีเกล็ดประมาณ 44– 48 ชิ้น ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ 105 เซนติเมตร มีน้ำหนัก 28 กิโลกรัม อายุสูงสุดที่ได้รายงานคือ 8 ปี เป็นปลาที่มีพฤติกรรมอยู่รวมเป็นฝูง พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในทวีปแอฟริกาทั้ง แม่น้ำไนล์, ประเทศไนเจอร์, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, แม่น้ำคองโก, แม่น้ำลูลาบา, แม่น้ำแซมเบซี, ทะเลสาบแทนกันยีกา, ทะเลสาบมาลาการาซี เป็นต้น จัดเป็นปลาแอฟริกันไทเกอร์อีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม และตกกันเป็นเกมกีฬาบทความเรื่อง Hydrolycus หมาป่าวารีแห่งอเมซอน VS Hydrocynus สุนัขน้ำแห่งแอฟริกา, หน้า 42-64 นิตยสาร Aquarium Biz Vol.1 ฉบับที่ 11 ประจำเดือนพฤษภาคม 2011 ปลาไทเกอร์วิเตตัส เป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่สามารถทำร้ายมนุษย์ได้ มีชาวพื้นเมืองตลอดจนเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ชีวิตมาแล้ว ในความเชื่อของชาวพื้นเมือง นับเป็นปลาที่นำความโชคร้ายและอัปมงคลมาให้ หากใครได้รับประทานก็จะเจ็บป่วย เมื่อจับปลาได้จะไม่มีการนำเข้ามาในบ้าน แม้แต่การพูดถึงก็เป็นสิ่งที่ไม่ควร และเป็นปลาที่ทำความเสื่อมให้แก่พลังในการรักษาผู้คนของหมอผีพื้นบ้านอีกด้วย โดยมีชื่อเรียกในภาษาถิ่นว่า อิงเกวส (Ndweshi) ปลาไทเกอร์วิเตตัส จะออกล่าอาหารเมื่อโตเต็มที่ ในบริเวณปากแม่น้ำโอคาวังโก ในแอฟริกาใต้ ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่น้ำในแม่น้ำจะใสสะอาด ฝูงปลาต่าง ๆ จะว่ายออกมาหาอาหาร รวมถึงพวกปลาหนัง ปลาหนังจะมีพฤติกรรมไล่ล่าปลาเล็ก ๆ เป็นอาหารในดงกกหรือปาริรุส นั่นคือสัญญาณเตือนให้ฝูงปลาไทเกอร์วิเตตัสออกมาไล่ล่าปลาหนัง ซึ่งบางครั้งเมื่อกัดและตระครุบเหยื่อได้ อาจฉีกเนื้อเหยื่อกระเด็นลอยขึ้นไปบนอากาศได้Pack of Teeth, "River Monsters" ทางดิสคัพเวอรีแชนแนล, สารคดีทางทรูวิชั่นส์: เสาร์ที่ 29 ธันวาคม 2555.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไทเกอร์วิเตตัส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไทเกอร์โชวเวลโนส

ปลาไทเกอร์โชวเวลโนส (Tiger shovelnose, Tiger doncella) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseudoplatystoma fasciatum เป็นปลาในอันดับปลาหนัง ที่อยู่ในวงศ์ปลากดอเมริกาใต้ (Pimelodidae) มีลำตัวเรียวยาว ส่วนหัวแบน ปากยื่นออกมามากคล้ายเสียม มีหนวด 3 คู่ ใช้คลำทางหาอาหาร เนื่องจากตามีขนาดเล็กและการมองเห็นไม่ค่อยดี ครีบอกมีเงี่ยงแข็ง พื้นลำตัวสีน้ำตาลเทา มีลายสีดำคาดขวางลำตัวคล้ายลายของเสือโคร่งอันเป็นที่มาของชื่อ บริเวณครีบและหางมีจุดสีดำกระจายทั่วไป ขนาดเมื่อโตเต็มที่พบยาวสูงสุด 130 เซนติเมตร เป็นปลาที่หากินในเวลากลางคืน โดยมักจะหากินตามพื้นท้องน้ำ กินปลาและสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในลุ่มแม่น้ำอเมซอนและลุ่มแม่น้ำโอริโนโคในทวีปอเมริกาใต้ ตั้งแต่ประเทศโบลิเวีย, เปรู, บราซิล, โคลอมเบีย, เอกวาดอร์, เฟรนช์เกียนา และเวเนซุเอลา เป็นปลาที่จะอพยพไปมาระหว่างแม่น้ำสายต่าง ๆ โดยปลาในขนาดใหญ่มักพบในแหล่งที่เป็นร่องน้ำลึก เพราะจะอพยพตามอาหารที่เข้าไปอยู่ในร่องน้ำลึกหรือพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำในช่วงฤดูฝน และจะกลับเข้าสู่แม่น้ำในช่วงฤดูแล้ง ปลาขนาดวัยรุ่นจะพบมากในแหล่งน้ำท่วม นอกจากนี้แล้วยังทำการอพยพเพื่อผสมพันธุ์และวางไข่อีกด้วย นิยมใช้บริโภคทั่วไปในท้องถิ่น มักพบเห็นได้ทั่วไปในตลาดสดของทวีปอเมริกาใต้ โดยมีชื่อเรียกในภาษาถิ่นว่า Barred Sorubim หรือ Caparari หรือ Surubim Tigre มีทั้งหมด 5 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) นอกจากนี้แล้วยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม (ในประเทศไทยนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า "ปลาไทเกอร์") โดยต้องเลี้ยงในสถานที่เลี้ยงกว้างขวางเนื่องจากเป็นปลาที่ค่อนข้างก้าวร้าวดุร้าย กินปลาอื่นเป็นอาหาร และยังมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน ออกมาเป็นลูกผสมที่มีความแปลกใหม่ออกไปด้วย เช่นผสมกับ ปลาเรดเทลแคทฟิช (Phractocephalus hemioliopterus) เป็นต้น และนิยมตกเป็นเกมกีฬาด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไทเกอร์โชวเวลโนส · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไทเกอร์โกไลแอต

ปลาไทเกอร์โกไลแอต (Goliath tigerfish, Giant tigerfish) หรือ เอ็มเบ็งกะ (Mbenga) ในภาษาลิงกาลา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hydrocynus goliath อยู่ในวงศ์ปลาเตเตร้าแอฟริกัน (Alestiidae) มีรูปร่างโดยรวมเหมือนปลาในสกุล Hydrocynus ทั่วไป แต่มีความแตกต่างคือ ปลาในวัยอ่อนจะไม่มีลายใด ๆ บนลำตัวทั้งสิ้น ลำตัวแลดูแบนข้างมาก ปลายหางล่างสีแดงจัด ครีบหางและครีบอื่น ๆ มีขนาดใหญ่ แฉกครีบของครีบหางมีความกว้างกว่าชนิดอื่น ในปากมีฟันแหลมคมขนาดใหญ่เรียงอยู่ทั้งหมด 36 ซี่ เท่ากับปลาฉลามขาว ขากรรไกรใหญ่และยื่นยาว ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 6 ฟุต และมีน้ำหนักกว่า 100 ปอนด์ จัดเป็นปลาแอฟริกันไทเกอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นปลาประเภทคาราซินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พบกระจายพันธุ์ในกระแสน้ำเชี่ยวของลุ่มแม่น้ำคองโก ในตอนกลางของทวีปแอฟริกา และแม่น้ำลูลาบา, ทะเลสาบอูเพ็มบา และทะเลสาบแทนกันยีกา อาศัยหากินอยู่บริเวณกลางน้ำและผิวน้ำ และชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่เมื่อล่าเหยื่อจะออกล่าเพียงลำพัง โดยมักจะจู่โจมเหยื่อที่มีแสงสะท้อนระยิบระยับหรือมีเสียงหรือมีแรงกระเพื่อมของน้ำ โดยปลาแอฟริกันไทเกอร์ชนิดนี้เคยมีรายงานว่าทำร้ายมนุษย์จนถึงแก่ความตายมาแล้วด้วย ปลาขนาดเล็ก ปากและฟันอันแหลมคม เป็นปลาที่นิยมตกเป็นเกมกีฬาที่ท้าทาย เนื่องจากเป็นปลาที่ทรงพละกำลังและตกได้ยากมากชนิดหนึ่ง และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไทเกอร์โกไลแอต · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไทเมน

ปลาไทเมน หรือ ปลาไซบีเรียนไทเมน หรือ ปลาไซบีเรียนแซลมอน (Taimen, Siberian taimen, Siberian salmon) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาแซลมอน (Salmonidae) พบในแม่น้ำวอลกาและแม่น้ำแปโชราในรัสเซีย นอกจากนี้แล้วยังพบในลุ่มแม่น้ำอามูร์, ระหว่างทะเลสาบแคสเปียนกับมหาสมุทรอาร์กติกในอนุทวีปยูเรเชีย และบางส่วนของมองโกเลีย มีสีลำตัวแตกต่างหลากหลายออกไปตามแต่ละภูมิประเทศ แต่โดยทั่วไปลำตัวจะเป็นสีน้ำตาลอมเขียวมะกอก หัวมีสีคล้ำกว่า ครีบและหางสีแดงเข้ม ส่วนท้องสีขาว ตามลำตัวมีรอยจุดสีคล้ำสำหรับพรางตัวซุ่มซ่อนตามธรรมชาติ ปากกว้าง ภายในปากมีฟันที่แหลมคมเหมือนเข็มที่งองุ้มเข้ามาด้านใน และแม้แต่ลิ้นก็มีส่วนประกอบที่แหลมคมคล้ายฟัน ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 210 เซนติเมตร และมีน้ำหนักถึง 105 กิโลกรัม เป็นสถิติที่พบในรัสเซีย เมื่อปี ค.ศ. 1988 ซึ่งจัดได้ว่าปลาไทเมนเป็นปลาแซลมอนชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ปลาไทเมนไม่ใช่ปลาสองน้ำเหมือนกับปลาแซลมอนชนิดอื่น ๆ เพราะวางไข่และเติบโตหากินอยู่เฉพาะในแหล่งน้ำจืดอย่างเดียวเท่านั้น ปลาไทเมนจัดเป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมของนักตกปลาอีกด้วย ด้วยความที่เป็นปลาขนาดใหญ่และอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำเชี่ยวและเย็น จึงนิยมตกกันแบบฟลายฟิชชิ่ง ซึ่งต้องตกกันก่อนถึงฤดูหนาวที่น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง ปลาไทเมนเป็นปลาที่ดุร้ายก้าวร้าว เคยกัดทำร้ายคนตกจนเลือดอาบได้รับบาดเจ็บที่ต้นแขนมาแล้ว มักอาศัยอยู่ในกระแสน้ำเชี่ยว โดยหลบซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินเพื่อรอเหยื่อให้ผ่านมาและจับกินเป็นอาหาร ซึ่งปลาไทเมนสามารถจับปลาแซลมอนหรือปลาเทราต์ซึ่งเป็นปลาจำพวกเดียวกันกินได้ นอกจากนี้แล้วยังสามารถกินงูพิษได้อีกด้วยMongolian Mauler, "River Monsters".

ใหม่!!: สัตว์และปลาไทเมน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไข่ออง

ปลาไข่ออง เป็นชื่อเรียกสกุลปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Osteobrama (/ออส-ที-โอ-บรา-ม่า/) มีรูปร่างโดยรวมดังนี้ มีลำตัวลึกแบนข้างมากเป็นทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ด้านข้างคอด หางเรียว หัวค่อนข้างเล็กกลม ปากอยู่ปลายสุด เกล็ดมีขนาดเล็ก หลุดง่าย ครีบหลังยกสูงและสั้น ก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายเป็นหนามแข็งและมีขอบเป็นจักฟันเลื่อย และอยู่เหนือฐานครีบท้อง ฐานครีบก้นยาว ครีบหางเว้าลึก ลำตัวสีเงินหรืออาจมีสีเหลืองอ่อน ครีบใส บางชนิดมีหนวด บางชนิดไม่มีหนวด หากมีก็เป็นหนวดที่สั้นและหลุดง่ายมาก มีฟันในลำคอ 3 แถว ปลายของเส้นข้างลำตัวไปสิ้นสุดลงที่ฐานครีบหาง ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 15–30 เซนติเมตร อาศัยเป็นฝูงในน้ำขุ่น พบในประเทศอินเดียและพม่า 6 ชนิด และลุ่มน้ำสาละวิน 2 ชนิด บริเวณชายแดนไทย–พม่า มีทั้งหมด 8 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไข่ออง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไข่อองใหญ่

ปลาไข่อองใหญ่ ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในสกุล Osteobrama อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาชนิดอื่น ๆ ในสกุลเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิด O. alfrediana แต่ต่างกันตรงที่เกล็ดมีขนาดเล็กกว่า และขอบครีบอกมีลักษณะตัดตรง ในขณะที่ของ O. alfrediana จะเว้าเข้าเล็กน้อยในช่วงกลาง อีกทั้งมีขนาดใหญ่กว่า เมื่อโตเต็มที่อาจยาวได้ถึง 45 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำสาละวินเช่นเดียวกัน โดยพบเป็นฝูงขนาดใหญ่หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยมีชื่อเรียกในแวดวงปลาสวยงามว่า "โรตี".

ใหม่!!: สัตว์และปลาไข่อองใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไข่อองเล็ก

ปลาไข่อองเล็ก หรือ ปลาโรตี เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในสกุล Osteobrama ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างเป็นทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน แบนข้างมาก หัวมีขนาดเล็ก นัยน์ตาโต ปากเล็ก ไม่มีหนวด โคนหางแคบและสั้น เกล็ดมีขนาดเล็กและบางกลุดง่ายมาก มีเกล็ดตามแนวเส้นข้างลำตัว 55–70 แถว ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยวเป็นหนามแข็ง ครีบก้นมีฐานยาว ครีบหางเป็นแฉกแว้ลึก ครีบอกและครีบท้องมีขนาดเล็ก ลำตัวมีสีเงินแวววาวปนสีเหลืองอ่อน มีแถบสีดำหลังช่องเหงือก มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร เป็นปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำที่มีสภาพขุ่นของแม่น้ำสาละวิน ในประเทศไทยพบได้แถบจังหวัดแม่ฮ่องสอน นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม นับว่าเป็นปลาที่มีราคาซื้อขายค่อนข้างแพงเนื่องจากมีขายไม่บ่อยนักในตลาดปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไข่อองเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไซเชเดลิกา

ปลาไซเชเดลิกา (Psychedelica frogfish, Ambon frogfish) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Histiophryne psychedelica (/ฮิส-ทิ-โอฟ-ไรน์-ไซ-เช-เด-ลิ-กา/) อยู่ในวงศ์ปลากบ (Antennariidae) มีลักษณะทั่วไป คือ มีลายรอบตัวเหมือนม้าลายสีน้ำตาลไหม้ และสีลูกพีช ซึ่งพาดยาวจากดวงตาสีน้ำเงินไปปลายหาง มีขนาดประมาณกำปั้น ร่างกายปกคลุมด้วยผิวหนังย่น ๆ เป็นวุ้นหนา ๆ เพื่อป้องกันอันตรายจากปะการังที่แหลมคม มีใบหน้าแบนและดวงตามองตรงหน้าได้ อีกทั้งยังมีปากที่อ้าได้กว้าง ที่มีครีบทั้ง 2 ข้างของลำตัว ที่ใช้คืบคลานไปกับพื้นทะเล หรือกระแทกหรือกระเด้งเหมือนลูกบอลไปกับพื้นทะเล จะกางครีบออกแล้วพ่นน้ำออกจากเหงือก เพื่อส่งตัวเองให้พุ่งไปข้างหน้า ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แปลกประหลาด พบกระจายพันธุ์ในแนวปะการังบริเวณเกาะอัมบนของอินโดนีเซีย จัดเป็นปลาชนิดใหม่ที่เพิ่งมีการค้นพบและถูกตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์เมื่อปี ค.ศ. 2009 ถูกจำแนกชนิดออกจากปลาชนิดอื่นในสกุล Histiophryne ด้วยความแตกต่างทางดีเอ็นเอ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไซเชเดลิกา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาไน

ปลาไน หรือ ปลาคาร์ปธรรมดา (carp, common carp) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cyprinus carpio อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาน้ำจืดที่เชื่อว่าเป็นปลาที่มนุษย์เลี้ยงเป็นชนิดแรกของโลกเพื่อเป็นอาหาร โดยเลี้ยงในประเทศจีนเมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว โดยเริ่มพร้อมกับปลาทอง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาไน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเบลนนี่

ปลาเบลนนี่ (Blennies) เป็นอันดับย่อยของปลาทะเลกระดูกแข็งจำพวกหนึ่ง ในอันดับปลากะพง (Perciformes) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blennioidei ปลาเบลนนี่ มีชื่อสามัญในภาษาไทยว่า "ปลาตั๊กแตนหิน" หรือ"ปลาตุ๊ดตู่" จากพฤติกรรมที่อาศัยและมุดไปมาอยู่ในรู เหมือนกับตุ๊ดตู่ มีลักษณะโดยรวม คือ มีลำตัวกลมยาวคล้ายปลาไหลหรือปลาบู่ แต่สั้นกว่ามาก มีขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 3-4 นิ้ว ดวงตากลมโต ปากกว้าง ครีบหลังยาวต่อกันไปตลอดความยาวของลำตัว อาศัยอยู่ในรูหรือซอกหิน หรือเปลือกหอยที่ว่างเปล่า โดยจะโผล่มาแต่ส่วนหัวเพื่อสังเกตการณ์ เป็นปลาออกหากินในเวลากลางวัน โดยมักหากินตามพื้นทะเลใกล้ ๆ กับรูที่อาศัย ตัวผู้มีสีสันสดใสสวยกว่าตัวเมีย และมีขนาดใหญ่กว่าด้วย โดยมากเป็นปลากินพืชเป็นอาหาร มีอาหารหลัก คือ ตะไคร่น้ำ แต่ก็มีบางจำพวกที่กินเนื้อเป็นอาหาร โดยสามารถจำแนกวงศ์ของปลาเบลนนี่ ออกได้ทั้งหมด 6 วงศ์ คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเบลนนี่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเบลนนี่หน้าผี

ปลาเบลนนี่หน้าผี (Lawnmower blenny, Jewelled blenny, Lineated blenny) ปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาเบลนนี่ จัดอยู่ในวงศ์ปลาตั๊กแตนหิน (Blenniidae) มีรูปร่างกลม ลักษณะคล้ายปลาไหลหรือปลาตีน สีลำตัวสีตุ่น ๆ ครีบหลังยาวตลอดลำตัว พื้นสีผิวเป็นสีขาว ด้านข้างมีบั้งสีน้ำตาลคาดตลอดลำตัว บริเวณใบหน้ามีจุดประสีฟ้า ตาอยู่ปลายสุดของส่วนหัว มีความยาวเต็มที่ประมาณ 14 เซนติเมตร จัดเป็นปลาที่มีรูปร่างหน้าตาแปลก พบกระจายพันธุ์ตามแนวปะการังในระดับความลึกไม่เกิน 8 เมตร ของชายฝั่งทะเลของแอฟริกาตะวันออก, ทะเลแดง, เกาะซามัว, หมู่เกาะไมโครนีเซีย และออสเตรเลีย โดยหลบซ่อนและอาศัยอยู่ตามซอกหิน ส่วนหัว เป็นปลาที่ไม่สวยงาม แต่มีความแปลก และเป็นปลาที่กินพืชเป็นอาหาร มีอุปนิสัยรักสงบ จึงนิยมอย่างมากสำหรับการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยผู้เลี้ยงจะเลี้ยงให้กินตะไคร่น้ำภายในตู้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเบลนนี่หน้าผี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเชอรี่บาร์บ

ปลาเชอรี่บาร์บ (Cherry barb) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวเพรียวยาวแบนข้าง พื้นสีลำตัวและครีบต่าง ๆ มีสีชมพูหรือสีชมพูอมแดง ด้านหลังมีสีน้ำตาล กลางลำตัวมีแถบสีคล้ำยาวตั้งแต่ปลายปากจรดโคนหาง บริเวณเหงือกมีสีแดง ปลาตัวผู้มีลำตัวเพรียวยาวกว่าตัวเมีย ลำตัวและครีบมีสีเข้มสดสวยกว่า มีขนาดความยาวเฉลี่ยประมาณ 6 เซนติเมตร เป็นปลาท้องถิ่นที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศศรีลังกา มีความว่องไวปราดเปรียวและมีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง วางไข่ครั้งละประมาณ 200-300 ฟองตามพืชน้ำ และใช้เวลาฟักประมาณ 2 วัน เช่นเดียวกับปลาชนิดอื่นที่ใกล้เคียงกัน เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเชอรี่บาร์บ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเบี้ยว

ปลาเบี้ยว หรือ ปลาคางเบือน (Twisted-jaw catfish, Twisted-jaw sheatfish) ชื่อสกุลของปลาน้ำจืด 2 ชนิดในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) ซึ่งอยู่ในอันดับปลาหนัง ใช้ชื่อสกุลว่า Belodontichthy (/เบล-โอ-ดอนท์-อิค-ธีส/; "Belo" เป็นภาษากรีกหมายถึง "ทุกทิศทาง", "odon" หมายถึง "ฟัน" และ "ichthyos" หมายถึง "ปลา" มีความหมายรวมหมายถึง "ปลาที่มีฟันทุกทิศทาง") มีรูปร่างโดยรวมคือ ปากกว้างและเชิดขึ้นอันเป็นที่มาของชื่อ ภายในมีฟันแหลมคม ตาโตอยู่ตอนกลางของหัว ใกล้มุมปากมีหนวด 1 คู่ยาวจนถึงครีบอก ครีบหลังเล็กมาก มีก้านครีบแขนง 3 หรือ 4 ก้าน ครีบอกใหญ่ปลายแหลม ครีบท้องเล็ก ครีบหางเล็กเว้าตื้น ตัวมีสีเงินวาวหรือเหลือบสีเขียวอ่อน ด้านท้องสีจาง นัยน์ตามีเยื่อไขมันบาง ๆ คลุม อาศัยอยู่ในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ กินอาหาร จำพวก สัตว์น้ำขนาดเล็ก พบกระจายพันธุ์อยุ่เฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น พบเพียง 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเบี้ยว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเพียว

ปลาเพียว (Asian glassfishes, Asian glass catfishes) สกุลของปลากระดูกแข็งในอันดับปลาหนังจำพวกหนึ่งในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) โดยที่ชื่อสกุล Kryptopterus นั้นมาจากภาษากรีกโบราณคำว่า kryptós (κρυπτός, "ซ่อน") กับ ptéryx (πτέρυξ, "ครีบ") อันเนื่องจากปลาในสกุลนี้มีครีบหลังที่เล็กมาก ซึ่งแตกต่างจากปลาสกุลอื่นในวงศ์เดียวกัน จัดเป็นปลาขนาดเล็ก มีลำตัวยาวแบนข้าง ลำตัวบางใสมีสีเดียวจนในบางชนิดสามารถมองทะลุเห็นกระดูกภายในได้เหมือนเอกซเรย์ มีหนวด 2 คู่ หนวดคู่แรกบนขากรรไกรบน ส่วนคู่ที่ 2 อยู่บนขากรรไกรล่าง สั้นหรือยาวแล้วแต่ละชนิด โดยหนวดที่มุมปากยาวเลยช่องเหงือก หนวดที่คางเล็กและสั้น ปากแคบ มุมปากยื่นไม่ถึงนัยน์ตา มีก้านครีบ 1-2 ก้าน ครีบหลังเล็ก หรือบางชนิดก็ไม่มี ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 4-8 ก้าน นิยมอยู่กันเป็นฝูง โดยมีพฤติกรรมรวมกัน คือ มักอยู่รวมกันเป็นฝูงโดยหันหน้าไปทางเดียวกันในระดับกลางน้ำ เมื่อแตกตื่นตกใจมักจะแตกหนีไปคนละทิศละทาง จนหายตกใจแล้วค่อยกลับมารวมตัวกันอีก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเพียว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเพียวขุ่น

ปลาเพียวขุ่น (false glass catfish, striped glass catfish, East indies glass catfish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) มีรูปร่างลักษณะคล้ายปลาก้างพระร่วง (K. vitreolus) ที่อยู่ในวงศ์และสกุลเดียวกัน แต่ปลาเพียวขุ่นจะมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่า มีลำตัวที่ขุ่นทึบกว่า และมีหนวดยาวกว่า ในประเทศไทย อาศัยอยู่เฉพาะป่าพรุโต๊ะแดงในจังหวัดนราธิวาสเท่านั้น ในต่างประเทศพบตามพรุคาบสมุทรมลายู โดยมีอุปนิสัยและพฤติกรรมคล้ายกับปลาก้างพระร่วง จึงได้มีอีกชื่อเรียกชื่อหนึ่งว่า "ปลาก้างพระร่วงป่าพรุ" นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเพียวขุ่น · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเกล็ดถี่

ปลาเกล็ดถี่ เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Thynnichthys thynnoides จัดอยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาลิ่นหรือปลาหัวโต (Hypophthalmichthys molitrix) ที่มีขนาดเล็ก กล่าวคือ หัวโต ตากลมโต ลำตัวเพรียวแบนข้างเล็กน้อย ไม่มีหนวด ปากเล็กอยู่ปลายสุดของส่วนหัว ครีบหลังไม่มีก้านครีบแข็ง เกล็ดมีขนาดเล็กละเอียดมาก มีสีเงินแวววาวเมื่อถูกแสงและหลุดร่วงได้ง่าย ที่บริเวณเส้นข้างลำตัวมีประมาณ 58-65 เกล็ด ข้อหางคอด ปลายครีบหางเว้าลึก ครีบทุกครีบสีจางใส ที่ฝาปิดแผ่นเหงืออกมีจุดสีคล้ำ ส่วนท้องสีขาวจาง มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ชุกชุมอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะที่ราบลุ่มภาคกลางของประเทศไทย ไม่พบในลุ่มแม่น้ำสาละวิน และพบได้จนถึงคาบสมุทรมลายูและเกาะบอร์เนียว บางครั้งอาจพบปะปนอยู่กับกลุ่มปลาสร้อยด้วย โดยเฉพาะปลาสร้อยขาว (Henicorhynchus siamensis) อาจจะจำสับสนกันได้ เพราะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ปลาสร้อยขาวมีเกล็ดขนาดใหญ่กว่ามาก ปลาเกล็ดถี่เป็นปลาที่ใช้บริโภคกันในท้องถิ่น โดยมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น สร้อยเกล็ดถี่, นางเกล็ด, เรียงเกล็ด, ลิง, พรม เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเกล็ดถี่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเกล็ดถี่ (สกุล)

ปลาเกล็ดถี่ หรือ ปลานางเกล็ด (Thynnichthys) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะสำคัญก็คือ มีส่วนหัวที่โตจนดูคล้ายปลาลิ่น (Hypophthalmichthys molitrix) ขนาดเล็ก ครีบหลังมีก้านครีบเดี่ยวที่ขอบเรียบ มีก้านครีบแขนง 8 ก้าน ไม่มีริมฝีปากบน ปากอยู่สุดปลายจะงอย ไม่มีหนวด และไม่มีซี่กรองเหงือก เกล็ดมีขนาดเล็กละเอียดมาก เป็นสีเงินแวววาวและหลุดร่วงง่าย มักอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินแพลงก์ตอนหรือตะไคร่น้ำเป็นอาหาร โดยอาจปะปนอยู่กับปลาในวงศ์ปลาตะเพียนด้วยกันสกุลอื่น เช่น ปลาสร้อย เป็นต้น พบทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเกล็ดถี่ (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเก๋าดอกหมากยักษ์

ปลาเก๋าดอกหมากยักษ์ (Potato Cod, Potato grouper, Potato bass) เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะรัง (Serranidae) มีลักษณะเหมือนกับปลากะรังชนิดอื่น ๆ แต่มีพื้นลำตัวสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน และมีลายจุดสีน้ำตาลหรือสีดำอยู่ตามลำตัวและครีบ อาศัยตามแนวปะการังหรือกองหินใต้น้ำ นับเป็นปลาในแนวปะการังที่มีความใหญ่มากชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับปลาหมอทะเล (E. lanceolatus) เพราะเมื่อโตเต็มที่อาจมีความยาวได้ถึง 2 เมตร น้ำหนักกว่า 110 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์กว้างขวางตั้งแต่มาดากัสการ์, มอริเตเนีย, อ่าวเปอร์เซีย, ทะเลแดง, อินโด-แปซิฟิก, มัลดีฟส์, ทะเลจีนใต้, ทะเลฟิลิปปิน, ทะเลญี่ปุ่น และออสเตรเลีย สำหรับในน่านน้ำไทยจะพบได้ในทะเลอันดามันแถบหมู่เกาะสิมิลัน นับว่าเป็นปลาที่หายากกว่าปลาหมอทะเล จัดเป็นปลาที่มีความใหญ่ชนิดหนึ่ง จึงเป็นที่นิยมของผู้ที่นิยมการดำน้ำ และมีเลี้ยงไว้ตามพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต่าง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเก๋าดอกหมากยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเก๋าแดง

ปลาเก๋าแดง (Blacktip grouper, Red-banded grouper) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะรัง (Serranidae) มีรูปร่างค่อนข้างยาวเรียว แบนข้าง หัวโต จะงอยปากสั้น นัยน์ตาโต ปากกว้างและเฉียงขึ้นเล็กน้อย ฟันซึ่งมีอยู่ตรงขากรรไกรบนและล่างมีลักษณะเป็นเขี้ยวยาวและคม ครีบหลังยาว ส่วนที่เป็นก้านครีบแข็งยาวกว่าส่วนที่เป็นก้านครีบฝอย ส่วนหน้าของครีบก้นมีก้านแข็งเป็นหนามแหลม ครีบหางมนกลม มีจุดเด่น คือ มีทั้งสีแดงสด, สีชมพูอ่อน และน้ำตาลปนแดง ขึ้นอยู่สภาพแวดล้อมและขนาดของปลา ข้างตัวมีแถบสีแดงปนน้ำตาล 5 แถบ ขอบครีบหลังที่เป็นก้านครีบแข็งมีสีแดงปนน้ำตาล เกล็ดเล็กละเอียด มีขนาดตั้งแต่ 15-40 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ตามแนวปะการังและกองหินใต้น้ำ ตั้งแต่แอฟริกาใต้, ทะเลแดง จนถึงทะเลอันดามัน, อ่าวไทย, คาบสมุทรเกาหลี และออสเตรเลีย เป็นปลาที่มีรสชาติดี นิยมใช้ในการบร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเก๋าแดง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเก๋าเสือ

ปลาเก๋าเสือ หรือ ปลากะรังลายน้ำตาล (Brown-marbled grouper, Tiger grouper) เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลากะรัง (Serranidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับปลากะรังทั่วไป สีพื้นลำตัวเป็นสีเหลืองน้ำตาล มีจุดสีน้ำตาลเข้ม ส่วนหัวและแผ่นปิดเหงือกมีจุดสีน้ำตาลขนาดเล็ก ไปจนถึงครีบต่าง ๆ และครีบหาง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 120 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 50 เซนนติเมตร พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ทะเลแดงในแอฟริกาตะวันออก, อ่าวเปอร์เซีย, ซามัว, ทะเลญี่ปุ่น, นิวแคลิโดเนีย, อินโด-แปซิฟิก จนถึงออสเตรเลีย เป็นปลาเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง ที่มีการเพาะเลี้ยงอย่างปลากะรังชนิดอื่น ๆ โดยมีราคาขายตัวละ 400-600 บาท รวมถึงมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับปลาหมอทะเล หรือปลาเก๋ายักษ์ (E. lanceolatus) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกันแต่ตัวใหญ่กว่า เพื่อให้ได้ปลาลูกผสมที่เรียกว่า  ปลาเก๋ามุกมังกร ที่เนื้อมีความนุ่มอร่อยกว่า และราคาถูกกว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเก๋าเสือ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเม็ดขนุน

ปลาเม็ดขนุน (Yellow goatfish) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแพะ (Mullidae) มีรูปร่างทรงกระสวย บริเวณเหนือเส้นข้างลำตัวมีแถบสีเหลืองพาดผ่าน แนวยาวของลำตัวตั้งแต่บริเวณหลังขอบตาไปจนถึงปลายหาง มีเกล็ดขนาดใหญ่ลักษณะเป็นแบบสากเล็กน้อย ส่วนหัวมีเกล็ด ใต้คางมีหนวด 1 คู่ ที่ไวต่อความรู้สึก ใช้สำหรับคุ้ยเขี่ยหาอาหารตามหน้าดิน เช่น พื้นทราย ซึ่งดูแล้วเหมือนหนวดเคราของแพะ ครีบต่าง ๆ มีสีเหลืองอ่อน ประกอบไปด้วย ครีบหลังแยกเป็น 2 ตอน ครีบอก ครีบท้อง ครีบก้น และมีครีบหางแบบเว้าลึก มีขนาดความยาวโตเต็มที่ประมาณ 28 เซนติเมตร มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง อาศัยบริเวณเหนือพื้นทรายและแนวปะการัง บริเวณมหาสมุทรอินเดียและ มหาสมุทรแอตแลนติก จัดเป็นปลาเศรษฐกิจ ที่มีการจับเพื่อการประมง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเม็ดขนุน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเรดฮุก

ปลาเรดฮุก (Redhook silverdollar, Redhook myleus) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จำพวกปลาซิลเวอร์ดอลลาร์ ในวงศ์ปลาปิรันยา (Serrasalmidae) จัดเป็นปลาซิลเวอร์ดอลลาร์ชนิดหนึ่ง มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปลาปิรันยาหรือปลาเปคู ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า แต่มีลำตัวสีเงินแวววาว ในขณะที่ยังเป็นปลาวัยอ่อนจะมีจุดสีแดงกระจายไปทั่วตัว ครีบต่าง ๆ มีสีเหลืองอมส้มหรือสีเหลืองและมีความยาวกว่า โดยเฉพาะครีบก้นที่มีปลายครีบงอนงอเหมือนตะขอและมีสีแดงสดขลิบดำ อันเป็นที่มาของชื่อเรียก ตัวผู้มีครีบยาวกว่าตัวเมีย ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร พบใหญ่ที่สุด 39 เซนติเมตร อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์น้ำขนาดเล็ก กระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในแม่น้ำสายหลัก ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ เช่น แม่น้ำแอมะซอน, แม่น้ำโอรีโนโก ในเอกวาดอร์, เปรู, เวเนซุเอลา, โคลอมเบีย, กายอานา, ซูรินาม, เฟรนช์เกียนา และบราซิล เป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยมีการรวบรวมจากแหล่งน้ำธรรมชาติส่งออกไปขายทั่วโลก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเรดฮุก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเรดเทลแคทฟิช

ปลาเรดเทลแคทฟิช (Redtail catfish) เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาหนัง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phractocephalus hemioliopterus ในวงศ์ปลากดอเมริกาใต้ (Pimelodidae) จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Phractocephalus ทั้งนี้เนื่องจากชนิดอื่นที่อยู่ร่วมสกุลกันได้สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ยุคไมโอซีนตอนต้นแล้ว (ราว 13.5 ล้านปีก่อน) คือ P. nassi ซึ่งค้นพบซากดึกดำบรรพ์ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาเรดเทลแคทฟิช · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเรนโบว์เทราต์

ปลาเรนโบว์เทราต์ หรือ ปลาเทราต์สายรุ้ง (Rainbow trout, Steelhead, Trout salmon) เป็นปลาชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาแซลมอน (Salmonidae) จัดอยู่ในจำพวกปลาแซลมอน อาศัยอยู่ในสาขาแม่น้ำที่ไหลสู่มหาสมุทรแปซิฟิกในทวีปเอเชียและทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นช่วงที่มีวงจรชีวิตอาศัยอยู่ในทะเล ปกติจะว่ายจากทะเลสู่แม่น้ำเพื่อวางไข่หลังจากอาศัยอยู่ในทะเลไปแล้ว 2-3 ปี ปลาเรนโบว์เทราต์มักถูกนำมาเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารและตกเป็นเกมกีฬา ได้ถูกเพาะเลี้ยงและนำเข้าสู่ประเทศต่าง ๆ ที่มิใช่แหล่งกำเนิดดั้งเดิมถึง 87 ประเทศ อาทิ เยอรมนี, ฟินแลนด์, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ญี่ปุ่น ทั้งในประเทศในเขตอบอุ่นและเขตหนาว หรือแม้แต่เขตร้อน เพื่อสนองความต้องการในการบริโภคและตกเป็นเกมกีฬา ปลาเรนโบว์เทราต์ เป็นปลาที่ดั้งเดิมอาศัยอยู่ในลำธารหรือทะเลสาบที่น้ำมีอุณหภูมิที่เย็น (ไม่เกิน 20 องศาเซลเซียส ขณะที่บางข้อมูลระบุว่าไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส) เป็นปลาที่มีสัญชาตญาณนักล่าอยู่ในตัว โดยเป็นปลาที่กินสัตว์น้ำต่าง ๆ ไม่เลือก ทั้งปลาและแมลงน้ำ ด้วยสรีระที่เป็นทรงกระสวย หางมีขนาดใหญ่ช่วยในการว่ายทวนกระแสน้ำได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะไม่มีฟันหรือเขี้ยวขนาดใหญ่ แต่ก็มีจะงอยปากที่เป็นลักษณะตะขอ เมื่อสบกับจะงอยปากบนที่เป็นร่องลึกก็จะประกบกันได้ลงตัวพอดี ทำให้จับเหยื่อได้อย่างมั่นคง มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 1.2 เมตร น้ำหนักกว่า 25 กิโลกรัม สีตามลำตัวสวยงาม เนื้อมีรสชาติดี มีก้างน้อย และยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิด โอเมกา 3 อยู่ในปริมาณที่มากด้วย จากรายงานของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) ในการจัดอันดับชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีประสิทธิภาพในการรุกรานสิ่งมีชีวิตพื้นถิ่นให้เสียหายอย่างรุนแรง 100 อันดับแรก มีปลาอยู่ 5 ชนิด และหนึ่งในนั้นก็คือ ปลาเรนโบว์เทราต์ ปลาเรนโบว์เทราต์ ได้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยด้วยการเป็นไข่ปลาจากสหรัฐอเมริกา ที่สถานีเพาะเลี้ยง ในโครงการหลวง ที่ดอยอินทนนท์ เมื่อปี พ.ศ. 2541 จนประสบความสำเร็จ มีลูกปลาที่รอดจากการฟักถึงร้อยละ 90 สามารถผลิตปลาได้ปริมาณสูงถึง 18-20 ตันต่อปี แต่ก็มีประชากรบางส่วนที่หลุดรอดไปสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ มีรายงานการพบลูกปลาขนาดเล็กมีความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร หลุดรอดออกมาจากสถานีเพาะเลี้ยง และพบปลาขนาดใหญ่ราว 1 ฟุตอยู่ในลำธารใกล้ ๆ สถานีเพาะเลี้ยง และมีการจับปลาขนาดใหญ่ได้ในช่วงท้ายน้ำของผู้คนพื้นถิ่น จากการให้สัมภาษณ์ของคนพื้นถิ่นพบว่า ตั้งแต่มีปลาเรนโบว์เทราต์เข้ามา ลูกปลาชนิดต่าง ๆ ก็ได้หายไปเป็นจำนวนมาก จึงหวั่นเกรงกันว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมต่อไปปลาเทราต์สายรุ้ง การรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น หน้า 28-32 โดย siamensis.org.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเรนโบว์เทราต์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเลียหิน

ปลาเลียหิน (Stone-lapping fishes, Garras, Doctor fishes) คือชื่อสามัญเรียกโดยรวมของปลาน้ำจืดขนาดเล็กสกุลหนึ่ง มีชื่อสกุลว่า Garra (/การ์-รา/) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) และอยู่ในวงศ์ย่อย Labeoninae เป็นปลาที่มีขนาดเล็ก ลำตัวยาว หลังโค้งเล็กน้อย สันท้องแบนราบ จะงอยปากยาว ปลายทู่ และมีตุ่มเหมือนเม็ดสิวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะตัวผู้ริมฝีปากหนาและมีตุ่มเม็ดสิวที่อ่อนนุ่มอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่มีร่องระหว่างริมฝีปากกับกระดูกขากรรไกร ริมฝีปากล่างแผ่ออกกว้างเป็นแผ่น ขอบหน้าเรียบ ใช้ในการยึดเกาะกับของแข็ง มีหนวด 1-2 คู่ ครีบอกและครีบครีบท้องอยู่ในแนวระดับสันท้อง ครีบหลังมีก้านครีบแขนง 8 ก้าน และก้านครีบเดี่ยวไม่แข็ง ครีบก้นสั้นมีก้านครีบแขนง 5 ก้าน เส้นข้างลำตัวตรง มีพฤติกรรมมักอาศัยอยู่เป็นฝูง ในแหล่งน้ำไหลเชี่ยวบริเวณน้ำตกหรือลำธารในป่า เพื่อดูดกินตะไคร่น้ำหรือสาหร่ายหรืออินทรีย์วัตถุต่าง ๆ เป็นอาหาร พบกระจายอยู่ทั่วไปในทวีปเอเชีย พบมากกว่า 90 ชนิด สำหรับในประเทศไทยพบด้วยหลายชนิด เช่น G. fuliginosa, G. notata, G. cambodgiensis, G. fasciacauda เป็นต้น นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม เพื่อให้ดูดกินเศษอาหารที่ปลาใหญ่กินเหลือและทำความสะอาดตู้เลี้ยง นอกจากนี้แล้วในปัจจุบัน ปลาเลียหินยังนิยมใช้ในธุรกิจสปา แบบที่เรียกว่า "ฟิชสปา" โดยให้ผู้ใช้บริการแช่เท้าและขาลงในอ่างน้ำ และให้ปลาเลียหินมาดูดกินผิวหนังชั้นผิวกำพร้าเพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เพื่อเป็นการสร้างเซลล์ผิวใหม่อีกด้วย โดยในน้ำลายของปลาเลียหินจะมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่กระตุ้นในการสร้างเซลล์ผิวใหม่ซึ่งปลาเลียหินที่นิยมใช้กันคือ ชนิด G. rufa และ G. sp.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเลียหิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเลียหินกัมพูชา

ปลาเลียหินกัมพูชา หรือ ปลามูดกัมพูชา หรือ ปลาเลียหินแม่น้ำโขง (Cambodian logsucker, Stone-lapping fish, Stonelapping minnow, False Siamese algae eater) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง เป็นปลาเลียหินชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลำตัวเรียวยาวเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว อาศัยอยู่ตามบริเวณพื้นที่เป็นกรวดและหิน มีหนวดที่ปลายจะงอยปากหนึ่งคู่ ลำตัวด้านหลังเป็นสีเขียว เกล็ดมีสีขาวเงินสะท้อนแสง มีแถบสีดำพาดตามตัวจากหลังช่องเหงือกถึงโคนหาง ลำตัวด้านล่างเป็นสีขาว ครีบหลังมีขอบสีดำจาง ๆ ขอบครีบหางมีแถบสีดำจาง ๆ และมีเส้นสีดำตอนกลางครีบ มีขนาดความยาวเต็มที่ประมาณ 11 เซนติเมตร พบตามแหล่งน้ำที่เป็นลำธารต้นน้ำและน้ำตกของลุ่มน้ำโขง หากินโดยดูดตะไคร่น้ำ, แพลงก์ตอน และแมลงน้ำเป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ลงมาถึงประเทศไทย นอกจากนี้ยังพบกระจายอยู่ในระบบแม่น้ำเจ้าพระยารวมถึงภาคใต้ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช แต่พบมากที่สุดในลุ่มน้ำน่านในเขตอำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน โดยเฉพาะในแม่น้ำว้าและแม่น้ำมาง โดยมีชื่อเรียกในภาษาถิ่นว่า "ปลาขึ้นนา" จากพฤติกรรมที่เมื่อวางไข่ขยายพันธุ์จะอพยพกันจากลำธารลงไปวางไข่กันในทุ่งนา จึงมักถูกจับมารับประทานบ่อย ๆ ด้วยเป็นปลาขนาดเล็กจึงสามารถบริโภคได้ทั้งตัว มีราคาซื้อขายสูงถึงกิโลกรัมละ 200 บาท ปัจจุบันภาควิชาการประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แม้จะเป็นปลาที่มีสีสันไม่สวยงาม แต่ก็มักเลี้ยงไว้กินตะไคร่และเศษอาหารที่ปลาอื่นกินเหลือ เพื่อทำความสะอาดตู้ รวมถึงยังนำไปในกิจการฟิชสปาหรือสปาปลาแทนที่ปลาเลียหินชนิด G. rufa ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศได้อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเลียหินกัมพูชา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเล็บมือนาง

ปลาเล็บมือนาง เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crossocheilus reticulatus อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) วงศ์ย่อย Garrinae มีรูปร่างลำตัวเพรียว หัวเล็ก ปากเล็กอยู่ด้านล่างของจะงอยปากและมีแผ่นหนังคลุม มีหนวดสั้น 1 คู่ เกล็ดเล็ก ลำตัวสีเงินอมเหลือง มีลายสีคล้ำที่ขอบเกล็ด โคนครีบหางมีจุดสีดำเห็นชัดเจน ครีบใสสีเหลืองเรื่อ มีขนาดความยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร ใหญ่สุด 17 เซนติเมตร มีพฤติกรรมอยู่เป็นฝูงใหญ่ตามแก่ง ช่วงฤดูฝนมีการย้ายถิ่นเข้าสู่ทุ่งน้ำหลาก อาหารได้แก่ ตะไคร่น้ำ แพลงก์ตอน และสัตว์หน้าดินขนาดเล็ก อาศัยตามแม่น้ำสายหลักและแก่ง แหล่งน้ำหลาก เป็นปลาที่พบบ่อย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ปลาเล็บมือนาง ยังมีชื่อเรียกอื่นอีกว่า "ปลาสร้อยดอกยาง".

ใหม่!!: สัตว์และปลาเล็บมือนาง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเล็บมือนางแม่โขง

ปลาเล็บมือนางแม่โขง หรือ ปลาข้างลาย (Mekong algae eater) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาในสกุลปลาส่อหรือปลาเล็บมือนางชนิดหนึ่ง มีความยาวเต็มที่ 10-12 เซนติเมตร แต่ขนาดที่พบโดยเฉลี่ย 6 เซนติเมตร พบชุกชุมในหาดในช่วงฤดูแล้ง ราวเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม เป็นปลาที่นิยมบริโภคและขายกันในท้องถิ่น และเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเล็บมือนางแม่โขง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเวลส์

ปลาเวลส์ (Wels catfish, Sheatfish) ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) จัดเป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่มาก โดยถือว่าเป็นหนึ่งในปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และถือว่าเป็นปลาหนัง (Siluriformes) ชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีลักษณะเหมือนปลาในสกุลเดียวกันชนิดอื่นทั่วไป มีลำตัวสีน้ำตาลและมีจุดสีดำเป็นกระ กระจายอยู่ทั่วลำตัว หัวมีขนาดใหญ่ มีหนวดที่มุมปาก 2 คู่ยาว ปากกว้างมาก ตามีขนาดเล็ก มีความยาวได้ถึง 3 เมตร โดยสถิติโลกที่มีบันทึกไว้ คือ น้ำหนัก 250 ปอนด์ ความยาว 8.5 ฟุต ที่ตอนเหนือของอิตาลี มีถิ่นกำเนิดในยุโรปตอนกลาง ไปจนถึงเอเชียกลาง โดยเฉพาะในประเทศรัสเซีย แต่สามารถที่จะเพาะขยายพันธุ์ได้ในที่เลี้ยง จึงมีการนำเข้าจากสหราชอาณาจักรไปปล่อยในแหล่งน้ำของสเปนจนกลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ตั้งแต่ทศวรรษที่ 50 เป็นปลาที่หากินเพียงลำตัวตัวเดียว กินอาหารโดยไม่เลือกแม้กระทั่ง สัตว์ปีก หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หรือแม้แต่กินพวกเดียวกันเอง จนทำให้มีคำเล่าลือกันในยุคกลางว่ากินกระทั่งมนุษย์ หรือมีการผ่าท้องแล้วเจอเศษซากชิ้นส่วนมนุษย์อยู่ภายใน แต่โดยปกติแล้ว อาหารคือ กุ้ง, ปู และปลา หากินในเวลากลางคืน มีพฤติกรรมการขยายพันธุ์ โดยตัวผู้จะเป็นผู้ดูแลไข่จนฟักเป็นตัว ด้วยความที่เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ จึงนิยมตกกันเป็นเกมกีฬา โดยเฉพาะในทวีปยุโรป ซึ่งสามารถตกได้ด้วยมือเปล่าได้ ด้วยการสวมถุงมือที่ยาวถึงต้นแขน แล้วใช้มือล้วงเข้าไปในโพรงที่ปลาอาศัย แล้วดึงปลาออกมาด้วยการให้ปลางับที่มือ นิยมปรุงเป็นอาหาร และนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามและแสดงในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ โดยเฉพาะในตัวที่เป็นสีขาวล้วน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเวลส์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเวียน

ปลาเวียน (Thai mahseer, Greater brook carp) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งจำพวกมาห์เซียร์ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tor tambroides อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) เป็นปลาในวงศ์ปลาตะเพียนขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง รูปร่างลักษณะคล้ายปลาพลวงหิน (Neolissochilus stracheyi) ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกัน เว้นแต่ริมฝีปากบนมีแผ่นหนังยื่นออกมาทำให้ดูคล้ายจะงอยปากงุ้มลง และรูปร่างลำตัวที่เพรียวกว่า ขนาดเฉลี่ยโดยทั่วไปประมาณ 60 เซนติเมตร ขนาดใหญ่สุดที่พบ 1 เมตร ส่วนหัว อาศัยตามแหล่งน้ำสะอาดตามต้นน้ำลำธาร มีพฤติกรรมในอพยพย้ายถิ่นลงมาทางปากน้ำในฤดูฝน ตามรายงานพบว่า ปลาที่อาศัยในแม่น้ำแม่กลอง เมื่อถึงฤดูฝนจะว่ายตามกระแสน้ำลงไปจนถึงปากนี้ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "ปลาเหล แม่น้ำ" นานประมาณ 4–8 สัปดาห์ จากนั้นจะหวนกลับไปยังต้นน้ำ แสวงหาสถานที่อันเหมาะสมเพื่อผสมพันธุ์ จะวางไข่ในช่วงเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม เคยเป็นปลาที่ขึ้นชื่อของจังหวัดเพชรบุรี และถือเป็นปลาประจำจังหวัด เพราะมีเนื้อนุ่มละเอียด มีไขมันสะสมในเนื้อเยอะ ซึ่งปัจจุบันพบได้น้อย จนแทบกล่าวได้ว่าหมดไปแล้ว เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลาย ปัจจุบัน กรมประมงสามารถที่จะเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเพชรบุรี ด้วยการรวบรวมพ่อแม่ปลาจากธรรมชาติ โดยมีวิธีการขยายพันธุ์ 2 วิธี คือ การเพาะพันธุ์แบบกึ่งธรรมชาติ ด้วยการเลี้ยงในระบบที่เลียนแบบธรรมชาติ ความสมบูรณ์ของพ่อแม่ปลาจะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน–กุมภาพันธ์ ปลาแม่ที่พร้อมจะวางไข่จะมีการสลัดไข่ จึงนำมารีดผสมกับน้ำเชื้อของปลาตัวผู้ ไข่จะฟักเป็นตัวในเวลาประมาณ 72–96 ชั่วโมง และการเพาะพันธุ์ด้วยวิธีการฉีดฮอร์โมน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเวียน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเวียนทอง

ปลาเวียนทอง, ปลาเวียนยักษ์, ปลาเวียนหิมาลัย หรือในชื่อพื้นเมืองของลุ่มแม่น้ำสาละวินเรียกว่า ปลาคม (Putitor mahseer, Himalayan mahseer, Golden mahseer.) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลาที่อยู่ในสกุลปลาพลวง (Neolissochilus spp.) และปลาเวียน (Tor spp.) ชนิดอื่น เพียงแต่ขนาดเมื่อโตเต็มที่สามารถยาวได้ถึง 275 เซนติเมตร น้ำหนักถึง 54 กิโลกรัม ซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดสำหรับปลาในสกุลนี้ และนับว่าเป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งที่ใหญ่ติดอันดับโลก มีลายแถบสีน้ำเงินนอนขวางลำตัวหนึ่งคู่ เกล็ดตลอดทั้งลำตัวมีสีเหลืองหรือสีทอง ครีบและหางมีสีเหลืองเข้ม พบในอินเดียทางตอนเหนือและตอนใต้ ในตอนเหนือพบที่เชิงเทือกเขาหิมาลัยแถบรัฐปัญจาบ และในแม่น้ำพรหมบุตร, แคว้นแคชเมียร์ในปากีสถาน, อัฟกานิสถาน, ภูฏาน และพบในแม่น้ำสาละวินแถบชายแดนพม่าติดกับไทยด้วย แต่พบน้อยมาก มีรายงานการพบเพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้น ในรอบ 28 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเวียนทอง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเสือพ่นน้ำ

ปลาเสือพ่นน้ำ (Archer fish, Blowpipe fish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาเสือพ่นน้ำ (Toxotidae) มีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยม ปากกว้างมีขนาดใหญ่เฉียงลงด้านล่างและจะงอยปากยืดหดได้ มีตากลมโต เกล็ดสาก ครีบหลังแบ่งออกเป็น 2 ตอน ตอนแรกเป็นครีบแข็ง ตอนหลังเป็นครีบอ่อนมีลักษณะใสโปร่งแสง พื้นลำตัวสีขาวอมเหลือง มีจุดวงกลมสีดำขนาดใหญ่ ประมาณ 3-4 จุด ซึ่งนับว่าปลาเสือพ่นน้ำชนิดนี้เป็นปลาเสือพ่นน้ำชนิดที่มีจุดวงกลมนี้มากที่สุด และเป็นปลาเสือพ่นน้ำที่พบได้มากและแพร่หลายที่สุด ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 30-40 เซนติเมตร นิยมว่ายหากินอยู่ตามผิวน้ำเป็นฝูงเล็ก ๆ ไม่เกิน 20 ตัว พบได้ตามแม่น้ำลำคลองทั่วไปจนถึงเขตน้ำกร่อยเช่น ป่าชายเลน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยด้วย สามารถฉีดพ่นน้ำจากปากใส่แมลงที่อยู่เหนือน้ำได้เหมือนปืนฉีดน้ำ นอกจากนี้แล้วยังกินสัตว์ขนาดเล็กกว่า เช่น ปลาขนาดเล็ก, กุ้งฝอย เป็นต้น มีความสำคัญต่อมนุษย์ในฐานะของการนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเสือพ่นน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเสือพ่นน้ำพม่า

ปลาเสือพ่นน้ำพม่า (Clouded archerfish, Zebra archerfish) เป็นปลาในวงศ์ปลาเสือพ่นน้ำ (Toxotidae) ชนิดหนึ่ง มีรูปร่างเหมือนปลาเสือพ่นน้ำชนิดอื่น ๆ ในวงศ์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันไปอย่างเห็นได้ชัด คือ ลวดลายที่เป็นลายขวางตามแนวยาวของลำตัว ไม่เป็นลายจุด ในปลาวัยอ่อนลายดังกล่าวจะเป็นลายจุดกระจัดกระจายไปทั่ว และจะค่อย ๆ มารวมตัวกันเมื่อโตขึ้น มีความยาวเต็มที่ประมาณ 15 เซนติเมตร จัดเป็นปลาท้องถิ่นที่พบได้เฉพาะในประเทศพม่าที่เดียวเท่านั้น โดยพบอาศัยในแหล่งน้ำจืดหรือปากแม่น้ำที่เป็นน้ำกร่อย เช่น แม่น้ำในเมืองมะละแหม่ง หรือแม่น้ำสะโตงในเมืองตองอู เป็นต้น เป็นปลาที่มิได้มีความสำคัญในแง่การเป็นปลาเศรษฐกิจ และเพิ่งเข้าสู่แวดวงปลาสวยงามเมื่อไม่นานมานี้ (พ.ศ. 2553) โดยมีราคาซื้อขายที่ค่อนข้างแพง แม้จะได้รับการอนุกรมวิธานไว้นานแล้วก็ตาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเสือพ่นน้ำพม่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเสือพ่นน้ำน้ำกร่อย

ปลาเสือพ่นน้ำน้ำกร่อย หรือ ปลาเสือพ่นน้ำลายบั้ง หรือ ปลาเสือพ่นน้ำเงิน ปลาน้ำจืดและน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Toxotes jaculatrix ในวงศ์ปลาเสือพ่นน้ำ (Toxotidae) มีรูปร่างเหมือนปลาเสือพ่นน้ำชนิดอื่น เช่น T. microlepis หรือ T. chatareus แต่ว่าปลาเสือพ่นน้ำน้ำกร่อยนั้นมีรูปร่างที่เพรียวและแบนข้างมากกว่า มีสีของลำตัวและเกล็ดออกสีเงินหรือสีขาวแวววาวมากกว่า และมีขนาดใหญ่กว่า โดยสามารถโตเต็มที่ได้ถึง 30 เซนติเมตร พบได้ตามแถบน้ำกร่อยเช่น ปากแม่น้ำ, ป่าชายเลน หรือตามชายฝั่งทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงวานูอาตู, ปาปัวนิวกินีและตอนเหนือของออสเตรเลีย นอกจากนี้แล้ว ปลาเสือพ่นน้ำน้ำกร่อยอร่อยแหะยังมีพฤติกรรมการพ่นน้ำใส่แมลงแตกต่างไปจากปลาเสือพ่นน้ำชนิดอื่น ๆ โดยมักจะพ่นน้ำในลักษณะมุมตรง สันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะสภาพของภูมิประเทศที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำกร่อยมีการสะท้อนแสงกระทบกับผิวน้ำน้อยกว่าแหล่งน้ำที่เป็นน้ำจืดหรือแม่น้ำลำคลอง ปลาเสือพ่นน้ำน้ำกร่อย เป็นปลาเสือพ่นน้ำอีกชนิดหนึ่งที่มีการนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม แต่ทว่าการที่จะเลี้ยงให้อยู่รอดได้นั้น ต้องทำการปรับสภาพน้ำก่อน โดยต้องเติมเกลือละลายลงในน้ำให้มีรสออกกร่อยเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งเดือน เพื่อให้ปลาปรับสภาพตัว ก่อนจะค่อย ๆ ลดความเค็มของน้ำลงไป ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วปลาจะปรับตัวไม่ได้ และจะตายภายในเวลาไม่นาน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเสือพ่นน้ำน้ำกร่อย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเสือพ่นน้ำเกล็ดถี่

ปลาเสือพ่นน้ำเกล็ดถี่ (Smallscale archerfish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาเสือพ่นน้ำ (Toxotidae) มีลักษณะลำตัวแบนลึกข้างค่อนข้างมาก ตากลมโต ขอบหลังไล่ตั้งแต่ช่วงครีบไปจนถึงหางมีลักษณะเกือบเป็นเส้นตรง ปากมีขนาดใหญ่และมีลักษณะเฉียงลงลึก ครีบหลังและครีบก้นอยู่ค่อนไปทางด้านท้ายลำตัว พื้นลำตัวทางตอนบนสีเหลือง ช่วงท้องสีขาว ข้างลำตัวจะมีจุดสีดำแต้มอยู่ประมาณ 4-5 แต้ม เกล็ดเป็นแบบสาก โดยปลาใช้กลุ่มนี้มีความสามารถพิเศษ คือ สามารถพ่นน้ำขึ้นไปในอากาศได้สูงถึง 1 เมตร เพื่อล่าเหยื่อ อันได้แก่ แมลงต่าง ๆ ที่อยู่เหนือผิวน้ำ หรือกระโดดตัวขึ้นงับเหยื่อในบางที ปลาเสือพ่นน้ำเกล็ดถี่มีขนาดโตเต็มที่ได้ประมาณ 15 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทุกประเทศ ไปจนถึงออสเตรเลีย โดยอาศัยอยู่เป็นฝูง ๆ ตามแม่น้ำสายใหญ่ ๆ หรือ ปากแม่น้ำ ในประเทศไทยพบตั้งแต่ภาคกลางและภาคอีสาน ไม่พบในภาคใต้ วางไข่และเลี้ยงดูตัวอ่อนในน้ำกร่อย โดยปลาเสือพ่นน้ำเกล็ดถี่เป็นปลาที่พบไม่บ่อยนักในธรรมชาติ ไม่นิยมบริโภค ได้รับความนิยมในแง่ของการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามมากกว่า ซึ่งปลาที่นิยมจับมาเป็นปลาสวยงามนั้นมักจับมาจากบึงบอระเพ็ดหรือสถานที่ใกล้เคียงในจังหวัดนครสวรรค์ จึงมีชื่อเรียกกันในวงการปลาสวยงามว่า "ปลาเสือพ่นน้ำนครสวรรค์" หรือ "ปลาเสือพ่นน้ำเหลือง" ทั้งนี้ปลาเสือพ่นน้ำชนิดนี้จะมีสีเหลืองตามลำตัวสดและเห็นได้ชัดเจนกว่าปลาเสือพ่นน้ำชนิดอื่น มีชื่อเรียกในภาษาอีสานว่า "หม่อง".

ใหม่!!: สัตว์และปลาเสือพ่นน้ำเกล็ดถี่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเสือสุมาตรา

ระวังสับสนกับ ปลาเสือข้างลาย สำหรับ เสือสุมาตรา ที่หมายถึงเสือโคร่งดูที่ เสือโคร่งสุมาตรา ปลาเสือสุมาตรา ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Puntigrus tetrazona อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) วงศ์ย่อย Cyprininae มีรูปร่างคล้ายปลาตะเพียนขนาดเล็ก และมีลักษณะคล้ายคลึงกับปลาเสือข้างลาย (P. partipentazona) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกันมาก โดยมีพื้นลำตัวสีเหลืองอมส้มเหมือนกัน ต่างกันที่แถบดำของปลาเสือสุมาตรานั้นมีทั้งหมด 4 แถบ และขนาดลำตัวของปลาเสือสุมาตรานั้นจะใหญ่กว่าเล็กน้อย โตเต็มที่มีขนาดไม่เกิน 7 เซนติเมตร พบในประเทศอินโดนีเซีย ที่เกาะบอร์เนียวและสุมาตรา โดยไม่พบในประเทศไทย มีอุปนิสัยคล้ายคลึงกับปลาเสือข้างลาย คือ ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงในบริเวณกลางน้ำ ในแหล่งน้ำสะอาดที่มีพืชพรรณไม้น้ำขึ้นหนาแน่น อาหารได้แก่ อินทรีย์สารและสัตว์น้ำขนาดเล็ก ปลาเสือสุมาตรานั้นได้ถูกนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามมาช้านานแล้ว ด้วยเป็นปลาที่มีราคาถูก เลี้ยงง่าย เพาะขยายพันธุ์ได้ง่าย จึงมีผู้เพาะขยายออกเป็นสีสันต่าง ๆ ที่ต่างจากเดิม เช่น ปลาเผือก หรือ ปลาเสือสุมาตราเขียว เป็นต้น ซึ่งอุปนิสัยในสถานที่เลี้ยงนั้น ปลาเสือสุมาตรานับว่าเป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าวพอสมควร มักไล่ตอดปลาชนิดอื่นที่ว่ายน้ำช้ากว่า เช่น ปลาทอง หรือ ปลาเทวดา จึงมักนิยมเลี้ยงแต่เพียงชนิดเดียว หรือเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นที่ใกล้เคียงกันโดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ และด้วยความที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับปลาเสือข้างลายมากประกอบกับที่นิยมเป็นปลาสวยงามมาช้านาน จึงทำให้เกิดความเข้าใจกันอยู่เสมอว่า ปลาเสือสุมาตรานั้นเป็นปลาชนิดเดียวกันกับปลาเสือข้างลายและเป็นปลาพื้นถิ่นของไทย เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเสือสุมาตรา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเสือหกขีด

ปลาเสือหกขีด หรือ ปลาเสือป่าพรุ (Six-band barb) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีลักษณะและรูปร่างคล้ายกับปลาเสือห้าขีด (D. pentazona) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน มีลักษณะโดยรวม คือ มีลำตัวแบนข้าง ส่วนหลังโค้ง หัวมีขนาดเล็ก ตาโต ปากมีขนาดเล็ก มีหนวดที่มุมปาก 1 คู่ จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่กลางตัว และอยู่หลังครีบท้อง ครีบหางแฉกเว้าลึก สีพื้นของลำตัวเป็นสีขาวเงิน มีแถบสีดำบนลำตัว 6 แถบ โดยมีที่ลำตัว 5 แถบ และที่ส่วนหัวอีก 1 แถบ พาดผ่านตา เกล็ดบางเกล็ดมีสีขาวเงินสะท้อนแสง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5.5 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในภาคใต้ของประเทศไทยในป่าพรุต่าง ๆ เช่น ป่าพรุโต๊ะแดง และพบเรื่อยไปจนถึงแหลมมลายู, เกาะสุมาตราและเกาะบอร์เนียว มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเป็นปลาที่เลี้ยงได้ง่ายมาก นิยมเลี้ยงรวมกันเป็นฝูงหรือรวมกับปลาขนาดใกล้เคียงกันในตู้ไม้น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเสือหกขีด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเสือข้างลาย

ระวังสับสนกับ ปลาเสือสุมาตรา ปลาเสือข้างลาย ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Puntigrus partipentazona ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ลักษณะคล้ายกับปลาตะเพียนขนาดเล็ก มีพื้นลำตัวสีเหลืองอมส้ม มีจุดเด่นคือ แถบสีดำพาดขวางลำตัวทั้งหมด 5 แถบ 2 แถบแรกพาดผ่านตาและหน้าครีบหลัง แถบที่ 3 พาดผ่านโคนครีบหลังและสันหลัง แถบที่ 4 พาดผ่านโคนครีบก้นและลำตัว ส่วนแถบที่ 5 ที่โคนหาง ครีบหลังสั้นและครีบก้นมีสีเหลือง มีหนวดที่มุมปากบนหนึ่งคู่ แต่แถบที่ 3 นั้นสั้นพาดเพียงครึ่งนึงเท่านั้น ซึ่งปลาเสือข้างลายนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับปลาเสือสุมาตรา (P. tetrazona) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกันมาก แต่ไม่พบในประเทศไทย ปลาเสือข้างลาย จัดเป็นปลาขนาดเล็กมีอุปนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ในแหล่งน้ำทั่วประเทศไทยและประเทศกัมพูชารวมทั้งลำธารหรือน้ำตกบนภูเขาด้วย โดยมักอาศัยอยู่ในบริเวณกลางน้ำที่มีพืชพรรณไม้น้ำขึ้นหนาแน่น ขนาดโตเต็มที่ไม่เกิน 5 เซนติเมตร กินอาหารได้แก่ พืชน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็ก ปลาตัวผู้ในฤดูผสมพันธุ์จะมีริมฝีปากแดงเรื่อสดใสเห็นได้ชัดเจน โดยวางไข่ติดกับพืชไม้ชนิดต่าง ๆ ไข่ไว้เวลาฟักเป็นเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง ปลาเสือข้างลาย เป็นปลาน้ำจืดไทยอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม แต่ทว่าที่พบขายกันส่วนใหญ่ในตลาดปลาสวยงาม จะเป็นปลาเสือสุมาตราเสียมากกว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเสือข้างลาย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเสือดำ

ปลาเสือดำ หรือ ปลากะพงเล็ก (ชื่อท้องถิ่นจันทบุรี) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nandus nebulosus อยู่ในวงศ์ปลาเสือดำ (Nandidae) มีรูปร่างคล้ายปลาดุมชี (N. oxyrhynchus) ซึ่งอยู่ในวงศ์และสกุลเดียวกัน แต่มีจะงอยปากสั้นกว่าปลาดุมชี มีลำตัวแบนข้าง หัวและตาโต ปากมน บนฝาปิดเหงือกมีหนามชิ้นเล็ก ๆ 1 ชิ้น ลำตัวสีน้ำตาลแดง มีลายบั้งและประสีคล้ำพาดขวาง 5-6 บั้ง มีแถบยาวสีดำจากปลายปากจนถึงท้ายทอย ครีบหลังตอนแรกสีเหมือนลำตัว ตอนหลังใส ครีบอกใส มีขนาดประมาณ 6 เซนติเมตร-10 เซนติเมตร มีพฤติกรรมชอบซ่อนตัวอยู่นิ่ง ๆ ใต้กองไม้หรือใบไม้ใต้น้ำ เพื่อล่าเหยื่อซึ่งเป็นซึ่งมีชีวิตเล็ก ๆ กินเป็นอาหาร ปลาเสือดำพบได้ในบริเวณภาคตะวันออกของประเทศ และป่าพรุในภาคใต้ มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "ปลานางคง" หรือ "ปลาดุมชี" ในวงการปลาสวยงามนิยมเรียกว่า "ปลาเสือลายเมฆ".

ใหม่!!: สัตว์และปลาเสือดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเสือตอลายใหญ่

ปลาเสือตอลายใหญ่ (Siamese tigerfish, Finescale tigerfish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Datnioides pulcher เป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ปลาเสือตอ (Datnioididae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาเสือตอลายใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเสือตอลายเล็ก

ปลาเสือตอลายเล็ก (Northeastern siamese tigerfish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Datnioides undecimradiatus อยู่ในวงศ์ปลาเสือตอ (Datnioididae).

ใหม่!!: สัตว์และปลาเสือตอลายเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเสือตออินโดนีเซีย

ปลาเสือตออินโดนีเซีย หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า ปลาเสือตออินโด ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จำพวกปลาเสือตอ มีรูปร่างคล้ายกับปลาเสือตอทั่วไป คือ เป็นปลากินเนื้อในกลุ่มปลากะพง หากินในเวลากลางคืน พฤติกรรมในธรรมชาติชอบที่จะลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ ในระดับกลางน้ำหรือหลบอยู่ตามตอไม้หรือวัสดุต่าง ๆ ใต้น้ำ เดิมเคยถูกรวมเป็นชนิดเดียวกับปลาเสือตอลายใหญ่ (D. pulcher) ซึ่งพบในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย รวมถึงตามลำน้ำโขง แต่ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาเสือตออินโดนีเซีย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเสือตอปาปัวนิวกินี

ปลาเสือตอปาปัวนิวกินี หรือ ปลาเสือตอนิวกินี (New Guinea tigerfish, Campbell's tigerfish) เป็นปลาน้ำกร่อยในวงศ์ปลาเสือตอ (Datnioididae) ชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเสือตอปาปัวนิวกินี · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเสือเยอรมัน

ปลาเสือเยอรมัน (Black tetra, Black widow tetra, Petticoatfish) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปลาเตตร้า ในวงศ์ปลาคาราซิน (Characidae) เป็นปลาขนาดเล็ก หลังช่องเหงือกมีแถบสีดำ 2 แถบ ชายครีบก้นยาว เกล็ดเป็นประกายสีเงิน สภาพลำตัวค่อนข้างใส ท้ายลำตัวโดยเฉพาะครีบก้นเป็นสีดำ พบกระจายพันธุ์ตามแม่น้ำสายต่าง ๆ และปากแม่น้ำ ในทวีปอเมริกาใต้ เช่น เปรู, โบลิเวีย, อาร์เจนตินา, บราซิล และปารากวัย ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 6 เซนติเมตร (2.4 นิ้ว) เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยเลี้ยงเป็นฝูงในตู้ไม้น้ำ เป็นปลาที่มีการเพาะเลี้ยงกันอย่างหลากหลายรวมถึงในประเทศไทย บางครั้งมีการฉีดสีเป็นสีต่าง ๆ ลงในตัวปลา รวมถึงตัดต่อพันธุกรรมให้เป็นปลาเรืองแสงด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเสือเยอรมัน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเหล็กใน

ทความนี้หมายถึงปลาน้ำจืดขนาดเล็ก สำหรับเหล็กในของแมลงหรือแมง ดูที่: เหล็กใน ปลาเหล็กใน หรือ ปลาจิ้มฟันจระเข้แคระ เป็นชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปลาเหล็กใน (Indostomidae) มีรูปร่างคล้ายปลาจิ้มฟันจระเข้แคระ ซึ่งอดีตเคยรวมเป็นอันดับเดียวกัน แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก หัวและปากสั้นกว่า ตาโต หางเรียวเล็ก ครีบหลังเป็นก้านแข็งสั้น ๆ ที่ตอนหน้าของลำตัว และเป็นครีบอ่อนที่ตอนกลาง ครีบอก ครีบท้อง และครีบก้นเล็ก ครีบหางเป็นรูปพัด ลำตัวสีน้ำตาลอ่อนถึงคล้ำ และมีลายประสีคล้ำ มีขนาดลำตัวเพียง 2-3 เซนติเมตร เท่านั้นเอง พบในป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส และมีรายงานว่าพบที่บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ด้วย กินแพลงก์ตอนสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร วางไข่ติดกับพืชน้ำ โดยตัวผู้เป็นผู้ดูแลไข่ เป็นปลาที่พบน้อยในธรรมชาติ พบมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเลี้ยงให้รอดได้ในตู้ไม้น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเหล็กใน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเห็ดโคน

ปลาเห็ดโคน หรือ ปลาซ่อนทราย หรือ ปลาบุรุด เป็นชื่อสามัญของปลาทะเลกระดูกแข็งในสกุล Sillago (/ซิล-ลา-โก/) ในวงศ์ปลาเห็ดโคน (Sillaginidae) เป็นปลาขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร มีส่วนหัวหลิม ลําตัวกลมยาวเรียวแบนข้างเล็กน้อย ลําตัวสีนํ้าตาลอ่อน หลังมีสีเข้มกว่าหรือสีเทา บางชนิดมีแต้มสีเข้มกว่าเรียงเป็นแถวอยู่ข้างลําตัวหรือพาดอยู่บนสันหลัง เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง มีพฤติกรรมไซ้ทรายหรือโคลนบริเวณแหล่งที่อยู่เพื่อหากินและหลบซ่อนตัว อันเป็นที่มาของชื่อ โดยพบบริเวณใกล้ชายฝั่ง ปากแม่น้ำ พงหญ้าทะเล หรือป่าชายเลน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเห็ดโคน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเอิน

ปลาเอิน หรือ ปลายี่สก (Striped barbs) เป็นชื่อสกุลปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) ใช้ชื่อสกุล Probarbus (/โพร-บาร์-บัส/) อองรี เอมิล โซวาค นักมีนวิทยาชาวฝรั่งเศสเป็นผู้บรรยายลักษณะทางอนุกรมวิธานของปลาสกุลนี้ในปี ค.ศ. 1880 และในปีถัดมาได้กลับมาบรรยายเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง โดยปลาที่เป็นต้นแบบมีความยาว 34 และ 53 เซนติเมตร ตามลำดับ ลักษณะที่สำคัญอีกประการ คือ มีฟันที่ลำคอหนึ่งแถว จำนวนทั้งหมดสี่ซี่ มีหนวดที่ริมฝีปากบนหนึ่งคู่ ครีบหลังมีก้านครีบแขนงเก้าก้าน ก้านครีบเดี่ยวของครีบหลังสั้น แข็ง และมีขอบเรียบ ตามลำตัวมีเส้นขีดตามแนวนอนแตกต่างกันออกตามแต่ละชนิด จัดเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่อีกจำพวกหนึ่งในวงศ์นี้ โดยขนาดเมื่อโตเต็มที่อาจยาวได้ถึง 135 เซนติเมตร ปลาตัวเมียเมื่อถึงฤดูวางไข่อาจมีน้ำหนักตัวถึง 36 กิโลกรัม โดยช่วงที่ไข่สุกพร้อมที่จะถูกปล่อยออกมาผสมกับน้ำเชื้อของตัวผู้อยู่ในช่วงปลายปีจนถึงต้นฤดูร้อนของปีถัดมา มีการกระจายพันธุ์อยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงและที่ราบลุ่มภาคกลางของประเทศไทย และมีพบได้ที่แม่น้ำปะหัง ในมาเลเซียอีกด้วย เป็นปลาที่มีรสชาติอร่อยมาก จึงถูกจับจนใกล้จะสูญพันธุ์แล้วในธรรมชาติ แต่ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วด้วยวิธีการผสมเทียม มีชื่อที่สามเหลี่ยมทองคำ จังหวัดเชียงราย เรียกว่า "ปลาเสือ".

ใหม่!!: สัตว์และปลาเอิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเอินฝ้าย

ปลาเอินฝ้าย (Thinlip barb) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Probarbus labeaminor จัดอยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) วงศ์ย่อย Cyprininae มีรูปร่างคล้ายปลายี่สก (P. jullieni) และปลาเอินตาขาว (P. labeamajor) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน แต่ไม่มีแถบตามแนวยาวลำตัว และมีครีบที่ขนาดใหญ่กว่าทั้ง 2 ชนิดนั้น จัดเป็นปลาที่หายากใกล้สูญพันธุ์เช่นเดียวกัน เป็นปลาถิ่นเดียวที่พบได้เฉพาะที่แม่น้ำโขงเท่านั้น โดยตัวอย่างต้นแบบได้มาจากกิตติพงษ์ จารุธาณินทร์ โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์ labeaminor เป็นภาษาละติน มีความหมายว่า "ปากเล็ก" อันหมายถึง ลักษณะของปลาชนิดนี้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเอินฝ้าย · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเอินตาขาว

ปลาเอินตาขาว (Thicklipped barb) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Probarbus labeamajor อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) วงศ์ย่อย Cyprininae.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเอินตาขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเอี่ยนหู

ปลาเอี่ยนหู หรือ ปลาไหลหูขาว (Marbled eel, Giant mottled eel) เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาตูหนา (Anguilla) มีลำตัวยาวเหมือนปลาตูหนา (A. bicolor) ปากกว้าง ครีบอกสีจางรูปกลมรีอันเป็นที่มาของชื่อ "ปลาไหลหูขาว" ครีบหลังค่อนมาทางด้านหน้าลำตัว แต่ครีบก้นอยู่ไปทางด้านหลังลำตัว ลำตัวด้านบนมีลวดลายสีเทาคล้ำอมเหลืองและมีสีประทั้งเข้มและจางปะปนกันไปคล้ายปลาสะแงะ (A. bengalensis) ใต้ท้องมีสีน้ำตาลอมเหลือง มีขนาดโตเต็มได้ราว 1.50 เมตร พบกระจายอยู่อย่างกว้างขวางตั้งแต่ฝั่งแอฟริกาตะวันออก ถึงเฟรนช์โปลินีเซีย พบในภาคใต้ของประเทศญี่ปุ่นและไต้หวัน ในประเทศไทยพบเฉพาะในแม่น้ำโขงแถบชายแดนไทย-ลาว และเรื่อยไปตามแม่น้ำโขงจนถึงดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในเวียดนาม จัดเป็นปลาที่พบได้น้อยมาก เมื่อถูกชาวบ้านจับได้จะพบปรากฏเป็นข่าวฮือฮา บ้างจะถือว่าเป็นพญานาคบ้าง หรือปลาเจ้าบ้าง ชาวพื้นเมืองของภูมิภาคเฟรนช์โปลินีเซียและหมู่เกาะโซโลมอนมีความผูกพันกับปลาเอี่ยนหูมาก โดยจะให้อาหารบนบกให้ปลาเอี่ยนหูคลานขึ้นมากินเอง โดยเฉพาะเด็ก ๆ จะเล่นน้ำในลำธารพร้อมกับลูบคลำตัวปลาโดยที่ปลาเอี่ยนหูไม่ทำอันตรายแต่อย่างใด โดยถือว่าปลาเอี่ยนหูช่วยกินของเน่าเสีย ทำให้แหล่งน้ำดื่มสะอาด และที่เกาหลีใต้ถูกกำหนดให้เป็นอนุสรณ์แห่งธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเอี่ยนหู · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเอนด์เลอร์

ปลาเอนด์เลอร์ หรือ ปลาหางนกยูงเอนด์เลอร์ ที่นิยมเรียกกันว่า ปลาหางนกยูงป่า (Endler's guppy, Endler's livebearer) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliidae) เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัวขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายกับปลาหางนกยูง (P. reticulate) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันมาก จนมีความเข้าใจผิดกันว่าเป็นปลาหางนกยูงสายพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติ หรือปลาหางนกยูงป่า โดยชื่อ "เอนด์เลอร์" นั้นเป็นการตั้งชื่อสามัญเพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.จอห์น เอนด์เลอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาผู้ค้นพบในปี..

ใหม่!!: สัตว์และปลาเอนด์เลอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเอ็กโซดอน

ปลาเอ็กโซดอน (Bucktooth tetra) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาคาราซิน (Characidae) ในอันดับปลาคาราซิน เป็นปลาขนาดเล็ก มีครีบก้นสีเหลือง ครีบอื่นเป็นสีแดง ลำตัวเป็นสีเงินสะท้อนแสงสีเหลืองวาว ดวงตากลมโตมีขอบตาเหลือง และมีจุดสีดำขนาดใหญ่ 2 จุด จุดแรกอยู่ที่โคนหาง อีกจุดอยู่ตรงกลางตัวบริเวณโคนครีบหลัง หากอยู่ในที่มืดจะสะท้อนแสงแวววาวมาก ในปากไม่พบฟัน จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Exodon ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 6-8 นิ้ว อายุเต็มที่ประมาณ 8 ปี ตัวผู้จะมีลักษณะผอมกว่าตัวเมียและมีครีบก้นกับครีบหลังยาวกว่า กระจายพันธุ์อยู่ในแม่น้ำสายใหญ่ที่มีกระแสน้ำไหลตลอดในอเมริกาใต้ เช่น ริโอบรานโก, ริโอเนโกรในบราซิลและกายอานา มีพฤติกรรมชอบอาศัยอยู่เป็นฝูง เป็นปลาที่นิสัยดุร้ายก้าวร้าว มักที่จะชอบรุมกัดครีบหรือเกล็ดปลาชนิดอื่น เนื่องจากในกระเพาะมีกรดที่สามารถย่อยเกล็ดปลาชนิดอื่นได้ และถึงแม้จะเป็นปลาที่มีตัวใหญ่กว่าก็ตาม เช่น ปลาปิรันยา ก็ยังโดนรุมกัด นอกจากนี้แล้วยังสามารถกัดกินต้นไม้น้ำได้อีกด้วย นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ในสถานที่เลี้ยงสามารถฝึกให้กินอาหารเม็ดได้โดยง่าย แต่ไม่ควรเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นจากพฤติกรรมที่กล่าวม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเอ็กโซดอน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเฮร์ริงน้ำจืด

ปลาเฮร์ริงน้ำจืด (publisher) เป็นกลุ่มปลาขนาดเล็กกลุ่มหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Pellonulinae ในวงศ์ปลาหลังเขียว (Clupeidae) เป็นปลาหลังเขียวหรือปลาเฮร์ริงจำพวกหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ในน้ำจืดหรือน้ำกร่อยทั่วโลก บางสกุลและบางชนิดได้สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเฮร์ริงน้ำจืด · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเผาะ

ปลาเผาะ (Vietnamese pangasius, basa fish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pangasius bocourti อยู่ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) มีลักษณะส่วนหัวมนกลม ปากแคบ รูปร่างป้อม ท้องอูม ลำตัวตอนหน้าค่อนข้างกลม และแบนข้างเล็กน้อยที่ด้านท้าย ครีบไขมันเล็ก ปลาวัยอ่อนมีสีเทาเหลือบเหลืองหรือเขียวอ่อน ข้างลำตัวมีแถบคล้ำ ครีบอกมีแต้มสีจาง ปลาตัวเต็มวัยมีสีเทาอมน้ำตาลอ่อนหรือฟ้าอ่อน ท้องสีขาว ครีบสีจาง ครีบหางมีแถบสีคล้ำจาง มีขนาดประมาณ 60-80 เซนติเมตร ปลาวัยอ่อนกินแมลง ปลาตัวเต็มวัยกินพืชเป็นส่วนใหญ่ อาจกินแมลงและหอยบ้าง พบในแม่น้ำโขงถึงอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และในแม่น้ำเจ้าพระยาFroese, Rainer, and Daniel Pauly, eds.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเผาะ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเทพา

ปลาเทพา หรือที่ในภาษาอีสานเรียกว่า ปลาเลิม (Chao Phraya giant catfish) เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pangasius sanitwongsei อยู่ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) ชื่อวิทยาศาสตร์ของปลาชนิดนี้ตั้งโดย ดร.ฮิว แมคคอร์มิค สมิธ อธิบดีกรมประมงคนแรก เพื่อเป็นเกียรติแด่ ม.ร.ว.สุวพันธุ์ สนิทวงศ์ ในฐานะที่เป็นผู้ผลักดันและบุกเบิกให้มีหน่วยงานทางด้านการศึกษาและจัดการสัตว์น้ำในประเทศ ซึ่งก็คือกรมประมงในปัจจุบัน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเทพา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเทราต์บิวะ

ปลาเทราต์บิวะ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Oncorhynchus rhoduru) เป็นปลาในวงศ์ปลาแซลมอน สกุลปลาแซลมอนแปซิฟิก เป็นปลาเฉพาะถิ่น กระจายพันธุ์อยู่ในทะเลสาบบิวะ, ทะเลสาบอะชิ และทะเลสาบชูเซ็นจิ ประเทศญี่ปุ่น ตัวโตที่พบได้ทั่วไปมีขนาดราว 40-50 เซนติเมตรและหนักราว 1.5 ถึง 2.5 กิโลกรัม หากโตเต็มที่อาจมีความยาวได้ถึง 70 เซนติเมตรและหนัก 5 กิโลกรัม ปลาเทราต์บิวะกินแพลงตอน, แมลงในน้ำ, กุ้ง, หนอน, ปลาอะยุ และปลาขนาดเล็กอื่นๆเป็นอาหาร ปลาเทราต์บิวะถือเป็นเมนูพิเศษประจำจังหวัดชิงะ มักถูกนำไปทำซาชิมิ, ย่างเกลือ, รมควัน, ทอด นอกจากนี้ ปลาเทราต์บิวะยังขึ้นชื่อว่าเป็นปลาที่ไม่ค่อยกินเบ็ด มีโอกาสติดเบ็ดน้อยมาก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเทราต์บิวะ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเทราต์สีน้ำตาล

ปลาเทราต์สีน้ำตาล (Salmo trutta) เป็นสายพันธุ์ปลาที่มีต้นกำเนิดในยุโรป จัดอยู่ในวงศ์ปลาแซลมอน ปลาสายพันธุ์นี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า ปลาเทราต์ทะเล โดยปกติพวกมันจะอาศัยอยู่ในน้ำทะเล แต่ในฤดูวางไข่พวกมันจะว่ายทวนแม่น้ำขึ้นมาวางไข่ในแหล่งนี้สะอาดเท่านั้น ปราเทราต์ทะเลในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์นั้นมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไปตามภูมิภาค เช่นในเวลส์เรียกว่า เซวิน, ในสก็อตแลนด์เรียกว่า ฟินน็อก, ภาคตะวันตกเรียกว่า พีล, ภาคตะวันตกเฉียงเหนือเรียกว่า มอร์ท และในไอร์แลนด์เรียกว่า ไวต์เทราต์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปลาเศรษฐกิจที่ผู้คนนิยมรับประทาน ปลาเทราต์สีน้ำตาลนั้น มีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติตั้งแต่ตอนเหนือของนอร์เวย์และบริเวณโดยรอบทะเลขาวของรัสเซียในมหาสมุทรอาร์กติก ไปจนถึงเทือกเขาแอตลาสในแอฟริกาตอนเหนือ ทา ตะวันตกมีการกระจายพันธุ์ไม่เกินไปกว่าไอซ์แลนด์ในแอตแลนติกตอนเหนือ ในขณะที่ทางตะวันออกมีการกระจายพันธุ์ไม่เกินไปกว่าบริเวณทะเลอารัลในอัฟกานิสถานและปากีสถาน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเทราต์สีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเทวดา

ปลาเทวดา (Angelfish) เป็นปลาน้ำจืดในสกุล Pterophyllum (/เทอ-โร-ฟิล-ลั่ม/; เป็นภาษาละตินแปลว่า "ครีบใบไม้" ซึ่งหมายถึง ลักษณะรูปร่างลำตัวที่คม) ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามกันอย่างหลากหล.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเทวดา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเทวดาสกาแลร์

ปลาเทวดาสกาแลร์ หรือที่นิยมเรียกกันว่า ปลาเทวดา (Angelfish, Freshwater angelfish, Lesser angelfish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) เป็นปลาเทวดาชนิดที่รู้จักกันดีที่สุด เนื่องจากเป็นต้นสายพันธุ์ของปลาเทวดาทั้งหมดที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม โดยปลาเทวดาสกาแลร์มีสีลำตัวเป็นสีเทาอมเขียวและมีประกายสีเงินเคลือบทับทั่วตัว ปลาที่พบในบางแหล่งจะมีจุดสีแดงเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณไหล่ บริเวณหลังจะเป็นสีน้ำตาลเขียวมะกอก เมื่อต้องแสงไฟหรือแสงแดดจะเห็นประกายสีน้ำตาลแดงแวววาว มีโครงสร้างลำตัวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบนข้างมากโดยส่วนยาวจากปลายปากถึงโคนหางจะยาวกว่าแนวตั้งของลำตัวเล็กน้อย แถวเกล็ดจากขอบเหงือกลากยาวไปจรดครีบหางมีทั้งสิ้น 33-38 เกล็ด ลายบนตัวจะเป็นเส้นคาดแนวตั้งใหญ่จำนวนสี่เส้นเห็นได้ชัดเจน และจะมีเส้นเล็ก ๆ ที่สั้นและจางกว่าคั่นแต่ละเส้นใหญ่นั้นอีกรวม 3 เส้น เส้นทุกเส้นจะเป็นสีดำหรือเทาแก่ เส้นที่ดำและเข้มสุดจะเป็นเส้นคาดเอว (เส้นที่ 5) ที่ลากจากยอดครีบบนลงมาจรดปลายครีบล่าง ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 6 นิ้ว พบกระจายพันธุ์อยู่เป็นฝูง ตามแหล่งน้ำของแม่น้ำสายใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้ อาทิ แม่น้ำอเมซอน, แม่น้ำโอริโนโค โดยเฉพาะในแหล่งน้ำที่มีพืชน้ำขึ้นหนาแน่น และสภาพความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ตั้งแต่ 6.0-7.5 ซึ่งน้ำจะมีสภาพความเป็นกรดเล็กน้อย ปลาเทวดาสกาแลร์ นับเป็นปลาเทวดาชนิดที่เป็นที่รู้จักและนิยมเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายที่สุด ซึ่งปัจจุบันได้มีการเพาะขยายพันธุ์ไปต่าง ๆ จนมีสีสันและลวดลายผิดแผกไปจากปลาดั้งเดิมในธรรมชาติมากมาย อาท.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเทวดาสกาแลร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเทวดาอัลตั้ม

ปลาเทวดาอัลตั้ม (Altum angelfish, Deep angelfish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จำพวกปลาเทวดา ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีลักษณะทั่วไปเหมือนปลาเทวดาชนิดอื่น ๆ แต่มีความแตกต่างออกไป คือมีความสูงของลำตัวเมื่อโตได้เต็มที่ถึง 15 นิ้ว ขณะที่ความยาวจากหัวถึงหางเพียง 8 นิ้วเท่านั้น จึงจัดเป็นปลาเทวดาชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีส่วนหน้าผากที่ลาดกว่าชนิดอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด มีพื้นลำตัวสีเทาอมเขียวและมีประกายสีเงินเคลือบทับทั่วตัว และมีลายเส้นสีดำจนหรือสีน้ำตาลไหม้พาดลำตัวเป็นแนวตั้งกลมกลืนกับจุดบนลำตัวก็ได้ โดยเส้นที่ยาวสุดจะเป็นเส้นที่ 5 ซึ่งเป็นเส้นบริเวณโคนหาง กระจายพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำอเมซอน, ตอนเหนือของแม่น้ำโอริโนโก และตอนเหนือของแม่น้ำริโอเนโกร ในประเทศโคลัมเบีย และเวเนซุเอลา ในลุ่มน้ำที่มีพืชไม้น้ำขึ้นหนาแน่น สภาพน้ำมีความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ตั้งแต่ 4.8-6.2 ปลาเทวดาอัลตั้ม ในระยะแรกนิยมเรียกกันว่า "ปลาเทวดาป่้า" หรือ"ปลาเทวดายักษ์" นอกจากนี้ยังมีอีกชื่อเรีัยกหนึ่งว่า "ปลาเทวดาอัลตั้มโคลัมเบีย" เป็นปลาเทวดาที่นิยมเลี้ยงกัน โดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ มีความสวยงาม แต่เป็นปลาที่เพาะขยายพันธุ์ได้ยากและเลี้ยงยากกว่าปลาเทวดาชนิดอื่น เนื่องจากมีความเปราะบางมากต่อสภาพแวดล้อมและสภาพน้ำ จึงมีราคาซื้อขา่ยที่สูงสุดในบรรดาปลาเทวดาทั้งหมด ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่สามารถเพาะขยายพันธุ์จนส่งออกขายได้ คือ ญี่ปุ่น และไต้หวัน ขณะที่ในผู้เลี้ยงบางคน ปลาที่เลี้ยงไว้อาจออกไข่ในตู้ได้ โดยปลาจะวางไข่ติดกับวัตถุใต้น้ำที่มีลักษณะค่อนข้างมั่นคงแข็งแรง เช่น ใบของพืชน้ำ การวางไข่แต่ละครั้งประมาณ 300-1,000 ฟอง ใช้เวลาฟักเป็นตัวราว 36 ชั่วโมง ปลาที่พร้อมจะผสมพันธุ์และวางไข่ได้มีอายุตั้งแต่ 8-10 เดือนขึ้นไป.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเทวดาอัลตั้ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเทวดาจมูกยาว

ปลาเทวดาจมูกยาว หรือ ปลาเทวดาหน้ายาว (Longnose angelfish, Leopold's angelfish) ปลาน้ำจืดจำพวกปลาเทวดาชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) ปลาเทวดาจมูกยาว มีลักษณะแตกต่างไปจากปลาเทวดาชนิดอื่น ๆ คือ มีส่วนลาดของหน้าผากยื่นยาวมากกว่าปลาเทวดาทั่วไปโดยเฉลี่ย นอกจากนี้ยังมีจุดใหญ่สีเข้มบนเส้นที่สี่ที่คาดลำตัวโดยบางตัวก็จะอยู่บริเวณติดกับครีบบน และลายเส้นเล็กที่อยู่ระหว่างเส้นใหญ่คาดตา และเส้นใหญ่คาดอกนั้น จะเป็นเส้นเล็กจาง ๆ 2 เส้น แทนที่จะเป็นเส้นจางเส้นเดียวเหมือนปลาเทวดาชนิดอื่น ตามลำตัวมีเหลือบเลื่อมสีฟ้าเปล่งประกายทั่วทั้งตัว พื้นลำตัวมีจุดประสีส้มกระจายไปทั่วทั้งบริเวณช่วงเอวไปถึงหาง และส่วนหน้าคือจากหัวจนถึงหน้าอกจะเป็นสีเขียวเหลือบน้ำเงิน บริเวณเส้นย่อยระหว่างเส้นคาดอก และเส้นคาดเอว จะมีจุดเล็ก ๆ หงิกงอ บริเวณแถบครีบบนต่อลำตัว ครีบต่าง ๆ ทั้งครีบบน และครีบล่างสั้นกว่าปลาเทวดาชนิดอื่น ทำให้แลดูตัวสั้นม่อต้อ บอบบางกว่าปลาเทวดาชนิดอื่น มีความยาวเต็มที่ประมาณ 10 เซนติเมตร (4 นิ้ว) พบกระจา่ยพันธุ์ในลุ่มแม่น้ำอเมซอนและสาขา ในทวีปอเมริกาใต้ มักอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่สภาพน้ำมีความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ประมาณ 5-5.5 เป็นปลาเทวดาที่ไม่ค่อยได้ัรับความนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอย่างกว้างขวางเหมือนปลาเทวดาชนิดอื่น จึงมีราคาขายที่แพงกว่าปลาเทวดาทั่วไป.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเทวดาจมูกยาว · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเทโพ

ปลาเทโพ (Black ear catfish) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) มีส่วนหัวและจะงอยปากมน ปากอยู่ค่อนไปทางด้านล่าง รูปร่างป้อมสั้น ปลาขนาดใหญ่มีลำตัวส่วนท้องลึก ปลายครีบหลัง ครีบท้อง ครีบอก ครีบท้อง และครีบก้นยื่นเป็นเส้นยาวเรียว มีแต้มสีดำเห็นชัดเจนที่ฐานครีบอก ตัวมีสีเทาคล้ำอมน้ำตาล ด้านข้างมีสีเทาจาง ด้านท้องสีจางอมชมพู ครีบสีจาง ครีบก้นมีแถบสีคล้ำตามยาว ครีบหางมีแถบสีคล้ำทั้งตอนบนและตอนล่าง มีขนาดประมาณ 50 เซนติเมตร ใหญ่สุดได้ถึง 1.5 เมตร ปลาขนาดเล็กกินแมลง ปลาขนาดใหญ่กินพืช เช่น ผลไม้, เมล็ดพืช, ปลา, หอย, แมลง ตลอดจนถึงซากสัตว์ อาศัยอยู่ในแม่น้ำสายใหญ่และสาขาทั่วประเทศ โดยมักรวมฝูงกับปลาสวาย (P. hypophthalmus) ด้วย ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน เป็นปลาที่นิยมบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำมาปรุง "แกงเทโพ" มีการเพาะเลี้ยงในประเทศไทยมานานกว่า 50 ปี และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "หูหมาด", "หูดำ" หรือ "ปึ่ง" ในภาษาเหนือ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเทโพ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเขือ

ปลาเขือ หรือ ปลาบู่เขือ (Worm goby, Eel goby) เป็นปลากระดูกแข็งสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาบู่ (Gobiidae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Taenioides (มาจากภาษาละตินคำว่า "taenia" หมายถึง "ริ้ว" หรือ "ลาย" และภาษากรีก (οιδες) "oides" หมายถึง "คล้ายกับ") มีรูปร่างทั่วไป ลำตัวยาวเรียวยาวคล้ายงูหรือปลาไหล แบนข้าง และเป็นสีชมพูโดยตลอด ตามีขนาดเล็กมาก อาศัยอยู่ในรูบริเวณปากแม่น้ำที่มีพื้นเป็นเลน เป็นปลาที่สามารถรับประทานได้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเขือ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเขียวพระอินทร์

ำหรับเขียวพระอินทร์อย่างอื่น ดูที่: งูเขียวพระอินทร์ ปลาเขียวพระอินทร์ (Moon wrasse, Cressent wrasse) ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลานกขุนทอง (Labridae) มีลำตัวยาวรี แบนข้าง พื้นลำตัวสีเขียวตลอดทั้งตัว มีริ้วสีน้ำเงินพาดขวางตลอดตัว บริเวณส่วนหัวมีแถบลวดลายสีม่วงแดง ครีบหางใหญ่สีเหลือง ปลายขอบบนและล่างเป็นสีแดง อาศัยอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ประมาณ 2-10 ตัว ตามแนวปะการังในแถบอินโด-แปซิฟิก เมื่อขนาดยังเป็นปลาวัยอ่อนจะมีพื้นสีน้ำตาลแดงที่บริเวณกลางครีบหลังและโคนครีบหางมีจุดกลมใหญ่สีดำ มีขนาดโตเต็มที่ 30 เซนติเมตร แต่ขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 25 เซนติเมตร หากินสัตว์น้ำขนาดเล็กตามพื้นทะเล รวมทั้งไข่ของปลาชนิดอื่น เป็นปลาที่สามารถเปลี่ยนแปลงสีและเพศได้ใน​ช่วงการเจริญเติบโต​ โดยมากจะมีการเปลี่ยนเพศระหว่างการเจริญเติบโต​จาก​ปลา​เพศเมีย​เป็น​ปลา​เพศ​ผู้.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเขียวพระอินทร์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเขี้ยวก้าง

ปลาเขี้ยวก้างหรือปลาสตอปไลต์ลูสจอว์ (Stoplight loosejaw) เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก มีรูปร่างคล้ายปลาฉลาม โดยชื่อ สตอปไลต์ มาจาก Stoplight ซึ่งหมายถึงสัญญาณไฟจราจรนั่นเอง จะสามารถพบพวกมันได้มากที่ความลึก500เมตรลงไป พวกมันอยู่ในสกุล Aristostomias และ Pachystomias และมันสามารถเรืองแสงได้โดยแสงของมันนั้นจะมีแสงสีส้มหรือสีแดง และพวกมันยังมีเอกลักษณ์เฉพาะในหมู่สัตว์ที่ใช้คลอโรฟิลล์อนุพันธ์เพื่อรับรู้แสงสีแดงได้ด้วย ชื่อวิทยาศาสตร์ของมันนั้นมาจากภาษากรีกโดย malakos ความหมาย "อ่อน" และ osteon แปลว่า "กระดูก"ส่วนสาเหตุที่ใช้ชื่อนี้ก็มาจากขากรรไกรของมันที่ดูผิดปกติขากปลาอื่นๆนั้นเอง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเขี้ยวก้าง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเข็ม

ปลาเข็ม (Wrestling halfbeak) เป็นชื่อสกุลของปลาน้ำจืดและปลาน้ำกร่อยขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dermogenys อยู่ในวงศ์ปลาเข็ม (Hemiramphidae) มีลักษณะสำคัญทางอนุกรมวิธานคือ ครีบหางตัดตรงหรือเป็นทรงกลม จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่หลังจุดเริ่มต้นของครีบก้น จำนวนก้านครีบแขนงของครีบหลังน้อยกว่าก้านครีบแขนงของครีบก้น ในปลาตัวผู้ครีบก้นส่วนหน้าจะเปลี่ยนเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นปลาที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินแมลงเป็นอาหารหลัก ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ แต่ตัวผู้จะทำหน้าที่เป็นจ่าฝูง ออกลูกเป็นตัว ในตัวผู้มีพฤติกรรมก้าวร้าวมักใช้ปลายปากที่แหลมคมนี้ทิ่มแทงใส่กันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งจากพฤติกรรมนี้ได้มีผู้นำเอามาเพาะเลี้ยงเพื่อใช้ต่อสู้กันเป็นการพนันและการละเล่นพื้นบ้านอย่างหนึ่ง ซึ่งเรียกกันว่า "ปลาเข็มหม้อ" เช่นเดียวกับปลากัด พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแหล่งน้ำต่าง ๆ ของทวีปเอเชีย ทั้ง เอเชียอาคเนย์ไปจนถึงแหลมมลายู และเกาะสุมาตรา พบทั้งหมด 12 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเข็ม · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเข็มหม้อ

ปลาเข็มหม้อ (Wrestling halfbeak, Malayan halfbeak, Pygmy halfbeak) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dermogenys pusilla ในวงศ์ปลาเข็ม (Hemiramphidae) มีรูปร่างเรียวยาว ริมฝีปากล่างคือส่วนที่ยื่นยาวออกมาเหมือนปลายเข็ม อันเป็นที่มาของชื่อ ส่วนริมฝีปากบนมีขนาดเล็กเป็นรูปสามเหลี่ยมใช้สำหรับจับเหยื่อและต่อสู้ป้องกันตัวระหว่างปลาพวกกันเดียวเอง โดยมักจะพุ่งแทงกัน มีครีบอกขนาดใหญ่และแข็งแรง ทำให้สามารถกระโดดจับแมลงที่อยู่เหนือผิวน้ำเป็นอาหารได้ นอกจากนี้แล้วยังมีสายตาที่แหลมคม สามารถมองเห็นวัตถุที่เหนือน้ำได้ดีกว่าปลาชนิดอื่น ๆ นิยมอยู่กันเป็นฝูง ๆ ประมาณ 8-10 ตัว โดยมีตัวผู้เป็นจ่าฝูงเพียงตัวเดียว ปลาตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้อย่างเห็นได้ชัด เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว ครั้งละไม่เกิน 30 ตัว เป็นปลาขนาดเล็ก ความยาวเต็มที่ประมาณ 8 เซนติเมตร พบได้ตามแหล่งน้ำนิ่งเช่น ท้องร่วงสวนผลไม้ทั่วประเทศไทย ในต่างประเทศพบได้ตั้งแต่บังกลาเทศจนถึงคาบสมุทรมลายูและอินโดนีเซีย ปลาเข็มชนิดนี้ คนไทยนิยมเพาะเลี้ยงกันมานานแล้วเพื่อใช้สำหรับต่อสู้กันเพื่อการพนัน คล้ายกับปลากัด โดยจะเพาะเลี้ยงกันในหม้อดินจึงเรียกกันว่า "ปลาเข็มหม้อ" โดยจะมีรูปร่างและขนาดที่ใหญ่กว่าปลาที่พบในธรรมชาติ สำหรับปลาที่ออกสีขาวจะเรียกว่า "ปลาเข็มเผือก" หรือ "ปลาเข็มเงิน" และปลาที่มีสีออกสีทองจะเรียกว่า "ปลาเข็มทอง".

ใหม่!!: สัตว์และปลาเข็มหม้อ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเข็มงวง

ปลาเข็มงวง หรือ ปลาเข็มช้าง (Forest halfbeak) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hemirhamphodon pogonognathus อยู่ในวงศ์ปลาเข็ม (Hemiramphidae) มีรูปร่างโดยรวมคล้ายกับปลาทั่วไปในวงศ์เดียวกัน แต่มีปากล่างงอม้วนลงคล้ายงวงช้าง จึงเป็นที่มาชื่อเรียก ครีบหลังมีฐานยาวเป็นสองเท่าของฐานครีบก้น มีฟันที่ปากล่างตลอดทั้งปาก ลำตัวสีเหลืองอ่อนปนน้ำตาลอมชมพู ครีบหางสีแดงมีขอบสีขาว ครีบหลังสีแดงมีขอบสีดำ ครีบท้องกับครีบก้นสีแดง ครีบอกมีสีแดงจาง ๆ มีขนาดความยาวลำตัวที่ประมาณ 10 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในประเทศไทยเฉพาะที่ป่าพรุโต๊ะแดง ในจังหวัดนราธิวาสเท่านั้น และพบได้ในป่าพรุจนถึงแหลมมลายู มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินบริเวณผิวน้ำ โดยกินแมลงที่ตกลงในน้ำเป็นอาหารหลัก นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม ที่ไม่ค่อยจะได้พบบ่อยนักในตลาดปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเข็มงวง · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเข็มป่า

ปลาเข็มป่า หรือ ปลาเข็มช้าง (Forest halfbeak) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดจำพวกหนึ่ง ใช้ชื่อว่า Hemirhamphodon (/เฮม-อิ-แรม-โฟ-ดอน/) อยู่ในวงศ์ปลาเข็ม (Hemiramphidae) มีลักษณะสำคัญทางอนุกรมวิธาน คือ ลำตัวยาวปานกลาง ครีบหลังอยู่ด้านหน้าครีบก้น ฐานของครีบหลังยาวเป็นสองเท่าของครีบก้น ครีบหางมนกลม ฟันเป็นทรงกรวยปลายแหลม มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 10 เซนติเมตร พบได้ตั้งแต่ภาคใต้ของประเทศไทยในป่าพรุ ไปตลอดจนถึงแหลมมลายู มีทั้งหมด 9 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเข็มป่า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเฉลียบ

ปลาเฉลียบ,ราชบัณฑิตยสถาน.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเฉลียบ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเฉา

ปลาเฉา (Grass Carp) หรือ เฉาฮื้อ หรือ ปลากินหญ้า เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) และเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Ctenopharyngodon มีรูปร่างยาวทรงกระบอก ส่วนหัวเล็กและกลมมน ในช่องคอมีฟันที่แข็งแรง ไม่มีหนวด ครีบหลังและครีบก้นค่อนข้างเล็กไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบหางเว้าลึก เกล็ดค่อนข้างใหญ่ ลำตัวด้านบนมีสีคล้ำหรือสีน้ำตาลอมทอง ครีบสีคล้ำ ด้านท้องสีจาง บริเวณฐานของเกล็ดบนของลำตัวส่วนมากมีสีคล้ำ ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 1 เมตร แต่โดยเฉลี่ยจะยาวประมาณ 50-70 เซนติเมตร ตัวผู้ในช่วงเจริญพันธุ์จะปรากฏตุ่มคล้ายสิวขึ้นมาที่ครีบอก และก้านครีบด้านในที่เป็นหยัก หัวและหน้าผาก มีการกระจายพันธุ์ในบริเวณแม่น้ำอามูร์ทางภาคตะวันออกของจีนและรัสเซีย กินอาหารจำพวกหญ้าและพืชน้ำทุกชนิด โดยมักจะหากินตามก้นแม่น้ำ ปัจจุบัน ถือเป็นปลาเศรษฐกิจตัวหนึ่งที่สำคัญ เนื่องจากมีการนำเข้าและเพาะเลี้ยงกันไปในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เช่นเดียวกับปลาในสกุล Hypophthalmichthys รวมถึงเป็นปลาที่นิยมในการตกปลาอีกด้วย ซึ่งจะมีชื่อเรียกรวม ๆ กันในภาษาไทยว่า "ปลาจีน" สำหรับในประเทศไทย ได้นำเข้ามาทางเรือสำเภาโดยชาวจีนผ่านทางฮ่องกง ในปี พ.ศ. 2465 โดยได้ถูกนำเข้ามาเลี้ยงอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นอาหาร ต่อมากรมประมงได้ทดลองเพาะขยายพันธุ์ด้วยการฉีดฮอร์โมนจนสำเร็จในปี พ.ศ. 2509 จึงได้มีการขยายพันธุ์ปลาชนิดนี้ในประเทศได้สำเร็จจนถึงปัจจุบัน โดยที่ปลาจะไม่ไข่เองตามธรรมชาติแต่จะเกิดจากการฉีดฮอร์โมนกระตุ้น.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเฉา · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเฉี่ยวหิน

ปลาเฉี่ยวหิน หรือ ปลาเฉี่ยว หรือ ปลาผีเสื้อเงิน หรือ ปลาโสร่งแขก (Silver moony) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Monodactylus argenteus อยู่ในวงศ์ปลาเฉี่ยว (Monodactylidae) มีรูปร่างแบนข้างมาก ลำตัวป้อมสั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยม ครีบหลังและครีบก้นยื่นยาว ผิวลำตัวสีเงินเหลือบเป็นประกายแวววาว เกล็ดมีขนาดเล็กละเอียด ครีบหลังสีเหลืองมีลายคาดสีดำตามขวางผ่านตาและบริเวณขอบแผ่นปิดเหงือก ปากเล็กและเฉียงขึ้นบน หัวเล็ก ดวงตากลมโต สามารถโตได้ถึง 13 นิ้ว แต่โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 8 นิ้ว มีนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ตามแนวปะการังใกล้ชายฝั่งในเขตอบอุ่น มีการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวาง โดยพบตั้งแต่ทะเลแดง, แอฟริกาตะวันออก, ซามัว ไปจนถึงนิวแคลิโดเนียจนถึงออสเตรเลีย สามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อยและน้ำจืดสนิทได้เป็นอย่างดี เป็นปลาที่มีความสวยงามอีกชนิดหนึ่ง และความสามารถที่ปรับตัวในน้ำจืดได้ จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยมีชื่อเรียกในวงการปลาสวยงามว่า "บอร์เนียว" หรือ "เทวดาบอร์เนียว" เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายปลาเทวดา ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในสถานที่เลี้ยง โดยแม่ปลาจะวางไข่ได้ทั้งปี โดยการแบ่งเพศจะไม่สามารถทำได้ จนกว่าจะถึงฤดูผสมพันธุ์ โดยสังเกตคร่าว ๆ ว่า ปลาเพศเมียนั้นจะมีขนาดใหญ่ปลาเพศผู้ และช่องท้องจะอูมกว่า ช่องเพศจะเต่งตึงขณะกำลังตั้งท้อง โดยจะเพาะได้ในบ่อดิน การรวบรวมไข่จะกระทำได้ต่อเมื่อถ่ายน้ำ โดยใช้วัสดุตาข่ายที่มีความละเอียดกรอง.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเฉี่ยวหิน · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเซลฟินยักษ์

ปลาเซลฟินยักษ์ (Giant sailfin, Mexican sailfin molly, Yucatan molly) ปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliidae) มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับปลาในวงศ์นี้ทั่วไป กล่าวคือ เป็นปลาผิวน้ำ อยู่รวมกันเป็นฝูง ตัวผู้มีขนาดลำตัวเล็ก แต่มีครีบรวมทั้งสีสันต่าง ๆ สดสวยกว่าตัวเมีย กินอาหารขนาดเล็ก เช่น ลูกน้ำ, ไรแดง, แมลงน้ำขนาดเล็ก รวมถึงพืชน้ำอย่างตะไคร่น้ำหรือสาหร่ายด้วย ปลาเซลฟินยักษ์ มีลักษณะเหมือนกับปลาเซลฟิน (P. latipinna) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันมาก คือมีครีบหลังสูงใหญ่เหมือนใบเรือเหมือนกัน แต่ปลาเซลฟินยักษ์มีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่า โดยสามารถยาวได้ถึง 12-20 เซนติเมตร รวมถึงมีครีบหลังที่ใหญ่กว่า และมีก้า่นครีบอ่อน 16-19 ก้าน ขณะที่ปลาเซลฟินมีก้านครีบอ่อนน้อยกว่า คือ 13-14 ก้าน พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำทั่วไปทั้งน้ำจืด, น้ำกร่อย และตามชายฝั่งของเม็กซิโก และคาบสมุทรยูคาทาน เป็นปลาในวงศ์นี้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเซลฟินยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเป้า

ปลาเป้า (ປາເປົ້າ) เป็นสกุลของปลาปักเป้าสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ (Tetraodontidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Pao (/เป้า/) ซึ่งหมายถึง "ถุง" หรือ "กระเป๋า" ในภาษาไทยหรือภาษาลาว โดยทั่วไปแล้วหมายถึง "ปลาปักเป้า" ทั้งในภาษาไทยและภาษาลาว ("เป้า" เป็นคำที่ใช้เรียก ปลาปักเป้าในภาษาอีสาน) โดยปลาปักเป้าในสกุลนี้ เป็นปลาปักเป้าขนาดเล็กอาศัยอยู่ในน้ำจืดหรือน้ำกร่อยในบางชนิด พบมากในแหล่งน้ำต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคอีสานของไทยและลาว ในช่วงฤดูวางไข่ ปลาจะดุร้ายก้าวร้าวมากเป็นพิเศษ เนื่องจากหวงแหนไข่ จะกัดหรือทำร้ายผู้ที่บุกรุกถิ่นที่อยู่หรือถิ่นวางไข่ ไม่เว้นแม้กระทั่งมนุษย์ โดยปลาขนาด 20 เซนติเมตร จะกัดด้วยฟันอันแหลมคมเป็นแผลกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเป้า · ดูเพิ่มเติม »

ปลาเนื้ออ่อน

ปลาเนื้ออ่อน (Sheatfishes) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในอันดับปลาหนัง (Siluriformes) ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Siluridae) ใช้ชื่อสกุลว่า Phalacronotus ปลาในสกุลนี้มีลักษณะเด่น คือ ไม่มีครีบหลัง จัดเป็นปลาขนาดกลางเมื่อเทียบกับสกุลอื่นในวงศ์นี้ เป็นปลาที่ใช้เพื่อการบริโภคกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในอาหารไทย เดิมเคยจัดให้อยู่ในสกุล Micronema แต่ปัจจุบันได้แยกออกม.

ใหม่!!: สัตว์และปลาเนื้ออ่อน · ดูเพิ่มเติม »

ปลิง

ปลิง (Aquatic Leech) และ ทากดูดเลือด (Land Leech) จัดอยู่ในไฟลัมแอนเนลิดา ลักษณะลำตัวเป็นข้อปล้องและยืดหยุ่น ชอบอยู่ในน้ำนิ่งตามหนอง (สำหรับปลิง) และอยู่ตามพื้นที่ชื้นแฉะเช่นบริเวณป่าดงดิบเขตร้อน (สำหรับทากดูดเลือด) ดำรงชีพโดยการดูดเลือดสัตว์อื่น รวมทั้งเลือดมนุษย์เป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และปลิง · ดูเพิ่มเติม »

ปลิงทะเล

ปลิงทะเล (sea cucumber) เป็นสัตว์ทะเลที่ไร้กระดูกสันหลังชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในตระกูลเอคไคโนเดิร์ม ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับดาวทะเลและหอยเม่น เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีรูปร่างกลมยาว คล้ายไส้กรอกขนาดใหญ่ ปลายทั้งสองข้างเป็นช่องเปิดของปากและทวาร ผิวหนังส่วนนอกคล้ายเนื้อยืดหยุ่นได้ ภายในผิวหนังมีตุ่มเม็ดหินปูนกระจายอยู่ทั่วไปตามผิวนอกมีติ่งเนื้อเล็ก ๆ คล้ายหนวดสั้น ๆ เรียงอยู่เป็นแถว ทำหน้าที่ช่วยในการหายใจและเคลื่อนไหว ปากของปลิงทะเลอยู่ตอนปลายสุดด้านที่มีหนวดลักษณะคล้ายต้นไม้ล้อมรอบ ทำหน้าที่ในการหาอาหาร โดยใช้หนวดขุดโคลนตมหน้าดินเข้าปากผ่านเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร และกากที่เหลือจะถ่ายออกทางช่องก้นซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ทวารของปลิงทะเลเป็นช่องเล็ก ๆ ทำหน้าที่ในการขับถ่ายของเสีย หายใจ เป็นทางออกของเชื้ออสุจิ ปลิงมีสารพิษ โฮโลทูลิน ซึ่งปล่อยออกทางผิวหนัง ใช้ในการป้องกันอันตรายจากปลาและปู ถ้าหากนำปลิงทะเลไปใส่ในตู้เลี้ยงปลามันจะปล่อยสารพิษดังกล่าวออกมามากจนทำให้ปลาตายได้ ถิ่นอาศัย พบตามพื้นทะเลที่เป็นทรายปนโคลนใน อ่าวไทยและทะเลอันดามัน อาหาร กินอินทรีย์วัตถุตามพื้นดินโคลนและทราย ขนาด มีความยาวประมาณ 30–40 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และปลิงทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ปลิงแดงยักษ์กีนาบาลู

ปลิงแดงยักษ์กีนาบาลู (Kinabalu giant red leech) เป็นปลิงขนาดใหญ่ ยาวไม่เกิน 30 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และปลิงแดงยักษ์กีนาบาลู · ดูเพิ่มเติม »

ปะการัง

ปะการัง หรือ กะรัง เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเล จัดอยู่ในชั้นแอนโธซัวและจัดเป็นพวกดอกไม้ทะเล มีขนาดเล็กเรียกว่าโพลิฟ แต่จะอาศัยรวมกันอยู่เป็นโคโลนีที่ประกอบไปด้วยโพลิฟเดี่ยว ๆ จำนวนมาก เป็นกลุ่มที่สร้างแนวปะการังที่สำคัญพบในทะเลเขตร้อนที่สามารถดึงสารแคลเซียมคาร์บอเนตจากน้ำทะเลมาสร้างเป็นโครงสร้างแข็งเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยได้ หัวของปะการังหนึ่ง ๆ โดยปรกติจะสังเกตเห็นเป็นสิ่งมีชีวิตเดี่ยวๆอันหนึ่ง แต่ที่จริงนั้นมันประกอบขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตเดี่ยวๆขนาดเล็กนับเป็นพัน ๆ โพลิฟโดยในทางพันธุ์ศาสตร์แล้วจะเป็นโพลิฟชนิดพันธุ์เดียวกันทั้งหมด โพลิฟจะสร้างโครงสร้างแข็งที่มีลักษณะเฉพาะของปะการังแต่ละชนิด หัวของปะการังหนึ่งๆมีการเจริญเติบโตโดยการสืบพันธุ์แบบไม่ใช้เพศของโพลิฟเดี่ยวๆ แต่ปะการังก็สามารถสืบพันธุ์ออกลูกหลานโดยการใช้เพศกับปะการังชนิดเดียวกันด้วยการปล่อยเซลล์สืบพันธุ์พร้อม ๆ กันตลอดหนึ่งคืนหรือหลาย ๆ คืนในช่วงเดือนเพ็ญ แม้ว่าปะการังจะสามารถจับปลาและสัตว์เล็ก ๆ ขนาดแพลงตอนได้โดยใช้เข็มพิษ (เนมาโตซิสต์) ที่อยู่บนหนวดของมัน แต่ส่วนใหญ่แล้วปะการังจะได้รับสารอาหารจากสาหร่ายเซลล์เดียวที่สังเคราะห์แสงได้ที่เรียกว่าซูแซนทาลา นั่นทำให้ปะการังทั้งหลายมีการดำรงชีวิตที่ขึ้นตรงต่อแสงอาทิตย์และจะเจริญเติบโตได้ในน้ำทะเลใสตื้น ๆ โดยปรกติแล้วจะอาศัยอยู่บริเวณที่มีความลึกน้อยกว่า 60 เมตร ปะการังเหล่านี้ถือว่าเป็นผู้สร้างโครงสร้างทางกายภาพของแนวปะการังที่พัฒนาขึ้นมาในทะเลเขตร้อนและเขตกึ่งร้อนอย่างเช่นเกรตแบริเออร์รีฟบริเวณนอกชายฝั่งของรัฐควีนส์แลนด์ของประเทศออสเตรเลีย แต่ก็มีปะการังบางชนิดที่ดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับสาหร่ายเนื่องจากอยู่ในทะเลลึกอย่างในมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ปะการังสกุล “โลเฟเลีย” ที่อยู่ได้ในน้ำเย็นๆที่ระดับความลึกได้มากถึง 3000 เมตร ตัวอย่างของปะการังเหล่านี้สามารถพบได้ที่ดาร์วินมาวด์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเคพแวร็ธในสก๊อตแลนด์ และยังพบได้บริเวณนอกชายฝั่งรัฐวอชิงตันและที่หมู่เกาะอะลูเชียนของอะแลสก.

ใหม่!!: สัตว์และปะการัง · ดูเพิ่มเติม »

ปัจจัยสี่

ปัจจัยสี่ เป็นสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่นคอมพิวเตอร์ รถยนต์ ไฟฟ้า โทรศัพท์ เป็นต้น โดยปัจจัยทั้งสี่อย่างนี้มนุษย์ไม่สามารถขาดได้ เพราะเมื่อขาดแล้วอาจส่งผลต่อการดำเนินชีวิต ปัจจัยสี่ประกอบไปด้วย 4 ปัจจัยดังต่อไปนี้.

ใหม่!!: สัตว์และปัจจัยสี่ · ดูเพิ่มเติม »

ปากกาทะเล

ปากกาทะเล (Sea pens) เป็นสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในอันดับ Pennatulacea จัดเป็นแอนโธซัวอย่างหนึ่ง มีลักษณะใกล้เคียงกับปะการังอ่อน โดยแต่ละโพลิปมีหนวดจำนวน 8 เส้น โคโลนีของปากกาทะเลแต่ละชนิดมีรูปร่างแตกต่างกันออกไป บางชนิดเป็นท่อนคล้ายฝักข้าวโพด บางชนิดเป็นแท่งยาวคล้ายกิ่งไม้ก้านเดียว คล้ายแท่งปากกา อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ และบางชนิดคล้ายขนนก สีของปากกาทะเลส่วนใหญ่มีสีครีม, สีเหลืองและสีม่วงอ่อน ปากกาทะเลทุกชนิดอาศัยอยู่รวมกันเป็นโคโลนีเช่นเดียวกับกัลปังหาและปะการังอ่อน ด้านล่างเป็นด้ามใช้สำหรับฝังลงไปในทะเลที่เป็นโคลน หรือโคลนปนทราย ส่วนบนที่อยู่ของโพลิปรูปร่างเป็นทรงกระบอก สามารถยืดหดตัวจากเนื้อเยื่อของโคโลนีเพื่อจับเหยื่อ แต่ละโคโลนีมีโพลิปหรือตัวปากกาทะเลนับร้อยตัว ปากกาทะเลทุกชนิดอาศัยอยู่ตามพื้นทะเล โดยเฉพาะบริเวณที่มีกระแสน้ำไหลผ่าน เพราะโพลิปจะได้รับแพลงก์ตอนที่พัดมากับกระแสน้ำและได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ปากกาทะเลรูปขนนกมีแขนงแตกออกทางด้านข้าง มักมีปูตัวแบนขนาดเล็กอาศัยอยู่แบบเกื้อกูลกัน ส่วนใหญ่มักพบปูอาศัยกันเป็นคู่ ซึ่งปูจำพวกนี้ไม่พบอยู่อย่างอิสระตามลำพัง แต่อาศัยปากกาทะเลเป็นที่พักพิง หาอาหาร และช่วยเก็บกินเศษอินทรีย์ที่ติดอยู่ตามผิวลำตัวของปากกาทะเล จึงทำหน้าที่คล้ายแม่บ้านหรือพนักงานทำความสะอาดให้กับปากกาทะเลด้วย ปากกาทะเลมีคุณสมบัติอยู่อย่างหนึ่งคือ ความสามารถในการเรืองแสงได้ในที่มืด ซึ่งการเรืองแสงอาจเกิดเป็นบางส่วนหรือเกิดพร้อมกันทั้งโคโลนีก็ได้ เหตุนี้บริเวณพื้นทะเลบางแห่งที่มีปากกาทะเลอาศัย จึงอาจมีแสงเรืองคล้ายไฟใต้น้ำส่องสว่างด้วย เนื่องจากปากกาทะเลอาศัยอยู่ตามพื้นทะเล จึงมักติดอวนลากของชาวประมงซึ่งลากสัตว์น้ำหน้าดินขึ้นมา แต่ปากกาทะเลไม่สามารถนำมาบริโภคได้ จึงถูกนำไปทำอาหารสัตว์ปะปนกับปลาเป็ด การศึกษาตัวอย่างของปากกาทะเลจึงกระทำได้ง่ายวิธีหนึ่งคือ การเก็บจากท่าเทียบเรือประมงนั่นเอง ปากกาทะเล โดยมากเป็นสัตว์ทะเลที่มักไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก จึงมีการศึกษาน้อยมาก ในน่านน้ำไทยเชื่อว่ามีปากกาทะเลอยู่อย่างน้อย 2 ชนิด โดยแบ่งออกได้เป็น 2 อันดับย่อย มีทั้งหมด 14 วงศ์ (ดูในตาราง).

ใหม่!!: สัตว์และปากกาทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ปาดบ้าน

ปาดบ้าน เป็นปาดชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปาดโลกเก่า (Rhacophoridae) มีความสามารถปรับเปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยทั้งขาว, เหลือง, เทา, ชมพู, น้ำตาล จนถึงน้ำตาลเข้มออกดำ ปลายนิ้วทั้งหมดเป็นปุ่มกลม มีแผ่นยึดเป็นพังผืดระหว่างนิ้วเฉพาะขาหลังเท่านั้น ตีนเหนียวสามารถเกาะติดกับผนังได้ บริเวณด้านหลังระหว่างลูกตาผิวหนังจะแบนราบจนติดกับกะโหลก และมีลายเข้มคล้ายนาฬิกาทรายอยู่บนท้ายทอยพาดมาจนถึงหัวไหล่ พบได้ทั่วไปในทวีปเอเชีย ตั้งแต่บังกลาเทศ, บรูไน, กัมพูชา, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, เมียนมาร์, เนปาล, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทย, เวียดนาม และเป็นไปได้ว่าอาจมีที่ภูฏานด้วย อีกทั้งมีการนำเข้าไปในญี่ปุ่น สำหรับในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค ปาดบ้าน มีความสามารถปรับตัวได้ดีให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทั้งที่เป็นสภาพในธรรมชาติ เช่น ป่าดิบทึบ, หนองน้ำ, ทุ่งหญ้า หรือแม้กระทั่งสภาพแวดล้อมแบบในเมือง.

ใหม่!!: สัตว์และปาดบ้าน · ดูเพิ่มเติม »

ปาดเขียวตีนดำ

ปาดเขียวตีนดำ (Wallace's frog, Wallace's flying frog) เป็นปาดชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ปาดโลกเก่า (Rhacophoridae) มีขนาดความยาวลำตัว 80-100 มิลลิเมตร โดยเพศผู้จะมีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย ปาดเขียวตีนดำเป็นหนึ่งในปาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุล Rhacophorus ซึ่งตาและหูของปาดเขียวตีนดำมีขนาดใหญ่ ส่วนของขาทั้ง 4 มีขนาดยาว และบริเวณระหว่างนิ้วมีพังผืดอยู่ตลอดความยาวนิ้ว ประกอบกับบริเวณข้างลำตัวซึ่งมีผิวหนังที่สามารถยืดได้ระหว่างขาหน้าและขาหลัง ทำให้สามารถกระโดดหรือร่อนจากบนต้นไม้สูงลงสู่บริเวณพื้นที่ต่ำกว่าได้ * (2003): AmphibiaWeb -. Version of 2003-APR-12.

ใหม่!!: สัตว์และปาดเขียวตีนดำ · ดูเพิ่มเติม »

ปืน เชื้อโรค และเหล็กกล้า

ปืน เชื้อโรค และเหล็กกล้า - ชะตากรรมของสังคมมนุษย์ (Guns, Germs, and Steel: The Fates of Human Societies) เป็นหนังสือสารคดีหลายสาขาวิชาของ.ดร.

ใหม่!!: สัตว์และปืน เชื้อโรค และเหล็กกล้า · ดูเพิ่มเติม »

ปู

ปู เป็นสัตว์พวกเท้าปล้องชนิดหนึ่ง อยู่ในไฟลัมอาโทรโพดา ในอันดับฐานบราชีอูรา (Brachyura) มีลักษณะสิบขา มีหลายชนิดที่อยู่ทั้งน้ำจืดและทะเล รวมถึงอยู่แต่เฉพาะบนบก ปูจะมีกระดองซึ่งเป็นแคลเซียมแข็ง มีลักษณะสมมาตร แอบโดเมนพับลงไปอยู่ใต้กระดอง ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของอันดับฐานนี้ มีก้ามใหญ่ 1 คู่ มีขาเดิน 5 คู่ แตกออกเป็นรัศมีไปทางด้านข้างลำตัว หนวดคู่ที่ 2 อยู่ระหว่างตา ส่วนหาง ไม่มีหน้าที่ชัดเจน และไม่มีแพนหาง ปูในแนวปะการังมีหลายกลุ่มหลายรูปร่างโดยสัมพันธ์กับพฤติกรรม ปูหลายชนิดอาศัยตามพื้นทราย จะมีขาว่ายน้ำหรือกรรเชียงคล้ายปูม้า บางชนิดตัวใหญ่ มีกระดองแข็งคล้ายปูทะเล มีขาสั้นและแข็งแรงเพื่อเกาะยึดกับหิน เช่นปูใบ้ก้ามดำ ปูบางชนิดมีรูปร่างแปลกเพื่อพรางตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม บางชนิดมีสีและลักษณะกระดองเหมือนกัลปังหา ปะการังอ่อน หรือดาวขนนก ในจำนวนนี้ยังมีปูที่นำฟองน้ำหรือสาหร่ายมาติดตามตัวเพื่อใช้พรางกาย ปูกลุ่มหนึ่งที่มีวิวัฒนาการมากกว่ากลุ่มอื่นคือ ปูเสฉวนจะเปลี่ยนส่วนท้องให้นิ่มและขดงอเพื่อสามารถเข้าไปอยู่ในเปลือกหอย นำเปลือกหอยติดตัวไปด้วยตลอดเวลา ซึ่งจะจัดอยู่ในอันดับฐานปูปลอม (Anomura) ปัจจุบันปูได้รับการจำแนกไว้แล้วกว่า 6,000 ชนิด ส่วนใหญ่พบในแถบอินโด-แปซิฟิก ในประเทศไทยพบแล้วรวม 824 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปู · ดูเพิ่มเติม »

ปูก้ามดาบ

ปูก้ามดาบ หรือ ปูเปี้ยว (Fiddler crabs, Ghost crabs) เป็นปูทะเลขนาดเล็กสกุลหนึ่ง อยู่ในสกุล Uca ในวงศ์ Ocypodidae.

ใหม่!!: สัตว์และปูก้ามดาบ · ดูเพิ่มเติม »

ปูก้ามดาบก้ามขาว

ปูก้ามดาบก้ามขาว เป็นปูทะเลจำพวกปูเปี้ยวหรือปูก้ามดาบชนิดหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่หมู่เกาะรีวกีวในญี่ปุ่นจนถึงอินเดีย, พบตลอดคาบสมุทรมลายู ตลอดจนชายฝั่งของออสเตรเลียตะวันออกจากควีนส์แลนด์จนถึงนิวเซาท์เวลส์ พบได้ทั่วไปในหมู่เกาะแปซิฟิก เช่น ฟิจิ, ตองกา และวานูอาตู และพบได้ในประเทศไทย เหมือนกับปูก้ามดาบทั่วไป พบได้ตามชายหาดหรือป่าชายเลนริมทะเล ที่มีสภาพเป็นโคลนปนทราย หรือบริเวณที่เป็นปากแม่น้ำ ตัวผู้เท่านั้นที่มีก้ามข้างขวาที่ใหญ่กว่าอีกข้างอย่างเห็นได้ชัด ใช้โบกพัดแสดงความเป็นเจ้าของอาณาเขต อาศัยและหากินด้วยการขุดรู เมื่อน้ำลดจะออกมาหากิน และกลับลงรูไปเมื่อน้ำขึ้น.

ใหม่!!: สัตว์และปูก้ามดาบก้ามขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปูมะพร้าว

ปูมะพร้าวขณะอยู่บนพื้น ปูมะพร้าว (Coconut crab; ชื่อวิทยาศาสตร์: Birgus latro) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมอาร์โธรพอด เป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการมาจากปูเสฉวน และเป็นสัตว์ขาปล้องขนาดใหญ่ที่สุดที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน กิตติศัพท์ที่ว่าปูมะพร้าวสามารถเจาะลูกมะพร้าวด้วยก้ามอันทรงพลังนั้นเป็นที่รู้จักกันดี ในบางครั้งปูมะพร้าวถูกเรียกว่า ปูปล้น หรือ ปาล์มขโมย (เยอรมัน: Palmendieb) ทั้งนี้เนื่องจากปูมะพร้าวมักจะขโมยข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านที่ส่องประกาย อย่างเช่น หม้อ หรือถ้วยสแตนเลส บางคนเรียกปูมะพร้าวว่า ปูเสฉวนบก แต่อันที่จริงนอกจากปูมะพร้าวแล้ว ยังมีปูชนิดอื่นอีกที่จัดได้ว่าเป็นปูเสฉวนบกเช่นกัน นอกจากนี้ ปูมะพร้าวอาจมีชื่อเรียกต่างกันไปอีกในแต่ละที่ เช่น ที่เกาะกวม เรียกปูมะพร้าวว่า อายูยู.

ใหม่!!: สัตว์และปูมะพร้าว · ดูเพิ่มเติม »

ปูม้า

ปูม้า (Flower crab, Blue crab, Blue swimmer crab, Blue manna crab, Sand crab) จัดเป็นปูที่อาศัยอยู่ในทะเลชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในสกุล Portunus ซึ่งพบทั้งหมด 90 ชนิดทั่วโลก และพบในน่านน้ำไทยราว 19 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปูม้า · ดูเพิ่มเติม »

ปูม้า (สกุล)

ปูม้า (Swimming crab) เป็นสกุลของปูสกุลหนึ่ง ในวงศ์ปูว่ายน้ำ (Portunidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Portunus (/ปอร์-ทู-นัส/) มีลักษณะกระดองแบนราบและกว้าง ขาคู่สุดท้ายแพเป็นใบพาย ใช้สำหรับว่ายน้ำ ซึ่งจะว่ายน้ำได้ดีและเร็วมาก ปกติจะหากินในเวลากลางคืน ส่วนเวลากลางวันจะฝังตัวอยู่ใต้ทราย ในระดับความลึกประมาณ 7-30 เมตร โดยโผล่มาเพียงตาและหนวดเพื่อสังเกตการณ์ จัดเป็นปูที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เนื่องจากใช้บริโภคเป็นอาหาร เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 3 เดือน หลังจากตัวผู้ลอกคราบแล้ว สามารถออกไข่ได้ครั้งละ 120,000-2,300,000 ฟอง พบในน่านน้ำไทย 19 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และปูม้า (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ปูราชินี

ปูราชินี หรือ ปูสามสี (ชื่อวิทยาศาสตร์: Thaiphusa sirikit) เป็นปูประเภทหนึ่งพบได้ตามภูเขา ถูกพบครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2527 บริเวณจังหวัดนราธิวาส โดย นายสุรพล ดวงแข และว่าที่ ร้อยตรี พิทักษ์ ชิดเครือ ตำแหน่ง หัวหน้าหน่วยทหารพราน (กองทัพภาคที่ 4) ปูราชินีมีปากและขามีสีแดงและส้ม ก้ามมีสีขาว และกระดองมีสีน้ำเงินอมม่วง เชื่อว่าสามารถเปลี่ยนสีได้เรื่อย ๆ ตามฤดูกาล ตัวเต็มวัยมีขนาดประมาณ 12.5 มิลลิเมตร โดยทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ขออนุญาตใช้ชื่อ สิริกิติ์ เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นเกียรติและเฉลิมฉลองครบรอบ 5 รอบของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และได้พระราชทานให้ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ปัจจุบันพบเป็นปูประจำถิ่นในป่าพรุน้ำจืดบริเวณลุ่มน้ำน้อย อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ และอุทยานแห่งชาติไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี และไม่เคยมีรายงานพบที่อื่นอีกเลย มีสถานภาพเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และปูราชินี · ดูเพิ่มเติม »

ปูลม

ระวังสับสนกับ ปูทหาร ปูลม หรือ ปูผี (Ghost crab) เป็นปูทะเลขนาดเล็กในสกุล Ocypode อยู่ในวงศ์ Ocypodidae อันเป็นวงศ์เดียวกันกับปูก้ามดาบด้วย ปูลมมักถูกจำสับสนกับปูทหาร ซึ่งอยู่ในสกุล Mictyris ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ปูลมจะมีลำตัวที่ใหญ่กว่ามาก และมีกระดองเป็นรูปสี่เหลี่ยม ไม่เหมือนปูทหารที่เป็นวงกลม และมีก้านตายาว ซ้ำยังมีพฤติกรรมการหากินที่ต่างกันออกไป กล่าวคือ ปูลมจะไม่ปั้นทรายเป็นก้อนเหมือนปูทหาร แต่จะใช้ก้ามคีบอาหารจำพวกซากพืช ซากสัตว์ และอินทรีย์สารต่าง ๆ เข้าปาก และมักจะทำรูอยู่ในป่าชายเลนที่เป็นเลนมากกว่า แต่ก็มีพบบ้างที่บริเวณหาดทราย ปูลมได้ชื่อว่าในภาษาไทยเนื่องจากเป็นปูที่วิ่งได้เร็วมาก และส่วนชื่อปูผีในภาษาอังกฤษ มาจากพฤติกรรมการหากินที่มักหากินในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน ขณะที่ชื่อวิทยาศาสตร์มาจากภาษากรีกคำว่า ocy หมายถึง "เร็ว" และคำว่า ποδός หมายถึง "เท้า" รวมความแล้วหมายถึงสัตว์ที่วิ่งเร็ว ปูลมพบทั้งหมด 28 ชนิด โดยชนิดที่พบได้ในประเทศไทยได้แก่ ปูลมใหญ่ (Ocypode ceratophthalmus) และปูลมเล็ก (O. macrocera) ซึ่งมีพฤติกรรมหากินในเวลากลางวันด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และปูลม · ดูเพิ่มเติม »

ปูลมใหญ่

ปูลมใหญ่ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ปูลม (Horn-eyed ghost crab) เป็นครัสเตเชียนขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกปูลม มีขนาดใหญ่ 7-10 เซนติเมตร กระดองเป็นรูปสี่เหลี่ยม ขนาด 6-8 เซนติเมตร เป็นสีเหลืองอ่อนมีลายสีม่วงเข้ม ส่วนของตามีก้านยื่นยาว ขาเรียวยาว วิ่งได้เร็ว กินซากพืชซากสัตว์ และสัตว์ขนาดเล็กบริเวณชายหาดเป็นอาหาร ส่วนใหญ่จะออกหากินเวลากลางคืน ขุดรูอาศัยบนพื้นทรายในป่าชายหาดหรือชายหาดตอนที่น้ำท่วมไม่ถึง แพร่กระจายพันธุ์ในเขตอินโด-แปซิฟิก ตั้งแต่แอฟริกาตะวันออกจนถึงฟิลิปปินและเกรตแบร์ริเออร์รีฟ.

ใหม่!!: สัตว์และปูลมใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

ปูจักรพรรดิ

ปูจักรพรรดิ หรือ คิงแครบ (King crab, ชื่อวงศ์: Lithodidae) เป็นวงศ์ปูชนิดหนึ่ง มักพบในเขตน้ำเย็น เนื่องจากมีขนาดตัวที่ใหญ่และเนื้อมาก ประกอบกับมีรสชาติดี ทำให้ผู้คนนิยมรับประทาน จึงมีราคาค่อนข้างสูง ทั้งนี้ 90% ของปูจักรพรรดิที่ซื้อขายกันในท้องตลาดคือพันธุ์ ปูแดงจักรพรรดิ (Paralithodes camtschaticus) ที่มักจับได้ในแถบอลาสกา และ ชิลี ปล้องและกระดองของปูวงศ์นี้มีหนามอยู่ทุกส่วน แต่ความแข็งของปล้องจะน้อยกว่าปล้องของปูม้.

ใหม่!!: สัตว์และปูจักรพรรดิ · ดูเพิ่มเติม »

ปูจั๊กจั่น

ปูจักจั่น (อังกฤษ: Red Frog Crab, Spanner Crab, Kona Crab; ชื่อวิทยาศาสตร์: Ranina vanima) เป็นปูในวงศ์ Raninidae ถิ่นที่อยู่ตั้งแต่หมู่เกาะฮาวาย, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, ฟิลิปปินส์, ไทย จนไปถึงหมู่เกาะอินโดนีเซีย และ แอฟริกาตะวันออก จัดเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Ranina.

ใหม่!!: สัตว์และปูจั๊กจั่น · ดูเพิ่มเติม »

ปูทหาร

ระวังสับสนกับ ปูลม ปูทหาร (Soldier crab) เป็นปูทะเลที่อยู่ในสกุล Mictyris จัดเป็นเพียงสกุลเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์ Mictyridae.

ใหม่!!: สัตว์และปูทหาร · ดูเพิ่มเติม »

ปูทะเล

ปูทะเล (ชื่อวิทยาศาสตร์: Scylla serrata) เป็นปูชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในทะเล มีกระดองกลมรีเป็นรูปไข่ สีดำปนแดงหรือสีน้ำตาลเข้ม เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่นิยมนำมาปรุงสดเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และปูทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ปูทูลกระหม่อม

ปูทูลกระหม่อม หรือ ปูแป้ง (Mealy crab) เป็นปูน้ำจืดที่ค้นพบในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2536 ที่ป่าดูนลำพัน อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม โดยศาสตราจารย์ไพบูลย์ นัยเนตร ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ ประเทศเนเธอร์แลนด์ และเป็นปีที่ปีที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 36 พรรษา จึงขอพระราชทานชื่อว่า "ปูทูลกระหม่อม" และได้กำหนดให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ลำดับที่ 14 ของสัตว์ป่าจำพวกไม่มีกระดูกสันหลังในกฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2543).

ใหม่!!: สัตว์และปูทูลกระหม่อม · ดูเพิ่มเติม »

ปูขน (ปูก้ามขน)

ำหรับปูขนอย่างอื่นที่เป็นปูบก ดูที่: ปูไก่ ปูขน หรือ ปูก้ามขน หรือ ปูเซี่ยงไฮ้ (Chinese mitten crab, Shanghai hairy crab; 大閘蟹, 上海毛蟹; พินอิน: dà zhá xiè, shànghǎi máo xiè;; ศัพท์มูลวิทยา: Eriocheir (/โอ-ริ-โอ-เชีย/) เป็นภาษาลาตินแปลว่า "ก้ามมีขน" และคำว่า sinensis (/ไซ-เนน-ซิส/) มีความหมายว่า "อาศัยในประเทศจีน") เป็นครัสเตเชียนจำพวกปูชนิดหนึ่ง ปูขนมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน พบอาศัยอยู่ตามทะเลสาบในประเทศจีน เจริญเติบโตอยู่ในสภาพอากาศหนาว และน้ำที่เย็นจัด อุณหภูมิของน้ำต่ำกว่า 10 องศาเชลเชียส บริเวณที่พบมากและเป็นที่รู้จักกันดีคือ ทะเลสาบหยางเถิง ในมณฑลเจียงซู นอกจากนี้ยังพบในประเทศไต้หวัน และบางส่วนของคาบสมุทรเกาหลีไปจนถึงทะเลเหลือง ปัจจุบันได้แพร่กระจายไปถึงทวีปยุโรป เช่น ประเทศฟินแลนด์, สวีเดน, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, เบลเยี่ยม, เยอรมนี และบางส่วนของประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ ปูขนมีกระดองรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง 7-8 เซนติเมตร สีน้ำตาลปนเหลืองจนถึงน้ำตาลเข้ม มีขนเป็นกระจุกบนขาทุกขาซึ่งถือเป็นลักษณะเด่น ขาเดินคู่แรกเป็นก้ามหนีบ ขาเดินที่เหลืออีก 4 คู่ มีลักษณะเรียวยาว ไม่เป็นใบพาย กระดองส่วนหน้าไม่เรียบ มีตุ่มทู่ ๆ เรียงกัน 2 แถว แถวแรกมี 2 ตุ่ม แถวถัดมามี 3 ตุ่ม ทั้งสองแถวเรียงขนานกับริมขอบเบ้าตาด้านใน ลักษณะเด่นที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ ขอบด้านข้างของกระดองมีหนามแหลม 4 อัน ที่ก้ามมีขนสีน้ำตาลเข้มลักษณะเป็นกระจุกคล้ายสาหร่ายหางไก่ ห่อหุ้มหนา โดยเฉพาะบริเวณขอบด้านนอกของก้ามหนีบ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ ซึ่งปูขนนั้นมีลักษณะคล้ายกับปูขนญี่ปุ่น (E. japonica) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่พบในประเทศญี่ปุ่นมาก ปูขนปรุงสุกพร้อมรับประทาน มีวงจรชีวิตอาศัยอยู่ในทะเลสาบที่มีน้ำสะอาดและเย็นจัด เมื่อถึงช่วงฤดูร้อนจะอพยพไปผสมพันธุ์และวางไข่ในทะเลหรือดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ปูขนที่มีร่างกายสมบูรณ์จะมีขนเป็นประกายสีเหลืองทองอ่อน โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว คือ ในปลายปีของทุกปี คือ เดือนตุลาคม-ธันวาคม ปูขนจัดเป็นอาหารจีนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และจัดเป็นอาหารที่หายาก มีราคาแพง นับเป็นอาหารระดับฮ่องเต้ เนื่องจากมีจำหน่ายเฉพาะในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น เพราะเป็นฤดูผสมพันธุ์ ที่ปูตัวผู้จะมีเนื้อรสชาติหวาน และปูตัวเมียจะมีไข่ เนื่องจากชาวจีนมีความเชื่อว่า ปูขนต้องเป็นปูที่มีความทรหดอดทนมาก เนื่องจากสามารถใช้ชีวิตผ่านฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บมาได้ เชื่อว่าหากได้กินเนื้อแล้วจะทำให้แข็งแรงเหมือนปู ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ร่างกายอบอุ่น แก้โรคคออักเสบ รักษาอาการทางเดินอาหารไม่ปรกติ รวมทั้งมีผลในการถอนพิษด้วย ทำให้มีราคาซื้อขายที่สูงมาก ทั้งในจีนแผ่นดินใหญ่, ไต้หวัน หรือฮ่องกง สำหรับชาวไทยรู้จักรับประทานปูขนมาไม่ต่ำกว่า 30 ปีแล้ว ถึงขนาดเมื่อถึงฤดูหนาวจะเดินทางไปฮ่องกงเพื่อรับประทานปูขนโดยชนิด หรือซื้อกลับมายังประเทศไทยโดยแช่แข็งไว้ในกระติกน้ำแข็ง แต่ปัจจุบันก็สามารถหารับประทานได้ในประเทศไทย โดยวิธีการปรุงปปูขนนั้นก็กระทำได้โดยง่าย โดยใช้วิธีการนึ่งเพียง 15 นาทีเท่านั้น อาจจะมีการใส่สมุนไพรหรือพืชบางชนิดลงไปเพื่อให้ความหอม และรับประทานพร้อมกับจิ๊กโฉ่ว หรือซอสเปรี้ยวของจีน หรือสุราแบบจีน และต้องรับประทานน้ำขิงเป็นของตบท้าย เพื่อปรับสภาพหยินหยางในร่างกายให้สมดุล ซึ่งต้องปรุงให้สุก เพราะจากการศึกษาพบว่า ปูขนนั้นเป็นพาหะของโรคพยาธิใบไม้ในปอด สำหรับในประเทศไทย ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว ที่โครงการหลวง บนยอดดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม.

ใหม่!!: สัตว์และปูขน (ปูก้ามขน) · ดูเพิ่มเติม »

ปูนา

ำหรับปูนาในสกุลอื่นดูที่ Sayamia ปูนา (Ricefield crabs) เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทปูน้ำจืดในวงศ์ Parathelphusidae ในสกุล Somanniathelphusa แหล่งที่อยู่มักจะอยู่ในนาข้าวจึงเรียกว่าปูนา ปูนาแพร่กระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงบางพื้นที่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออก เกษรกรผู้ปลูกข้าวในไทย ถือว่าปูนาเป็นศัตรูพืชของข้าว เพราะปูจะกัดกินต้นข้าวที่ปักดำใหม่ ๆ ทำให้ชาวนาต้องปักดำซ้ำหลายครั้ง นอกจากนี้ ปูยังขุดรูตามคันนา ทำให้คันนาไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ แต่ปูนาก็เป็นอาหารราคาถูกและหาง่ายโดยเฉพาะกับวิถีชีวิตผู้คนในชนบท และเป็นส่วนประกอบสำหรับปรุงเป็นอาหารประเภทต่าง ๆ เช่น ส้มตำ ในประเทศไทยพบมี 8 ชนิด ในภาคต่าง ๆ ดังนี้ 1.

ใหม่!!: สัตว์และปูนา · ดูเพิ่มเติม »

ปูแมงมุมญี่ปุ่น

ปูแมงมุมญี่ปุ่น มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าMacrocheira kaempferi, เป็นสายพันธุ์ปูทะเลที่สามารถพบได้ทั่วไปในน่านน้ำของประเทศญี่ปุ่น มันถูกจับเพื่อนำมาทำอาหารเนื่องจากเนื้อมีรสชาติดีและถือว่าเป็นอาหารอันโอชะของญี่ปุ่น.

ใหม่!!: สัตว์และปูแมงมุมญี่ปุ่น · ดูเพิ่มเติม »

ปูแสม

ปูแสม เป็นปูที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศป่าชายเลน จัดอยู่ในสกุล Sesarma ซึ่งประกอบด้วยปูหลายชนิด ดังตัวอย่างต่อไปนี้.

ใหม่!!: สัตว์และปูแสม · ดูเพิ่มเติม »

ปูแป้น

ปูแป้น หรือ ปูจาก หรือ ปูใบไม้ (Green tidal crab) เป็นครัสเตเชียนจำพวกปูชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ Varunidae ปูแป้น จัดเป็นปูขนาดเล็กมีขนาดประมาณ 5-7 เซนติเมตร กระดองแบนและมีสีน้ำตาลแกมเหลือง สีของกระดองจะเข้มกว่าสีของขาเดิน มีหนามข้างกระดองหยักเป็นฟันเลื่อยมี 2 ซี่ ขอบตาเว้าระยะห่างพอ ๆ กัน ก้ามซ้ายขวามีลักษณะค่อนข้างแบนและขนาดใกล้เคียงกัน ขนอ่อนเส้นสั้น ๆ เรียงติดกันเป็นแผงตามขอบบนด้านในของข้อที่ 3-4 ส่วนข้อที่ 5 มีหนามยื่นยาวอยู่หนึ่งอันเล็ก ๆ อีกข้างละอัน ข้องที่ 4 ขาเดินทั้งสี่ไม่มีหนาม แต่มีขนอ่อนเรียงเต็มนิ้วของขาเดินแบนกว้าง ซึ่งจากลักษณะขาและขนทำให้เป็นปูแป้นเป็นปูที่ว่ายน้ำเร็วอีกชนิดหนึ่ง เนื่องด้วยความที่มีกระดองลักษณะแบนแป้น จึงได้ชื่อว่า "ปูแป้น" ปูแป้น มีลักษณะคล้ายกับปูแสม แต่มีขนาดเล็กกว่าและผิวกระดองเรียบกว่า แต่ไม่มีพฤติกรรมในการขุดรูอยู่เหมือนปูแสม ตอนกลางวันจะหลบอยู่ตามโคนต้นไม้ตามแหล่งที่อยู่อาศัย และออกหากินในเวลากลางคืน พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในหลายจังหวัดของไทยทั้งฝั่งอ่าวไทยในภาคตะวันออก และภาคใต้ทั้งสองฝั่งทะเล โดยถือเป็นปูสองน้ำ เนื่องจากขณะที่ยังเป็นตัวอ่อนอยู่นั้นจะอาศัยอยู่ในทะเล จากนั้นลอยตามน้ำขึ้นมาอาศัยในน้ำจืดและน้ำกร่อยจนเป็นตัวเต็มวัย พอถึงฤดูสืบพันธุ์ก็จะเดินทางไปผสมพันธุ์และปล่อยไข่ในทะเล มีถิ่นที่อยู่ตามแหล่งน้ำที่ได้รับอิทธิพลจากน้ำขึ้นน้ำลง เช่น ป่าจาก หรือนาข้าว ในที่ ๆ เป็นน้ำกร่อย ฤดูสืบพันธุ์ของปูแป้นจะมีในช่วงกลางปีถึงปลายปีราวเดือนสิงหาคม-ธันวาคม โดยจะมีปรากฏการณ์ปูแป้นจำนวนมากอพยพเข้าในวางไข่ในแหล่งน้ำจืด โดยสถานที่ ๆ พบได้มากที่สุดในประเทศไทย คือ แม่น้ำเวฬุ และลำคลองสาขา ในเขตตำบลเกวียนหัก อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี จนเป็นงานเทศกาลของจังหวัดที่เรียกว่า "เทศกาลดูปูแป้น ชื่นชมธรรมชาติ" ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนของทุกปี ปูแป้นจะมีจำนวนมากลอยมาตามกระแสน้ำหรือเกาะตามใบไม้ หรือเศษวัสดุต่าง ๆ ถึงขนาดใช้อวนหรือสวิงช้อนจับได้คราวละมาก ๆ ในเวลากลางคืน โดยจะปรากฏมากที่สุดในช่วง 2 วันหลังคืนวันเพ็ญของเดือนพฤศจิกายน (วันลอยกระทง) และจะเกิดต่อเนื่องเพียง 1-2 วัน ครั้งละ 90-120 นาที ซึ่งจะเป็นช่วงที่น้ำขึ้นน้ำลงขึ้นเต็มที่ในรอบปี นิยมนำไปปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น ผัดปูแป้นกับก๋วยเตี๋ยวเส้นจันทร์ หรือจับปิ้งปูแป้นดองน้ำปล.

ใหม่!!: สัตว์และปูแป้น · ดูเพิ่มเติม »

ปูไก่

ำหรับปูขนอย่างอื่นที่นิยมรับประทานกันเป็นอาหารจีน ดูที่: ปูก้ามขน ปูไก่ (Hairy leg mountain crab) เป็นปูชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปูบก (Gecarcinidae) มีกระดองเป็นรูปไข่ ด้านหน้าโค้งมนกลม เหนือเบ้าตามีปุ่มเล็ก ๆ ข้างละปุ่ม กระดองตอนหน้าระหว่างขอบตาแคบ ตัวผู้มีก้ามใหญ่และแข็งแรง ก้ามซ้ายมีขนาดใหญ่ ปลายก้ามหนีบอันบนยาวกว่าอันล่างขาเดินมี 4 คู่ ข้อสุดท้ายมีปลายแหลม ขอบหยักเป็นฟันเลื่อย ขาเดินทุกคู่ มีขนสีดำกระดองสีน้ำตาลปนเหลือง ก้ามสีน้ำตาลปนส้ม โคนขาเดินสีส้ม มีความยาวประมาณ 8-20 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในป่าใกล้ลำธารหรือน้ำตก หรือตามป่าชายหาด กินเศษซากต่าง ๆ เป็นอาหาร พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก จนถึงอินโด-แปซิฟิก, หมู่เกาะโคโคส, ตูอาโมตัสทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ในประเทศไทยพบได้ตามเกาะต่าง ๆ ทางภาคใต้ เช่น หมู่เกาะสิมิลันและเกาะภูเก็ต แต่ปัจจุบันพบได้ยาก สามารถใช้เนื้อในการรับประทานได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมนักเนื่องจากในเนื้อมีกลิ่นกรดยูริกและแอมโมเนียจากของเสียจากระบบขับถ่ายของปู นอกจากนี้แล้วปูไก่ยังมีชื่อเรียกอื่นอีก เช่น "ปูขน" หรือ "ปูภูเขา" และเหตุที่ได้ชื่อว่าปูไก่ เนื่องจากมีเสียงจากการกระทบกันของกล้ามปูเสียงดังคล้ายเสียงร้องของไก.

ใหม่!!: สัตว์และปูไก่ · ดูเพิ่มเติม »

ปูไฮเกะ

ปูไฮเกะ หรือ ปูซะมุไร (Heikegani; 平家蟹, ヘイケガニ) เป็นปูทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ในท้องทะเลแถบเมืองชิโมะโนะเซะกิ จังหวัดยะมะงุจิ ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ปูไฮเกะ มีลักษณะเด่น คือ บนกระดองมีลวดลายที่มีลักษณะเหมือนใบหน้ามนุษย์ที่กำลังโกรธเกรี้ยวหรือหน้ากากซะมุไร ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า ปูชนิดนี้เป็นดวงวิญญาณของเหล่านักรบซะมุไรตระกูลไฮเกะ หรือไทระที่กลับชาติมาเกิด หลังจากได้ถูกฆ่าตายล้างตระกูลหรือกระโดดน้ำฆ่าตัวตายในท้องทะเลแถบนี้เมื่อปี ค.ศ. 1185 ในยุทธการดันโนะอุระ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเก็มเป ที่เป็นสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่าง 2 ตระกูลใหญ่ คือ ไทระ กับ มินะโมะโตะ และฝ่ายมินะโมะโตะเป็นฝ่ายชนะ จึงมีเรื่องเล่าต่าง ๆ เกี่ยวกับดวงวิญญาณที่ยังไม่สงบของสมาชิกเหล่าตระกูลไทระต่าง ๆ บ้างก็ว่าชาวประมงในแถบนี้เห็นดวงไฟวิญญาณบนท้องทะเลในเวลาค่ำคืน ภาพอุกิโยะของดวงวิญญาณตระกูลไทระ ปูไฮเกะ ปรากฏอยู่ทางด้านซ้าย วาดโดยอุตะงะวะ คุนิโยะชิ ในทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ปูไฮเกะเป็นผลมาจากการคัดสรรเทียม ซึ่งมาจากฝีมือมนุษย์ โดยชาวประมงในแถบนี้เมื่อจับปูชนิดตัวหนึ่งนี้ได้ ที่มีรูปลักษณะที่ประหลาดบนกระดองจึงไม่กล้าจับมา และได้โยนลงทะเล ปูที่มีกระดองประหลาดนั้นจึงได้ผสมพันธุ์และขยายพันธุ์กับปูตัวอื่น ๆ จนกลายมาเป็นปูที่มีกระดองที่มีใบหน้ามนุษย์เช่นนี้มากมาย กอรปกับที่มีเรื่องเล่าเช่นนี้ในท้องถิ่นจึงเกิดเป็นจินตภาพขึ้นม.

ใหม่!!: สัตว์และปูไฮเกะ · ดูเพิ่มเติม »

ปูเยติ

นื่องจากปูเยติถูกค้นพบได้ไม่นานนักข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปูชนิดนี้จึงมีอยู่อย่างจำกัด โดยนักวิทยาศาสตร์ นักสำรวจ นักวิจัย ล้วนแล้วแต่ตั้งคำถามเกี่ยวกับปูชนิดนี้ค่อนข้างมากไม่ว่าจะเป็น.

ใหม่!!: สัตว์และปูเยติ · ดูเพิ่มเติม »

ปูเสฉวน

ปูเสฉวน (Hermit crab) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ในไฟลัมอาร์โธรพอด ในไฟลัมย่อยครัสเตเชียน ในอันดับฐานปูปลอม (Anomura) ในวงศ์ใหญ่ Paguroidea ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นวงศ์ต่าง ๆ ได้อีก 7 วงศ์ (ดูในตาราง) โดยรวมแล้ว ปูเสฉวนเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็ก ประมาณ 1-6 เซนติเมตร มีขาทั้งหมด 10 ขา ไม่มีเปลือกแข็งแบบปูหรือกุ้ง จึงต้องอาศัยในเปลือกหอยเปล่า โผล่เฉพาะหัวและขา 2 คู่ออกจากเปลือก ส่วนขาอีก 2 คู่ใช้ยึดกับเปลือกหอย กินซากพืช ซากสัตว์เป็นอาหาร มักอาศัยอยู่ตามหาดทรายชายทะเล บางชนิดอาจอาศัยอยู่ในน้ำลึก มีประมาณ 1,100 ชนิด บางสกุลอาศัยอยู่แต่เฉพาะบนบก ได้แก่ Coenobita ปูเสฉวนมีพฤติกรรมการขยายพันธุ์ ด้วยการที่ตัวผู้จะต่อสู้กันด้วยก้ามเพื่อแย่งชิงตัวเมีย เหมือนกุ้ง หรือปูทั่วไป เมื่อตัวผู้ที่ชนะแล้วจะจับตัวเมียไว้ เมื่อตัวเมียลอกคราบ ตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าผสมบริเวณขาว่ายส่วนท้อง เกิดเมื่อการปฏิสนธิแล้ว ตัวเมียจะปล่อยไข่ไปในทะเลเพื่อปล่อยไข่ให้ล่องลอยไปในทะเล ซึ่งลูกขนาดเล็กจะยังมีลักษณะไม่เหมือนตัวเต็มวัย จะต้องลอกคราบและมีพัฒนาการต่อไปเรื่อย ๆ ในปูเสฉวนบกก็มีพฤติกรรมเช่นเดียวกัน แต่กระทำกันบกบก และตัวเมียจะลงไปปล่อยในทะเล ก่อนที่ลูกเมื่อแรกเกิดจะกลับมาเติบโตและใช้ชีวิตอยู่บนบก.

ใหม่!!: สัตว์และปูเสฉวน · ดูเพิ่มเติม »

ปูเสฉวนบก

ปูเสฉวนบก (Land hermit crabs) เป็นปูเสฉวนในสกุล Coenobita (มาจากคำในภาษาละตินว่า coenobivm และคำในภาษากรีกโบราณว่า κοινόβιον แปลว่า "ชีวิตในประชาคม, อาราม") มีทั้งหมด 15 ชนิด ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 5 นิ้ว มีรูปร่างหน้าตาคล้ายปูเสฉวนทั่วไป และอาศัยอยู่ในเปลือกหอย แต่ไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ในน้ำได้ เนื่องจากระบบการหายใจถูกพัฒนาให้รับออกซิเจนโดยตรง ถ้าลงไปในน้ำจะสำลักน้ำตายได้เหมือนปูมะพร้าว (Birgus latro) แต่จะลงไปกินน้ำทะเลเพื่อต้องการเกลือแร่ อีกทั้งยังต้องการน้ำจืดอีกด้วย ปูเสฉวนบกมีถิ่นกำเนิดที่ทวีปอเมริกาเหนือ, ทะเลแคริบเบียน, หมู่เกาะเบอร์มิวดา, ออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย จะอาศัยอยู่บนบกหรือในป่าริมชายทะเล กินอาหารจำพวกซากพืช ซากสัตว์เหมือนปูเสฉวนทั่วไป ปัจจุบันปูเสฉวนบกกำลังได้รับความนิยมในฐานะเป็นสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งผู้เลี้ยงนิยมใช้สีทาบนเปลือกหอยให้เป็นสีสันและลวดลายต่าง ๆ แต่เป็นปูที่ค่อนข้างมีความยุ่งยากในการเลี้ยง เนื่องจากถึงแม้ว่าจะอาศัยอยู่บนบกก็ตาม แต่ในสถานที่เลี้ยงต้องใช้ความชุ่มชื้นด้วย และปูพื้นด้วยกรวดทรายและขอนไม้หรือมะพร้าวผุ และมีความจำเป็นต้องใช้แคลเซียมเพื่อเป็นแร่ธาตุด้วย ไม่เช่นนั้นอาจตายได้.

ใหม่!!: สัตว์และปูเสฉวนบก · ดูเพิ่มเติม »

ปูเสฉวนบกก้ามแถวฟัน

ปูเสฉวนบกก้ามแถวฟัน (tawny hermit crab) เป็นปูเสฉวนชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปูเสฉวนบก (Coenobitidae) มีขาเดิน 4 ขา มีก้านปากขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ก้านตามีขนาดใหญ่และยาวมีแถบสีน้ำตาลหรือส้ม ก้ามมีขนาดใหญ่ มีขนที่ขาเดินคู่ที่อยู่ถัดจากก้าม และสามารถส่งเสียงได้เมื่อถูกรบกวนเพื่อข่มขู่ผู้รุกรานด้วยการใช้ก้านปากขนาดใหญ่ขูดกับเปลือกหอยที่อาศัยอยู่ ทำให้เกิดเสียง มีสีสันที่แตกต่างหลากหลายออกไปตามแต่สภาพแวดล้อมที่อยู่และอาหารที่กิน เช่น สีเขียว, สีน้ำตาลและสีเทา, สีดำ, สีขาว, สีชมพู, สีฟ้า เป็นต้น มีความยาวเต็มที่ได้ 15 มิลลิเมตร (0.59 นิ้ว) กระจายอยู่ทั่วไปตามหาดทรายของชายฝั่งทะเลอินโด-แปซิฟิก กินอาหารจำพวกอินทรียสาร, ซากปลา และผลไม้ทั่วไป ในประเทศไทยพบชุกชุมที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ หากินในเวลากลางคืน โดยที่กลางวันและซ่อนตัวอยู่ใต้ใบไม้.

ใหม่!!: สัตว์และปูเสฉวนบกก้ามแถวฟัน · ดูเพิ่มเติม »

ปูเสฉวนยักษ์จุดขาว

ปูเสฉวนยักษ์จุดขาว (Giant hermit crab, White-spotted hermit, crab, Spotted hermit crab) เป็นปูเสฉวนชนิดหนึ่ง มีลำตัวสีแดงแต้มด้วยจุดสีขาวขอบสีน้ำตาลกระจายทั่วไป ก้านตาสีแดง บริเวณโคนหนวดคู่ที่สองสีขาวยาวมากและมีขนแข็งกระจายอยู่ทั่วลำตัวที่เห็นได้จากภายนอก ก้ามมีขนาดใหญ่ แต่มีขนาดไม่เท่ากันปล้องสุดท้ายของขาเดินสองคู่แรกเรียวยาวขนาดความยาวกระดองประมาณ 8 เซนติเมตร นับเป็นปูเสฉวนขนาดใหญ่สุดที่พบในน่านน้ำไทย สามารถใหญ่ได้ถึง 20 เซนติเมตร กระจายพันธุ์อยู่ในแนวปะการังของแถบอินโด-แปซิฟิกพบได้จนถึงแอฟริกา, ทะเลจีนใต้ และฮาวาย มักอยู่ตามพื้นทะเลที่ห่างจากชายฝั่ง และจับได้ด้วยอวนลาก มักอาศัยอยู่ในเปลือกหอยสังข์จุกพราหมณ์ ซึ่งเป็นหอยเปลือกหนา ปลายยอดเป็นจุก.

ใหม่!!: สัตว์และปูเสฉวนยักษ์จุดขาว · ดูเพิ่มเติม »

ปูเจ้าฟ้า

ปูเจ้าฟ้า หรือ ปูสิรินธร หรือ ปูน้ำตก (Panda crab; ชื่อวิทยาศาสตร์: Phricotelphusa sirindhorn) เป็นปูน้ำตกพบที่วนอุทยานน้ำตกหงาว อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2529 เป็นปูที่มีสีสันสวยงาม กระดองและก้ามทั้งสองข้างเป็นสีขาว ขาเดินทั้งสี่คู่และเบ้าตาและบริเวณปากเป็นสีม่วงดำ มีลักษณะปล้องท้องและอวัยะเพศผู้คู่ที่ 1 ต่างจากปูชนิดอื่น เมื่อโตเต็มที่ความกว้างของกระดอกประมาณ 9-25 มิลลิเมตร พบอยู่จำกัดบริเวณน้ำตกแถบภาคตะวันตกของไทย เช่น น้ำตกห้วยยาง อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ น้ำตกที่เขาพะเนินทุ่ง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตอัญเชิญพระนามาภิไธยของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของปูชนิดนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 ปัจจุบัน เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และปูเจ้าฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

ปีชี

ปีชี, ปีเช (Pichi, Piche) หรือ อาร์มาดิลโลแคระ (Dwarf armadillo) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กจำพวกอาร์มาดิลโลชนิดหนึ่ง จัดเป็นอาร์มาดิลโลเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Zaedyus ปีชีเป็นชื่อเรียกในภาษาถิ่นของชาวลาตินอเมริกาที่ใช้เรียกอาร์มาดิลโล ปีชีมีความยาวลำตัวประมาณ 1 ฟุต ความยาวหัว 7.2 เซนติเมตร และกว้าง 5.2 เซนติเมตร และมีหางสั้น ความยาว 4-6 นิ้ว มีเกราะหุ้มตัวสีน้ำตาลเข้ม มีกรงเล็บที่แหลมคม โดยเฉพาะเล็บตีนหน้า กระจายพันธุ์ในที่ราบโล่งหรือท้องทุ่ง หรือทะเลทรายของทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศอาร์เจนตินา แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) อาศัยอยู่ด้วยการขุดโพรงจากเล็บตีนหน้า โดยมีเล็บตีนหลังเป็นตัวเกลี่ย หากินแมลง เช่น มด ปลวก และหนอนต่าง ๆ บนพื้นดินเป็นอาหาร เป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน ตัวผู้มีอวัยวะเพศที่เรียวยาวใช้สำหรับผสมพันธุ์กับตัวเมีย ซึ่งสามารถอ้อมลำตัวของตัวเมียได้ เนื่องจากต้องหลีกเลี่ยงเกราะและหางของตัวเมีย เมื่อถูกคุกคามจะขุดโพรงหนีด้วยความรวดเร็ว ซึ่งยากในการที่จะดึงตัวออกมา ปีชีจัดเป็นอาร์มาดิลโลอีกชนิดหนึ่งที่หายาก แต่ก็พบได้มากกว่าพิงก์แฟรีอาร์มาดิลโล ซึ่งเป็นอาร์มาดิลโลขนาดเล็กที่สุดและพบในถิ่นเดียวกันPink Fairy Armadillo, "Nick Baker's Weird Creatures".

ใหม่!!: สัตว์และปีชี · ดูเพิ่มเติม »

ป่องรู้กลิ่น

granule cell #granule cell --> ป่องรู้กลิ่น หรือ ป่องรับกลิ่น (olfactory bulb, bulbus olfactorius, ตัวย่อ OB) เป็นโครงสร้างทางประสาทแบบเป็นชั้น ๆ ที่สมองส่วนหน้าของสัตว์มีกระดูกสันหลัง (โดยในมนุษย์จะอยู่ที่ด้านหน้าส่วนล่าง) ซึ่งมีบทบาทในการได้กลิ่น ป่องรับกลิ่นรับข้อมูลขาเข้ามาจากเซลล์ประสาทรับกลิ่นที่เยื่อรับกลิ่นซึ่งบุโพรงจมูกเป็นบางส่วน แล้วส่งข้อมูลขาออกผ่านลำเส้นใยประสาท lateral olfactory tract ไปยังเปลือกสมองส่วนการรู้กลิ่น แม้การแปลผลกลิ่นอย่างแม่นยำของป่องรู้กลิ่นจะยังไม่ชัดเจน แต่ก็เชื่อว่ามันทำหน้าที่เป็นตัวกรอง/ฟิลเตอร์ ที่อาจมีบทบาทต่าง ๆ รวมทั้ง แยกแยะกลิ่น, เพิ่มความไวการตรวจจับกลิ่น, กรองกลิ่นพื้นหลังเพื่อเพิ่มสัญญาณกลิ่นที่เลือก, และอำนวยให้สมองระดับสูงควบคุมระดับสัญญาณจากป่องรับกลิ่นตามสภาวะทางสรีรภาพของสัตว.

ใหม่!!: สัตว์และป่องรู้กลิ่น · ดูเพิ่มเติม »

ป่าหิมพานต์

กินรีและนาค หนึ่งในสัตว์หิมพานต์ ป่าหิมพานต์ หรือ หิมวันต์ เป็นป่าในวรรณคดีและความเชื่อในเรื่องไตรภูมิตามคติศาสนาพุทธและฮินดู มีความเชื่อว่า ป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเชิงเขาพระสุเมรุ ป่าหิมพานต์มีเนื้อที่ประมาณ 3,000 โยชน์ (1 โยชน์ เท่ากับ 10 ไมล์ หรือ 16 กิโลเมตร) วัดโดยรอบได้ 9,000 โยชน์ ประดับด้วยยอด 84,000 ยอด มีสระใหญ่ 7 สระคือ.

ใหม่!!: สัตว์และป่าหิมพานต์ · ดูเพิ่มเติม »

ป่าโลกล้านปี

ป่าโลกล้านปี เป็นตอนที่ห้าของเพชรพระอุมาจำนวน 4 เล่ม ได้แก่ป่าโลกล้านปี เล่ม 1 - 4.

ใหม่!!: สัตว์และป่าโลกล้านปี · ดูเพิ่มเติม »

นกชาปีไหน

thumb นกชาปีไหน หรือ นกกะดง (Nicobar pigeon, Nicobar dove) เป็นนกชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbidae) นับเป็นนกเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ในสกุล Caloenas ในขณะที่ชนิดอื่น ๆ สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว โดยมีความใกล้ชิดกับนกโดโดที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย นกชาปีไหน มีขนาดลำตัวเท่า ๆ กับไก่แจ้ มีขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 40-41 เซนติเมตร มีลำตัวขนาดใหญ่ แต่มีหัวขนาดเล็กและมีเนื้อนูนเป็นตุ่มบริเวณจมูก ขนตามลำตัวเป็นสีเขียวเหลือบเทา ขนหางสีขาว แต่จะมีขนบริเวณคอห้อยยาวออกมาเหมือนสร้อยคอ ซึ่งขนนี้จะยาวขึ้นเมื่อนกมีอายุมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีขาขนาดใหญ่แข็งแรง เพราะเป็นนกที่ชอบเดินหากินตามพื้น นกชาปีไหน แม้จะเป็นนกที่หากินบนพื้นดินเป็นหลัก แต่ก็เป็นนกที่สามารถบินได้ มีรายงานว่าสามารถบินข้ามไปมาระหว่างเกาะต่าง ๆ ได้ เป็นนกที่หากตกใจจะบินหรือกระโดดขึ้นบนต้นไม้ และไม่ค่อยส่งเสียงร้องนัก นานครั้งจึงจะได้ยินเสียงร้องทีหนึ่ง แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) พบกระจายพันธุ์เฉพาะหมู่เกาะต่าง ๆ บริเวณทะเลอันดามันและอินโด-แปซิฟิก เช่น หมู่เกาะนิโคบาร์, หมู่เกาะอันดามัน, หมู่เกาะโซโลมอนและปาเลา ในประเทศไทยจัดเป็นนกที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง โดยจะอาศัยอยู่ในป่าดิบหรือป่าชายหาดของหมู่เกาะสิมิลัน, หมู่เกาะสุรินทร์ หรือหมู่เกาะอ่างทอง รวมถึงอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี เท่านั้น เป็นนกที่ถูกจัดให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักรราช 2535 แต่ปัจจุบันมีการเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วโดยทางการของไทย เมื่อปี พ.ศ. 2538 พบว่านกชาปีไหนสามารถวางไข่ได้ตลอดทั้งปี โดยสร้างรังแบบหยาบ ๆ รูปร่างคล้ายจาน โดยใช้กิ่งไม้และใบไม้แห้งวางไข่ ครั้งละเพียง 1 ฟอง มีขนาด 31.64x45.0 มิลลิเมตร น้ำหนัก 25.05 กรัม พ่อและแม่นกช่วยกันฟักไข่ มีระยะฟัก 25-29 วัน แม่นกสามารถจะวางไข่ชุดใหม่ต่อไปได้หลังจากลูกนกมีอายุได้ประมาณ 40 วัน ลูกนกออกจากไข่ไม่มีขนปกคลุมตัว จัดอยู่ในพวกอัลติเชียล (นกที่บินไม่ได้) พ่อและแม่นกช่วยกันเลี้ยงดูลูกนกจนมีอายุได้ 34-36 วัน ลูกนกจึงจะทิ้งรังและกินอาหารเองได้ ขนชุดแรกขึ้นปกคลุมตัวสมบูรณ์หมด เมื่อลูกนกมีอายุได้ 3 เดือน และเมื่อมีอายุ 7 เดือน มีการผลัดขนปีกชุดแรก และมีขนชุดใหม่งอกขึ้นมาแทนที.

ใหม่!!: สัตว์และนกชาปีไหน · ดูเพิ่มเติม »

นกบูบี

นกบูบี (Booby) เป็นนกทะเลขนาดกลางถึงใหญ่สกุลหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Sula ในวงศ์นกบูบี (Sulidae) นกบูบี เป็นนกที่มีตีนเป็นพังผืดคล้ายตีนเป็ดขนาดใหญ่ สีสันแตกต่างกันไปตามชนิด เป็นนกที่หาปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ กินในทะเล โดยมีพฤติกรรมบินโฉบเพื่ออาหาร โดยจะบินสูงขึ้นและหยุดอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เพื่อที่จะพับปีกให้แนบลู่กับลำตัว แล้วทิ้งตัวพุ่งดิ่งลงในน้ำ ซึ่งการบินลักษณะนี้ทำให้นกบูบีสามารถดำน้ำได้ลึกและจับปลาได้อย่างไม่พลาด นอกจากนี้แล้วยังมีส่วนหางที่ยาว ซึ่งหางนี้มีส่วนช่วยในการพยุงตัวให้บินโฉบเฉี่ยวไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว และยังช่วยให้สามารถเปลี่ยนทิศทางในการบินและดำน้ำลงไปจับปลาได้อีกด้วยนกบูบี BOOBY, หลังปกนิตยสาร แม็ค ม.ต้น.

ใหม่!!: สัตว์และนกบูบี · ดูเพิ่มเติม »

นกบูบีตีนฟ้า

นกบูบีตีนฟ้า (Blue-footed booby) เป็นนกบูบีชนิดหนึ่ง ในบรรดา 6 ชนิด จัดอยู่ในวงศ์นกบูบี (Sulidae) เป็นนกทะเลที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีความยาวลำตัวได้ถึง 90 เซนติเมตร (36 นิ้ว) ความกว้างของปีกจากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งถึง 1.5 เมตร (4.9 ฟุต) การเต้นเพื่อจับคู่ของนกตัวผู้ นกบูบีตีนฟ้า มีลักษณะเด่นอันเป็นที่มาของชื่อ คือ ตีนที่เป็นพังผืดขนาดใหญ่เหมือนตีนเป็ดเป็นสีฟ้าหรือสีน้ำเงินสดในตัวผู้ ซึ่งสีฟ้านี้เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความแข็งแรงและช่วงอายุวัย นกตัวที่มีอายุมากและร่างกายไม่แข็งแรง สีฟ้าก็จะจืดจางลงไป นกตัวเมียจะเลือกตัวผู้ที่มีสีสดใส นอกจากนี้แล้วนกบูบีตีนฟ้า ยังเป็นนกบูบีเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่เมื่อจับคู่ผสมพันธุ์ ตัวผู้จะมีลีลาการเต้นรำด้วยการเต้นสลับขากัน กางปีก และส่งเสียงร้องเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ตัวเมีย ที่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย ด้วยพฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้นกบูบีตีนฟ้าเป็นที่นิยมอย่างมากที่จะถ่ายภาพของผู้ที่นิยมการถ่ายภาพสัตว์ป่าหรือผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวผจญภัยธรรมชาติ ฤดูการผสมพันธุ์ของนกบูบีตีนฟ้าอยู่ในราวปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคม เป็นนกที่สื่อสารกันด้วยเสียงร้องคล้ายเสียงผิวปาก เมื่อจับคู่กันแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีอีกฝ่ายกำลังบินอยู่ก็ตาม นกบูบีตีนฟ้าเป็นนกที่จับคู่เพียงตัวเดียวตลอดทั้งชีวิต ทำรังโดยการวางไข่ไว้บนพื้นดิน โดยมักสร้างอยู่ใกล้พุ่มไม้เพื่อช่วยในการบังกระแสลม วางไข่ครั้งละฟองเดียว หรือไม่เกิน 2 ฟอง บางครั้งอาจมากได้ถึง 3 ฟอง แต่ไข่ที่มีจำนวนมากถึงเช่นนี้ทำให้พ่อแม่นกไม่สามารถให้ความอบอุ่นในการฟักได้อย่างทั่วถึง ส่งผลถึงพัฒนาการของลูกนก ในยามกกไข่ แม่นกมักจะหันหน้าเข้าทางแสงแดดตลอด นักเดินเรือในยุคกลางจึงใช้พฤติกรรมของนกบูบีตีนฟ้าเป็นเข็มทิศ เมื่อฟักออกมาแล้ว ลูกนกจะแข่งขันกันเองในหมู่พี่น้อง ตัวที่แข็งแรงกว่าก็จะเป็นตัวที่อยู่รอดต่อไปจนเติบใหญ่ นกบูบีตีนฟ้า หาปลาในทะเลกินเป็นอาหาร โดยมีพฤติกรรมบินโฉบเพื่ออาหาร โดยจะบินสูงขึ้นและหยุดอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เพื่อที่จะพับปีกให้แนบลู่กับลำตัว แล้วทิ้งตัวพุ่งดิ่งลงในน้ำ ซึ่งการบินลักษณะนี้ทำให้นกบูบีสามารถดำน้ำได้ลึกและจับปลาได้อย่างไม่พลาด นอกจากนี้แล้วยังมีส่วนหางที่ยาว ซึ่งหางนี้มีส่วนช่วยในการพยุงตัวให้บินโฉบเฉี่ยวไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว และยังช่วยให้สามารถเปลี่ยนทิศทางในการบินและดำน้ำลงไปจับปลาได้อีกด้วย อีกทั้งตีนที่เป็นพังผืดก็ช่วยให้ว่ายน้ำและดำน้ำได้อย่างดี จนสามารถพุ่งขึ้นบินสู่อากาศได้เลยเมื่อขึ้นมาบนผิวน้ำ นกบูบีตีนฟ้า กระจายพันธุ์ตลอดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลแคลิฟอร์เนีย ในสหรัฐอเมริกา จนถึงหมู่เกาะกาลาปากอส และทิศใต้ของประเทศเปรู แต่ที่หมู่เกาะกาลาปากอสนั้น ไม่ได้มีนกบูบีตีนฟ้าอาศัยอยู่ในทุกเกาะ นกบูบีตีนฟ้า เป็นที่รู้จักครั้งแรกของชาวตะวันตก โดยชาร์ล ดาร์วิน ระหว่างการเดินทางไปยังหมูเกาะกาลาปากอส โดยการอนุกรมวิธานเกิดขึ้นในปี..

ใหม่!!: สัตว์และนกบูบีตีนฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

นกชนหิน

นกชนหิน (Helmeted hornbill) เป็นนกขนาดใหญ่ในวงศ์นกเงือก พบในประเทศไทย มาเลเซีย สุมาตรา และบอร์เนียว จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Rhinoplax.

ใหม่!!: สัตว์และนกชนหิน · ดูเพิ่มเติม »

นกช้อนหอย

นกช้อนหอย หรือ นกค้อนหอย หรือ นกกุลา (Ibis) เป็นนกจำพวกหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Threskiornithinae ในวงศ์นกช้อนหอยและนกปากช้อน (Threskiornithidae) มีลักษณะโดยรวม คือ เป็นนกที่มีจะงอยปากยาวโค้ง ปลายแหลม หากินในนํ้าตื้นกินปลา, ปู และสัตว์นํ้าเล็ก ๆ เป็นอาหาร โดยมากแล้วจะทำรังอยู่บนต้นไม้ร่วมกับนกจำพวกอื่นที่คล้ายคลึงกัน เช่น นกกระยาง หรือนกปากช้อน โดยคำว่า Ibis ที่ใช้เป็นชื่อสามัญในภาษาอังกฤษ นั้นมาจากคำว่า ibis เป็นภาษาละติน จากภาษากรีกคำว่า ἶβις และ ibis จากภาษาอียิปต์ hb, hīb.

ใหม่!!: สัตว์และนกช้อนหอย · ดูเพิ่มเติม »

นกช้อนหอยศักดิ์สิทธิ์

นกช้อนหอยศักดิ์สิทธิ์ หรือ นกช้อนหอยศักดิ์สิทธิ์แอฟริกัน (Sacred ibis, African sacred ibis) เป็นนกน้ำขนาดใหญ่ อยู่ในวงศ์นกช้อนหอยและนกปากช้อน (Threskiornithidae) นกช้อนหอยศักดิ์สิทธิ์ มีความยาวลำตัวถึง 82 เซนติเมตร มีขายาวและมีปากโค้ง อาศัยอยู่ตามหนองบึง และทุ่งหญ้าใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยหากิน โดยอาหารหลัก ได้แก่ แมลง, กบ, หอย, ไส้เดือนดิน และสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก ทำรังวางไข่ครั้งละ 2-3 ฟอง เป็นกลุ่มบนต้นไม้ใหญ่ร่วมกับนกจำพวกอื่น ๆ เช่น นกกระยาง นกช้อนหอยศักดิ์สิทธิ์ กระจายพันธุ์ทั่วทวีปแอฟริกา ตั้งแต่แอฟริกาใต้สะฮาราลงมา และบางส่วนในตอนใต้ของอิรัก เป็นนกที่ชาวอียิปต์โบราณนับถือเป็นนกศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่มาของชื่อ โดยปรากฏอยู่เป็นประติมากรรม และซากที่ฝังในโถข้างเสาโอเบลิสค์ ปัจจุบันสามารถพบได้ทั่วไปตามอุทยานแห่งชาติและเขตอนุรักษ์ต่าง ๆ ทั่วทั้งทวีปแอฟริกา ประติมากรรมนกช้อนหอยศักดิ์สิทธิ์ของอียิปต์โบราณ เดิมที นกช้อนหอยศักดิ์สิทธิ์ไม่มีในประเทศไทย แต่ต่อมาสวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์ได้นำเข้ามาเลี้ยงไว้แบบเปิดในบริเวณสวนสัตว์ ทำให้นกช้อนหอยศักดิ์สิทธิ์บินออกมาหากินตามทุ่งนาใกล้เคียง จึงทำให้กลายเป็นนกประจำถิ่นชานเมืองกรุงเทพมหานครไปแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และนกช้อนหอยศักดิ์สิทธิ์ · ดูเพิ่มเติม »

นกช้อนหอยขาว

นกช้อนหอยขาว หรือ นกกุลาขาว (Black-headed ibis) เป็นนกน้ำขนาดใหญ่ อยู่ในวงศ์นกช้อนหอยและนกปากช้อน (Threskiornithidae) นกช้อนหอยขาว กระจายพันธุ์อยู่แถบตอนใต้ของทวีปเอเชีย ตั้งแต่ปากีสถาน, อินเดีย, เนปาล, ศรีลังกา, บังกลาเทศ, ตอนใต้และตะวันออกของจีน เรื่อยมาจนถึงเอเชียอาคเนย์ เช่น พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, เกาะสุมาตรา และเกาะชวา นอกจากนี้แล้วยังมีจำนวนประชากรบางส่วนบินย้ายถิ่นไปไกลถึงเกาะไต้หวันและฟิลิปปินส์ โดยนกช้อนหอยขาวจัดว่ามีเพียงชนิดเดียว ไม่มีชนิดย่อย เป็นนกที่มีขนาดใหญ่ มีปากสีดำเรียวยาว ปลายปากโค้งลงมาก ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของนกช้อนหอย หัวและคอช่วงบนเป็นหนังเกลี้ยง ๆ สีดำ ลำตัวและปีกมีขนสีขาวปกคลุมทั่ว นอกจากด้านใต้ปีกบริเวณใกล้กับขอบปีกมีเพียงหนังเปลือยเปล่าสีแดงซึ่งเห็นได้ชัดเจนเมื่อนกบิน ขายาวสีดำ ทั้งตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะเหมือนกัน อาศัยอยู่ตามพื้นที่ชุ่มน้ำในที่ราบ เช่น ริมแม่น้ำ, ทะเลสาบ, หนองบึง, ที่ลุ่มน้ำท่วมขัง รวมถึงทุ่งนา หรือทุ่งหญ้าที่น้ำท่วมขัง มักพบหากินเป็นฝูงใหญ่ มีพฤติกรรมเดินลุยน้ำหรือย่ำไปบนพื้นโคลนไปช้า ๆ พร้อมใช้ปากยาวโค้งแหย่ลงไปในน้ำ หรือชอนไชในโคลนเพื่อจับเหยื่อ เมื่อพบแล้วจะรีบใช้ปากงับและกลืนกิน และใช้วิธีจิกกินเหยื่อตามผิวน้ำด้วย อาหารส่วนใหญ่ได้แก่ ปลา, กบ, งู, ปู, กุ้ง, หอย และสัตว์เลื้อยคลานเล็ก ๆ นอกจากนี้แล้วยังไล่งับแมลงตามกอหญ้าหรือชายน้ำด้วย ฤดูผสมพันธุ์ขอวนกช้อนหอยขาวเริ่มในราวเดือนมิถุนายน-กันยายน ช่วงนี้นกจะมีขนงอกสีเทาออกมาจากปีกคลุมบนหลังและตะโพก ทางหลังคอและอกก็มีขนงอกยาวออกมาด้วยเช่นกัน จะเลือกทำรังเป็นกลุ่มบนยอดไม้สูงของต้นไม้ใหญ่ใกล้แหล่งน้ำ บางครั้งอาจพบทำรังปะปนกับนกน้ำชนิดอื่น ๆ เช่น นกกระสา, นกกระยาง และนกกาน้ำ ทั้งตัวผู้และตัวเมียช่วยกันทำรัง โดยใช้กิ่งไม้มาวางซ้อนกันเป็นรังขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 45-50 เซนติเมตร แล้วรองพื้นด้วยกก, ใบไม้หรือหญ้า หลังจากนั้นจึงวางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง ใช้เวลากกไข่นาน 23-24 วัน ลูกนกแรกเกิดมีขนอุยสีดำบนหัวและลำตัวสีขาว ใช้เวลาอยู่ในรังนาน 40 วัน จึงบินออกหากิน ขณะบิน นกช้อนหอยขาว เคยเป็นนกประจำถิ่นที่อาศัยหากินและแพร่ขยายพันธุ์บริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางตอนล่างในประเทศไทย เช่น จังหวัดปทุมธานี, นครปฐม และสมุทรสาคร แต่ปัจจุบันเป็นนกที่ย้ายถิ่นเข้ามาหากินเป็นบางช่วงของฤดูกาลเท่านั้น เพราะไม่มีรายงานว่าทำรังขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานกว่า 50 ปีแล้ว คงมีจำนวนประชากรนกบางส่วนเท่านั้นที่บินอพยพมาจากอินเดียและพม่าเข้ามาอยู่อาศัยนอกฤดูผสมพันธุ์ โดยมีรายงานพบทางภาคกลาง, ภาคอีสานตอนล่าง และภาคใต้ โดยจะพบได้ที่หน่วยอนุรักษ์นกท่าเสด็จ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นที่ ๆ นกจะอพยพบินเข้ามาประจำในช่วงฤดูหนาว เช่นเดียวกับ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง แม้นกช้อนหอยขาวจะบินอพยพเข้ามาในประเทศไทยทุกปีเป็นประจำ แต่จำนวนประชากรด็น้อยมากพบจัดได้ว่าเป็นนกหายากและใกล้สูญพันธุ์ในประเทศไทย และจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 2 ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2546.

ใหม่!!: สัตว์และนกช้อนหอยขาว · ดูเพิ่มเติม »

นกฟลอริแคนเบงกอล

นกฟลอริแคนเบงกอล (Houbaropsis bengalensis Bengal Florican) เป็นนกหายากที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง ทั่วโลกมีนกฟลอริคันเบงกอลหลงเหลืออยู่เพียงไม่ถึง 1,000 ตัว โดยแหล่งที่อยู่อาศัยใหญ่ที่สุดคือ บริเวณทุ่งหญ้ารอบทะเลสาบโตนเลสาบ (Tonle Sap) ในกัมพูชา และประเทศอินเดี.

ใหม่!!: สัตว์และนกฟลอริแคนเบงกอล · ดูเพิ่มเติม »

นกฟลามิงโก

นกฟลามิงโกในสวนสัตว์พาต้า นกฟลามิงโก (Flamingo; ออกเสียง; 붉은 황새; นกกระสาแดง) เป็นนกน้ำจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ Phoenicopteridae และอันดับ Phoenicopteriformes มี 4 ชนิดในทวีปอเมริกา และ 2 ชนิดในโลกเก่า นกฟลามิงโก เป็นนกที่มีซากฟอสซิลสามารถนับย้อนไปไกลได้กว่า 30 ล้านปีก่อน นกฟลามิงโกอาศัยอยู่เป็นฝูงขนาดใหญ่ ซึ่งสถานที่ ๆ พบนกฟลามิงโกได้มากที่สุดในโลก คือ ทะเลสาบนากูรู ในอุทยานแห่งชาติทะเลสาบนากูรู ทางตอนเหนือของประเทศเคนยา ซึ่งมีจำนวนประชากรนกฟลามิงโกมากได้ถึง 1,500,000 ตัว นกฟลามิงโกเป็นนกที่บินได้เป็นระยะทางที่ไกล และมักบินในเวลากลางคืน ด้วยความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง และหากมีความจำเป็นต้องบินในเวลากลางวันก็จะบินในระดับสูงเพื่อหลบเลี่ยงสัตว์นักล่า ส่วนในทวีปเอเชียสามารถพบได้ที่ทุ่งหญ้าสเตปป์แถบตอนเหนือของคาซัคสถานในภูมิภาคเอเชียกลางเท่านั้น โดยผสมพันธุ์กันในฤดูใบไม้ผลิ ก่อนอพยพไปที่อื่น นกฟลามิงโก ได้ชื่อว่าเป็นนกที่ไม่มีประสาทรับกลิ่น และเป็นนกที่ส่งเสียงดังตลอดเวลา ซึ่งลูกนกแม้แต่อยู่ในไข่ก็ยังส่งเสียงร้องแล้ว ซึ่งพ่อแม่นกจะจดจำลูกของตัวเองได้จากเสียงร้องอันนี้ นอกจากนี้แล้ว นกฟลามิงโกยังเป็นนกที่ได้ชื่อว่าเป็นนกที่มีขนสีชมพู จนได้รับชื่อว่า "นกฟลามิงโกสีชมพู" ซึ่งขนของนกฟลามิงโกนั้นจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิดตั้งแต่สีชมพูซีดจนถึงสีแดงเลือดหมูหรือแดงเข้ม ทั้งนี้เป็นเพราะการกินอาหารที่ได้รับสารอาหารจากกุ้งและเห็ดรามีสารประเภทอัลฟาและเบตาแคโรทีน แต่โดยมากแล้วนกที่เลี้ยงตามสวนสัตว์ขนจะเปลี่ยนเป็นสีขาวเพราะขาดสารอาหารเหล่านี้ ซึ่งหากให้ในสิ่งที่ทดแทนกันได้เช่น แครอท หรือบีทรูท สีขนก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม อีกทั้งยังเป็นนกที่มีพฤติกรรมยืนด้วยขาเดียวอยู่นิ่ง ๆ แช่น้ำได้เป็นเวลานานมากถึง 4 ชั่วโมง นั่นเพราะขาของนกจะได้รับจะได้รับเลือดสูบฉีดต่ออัตราการเต้นของหัวใจได้มากเท่า ๆ กับที่กล้ามเนื้อหลักได้รับ ซึ่งเลือดจะให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย การที่นกฟลามิงโกมีขายาวมาก ก็ยิ่งทำให้มีพื้นที่สูญเสียความอบอุ่น อีกทั้งขาข้างที่ไม่ถูกแช่น้ำก็จะไม่เหี่ยวแห้งอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และนกฟลามิงโก · ดูเพิ่มเติม »

นกฟินช์เจ็ดสี

นกฟินซ์เจ็ดสี หรือ นกสายรุ้ง (Gouldian Finch หรือ Rainbow Finch) เป็นนกที่มีสีสันสวยงาม มีถิ่นกำเนิดทางตอนเหนือของทวีปออสเตรเลี.

ใหม่!!: สัตว์และนกฟินช์เจ็ดสี · ดูเพิ่มเติม »

นกฟินฟุต

นกฟินฟุต (Finfoot, Masked finfoot, Asian finfoot) เป็นนกชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Heliopais นกฟินฟุตจัดเป็นนกที่หากินในน้ำและอาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ป่าชายเลน, ป่าพรุ ด้วยเป็นนกที่จับสัตว์น้ำ, สัตว์เลื้อยคลาน, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ กินเป็นอาหาร มีขนหนาแน่นสีน้ำตาล แลดูคล้ายเป็ด ปากแหลมสีเหลือง ส่วนหน้าสีดำคล้ายสวมหน้ากาก คอยาวเรียวเล็ก ขาสีเขียว นิ้วเท้ามีทั้งหมด 4 นิ้ว มีพังผืดเชื่อมติดกัน ปกติมักอาศัยเพียงตัวเดียว หรือเป็นคู่ นกตัวผู้กับตัวเมียคล้ายคลึงกัน แต่มีส่วนต่างกันที่สี โดยที่ตัวผู้จะมีสีที่เข้มกว่า ขณะที่ตัวเมียจะมีเส้นสีขาวผ่านจากใต้คอลงมาถึงหน้าด้านของลำคอ มีเส้นสีดำจากหลังตามาล้อมกรอบแถบสีขาว ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 52-54.5 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย นกฟินฟุตเป็นนกที่มีถิ่นอาศัยในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ แต่โดยปกติแล้วไม่ใช่นกประจำถิ่นของไทย แต่จะอพยพผ่านเพื่อหากินและแพร่ขยายพันธุ์วางไข่เท่านั้น โดยจะพบในพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ ของภาคใต้ อาทิ เกาะตะรุเตา, ป่าพรุโต๊ะแดง, ทะเลบัน, ป่าชายเลนที่จังหวัดกระบี่ เป็นต้น และพบได้น้อยในพื้นที่ภาคกลาง จัดเป็นนกที่หายากมากชนิดหนึ่ง โดยมีสถานะใน IUCN อยู่ในสถานะสิ่งมีชีวิตที่ใกล้การสูญพันธุ์ คาดว่าทั่วทั้งโลกมีจำนวนประชากรราว 2,500-9,900 ตัว ขยายพันธุ์ในช่วงฤดูฝน วางไข่ในรังครั้งละ 5-7 ฟอง ไข่มีสีขาวเจือด้วยสีเขียวจาง ๆ มีจุดกลมเล็ก ๆ สีน้ำตาลกระจายไปทั่ว รังทำมาจากกิ่งไม้หรือเศษไม้ขัดกันในพื้นที่สูงจากพื้นราว 3 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 37 เซนติเมตร ลึกประมาณ 20 เซนติเมตร จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และนกฟินฟุต · ดูเพิ่มเติม »

นกพญาปากกว้างอกสีเงิน

นกพญาปากกว้างอกสีเงิน เป็นนกในวงศ์นกพญาปากกว้าง (Family Eurylaimidae) ขนาดใกล้เคียงนกปรอด ประมาณ 16-17 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และนกพญาปากกว้างอกสีเงิน · ดูเพิ่มเติม »

นกพญาไฟสีเทา

นกพญาไฟสีเทา (Ashy Minivet;ชื่อวิทยาศาสตร์:Pericrocotus divaricatus) เป็นนกอยู่ในวงศ์ย่อย อีกา มีขนาดเล็กมากจนถึงขนาดกลาง ความยาวจากปลายปากจดหาง 20 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และนกพญาไฟสีเทา · ดูเพิ่มเติม »

นกพรานผึ้ง

นกพรานผึ้ง (Malaysian honeyguide) เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกพรานผึ้ง (Indicatoridae) เป็นนกขนาดเล็ก (จะงอยปากถึงปลายหาง 17 เซนติเมตร) ลักษณะคล้ายนกปรอดมาก แต่จะงอยปากหนาและอวบกว่า จะงอยปากสีคล้ำแต่ปากล่างสีจางกว่า ลำตัวด้านบนสีเทาแกมเขียว ลำตัวด้านล่างขาว อกสีเทาแกมขาว ข้างลำตัวมีลายขีดดำ ตาสีน้ำตาลแดงหรือสีน้ำตาลในนกวัยอ่อน ตัวผู้ที่หัวไหล่มีแถบเหลืองเล็ก ๆ ตัวเมียลักษณะคล้ายตัวผู้แต่ไม่มีแถบเหลือง มีเสียงร้องคล้ายแมว คือ "เมี้ยว" นกพรานผึ้ง เป็นนกที่กินผึ้ง, ตัวอ่อนของผึ้ง และขี้ผึ้งเป็นอาหาร รวมถึงตัวต่อ ถึงขนาดบุกเข้าไปกินถึงในรวงผึ้ง โดยที่ไม่ได้รับอันตรายจากเหล็กไนของผึ้ง ทั้งนี้เป็นเพราะมีปีกที่หนาที่เหล็กไฟผึ้งทำอันตรายไม่ได้ และมีผู้เชื่อว่ามีกลิ่นตัวแรงจนผึ้งไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ นกพรานผึ้ง เป็นนกที่มีพฤติกรรมอยู่ลำพังเพียงตัวเดียว นานครั้งจึงเห็นอยู่เป็นคู่ เป็นนกที่บินได้เก่งและเร็ว และเป็นนกประจำถิ่น จะอยู่ในถิ่นใดถิ่นหนึ่งไปตลอด ต่อเมื่อนกตัวเก่าตายไป นกตัวใหม่ถึงเข้ามาอยู่แทน ในประเทศไทยมีรายงานพบเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง ในป่าในเขตชายแดนภาคใต้ที่ติดกับมาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีรายงานพบในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จังหวัดตาก ในป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้ง ทั้งในพื้นที่ราบและที่สูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และนกพรานผึ้ง · ดูเพิ่มเติม »

นกพัฟฟิน

นกพัฟฟินแอตแลนติก ที่เกาะลันดี้ ในสหราชอาณาจักร นกพัฟฟิน (Puffin) เป็นนกทะเลในสกุล Fratercula มีลักษณะเด่น คือ มีจะงอยปากสีสดใสในช่วงฤดูผสมพันธุ์ เป็นนกทะเลผิวน้ำที่หาอาหารด้วยการดำน้ำเป็นหลัก สืบสายพันธุ์ในฝูงขนาดใหญ่บนหน้าผาชายฝั่งทะเลหรือเกาะ โดยการทำรังในรอยแยกในหมู่หินหรือในโพรงดิน ที่ผิวดินเป็นดินร่วน โดยในโพรงรังอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ห้อง โดยห้องหนึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของลูกนก และอีกห้องหนึ่งเป็นห้องสำหรับถ่ายมูล.

ใหม่!!: สัตว์และนกพัฟฟิน · ดูเพิ่มเติม »

นกพาโรเทีย

นกพาโรเทีย เป็นสกุลของนกสกุลหนึ่ง ในวงศ์นกปักษาสวรรค์ (Paradisaeidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Parotia (/พา-โร-เทีย/) นกพาโรเทีย เป็นนกปักษาสวรรค์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนกที่เต้นด้วยท้วงท่าที่เร้าใจบนพื้นดินของนกตัวผู้เพื่อการเกี้ยวพาราสีและผสมพันธุ์ บางชนิดเต้นด้วยท่าทางที่แปลก ๆ และซ้ำไปมา และซับซ้อนที่สุดในบรรดานกปักษาสวรรค์ แต่ทว่าเป็นที่ดึงดูดใจของนกตัวเมีย เมื่อตัวผู้จะเริ่มเต้นจะกางปีกออกและเผยให้เห็นถึงขนพิเศษที่หน้าอก ซึ่งขนดังกล่าวจะพันลำตัวและวนไปที่ด้านหลังและครอบคลุมปีก และจะเอาขนที่ยาวสามเส้นบนหัวโผล่ขึ้นมา จากนั้นก็จะเดินไปข้างหน้าพร้อมแกว่งหัวและส่ายตัวไปมา ซึ่งจะทำให้ลักษณะของนกเปลี่ยนไป ราวกับว่าแปลงกายมา ซึ่งนกตัวเมียจะมองตัวผู้ลงมาจากด้านบน ซึ่งตัวเมียจะเห็นรูปร่างของตัวผู้เป็นทรงกลมคล้ายกระโปรง นกพาโรเทีย จะเลือกสถานที่ ๆ ในการเต้นที่สะอาดและเรียบร้อย เมื่อมีสิ่งต่าง ๆ ตกหล่นอยู่ เช่น ใบไม้หรือกิ่งไม้ ตัวผู้ก็จะคาบออกไปทิ้งนอกบริเวณ ในขณะที่นกตัวเมียจะเป็นฝ่ายเลือกตัวผู้จากการเต้น ซึ่งจากมุมมองของนกตัวเมียจะเห็นสีเหลือบบนหัวของนกตัวผู้ที่สั่นกระดิก ๆ ไปมาทั้งสีเหลืองและสีน้ำเงินด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และนกพาโรเทีย · ดูเพิ่มเติม »

นกพิราบ

thumb นกพิราบ เป็นนกในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbidae) โดยปกติคำว่า "นกพิราบ" จะหมายถึงนกพิราบเลี้ยง (รวมถึงนกพิราบแฟนซีด้วย) ส่วนนกพิราบนอกเหนือจากนี้จะเรียกว่า "นกพิราบป่า" นกพิราบป่ามีขนสีเทาอ่อน มีแถบสีดำสองแถบบนปีกแต่ละข้าง แต่ทั้งนกป่าและนกเลี้ยงนั้นมีความหลากหลายของสีและรูปแบบของขนเป็นอย่างมาก มีความแตกต่างระหว่างเพศเล็กน้อย นกชนิดนี้มักมีคู่ครองตัวเดียว มีลูกครั้งละ 2 ตัว พ่อและแม่ช่วยกันเลี้ยงดู โดยที่เมื่อจับคู่กันแล้วจะไม่แยกจากกันเลยตลอดชีวิต แม้ว่าคู่จะตายไปแล้ว ซึ่งนกพิราบป่านั้นเป็นที่รวมของเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ ที่ติดต่อมาสู่มนุษย์ได้ อาทิ โรคสมองอักเสบจากเชื้อรา, ปอดอักเสบ, ท้องเสีย, เครียด หรือแม้กระทั่งหมัดจากตัวนก นกพิราบมีถิ่นอาศัยในสิ่งแวดล้อมเปิดและกึ่งเปิดในพื้นที่เกษตรกรรมและในเมือง หน้าผาและขอบหินถูกใช้เป็นที่ทำรังวางไข่ของนกในป่า นกพิราบมีถิ่นกำเนิดในยุโรป แอฟริกาเหนือ และทางตะวันตกของเอเชีย ก่อนที่จะแพร่กระจายไปตามเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก เพราะเป็นนกที่มีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะในเมืองได้ดีมาก คาดว่ามีประชากรนกในธรรมชาติประมาณ 17 - 28 ล้านตัวในยุโรป ปัจจุบันนกพิราบเป็นนกที่พบได้ในทุกทวีปทั่วโลก ยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกา นกพิราบ เป็นนกที่มนุษย์คุ้นเคยเป็นอย่างดี ในสมัยโบราณจะใช้ในการสื่อสาร เนื่องจากเป็นนกที่มีประสาทสัมผัสเป็นอย่างดีในการที่จะหาทางกลับมาสู่ถิ่นฐานที่จากมา แม้ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตามด้วยการใช้สนามแม่เหล็กโลกแบบเดียวกับเต่าทะเล อีกทั้งยังใช้แสงแดดและจมูกในการดมกลิ่นอีกด้วย อีกทั้ง ยังนิยมเลี้ยงกันเพื่อการบินแข่งขันกันด้วย และเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจเพื่อบริโภคเนื้อ และมีการพัฒนาสายพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีลักษณะสวยจากธรรมชาติเพื่อการเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม นอกจากนี้แล้ว นกพิราบยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในทางสากลหมายถึง "สันติภาพ" โดยมักใช้รูปนกพิราบคาบช่อมะกอก คำว่า "พิราบ" ในภาษาไทยนั้น มาจากคำว่า "วิราว", "พิราว" หรือ "พิราพ" ซึ่งเป็นภาษาสันสกฤตแปลว่า "เสียงร้อง".

ใหม่!!: สัตว์และนกพิราบ · ดูเพิ่มเติม »

นกพิราบหงอนวิคตอเรีย

นกพิราบหงอนวิคตอเรีย (Victoria crowned pigeon, Victoria goura) เป็นนกชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbidae) มีลำตัวป้อมหนา อกตัน ขาค่อนข้างสั้น ปีกกว้างใหญ่ ขนตามตัวส่วนใหญ่มีสีฟ้าอมเทา มีลักษณะเด่น คือ บนหัวมีหงอนประกอบด้วยเส้นขนแผ่บานเป็นสันอย่างน่าดูซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ และที่สันหรือหงอนบนหัวจะแบนตรงปลาย และมีขอบสีขาวด้วย หน้าอกมีสีม่วงแดงคาดแถบดำปากสีดำ เท้าสีม่วงแดง ม่านตาสีแดง จัดเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ในวงศ์นี้ ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ประมาณ 70 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 2,384 กรัม ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย จัดเป็นนกที่บินไม่ได้ สามารถบินได้แค่ในระยะสั้น ๆ เหมือนไก่ จึงหากินตามพื้นเป็นหลัก อาหารได้แก่ ผลไม้และเมล็ดพืชชนิดต่าง ๆ รวมทั้งสัตว์ขนาดเล็กหรือแมลงต่าง ๆ พบกระจายพันธุ์ในทวีปออสเตรเลีย และเกาะนิวกินี มีพฤติกรรมอาศัยโดยการรวมฝูงประมาณ 10 ตัว อยู่ตามพงหญ้าหรือในป่าเพื่อหาอาหาร หากมีเหตุหรือศัตรูเข้ามาใกล้จะส่งเสียงดังพร้อมทั้งบินขึ้นพร้อม ๆ กันไปเกาะดูเหตุการณ์อยู่บนต้นไม้ การทำรังส่วนใหญ่ใช้เศษไม้ กิ่งไม้เล็ก ๆ ขัดสานเป็นรังหยาบ ๆ ทรงแบนคล้ายตะกร้าตามคาคบไม้ที่ไม่สูงนัก วางไข่คราวละ 2 ฟอง ใช้เวลาฟักไข่ราว 28-30 วันจึงออกเป็นตัว ในระยะฟักไข่และเลี้ยงลูกจะมีนิสัยก้าวร้าวอาจทำร้ายนกอื่นได้ จัดเป็นนกที่มีความสวยงามชนิดหนึ่ง จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง และตามสวนสัตว์ต่าง.

ใหม่!!: สัตว์และนกพิราบหงอนวิคตอเรีย · ดูเพิ่มเติม »

นกกก

thumb นกกก หรือ นกกะวะ หรือ นกกาฮัง (Great hornbill, Great indian hornbill, Great pied hornbill) เป็นนกขนาดใหญ่จำพวกนกเงือก นกกกสามารถพบได้ในป่าของอินเดีย, คาบสมุทรมลายู, สุมาตรา และอินโดนีเซีย ด้วยขนาดและสีทำให้นกกกเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญเชิงวัฒนธรรมและพิธีกรรมในหลายชนเผ่า นกกกเป็นนกที่มีอายุยืน นกในกรงเลี้ยงสามารถมีอายุได้ถึง 50 ปี ปกติจะกินผลไม้เป็นอาหาร โดยเฉพาะลูกไทร แต่บางครั้งจะกินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก, สัตว์เลื้อยคลาน และนกชนิดอื่นเป็นอาหาร นกกกจัดเป็นนกเงือกชนิดที่ใหญ่ที่สุด มีความยาวลำตัวประมาณ 130-150 เซนติเมตร มีปีกสีดำพาดเหลือง ปลายปีกขาว หางสีขาวพาดดำ ตัวผู้มีนัยน์ตาสีแดง ด้านหน้าโหนกที่อยู่บนปากมีสีดำ ส่วนตัวเมียมีนัยน์ตาสีขาว ด้านหน้าโหนกไม่มีสีดำ มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดเล็ก จนกว่าจะโตเต็มที่และหาคู่ได้ มีฤดูผสมพันธุ์ระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม โดยตัวผู้จะเป็นฝ่ายเกี้ยวพาราสีตัวเมีย และเสาะหาโพรงไม้ตามต้นไม้ใหญ่ที่นกหรือสัตว์อื่นทิ้งไว้ ทั้งนี้เนื่องจากนกกกไม่สามารถที่จะเจาะโพรงเองได้ เนื่องจากจะงอยปากไม่แข็งแรงพอ ตัวเมียจะใช้เวลาตัดสินใจเข้าโพรงนานอาจนานเป็นสัปดาห์ ทั้งนี้เพราะระยะเวลาที่ตัวเมียจะเข้าไปอยู่ในโพรงเพื่อวางไข่และเลี้ยงดูลูกอ่อนกินเวลานานถึง 3 เดือน ในระยะนี้นกกกตัวผู้จะเอาใจตัวเมียเป็นพิเศษด้วยการบินออกอาหารมาป้อนตัวเมียอยู่สม่ำเสมอ ขณะที่ตัวเมียเมื่อเข้าไปในโพรงแล้วจะปิดปากโพรงเหลือเพียงช่องพอให้ปากของตัวผู้ส่งอาหารมาได้เท่านั้น ด้วยมูล, เศษอาหาร และเศษไม้ในโพรง นกกกตัวเมียใช้เวลากกไข่นาน 1 เดือน อาจวางไข่ได้ 2 ฟอง แต่ลูกนกตัวที่อ่อนแอกว่าอาจตายไปซึ่งเป็นวิถีตามธรรมชาติ เพื่อไม่ให้เป็นภาระของพ่อแม่ เมื่อลูกนกฟักเป็นตัว นกตัวผู้ต้องออกหาอาหารมากยิ่งขึ้นอาจมากถึงวันละ 10 เที่ยว ในระยะทางอาจไกลได้ถึง 10 กิโลเมตร ขณะที่นกตัวเมียจะเป็นฝ่ายสอนลูกนกปิดปากโพรงเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์นักล่าต่าง ๆ ซึ่งเป็นการสอนที่จะตกทอดต่อไปเรื่อย ๆ จากรุ่นต่อรุ่น เมื่อลูกนกโตพอที่จะบินเองได้แล้ว เนื้อที่ในโพรงเริ่มคับแคบ นกกกตัวเมียจะเป็นฝ่ายพังโพรงรังบินออกมาก่อน ขณะที่ลูกนกจะฝึกซ้อมบินด้วยการกระพือปีกในโพรงและปิดปากโพรงตามที่แม่นกสอน เมื่อลูกนกพร้อมที่จะบินเองแล้ว พ่อแม่นกจะรอให้ลูกนกพังโพรงและบินออกมาเองด้วยการล่อด้วยอาหาร และส่งเสียงร้อง เมื่อลูกนกหิวจะกล้าบินออกมาเอง ในระยะแรกพ่อแม่นกจะยังคอยดูแลลูก จนกว่าจะโตพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้.

ใหม่!!: สัตว์และนกกก · ดูเพิ่มเติม »

นกกระสาหัวดำ

นกกระสาหัวดำ จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์ปีก พบมากในซับ-ซาฮารัน แอฟริกาและมาดากัสการ์ มีถิ่นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่บางตัวในแอฟริกันตะวันตกเฉียงเหนือย้ายถิ่นที่อยู่ในฤดูฝน เป็นนกที่มีขนาดใหญ่ มีความสูง 85 เซนติเมตร ปีกกว้าง 150 เซนติเมตร หมวดหมู่:วงศ์นกยาง.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระสาหัวดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกกระสาคอขาวปากแดง

นกกระสาคอขาวปากแดง (อังกฤษ:Storm's Stork; ชื่อวิทยาศาสตร์:Ciconia stormi) เป็นนกกระสาชนิดที่พบเฉพาะทางภาคใต้ของประเทศไทย และจัดเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ พบที่อุทยานแห่งชาติเขาสก มีลักษณะคล้ายนกกระสาคอขาวแต่มีปากสีแดงสดบริเวณ หน้าสีส้มซีดๆ รอบตามีสีเหลืองทอง ขนปกคลุมที่คอ ช่วงบนสีขาว ถัดลงมาช่วงล่างสีดำ ปีกมีสีดำแกมเขียวซีดๆ พบในไทยและมาเลเซียแต่แยกกันเป็นคนละชนิดย่อ.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระสาคอขาวปากแดง · ดูเพิ่มเติม »

นกกระสาคอดำ

นกกระสาคอดำ (Black-necked stork) เป็นนกกระสาที่ตัวสูง คอยาว ตัวผู้ตาสีน้ำตาลแดง ปากยาวสีดำ คอและหัวสีดำเหลือบม่วง ลำตัวขาว มีสีดำที่ไหล่ตอนล่างของปีก ขณะบินจึงเห็นเป็นแถบสีดำกลางปีก หางดำ ขาสีแดง ตัวเมียหัวดำแต่ตาสีเหลือง พบตามแหล่งน้ำจืดต่าง ๆ หาดทรายและหาดโคลนริมทะเล ปัจจุบันในประเทศไทยพบน้อยมากจนอาจจะสูญพันธุ์แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระสาคอดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกกระสาปากพลั่ว

นกกระสาปากพลั่ว (Shoebill, Whale-headed stork) เป็นนกขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในอันดับนกกระสา (Ciconiiformes) ขณะที่บางข้อมูลจะถือว่าให้อยู่ในอันดับนกกระทุง (Pelecaniformes) แต่จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในวงศ์ Balaenicipitidae นกกระสาปากพลั่วจัดเป็นนกที่มีขนาดใหญ่มากชนิดหนึ่ง ขนาดเมื่อโตเต็มที่มีส่วนสูงตั้งแต่ 115-150 เซนติเมตร โดยประมาณ หากกางปีกจะกว้าง 230-260 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 4-7 กิโลกรัม ขณะที่เป็นวัยรุ่นหรือตัวเต็มวัยจะมีสีเทา ส่วนนกขนาดเล็กจะมีสีออกน้ำตาลกว่า อาศัยอยู่บริเวณบึงใหญ่ในแอฟริกาตะวันออก แถบประเทศซูดานและแซมเบีย นกกระสาปากพลั่ว มีจุดเด่น คือ จะงอยปากที่หนาและรูปทรงประหลาดไม่เหมือนนกชนิดอื่น เริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงวิทยาศาสตร์ จากการมีการอนุกรมวิธาน ในช่วงศตวรรษที่ 19 จากการที่หนังของนกชนิดนี้ถูกนำมาขายในยุโรป อย่างไรก็ดี นกกระสาปากพลั่วเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วตั้งแต่สมัยโบราณในอารยธรรมอียิปต์โบราณที่มีการเขียนภาพถึง และอารยธรรมอาหรับที่เรียกขานว่า "abu markub" ที่มีความหมายว่า "ผู้มากับรองเท้า" ซึ่งก็มาจากจะงอยปากมีลักษณะเหมือนรองเท้านั้นเอง นกกระสาปากพลั่ว หาอาหารในบึงน้ำหรือบ่อโคลน อาหารได้แก่ ปลา, กบ กระทั่งลูกจระเข้ หรือลูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ไร้ทางสู้ ทำรังบนพื้นดิน ออกไข่ครั้งละ 2 ฟอง ปัจจุบัน เป็นนกที่ถูกจัดอยู่ในภาวะเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์จากบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ ของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) จากความที่เป็นนกขนาดใหญ่ หายาก และหากินใกล้แหล่งน้ำ นกกระสาปากพลั่วคาดว่าเป็นนกที่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็น "คองกามาโต" คือ สัตว์ประหลาดที่คล้ายนกขนาดใหญ่ ที่โจมตีใส่มนุษย์ในบึงน้ำแถบแอฟริกากลางนั่นเอง.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระสาปากพลั่ว · ดูเพิ่มเติม »

นกกระสาปากห่าง

นกกระสาปากห่าง หรือ นกปากห่าง (Openbill stork) เป็นนกลุยน้ำขนาดใหญ่จำพวกหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์นกกระสา (Ciconiidae) จัดอยู่ในสกุล Anastomus (/อะ-นาส-โต-มัส/) มีลักษณะทั่วไป คือ มีจะงอยปากหนาและแหลมตรง เมื่อจะงอยปากสบกัน ส่วนกลางของปากบนและปากล่างแยกห่างจากกัน เห็นได้ชัดเจน อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการคาบเหยื่อ เนื่องจากเป็นนกที่กินสัตว์น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหอยเปลือกเดี่ยวหรือหอยโข่งเป็นอาหารหลัก นกกระสาปากห่างแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระสาปากห่าง · ดูเพิ่มเติม »

นกกระสานวล

กะโหลกศีรษะ นกกระสานวล (Grey heron) เป็นนกน้ำในตระกูล Ardeidae มีถิ่นกำเนิดในเขตอบอุ่นในยุโรป เอเชีย และบางพื้นที่ในแอฟริกา ในฤดูหนาวมักอพยพจากพื้นที่ที่หนาวเย็นไปยังพื้นที่ที่มีอากาศอบอุ่นกว่า นกกระสานวลเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ มีความสูง 90-100 เซนติเมตร ช่วงปีกสองข้างกว้าง 175-195 เซนติเมตร และหนัก 1-2 กิโลกรัม ขนด้านบนเป็นสีเทา แต่ด้านล่างเป็นสีขาว ในตัวเต็มวัยจะมีขนที่ส่วนหัวเป็นสีขาวจะมีแถบขนสีดำรอบหัว จะงอยปากสีชมพูอมเหลือง ซึ่งจะมีสีสว่างขึ้นเวลาผสมพันธุ์ หมวดหมู่:วงศ์นกยาง หมวดหมู่:นกที่พบในประเทศไทย หมวดหมู่:นกในประเทศปากีสถาน หมวดหมู่:นกในประเทศอินเดีย.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระสานวล · ดูเพิ่มเติม »

นกกระสาแดง

นกกระสาแดง (Purple heron) เป็นนกน้ำในตระกูล Ardeidae มีถิ่นผสมพันธุ์อยู่ในแอฟริกา ยุโรปตอนกลางและตอนใต้ เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออก กลุ่มที่อาศัยอยู่ในยุโรปจะอพยพลงสู่เขตร้อนในแอฟริกาในฤดูหนาว ส่วนกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเอเชียก็จะมีการอพยพลงใต้ภายในทวีปเช่นกัน จัดว่าเป็นนกที่หายาก แต่เวลาที่อพยพจะพบเห็นได้บ่อยในภูมิภาคทางตอนเหนือของถิ่นผสมพันธุ์ นกชนิดนี้จัดเป็นนกขนาดใหญ่ โดยมีความสูง 80-90 เซนติเมตร ความกว้างของปีกสองข้าง 120-150 เซนติเมตร แต่มีลำตัวผอมบาง มีน้ำหนักเพียง 500-1,300 กรัมเท่านั้น มีลักษณะใกล้เคียงกับนกกระสานวล แต่ขนาดค่อนข้างเล็กกว่า และมีสีขนที่แตกต่างกัน โดยนกกระสาแดงจะมีขนสีน้ำตาลแดงเข้ม และเมื่อโตเต็มวัย ขนที่หลังจะเป็นสีเทาเข้มขึ้น จะงอยปากมีสีเหลืองและแคบบาง ซึ่งในตัวเต็มวัยจะมีสีสว่างขึ้น.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระสาแดง · ดูเพิ่มเติม »

นกกระสาใหญ่

นกกระสาใหญ่ (Great-billed Heron) เป็นนกลุยน้ำในวงศ์นกยาง เป็นนกประจำถิ่นจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงประเทศปาปัวนิวกินีและประเทศออสเตรเลีย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเล เช่น เกาะ แนวปะการัง ป่าชายเลน แม่น้ำขนาดใหญ่ แต่บางครั้งก็สามารถพบได้ภายในแผ่นดินตามบ่อน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระสาใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกกระจอกชวา

นกกระจอกชวา (Java sparrow, Java finch) นกเกาะคอนขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกระติ๊ด (Estrildidae) มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางประมาณ 13-17 เซนติเมตร หัวและหางสีดำ วงรอบตาสีแดง แก้มสีขาว ลำตัวด้านบนเป็นสีเทา ลำตัวด้านล่างตั้งแต่ช่วงกลางท้องลงไปเป็นสีชมพูอ่อน ปากหนาสำหรับขบเมล็ดพืชสีชมพูอมแดง นกตัวผู้และตัวเมียคล้ายกัน เป็นนกที่มีถิ่นกำเนิดในเกาะชวา, เกาะบาหลี และเกาะใกล้เคียงอื่น ๆ ในประเทศอินโดนีเซีย อาศัยอยู่เป็นคู่หรือเป็นฝูงตามทุ่งหญ้า, แหล่งเกษตรกรรม และที่ที่มีผู้คนอยู่อาศัย อาหารหลักได้แก่เมล็ดข้าว, เมล็ดหญ้า, ผลไม้และแมลงเล็ก ๆ ต่าง ๆ โดยจะลงมาหากินตามพื้นดิน มีเสียงร้องว่า "ชิ๊บ" และหากร้องติดต่อกันจะร้องว่า "ชิ๊บ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ" ต่อเนื่องกัน นกกระจอกชวาทำรังช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคมตามโพรงบนต้นไม้, ชายคาบ้าน และรอยแตกตามอาคารต่าง ๆ รังเป็นรูปกลมทำจากรากหญ้า ใบหญ้า ลักษณะค่อนข้างรกรุงรัง วางไข่ครั้งละ 4-6 ฟอง ใช้เวลากกไข่ประมาณ 13-14 วัน นกกระจอกชวา เป็นนกชนิดหนึ่งที่มีความสวยงาม น่ารัก จึงนิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งปัจจุบันได้มีการเพาะขยายพันธุ์จนได้นกที่มีสีสันแตกต่างสวยงามออกไปจากสีที่มีอยู่ในธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในหลายพื้นที่ จากการถูกนำเข้าไป เพราะเป็นนกที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี อาทิ หมู่เกาะแปซิฟิก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ฮาวาย, เปอร์โตริโกและรัฐฟลอริด้า ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงในประเทศไทย โดยนกในประเทศไทยหลุดมาจากการนำเข้าที่สนามบินดอนเมืองราวปี พ.ศ. 2500 นอกจากนี้แล้ว นกกระจอกชวายังได้ชื่อว่าเป็น "นกหมอดู" เนื่องจากมีผู้ที่เลี้ยงไว้เพื่อเสี่ยงทายดวงชะตาตามหลักโหราศาสตร.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระจอกชวา · ดูเพิ่มเติม »

นกกระจอกบ้าน

นกกระจอกบ้าน (Eurasian Tree Sparrow) เป็นนกเกาะคอนในวงศ์นกกระจอก มีสีน้ำตาลเข้มที่กระหม่อนและหลังคอ แก้มสีขาวมีจุดดำบนแก้มแต่ละข้าง นกกระจอกทั้งสองเพศมีชุดขนคล้ายกัน นกวัยอ่อนมีสีขนจืดกว่านกที่โตเต็มที่ นกชนิดนี้มีการกระจายพันธุ์เกือบทั้งทวีปยูเรเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Tree Sparrow (นกกระจอกต้นไม้) และมันถูกนำไปสู่ที่อื่นๆ รวมถึง สหรัฐอเมริกา ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Eurasian Tree Sparrow (นกกระจอกต้นไม้ยูเรเชีย) หรือ German Sparrow (นกกระจอกเยอรมัน) ต่างไปจากนกพื้นเมือง นกกระจอกต้นไม้อเมริกา (American Tree Sparrow) แม้ว่าจะมีหลายชนิดย่อยที่ได้รับการยอมรับ แต่ลักษณะที่ปรากฏของนกแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยตลอดแนวการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวาง นกกระจอกบ้านทำรังไม่เป็นระเบียบในโพรงธรรมชาติ รูในอาคาร หรือรังขนาดใหญ่ของนกสาลิกาปากดำหรือนกกระสาขาว นกจะวางไข่คราวหนึ่งห้าถึงหกฟอง ไข่จะฟักเป็นตัวภายในสองอาทิตย์ นกกินเมล็ดพืชเป็นอาหารหลัก แต่บางครั้งจะกินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นอาหาร โดยเฉพาะช่วงฤดูผสมพันธุ์ นกกระจอกบ้านเหมือนกับนกขนาดเล็กทั่วไปซึ่งอาจเสียชีวิตจากการติดเชื้อจากปรสิต โรคภัยไข้เจ็บ และถูกล่าโดยนกล่าเหยื่อ ทำให้โดยทั่วไปมีช่วงชีวิตประมาณสองปี.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระจอกบ้าน · ดูเพิ่มเติม »

นกกระจอกใหญ่

'' Passer domesticus domesticus '' นกกระจอกใหญ่ (House Sparrow) เป็นนกจับคอนในวงศ์นกกระจอก มีชื่อต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น เช่น English Sparrow, Indian Sparrow, และ Spatzie หรือ Spotsie ถิ่นอาศัยตามธรรมชาติส่วนใหญ่อยู่ในแถบยุโรปบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนและในเอเชียบางส่วน มีการนำนกเข้าสู่พื้นที่ในหลายๆส่วนบนโลกทั้งแบบตั้งใจหรือเป็นอุบัติเหตุ ทำให้นกกระจอกใหญ่มีการกระจายพันธุ์เกือบทั่วโลก มันสามารถปรับตัวเข้ากับถิ่นอาศัยของมนุษย์ได้ง่าย นกกระจอกใหญ่เป็นนกขนาดเล็กตัวอ้วนกลม มีสีขนน้ำตาลถึงเท.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระจอกใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกกระจอกเทศ

นกกระจอกเทศ (Ostrich) จัดอยู่ในประเภทสัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระจอกเทศ · ดูเพิ่มเติม »

นกกระจอกเทศโซมาลี

นกกระจอกเทศโซมาลี (Somali ostrich) เป็นชนิดย่อยของนกกระจอกเทศ (S. camelus) ที่พบได้ทั่วไปในทวีปแอฟริกา นกกระจอกเทศโซมาลีมีลักษณะและรูปร่างเหมือนนกกระจอกเทศธรรมดาทั่วไป แต่จะพบได้เฉพาะในเขตอนุรักษ์แห่งชาติแซมบูรู ในประเทศเคนยา เท่านั้น ลักษณะของนกกระจอกเทศโซมาลีที่แตกต่างจากนกกระจอกเทศธรรมดา คือ จะมีคอและขาท่อนบนเป็นสีเทาน้ำเงิน ซึ่งแตกต่างจากนกกระจอกเทศธรรมดาที่มีขอและขาท่อนบนสีชมพู แต่ลักษณะขน และสีของขนทั้งตัวผู้และตัวเมียของทั้งนกกระจอกเทศโซมาลีและนกระจอกเทศธรรมดาจะเหมือนกัน ซึ่งเป็นความแตกต่างกันที่ดีเอ็นเอ คาดว่านกกระจอกเทศโซมาลีมีการพัฒนาสายพันธุ์ตัวเองแยกจากนกกระจอกเทศธรรมดาราว 3.6 ถึง 4.1 ล้านปีก่อน.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระจอกเทศโซมาลี · ดูเพิ่มเติม »

นกกระจิบ

นกกระจิบ (Tailorbird)อยู่ในสกุล Orthotomus เป็นนกขนาดเล็ก จากปลายปากถึงปลายหางรวมกันแล้วยาวเพียง 12 เซนติเมตร ปากเล็กบาง ขายาวเรียวเล็ก ชอบกระดกหางขึ้นลงและกระโดไปมาตลอดเวลา หากินตามกิ่งไม้ อยู่เป็นคู่ ทำรังอยู่ด้วยกัน วางไข่คราวละ 3-5 ฟอง ไข่สีเขียว สีฟ้าหรือสีชมพู มีจุดสีน้ำตาลกระจายอยู่ทั่วไป ใช้เวลากกไข่ประมาณ 12 วันก็จะฟักออกเป็นตัว ในประเทศไทยมีนกกระจิบ 5 ชนิดคือ.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระจิบ · ดูเพิ่มเติม »

นกกระจิบกัมพูชา

นกกระจิบกัมพูชา เป็นชนิดของนกซึ่งถูกค้นพบในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศกัมพูชา ในปี 2552 ระหว่างการสืบสวนไข้หวัดนก ในปี 2556 มีการกำหนดให้เป็นชนิดใหม่และมีการอธิบายอย่างเป็นทางการ นกกระจิบกัมพูชาเป็นนกเล็ก มีปอยสีส้มแดงบนหัว นกกระจิบกัมพูชาเป็นสัตว์ประจำถิ่นของประเทศกัมพูชา ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะจำกัดอยู่เฉพาะถิ่นที่อยู่ไม้พุ่มดกในที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงของแม่น้ำโขง.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระจิบกัมพูชา · ดูเพิ่มเติม »

นกกระจิบหญ้าสีน้ำตาล

นกกระจิบหญ้าสีน้ำตาล (Brown Prinia) เป็นนกในวงศ์นกยอดข้าวและนกกระจิบหญ้า พบในประเทศกัมพูชา, จีน, อินโดนีเซีย, ลาว, พม่า, ไต้หวัน, ไทย, และ เวียดนาม อาศัยในป่าแห้งแล้งในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระจิบหญ้าสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

นกกระจิบหญ้าสีเรียบ

นกกระจิบหญ้าสีเรียบ (Plain Prinia หรือ White-browed Prinia หรือ Plain Wren-Warbler หรือ Brown Wren-Warbler p. 343) เป็นนกกระจิบขนาดเล็กในวงศ์นกยอดข้าวและนกกระจิบหญ้า เป็นนกประจำถิ่นที่พบจากประเทศปากีสถานและอินเดียถึงตอนใต้ของจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนหน้าถูกรวมอยู่กับ นกกระจิบหญ้าสีข้างน้ำตาลอ่อน (Prinia subflava (Gmelin, 1789)) นกประจำถิ่นในแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายสะฮารา ปัจจุบันทั้งสองชนิดได้รับการพิจารณาว่าเป็นชนิดที่แยกออกจากกัน.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระจิบหญ้าสีเรียบ · ดูเพิ่มเติม »

นกกระจิบหญ้าท้องเหลือง

นกกระจิบหญ้าท้องเหลือง (Yellow-bellied Prinia) เป็นนกขนาดเล็กในวงศ์นกยอดข้าวและนกกระจิบหญ้า พบในอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระจายพันธุ์ในประเทศบรูไน, กัมพูชา, เขตบริหารพิเศษฮ่องกง, ประเทศอินเดีย, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, ปากีสถาน, สิงคโปร์, ไต้หวัน, ไทย, และเวียดนาม.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระจิบหญ้าท้องเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

นกกระทาญี่ปุ่น

นกกระทาญี่ปุ่น หรือ นกคุ่มญี่ปุ่น (Japanese quail, Coturnix quail; ウズラ) เป็นนกจำพวกนกกระทาหรือนกคุ่มชนิดหนึ่ง ในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา (Phasianidae) มีรูปร่างตัวอ้วนกลม ขนเป็นลายเป็นจุดกระ ๆ สีขาว, สีทอง และขาวสลับดำ ปีกและหางสั้น บินได้เพียงระยะสั้น ๆ หากินเมล็ดพืชและแมลงอยู่ตามพื้นดิน บินได้ในระยะทางสั้น ๆ หากินตามพื้นดินเป็นหลัก มีความยาวทั้งตัวจรดหาง 20 เซนติเมตร เป็นนกพื้นถิ่นของภูมิภาคเอเชียตะวันออก กระจายพันธุ์ในไซบีเรีย, ที่ราบสูงแมนจูเรีย, คาบสมุทรเกาหลี และญี่ปุ่น สำหรับในประเทศไทยถือเป็นนกอพยพ ที่หาได้ยากในธรรมชาติ นกกระทาญี่ปุ่น ในปัจจุบัน ถูกเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ด้วยการนำเนื้อและไข่บริโภค โดยถือเป็นนกกระทาชนิดที่ได้รับความนิยมในการเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจมากที.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระทาญี่ปุ่น · ดูเพิ่มเติม »

นกกระทาดงแข้งเขียว

นกกระทาดงแข้งเขียว (Green-legged partridge, Scaly-breasted partridge, Green-legged hill-partridge) เป็นนกในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา (Phasianidae) พบในป่าในอินโดจีนไปจนถึงตอนใต้สุดของประเทศจีน (มณฑลยูนนาน) จัดเป็นญาติใกล้ชิดกับนกกระทาดงเวียดนามและนกกระทาดงปักษ์ใต้.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระทาดงแข้งเขียว · ดูเพิ่มเติม »

นกกระทุง

นกกระทุง (Spot-billed pelican) นกน้ำขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกระทุง (Pelecanidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในวงศ์นี้ ที่พบได้ในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระทุง · ดูเพิ่มเติม »

นกกระตั้วดำ

นกกระตั้วดำอีกจำพวกดูที่: นกกระตั้วดำ นกกระตั้วดำ (Black cockatoo, Palm cockatoo, Goliath cockatoo) นกปากขอชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกระตั้ว (Cacatuidae) เป็นนกกระตั้วที่แตกต่างจากนกกระตั้วชนิดอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัดเจน กล่าวคือ มีลำตัวและหงอนสีทึบทึมคล้ายสีดำ จึงถูกจัดให้เป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Probosciger โดยแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) ซึ่งความแตกต่างของชนิดย่อยเหล่านี้จะแตกต่างกันที่ขนาดลำตัว (ชนิด P. a. goliath จะมีขนาดใหญ่ที่สุด) ลักษณะทั่วไป คือ มีขนสีเทาดำ มีหงอนใหญ่โค้งไปด้านหลังมีลักษณะแคบและยาว สีข้างแก้มสีแดง ตัวเมียจะมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ นอกจากนี้แล้วตัวผู้ขนทั่วตัวมีสีน้ำตาลปนดำ ใต้คอปลายขนมีขอบสีเขียว ส่วนบริเวณหูมีสีเหลือง ปากสีเทา ขาสีน้ำตาล ม่านตาสีน้ำตาล ส่วนตัวเมียขนบริเวณส่วนหูจะมีสีเหลืองจางกว่าเพศผู้ และจะมีลักษณะเด่นของจุดสีเหลือง ๆ บริเวณขนหาง เปลือกตาสีเทา มีขนาดลำตัวใหญ่ประมาณ 55–60 เซนติเมตร (22–24 นิ้ว) น้ำหนักตัวประมาณ 910–1,200 กรัม พบแพร่กระจายพันธุ์เฉพาะเกาะนิวกินีและรัฐควีนส์แลนด์ ทางตอนเหนือของออสเตรเลียเท่านั้น มีอายุการฟักไข่ประมาณ 30 วัน จัดเป็นนกที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงและแสดงตามสวนสัตว์อีกชนิดหนึ่ง แต่มีราคาซื้อขายแพงมาก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระตั้วดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกกระตั้วดำหางขาว

นกกระตั้วดำหางขาว หรือ นกกระตั้วบูด้า หรือ นกกระตั้วดำบูด้า (Long-billed black cockatoo, White-tailed black cockatoo, Baudin's cockatoo, Baudin's black cockatoo) นกปากขอชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกระตั้ว (Cacatuidae) เป็นนกกระตั้วชนิดหนึ่งที่มีสีดำ บริเวณสีขนตรงตำแหน่งหูจะมีสีขาวและสีเทา สีขนใต้หางจะมีสีขาวปนเทาเข้ม ขนบริเวณใต้คอลงมาปลายขนมีขอบสีเทาปนดำ ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้เป็นลักษณะเด่นที่ใช้ในการอนุกรมวิธานนกชนิดนี้ มีขนาดโตเต็มที่ยาว 56 เซนติเมตร (22 นิ้ว) มีอายุมากที่สุด 47 ปี ในปี ค.ศ. 1996 มีระยะเวลาการฟักไข่ 30 วันเหมือนนกกระตั้วชนิดอื่น ๆ โดยที่ชื่อสามัญและชื่อวิทยาศาสตร์ baudinii ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักสำรวจชาวฝรั่งเศส นิโกลาส์ บูด้าChristidis, Les and Walter E. Boles (2008) Systematics and Taxonomy of Australian Birds ISBN 978-0-643-06511-6 พบกระจายพันธุ์บริเวณทางตอนใต้ของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียในประเทศออสเตรเลี.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระตั้วดำหางขาว · ดูเพิ่มเติม »

นกกระตั้วใหญ่หงอนเหลือง

นกกระตั้วใหญ่หงอนเหลือง หรือ นกกระตั้วซัลเฟอร์เครสต์ (Sulphur-crested cockatoo) นกปากขอขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์นกกระตั้ว (Cacatuidae) มีความยาวของลำตัวประมาณ 50 เซนติเมตร สามารถจำแนกเพศได้จาก นกตัวผู้จะมีสีน้ำตาลแดงเข้มรอบดวงตา จะเห็นได้ชัดเจนกว่าตัวเมีย ลำตัวมีสีขาวทั้งตัว มีหงอนขนาดใหญ่บนหัวสีเหลืองอันเป็นจุดเด่น มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในบริเวณเกาะนิวกีนี, ทัสมาเนีย, เกาะคิง, เกาะมอลลูกา รวมทั้งตอนเหนือและตะวันออกของออสเตรเลีย และยังแบ่งออกเป็นชนิดย่อยได้ 4 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระตั้วใหญ่หงอนเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเบื้องผา

นกกระเบื้องผานกป่าสัปดาห์ละตัว.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเบื้องผา · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียน

นกกระเรียน เป็นนกขนาดใหญ่ คอและขายาว อยู่ในอันดับ Gruiformes และวงศ์นกกระเรียน (Gruidae) มี 15 ชนิด คล้ายนกกระสาแต่เวลาบินนกกระเรียนจะเหยียดคอตรง ไม่งอพับมาด้านหลังเหมือนนกกระสา นกกระเรียนอาศัยอยู่ทั่วโลกยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกาและทวีปอเมริกาใต้ นกส่วนมากไม่ถูกคุกคามมากนัก ยกเว้นบางชนิดที่ถูกคุกคามจนวิกฤติ เช่น นกกระเรียนกู.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียน · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนฟ้า

นกกระเรียนฟ้า นกกระเรียนฟ้า (Blue Crane Stanley Crane หรือ Paradise Crane) เป็นนกประจำชาติของประเทศแอฟริกาใต้ เป็นนกตัวสูง อาศัยอยู่บนพื้นดิน แต่จัดเป็นนกในวงศ์นกกระเรียน นกมีความสูง 100–120 ซม.และมีน้ำหนัก 4-6.2 กก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนกู่

นกกระเรียนกู่ (Whooping Crane) เป็นนกที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ เป็นนกกระเรียนที่กำลังจะสูญพันธุ์ ชื่อนกกระเรียนกู่จากเสียงกู่ร้องของนก เป็นนกกระเรียนหนึ่งในสองชนิดที่พบในอเมริกาเหนือ อีกชนิดคือนกกระเรียนเนินทราย มีอายุ 22-24 ปีในธรรมชาติ ปัจจุบันคาดว่ามีเหลืออยู่ประมาณ 250 ตัว.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนกู่ · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนมงกุฎ

นกกระเรียนมงกุฎ (Crowned crane) เป็นนกกระเรียนสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Balearica และวงศ์ย่อย Balearicinae มีลักษณะทั่วไป คือ ส่วนหัวมีขนเป็นหงอนพู่เป็นเส้นตรงสีทองขึ้นเรียงเป็นแผงคล้ายมงกุฎ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ และยังมีนิ้วตีนหลังยาวพบที่จะสามารถเกาะคอนบนต้นไม้ จำแนกออกได้เป็น 2 ชนิด โดยพบกระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา จนถึงตอนใต้ของทะเลทรายสะฮาร.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนมงกุฎ · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนมงกุฎดำ

นกกระเรียนมงกุฎดำ (Black Crowned Crane หรือ Kaffir Crane) เป็นนกในวงศ์นกกระเรียน พบในทุ่งหญ้าสะวันนาในทวีปแอฟริกาทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา ทำรังในพื้นที่เปียกชื้น มี 2 ชนิดย่อยคือ B. p. pavonina พบในทางตะวันตกและ B. p. ceciliae พบในทางตะวันออกของแอฟริกา นกกระเรียนชนิดนี้และญาติของมัน นกกระเรียนมงกุฎเทาเป็นนกกระเรียนที่สามารถเกาะคอนบนต้นไม้ได้ เพราะมีนิ้วเท้าหลังยาวพอที่จะจับกิ่งไม้ได้ ด้วยเหตุผลนี้จึงเชื่อว่านกกระเรียนสกุล Balearica เป็นสมาชิกที่คล้ายบรรพบุรุษของนกกระเรียนเป็นอย่างมาก นกกระเรียนมงกุฎดำยาวประมาณ 1 เมตร ช่วงปีกว้าง 1.87 เมตร หนักประมาณ 3.6 กิโลกรัม นกกระเรียนมงกุฎดำกินหญ้า แมลง สัตว์เลื้อยคลาน และ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเป็นอาหาร มันกำลังถูกคุคามจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่และกำลังลดจำนวนลง โดยเฉพาะทางด้านตะวันตกของแอฟริก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนมงกุฎดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนมงกุฎแดง

วนหัวของนกกระเรียนมงกุฎแดง นกกระเรียนมงกุฎแดง หรือ นกกระเรียนญี่ปุ่น หรือ นกกระเรียนแมนจูเรีย (Red-crowned crane).

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนมงกุฎแดง · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนมงกุฎเทา

thumb นกกระเรียนมงกุฎเทา หรือ นกกระเรียนหงอนพู่ (Grey crowned crane) เป็นนกในวงศ์นกกระเรียน พบในทุ่งหญ้าสะวันนาในทวีปแอฟริกาทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา ทำรังในพื้นที่เปียกชื้น ไม่ใช่นกอ.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนมงกุฎเทา · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนยุโรป

นกกระเรียนยุโรป (Eurasian Crane) หรือ นกกระเรียนธรรมดา (Common Crane) เป็นนกในวงศ์นกกระเรียน ลูกนกที่รัฐราชสถาน, อินเดีย นกโตเต็มที่และลูกนกที่รัฐราชสถาน, อินเดีย นกกระเรียนยุโรปเป็นนกขนาดใหญ่ นกกระเรียนขนาดกลาง สูง 100-130 ซม.ช่วงปีกกว้าง 180-240 ซม.หนัก 4.5-6 กก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนยุโรป · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนหมวกขาว

นกกระเรียนหมวกขาว (Hooded Crane) เป็นนกกระเรียนขนาดเล็ก มีลำตัวสีเทา คอส่วนบนและหัวเป็นสีขาว มีหนังเปลือยสีแดงตรงกระหม่อมเหนือตา ถึงมันเป็นนกกระเรียนขนาดเล็กแต่ก็ยังถือว่าเป็นนกขนาดใหญ่ ยาว 1 เมตร ช่วงปีกกว้าง 1.87 เมตร และหนัก 3.7 กิโลกรัม นกกระเรียนหมวกขาวมีแหล่งผสมพันธุ์วางไข่ในกลางถึงใต้และตะวันออกเฉียงใต้ของไซบีเรีย และในประเทศมองโกเลียแต่ยังคงไม่เป็นที่แน่ใจนัก ในฤดูหนาวประชากรมากกว่า 80% จะอยู่ที่ ไอซูมิ (Izumi) ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังพบในประเทศเกาหลีใต้และจีน ประชากรของนกชนิดนี้ประมาณกันว่าเหลืออยู่ 9,500 ตัว สาเหตุหลักที่คุกคามต่อการอยู่รอดของนกคือการสูญเสียและเสื่อมโทรมของพื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาและการสร้างเขื่อน นกกระเรียนหมวกขาวถูกจัดสถานะเป็นเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ และจัดอยู่ในบัญชีที่ 1 และ 2 ของCITES ได้มีการจัดตั้งสมาคม Grus monacha International Aid (白头鹤的故事) ขึ้นเพื่อหาทางอนุรักษ์นกชนิดนี้.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนหมวกขาว · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนออสเตรเลีย

นกกระเรียนออสเตรเลีย หรือ บรอลกา (Brolga) เป็นนกในวงศ์นกกระเรียน ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง อาศัยอยู่ในทางตะวันออกของประเทศออสเตรเลีย และเป็นสัญลักษณ์ของรัฐควีนส์แลน.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนออสเตรเลีย · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนคอขาว

นกกระเรียนคอขาว (White-naped Crane) เป็นนกในวงศ์นกกระเรียน เป็นนกขนาดใหญ่ ยาว 112-125 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนคอขาว · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนคอดำ

นกกระเรียนคอดำ (Black-necked Crane) เป็นนกกระเรียนขนาดกลาง พบในประเทศจีนบริเวณทะเลสาบปานกงในที่ราบสูงทิเบต ลำตัวยาว 139 ซม.ช่วงปีกกว้าง 235 ซม.และหนัก 5.5 กก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนคอดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนไทย

thumb thumb นกกระเรียนไทย หรือ นกกระเรียน (sarus crane) เป็นนกขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่นกอพยพ พบในบางพื้นที่ของอนุทวีปอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศออสเตรเลีย เป็นนกบินได้ที่สูงที่สุดในโลก เมื่อยืนจะสูงถึง 1.8 เมตร สังเกตเห็นได้ง่าย ในพื้นที่ชุ่มน้ำเปิดโล่ง นกกระเรียนไทยแตกต่างจากนกกระเรียนอื่นในพื้นที่เพราะมีสีเทาทั้งตัวและมีสีแดงที่หัวและบริเวณคอด้านบน หากินในที่ลุ่มมีน้ำขังบริเวณน้ำตื้น กินราก หัว แมลง สัตว์น้ำ และสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กเป็นอาหาร นกกระเรียนไทยเหมือนกับนกกระเรียนอื่นที่มักมีคู่ตัวเดียวตลอดชีวิต นกกระเรียนจะปกป้องอาณาเขตและเกี้ยวพาราสีโดยการกางปีก ส่งเสียงร้อง กระโดดซึ่งดูคล้ายกับการเต้นรำ ในประเทศอินเดียนกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ในชีวิตแต่งงาน เชื่อกันว่าเมื่อคู่ตาย นกอีกตัวจะเศร้าโศกจนตรอมใจตายตาม ฤดูผสมพันธุ์หลักอยู่ในฤดูฝน คู่นกจะสร้างรังเป็น "เกาะ" รูปวงกลมจากกก อ้อ และพงหญ้า มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบสองเมตรและสูงเพียงพอที่จะอยู่เหนือจากน้ำรอบรัง นกกระเรียนไทยกำลังลดลงอย่างรวดเร็วในคริสต์ศตวรรษที่ผ่านมา คาดกันว่าประชากรมีเพียง 10 หรือน้อยกว่า (ประมาณร้อยละ 2.5) ของจำนวนที่มีอยู่ในคริสต์ทศวรรษ 1850 ประเทศอินเดียคือแหล่งที่มั่นของนกชนิดนี้ ที่ซึ่งนกเป็นที่เคารพและอาศัยอยู่ในพื้นที่การเกษตรใกล้กับมนุษย์ นกกระเรียนนั้นสูญหายไปจากพื้นที่การกระจายพันธุ์ในหลาย ๆ พื้นที่ในอดีต.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนไทย · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนไซบีเรีย

นกกระเรียนไซบีเรีย นกกระเรียนขาวไซบีเรีย หรือ นกกระเรียนหิมะ เป็นนกในวงศ์นกกระเรียน นกชนิดนี้ทำรังวางไข่ในบริเวณใกล้ขั้วโลกเหนือของประเทศรัสเซีย ในสาธารณรัฐซาฮาและทางตะวันตกของไซบีเรีย เป็นนกอพยพระยะทางไกล ประชากรทางตะวันออกอาศัยในบริเวณแม่น้ำแยงซีและทะเลสาบผอหยางในประเทศจีน ประชากรทางตอนกลางอาศัยอยู่ที่อุทยานแห่งชาติเคโอลาเดโอ ประเทศอินเดีย (ประชากรตัวสุดท้ายของนกกระเรียนไซบีเรียกลุ่มนี้ถูกพบเมื่อปี ค.ศ. 2002) และประชากรทางตะวันตกอาศัยอยู่ในเฟ่ะเรดูนเค่ะนอรในประเทศอิหร่าน นกกระเรียนอาศัยในพื้นที่ชุ่มน้ำ กินหน่อ ราก และหัวพืชน้ำเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนไซบีเรีย · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนเล็ก

นกกระเรียนเล็ก หรือ นกกระเรียนเดมเมอเซลล์ (Demoiselle crane) เป็นนกกระเรียนชนิดหนึ่ง ขยายพันธุ์ในเอเชียกลาง พบเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไซปรัสและทางตะวันออกของประเทศตุรกี และถึงแม้จะไกลอย่างทางตอนเหนือและตะวันตกของประเทศปากีสถาน ในฤดูหนาวนกจะอพยพไปทวีปแอฟริกาและเอเชียใต้.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนเหนียงคอยาว

นกกระเรียนเหนียงคอยาว (Wattled Crane) เป็นนกขนาดใหญ่ในวงศ์นกกระเรียน พบในทวีปแอฟริกา ทางใต้ของทะเลทรายสะฮารา เป็นสปีชีส์เดียวในสกุล นกกระเรียนชนิดนี้สูงถึง 175 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนเหนียงคอยาว · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเรียนเนินทราย

นกกระเรียนเนินทราย (Sandhill Crane) เป็นนกกระเรียนขนาดใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือและทางตะวันออกเฉียงเหนือของไซบีเรีย ชื่อมาจากถิ่นอาศัยที่แม่น้ำแพลท (Platte River) บนริมเนินทรายของรัฐเนแบรสกาในอเมริกาตะวันตกกลาง ซึ่งเป็นบริเวณที่นกกระเรียนเนินทรายเล็ก (Grus canadensis canadensis) มากถึง 450,000 ตัวอพยพมาที่นี่เป็นประจำทุกปี.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเรียนเนินทราย · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเต็น

นกกระเต็น หรือ นกกะเต็น เป็นนกที่อยู่ในอันดับย่อย Alcedines ในอันดับนกตะขาบ (Coraciiformes) จัดเป็นนกขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 13-16 เซนติเมตร (ในชนิดที่ใหญ่อาจยาวได้ถึง 41 เซนติเมตร) ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน มีลักษณะทั่วไปคือ มีส่วนหัวโต คอสั้น จะงอยปากแหลมยาวตรงและแข็งแรง ส่วนใหญ่มีสีสวยสดสะดุดตา เมื่อเวลาบินจะบินได้อย่างคล่องแคล่ว มักพบในแหล่งน้ำหรือพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ เป็นนกที่หากินด้วยวิธีการพุ่งลงไปในน้ำด้วยความเร็วและแรง (มีการศึกษาพบว่าเร็วถึง 1/50 วินาที) และใช้จะงอยปากที่แข็งแรงแหลมคมจับปลาหรือสัตว์น้ำต่าง ๆ กินเป็นอาหาร ด้วยการจ้องมองจากบนกิ่งไม้ริมน้ำ ซึ่งสามารถอยู่นิ่ง ๆ แบบนั้นได้เป็นระยะเวลานาน โดยมักจะจับปลาในช่วงเช้าจนถึงสาย ๆ และอีกครั้งในช่วงบ่าย เมื่อเกาะอยู่บนกิ่งไม้เหนือแหล่งน้ำ จะพยายามหันหลังให้ดวงอาทิตย์ เพื่อให้ปลาเมื่อมองขึ้นมาจะต้องมองย้อนแสง ทำให้สังเกตไม่เห็นตัวนก ในบางชนิดอาจจะบินอยู่กับที่กลางอากาศ ก่อนที่จะพุ่งลงไปจับปลา เมื่อจับปลาได้แล้ว จะจับปลาฟาดกับกิ่งไม้เพื่อให้ปลาตาย ก่อนที่จะกลืนลงไปโดยเอาส่วนหัวลงไปก่อนเสมอ เพื่อที่จะไม่กินปลาย้อนเกล็ด ซึ่งอาจโดนเงี่ยงหรือเกล็ดทิ่มแทงทำให้นกได้รับบาดเจ็บได้ โดยปกติเป็นนกที่อยู่ลำพังเพียงตัวเดียว ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์ การทำรังวางไข่ นกกระเต็นมักใช้จะงอยปากขุดรูริมฝั่งน้ำ และหาหญ้ามารองเป็นพื้น วางไข่ครั้งละ 4-5 ฟอง บางชนิดอาจขุดรูไว้มากถึง 2-3 รู เพื่อหลอกสัตว์ผู้ล่า ขณะที่บางชนิดอาจจะใช้โพรงไม้หรือโพรงไม้เก่าของนกอื่นที่ทิ้งร้างไว้เป็นที่วางไข่ โดยมากจะวางไข่ในช่วงฤดูหนาว นกกะเต็นแดง ที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน สามารถจำแนกออกเป็นวงศ์ต่าง ๆ ได้ 3 วงศ์ (ดูในตาราง; บางข้อมูลยกให้เป็นวงศ์ย่อย) แบ่งออกได้เป็นชนิดทั้งหมด 85 ชนิด (บางข้อมูลจัดให้มี 93 ชนิด) พบกระจายพันธุ์อยู่แทบทุกภูมิภาคทั่วโลก พบในประเทศไทยราว 16 ชนิดFry, C. Hilary; Fry, Kathie and Harris, Alan (1992).

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเต็น · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเต็นขาวดำใหญ่

นกกระเต็นขาวดำใหญ่ (Crested kingfisher) เป็นนกกระเต็นชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกระเต็นปักหลัก (Cerylidae) นกกระเต็นขาวดำใหญ่ เป็นนกกระเต็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ เพราะมีความยาวถึง 43 เซนติเมตร นับว่าเป็นนกระเต็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบได้ในประเทศไทย และจัดเป็นนกที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง ด้วยที่เป็นนกที่มีถิ่นกระจายพันธุ์ตามแถบเทือกเขาหิมาลัย เช่น ภูฐาน และกระจายไปจนถึงภาคใต้ของจีน, คาบสมุทรเกาหลี และญี่ปุ่น สำหรับในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์จะพบได้ในประเทศไทย, ลาว และเวียดนาม ประเทศไทยจะพบได้เฉพาะผืนป่าตะวันตก เช่น อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ในเขตจังหวัดกำแพงเพชร อาศัยตามลำธารน้ำกลางป่าซึ่งเป็นแหล่งหากิน นกกระเต็นขาวดำใหญ่ มีเสียงร้องว่า "แอ๊ก-แอ๊ก-แอ๊ก".

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเต็นขาวดำใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเต็นปักหลัก

นกกระเต็นปักหลัก (Pied kingfisher) นกชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกระเต็นปักหลัก (Cerylidae) ถือเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Ceryle มีลักษณะทั่วไป คือ จะงอยปากยาวสีดำ หน้าและคางสีขาว มีแถบดำลากจากโคนปากผ่านตามาถึงท้ายทอย กระหม่อมสีดำมีขนยาวบริเวณหัวเป็นพู่เล็ก ๆ มีขนปกคลุมลำตัวสีขาว มีแถบดำ บริเวณเหนือหน้าอกและมีเส้นสีดำ ที่ใต้แถบสีดำ ปีกสีดำ ขอบและปลายขนปีกเป็นสีขาวคล้ายเกล็ดยาวสีขาว มีแถบดำใหญ่ก่อนถึงปลายหาง ขามีสีดำ ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ตัวผู้มีแถบดำที่หน้าอก 2 แถบ ขณะที่ตัวเมียแถบดังกล่าวมีแค่ 1 แถบและไม่ต่อเนื่อง (แบ่งออกได้เป็น 5 ชนิดย่อย-ดูในตาราง) พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ภูมิภาคแอฟริกาใต้สะฮาราและเอเชียใต้ ตั้งแต่ตุรกีถึงอินเดียและจีน ในประเทศไทยถือเป็นนกประจำถิ่นที่พบได้ทั่วไปตามริมแม่น้ำ, คลอง หรือทะเลสาบ โดยเฉพาะในภาคกลางและภาคเหนือ นกกระเต็นปักหลักส่งเสียงร้องสั้น ๆ ว่า "ชิชิริ-ชิชิริ" มีความสามารถกระพือปีกบินอยู่กับที่ในอากาศก่อนที่จะพุ่งตัวลงน้ำลงไปจับปลาได้ ในประเทศไทยจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเต็นปักหลัก · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเต็นน้อยธรรมดา

นกกระเต็นน้อยธรรมดา (Common kingfisher) เป็นนกกระเต็นชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย จัดอยู่ในวงศ์นกกระเต็นน้อย (Alcedinidae) และมีขนาดที่ค่อนข้างเล็กและน่ารัก มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางประมาณ 16–18 เซนติเมตร เมื่อเทียบกับนกกระเต็นชนิดอื่น ๆ แต่จะแตกต่างกันที่ตัวเมียมีโคนปากล่างและอาจทั้งปากล่างเป็นสีส้มแดงขณะที่ตัวผู้มีปากสีดำสนิท.

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเต็นน้อยธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

นกกระเต็นเฮอร์คิวลิส

นกกระเต็นเฮอร์คิวลิส (Blyth's kingfisher) เป็นนกกระเต็นชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกระเต็นน้อย (Alcedinidae) นับเป็นนกระเต็นที่มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางในประเทศแถบเอเชีย เช่น อินเดีย, เนปาล, ภูฏาน, บังกลาเทศ, พม่า, ไทย, เวียดนาม, ลาว และจีน สำหรับในประเทศไทย ถือเป็นนกอพยกที่หายากมาก ในประเทศไทยมีรายงานพบที่ด้านตะวันตกของภาคเหนือ แต่ก็มีรายงานพบที่แม่น้ำโขง ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย และที่อุทยานแห่งชาติดอยผาห่มปก จังหวัดเชียงใหม่ แม้ว่านกกระเต็นเฮอร์คิวลิสจะเป็นนกที่ถิ่นกระจายพันธุ์ที่กว้าง แต่ถิ่นที่อาศัยกลับถูกจำกัดแคบ ๆ ตามแนวลำน้ำเท่านั้นซึ่งมักถูกบุกรุกและยึดครอง ประกอบกับมีจำนวนประชากรที่น้อย จึงเป็นนกที่หาตัวพบเห็นได้ยากมาก ในประเทศไทยมีตัวอย่างอ้างอิงของนกกระเต็นเฮอร์คิวลิสเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้น เป็นตัวอย่างนกตัวเมีย เก็บโดย นายกิตติ ทองลงยา จากบริเวณป่าริมน้ำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน..

ใหม่!!: สัตว์และนกกระเต็นเฮอร์คิวลิส · ดูเพิ่มเติม »

นกกะรางหัวขวาน

นกกะรางหัวขวาน เป็นนกขนาดกลาง มีสีสวย มีลักษณะเด่นที่จำง่ายคือมีหงอน (หัวขวาน) คล้ายหมวกของพวกอินเดียแดง พบทั่วทั้งทวีปแอฟริกาและยูเรเชียพร้อมทั้งทั่วประเทศไทย เป็นสปีชีส์เดียวของวงศ์ Upupidae ที่ยังหลงเหลืออยู่ มีสปีชีส์ย่อยเฉพาะเกาะเซนต์เฮเลนา (ในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้) ที่สูญพันธ์ไปแล้ว และเฉพาะเกาะมาดากัสการ์ที่บางครั้งจัดเป็นสปีชีส์ของตนเอง ชื่อสกุลภาษาละตินว่า Upupa คล้ายกับชื่อภาษาอังกฤษว่า "hoopoe" (อ่านว่า ฮูพู) โดยเป็นชื่อเลียนเสียงร้องของนก นกกะรางหัวขวานเป็นนกประจำชาติของประเทศอิสราเอล เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และนกกะรางหัวขวาน · ดูเพิ่มเติม »

นกกะปูด

นกกะปูด (Coucals, Crow pheasants) เป็นนกสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Centropodinae ในวงศ์นกคัคคู (Cuculidae) โดยใช้ชื่อสกุลว่า Centropus แต่มิใช่นกปรสิตเหมือนนกชนิดอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน โดยเป็นนกเพียงวงศ์เดียวและสกุลเดียว นกกะปูด จัดเป็นนกขนาดกลาง มีลำตัวเพรียวยาว ลักษณะคล้ายกา มีความยาวประมาณ 35.50 เซนติเมตร ปากสีดำแหลมสั้นหนาแข็งแรง ตาสีแดง หัวและคอ และลำตัวสีดำ ปีกสั้นสีน้ำตาลแดง ขายาวสีดำ นิ้วตีนและเล็บยาวแข็งแรง สามารถจับเหยื่อ เกาะยึดเหนียวไต่แทรกไปตามพงหญ้า, ต้นไม้ หรือ พุ่มไม้หนาทึบได้อย่างคล่องแคล่ว หางยาวประมาณ 15–25 เซนติเมตร หนังหนาเหนียวสีดำ นกกะปูด ได้ชื่อมาจากเสียงร้อง "ปูด ๆ ๆ ๆ ๆ" อันเป็นเอกลักษณ์ มักอาศัยอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ชายน้ำหรือพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ มีพฤติกรรมออกกินในตอนเช้าและตอนเย็น เมื่อตกใจแทนที่จะบินหนีเหมือนนกชนิดอื่น แต่กลับวิ่งหัวซุกหัวซุนเข้าซ่อนเร้นอยู่ในพุ่มไม้รกใกล้ ๆ บริเวณนั้น เมื่อจวนตัวจึงบินหนี นกกะปูดกินอาหารได้แก่ กบ, เขียด, หนู, อึ่งอ่าง, ปู, กุ้ง, หอย และปลา โดยหากินตามท้องนาหรือชายน้ำ แต่อาหารที่ชอบที่สุด คือ งู ทำรังอยู่ตามพงหญ้ารกตามริมน้ำ เช่น อ้อ หรือแขม วางไข่ครั้งหนึ่งราว 2 ถึง 6 ฟอง ตัวผู้กับตัวเมียจะผลัดเปลี่ยนกันฟักไข่ นกกะปูด กระจายพันธุ์ในเขตร้อนทั่วไปทั้งทวีปเอเชียและแอฟริกา แบ่งออกเป็น 30 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกะปูด · ดูเพิ่มเติม »

นกกะปูดใหญ่

นกกะปูดใหญ่ หรือ นกกดเพลิง birds of Thailand (Greater coucal, Crow pheasant) เป็นนกขนาดใหญ่ในวงศ์นกคัคคู (Cuculidae) แต่ไม่ใช่นกปรสิต เป็นนกประจำถิ่นที่มีการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในเอเชีย จากประเทศอินเดียไปทางตะวันออกถึงจีนและลงไปทางใต้ถึงอินโดนีเซีย แบ่งออกเป็นหลายชนิดย่อย นกกะปูดใหญ่มีขนาดใหญ่คล้ายอีกา มีหางยาว และมีปีกสีน้ำตาลทองแดง พบในแหล่งที่อยู่อาศัยหลากหลายจากป่าถึงพื้นเพาะปลูก และสวนในเมืองใหญ่ เป็นนกมักมีพฤติกรรมปีนป่ายตามพุ่มไม้หรือเดินอยู่ตามพื้นดินเพื่อหาแมลง ไข่ หรือลูกนกชนิดอื่นกินเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และนกกะปูดใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกกา

นกกา หรือ อีกา (Crow) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์ปีก เป็นนกชนิดหนึ่งอยู่ในสกุล Corvus ในวงศ์นกกา (Corvidae) พบกระจายพันธุ์ทั่วโลก ยกเว้นในทวีปอเมริกาใต้ มีลักษณะเฉพาะตัวคือมีสีขนสีดำสนิทเป็นเงามันเลื่อม อยู่รวมกันเป็นกลุ่มและออกหากินเวลากลางวันโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่แดดแรง กาจะหาอาหารโดยการซ่อนตัวในเงาของต้นไม้ สำหรับการจู่โจมเหยื่อ นกกามีลักษณะเหมือนนกอีกประเภทหนึ่งชื่อ นกเรเวน ซึ่งเป็นนกที่มีสีดำเหมือนกัน นอกจากนี้แล้ว นกกายังถือว่าเป็นนกที่มีอายุขัยเฉลี่ยสูงถึง 90 ปี ซึ่งนับว่าสูงกว่าสัตว์ใหญ่อย่างช้างเสียอีก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกา · ดูเพิ่มเติม »

นกกาภูเขาปากแดง

นกกาภูเขาปากแดง หรือ นกกาภูเขา (Chough, Red-billed chough) เป็นนกชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกา (Corvidae) เป็นนกที่มีรูปร่างเหมือนกับนกกาทั่วไป แต่มีขนาดใหญ่กว่า กับส่วนหัวที่แหลมชี้ขึ้นและปีกที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและปลายปีกคม หน้าแข้งสีแดงและจะงอยปากสีแดง จะงอยปากเรียวยาวและคม อันเป็นลักษณะเฉพาะที่ใช้ในการอนุกรมวิธาน ผสมพันธุ์และวางไข่ในช่วงฤดูหนาว บนหน้าผาสูงหรือบริเวณที่เป็นพื้นหญ้า บางครั้งอาจเข้าไปทำรังในอาคารหรือตึกร้างได้ บางครั้งอาจจะกระโดดเหมือนกับกายกรรมลงมาในแนวดิ่งได้ พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทวีปยุโรป, เอเชียเหนือ, เอเชียกลาง และเอเชียตะวันออก เป็นนกที่แพร่ขยายพันธุ์และมีจำนวนประชากรที่มาก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกาภูเขาปากแดง · ดูเพิ่มเติม »

นกกางเขน

นกกางเขน หรือ นกกางเขนบ้าน (Oriental magpie robin) เป็นนกชนิดหนึ่งที่กินแมลง มีขนาดไม่ใหญ่นัก ยาวประมาณ 18-20 เซนติเมตร ส่วนบนลำตัวสีดำเงา ส่วนล่างตั้งแต่หน้าอกลงไปจะเป็นสีขาวหม่น ใต้หางและข้างหางมีสีขาว ปีกมีลายพาดสีขาวทั้งปีก ตัวผู้สีจะชัดกว่าตัวเมีย ส่วนที่เป็นสีดำในตัวผู้ ในตัวเมียจะเป็นสีเทาแก่ ปากและขาสีดำ มักจะพบเป็นตัวเดียวหรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หากินแมลงตามพุ่มไม้ บางครั้งก็โฉบจับแมลงกลางอากาศ หางของมันมักกระดกขึ้นลง ร้องเสียงสูงบ้าง ต่ำบ้าง ฟังไพเราะ ทำรังตามโพรงไม้ที่ไม่สูงนัก มันจะวางไข่ครั้งละ 4-5 ฟองและตัวเมียเท่านั้นจะกกไข่ และจะฟักไข่นานประมาณ 8-14 วัน อายุ 15 วัน แล้วจะเริ่มหัดบิน ในประเทศไทยพบทั่วไปในทุกภาคแม้ในเมืองใหญ่ ๆ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 นกกางเขนเป็นนกเกาะคอน (อันดับ Passeriformes) ที่เคยจัดเป็นวงศ์นกเดินดง (Turdidae) แต่ปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์นกจับแมลงและนกเขน (Muscicapidae) เป็นนกสีดำขาวที่เด่น มองเห็นได้ง่าย มีหางยาวที่จะกระดกขึ้นลงเมื่อหาอาหารที่พื้นหรือจับบนต้นไม้ เป็นนกที่มีอยู่กระจายไปทั่วเอเชียใต้และบางส่วนของเอเชียอาคเนย์ เป็นนกที่สามัญทั้งตามสวนในเมืองและในป่า เป็นนกที่รู้จักกันดีเพราะร้องเสียงเพราะ และเคยเป็นนกเลี้ยงที่นิยม นกกางเขนเป็นนกประจำชาติของประเทศบังกลาเทศ ซึ่งเรียกนกว่า "Doyel" ชื่ออังกฤษของนกคือ Oriental Magpie Robin อาจจะเป็นเพราะนกดูคล้ายนกสาลิกาปากดำ (Common Magpie).

ใหม่!!: สัตว์และนกกางเขน · ดูเพิ่มเติม »

นกกางเขนดง

นกกางเขนดง หรือ นกบินหลาดง (White-rumped shama) เป็นนกที่อยู่ในวงศ์ Muscicapidae มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับนกกางเขนบ้าน แตกต่างกันที่นกกางเขนดงจะมีสีสันบริเวณท้องเป็นสีแดงอมน้ำตาลสดใส และมีสัดส่วนหางยาวกว่าปีกและลำตัวมาก มีเสียงร้องเพลงไพเราะ ชาวตะวันตกที่เข้าไปในอินเดียและพบนกชนิดนี้เข้าได้เรียกว่านกไนติงเกลแห่งอินเดียนกกางเขนดง.

ใหม่!!: สัตว์และนกกางเขนดง · ดูเพิ่มเติม »

นกกาน้อยหงอนยาว

นกกาน้อยหงอนยาว เป็นนกในวงศ์นกกา (Corvidae) และัจัดเป็นชนิดเดียวในสกุล Platylophus พบในบรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า และไทย ถิ่นอาศัยธรรมชาติเป็นที่ราบป่าไม้เขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อนความชื้นสูงและเทือกเขาที่มีความชื้นสูงในกึ่งเขตร้อนหรือเขตร้อน ถูกคุกคามโดยการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศั.

ใหม่!!: สัตว์และนกกาน้อยหงอนยาว · ดูเพิ่มเติม »

นกกาน้อยแถบปีกขาว

นกกาน้อยแถบปีกขาว (Black magpie) เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกกา (Corvidae) จัดเป็นนกชนิดเดียวในสกุล Platysmurus กระจายพันธุ์ในประเทศบรูไน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, พม่า, สิงคโปร์, และไทย พบในป่าลุ่มต่ำและป่าชายเลนในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ปัจจุบันกำลังถูกคุกคามจากการสูญเสียถิ่นอาศัย นกกาน้อยแถบปีกขาวยาวประมาณ 40 เซนติเมตร ตาสีแดง ขนสีดำตลอดตัว ยกเว้นปีกมีแถบสีขาวตามยาว มีหงอนสั้น ๆ บนหัว.

ใหม่!!: สัตว์และนกกาน้อยแถบปีกขาว · ดูเพิ่มเติม »

นกกาน้ำ

นกกาน้ำ (Cormorant, Shag) เป็นนกที่อยู่ในวงศ์ Phalacrocoracidae ซึ่งมีเพียงสกุลเดียว คือ Phalacrocorax.

ใหม่!!: สัตว์และนกกาน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

นกกาน้ำปากยาว

นกกาน้ำปากยาว (Indian cormorant, Indian shag) เป็นนกในวงศ์นกกาน้ำ (Phalacrocoracida) พบตามแหล่งน้ำของอนุทวีปอินเดีย ออกไปทางตะวันตกถึงรัฐสินธ์ และทางตะวันออกถึงประเทศไทยและกัมพูชา ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีความแตกต่างจากนกกาน้ำเล็ก (P. niger) ที่มีขนาดใกล้เคียงกันคือ ตาสีฟ้า หัวเล็ก หน้าผากลาด มีปากยาวแคบโค้งเป็นตะขอที่ปลายปาก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกาน้ำปากยาว · ดูเพิ่มเติม »

นกกาน้ำใหญ่

นกกาน้ำใหญ่ (Great cormorant, Great black cormorant, Black cormorant, Black shag) เป็นนกในวงศ์นกกาน้ำ (Phalacrocoracidae) กระจายพันธุ์ในโลกเก่าและชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของทวีปอเมริกาเหนือ.

ใหม่!!: สัตว์และนกกาน้ำใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกกาน้ำเล็ก

นกกาน้ำเล็ก (Little cormorant, Javanese cormorant) เป็นนกชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกาน้ำ (Phalacrocoracidae) เป็นนกกาน้ำขนาดเล็ก มีความยาวจากปลายปากถึงปลายหาง 51-56 เซนติเมตร น้ำหนัก 360-525 กรัม ความกว้างระหว่างปลายปีกทั้งสอง 90 เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะเหมือนกัน ขนตามลำตัวมีสีดำเหลือบน้ำเงิน ตรงปีกมีสีน้ำตาลปน บริเวณรอบตามีจุดสีขาวขนาดเล็ก ใต้คางมีสีครีม แต่ขนชุดนอกและในฤดูผสมพันธุ์แตกต่างกัน นอกฤดูผสมพันธุ์ ปากสีเนื้อแกมเทาหม่น ขนทั่วทั้งหัว, ลำคอ, ลำตัว ปีกและหางสีน้ำตาลแกมดำ แต่ขนบริเวณไหล่และปีกสีค่อนข้างเทา แต่ขอบขนสีดำ คางค่อนข้างขาว ในฤดูผสมพันธุ์ ปากสีค่อนข้างดำ หัว, ลำคอ, อก, ท้อง, สีข้างและขนคลุมใต้โคนหางเปลี่ยนเป็นสีดำเหลือบน้ำเงินและเขียว บนกระหม่อมขนคลุมหู และท้ายทอยมีลายริ้วสีขาว พบกระจายพันธุ์ในทวีปยุโรป, แอฟริกา และในทวีปเอเชีย ได้แก่ อินเดีย, จีน, พม่า, อินโดจีน, มาเลเซีย, ชวา และในประเทศไทยพบทั่วไปทุกภาค จัดเป็นนกกาน้ำชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด อาศัยอยู่ตามหนองบึง, แม่น้ำ, ลำคลอง หรือท้องนา จับปลาขนาดเล็กจำพวกปลาตะเพียนกินเป็นอาหาร ส่วนใหญ่ชอบอยู่ตามลำพัง บางครั้งอาจพบอยู่รวมกันเป็นฝูงบ้าง ชอบดำน้ำไล่จับปลาเป็นอาหาร เมื่อขึ้นจากน้ำมักจะยืนกางปีกตากแดดให้ขนแห้ง นกกาน้ำเล็กผสมพันธุ์ในราวเดือนกรกฎาคม ทำรังอยู่บนต้นไม้ใหญ่รวมกันหลายรังบนต้นเดียวกัน ทำรังด้วยกิ่งไม้เล็ก ๆ ขัดสานไว้อย่างหยาบ ๆ และวางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และนกกาน้ำเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

นกกาน้ำเล็ก (สกุล)

นกกาน้ำเล็ก เป็นสกุลของนกสกุลหนึ่ง ในวงศ์นกกาน้ำ (Phalacrocoracidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Microcarbo เดิมเคยถูกจัดให้เป็นสกุลย่อยของ Phalacrocorax แต่ปัจจุบันได้รับการยอมรับให้เป็นสกุลต่างหาก จากสภาปักษีวิทยานานาชาติ (IOC) จากการที่มีรูปร่างที่เล็กกว่านกกาน้ำสกุล Phalacrocorax โดยชนิดที่รับได้การจัดแยกมาได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกาน้ำเล็ก (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

นกกาเหว่า

นกกาเหว่า หรือ นกดุเหว่า (Asian koel) เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกคัคคู (Cuculidae) พบในเอเชียใต้ จีน เอเชียอาคเนย์รวมทั้งประเทศไทย เป็นญาติใกล้ชิดกับ E. melanorhynchus (black-billed koel) และกับ E. orientalis (Pacific koel) โดยทั้งสองบางครั้งจัดเป็นสปีชีส์ย่อยของ E. scolopaceus เป็นญาติใกล้ชิดกับ E. melanorhynchus (black-billed koel) และกับ E. orientalis (Pacific koel) โดยทั้งสองบางครั้งจัดเป็นสปีชีส์ย่อยของ E. scolopaceus เป็นนกปรสิตที่วางไข่ให้กาและนกอื่น ๆ เลี้ยง เป็นนกจำพวกคัคคูที่ไม่เหมือนพันธุ์อื่น ๆ เพราะโดยมากกินผลไม้ (frugivore) เมื่อเติบใหญ่ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 ชื่อว่า "กาเหว่า" และชื่ออื่น ๆ อีกหลายภาษารวมทั้งชื่ออังกฤษว่า "koel" เป็นชื่อเลียนเสียงนก เป็นนกที่ใช้เป็นสัญลักษณ์อย่างมากมายในวรรณกรรมอินเดี.

ใหม่!!: สัตว์และนกกาเหว่า · ดูเพิ่มเติม »

นกกินปลี

นกกินปลี (Sunbird) เป็นวงศ์ของนกเกาะคอนขนาดเล็ก ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nectariniidae เป็นนกขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ประมาณ 10-15 เซนติเมตร มีจุดเด่น คือ มีจะงอยปากยาวโค้ง ที่ภายในกลวงเป็นท่อ และมีลิ้นขนาดยาวอยู่ในนั้น ใช้สำหรับดูดกินน้ำต้อยจากดอกไม้เป็นอาหารหลัก บางครั้งอาจจะกินแมลงด้วย และนำไปเลี้ยงดูลูกอ่อน สามารถบินได้ด้วยความรวดเร็ว จึงมีลักษณะคล้ายกับนกฮัมมิ่งเบิร์ด (Trochilidae) ที่พบในทวีปอเมริกา เป็นนกที่มีสีสันสวยงาม ตัวผู้จะมีสีสวยและขนาดตัวใหญ่กว่าตัวเมีย พยกระจายพันธุ์ในซีกโลกที่เรียกว่า โลกเก่า คือ ทวีปยุโรป, แอฟริกา, เอเชีย และออสเตรเลีย รังทำด้วยเปลือกไม้และใบไม้แขวนห้อยอยู่ปลายกิ่งไม้ ดูรุงรังคล้ายถุงขยะ บางครั้งอาจเข้ามาทำรังในชายคาบ้านของมนุษย์ ตัวเมียเป็นฝ่ายกกไข่และดูแลลูก ขณะที่ตัวผู้จะเป็นดูแลอยู่ข้างนอกและหาอาหารมาป้อนให้ พบทั้งหมด 132 ชนิด ใน 13 สกุล (บางข้อมูลจัดให้มี 8 สกุล) พบในประเทศไทยได้ 22 ชนิด เช่น นกกินปลีอกเหลือง (Cinnyris jugularis), นกกินปลีดำม่วง (C. asiaticus) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และนกกินปลี · ดูเพิ่มเติม »

นกกินปลีหางยาวเขียว

นกกินปลีหางยาวเขียว (Green-tailed sunbird) เป็นนกในวงศ์นกกินปลี (Nectariniidae) พบในประเทศบังกลาเทศ, ภูฏาน, จีน, อินเดีย, ลาว, พม่า, เนปาล, ไทย, และ เวียดนาม อาศัยในป่าเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนและป่าเมฆ นกเพศผู้ หัวและหางเป็นสีเขียวเหลือบ หลังแดง อกและท้องเป็นสีเหลือง มีแถบแดงที่อก หางยาว ชนิดย่อย australis ไม่มีแถบที่อก เพศเมียขนส่วนบนสีเขียว ส่วนล่างสีเหลือง.

ใหม่!!: สัตว์และนกกินปลีหางยาวเขียว · ดูเพิ่มเติม »

นกกินปลีอกเหลือง

นกกินปลีอกเหลือง (Olive-backed sunbird, Yellow-bellied sunbird) เป็นนกจับคอนขนาดเล็กในวงศ์นกกินปลี (Nectariniidae) กินน้ำต้อยเป็นอาหาร พบตั้งแต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงประเทศออสเตรเลี.

ใหม่!!: สัตว์และนกกินปลีอกเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

นกกินปลีดำม่วง

นกกินปลีดำม่วง (Purple sunbird) เป็นนกกินปลีขนาดเล็ก กินน้ำหวานในดอกไม้เป็นอาหารแต่บางครั้งก็กินแมลงเป็นอาหารด้วยเหมือนกันโดยเฉพาะตอนเลี้ยงดูลูกอ่อน เพศผู้มีขนสีดำยกเว้นบางแห่งที่เป็นสีม่วงเปล่งปลั่ง เพศเมียมีสีเขียวมะกอกในส่วนบนสีเหลืองจางในส่วนล่าง.

ใหม่!!: สัตว์และนกกินปลีดำม่วง · ดูเพิ่มเติม »

นกกินปลีคอสีน้ำตาล

นกกินปลีคอสีน้ำตาล (Brown-throated sunbird, Plain-throated sunbird) เป็นนกในวงศ์นกกินปลี (Nectariniidae) เป็นนกที่พบในที่อยู่อาศัยแบบกึ่งเปิดหลากหลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่พม่าไปถึงหมู่เกาะซุนดาน้อยและฟิลิปปินส์ตะวันตก นกกินปลีคอสีเทาที่พบในส่วนที่เหลือของฟิลิปปินส์ บ่อยครั้งถูกถือว่าเป็นชนิดย่อยของนกกินปลีคอสีน้ำตาล แต่ทั้งสองแตกต่างในการขนาดและชุดขน และไม่มีหลักฐานใดที่จะเชื่อมโยงทั้งสองชนิดเข้าด้วยกัน ในประเทศไทย ถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทนก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกินปลีคอสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

นกกินปลีแดงหัวไพลิน

นกกินปลีแดงหัวไพลิน (Fire-tailed sunbird; ชื่อวิทยาศาสตร์: Aethopyga ignicauda) เป็นนกเกาะคอนขนาดเล็ก ยาว 11-19 เซนติเมตร มีลักษณะร่วมของนกกินปลีมีจะงอยปากยาวโค้ง ลำตัวเรียวยาว ตัวผู้จะมีสีสันโดดเด่นกว่าตัวเมีย ตัวผู้หางสีแดงสดยาว 10-15 เซนติเมตร ตัวเมียไม่มีจุดเด่นใดๆ อาศัยในป่าดิบบนภูเขาหรือป่าสนเขา ระดับสูงหลายพันเมตร แพร่กระจายพันธุ์ตามแนวเทือกเขาสูง แนวเทือกเขาหิมาลัย ตั้งแต่ประเทศอินเดีย บังกลาเทศ ทิเบต จีนตอนใต้ และพม่า ในประเทศไทยพบเฉพาะดอยผ้าห่มปก และดอยลาง มักจะทำรังห้อยแขวนไว้บนกิ่งไม้ขนาดเล็ก ด้วยใบไม้แห้ง ผสมพันธุ์ระหว่างเดือนมีนาคมและมิถุนายน จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทนก.

ใหม่!!: สัตว์และนกกินปลีแดงหัวไพลิน · ดูเพิ่มเติม »

นกกินแมลงเด็กแนน

นกกินแมลงเด็กแนน หรือ นกกินแมลงหน้าผากน้ำตาล (Rufous-fronted babbler, Deignan's babbler) นกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกินแมลงและนกกะราง (Timaliidae) มีความยาวลำตัววัดจากปลายปากถึงปลายหางประมาณ 15 เซนติเมตรขนบนลำตัวสีเหลือง ขนบนกระหม่อมสีน้ำตาลแดง ปากสั้นโค้งเล็กน้อย ปลายแหลมสีน้ำตาลเข้ม กินแมลงเป็นอาหาร เดิม นกชนิดนี้เคยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stachyris rodolphei แต่ปัจจุบันยอมรับว่าเป็นชนิดเดียวกันกับ Stachyridopsis rufifrons จึงใช้ชื่อนี้ในปัจจุบัน และอาจจะยังเป็นชนิดเดียวกันกับ Stachyris ambigua ด้วย เป็นนกที่พบได้เฉพาะภาคเหนือ ที่ดอยหลวงเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ที่เดียวเท่านั้น จัดเป็นนกเฉพาะถิ่น ปัจจุบันพบได้น้อยมาก มีสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และนกกินแมลงเด็กแนน · ดูเพิ่มเติม »

นกกินเปี้ยว

นกกินเปี้ยว (Collared kingfisher, White-collared kingfisher, Mangrove kingfisher) นกกระเต็นชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกระเต็น (Halcyonidae) มีส่วนหัวและลำตัวด้านบนสีเขียวแกมฟ้า รอบคอและลำตัวด้านล่างสีขาว ปีกสีฟ้า จะงอยปากใหญ่ด้านบนสีดำ ด้านล่างสีเนื้อ มีพฤติกรรมหากินเป็นคู่ ตัวผู้และเมียมีลักษณะคล้ายกันมาก แต่ตัวผู้จะมีสีสดใสกว่า กินปูก้ามดาบ หรือปูเปี้ยว เป็นอาหาร อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ ตลอดจนแมลงและสัตว์ขนาดเล็กอื่น ๆ ทำรังโดยการขุดรูในโพรงดิน หรือในรังปลวกที่พบได้บริเวณต้นไม้ ด้วยความที่ชอบกินปูก้ามดาบ จึงพบบ่อยในป่าชายเลน พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ทะเลแดง, เอเชียใต้, เอเชียอาคเนย์ จนถึงโพลินีเซีย และออสเตรเลีย และแบ่งออกเป็นชนิดย่อยต่าง ๆ ได้ถึง 50 ชนิด ในประเทศไทย เป็นนกประจำถิ่นที่พบได้บ่อยและพบได้ทุกฤดูกาล และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และนกกินเปี้ยว · ดูเพิ่มเติม »

นกกิ้งโครงคอดำ

ทยพบได้แทบทุกภาคยกเว้นทางตอนใต้ของภาคใต้ ในต่างประเทศพบได้ในประเทศอินเดีย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, กัมพูชา และภาคใต้ของจีน เป็นนกที่กินเมล็ดพืชและธัญพืชเป็นอาหาร และกินสัตว์ขนาดเล็ก ๆ เช่น แมลงหรือสัตว์เลื้อยคลานได้ด้วย อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินตามพื้นดิน โดยมักส่งเสียงร้องเอะอะเสียงดังทั้งฝูงโดยเฉพาะเมื่อตกใจหรือเวลาถูกรบกวน เป็นนกที่อาศัยทั้งในท้องทุ่งหรือแหล่งเกษตรกรรม จนถึงชุมชนเมืองของมนุษย์ เช่น สวนสาธารณะต่าง ๆ นกที่อาศัยอยู่ในเมืองมีพฤติกรรม นำเอาเศษวัสดุตามกองขยะ เช่น กระดาษ หรือถุงพลาสติก มาสร้างรัง วางไข่คราวละ 2-6 ฟอง กกไข่นาน 15-17 วัน จึงฟักออกเป็นตัว โดยรังเป็นรังแบบปิดมีทางเข้าออกแค่ทางเดียว ลักษณะรังเป็นรูปโดมขนาดใหญ่แขวนตามต้นไม้ ซึ่งนกในชุมชนเมืองอาจจะทำหลังใต้หลังคาบ้านของมนุษย์ มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน นกกิ้งโครงคอดำ เป็นหนึ่งของนกในวงศ์นี้ที่สามารถเลียนเสียงมนุษย์ได้ จึงมีการนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง และถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และนกกิ้งโครงคอดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกกีวี

นกกีวี (Kiwi) เป็นนกจำพวกหนึ่งที่บินไม่ได้ มีลักษณะที่แปลกไปจากนกอื่น ๆ ด้วยมีวิวัฒนาการเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน เป็นนกออกหากินเวลากลางคืน มีถิ่นกำเนิดในธรรมชาติอยู่ในนิวซีแลนด์เท่านั้น นกกีวีจัดอยู่ในสกุล Apteryx ในวงศ์ Apterygidae.

ใหม่!!: สัตว์และนกกีวี · ดูเพิ่มเติม »

นกกีวีสีน้ำตาล

นกกีวีสีน้ำตาล หรือ นกกีวีสีน้ำตาลใต้ หรือ นกกีวีธรรมดา (Brown kiwi, Southern brown kiwi, Common kiwi) เป็นนกกีวีชนิดหนึ่ง จัดเป็นนกกีวีชนิดที่รู้จักกันมากที่สุด มีรูปร่างลักษณะทั่วไปเหมือนกับนกกีวีสีน้ำตาลเกาะเหนือ (A. mantelli) ที่ถูกแยกชนิดกันชัดเจนเมื่อปี ค.ศ. 2000 คือ มีขนปกปุยปกคลุมลำตัวสีน้ำตาล จะงอยปากแหลมยาว ปีกมีขนาดสั้นซ่อนอยู่ภายใต้ขนที่หนา พบกระจายพันธุ์เฉพาะเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ ตั้งแต่บริเวณทิศใต้จนถึงทิศตะวันตก และยังสามารถพบได้ในพื้นที่ที่ราบสูง โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย คือ.

ใหม่!!: สัตว์และนกกีวีสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

นกมานูโคด

นกมานูโคด (Manucode) เป็นนกสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Manucodia (/มา-นู-โค-เดีย/) ในวงศ์นกปักษาสวรรค์ (Paradisaeidae) นกมานูโคด มีความแตกต่างจากนกปักษาสวรรค์สกุลหรือชนิดอื่นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากไม่มีสีหรือขนที่สวยงาม แต่กลับมีลักษณะคล้ายกับอีกา หรือนกในวงศ์กา (Corvidae) ซึ่งเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของนกปักษาสวรรค์ในปัจจุบัน นกมานูโคด มีเสียงร้องที่โดดเด่น และในอดีตเชื่อว่าเป็นนกที่จับคู่เพียงคู่เดียว ตัวผู้ไม่ต้องมีสีขนฉูดฉาดเพื่อดึงดูดตัวเมีย แต่ใช้เสียงเป็นตัวดึงดูด จากนั้นจึงเปลี่ยนกลายมาเป็นจับคู่ตัวเมียหลายตัว และการคัดเลือกทางเพศก็เปลี่ยนไป คำว่า "มานูโคด" หรือ Manucodia มาจากภาษาชวาคำว่า "manuk dewata"; "manuk" หมายถึง "นก" และ "dewata" หมายถึง "เทพเจ้า".

ใหม่!!: สัตว์และนกมานูโคด · ดูเพิ่มเติม »

นกยางดำ

นกยางดำ (Black Bittern) เป็นนกลุยน้ำโลกเก่าในวงศ์นกยาง แพร่พันธุ์ในเขตร้อนของทวีปเอเชียจากประเทศปากีสถาน, ประเทศอินเดีย และ ประเทศศรีลังกา ไปทางตะวันออกถึงประเทศจีน, ประเทศอินโดนีเซีย และ ประเทศออสเตรเลีย ปกติเป็นนกประจำถิ่น แต่ในตอนเหนือบางแห่งเป็นนกอพยพระยะสั้น กินแมลง, ปลา และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และนกยางดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกยางควาย

นกยางควาย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Bubulcus ibis; Cattle egret) เป็นนกยางสีขาว ในวงศ์ Ardeidae พบในเขตร้อนและอบอุ่น นกกระยางควายมีจุดกำเนิดในทวีปเอเชีย แอฟริกาและยุโรป แต่นกยางมีการขยายพันธุ์และกระจายตัวไปทั่วโลก และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จัดเป็นนกเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในสกุล Bubulcus.

ใหม่!!: สัตว์และนกยางควาย · ดูเพิ่มเติม »

นกยางแดงใหญ่

นกยางแดงใหญ่ (Eurasian Bittern หรือ Great Bittern) เป็นนกลุยน้ำในวงศ์นกยาง.

ใหม่!!: สัตว์และนกยางแดงใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกยางโทนใหญ่

นกยางโทนใหญ่ (Great egret) เป็นนกลุยน้ำขนาดใหญ่ในวงศ์นกยาง (Ardeidae) มีขนสีขาวตลอดตัว คอยาว มีลักษณะคล้ายนกยางโทนน้อย แต่ปากจะยาวกว่า หัวไม่กลมเหมือนนกยางโทนน้อ.

ใหม่!!: สัตว์และนกยางโทนใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกยูง

นกยูง (Peacock, Peafowl) เป็นสัตว์ปีกจำพวกไก่ฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์เดียวกันนี้ มีจุดเด่นคือ เพศผู้มีขนหางยาวที่มีสีสันสวยงาม ที่เมื่อแผ่ขยายออกเพื่ออวดเพศเมียจะมีความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า "รำแพน" นกยูงใช้ชื่อสกุลว่า Pavo ชอบอาศัยอยู่ในป่าดิบแล้งและป่าผลัดใบผสมตามริมลำธารในป่า มีพฤติกรรมมักร้องตอนเช้าหรือพลบค่ำ กินอาหารจำพวกเมล็ดพืช แมลง และสัตว์เล็ก ๆ มีการกระจายพันธุ์อยู่ทางเหนือของประเทศอินเดียไปทางทิศตะวันออกผ่านพม่า, ตอนใต้ของประเทศจีน, ไทย, ลาว, เวียดนาม, กัมพูชา, มาเลเซียและชวา นกยูงแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ นกยูงไทยตัวผู้ขณะรำแพน.

ใหม่!!: สัตว์และนกยูง · ดูเพิ่มเติม »

นกยูงอินเดีย

นกยูงอินเดีย หรือ นกยูงสีน้ำเงิน (Indian peafowl, Blue peafowl) เป็นนกยูงชนิดหนึ่ง ในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา (Phasianidae) พบกระจายพันธุ์ในประเทศอินเดีย, ปากีสถาน, เนปาล, บังกลาเทศ, ภูฏาน และศรีลังกา มีขนาดเล็กกว่านกยูงไทย (P. muticus) ซึ่งเป็นนกยูงอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีนจนถึงแหลมมลายูเล็กน้อย ขนหงอนจะมีลักษณะเป็นรูปพัดต่างจากนกยูงไทยที่เป็นกระจุก สีของผิวหนังบริเวณหน้าจะมีสีขาว และมีสีดำคาดบริเวณตา ขนบริเวณคอและอกมีสีน้ำเงิน ขนบริเวณปีกเป็นลายสีขาวสลับกับสีดำ ขนตามลำตัวจะมีสีเขียวอมน้ำเงิน ด้านหลังเป็นเกล็ดคล้ายใบไม้ ในตัวเมียนั้นจะมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ ขนตามลำตัวเป็นสีน้ำตาล ขนคอและหลังจะมีสีอ่อนกว่าตัวผู้ นกยูงอินเดียตัวผู้ตัวเต็มวัย เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูสืบพันธุ์จะมีขนคลุมหางที่ยาวออกมา ประมาณ 2 เท่าของลำตัวหรือประมาณ 150 เซนติเมตร ประกอบด้วยขน 2 ประเภทด้วยกัน คือ ขนที่มีวงกลม ซึ่งเรียกว่า "แววมยุรา" และขนที่อยู่บริเวณขอบ เรียกว่า "T Feathers" ซึ่งบริเวณนี้จะไม่มีแววมยุรา ขนคลุมหางของนกยูงหนึ่งตัวจะประกอบด้วยขนคลุมหางประมาณ 200 เส้น แบ่งเป็นขนที่มีแววมยุรา ประมาณ 170 เส้น และขนคลุมหางที่เป็นขอบหรือ T-feathers อีกประมาณ 30 เส้น ซึ่งขนคลุมหางนี้จะมีเพื่อการเกี้ยวพาราสีตัวเมียในฤดูสืบพันธุ์ ที่เรียกว่า "การรำแพน" นกยูงอินเดียวางไข่ ครั้งละ 5-8 ฟอง ระยะฟักไข่นาน 28 วัน และในระยะที่เป็นวัยอ่อนนั้นจะมีความแตกต่างกับนกยูงที่ตัวโตเต็มวัยทั้งสีขนและขนาดของลำตัว ลูกนกยูงในวัยนี้จะไม่สามารถระบุเพศได้จากการสังเกตลักษณะและสีของขนจากภายนอก จนกว่าลูกนกจะมีอายุ 8 เดือน จึงจะสามารถระบุเพศด้วยจากการสังเกตลักษณะภายนอกและสีของขนได้ แต่ถ้ามองผิวเผินอาจจะเหมารวมได้ว่าเป็นลูกนกชนิดเดียวกันดังนั้นจะต้องสังเกตอย่างละเอียด โดยลูกของนกยูงไทยจะมีสีเขียวเป็นมันเหลือบบริเวณปลายขนแต่ละเส้นจะมีสีน้ำตาลแต้ม ขนบริเวณหัวและคอจะมีสีเขียวเป็นมันเหลือบและจะมีขนสีขาวแซมประปราย ขนปลายปีกจะมีสีน้ำตาลทองและมีสีดำแต้มบ้าง ส่วนลูกนกยูงอินเดียจะมีลักษณะแตกต่างกันที่ขน บริเวณลำตัวและหลังจะมีลายสีน้ำตาลประทั้งเส้น ขนบริเวณคอจะมีสีขาวเทาและมีสีเขียวเป็นมันเหลือบแซมประปราย ส่วนขนบริเวณคอส่วนล่างและหน้าอกจะเริ่มเห็นสีน้ำเงินแซมเป็นจุด ๆ ขนปลายปีกจะมีสีน้ำตาลลายดำ เมื่อมองโดยรวมก็จะพบว่าลูกนกยูงอินเดียจะมีสีที่อ่อนและหม่นกว่าลูกนกยูงไทย ตัวผู้ขณะยืนปกติ ตัวเมียและลูก ๆ มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงในป่าดงดิบทึบ ตัวผู้ชอบทำลานเอาไว้รำแพนหาง และจะรักษาความสะอาดลานอย่างดี เป็นนกที่ระวังตัวมากและสายตาไวมาก ยากที่จะเข้าใกล้ตัวได้ จะบินหนีก่อน เป็นนกที่บินเก่ง ชอบนอนที่สูงและชอบร้องเวลาเช้าและเย็น เป็นนกที่จดจำที่อยู่ของตนได้เป็นอย่างดี นกยูงอินเดีย ถือเป็นสัตว์ประจำชาติของอินเดีย ในต้นปี..

ใหม่!!: สัตว์และนกยูงอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

นกยูงคองโก

นกยูงคองโก (Congo peacock, Congo peafowl) เป็นไก่ฟ้าจำพวกนกยูงชนิดหนึ่ง ในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา (Phasianidae) นกยูงคองโก นับเป็นนกยูงเพียงชนิดเดียวที่มิได้อยู่ในสกุล Pavo โดยจัดอยู่ในสกุล Afropavo เพียงชนิดเดียว และมิใช่นกยูงที่อาศัยอยู่ในทวีปเอเชียด้วย โดยมีถิ่นกำเนิดแถบบริเวณลุ่มแม่น้ำคองโกในตอนกลางของทวีปแอฟริกา ตั้งแต่ปี..1913 ถึง..1936 นักปักษีวิทยาเคยเห็นแต่เพียงขนเพียงเส้นเดียวบนหมวกของชาวพื้นเมืองเท่านั้นจนกระทั่ง เจมส์ แชปลิน นักปักษีวิทยาชาวอเมริกันได้เห็นตัวจริงที่สตั๊ฟไว้ในพิพิธภัณฑ์คองโก ประเทศเบลเยี่ยม โดยตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ผิดเป็นนกยูงไทยด้วย จึงได้ศึกษาอย่างจริงจัง บันทึกรายละเอียดต่าง ๆ และ ตั้งชื่อให้ใหม่ในครั้งนั้น นกยูงคองโกมีขนาดตัวเล็กกว่า รวมถึงตัวผู้ไม่มีขนหางที่ยาวรวมถึงไม่มีแววมยุราเหมือนนกยูงสกุล Pavo ส่วนบนของตัวเป็นสีเขียว คอและส่วนล่างของลำตัว รวมถึงปลายหางเป็นสีม่วงแกมดำ แต่ในตัวเมียส่วนที่เป็นสีม่วงจะเป็นสีน้ำตาลหมด ตัวผู้มีหงอนเป็นเส้นแข็ง ๆ คล้ายขนหมูเป็นกระจุกสีขาว และติดกับสีขาวเป็นกระจุกสีดำอยู่ทางด้านหลัง ทั้งตัวผู้และตัวเมียมีรูปร่างป้อมอ้วนสั้น ส่วนหัวของตัวผู้ ชอบอาศัยอยู่ตามป่าที่มีฝนชุกที่ระดับความสูง 1,200-1,500 ฟุต เป็นนกที่จับคู่แบบคู่เดียวตลอดชีวิต มักจะพบออกหากินเป็นคู่ ชอบนอนบนต้นไม้สูง ๆ และมักจะส่งเสียงร้องในเวลากลางคืน ในขณะที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ด้วย เป็นนกที่ไม่ค่อยตื่นกลัวมนุษย์มากนัก ตัวผู้มักจะรำแพนบ่อยทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ฤดูผสมพันธุ์ ปกติจะวางไข่ครั้งละ 3-4 ฟอง ใช้เวลาฟักประมาณ 26 วัน ตัวผู้จะมีขนสวยสมบูรณ์ในปีที่ 2 แต่การเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงทำได้ยากมาก จึงพบมีการเลี้ยงกันแต่ในสวนสัตว์ขนาดใหญ่เท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และนกยูงคองโก · ดูเพิ่มเติม »

นกยูงไทย

นกยูงไทย หรือ นกยูงสีเขียว (Green peafowl; มาจากภาษาละติน Pavo, นกยูง; muticus, เชื่อมต่อ หรือ ตัดทอน) เป็นไก่ฟ้าขนาดใหญ่ที่พบในป่าเขตร้อนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นญาติใกล้ชิดกับนกยูงอินเดียหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่านกยูงสีฟ้า ที่ส่วนมากพบในอนุทวีปอินเดี.

ใหม่!!: สัตว์และนกยูงไทย · ดูเพิ่มเติม »

นกร่อนทะเลหางแดง

''Phaethon rubricauda'' นกร่อนทะเลหางแดง หรือ นกนวลหางยาว Birds of Thailand.net (Red-tailed tropicbird) เป็นนกทะเลที่พบในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ในกลุ่มนกร่อนทะเลที่พบเห็นได้ยากแต่ยังมีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้างจึงยังไม่จัดว่าถูกคุกคาม อยู่เป็นอาณานิคมทำรังวางไข่บนเกาะกลางทะเล.

ใหม่!!: สัตว์และนกร่อนทะเลหางแดง · ดูเพิ่มเติม »

นกลุมพู

นกลุมพู (อังกฤษ: Green imperial pigeon) เป็นนกในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbidae) เป็นนกประจำถิ่นที่มีการกระจายพันธุ์กว้างในเขตร้อนของเอเชียใต้ จากประเทศอินเดียไปทางตะวันออกถึงประเทศอินโดนีเซีย นกลุมพูเป็นนกในวงศ์นี้ที่มีขนาดใหญ่ ยาว 45 เซนติเมตร มีหัว และลำตัวด้านล่างเทา แข้งและตีนแดง หลัง ปีก และหางเขียวเหลือบเป็นมัน คล้ายนกมูม แต่ไม่มีแถบสีคล้ำพาดกลางหาง ก้นและขนคลุมใต้หางน้ำตาลเข้ม เสียงร้องดัง "ฮอู่-ฮอู่" และ "ฮุค-ฮุค-ฮอู่" ก้องดัง ถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และนกลุมพู · ดูเพิ่มเติม »

นกลุมพูขาว

นกลุมพูขาว หรือ นกกระลุมพูขาว (Pied imperial pigeon) เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbidae) มีขนาดความยาวลำตัวประมาณ 40 เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน รูปร่างคล้ายนกชนิดอื่นทั่วไปในวงศ์เดียวกัน ขนบริเวณหัวและลำตัวสีขาว ปลายปีกและขนหางมีสีดำ มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ตามป่าชายเลนและเกาะกลางทะเล มักหากินอยู่รวมเป็นฝูงประมาณ 15-30 ตัว ยกเว้นในช่วงฤดูผสมพันธุ์จะอยู่เป็นคู่ เป็นนกที่บินได้เก่งและบินเร็ว มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ วางไข่ครั้งละ 1-2 ฟอง กินเมล็ดพืชและผลไม้ เป็นอาหาร มีถิ่นกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และหมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรอินเดีย สำหรับในประเทศไทย ถือเป็นนกประถิ่นที่พบได้บ่อยพบบริเวณเกาะทางด้านชายฝั่งทะเลตะวันออก และภาคใต้ฝั่งอันดามัน พบหาได้ยากบนแผ่นดินใหญ่ อาจมีการย้ายถิ่นไปตามแหล่งอาหาร เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และนกลุมพูขาว · ดูเพิ่มเติม »

นกลุยน้ำ

นกลุยน้ำ หรือ นกชายเลน (Waders, Wadering birds, Shorebirds) เป็นนกในกลุ่มของนกที่หากินหาอาหารตามแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น หนองบึง, ท้องทุ่ง, ริมน้ำ หรือแม้แต่ชายทะเล มีลักษณะร่วมกัน คือ เป็นนกขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่มาก มีจุดเด่นที่แบ่งแยกจากนกจำพวกอื่นค่อนข้างชัดเจน คือ ปากตรงแหลมและยาว ขายาว น้ำหนักตัวเบาเพราะกระดูกกลวง ทำให้คุณสมบัติพิเศษในการเดินท่องน้ำหาอาหารตามวัชพืชที่ลอยตัวอยู่ในผิวน้ำ เมื่อหาอาหารนกลุยน้ำจะใช้ปากจิก ขณะเยื้องย่างไปตามบึงน้ำตื้น ๆ, ดงกก หรือตามทุ่งหญ้า นกลุยน้ำแทบทั้งหมด ทำรังตามง่ามกิ่งไม้ ง่ามกิ่งไม้ในชั้นเรือนยอด, โคนกอหญ้า, กอกก, กอวัชพืช หรือบนพื้นดิน หลายชนิดสร้างรังใกล้ ๆ กันเป็นกลุ่ม บางชนิดออกหากิน เวลากลางคืน ตัวผู้กับตัวเมียมีลักษณะเหมือนหรือใกล้เคียงกัน ในฤดูผสมพันธุ์หลายชนิดจะมีการสร้างขนชนิดพิเศษขึ้นที่หัว คอ หรือลำตัว เพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม นกลุยน้ำมีทั้งที่เป็นนกประจำถิ่น ไม่มีการอพยพ และอพยพย้ายถิ่นในช่วงฤดูหนาว ในประเทศไทยฤดูอพยพเริ่มขึ้นราวเดือนกันยายน จนถึงเดือนมีนาคม-เมษายน มีการทำรังและออกไข่ฟักลูกขยายพันธุ์ ก่อนจะอพยพไปยังถิ่นฐานใหม่ สำหรับนกลุยน้ำในประเทศไทย มีหลายชนิด ในหลายวงศ์ เช่น นกกระยาง, นกกระสา, ไก่นา, นกช้อนหอย เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และนกลุยน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

นกศิวะ

นกศิวะ เป็นนกขนาดเล็กสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Minla (มาจากภาษาเนปาลคำว่า minla หมายถึง นกศิวะหางแดง; สำหรับชื่อสามัญในภาษาไทยสันนิษฐานว่ามาจากสีของนกศิวะปีกสีฟ้าที่เป็นสีขาว เหมือนพระศิวะที่มีกายสีขาว) ในวงศ์นกกะรางและนกหางรำ (Leiothrichidae) เป็นนกขนาดเล็ก พบกระจายพันธุ์ในอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด (และอาจจะแบ่งออกได้เป็นเพียงชนิดเดียว คือ นกศิวะหางแดง).

ใหม่!!: สัตว์และนกศิวะ · ดูเพิ่มเติม »

นกศิวะหางสีตาล

นกศิวะหางสีตาล หรือ นกศิวะหางตาล (Bar-throated minla, Chestnut-tailed minla) เป็นนกในวงศ์นกกะรางและนกหางรำ (Leiothrichidae) พบในอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และนกศิวะหางสีตาล · ดูเพิ่มเติม »

นกสาลิกา

นกสาลิกา หรือ นกแม็กพาย (magpie) เป็นชื่อสามัญของนกจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์นกกา (Corvidae) โดยนกที่ได้ชื่อว่า "นกสาลิกา" หรือ "นกแม็กพาย" นั้นจะเป็นนกขนาดเล็กที่กระจายพันธุ์อยู่ในภาคพื้นยุโรป, ยูเรเชีย และเอเชีย จะอยู่ในสกุล Pica, Urocissa, Cissa, Cyanopica โดยในบางสกุลจะถูกเรียกว่า "สาลิกาดง" แต่โดยทั่วไปแล้วจะหมายถึง นกสาลิกาปากดำ (Pica pica) ที่มีสีลำตัวขาว-ดำ พบกระจายพันธุ์ในทวีปยุโรปและเอเชียกลาง รวมถึงประเทศไทย นอกจากนี้แล้ว ยังอาจจะหมายถึงนกบางชนิดในวงศ์นกเอี้ยงและนกกิ้งโครง (Sturnidae) เช่น นกเอี้ยงสาลิกา (Acridotheres tristis) และนกสาลิกาลิ้นทอง (Ampeliceps coronatus) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และนกสาลิกา · ดูเพิ่มเติม »

นกสาลิกาดง

นกสาลิกาดง (Blue magpie) เป็นสกุลของนกเกาะคอนสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Urocissa ในวงศ์นกกา (Corvidae) เป็นนกที่มีสีสันสวยงาม โดยมากจะเป็นสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน และขนหางยาวมาก พบกระจายพันธุ์เฉพาะในป่าของเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีจะงอยปากที่หนาและแข็งแรง มีลักษณะใกล้เคียงกับนกในสกุล Cissa พบทั้งหมด 5 ชนิด โดยในประเทศไทยพบเพียงชนิดเดียว คือ.

ใหม่!!: สัตว์และนกสาลิกาดง · ดูเพิ่มเติม »

นกสาลิกาปากดำ

นกสาลิกาปากดำ (Eurasian magpie, European magpie, Common magpie) เป็นนกสีขาวดำในวงศ์นกกา (Corvidae) พบในซีกโลกเหนือ พบทั่วไปในทวีปยุโรป บางส่วนของทวีปเอเชีย และทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ในยุโรป โดยที่ชื่อ "Magpie" นั้นหมายถึงนกสาลิกาปากดำ เนื่องจากเป็นนกสาลิกา หรือ นกแม็กพายเพียงชนิดเดียวในยุโรปที่อยู่นอกคาบสมุทรไอบีเรีย นกสาลิกาปากดำเป็นหนึ่งในนกที่ฉลาดที่สุด และเป็นที่เชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในที่สุดของสัตว์อัจฉริยะทั้งหมดและเป็นนกที่ชอบสะสมข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่แปลก ๆ หลายอย่างเป็นของใช้ของมนุษย์ ซึ่งมิได้มีความจำเป็นสำหรับนกเลย เช่น ลูกกอล์ฟ ในประเทศไทยถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทนก นอกจากนี้แล้วนกชนิดนี้ ยังถือเป็นฉายาของนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ทีมฟุตบอลในเอฟเอ พรีเมียร์ลีก เนื่องจากมีสีขนขาว-ดำ เช่นเดียวกับสีประจำทีม.

ใหม่!!: สัตว์และนกสาลิกาปากดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกสาลิกาเขียว

นกสาลิกาเขียว (Common green magpie) เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกกา (Corvidae) มีขนาด 38 ​เซนติ​เมตร มีปากหนาสี​แดงสด วงรอบตาสี​แดง​และมี​แถบสีดำคาด​เหมือนหน้ากาก บริ​เวณกระหม่อมสี​เขียวอม​เหลือง ลำตัวด้านบนสี​เขียวสด ​ใต้ท้องสี​เขียวอ่อน ช่วงปีกตรงหัว​ไหล่​เป็นสี​เขียว ปลายปีก​เป็นสี​แดง​เข้ม ​และตอน​ในของขนกลางปีกมี​แถบสีดำสลับขาว ขาสี​แดงสด ​ใต้หางมีสีดำสลับขาว ​และส่วนปลายหางจะ​เป็นสีขาว ร้องดัง “กวีก.ก..กวีก..ก..ก....” กระจายพันธุ์ในเทือกเขาหิมาลัยในตอนเหนือของภาคตะวันออกของประเทศอินเดียไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านภาคกลางของประเทศไทย มาเลเซีย ถึงเกาะสุมาตราและทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว ในป่าไม่ผลัดใบ ป่า​เบญจพรรณ นกหากินเป็นคู่หรือเป็นฝูงตามต้นไม้และพื้นดิน กินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง, สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดเล็ก ลูกนก และไข่เป็นอาหาร ทำรังอยู่ตามง่าม​ไม้ รัง​ทำจากกิ่ง​ไม้ ​ใบ​ไม้​แห้ง ​และ​ใบ​ไผ่ วางซ้อนกัน​และสาน​ไปมา​เป็นรูปลักษณะถ้วยตื้นๆ ตรงกลางมีกิ่ง​ไม้​เล็กวางรองอีกชั้น ออก​ไข่ครั้งละ 4 - 6 ฟอง.

ใหม่!!: สัตว์และนกสาลิกาเขียว · ดูเพิ่มเติม »

นกสีชมพูสวน

นกสีชมพูสวน (Scarlet-backed Flowerpecker) เป็นนกขนาดเล็ก ความยาว (ปลายปากถึงหาง) ประมาณ 9 เซนติเมตร มีเสียงร้อง แหลมสูง และ สั้น บางครั้งฟังเหมือน เสียงร้องคำว่า ดิ๊กๆ ตามลำตัวมีสามสี ถ้าเป็นตัวผู้จะสังเกตได้ง่าย จากสีที่กลางหลัง เพราะเป็นแถบยาวสีแดง ส่วนด้านท้องจะเป็นสีขาว และข้าง ๆ เป็นสีดำ - น้ำตาล ส่วนตัวเมียมีสีอ่อนกว่า และแถบสีแดงด้านหลังจะสั้นกว่า มีอยู่บริเวณโคนหางเท่านั้น นกชนิดนี้มีลักษณะ ป้อม และหางสั้น วัยเด็ก (Juvenile) ยังไม่มีสีแดงที่ด้านหลัง และสีอ่อนกว่าวัยโตสามารถพบเห็นได้ง่ายในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และนกสีชมพูสวน · ดูเพิ่มเติม »

นกหก

นกหก เป็นสกุลของนกปากขอ หรือนกแก้วสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Loriculus จัดอยู่ในวงศ์นกแก้วแท้ (Psittacoidea) นกหกเป็นนกแก้วขนาดเล็กมีความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร (5 นิ้ว) กระจายพันธุ์ตามป่าในทวีปเอเชีย ตั้งแต่เอเชียใต้ จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีหางสั้น มีขนลำตัวทั่วไปสีเขียว แต่ก็มีสีอื่น ๆ ตรงส่วนหัวต่างกันไปตามชนิด เป็นนกที่สามารถใช้จะงอยปากและกรงเล็บขาเกาะเกี่ยวต้นไม้ในลักษณะตีลังกาได้ รวมถึงนอนหลับในท่านี้ อันเป็นที่มาของชื่อ.

ใหม่!!: สัตว์และนกหก · ดูเพิ่มเติม »

นกหกใหญ่

นกหกใหญ่ (blue-rumped parrot) เป็นนกในอันดับนกแก้ว เป็นสมาชิกเดียวในสกุล กระจายพันธุ์ในตอนใต้สุดของประเทศพม่า ไทย มาเลเซีย เกาะบอร์เนียว สุมาตราและเกาะใกล้เคียง เป็นนกแก้วขนาดเล็ก ประมาณ 18 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และนกหกใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกหกเล็กปากดำ

นกหกเล็กปากดำ (Blue-crowned hanging parrot) เป็นนกแก้วสีเขียวขนาดเล็ก พบในประเทศไทยไปจนถึงบอร์เนียว กินดอกไม้ หน่ออ่อน ผลไม้ และเมล็ดเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และนกหกเล็กปากดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกหว้า

นกหว้า (Great argus, Double-banded argus) เป็นไก่ฟ้าขนาดใหญ่ขนสีน้ำตาล หัวและคอเป็นสีฟ้า พบในป่าของเกาะบอร์เนียว, เกาะสุมาตรา และ คาบสมุทรมลายูในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชื่อวิทยาศาสตร์ของนกหว้าตั้งโดยคาโรลัส ลินเนียสซึ่งโยงถึงจุดคล้ายตาบนปีกจำนวนมาก โดยตั้งตามชื่อ อาร์กัส ยักษ์ร้อยตาในเทพปกรณัมกรีก เดิมทีนกหว้าเคยถูกให้มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด โดยอีกชนิดหนึ่งนั้นใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Argusianus bipunctatus แต่ปัจจุบันได้ถูกรวมกันเป็นชนิดเดียวกัน ดังนั้นชื่อนี้จึงกลายเป็นชื่อพ้องไป เพราะการสูญเสียที่อยู่และถูกล่าเป็นอาหาร นกหว้าจึงจัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกคุกคามความเสี่ยงต่ำ (NT) ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ และจัดอยู่ในบัญชีที่ 2 ของ CITES.

ใหม่!!: สัตว์และนกหว้า · ดูเพิ่มเติม »

นกหัวขวานสามนิ้วหลังทอง

นกหัวขวานสามนิ้วหลังทอง (Common flameback, Common goldenback) เป็นนกหัวขวานชนิดหนึ่ง มีลำตัวยาว 30 เซนติเมตร ขนด้านหลังและขนปีกสีเหลืองอมส้ม สะโพกสีแดงสด หางดำ อกและท้องมีจุดกลมสีขาวบนพื้นสีดำ ตัวผู้มีหัวและหงอนสีแดง ตัวเมียมีหัวและหงอนสีดำจุดขาว มีนิ้วยาว 3 นิ้ว ยื่นมาทางด้านหน้า 2 นิ้ว ด้านหลัง 1 นิ้ว ขนหางสั้นมีแกนขนที่แข็งแรง ใช้สำหรับการเกาะและไต่ต้นไม้ จะงอยปากแหลมยาวเรียว พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่อนุทวีปอินเดียจนถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงเขตชีวภาพซุนดา มีทั้งหมด 6 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค มีพฤติกรรมชอบอาศัยในป่าโปร่ง, ป่าชายเลน ตลอดจนถึงสวนผลไม้ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 1,500 เมตร มักพบอยู่ตามลำพัง หรือเป็นคู่ตามโพรงไม้ ไต่ไม้เจาะเปลือกไม้หาแมลงกินด้วยการไต่จากโคนต้นในแนวดิ่ง มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน วางไข่ครั้งละ 2-3 ฟอง จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และนกหัวขวานสามนิ้วหลังทอง · ดูเพิ่มเติม »

นกหัวขวานดำ

นกหัวขวานดำ (Black woodpecker) เป็นนกหัวขวานขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ลำตัวมีความยาว 40-46 เซนติเมตร ความยาวจากปลายปีกข้างหนึ่งจรดปีกอีกข้างหนึ่งเมื่อกางเต็มที่จะยาว 67-73 เซนติเมตร นกหัวขวานดำอาศัยอยู่ในป่าทั่วภูมิภาคพาลีอาร์กติกทางตอนเหนือ เป็นชนิดเดียวในสกุล Dryocopus ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ ถิ่นอาศัยมีอาณาเขตครอบคลุมตั้งแต่ทวีปเอเชียทางตอนเหนือและตะวันออกจนถึงยุโรป เป็นนกอยู่ประจำถิ่นที่ไม่อพยพ ขนของนกหัวขวานดำ มีสีดำเกือบทั้งตัว ยกเว้นบริเวณด้านบนส่วนหัวที่เป็นขนสีแดง ในเพศผู้ ขนที่ส่วนหัวบริเวณนี้จะเป็นสีแดงทั้งหมด นกหัวขวานดำจะบินเป็นเส้นตรง ไม่บินลดเลี้ยวเหมือนนกหัวขวานชนิดอื่น สร้างรังโดยเจาะลำต้นต้นไม้ให้เป็นรู เพศเมียจะวางไข่อย่างน้อยครั้งละ 4 ฟอง.

ใหม่!!: สัตว์และนกหัวขวานดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกหัวขวานด่างแคระ

นกหัวขวานด่างแคระ (Grey-capped pygmy woodpecker, Grey-capped woodpecker) เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกหัวขวาน (Picidae) มีความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ด้านบนลำตัวสีดำมีแถบเป็นจุดสีขาว ด้านล่างลำตัวสีขาวลายดำ ด้านบนหัวสีเทา มีแถบสีดำคาดเหนือตา ตัวผู้มีแถบสีแดงเล็ก ๆ เหนือคิ้ว ซึ่งบางครั้งมองเห็นได้ยากมาก ไม่มีหงอน มีพฤติกรรมเวลาบินจะใช้กระพือบินสลับกับการร่อนกันไป ขณะบินจะส่งเสียงร้องดัง เวลาหากินจะใช้ปากเจาะเข้าไปในต้นไม้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และตายแล้ว พร้อมกับใช้ลิ้นที่ยาวซึ่งมีน้ำลายเหนียวและหนามแหลมยื่นยาวออกไปแมลงและหนอน กินเป็นอาหาร วางไข่ครั้งละ 2-3 ฟอง มีพฤติกรรมหากินร่วมกับนกขนาดเล็กชนิดอื่น ๆ เช่น นกไต่ไม้, นกเฉี่ยวดง เรียกว่า "เบิร์ดเวฟ" นกหัวขวานด่างแคระเป็นนกที่พบได้ในป่าทุกประเภท ตั้งแต่ที่ราบไปจนถึงระดับความสูงจากน้ำทะเล 1,830 เมตร โดยเฉพาะป่าโปร่ง พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ภูฐาน, บังกลาเทศ, อินเดีย, เนปาล, บรูไน, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, จีน, เกาหลี, รัสเซีย, เกาะไต้หวัน และเวียดนาม สำหรับในประเทศไทยจัดเป็นนกประจำถิ่น พบทั่วทุกภาค ยกเว้นภาคกลาง จึงสามารถแบ่งออกเป็นชนิดย่อยต่าง ๆ ได้มากถึง 15 ชนิด (ดูในตาราง) สำหรับในประเทศไทย นกที่พบทางภาคใต้จัดเป็นชนิดย่อย D. c. auritus ซึ่งมีสีเข้มกว่าชนิดย่อยหลัก D. c. canicapillus ที่พบได้ทั่วไปเล็กน้อย และขนหางคู่กลางมีลายจุดจางกว่ามาก ส่วนทางภาคตะวันออกจะสามารถพบชนิดย่อย D. c. delacouri ซึ่งมีสีจางและลายขีดที่อกไม่ชัดเจนเท่าอีก 2 ชนิดย่อยนั้น และตามกฎหมายจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และนกหัวขวานด่างแคระ · ดูเพิ่มเติม »

นกหัวขวานเขียวตะโพกแดง

นกหัวขวานเขียวตะโพกแดง (Black-headed woodpecker) เป็นนกชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกหัวขวาน (Picidae) มีลักษณะเด่น คือ มีส่วนหัวสีดำ คอและอกสีเหลือง ใต้ท้องสีนวลและมีลายซิกแซกสีเขียวไพล ขนตะโพกสีแดงมักจะฟูฟ่องยามตกใจ หากรู้สึกคุกคามอาจกางปีกที่มีลายขาวสลับดำให้ดูน่าเกรงขามเพื่อขู่ศัตรู บางตัวมีแถบคิ้วสีขาว แต่เฉพาะตัวผู้เท่านั้นที่จะมีสีแดงที่กลางกระหม่อม ขณะที่ตัวเมียมีกระหม่อมสีดำ นกหัวขวานเขียวตะโพกแดงมีอุปนิสัยต่างจากนกหัวขวานทั่วไป คือ เป็นชนิดเดียวที่มักอยู่รวมกันเป็นฝูงตลอดทั้งปี สาเหตุก็มาจากการที่พ่อแม่นกมีนกตัวอื่น ๆ มาทำหน้าที่ช่วยเลี้ยงลูกอ่อน และยังไม่ได้รวมฝูงเฉพาะนกชนิดเดียวกัน หากแต่ยังรวมฝูงหากินร่วมกับ นกกะราง, นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ (Dicrurus paradiseus) หรือนกหัวขวานชนิดอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย มีอุปนิสัยชอบเลียกินมดและปลวกบนพื้นดิน แต่บางครั้งก็มากินเศษอาหารที่มนุษย์เหลือทิ้งไว้เช่นเดียวกับนกกะรางด้วย และชอบส่งเสียงร้องเอะอะเสียงดัง มักได้ยินเสียงก่อนเห็นตัว โดยส่งเสียงรัวติดต่อกันว่า "แอะแอะ แอะแอ้ว" คล้ายลูกสุนัข มีถิ่นกระจายพันธุ์ในป่าเต็งรังไม่ระดับความสูงไม่เกิน 900 เมตร จากระดับน้ำทะเล พบกระจายพันธุ์ในเวียดนาม, กัมพูชา, ไทย, ลาว, พม่า สำหรับในประเทศไทยพบในป่าผลัดใบและป่าสนทางภาคตะวันตก, ภาคเหนือและภาคอีสาน พบบ่อยเฉพาะในบางพื้นที่ เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และนกหัวขวานเขียวตะโพกแดง · ดูเพิ่มเติม »

นกหัวค้อน

นกหัวค้อน (Hamerkop) นกชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Scopidae ในอันดับนกกระทุง (Pelecaniformes) จัดเป็นนกเพียงสกุลเดียวและชนิดเดียว ในวงศ์นี้เท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และนกหัวค้อน · ดูเพิ่มเติม »

นกหัวโตกินปู

นกหัวโตกินปู (Crab-plover หรือ Crab Plover) เป็นนกชนิดเดียวในวงศ์ Dromadidae.

ใหม่!!: สัตว์และนกหัวโตกินปู · ดูเพิ่มเติม »

นกหัวโตมลายู

นกหัวโตมลายู (Malaysian Plover) เป็นนกประจำถิ่น ที่มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ จากการรุกทำลายป่าชายเลนอันเป็นที่อยู่อาศัยและหากิน จัดในวงศ์นกหัวโต (Family Charadriidae) อาศัยอยู่ตามหาดทราย ในการสำรวจในปี..

ใหม่!!: สัตว์และนกหัวโตมลายู · ดูเพิ่มเติม »

นกหัวโตทรายใหญ่

'' Charadrius leschenaultii '' นกหัวโตทรายใหญ่ เป็นนกชายเลนในสกุลนกหัวโต และเป็นนกอพยพในกลุ่มที่ผลัดขนในฤดูผสมพันธุ์ และมีความแตกต่างระหว่างเพศในฤดูผสมพันธุ์ โดยฤดูผสมพันธุ์มีถิ่นอาศัยบริเวณกึ่งทะเลทรายในประเทศตุรกี ต่อเนื่องถึงเอเชียกลาง ส่วนฤดูหนาวจะอพยพมาทางเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทย พบได้ในแหล่งน้ำใกล้ป่าชายเลน ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามันช่วงประมาณเดือน พฤศจิกายน ถึง มกราคม ชื่อชนิดทางวิทยาศาสตร์ (leschenaultii) ดัดแปลงมาจากชื่อของบุคคล คือ Jean Baptiste Leschenault de la Tour (ค.ศ. 1773 - 1826) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ผู้พบและจำแนกชนิดได้ครั้งแรก ที่เมืองพอนดิเชอร์รี ในประเทศอินเดี.

ใหม่!!: สัตว์และนกหัวโตทรายใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกหงส์หยก

นกหงส์หยก เป็นนกปากขอขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ที่มีลวดลายและสีสันที่สวยงาม ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของนกหงส์หยกอยู่ตามแถบทุ่งหญ้าในประเทศออสเตรเลีย มีชื่อเรียกเล่น ๆ ว่า "บัดจี" (budgie) หรือ "แพระคีต" (parakeet) ครั้งหนึ่ง ผู้คนทั่วไปเคยเข้าใจว่านกหงส์หยกเป็นนกที่อยู่ในจำพวกนกเลิฟเบิร์ด แต่ในปัจจุบันได้ยอมรับกันแล้วว่าเป็นนกคนละจำพวกกัน โดยผู้ที่ทำการอนุกรมวิธาน คือ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ จอห์น กูลด์ ที่เข้าไปศึกษาธรรมชาติวิทยาที่ออสเตรเลียเมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว โดยถือเป็นนกเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Melopsittacus โดยทั่วไปแล้วสีตามธรรมชาติ นกหงส์หยกมักมีขนสีเขียว, ฟ้า, เหลือง และขาว แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความหลากหลายออกไปจากสีดั้งเดิมตามธรรมชาติในฐานะของการเป็นสัตว์เลี้ยง โดยมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามลักษณะ อาทิ "โอแพล์ลิน", "อัลบิโนส์" และ"ลูติโนส์".

ใหม่!!: สัตว์และนกหงส์หยก · ดูเพิ่มเติม »

นกออก

นกออก หรือ อินทรีทะเลปากขาว (อังกฤษ: White-bellied Sea-eagle, White-bellied Fish-eagle, White-breasted Sea Eagle; ชื่อวิทยาศาสตร์: Haliaeetus leucogaster) เป็นนกขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งจำพวกเหยี่ยวและอินทรี.

ใหม่!!: สัตว์และนกออก · ดูเพิ่มเติม »

นกอัญชันอกสีไพล

นกอัญชันอกสีไพล (Water Rail หรือ European Water Rail) เป็นนกขนาดเล็กในวงศ์นกอัญชันที่พบในพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นสัตว์สัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และนกอัญชันอกสีไพล · ดูเพิ่มเติม »

นกอัญชันคิ้วขาว

นกอัญชันคิ้วขาวหนังสือคู่มือดูนกหมอบุญส่ง เลขะกุล,นกเมืองไทย,โดยคณะบุคคลนายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล,หน้า136 (White-browed Crake)) จัดอยู่ในวงศ์นกอัญชัน (Rallidae) เป็นนกอัญชันขนาดเล็ก นกชนิดนี้หากินตาม ทะเลสาบ บึง หนอง พรุ นากุ้ง นาข้าว ห้วย คลอง หรือ พื้นที่ที่ชุ่มน้ำต่างๆที่มีพืชลอยน้ำปกคลุมหนาแน่นในพื้นที่ราบ อาหารของนกชนิดนี้ได้แก่เมล็ดของพืชน้ำ แมลง ไข่แมลง สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเล็ก ๆ ที่หาพบได้ตามกอพืชรก ๆ หรือบริเวณชายน้ำในแหล่งน้ำที่อาศัย โดยนกจะเดินจิกกินไปเรื่อย ๆ พร้อมกับกระดกหางขึ้น ๆ ลง.

ใหม่!!: สัตว์และนกอัญชันคิ้วขาว · ดูเพิ่มเติม »

นกอัลบาทรอส

นกอัลบาทรอส (Albatrosses) เป็นนกทะเลขนาดใหญ่ จัดอยู่ในวงศ์ Diomedeidae กระจายพันธุ์อยู่เป็นฝูงตามชายฝั่งทะเลและเกาะแก่งต่าง ๆ ในเขตร้อน และเขตอบอุ่นทั่วโลก (ดูในแผนที่) นกอัลบาทรอสจัดว่าเป็นนกที่บินได้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อกางปีกออก โดยอาจกว้างได้ถึง 3.5 เมตร ในกลุ่มนกอัลบาทรอสใหญ่ แม้แต่ขนาดเล็กที่สุดก็ยังกว้างได้ถึง 2 เมตร นกอัลบาทรอสจะบินอยู่ตลอดเวลา โดยสามารถบินได้ไกลถึงวันละ 15,000 กิโลเมตร เพียงเพื่อหาอาหารกลับมาเลี้ยงลูกเท่านั้น แต่เมื่อนกอัลบาทรอสอยู่บนพื้นดินแล้วกลับมีพฤติกรรมที่งุ่มง่าม เนื่องจากไม่ถนัดในการเดิน เพราะมีฝ่าตีนที่แผ่แบนเป็นพังผืดเหมือนตีนเป็ด นกอัลบาทรอสสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 60 ปีแต่ขยายพันธุ์ช้ามากจนเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ภายในศตวรรษหน้า ภัยคุกคามสำคัญของมันคือการทำประมงเบ็ดราวในแต่ละปี มีนกอัลบาทรอสกว่า 100,000 ตัวที่ตายเพราะติดสายเบ็ดที่วางไว้เป็นล้านๆ เพื่อจับปลาทูน.

ใหม่!!: สัตว์และนกอัลบาทรอส · ดูเพิ่มเติม »

นกอัลบาทรอสคิ้วดำ

นกอัลบาทรอสคิ้วดำ (Black-browed albatross; หรือ melanophris) เป็นนกทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกนกอัลบาทรอส (Diomedeidae) นกอัลบาทรอสคิ้วดำ เป็นนกอัลบาทรอสขนาดกลาง มีส่วนหัวที่ใหญ่กว่าลูกเบสบอลเล็กน้อย มีคิ้วสีดำที่โดดเด่นคาดเหนือดวงตาสีดำขลับ จะงอยปากยาวประมาณ 10 เซนติเมตร มีโทนสีไล่กันจากโคนสีเหลืองนวลเป็นสีชมพูอ่อนและชมพูเข้มตอนปลาย นกในช่วงวัยรุ่นจะมีจะงอยปากสีเข้ม นกขนาดโตเต็มที่มีความยาวลำตัว 80–95 เซนติเมตร (31–37 นิ้ว) ความกว้างปีก 200–240 เซนติเมตร (79–94 นิ้ว) น้ำหนักโดยเฉลี่ย 2.9–4.7 กิโลกรัม (6.4–10 นิ้ว) และมีอายุขัยได้มากกว่า 70 ปี นกอัลบาทรอสคิ้วดำ กระจายพันธุ์อยู่ในซีกโลกใต้ ทั้งมหาสมุทรแอตแลนติก และแปซิฟิก โดยเฉพาะในหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ และอาจพบได้ถึงเกาะแคมป์เบลล์ ในนิวซีแลนด์ นกวัยรุ่นจะกลับเข้าหาฝั่งเป็นครั้งแรกหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในทะเลนาน 4-5 ปี เพื่อหาคู่ โดยจะอวดท่วงท่าลีลา รำแพนหาง และส่งเสียงขันคู หรือโก่งคอเข้าหาคู่และเอียงจะงอยปากแนบกัน เพื่อแสดงความพร้อมในการผสมพันธุ์ การหาคู่มักใช้เวลานานราว 2 ปี นกที่เข้าคู่กันได้ดีและนั่งอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน เพื่อทำความรู้จักและเข้าคู่กัน เพราะการเลี้ยงลูกต้องอาศัยทั้งตัวผู้และตัวเมีย โดยทำรังบนหน้าผาชายฝั่ง นกอัลบาทรอสคิ้วดำ จำนวน 399,000 คู่ หรือ 2 ใน 3 ของนกอัลบาทรอสคิ้วดำทั่วโลกจะบินมาวางไข่ที่หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ แต่จำนวนของนกลดลงอย่างน่าใจหาย เนื่องจากการประมงเบ็ดราวและอวนลากในมหาสมุทรของซีกโลกใต้ จนกระทั่งในปี..

ใหม่!!: สัตว์และนกอัลบาทรอสคิ้วดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกอินทรีฟิลิปปิน

นกอินทรีฟิลิปปิน (Philippine eagle) หรือเป็นที่รู้จักในชื่อนกอินทรีกินลิง คือนกอินทรีชนิดหนึ่งในตระกูลสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น วงศ์เหยี่ยวและอินทรีในเขตป่าของฟิลิปปินส์ นกชนิดนี้มีสีน้ำตาลและขนนกสีขาว และมีหงอนที่ดกหนา โดยสัดส่วนทั่วไปวัดความยาวได้ 86-102 เซนติเมตร (2.82 ถึง 3.35 ฟุต) และมีน้ำหนัก 4.7-8.0 กิโลกรัม (10.4-17.6 ปอนด์) นกชนิดนี้ได้รับการพิจารณาว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดานกอินทรีที่ยังมีอยู่ในโลกในด้านความยาว แต่นกอินทรีทะเลชเตลเลอร์ (Steller's sea eagle) และนกอินทรีฮาร์ปี (harpy eagle) มีขนาดใหญ่กว่าในด้านน้ำหนักและความใหญ่โต ท่ามกลางนกที่มีพลังและความหายากที่สุดในโลก นกอินทรีฟิลิปปินได้รับการประกาศเป็นนกประจำชาติของฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นนกที่อยู่ในอันตรายเข้าขั้นวิกฤต เนื่องจากการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยหลักจากการตัดไม้ทำลายไม้ในขอบเขตของมัน การล่านกอินทรีฟิลิปปินมีโทษภายในกฎหมายฟิลิปปินส์ โดยมีโทษจำคุก 12 ปี และค่าปรับสูง.

ใหม่!!: สัตว์และนกอินทรีฟิลิปปิน · ดูเพิ่มเติม »

นกอินทรีสีน้ำตาล

นกอินทรีสีน้ำตาล(อังกฤษ:Tawny eagle-ชื่อวิทยาศาสตร์:Aquila rapax)เป็นนกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ตัวผู้กับตัวเมียมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ลักษณะสีขนของพวกมันแบ่งเป็น 2 แบบคือ แบบสีเข้มจะมีสีน้ำตาลและแบบสีอ่อนจะมีสีขาวน้ำตาล ขนาด 62-78 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และนกอินทรีสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

นกอินทรีฮาร์ปี

นกอินทรีฮาร์ปี (Harpy Eagle) คือสายพันธุ์อินทรีที่อยู่ในเขตร้อนของทวีปอเมริกา นกชนิดนี้เป็นที่รู้จักในฐานะอินทรีฮาร์ปีอเมริกา โดยแตกต่างจากอินทรีปาปัวซึ่งบางครั้งเป็นที่รู้จักในชื่ออินทรีฮาร์ปีนิวกินีหรืออินทรีฮาร์ปีปาปัว นกอินทรีฮาร์ปีเป็นนกล่าเหยื่อ ที่มีขนาดใหญ่และมีพลังมากที่สุดในทวีปอเมริกาและมีขนาดใหญ่ที่สุดท่ามกลางสายพันธุ์อินทรีที่ยังมีอยู่ในโลก โดยปกติแล้วอาศัยอยู่ในป่าฝนเขตร้อนทางตอนใต้ ในระดับที่สูงกว่าชั้นของร่มไม้ (canopy layer) การทำลายที่อยู่อาศัยทางธรรมชาติทำให้เห็นการสูญหายของนกชนิดนี้ในหลายๆ ส่วนของขอบเขตที่อยู่เดิมของมัน และเกือบที่จะถูกทำลายจนหมดสิ้นในทวีปอเมริกากลาง ในประเทศบราซิล นกอินทรีฮาร์ปียังเป็นที่รู้จักในฐานะเหยี่ยวหลวง (Royal-Hawk) และเป็นนกประจำชาติของประเทศปานามาอย่างเป็นทางการ.

ใหม่!!: สัตว์และนกอินทรีฮาร์ปี · ดูเพิ่มเติม »

นกอินทรีทอง

นกอินทรีทอง (golden eagle) คือหนึ่งในนกล่าเหยื่อที่เป็นที่รู้จักในซีกโลกเหนือ นกชนิดนี้เป็นสายพันธุ์อินทรีที่กระจายตัวกว้างขว้างที่สุดในโลก เหมือนกับนกอินทรีทั่วไปที่อยู่ในวงศ์เหยี่ยวและอินทรี นกอินทรีทองมีขนสีน้ำตาลเข้มและมีขนสีน้ำตาลทองที่อ่อนกว่าบริเวณต้นคอ นกอินทรีที่ยังไม่โตเต็มตัวโดยปกติจะมีสีขาวที่หาง และบ่อยครั้งมีขนสีขาวที่ปีก โดยปกติแล้วนกอินทรีทองใช้ความสามารถของมันและความเร็วในการรวมเท้าที่ทรงพลังและกรงเล็บที่แหลมคมในการจับเหยื่อที่หลากหลาย เหยื่อหลักๆ ของมันคือ กระต่ายแจ็ก กระต่าย มาร์มอท และกระรอกดินอื่นๆ นกอินทรีทองรักษาขอบเขตที่อยู่หรือดินแดนของมันซึ่งกว้างขวางประมาณ 200 ตารางกิโลเมตร (77 ตารางไมล์) พวกมันสร้างรังนกขนาดใหญ่ในพื้นที่สูง (หน้าผาเป็นหลัก) ซึ่งมันอาจจะกลับมาในปีที่มีการผสมพันธุ์ กิจกรรมผสมพันธุ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ พวกมันมีคู่ครองเพียงตัวเดียวและอาจจะยังคงอยู่ด้วยเป็นเวลาหลายปีหรือตลอดชีวิต ตัวเมียวางไข่ 4 ฟอง และใช้เวลาฝักไข่ 6 อาทิตย์ โดยปกติแล้วลูกนกหนึ่งหรือสองตัวเท่านั้นที่จะรอดชีวิตและถูกเลี้ยงจนกระทั่งบินได้ในเวลา 3 เดือน นกอินทรีทองวัยรุ่นเข้าสู่อิสรภาพอย่างเต็มตัวในฤดูใบไม้ร่วง หลังจากนั้นพวกมันจะบินเร่ร่อนอย่างกว้างขวางจนกระทั่งมีการสร้างเขตแดนสำหรับตัวมันเองใน 4 ถึง 5 ปี ครั้งหนึ่งนกอินทรีทองเคยอยู่อย่างแพร่หลายทั่วซีกโลกเหนือ แต่พวกมันได้หายไปจากหลายๆ พื้นที่ซึ่งมนุษย์ได้เข้ามาอาศัยอยู่ แม้ว่ามีการทำลายล้างในบางขอบเขตที่อยู่ของมัน หลายๆ สายพันธุ์ยังคงพบได้ทั่วไปพอสมควร ในปัจจุบันมีการขยายออกที่กว้างขวางในทวีปยูเรเชีย อเมริกาเหนือ และในส่วนของแอฟริกาเหนือ พวกมันคือนกอินทรีที่มีประชากรหนาแน่นน้อยที่สุดและใหญ่ที่สุดใน 5 สายพันธุ์ของวงศ์เหยี่ยวและอินทรี ที่ปรากฏทั้งในเขตชีวภาพพาลีอาร์กติก และเขตชีวภาพนีอาร์กติก (อเมริกาเหนือ) นกอินทรีทองยังเป็นนกประจำชาติของประเทศเม็กซิโกอย่างเป็นทางการ และประเทศอียิปต์อย่างไม่เป็นทางการ นอกจากนี้ยังเป็นสัตว์ประจำชาติอีก 2 ประเทศคือ แอลเบเนีย และเยอรมนี.

ใหม่!!: สัตว์และนกอินทรีทอง · ดูเพิ่มเติม »

นกอินทรีทะเลชเตลเลอร์

นกอินทรีทะเลชเตลเลอร์ (Steller's sea eagle) คือนกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ในตระกูลวงศ์เหยี่ยวและอินทรี และเป็นนกอินทรีชนิดหนึ่งที่มีขอบเขตอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เหยื่อหลัก ๆ ของมันคือปลาและนกน้ำ โดยเฉลี่ยนกอินทรีชนิดนี้มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก ที่ประมาณ 5-9 กิโลกรัม (11-20 ปอนด์) แต่อาจจะเชื่องช้ากว่านกอินทรีฮาร์ปีและนกอินทรีฟิลิปปินในการวัดโดยมาตรฐาน นกชนิดนี้ได้รับการตั้งชื่อตามนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมันนามว่า "เกออร์ก วิลเฮล์ม ชเตลเลอร์" (Georg Wilhelm Steller).

ใหม่!!: สัตว์และนกอินทรีทะเลชเตลเลอร์ · ดูเพิ่มเติม »

นกอินทรีปาปัว

นกอินทรีปาปัว (Papuan eagle) หรือที่รู้จักในชื่ออินทรีฮาร์ปีปาปัว อินทรีนิวกินี และอินทรีกาปุล มีความยาว 75-90 เซนติเมตร ความยาวปีก 157 เมตร น้ำหนัก 1600-2400 กรัม เป็นนกล่าเหยื่อชนิดหนึ่ง มีขนสีน้ำตาลเทาและหงอนสั้น ปีกสามแถบ จะงอยปากที่ทรงพลัง ม่านตาใหญ่ หางกลมยาวและส่วนท้องสีขาว นกชนิดนี้มีขาไร้ขนที่ยาวและมีพลังด้วยกรงเล็บที่แหลมคม ลักษณะของเพศผู้และเมียใกล้เคียงกัน โดยตัวเมียใหญ่กว่าตัวผู้เล็กน้อย มันเป็นสมาชิกของสัตว์ที่มีวงศ์เดียวคือ Harpyopsis นกอินทรีปาปัวเป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นในป่าฝนเขตร้อนที่ไม่ถูกรบกวนของเกาะนิวกินี ซึ่งนกชนิดนี้กลายเป็นนักล่าหลักของเกาะ อาคารของมันประกอบด้วยสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง เช่น คอมมอนบรัชเทลพอสซั่ม หรือคาพูลในภาษาท้องถิ่น ซึ่งกลายเป็นอีกชื่อหนึ่งของมัน อย่างไรก็ตามมันก็เป็นอาหารของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ นก และงู นกอินทรีปาปัวเป็นหนึ่งในสี่ของกลุ่มนกอินทรีขนาดใหญ่ที่สุด สายพันธุ์อื่น ๆ ได้แก่ นกอินทรีเครสทิดในทวีปอเมริกา นกอินทรีฮาร์ปีในทวีปอเมริกาใต้ นกอินทรีฟิลิปปินในประเทศฟิลิปปินส์ นกอินทรีปาปัวคือนกภูเขาโดยพื้นฐานซึ่งทำรังอยู่บนต้นไม้ป่าสูง แต่อาจจะถูกพบในระดับน้ำทะเลในบางพื้นที่ซึ่งป่ายังคงไม่ถูกรบกวน เนื่องจากการสูญเสียพื้นที่ป่าอย่างต่อเนื่อง จำนวนประชากรที่เล็กน้อย และการล่าเพื่อเอาขนของมันซึ่งใช้ในโอกาสงานพิธี นกอินทรีปาปัวจึงถูกจัดให้เป็นสัตว์เกือบอยู่ในข่ายใกล้การสูญพันธุ์ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติของสายพันธุ์ที่ถูกคุกคาม และถูกขึ้นบัญชีบนภาคผนวกที่ 2 ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES).

ใหม่!!: สัตว์และนกอินทรีปาปัว · ดูเพิ่มเติม »

นกอีก๋อย

นกอีก๋อย หรือ นกปากซ่อม (Sandpiper) จัดเป็นนกลุยน้ำขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ Scolopacidae มีพฤติกรรมรวมกลุ่มเป็นฝูง หากินเป็นตามชายหาด โดยใช้ปากแทงหาอาหารจำพวกหนอนและไส้เดือนในดิน.

ใหม่!!: สัตว์และนกอีก๋อย · ดูเพิ่มเติม »

นกอีลุ้ม

นกอีลุ้ม หรือ นกอีล้ม เครือข่ายกาญจนาภิเษก (Watercock) เป็นนกน้ำในวงศ์นกอัญชัน พบในทวีปเอเชียแถบประเทศอินเดีย จีน ไต้หวัน เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และในประเทศไทยพบอยู่ทั่วทุก.

ใหม่!!: สัตว์และนกอีลุ้ม · ดูเพิ่มเติม »

นกอีวาบตั๊กแตน

นกอีวาบตั๊กแตน (plaintive cuckoo) เป็นนกสกุล Cacomantis ในวงศ์ Cuculidae (วงศ์นกคัคคู) เป็นนกประจำถิ่นของทวีปเอเชีย มีที่อยู่ตั้งแต่อินเดีย จีน อินโดนีเซีย และไท.

ใหม่!!: สัตว์และนกอีวาบตั๊กแตน · ดูเพิ่มเติม »

นกอีเสือ

นกอีเสือ (Shrikes) เป็นวงศ์ของนกจับคอนขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง ในชื่อวงศ์ว่า Laniidae เป็นนกขนาดเล็กมีความยาวประมาณ 18-25 เซนติเมตร จะงอยปากสั้นกว่าส่วนหัว ลักษณะเป็นตะขอ แบนข้าง และตอนปลายเป็นรอยบาก มีขนแข็งบริเวณมุมปากยาวคล้ายเส้นขน บางส่วนคลุมรูจมูก รูจมูกทะลุถึงกัน ปีกสั้น ปลายปีกมน มีขนปลายปีก 10 เส้น หางยาวเท่ากับปีก มีขนหาง 12 เส้น หน้าแข้งสั้นแต่ยาวกว่าปาก คลุมด้วยเกล็ดชนิดเกล็ดซ้อน นิ้วกลางรวมทั้งเล็บสั้นกว่าหน้าแข้ง นิ้วนอกและนิ้วกลางบริเวณโคนติดกันเล็กน้อย นิ้วในเป็นอิสระ เป็นนกกินเนื้อ ด้วยการบินโฉบจับแมลง, สัตว์เลื้อยคลาน รวมถึงนกด้วยกันขนาดเล็กเป็นอาหาร ด้วยการฉีกกินเหมือนสัตว์กินเนื้อ ซึ่งบางครั้งหากกินไม่หมด ก็จะนำไปซุกซ่อนตามคาคบไม้หรือเสียบไว้ตามกิ่งไม้หรือลวดแหลม แล้วค่อยย้อนมากินทีหลัง ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเหมือนเสือ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ ทำรังเป็นรูปถ้วยตามพุ่มไม้หรือต้นไม้ขนาดเล็ก ไข่มีสีแตกต่างกันออกไปและมีลายจุดสีต่าง ๆ ลูกที่เพิ่งเกิดใหม่ไม่มีขนปกคลุมร่างกาย และเดินไม่ได้ พบกระจายพันธุ์ทั้งในทวีปเอเชีย, ยุโรป, แอฟริกา และอเมริกาเหนือ แบ่งออกได้เป็น 4 สกุล (ดูในตาราง-บางข้อมูลจำแนกไว้แค่ 3 สกุล) ในประเทศไทยพบเพียงสกุลเดียว คือ Lanius ประมาณ 5 ชนิด มักพบตามทุ่งหญ้า หรือป่าหญ้า ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และนกอีเสือ · ดูเพิ่มเติม »

นกอีเสือลาย

นกอีเสือลาย หรือ นกอีเสือลายเสือ (Tiger shrike, Thick-billed shrike) เป็นนกจับคอนขนาดเล็กในสกุล Lanius ในวงศ์นกอีเสือ (Laniidae) มีถิ่นอาศัยในแถบเอเชียตะวันออก มักพบอยู่ตามลำพัง กินสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร ทำรังบนต้นไม้ วางไข่ 3-6 ใ.

ใหม่!!: สัตว์และนกอีเสือลาย · ดูเพิ่มเติม »

นกอีเสือสีน้ำตาล

นกอีเสือสีน้ำตาล (Brown shrike; ชื่อวิทยาศาสตร์: Lanius cristatus) เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Laniidae จัดเป็นนกอพยพย้ายถิ่นอาศัยเข้ามาหากินในประเทศไทย พบได้บ่อยในช่วงปลายฤดูร้อนและปลายฤดูฝน ซึ่งนกอีเสื้อสีน้ำตาลมีถิ่นการกระจายพันธุ์กว้างขวาง โดยพบได้ตั้งแต่เอเชียเหนือจรดยุโรป, เอเชียกลาง, เอเชียตะวันออก, เอเชียใต้ และยังพบได้ที่อเมริกาเหนือ จึงมีชนิดย่อยด้วยกันทั้งหมด 4 ชนิด (ดูในตาราง).

ใหม่!!: สัตว์และนกอีเสือสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

นกอีเสือหลังเทา

นกอีเสือหลังเทา (Grey-backed shrike) เป็นนกในวงศ์นกอีเสือ (Laniidae) พบในประเทศบังกลาเทศ, ภูฏาน, กัมพูชา, จีน, อินเดีย, ลาว, พม่า, เนปาล, ปากีสถาน, รัสเซีย, ไทย, และเวียดนาม.

ใหม่!!: สัตว์และนกอีเสือหลังเทา · ดูเพิ่มเติม »

นกอ้ายงั่ว

นกอ้ายงั่ว หรือ นกคองู (Oriental darter; Snakebird) เป็นนกน้ำชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์นกอ้ายงั่ว (Anhingidae) ในอันดับนกกระทุง (Pelecaniformes) (แต่บางข้อมูลจัดให้อยู่ในอันดับ Suliformes) ในประเทศไทยพบเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ขนาดลำตัวยาวประมาณ 90-95 เซนติเมตร ปากตรง ปลายปากแหลม หัวเล็กคอยาวมาก ปีกยาว ปลายปีกค่อนข้างมน ขนปลายปีกเส้นที่ 2 และ 3 นับจากด้านนอกยาวที่สุด หางยาวแข็ง ปลายหางเป็นหางพลั่ว มีขนหาง 12 เส้น ขาค่อนข้างสั้นแต่ใหญ่ มีพังผืดนิ้วเป็นแบบตีนพัดเติม ทั้งสองเพศมีลักษณะและสีเหมือนกัน ตัวเต็มวัยหัวและคอสีน้ำตาล มีลายสีขาวคาดจากคางจนถึงข้างคอ ลำตัวสีดำ ช่วงไหล่ คอด้านบน และลำตัวด้านบนมีลายขีดสีเทาแกมสีเงิน ตัวไม่เต็มวัยสีจางกว่าตัวเต็มวัย หัวและคอสีขาว ลำตัวสีน้ำตาล มีลักษณะเด่น คือ มีลำคอยาวเรียวดูคล้ายงู จนได้อีกชื่อหนึ่งว่า "นกคองู" เพราะขณะว่ายน้ำ ลำตัวทั้งหมดจะจมลงใต้น้ำ ชูเฉพาะคอและหัวขึ้นเหนือน้ำ ดูคล้ายกับงูที่อยู่ในน้ำมาก อยู่เป็นกลุ่มตามแหล่งน้ำ เช่น บึง, อ่างเก็บน้ำ, เขื่อน หรือแหล่งน้ำขนาดใหญ่ และอาจอยู่รวมกับนกและสัตว์ชนิดอื่น ว่ายน้ำและดำน้ำได้ดีมาก นอกจากนี้ยังบินได้ดี และชอบเกาะตามกิ่งไม้แห้งใกล้กับแหล่งน้ำหากินหรือบริเวณแหล่งอาศัย เพื่อผึ่งแดดหรือไซ้ขนหลังจากว่ายน้ำและดำน้ำหาอาหาร อาหารได้แก่ปลาชนิดต่าง ๆ ที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป โดยใช้ปากแทงทะลุตัวปลา จากนั้นจะชูหัวและลำคอขึ้นเหนือน้ำ โยนปลาขึ้นไปในอากาศพร้อมกับอ้าปากรับ แล้วกลืนเข้าไปทั้งตัว แต่ถ้าปลาตัวใหญ่เกินไปก็อาจจะนำขึ้นมากินบนกิ่งไม้ นกอ้ายงั่วผสมพันธุ์ในช่วงฤดูฝนหรือระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม ทำรังรวมกันเป็นกลุ่มตามต้นไม้สูง (ไม่ต่ำกว่า 20 เมตร) รังเป็นแบบง่าย ๆ ใช้กิ่งไม้มาวางซ้อนกันตามง่ามไม้ขนาดใหญ่ รังมีไข่ 3-5 ฟอง ทั้งสองคู่ผลัดกันฟักไข่ เนื่องจากนกอ้ายงั่ววางไข่ครั้งละไม่กี่ฟอง จึงมีความเสี่ยงที่จะถูกศัตรูของนกอ้ายงั่ว เช่น งู, หนู และนกล่าเหยื่อ ชนิดต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่ง รวมทั้งการรบกวนของมนุษย์ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญอย่างยิ่งต่อการสูญพันธุ์ คอที่ยาวคล้ายงู ขณะจับปลา นกอ้ายงั่ว จัดเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของธรรมชาติได้ดีอย่างหนึ่ง เพราะอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งปริมาณของอาหาร และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ จัดเป็นนกประถิ่นในประเทศไทย แต่อยู่ในภาวะถูกคุกคาม ในประเทศจัดให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ปัจจุบันพบเพียงไม่กี่จังหวัดเท่านั้น เช่น จังหวัดสระแก้วในภาคตะวันออก.

ใหม่!!: สัตว์และนกอ้ายงั่ว · ดูเพิ่มเติม »

นกอ้ายงั่วแอฟริกัน

นกอ้ายงั่วแอฟริกัน หรือ นกคองูแอฟริกัน (African darter, African snakebird) นกชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกอ้ายงั่ว (Anhingidae) มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับนกอ้ายงั่วชนิดอื่น ๆ เช่น นกอ้ายงั่ว (A. melanogaster) ที่พบในทวีปเอเชียและประเทศไทย แต่มีลำตัวสีแดงเข้มกว่า จัดเป็นนกขนาดใหญ่ มีลำตัวยาวกว่า 80 เซนติเมตร หากินอยู่ตามอ่างเก็บน้ำและแม่น้ำขนาดใหญ่ของทวีปแอฟริกา ตั้งแต่ซับสะฮะราลงมา เมื่ออยู่ในน้ำจะโผล่เฉพาะคออันยาวขึ้นมาเหนือน้ำทำให้ดูมีลักษณะคล้ายกับงู ทำรังวางไข่บนต้นไม้ครั้งละ 3-6 ฟอง ใกล้กับรังของนกน้ำชนิดอื่น เช่น นกกระยาง, นกกาน้ำ ในน้ำที่เซเนกัล.

ใหม่!!: สัตว์และนกอ้ายงั่วแอฟริกัน · ดูเพิ่มเติม »

นกจมูกหลอดยักษ์ขั้วโลกใต้

'' Macronectes giganteus'' นกจมูกหลอดยักษ์ขั้วโลกใต้ (Macronectes giganteus หรือ Southern Giant Petrel หรือ Antarctic Giant Petrel หรือ Giant Fulmar หรือ Stinker หรือ Stinkpot) เป็นนกทะเลขนาดใหญ่ของมหาสมุทรตอนใต้ ถิ่นที่อยู่อาศัยคาบกันเป็นส่วนใหญ่กับนกจมูกหลอดยักษ์ตอนเหนือ แต่มีศูนย์กลางค่อนไปทางใต้เล็กน้อย นกใหญ่ของสองสปีชีส์นี้แยกได้โดยสีของปลายจะงอยปาก ออกเขียวในนกจมูกหลอดยักษ์ขั้วโลกใต้ และออกแดงในนกตอนเหนือ.

ใหม่!!: สัตว์และนกจมูกหลอดยักษ์ขั้วโลกใต้ · ดูเพิ่มเติม »

นกจมูกหลอดลาย

นกจมูกหลอดลาย (Streaked Shearwater) เป็นนกทะเลชนิดหนึ่ง ลำตัวยาวประมาณ 48 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และนกจมูกหลอดลาย · ดูเพิ่มเติม »

นกจาบ

ลักษณะรังของนกจาบธรรมดา ซึ่งปากทางเข้าอยู่ด้านล่าง นกจาบอกลาย (''P. manyar'') นกจาบ หรือ นกกระจาบ เป็นนกขนาดเล็กในสกุล Ploceus ในวงศ์นกจาบ (Ploceidae) พบทั้งในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา อาศัยอยูตามปาโปรง หรือทุงโลง ไมมีชนิดใดที่อยูในสภาวะที่เสี่ยงตอการสูญพัน.

ใหม่!!: สัตว์และนกจาบ · ดูเพิ่มเติม »

นกจาบสังคม

นกจาบสังคม หรือ นกกระจาบสังคม (Sociable weaver, Social weaver) นกเกาะคอนขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์นกจาบ (Passeridae) จัดเป็นนกชนิดเดียวในสกุล Philetairus เป็นนกขนาดเล็กที่อาศัยอยู่เฉพาะภูมิภาคแอฟริกาใต้ พบได้ทั่วไปในแอฟริกาใต้, บอตสวานา, นามิเบีย โดยศูนย์กลางที่แพร่กระจายพันธุ์คือ จังหวัดนอร์ทเทิร์นเคป ในแอฟริกาใต้ รังขนาดใหญ่ของนกจาบสังคม นกจาบสังคม เป็นนกที่ทำรังได้อย่างน่าทึ่ง โดยจะสร้างรังรวมกันอยู่อย่างน้อยตั้งแต่ 12 ครอบครัวขึ้นไป รังขนาดใหญ่ที่สุดนั้นมีนกอยู่รวมกันถึง 400 ตัวและรังขนาดใหญ่อาจมีน้ำหนักถึง 1 ตัน และอยู่อาศัยต่อเนื่องกันมานานนับร้อยปี รังของพวกนกจาบสังคมออกแบบมาอย่างสมบูรณ์พร้อม ด้านบนมีความลาดเอียงกรุหญ้าฟางที่สามารถป้องกันฝนและความร้อนได้ดี ทางเข้ารังจะอยู่ด้านล่างทำให้สัตว์ผู้ล่าเข้าไปได้ยาก โครงสร้างภายในประกอบไปด้วยกิ่งไม้และหญ้าแข็งช่วยค้ำยัน โดยแบ่งเป็นห้อง ๆ กรุไว้ด้วยวัสดุที่อ่อนนุ่ม ปากทางเข้ารังจะเป็นหญ้าแข็งรวมทั้งหนามแหลมเพื่อป้องกันศัตรูรุกราน อีกทั้งอุณหภูมิภายในรังด้านในสุดจะสูง เพื่อปกป้องความหนาวเย็นในทะเลทรายในเวลาค่ำคืน ส่วนนอกที่ถัดออกมาจะมีอุณหภูมิต่ำกว่า ใช้เป็นที่พักอาศัยในเวลากลางวัน ลูกนกที่โตขึ้นมาบางส่วนก็จะไม่ย้ายไปไหน แต่จะสร้างห้องเพิ่มอยู่ในอาณานิคมรังเดิมของตัวเอง ทำให้ขนาดของรังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และบางรังอาจมีนกชนิดอื่นมาอาศัยอยู่ด้วย เช่น เหยี่ยวแคระแอฟริกัน, นกฟินซ์, นกเลิฟเบิร์ด เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และนกจาบสังคม · ดูเพิ่มเติม »

นกจาบอกลาย

นกจาบอกลาย หรือ นกกระจาบอกลาย (Streaked weaver) เป็นนกในวงศ์นกจาบ (Ploceidae) ที่พบในเอเชียใต้ มีลักษณะคล้ายนกจาบธรรมดา (P. philippinus) แต่อกเป็นลาย ทำรังกันเป็นกลุ่มในกอต้นกกใกล้แหล่งน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และนกจาบอกลาย · ดูเพิ่มเติม »

นกจาบธรรมดา

นกจาบธรรมดา หรือ นกจาบอกเรียบ (Baya weaver) เป็นนกจาบที่พบในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบในทุ่งหญ้า ป่าละเมาะ และพื้นที่เพาะปลูก นกชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันจากรังแขวนที่ถอขึ้นจากใบไม้ กลุ่มรังมักพบบนต้นไม้มีหนามหรือต้นปาล์มใกล้แหล่งน้ำหรือแขวนเหนือน้ำเพื่อที่นักล่าจะไม่สามารถเข้าถึงรังได้ มีสามชนิดย่อย ชนิดย่อย philippinus พบมากในประเทศอินเดีย ขณะที่ชนิดย่อย burmanicus พบไปทางตะวันออกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชนิดย่อย travancoreensis มีขนสีเข้มกว่าพบในทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดี.

ใหม่!!: สัตว์และนกจาบธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

นกจาบทอง

นกจาบทอง หรือ นกกระจาบทอง (Asian golden weaver) เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกจาบ (Ploceidae) พบในประเทศกัมพูชา, อินโดนีเซีย, ลาว, พม่า, ไทย, และเวียดนาม มีถิ่นอาศัยตามธรรมชาติในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนในพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมถึง ทุ่งหญ้า หนองบึง และพื้นที่เกษตรกรรม ปัจจุบันเป็นสปีชีส์ที่ถูกคุกคามเพราะการทำลายถิ่นฐานธรรมชาติ นกจาบทองเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง..

ใหม่!!: สัตว์และนกจาบทอง · ดูเพิ่มเติม »

นกจาบควาย

นกจาบควาย หรือ นกกระจาบควาย (Buffalo weaver) เป็นนกขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในสกุล Bubalornis ในวงศ์นกจาบ (Ploceidae) จัดเป็นนกจาบ หรือนกกระจาบที่มีขนาดใหญ่ พบได้เฉพาะในทวีปแอฟริกา แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และนกจาบควาย · ดูเพิ่มเติม »

นกจาบคาหัวเขียว

นกจาบคาหัวเขียว (Blue-tailed bee-eater) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Merops philippinus เป็นนกในตระกูล Meropidae จัดเป็นนกอพยพชนิดหนึ่ง มีแหล่งผสมพันธุ์อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บางครั้งอาจถูกจัดให้อยู่ในสปีชีส์เดียวกับนกจาบคาแก้มฟ้า (Merops persicus) ในประเทศไทย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จึงห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธุ์ ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรัง การห้ามการครอบครองและการค้ามีผลไปถึงไข่และซาก นกชนิดนี้มีรูปร่างเพรียว มีสีสันสวยงาม โดยจะมีสีเขียวเด่นเป็นพิเศษ บริเวณใบหน้ามีแต้มสีฟ้าเล็กๆ และมีแถบยาวสีดำอยู่ตรงดวงตา ขนที่คอเป็นสีเหลืองและสีน้ำตาล หางเป็นสีห้า และจะงอยปากสีดำ สามารถเจริญเติบโตได้ยาว 23-26 เซนติเมตร โดยรวมความยาวของขนหางตรงกลางสองเส้นที่ยาวกว่าบริเวณอื่นด้วย นกจาบคาหัวเขียวมีแหล่งผสมพันธุ์ในพื้นที่ชนบทกึ่งเขตร้อน อย่างเช่นในไร่ สวน นาข้าว หรือสวนสาธารณะ มักพบได้บ่อยครั้งบริเวณใกล้กับแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กินแมลงชนิดต่างๆเป็นอาหารเหมือนนกจาบคาชนิดอื่น โดยเฉพาะผึ้ง ต่อ และแตน โดยจะโผลบินพุ่งออกจากที่พักเกาะไปจับเหยื่อกลางอากาศ เหยื่อจะถูกจับกลับไปที่พักเกาะ แล้วใช้จะงอยปากจิกเหยื่อจนตายและเปลือกแข็งที่ห่อหุ้มร่างกายแตกออก สำหรับนกจาบคาชนิดนี้ พบว่าเหยื่อที่ล่ามีทั้งผึ้งและแมลงปอในปริมาณที่มากพอๆกัน นกจาบคาหัวเขียวชอบสร้างรังอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ตามริมฝั่งแหล่งน้ำที่เป็นทรายหรือพื้นที่ราบเปิดโล่ง รังมีลักษณะเป็นเหมือนอุโมงค์ค่อนข้างยาว นกชนิดนี้จะวางไข่ทรงกลมสีขาวครั้งละ 5-7 ฟอง ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะเฝ้าดูแลไข่ด้วยกัน นอกจากนี้ เวลาออกหากินหรือพักเกาะตามที่สูง ก็มักจะอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเช่นกัน นกจาบคาหัวเขียว.

ใหม่!!: สัตว์และนกจาบคาหัวเขียว · ดูเพิ่มเติม »

นกจาบปีกอ่อนสร้อยคอสีน้ำตาล

นกจาบปีกอ่อนสร้อยคอสีน้ำตาลน..ไชยยันต์ เกษรดอกบัว.

ใหม่!!: สัตว์และนกจาบปีกอ่อนสร้อยคอสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

นกจาบเหลือง

นกจาบเหลือง หรือ นกจาบทองตะวันออก (Yellow weaver, Eastern golden weaver) เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกจาบ (Ploceidae) เป็นนกจาบหรือนกกระจาบชนิดหนึ่ง มีลำตัวยาว 14 เซนติเมตร รังมีลักษณะเป็นทรงกลมมีทางเข้า-ออกด้านล่าง มักทำรังห้อยอยู่ตามต้นไม้ต่าง ๆ เช่น ต้นกกริมแม่น้ำ นกตัวผู้มีสีเหลืองเข้ม ส่วนตัวเมียมีสีเหลืองจางกว่า อาหารหลักได้แก่ เมล็ดพืชและแมลงต่าง ๆ พบกระจายพันธุ์ในหลายประเทศในทวีปแอฟริกา เช่น เคนยา, มาลาวี, โมซัมบิก, โซมาเลีย, แอฟริกาใต้, สวาซิแลนด์ และแทนซาเนี.

ใหม่!!: สัตว์และนกจาบเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

นกทึดทือ

นกทึดทือ หรือ นกถึดทือ หรือ นกพิทิด ในภาษาใต้ (Fish owls) เป็นสกุลของนกล่าเหยื่อจำพวกหนึ่ง ในวงศ์นกเค้าแมว (Strigidae) จัดอยู่ในสกุล Ketupa (แต่จากการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมแล้วพบว่าควรจะจัดให้อยู่ในสกุล Bubo หรือนกเค้าใหญ่ มากกว่า) ลักษณะของนกทึดทือ เป็นนกฮูกหรือนกเค้าแมวขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีลำตัวสีนํ้าตาล มีลายกระสีขาว ลำตัวด้านบนและปีกสีเข้มกว่าด้านท้อง ขนคิ้วยาว เห็นได้ชัด ตาสีเหลือง หน้าแข้งไม่มีขน หากินในเวลากลางคืน การที่ได้ชื่อว่า "ทึดทือ" นั้น มาจากเสียงร้อง ที่เป็นเสียงต่ำทุ้ม โดยเฉพาะช่วงจับคู่ในฤดูหนาว ทั้งสองเพศจะร้องประสานเสียงกันให้ได้ยินบ่อย ๆ ยามพลบค่ำและรุ่งสาง จะอาศัยอยู่ในป่าใกล้แหล่งน้ำ เพราะจับสัตว์น้ำ เช่น ปลา, ปู, กุ้ง, กบ, เขียด กินเป็นอาหาร ทำรังและอาศัยบนต้นไม้ยืนต้น พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทวีปเอเชีย ในประเทศไทยพบ 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และนกทึดทือ · ดูเพิ่มเติม »

นกทึดทือพันธุ์เหนือ

นกทึดทือพันธุ์เหนือ (Brown fish owl; หรือ Bubo zeylonensis) เป็นนกเค้าแมวชนิดหนึ่ง พบในเขตอบอุ่นและเขตร้อนชื้นตามไหล่ทวีปเอเชียและหมู่เกาะGrimmett et al. (1999).

ใหม่!!: สัตว์และนกทึดทือพันธุ์เหนือ · ดูเพิ่มเติม »

นกทึดทือมลายู

นกทึดทือมลายู หรือ นกเค้าแมวมลายู หรือ นกฮูกมลายู หรือ นกพิทิดพิที ในภาษาใต้ (Buffy fish owl, Malay fish owl; หรือ Bubo ketupa) นกล่าเหยื่อชนิดหนึ่ง จำพวกนกเค้าแมว เป็นนกเค้าแมวขนาดกลาง มีความสูงประมาณ 49-50 เซนติเมตร ปีกสั้นกว่า 40 เซนติเมตร ดวงตาสีเหลืองจนถึงเหลืองแกมทอง มีขนเหนือคิ้วเป็นแผงยาวออกไปด้านข้างทั้งสองด้าน ส่วนขนบริเวณเหนือโคนปากเป็นสีขาว ลำตัวด้านบนสีน้ำตาลมีลายสีจางกระจาย ด้านล่างสีเนื้อแกมน้ำตาลเหลือง มีลายขีดสีดำ เมื่อหุบปีกจะเห็นลายแถบสีน้ำตาลจางสลับสีเข้มบริเวณปลายปีก ขาสีเขียว มีเล็บโค้งแหลม และมีปากงุ้มแหลม มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงฤดูหนาวต่อฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายน ทำรังอยู่ในโพรงไม้ หรือใช้รังเก่าของนกอื่น ๆ เป็นรัง ออกไข่ครั้งละ 1-3 ฟอง ลักษณะไข่มีเปลือกสีขาวและทรงกลม ตัวผู้จะเป็นฝ่ายส่งเสียงร้องเรียกตัวเมีย มักอาศัยอยู่ตามป่าดิบแล้ง, ป่าดิบชื้น ตั้งแต่ระดับพื้นราบจนกระทั่งความสูง 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล ใกล้แหล่งน้ำหรือลำธารในป่า และบริเวณใกล้ชายฝั่ง ส่วนใหญ่หากินในเวลากลางคืน จับสัตว์ขนาดเล็กกินเป็นอาหาร ซึ่งได้แก่ ปลา, กบ, ปู, ค้างคาว, นกชนิดอื่น และสัตว์เลื้อยคลานเกือบทุกชนิด เมื่อเวลาบินล่าเหยื่อจะบินได้เงียบกริบมาก พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ภาคใต้ตอนล่างของไทยเช่น จังหวัดนราธิวาส พบไปตลอดแหลมมลายูจนถึงประเทศอินโดนีเซีย, เกาะชวา และหมู่เกาะซุนดา ซึ่งนกทึดทือมลายู เป็นนกที่ถูกอ้างอิงถึงในนวนิยายสำหรับเด็กเรื่อง แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ด้วยเป็นนกของแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ตัวละครเอก เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2546.

ใหม่!!: สัตว์และนกทึดทือมลายู · ดูเพิ่มเติม »

นกขมิ้น

นกขมิ้น (Oriole, Old world oriole) เป็นวงศ์ของนกที่มีสายวิวัฒนาการอยู่ระหว่างวงศ์นกแซงแซว (Dicruridae) และวงศ์นกกา (Corvidae) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Oriolidae แต่มีรูปร่างลักษณะและอุปนิสัย แตกต่างจากนกทั้งสองวงศ์นี้มาก คือ นกกาและนกแซงแซวส่วนใหญ่จะมีลำตัวเพรียว หางยาว หรือค่อนข้างยาว นิสัยค่อนข้างก้าวร้าวไม่กลัวคน แต่นกขมิ้นซึ่งเป็นนกที่มีลำตัวขนาดกลางถึงขนาดเล็ก มีความยาวตัวประมาณ 20-27 เซนติเมตร ขนาดเท่านกเอื้ยง หางสั้น สีตัวส่วนใหญ่เป็นสีเหลือง มีบางชนิดเป็นสีอื่นบ้าง จะงอยปากแข็งแรงและงุ้มลง ปีกยาวแหลม นกตัวผู้มีสีสดใสสวยงามกว่านกตัวเมีย ลูกนกมีลายขีดสีดำกระจายอยู่ทั่วบริเวณท้อง นกขมิ้นเป็นนกที่ชอบอาศัยอยู่ตามต้นไม้ในป่าบก, ป่าชายเลน และตามสวนผลไม้ ส่วนใหญ่หากินอยู่ตามเรือนยอดหรือพุ่มใบของต้นไม้ รวมอยู่ กับนกชนิดอื่น ๆ เช่น นกแซงแซว, นกพญาไฟ และนกไต่ไม้ พบหากินเงียบ ๆ อยู่ตัวเดียวหรือเป็นคู่ ไม่ค่อยพบลงมาหากินตามพื้นล่าง กินผลไม้, แมลง และน้ำหวานดอกไม้เป็นอาหาร บินได้เร็วและทนนาน ชอบทำรังอยู่ตาม ง่ามไม้บนต้นไม้สูง รังอยู่สูงประมาณ 4-10 เมตร สร้างรังเป็นรูปถ้วย ก้นลึก ทำด้วยต้นหญ้าหรือเส้นใยพืชร้อยถักอย่างประณีต วางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง ทั้งพ่อและแม่นกจะช่วยกันกกไข่และเลี้ยงลูก นกขมิ้นชอบสร้างรังใกล้ ๆ รังของนกแซงแซวเพื่อให้นกแซงแซวช่วยป้องกันไข่และลูกนกจากศัตรู เนื่องจากนกแซงแซวจะป้องกันไข่และลูกนกของตัวเองจากศัตรู ดังนั้นจึงช่วยป้องกันไข่ และลูกนกขมิ้นด้วย นกขมิ้นพบทั่วโลก 29 ชนิด พบในประเทศไทย 6 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และนกขมิ้น · ดูเพิ่มเติม »

นกขุนทอง

แสดงให้เห็นถึงหัวของนกขุนทองชนิดย่อยต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างกันที่เหนียง นกขุนทอง หรือ นกเอี้ยงคำ (คำเมือง) เป็นนกในวงศ์นกเอี้ยงและนกกิ้งโครง (Sturnidae) มีถิ่นอาศัยอยู่ทั่วไปในเอเชียใต้และเอเชียอาคเนย์ มีความสามารถเลียนเสียงมนุษย์ได้เหมือนนกแก้ว จึงนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงกันสูง.

ใหม่!!: สัตว์และนกขุนทอง · ดูเพิ่มเติม »

นกขุนแผน

ำหรับนกขุนแผนจำพวกอื่น ดูที่: วงศ์นกขุนแผน นกขุนแผน หรือ นกสาลิกาดง (อังกฤษ: Red-billed blue magpie; ชื่อวิทยาศาสตร์: Urocissa erythrorhyncha) จัดเป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Corvidae อันเป็นวงศ์เดียวกับกา นกขุนแผนเป็นนกที่มีสีสันสวยงามมาก กล่าวคือ โดยมีบริเวณหัวถึงลำคอสีดำ ขนบริเวณลำตัวมีสีฟ้าแกมม่วง ส่วนโคนปีกมีสีฟ้าแกมม่วง ด้านปลายปีกสีขาว มีหางสวยงามและยาวมาก มีสีฟ้าแกมม่วงส่วนบริเวณปลายหางมีสีขาว มีขนหางคู่บนยาวกว่าคู่อื่น ๆ ปากสีแดง ขาสีแดงส้มและตาสีดำ ทั้งตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก จนยากที่จะแยกได้ออกจากการมองแค่ภายนอก ความยาวจากปลายปากถึงปลายหางประมาณ 65-68 เซนติเมตร และมีขนหางยาวมากราว 37-42 เซนติเมตร หรือ 2 ใน 3 ของความยาวจากปากถึงปลายหาง ขนหางค่อนข้างแข็ง มี 12 เส้น ซึ่งแต่ละคู่ยาวลดหลั่นกันลงไป โดยมีขนหางคู่บนสุดยาวที่สุด ซึ่งยาวกว่าขนหางคู่ที่ 5 อย่างเห็นได้ชัด ปลายขนหางแต่ละเส้นมีลักษณะมน ขนหางทุกเส้นมีสีฟ้าอมม่วง แต่ปลายขนหางแต่ละเส้นเป็นแถบสีขาว และเฉพาะปลายขนหางคู่ที่ 1 ถึงคู่ที่ 5 มีแถบสีดำถัดจากแถบสีขาวด้วย ปลายขนหางคู่ที่ 6 ซึ่งเป็นคู่บนสุดโค้งลงมาเล็กน้อย พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่เชิงเขาหิมาลัยจนถึงจีน, พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบเกือบทุกภาคยกเว้นภาคใต้ มีพฤติกรรมชอบอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ ตามป่าละเมาะ, ป่าโปร่ง มักส่งเสียงร้องขณะที่มันเริ่มออกหากิน บางเวลาอาจลงมาหากินตามพื้นดินหรือซอกก้อนหิน ซอกไม้ผุ ๆ อาหารได้แก่ แมลงชนิดต่าง ๆ เช่น ด้วง, ปลวก, หนอน, หอยทาก, กิ้งก่า, จิ้งจก, จิ้งเหลน, งู รวมทั้งปาด, ตะขาบ และหนู แม้แต่ไข่นกและลูกนกชนิดอื่นในรัง รวมทั้งซากสัตว์ด้วย ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม จะทำรังโดยนำกิ่งไม้เล็กมาขัดสานกันเป็นแอ่งตรงกลาง และรองพื้นด้วยรากไม้หรือใบไม้ที่พอจะหาได้ในบริเวณนั้น ตัวเมียจะวางไข่ครั้งละ 3-6 ฟอง อยู่สูงจากพื้น 6-8 เมตร มีสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 แต่ก็นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเพราะสีสันและหางที่สวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และนกขุนแผน · ดูเพิ่มเติม »

นกดำน้ำน้อยดี

นกดำน้ำน้อยดี (Good little diver) เป็นนกประเภทเพนกวินสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Eudyptula เป็นเพนกวินที่พบกระจายพันธุ์ได้ในออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ทัสมาเนีย และหมู่เกาะแชทัม เป็นเพนกวินขนาดเล็กที่สุด ในบางข้อมูลจัดให้มีเพียงแค่ชนิดเดียว แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่ามีชนิดที่แยกจากกัน แต่บางคนอาจจะเชื่อว่าเป็นเพียงชนิดย่อย บางคนเชื่อว่าเป็นเพียงความแตกต่างกันทางมอร์พ จากการวิเคราะห์ไมโตคอนเดรียดีเอ็นเอ แสดงให้เห็นว่ามีแน่นอน 2 ชนิดที่เกี่ยวข้องกันBanks, Jonathan C.; Mitchell, Anthony D.; Waas, Joseph R. & Paterson, Adrian M. (2002): An unexpected pattern of molecular divergence within the blue penguin (Eudyptula minor) complex.

ใหม่!!: สัตว์และนกดำน้ำน้อยดี · ดูเพิ่มเติม »

นกดำน้ำไร้ปีก

นกดำน้ำไร้ปีก (Flightless diver) เป็นเพนกวินในสกุล Aptenodytes (จากภาษากรีกโบราณ “a” ที่แปลว่า “ปราศจาก”, “pteno-”/πτηνο ที่แปลว่า “ขน” หรือ “ปีก” และ “dytes”/ “δυτης” ที่แปลว่า “นักดำน้ำ”) ประกอบด้วยเพนกวิน 2 ชนิดที่เรียกรวมกันว่า "เพนกวินใหญ่" เป็นเพนกวินขนาดใหญ่ที่สุด จำแนกออกได้เป็น 2 ชนิด นกดำน้ำไร้ปีก หรือเพนกวินใหญ่ เป็นเพนกวินที่พบกระจายพันธุ์ในแถบซีกโลกทางใต้ เช่น มหาสมุทรใต้, ทวีปแอนตาร์กติกา หรือขั้วโลกใต้ จากการศึกษาทางสันฐานวิทยาและโมเลกุล พบว่าเพนกวินสกุลนี้เป็นต้นสายพันธุ์ของเพนกวินทั้งหมดในปัจจุบัน โดยถือกำเนิดมานานกว่้า 40 ล้านปีมาแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และนกดำน้ำไร้ปีก · ดูเพิ่มเติม »

นกคอพัน

นกคอพัน (Eurasian wryneck, Spotted woodpecker) เป็นนกชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกหัวขวาน (Picidae) มีรูปร่างเพรียว คอสั้น ปากสั้นและแบนข้างมาก สั้นปากบนโค้งลงมาเล็กน้อย ปลายปากแหลมคล้ายรูปกรวย รูจมูกค่อนข้างใหญ่อยู่เกลือบชิดสันปากบน ไม่มีขนใด ๆ แต่มีเยื่อปกคลุม ปีกมีลักษณะมนกลม ด้านบนลำตัวเป็นลายจุดสีดำและน้ำตาล ด้านล่างลำตัวมีลายพาดระหว่าง สีขาวและน้ำตาล ดูระยะไกลจะเห็นเป็นสีน้ำตาลแกมเทากลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม แต่นกคอพันไม่สามารถไต่ต้นไม้ในลักษณะแนวตั้งเหมือนนกหัวขวานทั่วไปได้ เพราะขนหางอ่อนนุ่มไม่สามารถค้ำยันตัวได้ โดยจะเกาะกิ่งไม้เหมือนนกเกาะคอน อีกทั้งยังไม่สามารถใช้จะงอยปากเจาะลำต้นของต้นไม้เพื่อหาแมลงกินได้อีกด้วย แต่นกคอพันก็มีลิ้นที่ยาวและมีน้ำลายที่เหนียวตวัดกินมดหรือหนอนตามต้นไม้เป็นอาหาร เหมือนนกหัวขวาน มีลำตัวยาวประมาณ 16-18 เซนติเมตร เป็นนกที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง หรือเป็นคู่ หากมีนกตัวอื่นหรือฝูงนกอื่นเข้ามาใกล้ จะบินหนี มักจะลงมาหากินตามพื้นดินมากกว่าบนต้นไม้ เนื่องจากกินมด ซึ่งเป็นแมลงอยู่ตามพื้นดินเป็นหลัก ด้วยการกระโดดไปมาบนพื้นแล้วหยุดมองหาตามร่องของพื้นดิน มีเสียงร้อง "ควี่ ๆ ๆ ๆ" ติดต่อกันราว 8-15 คำ ได้ยินกังวาลไปไกล นอกจากนี้แล้วยังสามารถที่บิดคอไปข้าง ๆ ได้เกือบ 180 องศาเหมือนงู จึงได้รับการตั้งชื่อสกุลว่า Jynx ซึ่งหมายถึง เวทมนตร์หรือการทำนายพยากรณ์ล่วงหน้า เหตุที่สามารถเลียนแบบส่วนคอได้เหมือนการเคลื่อนไหวของงู รวมถึงสามารถแลบลิ้นที่สำหรับใช้ตวัดกินแมลงได้เหมือนงูอีกด้วย ก็เพื่อป้องกันตัวเองและลูกวัยอ่อนที่อยู่ในโพรง จากนกตัวอื่นหรือสัตว์นักล่าชนิดอื่น พบกระจายพันธุ์ตามป่าโปร่ง, ชายทุ่ง, พื้นที่เกษตรกรรม ตลอดจนใกล้กับบ้านเรือนของมนุษย์ พบได้ตั้งแต่พื้นที่ราบจนถึงเหนือระดับน้ำทะเล 2,000 เมตร บนภูเขาสูง พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ทวีปยุโรปจนถึงเอเชียกลางและเอเชียตะวันออก (มีชนิดย่อย 6 ชนิด ดูในตาราง) มีการอพยพหนีหนาวในช่วงฤดูหนาวไปในทวีปแอฟริกาตอนกลาง และประเทศไทย ซึ่งพบได้ทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ โดยไม่พบการวางไข่ขยายพันธุ์ในประเทศไทย และจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหม.

ใหม่!!: สัตว์และนกคอพัน · ดูเพิ่มเติม »

นกคอกคาทีล

นกคอกคาทีล (Cockatiel) นกปากขอขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์นกกระตั้ว (Cacatuidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Nymphicus และนับเป็นชนิดที่เล็กที่สุดในวงศ์นี้ มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 25 เซนติเมตร ตัวผู้มีลำตัวเป็นสีเทา ๆ ปีกจะเป็นแถบสีขาว หัวเป็นสีเหลืองอ่อน มีหงอนยาวสูงขึ้นมาที่แก้ม มีหย่อมสีส้มเด่นชัดปากเป็นสีเทา ตัวเมียมีลักษณะคล้ายกับตัวผู้ แต่หัวจะเป็นสีเหลืองอมเทา สีส้มที่แก้มไม่เด่นชัดนัก และหางจะเป็นสีเหลืองมีลายขีดสีเทาขวางอยู่ มีถิ่นกระจายพันธุ์อยู่ในประเทศออสเตรเลีย มักอาศัยอยู่ตามทุ่งโล่งใกล้ ๆ กับแหล่งน้ำที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน ห่างจากชายฝั่งทะเล มักจะอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หรือเป็นคู่ ๆ ขณะบินจะเกิดเสียงจนสามารถได้ยิน กินอาหารได้แก่ เมล็ดหญ้า เมล็ดพืชล้มลุก ผลไม้ และลูกไม้ขนาดเล็ก นกคอกคาทีล ก็เหมือนนกปากขอหรือนกกระตั้วชนิดอื่นทั่วไป ที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง ปัจจุบันมีการเพาะขยายพันธุ์ จนได้สายพันธุ์ที่มีสีสันและลวดลายสวยงามกว่านกที่มีอยู่ในธรรมชาติแท้.

ใหม่!!: สัตว์และนกคอกคาทีล · ดูเพิ่มเติม »

นกคุ่ม

นกคุ่ม (Asian quail) เป็นนกสกุล Coturnix จัดอยู่ในกลุ่มนกกระทา ในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา (Phasianidae) วงศ์ย่อย Perdicinae.

ใหม่!!: สัตว์และนกคุ่ม · ดูเพิ่มเติม »

นกคุ่มสี

นกคุ่มสี หรือ ไก่นา (King quail, Blue-breasted quail, Asian blue quail) เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา (Phasianidae) ตัวผู้มีสีสันเด่นกว่านกคุ่ม (Corturnix spp.) ชนิดอื่นมาก โดยบริเวณหน้าผาก, คิ้ว และด้านข้างของคอเป็นสีน้ำเงินแกมเทา บริเวณใต้ตามีแถบสีขาว 2 แถบ คอหอยสีดำและด้านล่างมีแถบใหญ่สีขาว อกและสีข้างเป็นสีน้ำเงินแกมเทา ลำตัวด้านบนเป็นสีน้ำตาลเข้มมีลายจุดและลายขีดสีดำกระจายอยู่ ลำตัวด้านล่างส่วนที่เหลือเป็นสีน้ำตาลแดง ตัวเมียมีลำตัวด้านบนคล้ายกับตัวผู้ คอหอยสีเนื้อ ลำตัวด้านล่างสีเนื้อแกมม่วง อกและสีข้างมีลายแถบสีออกดำ นิ้วสีเหลืองเข้ม พบกระจายพันธุ์ในประเทศอินเดีย, หมู่เกาะนิโคบาร์, ตอนใต้ของจีน, เกาะไต้หวัน, เกาะไหหลำ, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, หมู่เกาะซุนดาใหญ่, ฟิลิปปินส์ จนถึงทวีปออสเตรเลีย มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ในป่าหญ้า, ป่าละเมาะ และทุ่งโล่ง พบอยู่เป็นคู่หรือฝูงเล็ก ๆ หากินในเวลากลางวัน โดยหากินตามพื้นดิน ได้แก่ เมล็ดพืช และแมลงต่าง ๆ เช่น ปลวก เมื่อพบศัตรูซ่อนตามกอหญ้า ผสมพันธุ์ในช่วงฤดูร้อนต่อฤดูฝน ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ทำรังด้วยการขุดดินให้เป็นแอ่งเล็ก ๆ บริเวณที่เป็นซุ้มกอหญ้าหรือกอพืช อาจนำใบไม้หรือใบหญ้ามาวางในแอ่งเพื่อรองรับไข่ ออกไข่ครั้งละประมาณ 5-7 ฟอง นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม ในประเทศไทยมีสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ปา พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และนกคุ่มสี · ดูเพิ่มเติม »

นกคีรีบูน

''Serinus canaria canaria'' นกคีรีบันถือเป็นสปีชีส์เฝ้าระวังอย่างหนึ่ง มันถูกใช้ในเหมืองถ่านหินเพื่อสำรวจคาร์บอนมอนอกไซด์ ด้วยความที่นกมีขนาดเล็ก มีอัตราการหายใจและเมแทบอลิซึมสูงเมื่อเทียบกับคนขุดเหมือง ดังนั้นนกจึงตายก่อนเป็นสัญญาณเตือนให้คนขุดเมืองรีบหาทางป้องกัน คีรีบูน หมวดหมู่:นกที่เป็นสัตว์เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และนกคีรีบูน · ดูเพิ่มเติม »

นกตบยุงหางยาว

นกตบยุงหางยาว (Large-tailed Nightjar) เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังจำพวกสัตว์ปีก (Aves) อยู่ในวงศ์นกตบยุง (Family Caprimulgidae) นกวงศ์นี้มีเพียง ๑ สกุล คือ สกุลนกตบยุง (Caprimulgus) ในประเทศไทยมีนกตบยุง 6 ชนิด ได้แก่ นกตบยุงพันธุ์มลายู (Eurostopodus temminckii) นกตบยุงยักษ์ (Eurostopodus macrotis) นกตบยุงภูเขา (Caprimulgus indicus) นกตบยุงหางยาว (Caprimulgus macrurus) นกตบยุงเล็ก (Caprimulgus asiaticus) และนกตบยุงป่าโคก (Caprimulgus affinis) ซึ่งนกตบยุงจะมีจะงอยปากแบนกว้าง ไม่ค่อยแข็งแรง ช่องปากกว้าง รูจมูกเป็นหลอดเล็กน้อยคล้ายกับจมูกของนกจมูกหลอด บริเวณมุมปากมีขนยาว ลำตัวเพรียว หางยาว ปีกยาวปลาย ปีกแหลม ดวงตากลมโต อาหารได้แก่ แมลงต่าง ๆ หากินโดยการบินโฉบจับแมลงกลางอากาศ มีนิสัยชอบอยู่โดดเดี่ยว นกตบยุงไม่สร้างรัง แต่จะวางไข่บนพื้นดิน วางไข่ครอกละ ๒ ฟอง ปกติไข่ไม่มีลายขีด ลูกนกอยู่ในไข่จนโตพอสมควรก่อนออกจากไข่ มีขนดาวน์หรือขนอุยขึ้นปกคลุมลำตัว ลืมตาได้ แต่ลูกนกยังคงต้องให้พ่อแม่หาอาหารมาป้อนให้.

ใหม่!!: สัตว์และนกตบยุงหางยาว · ดูเพิ่มเติม »

นกตะกรุม

นกตะกรุม (Lesser adjutant stork) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Leptoptilos javanicus เป็นนกน้ำขนาดใหญ่ในวงศ์นกกระสา (Ciconiidae) มีถิ่นที่อยู่อาศัยในทวีปเอเชียทางตอนใต้ ตั้งแต่อินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงจีนตอนใต้ และเกาะชวา มีรูปร่างคล้ายคลึงกับนกตะกราม แต่มีขนาดเล็กกว่า และไม่มีถุงใต้คอ ขณะยืนมีความสูงบนหัวประมาณ 110-120 เซนติเมตร ความกว้างของปีกทั้งสองข้างประมาณ 210 เซนติเมตร ลำตัวด้านบนสีดำเหลือบเป็นมัน ใต้ท้องสีออกขาว มีจุดเด่น คือ ส่วนหัวและลำคอเป็นหนังสีเหลืองแกมแดง มีขนเป็นเส้นๆ ขึ้นกระจายอยู่ห่าง ๆ ทำให้แลดูล้านเลี่ยน จะงอยปากมีขนาดใหญ่สีออกเหลืองเลอะ ซึ่งในฤดูผสมพันธุ์จะมีแต้มสีแดงตรงบริเวณโคนปาก แข้งและเท้าสีน้ำตาลแกมเขียวจนถึงสีคล้ำเกือบดำ นกอายุน้อยขนสีดำค่อนข้างด้าน บนส่วนหัวและลำคอมีขนปกคลุมมากกว่านกโตเต็มวัย นกตะกรุม เป็นนกที่หากินสัตว์เล็ก ๆ ตามแหล่งน้ำเป็นอาหาร เช่น กุ้ง, หอย, ปู, ปลา รวมถึงสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่าง งู หรือ กบ, เขียด แต่จะไม่กินซากสัตว์เหมือนนกตะกราม มีพฤติกรรมทำรังบนยอดไม้สูง ตามป่าชายเลนหรือป่าริมน้ำร่วมกับนกตะกรามและนกกระทุง วางไข่ครั้งละ 3-4 ฟอง ในช่วงปลายปี คือ เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ส่วนหัวที่ล้านเลี่ยนเป็นจุดเด่น นกตะกรุม เป็นนกที่หาได้ยากมากในประเทศไทย เดิมเคยมีรายงานพบที่ จังหวัดศรีสะเกษ, ราชบุรี, ชุมพร, ตรัง, ประจวบคีรีขันธ์ และนราธิวาส และมีรายงานการทำรังแพร่ขยายพันธุ์ที่บริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ที่จังหวัดพัทลุง และป่าพรุ ในเขตจังหวัดนราธิวาส ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และนกตะกรุม · ดูเพิ่มเติม »

นกตะขาบทุ่ง

นกตะขาบทุ่ง หรือ นกขาบ (Indian roller, Blue jay) เป็นนกประจำถิ่นที่พบในทวีปเอเชีย บริเวณตั้งแต่ประเทศอิรัก อนุทวีปอินเดีย จนถึงคาบสมุทรอินโดจีน พบได้ทั่วไปตามต้นไม้ริมทางหรือสายไฟ ทุ่งนา ป่าโปร่ง ในประเทศไทยพบได้ทุกภาคยกเว้นภาคใต้ฝั่งอันดามัน นกตะขาบทุ่งเป็นนกหนึ่งในสองชนิดของวงศ์นกตะขาบ (Coraciidae) ที่พบในประเทศไทย ซึ่งอีกชนิดคือ นกตะขาบดง (Eurystomus orientalis) นกตะขาบทุ่งมีขนาดใกล้เคียงกับนกพิราบ อาหารคือแมลง สัตว์ตัวเล็ก ๆ หรือกิ้งก่าในบางครั้ง.

ใหม่!!: สัตว์และนกตะขาบทุ่ง · ดูเพิ่มเติม »

นกตะขาบทุ่งอกสีม่วง

นกตะขาบทุ่งอกสีม่วง (Lilac-breasted roller) เป็นนกชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกตะขาบ (Coraciidae) นกตะขาบทุ่งอกสีม่วง มีลำตัวยาวประมาณ 38 เซนติเมตร มีหน้าผากและคิ้วสีขาว กระหม่อมสีเขียวอ่อน มีแถบสีดำพาดผ่านดวงตา แก้มสีส้มแดง คางสีขาว คอและอกสีม่วงแดงแซมด้วยสีขาว ใต้ท้องสีน้ำเงินม่วง ด้านหลังสีน้ำตาล ขนหางสีม่วงน้ำเงิน ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม จะงอยปากสีดำ ขาและตีนสีชมพูเหลือง อาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าและดงไม้ อาหารหลักได้แก่ แมลง, กิ้งก่า และงู รวมถึงตะขาบ, แมงป่อง, หอยทาก, นกขนาดเล็ก และสัตว์ฟันแทะขนาดเล็กด้วย พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทวีปแอฟริกา จนถึงคาบสมุทรอาหรับ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) จัดเป็นนกที่มีสีสันสดใสและสวยงามมากชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และนกตะขาบทุ่งอกสีม่วง · ดูเพิ่มเติม »

นกตะขาบดง

นกตะขาบดง (Dollar roller, Dollarbird, Oriental dollarbird) นกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกตะขาบ (Coraciidae) มีขนาดเล็กกว่านกตะขาบทุ่ง (Coracias benghalensis) ซึ่งเป็นนกตะขาบ 1 ใน 2 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทยเป็นนกที่มีลำตัวสีดำ จะงอยปากสีแดง เมื่อเพ่งในระยะใกล้จะเห็นลำตัวเป็นสีน้ำเงินเหลือบเขียวเข้ม ขณะที่บินจะปรากฏเป็นสีเงินที่บริเวณโคนปีกด้านนอก ขณะที่ยังเป็นนักวัยอ่อนจะมีลำตัวสีหม่น พบกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชียด้านเอเชียตะวันออก จนถึงตอนเหนือของออสเตรเลีย (มีทั้งหมด 10 ชนิดย่อย-ดูในตาราง)ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค ยกเว้นภาคกลางและภาคอีสาน อาศัยทั้งในป่าเบญจพรรณ, ป่าทุติยภูมิ, บริเวณชายป่าดงดิบที่เป็นพื้นที่โล่ง พบได้ตั้งแต่พื้นที่ราบจนถึงความสูงระดับ 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และนกตะขาบดง · ดูเพิ่มเติม »

นกติ๊ดสีน้ำเงิน

ณะทำการกินถั่วลิสงจากที่ให้อาหารนกในสวน ในประเทศอังกฤษ '' Cyanistes caeruleus '' นกติ๊ดสีน้ำเงิน (Blue Tit; ชื่อวิทยาศาสตร์: Cyanistes caeruleus หรือ Parus caeruleus) เป็นนกขนาดเล็กในสกุลนกติ๊ด นกชนิดนี้เป็นที่จดจำได้โดยง่ายจากขนสีฟ้าและสีเหลืองของมัน นกติ๊ดสีน้ำเงินเป็นนกประจำถิ่นและไม่ใช่นกอพยพย้ายถิ่น มีการพบพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ในทวีปยุโรปและเอเชียตะวันตก ในป่าเต็งรังหรือป่าผสมที่มีไม้โอ๊คเป็นจำนวนมาก พวกมันจะทำรังอยู่ในรูตามต้นไม้ ถึงกระนั้น พวกมันก็สามารถปรับตัวเข้ากับรังนกกล่องไม้เมื่อจำเป็น คู่แข่งหลักในการสร้างรังและหาอาหารของพวกมันคือนกติ๊ดใหญ่ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า นกติ๊ดสีน้ำเงินชอบกินแมลงและแมงมุมเป็นอาหาร ส่วนนอกฤดูผสมพันธุ์ พวกมันจะกินเมล็ดพืชและอาหารที่เป็นพืชชนิดอื่นๆ นกติ๊ดสีน้ำเงินมีชื่อเสียงจากทักษะของพวกมัน ที่สามารถยึดกิ่งด้านนอกสุดและกลับตัวห้อยหัวลงเพื่อมองหาอาหารได้.

ใหม่!!: สัตว์และนกติ๊ดสีน้ำเงิน · ดูเพิ่มเติม »

นกตีทอง

นกตีทอง (coppersmith barbet, crimson-breasted barbet, coppersmith) เป็นนกโพระดก (Megalaimidae) ที่เล็กที่สุด ตัวเขียว คอเหลือง อกและหน้าผากแดง ขอบตาเหลือง มักเกาะบนต้นไม้สูง รู้จักกันดีเพราะร้องเสียง “ป๊ก ๆ” เป็นจังหวะสมํ่าเสมอเหมือนกับช่างตีทอง (ฝรั่งว่าเหมือนกับช่างตีทองแดง) เป็นนกประจำถิ่นของเอเชียใต้ และบางส่วนของเอเชียอาคเนย์ ทำรังโดยเจาะโพรงไม้เหมือนกับนกโพระดกประเภทอื่น ๆ โดยมากกินผลไม้ เช่น ลูกไทร แต่บางครั้งก็กินแมลงอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะแมลงเม่า (ปลวกมีปีก) ในประเทศไทย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จึงห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธุ์ ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรัง การห้ามการครอบครองและการค้ามีผลไปถึงไข่และซาก.

ใหม่!!: สัตว์และนกตีทอง · ดูเพิ่มเติม »

นกต้อยตีวิด

นกต้อยตีวิด หรือ นกกระต้อยตีวิด หรือ นกกระแตแต้แว้ด หรือ นกแต้แว้ด (red-wattled lapwing) เป็นนกที่สีสวยน่าดู พบได้ตามพื้นที่โล่งเกือบทุกสภาพทั่วประเทศ อยู่ในวงศ์นกหัวโต (Charadriidae) วงศ์ย่อย Vanellinae หรือ Charadriinae มีเสียงร้องเตือนภัยแหลมดังที่ไม่เหมือนใครว่า "แตแต้แวด" หรือตามคนพูดภาษาอังกฤษว่า did he do it หรือ pity to do it ทำให้มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามเสียงร้องทั้งภาษาไทยและภาษาอื่น ๆ เป็นนกที่มักจะเห็นเป็นคู่ ๆ หรือเป็นฝูงเล็ก ๆ ไม่ไกลจากแหล่งน้ำ แต่อาจจะอยู่รวมเป็นฝูงใหญ่ในฤดูหนาวที่ไม่ใช่ฤดูผสมพันธุ์ ในประเทศไทย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จึงห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธุ์ ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรัง การห้ามการครอบครองและการค้ามีผลไปถึงไข่และซาก.

ใหม่!!: สัตว์และนกต้อยตีวิด · ดูเพิ่มเติม »

นกปรอด

นกปรอด เป็นวงศ์ของนกจับคอนขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มนกร้องเพลง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Pycnonotidae เป็นนกขนาดเล็ก มีสีสันต่าง ๆ กันไปตามแต่ละชนิด และสกุล เป็นนกที่ร้องได้เพราะมาก กินผลไม้และแมลงเป็นอาหาร พบได้ในหลายภูมิประเทศ ตั้งแต่ภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเลเป็นพัน ๆ เมตร จนถึงที่ราบลุ่ม หรือในชุมชนเมืองและตามสวนสาธารณะหรือสวนหลังบ้าน เหตุที่ได้ชื่อว่า "ปรอด" นั้นมาจากเสียงร้อง ที่มักเป็นเสียง "กรอด-กรอด" ซึ่งบางครั้งอาจเรียกเพี้ยนเป็น "นกกรอด", "นกกระหรอด" หรือ "นกกะหรอด" ก็ได้ ขณะในชื่อภาษาอังกฤษที่ว่า "ฺBulbul" นั้นมาจากคำว่า بلبل (bolbol) ในภาษาเปอร์เซีย และคำว่า بُلْبُل ในภาษาอาหรับ หมายถึง "นกไนติ้งเกล" ซึ่งทั่วโลกมี 137 ชนิด ใน 21 สกุล (ดูในตาราง ขณะที่บางสกุลอาจจะซ้ำซ้อนกับอีกสกุล) ในประเทศไทย พบอยู่ 36 ชนิด 8 สกุล ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และนกปรอด · ดูเพิ่มเติม »

นกปรอดหัวสีเขม่า

นกปรอดหัวสีเขม่า หรือ นกแทดตากแดง (Sooty-headed bulbul) เป็นนกประจำถิ่นที่จัดอยู่ในประเภทสัตว์ป่าคุ้มครอง พบเห็นได้ง่ายในทุกภาคของประเทศไทย ยกเว้นทางภาคใต้ จัดอยู่ในวงศ์นกปรอด (Pycnonotidae).

ใหม่!!: สัตว์และนกปรอดหัวสีเขม่า · ดูเพิ่มเติม »

นกปรอดหัวโขน

นกปรอดหัวโขน หรือ นกปรอดหัวจุก หรือที่นิยมเรียกกันว่า นกกรงหัวจุก (อังกฤษ: Red-whiskered bulbul; พายัพ: นกปิ๊ดจะลิว) เป็นนกที่อยู่ในวงศ์นกปรอด (Pycnonotidae) ซึ่งอยู่ด้วยกันทั้งหมด 109 ชนิด สำหรับในประเทศไทยพบได้ 36 ชนิด นกปรอดหัวโขนเป็นนกขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร ที่มีสีสันสวยงามและเสียงร้องไพเราะ ที่แก้มและคอจนถึงหน้าอกจะมีสีขาวและมีสีแดงเป็นเส้นอยู่ข้างหูลงมาถึงหน้าอกเหมือนเป็นเส้นแบ่งขนสีขาวกับสีดำที่มีอยู่ทั่วทั้งตัวขนส่วนหัวจะร่วมกัน เป็นเหมือนหน่อตั้งอยู่บนหัวสูงขึ้นไปเหมือนหัวโขน อันเป็นที่มาของชื่อ ใต้ท้องมีขนสีขาว พบกระจายอยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงเอเชียตะวันออก พบได้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ตั้งแต่ยอดเขาสูง ป่าที่ราบต่ำ จนถึงทุ่งหญ้า ชายป่า และเขตที่ใกล้กับชุมนุมมนุษย์ มีชนิดย่อยทั้งหมด 9 ชนิด ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และนกปรอดหัวโขน · ดูเพิ่มเติม »

นกปลีกล้วยหูเหลืองใหญ่

นกปลีกล้วยหูเหลืองใหญ่ (Spectacled Spiderhunter) เป็นนกในวงศ์นกกินปลี พบในป่าดิบชื้น ป่าต่ำในประเทศบรูไน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ไทย, และ เวียดนาม มันเป็นชนิดที่มีขนดใหญ่ที่สุดในสกุล.

ใหม่!!: สัตว์และนกปลีกล้วยหูเหลืองใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกปักษาสวรรค์ (สกุล)

นกปักษาสวรรค์ หรือ นกการเวก เป็นสกุลของนกในสกุล Paradisaea (/พา-รา-ดิ-เซีย/) ในวงศ์นกปักษาสวรรค์ (Paradisaeidae) โดยถือว่าเป็นสกุลของนกปักษาสวรรค์ที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด เนื่องจากตัวผู้มีชุดขนที่สวยงาม และมีสีสันฉูดฉาดสดใส จึงเป็นที่ต้องการทำมาทำเป็นเครื่องประดับของชาวพื้นเมืองนิวกินี ตลอดจนเป็นสินค้าส่งออกในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 อีกทั้งยังเป็นสกุลที่ปรากฏบนธงชาติของนิวกินีอีกด้วย โดยคำว่า Paradisaea นั้นมาจากภาษาละตินที่หมายถึง "สวรรค์" และภาษาท้องถิ่นในอินโดนีเซีย คำว่า "Cenderawasih" หมายถึง "ของขวัญแห่งรัก" นกปักษาสวรรค์ กระจายพันธุ์ในป่าที่ราบสูงเหนือระดับน้ำทะเล จนถึงป่าบนภูเขาสูงในหมู่เกาะอูรู, หมู่เกาะดอนเตรแคสโต และหมู่เกาะปาปัวตะวันตก เป็นนกที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง มักส่งเสียงร้องดังเพื่อสื่อสารกันรวมถึงการหาคู่ นกตัวผู้จะเป็นฝ่ายเกี้ยวพาตัวเมียด้วยการอวดขน กางปีก กางหางบนต้นไม้ ตัวเมียจะเป็นฝ่ายเลือกตัวผู้ด้วยตัวเอง การผสมพันธุ์เกิดขึ้นสั้น ๆ เพียงไม่กี่วินาที แต่นกตัวผู้อาจจะผสมพันธุ์กับตัวเมียตัวเดิม ๆ หรือเปลี่ยนตัวเมียไปเรื่อย ๆ ก็ได้ ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และนกปักษาสวรรค์ (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

นกปักษาสวรรค์ใหญ่

นกปักษาสวรรค์ใหญ่ (Greater Bird-of-paradise) เป็นนกปักษาสวรรค์ในสกุล Paradisaea คาโรลัส ลินเนียสตั้งชื่อนกชนิดนี้ว่า Paradisaea apoda ซึ่งแปลว่า "นกปักษาสวรรค์ไร้ขา" เนื่องจากการส่งขายซากนกไปที่ทวีปยุโรปเมื่อก่อน ซากจะไม่มีขาจากการเตรียมซากของชาวพื้นเมือง ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจผิดที่ว่านกที่สวยงามชนิดนี้มาจากสวรรค์ และไม่เคยสัมผัสพื้นดินเลยจนกระทั่งต.

ใหม่!!: สัตว์และนกปักษาสวรรค์ใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกปักษาสวรรค์โกลดี

นกปักษาสวรรค์โกลดี (Goldie's bird-of-paradise) เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกปักษาสวรรค์ (Paradisaeidae) จัดเป็นนกชนิดหนึ่งที่อยู่ในสกุล Paradisaea ซึ่งเป็นสกุลนกปักษาสวรรค์ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องจากมีชุดขนที่โดดเด่น และมีความต้องการขนมากที่สุด นกปักษาสวรรค์โกลดี ได้ชื่อมาจากนักสำรวจและสะสมชาวสกอตต์ แอนดรูว์ โกลดี ซึ่งเป็นผู้ค้นพบนกชนิดนี้ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และนกปักษาสวรรค์โกลดี · ดูเพิ่มเติม »

นกปักษาสวรรค์เล็ก

นกปักษาสวรรค์เล็ก (Lesser bird-of-paradise) เป็นนกปักษาสวรรค์ชนิดหนึ่งในสกุล Paradisaea นกปักษาสวรรค์เล็กเป็นนกขนาดกลาง ยาวถึง 32 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และนกปักษาสวรรค์เล็ก · ดูเพิ่มเติม »

นกปากห่าง

thumb นกปากห่าง จัดอยู่ในวงศ์นกกระสา (Ciconiidae) จัดเป็นนกในวงศ์นี้ขนาดเล็ก แต่จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครก็คือปากที่ยามหุบจะเหลือช่องตรงกลาง ทำให้มันคาบเปลือกหอยโข่งและหอยเชอรี่ที่ทั้งกลมทั้งลื่นได้อย่างช่ำชอง เมื่อจับหอยได้แล้วมันจะคาบไปหาทำเลเหมาะ ๆ เพื่อใช้จะงอยปากทำหน้าที่เหมือนแหนบจิกเนื้อหอยออกมากิน thumb thumb thumb.

ใหม่!!: สัตว์และนกปากห่าง · ดูเพิ่มเติม »

นกปากงอน

นกชายเลนปากงอน เป็นนกชายเลนย้ายถิ่น ขายาว ปากสีดำแอ่นงอนสะดุดตา นกชายเลนปากงอนยังมีขนสีขาวสลับดำ ทั่วตัว เป็นจุดเด่นอีกด้วย โดยบริเวณ หน้าผาก กระหม่อน ลงมาจนถึงใต้ตา ท้ายทอย และ หลังคอมีสีดำ รวมทั้งขนคลุมไหล่ และ ด้านข้างของหลังช่วงบนทั้งสองข้าง.

ใหม่!!: สัตว์และนกปากงอน · ดูเพิ่มเติม »

นกปากซ่อม

นกปากซ่อม (Snipe) เป็นชื่อสามัญของนกจำพวกหนึ่ง ในกลุ่มนกลุยน้ำ ในวงศ์ Scolopacidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับนกอีก๋อย มีลักษณะโดยรวม คือ ลำตัวป้อม ลายน้ำตาลและขาว ปากยาวแหลมเล็ก ขาสั้น หากินในเวลาพลบค่ำและเวลากลางคืน ใช้ปากแทงหาอาหารจำพวกหนอนและไส้เดือนในดิน มักอาศัยอยู่ตามลำพัง.

ใหม่!!: สัตว์และนกปากซ่อม · ดูเพิ่มเติม »

นกปีกลายสก็อต

'' Garrulus glandarius '' นกปีกลายสก็อต (Eurasian jay, Jay) เป็นนกขนาดกลางในวงศ์นกกา (Corvidae).

ใหม่!!: สัตว์และนกปีกลายสก็อต · ดูเพิ่มเติม »

นกนางนวลหัวดำ

นกนางนวลหัวดำ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Chroicocephalus ridibundus) เป็นนกนางนวลขนาดเล็กที่กระจายพันธุ์อยู่ส่วนมากในยุโรปและบ้างในเอเชีย ตลอดจนชายฝั่งด้านตะวันออกของประเทศแคนาดา ประชากรส่วนใหญ่ของนกพันธุ์นี้เป็นนกอพยพ ซึ่งจะอพยพลงมาทางใต้ในฤดูหนาว แต่ก็มีบางส่วนที่ไปอาศัยอยู่ทางสุดตะวันตกของยุโรป และบางส่วนอพยพไปถึงทางชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือในฤดูหนาว ไข่ของนกนางนวลหัวดำถือเป็นอาหารราคาแพงในสหราชอาณาจักร รับประทานโดยการต้มน้ำเดือ.

ใหม่!!: สัตว์และนกนางนวลหัวดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกนางนวลธรรมดา

นกนางนวลธรรมดา (Brown-headed gull) นกทะเลชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกนางนวล (Laridae) เป็นนกที่มีขนาดกลาง มีความยาวประมาณ 46-47 เซนติเมตร มีความแตกต่างจากนกนางนวลชนิดอื่น ๆ โดยที่มีลายแถบสีขาวขนาดใหญ่บริเวณโคนขนปลายปีก ตัวเต็มวัยจะมีลายทางสีขาวบริเวณปลายขนปีกซึ่งมีสีดำ เห็นได้จากทั้งด้านบนและด้านล่าง ปีกส่วนอื่น ๆ และช่วงไหล่สีเทาอ่อน ในช่วงนอกฤดูผสมพันธุลำตัวปกติจะเป็นสีขาว มีลายแถบสีน้ำตาลเข้มบริเวณเหนือตา ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ หัว, คอหอย และต้นคอจะเป็นสีน้ำตาล ปากและนิ้วเป็นสีแดง ตัวไม่เต็มวัยจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับตัวเต็มวัยช่วงนอกฤดูผสมพันธุ์ แต่จะมีสีน้ำตาลบางส่วนที่ปีก และมีลายแถบสีดำใกล้ ๆ กับปลายหาง ไม่มีลายแถบสีขาวที่ปีก ปากสีแดงหรือสีส้มโดยบริเวณที่โคนจะเป็นสีเทา นิ้วสีส้มหรือสีแดง โดยขนในแต่ละช่วงวัยและแต่ละฤดูกาลจะแตกต่างกันออกไป เป็นนกที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียกลาง เช่น เติร์กเมนิสถาน ถึงมองโกเลีย มีการบินอพยพลงใต้ในช่วงต้นฤดูหนาว (ช่วงปลายปี) มาสู่ซีกโลกตอนใต้ เช่น ไทย, อินโดนีเซีย, ออสเตรเลีย เพื่อหนีหนาวและขยายพันธุ์ ลูกนกมักจะเกิดในช่วงนี้ โดยวางไข่ครั้งละ 2 ฟอง ใช้เวลาฟักนานประมาณ 24 วัน ลูกนกใช้เวลา 3 เดือน จึงจะบินได้เอง (ราวเดือนพฤษภาคม) จึงจะอพยพกลับถิ่นฐานเดิม โดยสถานที่ขึ้นชื่ออย่างในประเทศไทย ที่เป็นแหล่งอพยพของนกนางนวลธรรมดา คือ บางปู ในจังหวัดสมุทรปราการ จะมีปริมาณนกไม่ต่ำกว่า 5,000 ตัว ในแต่ละปี สถานะในประเทศไทย จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และนกนางนวลธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

นกนางนวลแกลบหงอนใหญ่

นกนางนวลแกลบหงอนใหญ่ (Greater crested tern) เป็นนกทะเลชนิดหนึ่งในวงศ์นกนางนวลแกลบ (Sternidae) จัดเป็นนกนางนวลแกลบที่มีขนาดใหญ่ มีขนาดลำตัวพอ ๆ กับนกนางนวลทั่วไป แต่มีรูปร่างเพรียวลู่ลมตามประสานกนางนวลแกลบ แต่ก็มีขนาดใหญ่กว่านกนางแกลบด้วยกันอย่างเห็นได้ชัดเจน มีจะงอยปากแหลมสีเหลืองที่ใช้ในการหาอาหาร ปลายปีกแหลมยาว และลักษณะเด่นอันที่มาของชื่อสามัญ คือ มีขนกระจุกบริเวณท้ายทอยเหมือนหงอน ซึ่งนอกฤดูผสมพันธุ์จะมีลายดำเปรอะเป็นขีด ๆ ตั้งแต่รอบตา แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์หงอนจะมีสีเข้ม เหมือนใส่หมวกสีดำ แลดูสะดุดตามากยิ่งขึ้น มีถิ่นกระจายพันธุ์กว้างไกล พบได้ตั้งแต่ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกทางตอนใต้ของแอฟริกา เรื่อยมาตามริมชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียจนมาถึงมหาสมุทรแปซิฟิก และรอบทวีปออสเตรเลีย รวมถึงหมู่เกาะในแถบนั้น เป็นนกที่หากินด้วยการพุ่งตัวลงไปในทะเลจับปลากินเป็นอาหาร สามารถลงไปได้ลึกถึง 1 เมตร และบินได้ห่างจากชายฝั่งไกลถึง 10 กิโลเมตร ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ นกนางนวลแกลบหงอนใหญ่จะอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่หนาแน่ตามชายฝั่งและเกาะ โดยจะวางไข่ครั้งละ 2 ฟองบนหลุมที่ขุดขึ้นบนดิน โดยในฝูงจะมีการป้องกันตัวจากนักล่าและปกป้องซึ่งกันและกัน ในประเทศไทย พบได้ตามอ่าวตะบูนและแหลมผักเบี้ย ในจังหวัดเพชรบุรี จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และนกนางนวลแกลบหงอนใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกนางนวลแกลบเล็ก

นกนางนวลแกลบเล็ก (Little tern) เป็นนกทะเลขนาดเล็ก จัดอยู่ในวงศ์นกนางนวลแกลบ (Sternidae) สีขนโดยทั่วไปเป็นสีขาว ช่วงฤดูผสมพันธุ์ปากสีเหลืองตอนปลายสีดำ ขนปลายปีกเส้นนอกๆสีดำ หน้าผากสีขาว มีแถบคาดตาสีดำ กระหม่อมและท้ายทอยสีขาว หางเว้าลึก ขาและนิ้วสีเหลือง ช่วงนอกฤดูผสมพันธุ์กระหม่อมส่วนใหญ่เป็นสีขาว ท้ายทอยและแถบคาดตาสีดำไม่ค่อยเข้ม ปากสีดำ ขาและนิ้วสีแดงแกมเทาพบตามชายทะเล และแหล่งน้ำจืด หากินโดยการบินเหนือน้ำ ตาจ้องหาเหยื่อในน้ำ เมื่อพบเหยื่อจะบินโฉบจับโดยใช้ปากลากเรี่ยไปกับผิวน้ำ บางครั้งใช้วิธีพุ่งตัวลงไปในน้ำใช้ปากจับเหยื่อ โดยอาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กรวมถึงแมลงด้วย มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 22-24 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปตามชายฝั่งของเขตร้อน ตั้งแต่ทวีปยุโรป, เอเชีย, แอฟริกาใต้ และออสเตรเลีย แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน โดยทำรังตามพื้นดิน, พื้นทราย หรือแอ่งหิน ไม่มีวัสดุรองรัง บางครั้งอาจพบเปลือกหอยอยู่รอบ ๆ สันนิษฐานว่าทำไปเพื่ออำพรางรัง ไข่มีสีเหลืองซีดหรือสีเนื้อ มีลายจุดหรือลายขีดสีเทา คล้ายไข่นกกระทา แต่ละรังมีไข่ 2-3 ฟอง มากที่สุดได้ถึง 4 ฟอง ระยะฟัก 13-14 วัน โดยนกทั้งคู่จะช่วยกันกก และในช่วงจับคู่ นกตัวผู้มีพฤติกรรมคาบเหยื่อมาฝากนกตัวเมีย เพื่อดึงดูดใจให้เลือกเป็นคู่ด้วย ในประเทศไทยจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และนกนางนวลแกลบเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

นกนางแอ่น

ำหรับนกที่มีขนาดเล็กกว่า ที่อยู่ในวงศ์ Apodidae หรือ "นกแอ่น" ดูที่: นกแอ่น นกนางแอ่น หรือ นกอีแอ่นบรรจบ พันธุเมธา, ศาสตราจารย์, ดอกเตอร.

ใหม่!!: สัตว์และนกนางแอ่น · ดูเพิ่มเติม »

นกนางแอ่นแม่น้ำ

นกนางแอ่นแม่น้ำ หรือ นกนางแอ่นเทียม (river martins) เป็นสกุลนกนางแอ่นในวงศ์ย่อย Pseudochelidoninae ที่อยู่ในวงศ์นกนางแอ่น (Hirundinidae) ประกอบไปด้วย 2 สปีชีส์คือ นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา (Pseudochelidon eurystomina) ที่พบในสาธารณรัฐคองโกและประเทศกาบอง และนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร (Pseudochelidon sirintarae) ที่พบในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในโลก เป็นนกนางแอ่นขนาดกลาง มีขนส่วนใหญ่เป็นสีดำ บินจับแมลงกินเป็นอาหาร พวกมันดูเหมือนจะใช้ชีวิตอยู่บนพื้นมากกว่านกนางแอ่นชนิดอื่น อาจเดินมากกว่าเกาะคอน และนกนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรอาจหากินในเวลากลางคืน นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาทำรังบนตลิ่งทรายริมแม่น้ำโดยการขุดโพรงลงไป ส่วนแหล่งผสมพันธุ์วางไข่ของนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรยังไม่ทราบ เมื่อมีการค้นพบนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกาครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 กุสทัฟ ฮาร์ทเลาบ์ (Gustav Hartlaub) คิดว่ามันเป็นนกตะขาบและผู้แต่งหลังจากนั้นก็จัดวางมันอยู่ในวงศ์ของตนเองหรืออยู่ในวงศ์นกแอ่นพง จากการศึกษาทางกายวิภาคพบว่ามันเป็นญาติใกล้ชิดกับนกในวงศ์นกนางแอ่น แต่มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างคือมีขาและเท้าแข็งแรงและมีปากอวบ สิ่งเหล่านี้แสดงว่าควรแยกมันออกเป็นวงศ์ย่อยต่างหาก นกนางแอ่นแม่น้ำทั้งสองชนิดจัดอยู่ในสกุลเดียวกันคือสกุล Pseudochelidon เพราะทั้งสองมีโครงสร้างที่คล้ายกัน แต่ บรูก เสนอว่านกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรควรแยกออกเป็นสกุล Eurochelidon นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกามีการกระจายพันธุ์ในวงแคบในหลายพื้นที่แต่สถานะภาพที่แท้จริงยังไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรค้นพบในปี..

ใหม่!!: สัตว์และนกนางแอ่นแม่น้ำ · ดูเพิ่มเติม »

นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา

นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา หรือ นกนางแอ่นเทียมคองโก (African River Martin) เป็นนกจับคอนหนึ่งในสองชนิดของวงศ์ย่อยนกนางแอ่นแม่น้ำในวงศ์นกนางแอ่น (Hirundinidae) เป็นนกขนาดกลาง มีขนสีดำ ตาสีแดง ปากอวบกว้างสีส้ม-แดง หางเหลี่ยม โครงสร้างต่างจากนกนางแอ่นชนิดอื่นคือ มีเท้าและขาแข็งแรง มีการเสนอให้แยกนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรที่พบในเอเชียที่เป็นนกสกุลเดียวกันออกเป็นอีกวงศ์ย่อย มีการกระจายพันธุ์ตามแม่น้ำคองโกและสาขารวมถึงแม่น้ำอูบองชี (Ubangi) ด้วย มันทำรังในโพรงบนตลิ่งทราย มีการกระจายพันธุ์ในวงจำกัดแม้จะถูกจับไปเป็นอาหารโดยคนในพื้นที่ มันเป็นนกอพยพ ในฤดูหนาวจะอพยพไปที่ราบชายฝั่งทางใต้ของประเทศกาบองและสาธารณรัฐคองโก แต่นกหลายตัวก็ยังคงผสมพันธุ์วางไข่ในเขตหนาวเย็น นกนางแอ่นชนิดนี้บินจับแมลงกินเป็นอาหาร และเดินบนพื้นมากกว่าจะเกาะคอน สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติจัดสถานะการอนุรักษ์เป็นยังไม่มีข้อมูล (DD) เพราะไม่มีข้อมูลของจำนวนประชากร.

ใหม่!!: สัตว์และนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

นกน้ำลายดำ

นกน้ำลายดำ (loon ในอเมริกาเหนือ หรือ divers ในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์) เป็นกลุ่มสายพันธุ์หนึ่งของนกน้ำที่พบได้มากในทวีปอเมริกาเหนือและตอนเหนือของทวีปยูเรเชีย นกน้ำลายดำจะมีขนาดตัวใหญ่กว่าเป็ดและเล็กกว่าหงส์เล็กน้อย ขณะบินมีการตีปีกคล้ายกับนกนางนวล มีเท้าเป็นพังผืดสำหรับการว่ายน้ำ มีท่าทางการว่ายน้ำเหมือนกับเป็ดและหงส์ กินปลาเป็นอาหารหลัก บ้างก็กินพวกสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก เช่น กบ เขียด ไม่ก็สัตว์มีปล้องเช่นพวกกุ้ง กั้ง เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และนกน้ำลายดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกแก๊ก

นกแก๊ก หรือ นกแกง (Oriental pied hornbill) เป็นนกในวงศ์นกเงือก พบใน ประเทศบังกลาเทศ, ประเทศภูฏาน, ประเทศบรูไน, ประเทศกัมพูชา, ประเทศจีน, ประเทศอินเดีย, ประเทศอินโดนีเซีย, ประเทศลาว, ประเทศมาเลเซีย, ประเทศพม่า, ประเทศเนปาล, ประเทศสิงคโปร์, ประเทศไทย, และประเทศเวียดนาม มีถิ่นอาศัยในป่าดิบเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน ปกติกินผลไม้จำพวกเงาะเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และนกแก๊ก · ดูเพิ่มเติม »

นกแก้วอิเคล็กตัส

นกแก้วเอคเลคตัส (Eclectus Parrot) เป็นนกแก้วพื้นเมืองของหมู่เกาะโซโลมอน, เกาะซุมบา, เกาะนิวกินี และหมู่เกาะใกล้เคียง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลียและหมู่เกาะโมลุกกะ หมวดหมู่:นกแก้ว หมวดหมู่:นกที่เป็นสัตว์เลี้ยง หมวดหมู่:นกในประเทศออสเตรเลีย หมวดหมู่:นกที่พบในประเทศอินโดนีเซีย.

ใหม่!!: สัตว์และนกแก้วอิเคล็กตัส · ดูเพิ่มเติม »

นกแก้วคาคาโป

นกแก้วคาคาโป (เมารี: kākāpō) เป็นภาษามาวรี มีความหมายว่า "นกแก้วกลางคืน" เป็นนกที่อยู่ในวงศ์ Strigopidae มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Strigops habroptilus นกแก้วคาคาโป บ้างก็เรียกว่า "นกแก้วฮูก" ซึ่งเป็นนกแก้วที่บินไม่ได้ที่พบในนิวซีแลนด์เท่านั้น ถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของวิวัฒนาการบนเกาะโดดเดี่ยว ทำให้มีรูปลักษณ์พิเศษ โดยบรรพบุรุษร่วมของนกแก้วคาคาโปและนกในสกุล Nestor ในวงศ์ใหญ่เดียวกัน คือ วงศ์ Strigopoidea ได้แยกไปอยู่ต่างหากจากนกแก้วชนิดอื่น ๆ หลังจากนิวซีแลนด์แยกตัวออกจากทวีปกอนด์วานา เมื่อประมาณ 82 ล้านปีก่อน จากนั้นอีก 12 ล้านปีต่อมาหรือประมาณ 70 ล้านปีก่อน นกแก้วคาคาโปจึงแยกออกจากนกสกุล Nestor ชัดเจน จากสภาพแวดล้อมที่ไม่มีสัตว์นักล่าบนเกาะนิวซีแลนด์ ทำให้นกแก้วคาคาโปมีวิวัฒนาการเป็นนกแก้วชนิดเดียวในโลกที่บินไม่ได้ และยังครองสถิติอีกหลายอย่าง คือเป็นนกแก้วที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก มีขนาดตัวระหว่าง 59-64 เซนติเมตร และหนักถึง 4 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่ามันเป็นนกแก้วที่มีอายุยืนที่สุดด้วย โดยมีสถิติพบอายุยืนที่สุดถึง 100 ปี อีกทั้งเป็นนกแก้วชนิดเดียวในโลกที่หากินตอนกลางคืน และมีระบบการผสมพันธุ์ที่ตัวผู้จะอยู่ในอาณาเขตหรือรังของตัวเองและส่งเสียงเรียกตัวเมีย ซึ่งมีเสียงร้องคล้ายเสียงกบและจะร้องติดต่อกันนานถึง 3 เดือน วันละ 8 ชั่วโมง และเสียงร้องจะได้ยินไปไกลถึง 5 กิโลเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และนกแก้วคาคาโป · ดูเพิ่มเติม »

นกแก้วโม่ง

แก้วโม่ง (Alexandrine parakeet, Alexandrine parrot) เป็นนกตระกูลนกแก้วขนาดเล็ก-กลาง โดยมีชื่อสามัญตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่ อเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์แห่งอาณาจักรมาซิโดเนีย เมื่อครั้งยาตราทัพเข้ามาสู่ในทวีปเอเชีย โดยได้นำนกแก้วชนิดนี้กลับไปยังทวีปยุโรป นกแก้วโม่งมีถิ่นกำเนิดแพร่กระจายทั่วไปในแถบทวีปเอเชีย ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกและตะวันออกของอัฟกานิสถาน, ไล่ลงไปยังอินเดีย, อินโดจีน เช่น พม่า หรือ ประเทศไทยฝั่งตะวันตก รวมทั้งยังพบได้ตามหมู่เกาะในทะเลอันดามัน.

ใหม่!!: สัตว์และนกแก้วโม่ง · ดูเพิ่มเติม »

นกแว่นสีน้ำตาล

นกแว่นสีน้ำตาล (Malayan Peacock-Pheasant หรือ Crested Peacock-Pheasant) เป็นไก่ฟ้าขนาดกลางในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา เป็นญาติใกล้ชิดกลับนกแว่นบอร์เนียว (P. schleiermacheri) ซึ่งแต่เดิมถือเป็นชนิดเดียวกัน ก่อนจะแยกออกจากกันในภายหลังMcGowan (1994), BLI (2008).

ใหม่!!: สัตว์และนกแว่นสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

นกแว่นสีเทา

นกแว่นสีเทา (Grey Peacock-Pheasant หรือ Burmese Peacock-Pheasant) เป็นนกขนาดใหญ่ในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทาพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นนกประจำชาติของประเทศพม.

ใหม่!!: สัตว์และนกแว่นสีเทา · ดูเพิ่มเติม »

นกแสก

นกแสก หรือ นกแฝก หรือ นกเค้าหน้าลิง (Barn owl, Common barn owl) เป็นนกเค้าแมวชนิดหนึ่งในวงศ์นกแสก (Tytonidae) วงศ์ย่อย Tytoninae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tyto alba จัดเป็น 1 ชนิดในจำนวน 19 ชนิดของนกในอันดับนกเค้าแมวที่พบได้ในประเทศไทย และนับเป็นนกแสกชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย (อีก 1 ชนิดนั้นคือ นกแสกแดง).

ใหม่!!: สัตว์และนกแสก · ดูเพิ่มเติม »

นกแสก (สกุล)

นกแสก (Barn-owl, Masked owl) เป็นสกุลของนกล่าเหยื่อกลุ่มหนึ่งในหากินในเวลากลางคืน ใช้ชื่อสกุลว่า Tyto (มาจากภาษากรีกคำว่า τυτο หมายถึง "นกเค้าแมว") ในวงศ์ย่อย Tytoninae ในวงศ์ใหญ่ Tytonidae เป็นสกุลที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดของวงศ์นี้ มักมีขนสีเข้มด้านหลังมากกว่าด้านหน้า โดยจะเป็นสีส้มและสีน้ำตาล ขนด้านหน้าสีซีดกว่าจากด้านหลังและมีจุดด่างดำซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิด มีลักษณะเด่น คือ มีใบหน้าที่เรียบแบนรูปหัวใจ และไม่มีกระจุกขนที่เหนือตาเหมือนใบหูเหมือนนกเค้าแมวจำพวกอื่น ๆ อีกทั้งยังมีรูปร่างที่ใหญ่กว่าด้วย เป็นนกเค้าแมวที่มีการวิวัฒนาการและปรับตัวให้อาศัยอยู่ได้ในหลากหลายภูมิประเทศ ทั้งในป่าและชุมชนเมือง พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วทุกมุมโลก ยกเว้นบริเวณขั้วโลก ในบางพื้นที่ เช่น บนเกาะมีบางชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และชนิดที่พบในบางพื้นที่ เช่น เมดิเตอร์เรเนียนและแคริบเบียนจะมีขนาดใหญ่กว.

ใหม่!!: สัตว์และนกแสก (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

นกแสกทุ่งหญ้า

นกแสกทุ่งหญ้า (Grass owl, African grass owl) เป็นนกล่าเหยื่อในเวลากลางคืนชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกแสก (Tytonidae) เป็นนกแสกขนาดกลาง โดยเฉลี่ยมีความใหญ่กว่านกแสก (T. alba) เล็กน้อย มีความยาวจากจะงอยปากจรดปลายหาง 35-38 เซนติเมตร มีความยาวของขายาวกว่า ทำให้เวลาบิน ขาและกรงเล็บของนกแสกทุ่งหญ้าจะโผล่มาให้เห็นพ้นหาง ขณะที่นกแสกจะไม่พ้นหาง มีลักษณะขนแตกต่างกัน โดยที่นกแสกทุ่งหญ้ามีขนที่ใบหน้าสีขาวปลอด และรูปใบหน้ายาวรีกว่า ขนโดยรวมสีเข้มกว่านกแสก กระหม่อมมีสีน้ำตาลเข้มแบบสีช็อคโกแล็ต บริเวณอกกว้างมีสีน้ำตาลอ่อนตัดกับพื้นสีขาว ประด้วยจุดสีดำ ขนคลุมใต้ปีกสีขาวประด้วยจุดสีดำเหมือนพื้นท้อง ปลายปีกโดยเฉพาะขนปลายปีกชั้นนอกมีแถบสีดำ บนปีกและบนหางมีแถบสีดำขวางตัดกับสีน้ำตาลอ่อนของเส้นขน ขนคลุมบนปีกสีน้ำตาลเข้ม พบกระจายพันธุ์ในซีกโลกเก่า ได้แก่ ทวีปแอฟริกา, อนุทวีปอินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียตะวันออกและเกาะไต้หวัน จนถึงทวีปออสเตรเลีย สามารถแบ่งออกได้ชนิดย่อยอีก 6 ชนิด (ดูในตาราง) มีนิเวศวิทยาโดยปกติจะสร้างรังในทุ่งหญ้าเพื่อวางไข่ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ โดยภายในรังไม่มีวัสดุปูพื้น มีเพียงหญ้าแห้งสานทับกันเท่านั้น ลักษณะรังเป็นอุโมงค์มีทางเข้าออกโพรงหลายทาง ซ่อนตัวอยู่ในทุ่งหญ้าคาและหญ้าไซ สูงประมาณ 100-150 เซนติเมตร กินหนูเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับนกแสก ในอดีตไม่เคยปรากฏการพบในประเทศไทย จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2549 มีผู้ถ่ายรูปนกแสกทุ่งหญ้าได้ 1 ตัวที่ทุ่งหญ้าแบบพรุน้ำท่วม ที่อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย และจากการศึกษาที่มากขึ้น ทำให้ในปัจจุบันได้ถูกยอมรับว่าเป็นนกประจำถิ่นอีกชนิดหนึ่งของไทย โดยคาดว่ามีฤดูวางไข่ประมาณเดือนธันวาคมถึงมีนาคม โดยที่มีชื่อเรียกโดยคนท้องถิ่นว่า "นกเก๊าจ๊าง".

ใหม่!!: สัตว์และนกแสกทุ่งหญ้า · ดูเพิ่มเติม »

นกแสกแดง

นกแสกแดง (Oriental bay owl) เป็นนกล่าเหยื่ออยู่ในวงศ์นกแสก (Tytonidae) มีรูปร่างโดยทั่วไปคล้ายนกแสกธรรมดา (Tyto alba) แต่มีขนาดที่เล็กกว่า เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 28-29 เซนติเมตร ลำตัวด้านบนมีสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลเหลือง อันเป็นที่มาของชื่อ มีลายจุดสีน้ำตาลเหลืองหรือสีเนื้อ ด้านล่างลำตัวและใบหน้าสีเนื้อแกมชมพู มีลายแต้มสีออกม่วง ตาสีน้ำตาลเข้ม มีขนสีน้ำตาลยื่นยาวเล็กน้อยออกไปทางด้านข้างของรูหูเป็นพุ่ม ในขณะที่บินจะเห็นปีกค่อนข้างสั้น จัดเป็นนกที่บินได้เก่งมาก และอาจส่งเสียงร้องไปในขณะที่บิน โดยที่นกแสกชนิดนี้จะพบได้เฉพาะในป่าดิบและป่าเบญจพรรณ ตั้งแต่พื้นราบจนกระทั่งความสูง 2,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล ออกหากินในตอนกลางคืน ตอนกลางวันส่วนใหญ่จะหลบซ่อนตามโพรงของต้นไม้ จึงทำให้พบเห็นตัวค่อนข้างยาก มีฤดูผสมพันธุ์ตลอดทั้งปี โดยทำรังตามโพรงต้นไม้ ซึ่งเป็นโพรงที่เกิดตามธรรมชาติ หรือโพรงที่สัตว์อื่น ๆ ทำทิ้งเอาไว้ รังมักจะอยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 2-5 เมตร หรือมากกว่า นกมักจะใช้โพรงเดิมเป็นประจำทุก ๆ ปี นอกเหนือจากโพรงเหล่านั้นถูกนกหรือสัตว์อื่น ๆใช้ และนกแสกแดงไม่สามารถที่จะขับไล่ออกไปได้ ปรกติไม่มีวัสดุรองรังอีก รูปร่างของไข่เป็นรูปไข่ค่อนข้างกลม ขนาดโดยเฉลี่ย 30.0 x 34.5 มิลลิเมตร เปลือกไข่มีสีขาว ผิวเรียบ ในแต่ละรังมีไข่ 3-4 ฟอง บางรังก็มี 5 ฟอง ตัวเมียตัวเดียวที่ทำการฟักไข่ โดยเริ่มฟักหลังจากที่ออกไข่ฟองแรก ทั้ง 2 เพศช่วยกันเลี้ยงลูกอ่อน การพัฒนาของลูกอ่อนไม่แตกต่างไปจากนกแสกธรรมดามากนัก นกแสกแดงจัดเป็นนกแสก 1 ใน 2 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย โดยพบได้ในภาคเหนือ ภาคตะวันตกและภาคใต้ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกพบได้น้อยและพบได้เฉพาะพิ้นที่บางส่วนเท่านั้น ในต่างประเทศพบได้ตั้งแต่ภูมิภาคเอเชียใต้ เช่น ศรีลังกา จนถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ ทำให้แบ่งออกได้เป็น 6 ชนิดย่อยด้วยกัน เช่น P. b. badius พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, P. b. saturatus พบในรัฐสิกขิม, P. b. ripleyi พบในอินเดียตอนใต้, P. b. assimilis พบในศรีลังกา เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และนกแสกแดง · ดูเพิ่มเติม »

นกแสกแดง (สกุล)

นกแสกแดง (Bay owl) เป็นสกุลของนกล่าเหยื่อที่หากินในเวลากลางคืน จำพวกนกเค้าแมวสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Phodilus อยู่ในวงศ์ย่อย Phodilinae ในวงศ์นกแสก (Phodilidae) มีลักษณะแตกต่างจากนกแสกในสกุล Tyto คือ มีขนที่ตั้งแหลมเหนือตาแลหูคล้ายหู มีใบหน้าที่เป็นรูปตัวยู เป็นวงกลมมากกว่า และมีขาที่แข็งแรง สามารถเกาะกิ่งไม้ในลักษณะตัวตั้งตรงได้ รวมทั้งเสียงร้องที่แตกต่างกันด้วย มีการล่าเหยื่อด้วยการจ้องมองและการโยกหัวไปมา และใช้การบินไปเกาะยังใต้ต้นไม้ต้นเล็ก ๆ ใต้เรือนยอดป่า แล้วจึงจับเหยื่อ เนื่องจากมีปีกที่กลมและสั้น มีเพียง 2 ชนิดเท่านั้น คือ.

ใหม่!!: สัตว์และนกแสกแดง (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

นกแอ่นพง

นกแอ่นพง (Ashy woodswallow) มีรูปร่างคล้ายคลึงกับนกนางแอ่น แต่ชอบอยู่ตามป่า เป็นนกขนาดเล็ก ยาวประมาณ 18 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และนกแอ่นพง · ดูเพิ่มเติม »

นกแขกเต้า

นกแขกเต้า เป็นนกแก้วชนิดหนึ่ง ถือว่าเป็นนกประจำถิ่นที่พบได้ทุกภาคของประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้เท่านั้นที่ไม.

ใหม่!!: สัตว์และนกแขกเต้า · ดูเพิ่มเติม »

นกแขวก

นกแขวก (Black-crowned night heron, Night heron) เป็นนกชนิดหนึ่ง จำพวกนกยาง จัดเป็นนกยางหรือนกกระยางชนิดที่ปรับตัวให้หากินในเวลากลางคืนได้ ซึ่งต่างจากนกยางทั่วไปที่หากินในเวลากลางวัน โดยได้ชื่อมาจากเสียงร้องที่ดัง "แคว้ก" ที่มักจะร้องดังขณะบินผ่านยามค่ำคืน ในขณะที่ชื่อวิทยาศาสตร์ Nycticorax หมายถึง "นกเรเวนกลางคืน" มาจากภาษากรีกโบราณคำว่า νυκτός (nuktos) หมายถึง "กลางคืน" และ κόραξ (korax) หมายถึง "นกเรเวน" อันหมายถึง พฤติกรรมที่หากินในเวลากลางคืนรวมถึงการส่งเสียงร้องที่เหมือนนกกาหรือนกเรเวน เป็นนกที่มีแหล่งอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำเกือบทุกประเภท โดยเฉพาะแหล่งน้ำขนาดใหญ่เช่น บึงที่มีไม้ยืนต้นขึ้นรก ๆ หรือแม้แต่ตามสวนสาธารณะในเมืองใหญ่ มักเกาะอยู่กับกิ่งไม้หรือตอไม้นิ่ง ๆ เพื่อรอจับเหยื่อ ซึ่งได้แก่ สัตว์น้ำรวมถึงสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกเล็ก ๆ แม้จะหากินในเวลากลางคืนเป็นหลักและไม่ค่อยบินไกลในเวลากลางวัน แต่พฤติกรรมการหากินในเวลากลางวันก็เป็นเรื่องปกติ พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วทุกภูมิภาคของโลก พบได้ทั้งในเขตอบอุ่นและเขตร้อน ยกเว้นทวีปออสเตรเลีย นกแขวกทางตอนใต้ของทวีปอเมริกามีกระหม่อมและหลังสีเทาอ่อนกว่าที่อื่น นอกจากนี้บริเวณส่วนหัวและอกก็เป็นสีน้ำตาลอมเทา ประชากรทางตอนเหนือจะอพยพบินสู่ทางใต้ในช่วงฤดูหนาว ทำรังวางไข่บนต้นไม้ มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นอาณานิคมปะปนกับนกน้ำประเภทอื่น ๆ โดยเฉลี่ยในตัวเมียจะมีเส้นขนยาวคล้ายเปียที่ท้ายทอยสั้นกว่าตัวผู้ และมีขนาดตัวเล็กกว่า ม่านตาจะค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดงก่ำเมื่ออายุได้ 3 ปีขึ้นไป ในวัยที่ยังไม่โตเต็มที่มีลำตัวเต็มไปด้วยลวดลายสีน้ำตาลกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม มีแต้มสีขาวตามขนปีก ซึ่งลวดลายเหล่านี้จะหายไปและแทนที่ด้วยกระหม่อมและหลังสีเทาเข้ม ตัดกับลำตัวสีเทาอ่อนจนเกือบขาวเมื่อมีอายุมากขึ้น.

ใหม่!!: สัตว์และนกแขวก · ดูเพิ่มเติม »

นกแคสโซแวรี

รงในหงอนของนกแคสโซแวรี นกแคสโซแวรี (Cassowary) เป็นนกบินไม่ได้ขนาดใหญ่สกุลหนึ่ง อาศัยอยู่ในแถบซีกโลกใต้ (โอเชียเนีย) จัดอยู่ในสกุล Casuarius ในวงศ์ Casuariidae.

ใหม่!!: สัตว์และนกแคสโซแวรี · ดูเพิ่มเติม »

นกแคสโซแวรีใต้

นกแคสโซแวรีใต้ (southern cassowary, double-wattled cassowary, two-wattled cassowary) เป็นนกที่บินไม่ได้ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง เหมือนนกกระจอกเทศ และนกอีมูDavies, S. J. J. F. (2003) เป็นนกแคสโซแวรีชนิดหนึ่ง เป็นนกแคสโซแวรีชนิดที่ใหญ่ที่สุด มีความสูงประมาณ 100 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 85 กิโลกรัม มีลักษณะคล้ายกับเวโลซีแรปเตอร์ ไดโนเสาร์กินเนื้อที่สูญพันธุ์ไปแล้ว Cassowary Bird: Feathered Velociraptor, "Biggest & Baddest" สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต.

ใหม่!!: สัตว์และนกแคสโซแวรีใต้ · ดูเพิ่มเติม »

นกแต้วแร้ว

นกแต้วแร้ว หรือ นกแต้วแล้ว(Pittas) เป็นนกขนาดเล็กในสกุล Pitta ในวงศ์นกแต้วแร้ว (Pittidae) มีลักษณะทั่วไปคือ มีลำตัวอ้วนสั้น มีสีฉูดฉาดสลับกันทั่วทั้งตัวทั้งสีนํ้าเงิน, เขียว แดง, นํ้าตาล, เหลือง รวมอยู่ในตัวเดียวกัน มีคอและหางสั้น ขายาว มักกระโดดหรือวิ่งบนพื้นดิน รวมถึงหากินและทำรังบนพื้นดินในป่า หากบินก็จะบินเป็นระยะทางสั้น ๆ ในระดับความสูงต่ำในละแวกที่อาศัยเท่านั้น จัดเป็นนกขี้อาย สร้างรังรวมถึงฟักไข่และเลี้ยงดูลูกนกด้วยกันทั้งตัวผู้และตัวเมีย ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 17 วัน พบกระจายพันธุ์ทั้งทวีปแอฟริกา, อนุทวีปอินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียตะวันออก จนถึงโอเชียเนีย เช่น หมู่เกาะโซโลมอน และออสเตรเลี.

ใหม่!!: สัตว์และนกแต้วแร้ว · ดูเพิ่มเติม »

นกแต้วแร้วท้องดำ

นกแต้วแร้วท้องดำ หรือ นกแต้วแล้วท้องดำ (Gurney's Pitta) เป็นนกที่พบในพม่าและไทย ปัจจุบันพบได้ที่ เขานอจู้จี้ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ และบางส่วนในประเทศพม่า นกแต้วแร้วท้องดำถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1875 ในเขตตะนาวศรี ประเทศพม่า โดยชื่อสามัญในภาษาอังกฤษและชื่อวิทยาศาสตร์ตั้งขึ้นเป็นเพื่อเป็นเกียรติแก่ จอห์น เฮนรี เกอนีย์ นายธนาคารและนักปักษีวิทยาสมัครเล่นชาวอังกฤษ มีรายงานการพบครั้งสุดท้าย ในประเทศพม่าปี..

ใหม่!!: สัตว์และนกแต้วแร้วท้องดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกแต้วแร้วป่าโกงกาง

นกแต้วแร้วป่าโกงกาง หรือ นกแต้วแร้วป่าชายเลน (Mangrove pitta) เป็นนกแต้วแร้วชนิดหนึ่ง เดิมเคยถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยของนกแต้วแร้วธรรมดา (P. moluccensis) แต่ปัจจุบันถูกจัดให้เป็นชนิดต่างหากแยกออกมา ซึ่งชื่อวิทยาศาสตร์มาจากภาษาละตินโดยคำว่า "megas" แปลว่า "ใหญ่" และ "rhynch" หรือ "rhunkhos" แปลว่า "ปาก" รวมความหมายคือ "นกที่มีปากใหญ่".

ใหม่!!: สัตว์และนกแต้วแร้วป่าโกงกาง · ดูเพิ่มเติม »

นกแซวสวรรค์

นกแซวสวรรค์ (Asian Paradise Flycatcher) เป็นนกประจำถิ่นของประเทศไทย พบได้ในภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ เป็นนกอพยพนอกฤดูผสมพันธุ์ซึ่งจะพบได้ในภาคตะวันตกและภาคใต้ ชอบอาศัยในป่าดงดิบ ป่าทุติยภูมิ ป่าเบญจพรรณ อาจพบตามป่าชายเลนหรือในสวนได้ในช่วงอพยพ พบได้ในพื้นราบจนถึงระดับความสูง 1,500 เมตร.

ใหม่!!: สัตว์และนกแซวสวรรค์ · ดูเพิ่มเติม »

นกแซงแซวสีเทา

นกแซงแซวสีเทา (Ashy Drongo) เป็นนกประจำถิ่นและนกอพยพ พบได้ในแถบเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยเป็นนกประจำถิ่นของภาคเหนือ ภาคตะวันตก ส่วนนกอพยพนอกฤดูผสมพันธุ์พบที่ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.

ใหม่!!: สัตว์และนกแซงแซวสีเทา · ดูเพิ่มเติม »

นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่

นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ (Greater Racket-tailed Drongo) เป็นนกประจำถิ่นของประเทศในแถบเอเชีย เช่น ประเทศอินเดีย ประเทศศรีลังกา ประเทศบังคลาเทศ ประเทศจีนในตอนใต้ ประเทศอินโดนีเซีย หมู่เกาะนิโคบาร์ หมู่เกาะอันดามัน ประเทศสิงคโปร์ หมู่เกาะเล็กๆใกล้เกาะบอร์เนียว ในประเทศไทยเป็นนกประจำถิ่นที่สามารถพบได้ทั่วไป เช่น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในเขตเมือง เช่น สวนผลไม้ในจังหวัดนนทบุรี พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จึงห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธุ์ ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรัง การห้ามการครอบครองและการค้ามีผลไปถึงไข่และซากด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และนกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกแซงแซวหางบ่วงเล็ก

นกแซงแซวหางบ่วงเล็ก (Lesser Racket-tailed Drongo) เป็นนกที่พบได้ในป่าดงดิบ ที่มีระดับความสูงตั้งแต่ 800 เมตร ขึ้นไป ของเขตเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศบังคลาเทศ ภูฏาน กัมพูชา อินเดีย ลาว มาเลเซีย เนปาล เวียดนาม พม่า ในประเทศไทยพบได้ในภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ในประเทศไทย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จึงห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธุ์ ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรัง การห้ามการครอบครองและการค้ามีผลไปถึงไข่และซากด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และนกแซงแซวหางบ่วงเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

นกแซงแซวหางปลา

นกแซงแซวหางปลา (Black Drongo, ชื่อวิทยาศาสตร์: Dicrurus macrocercus) เป็นนกจับคอนขนาดเล็กในวงศ์นกแซงแซว พบทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอิหร่าน ไปทางตะวันออกถึงอินเดียและศรีลังกา ทางใต้ไปถึงจีน และอินโดนีเซีย ในประเทศไทยพบได้บ่อยมากทั่วประเทศ จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และนกแซงแซวหางปลา · ดูเพิ่มเติม »

นกแซงแซวหงอนขน

นกแซงแซวหงอนขน (Hair-crested Drongo) เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกแซงแซว มีการกระจายพันธุ์จากประเทศอินเดียและประเทศภูฏานพาดผ่านอินโดจีน ไปถึงประเทศจีน, ประเทศอินโดนีเซีย, และประเทศบรูไน นกมีลักษณะปากเล็กเรียวแหลมและโค้ง หน้าผากมีขนเป็นเส้นยาว ปลายหางบานออกและโค้งขึ้น ลำตัวสีดำ หัวสีดำเหลือบน้ำเงิน.

ใหม่!!: สัตว์และนกแซงแซวหงอนขน · ดูเพิ่มเติม »

นกแซงแซวเล็กเหลือบ

นกแซงแซวเล็กเหลือบ (Bronzed Drongo) เป็นนกขนาดเล็กในวงศ์นกแซงแซว เป็นนกประจำถิ่นที่พบในป่าของอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จับแมลงกินเป็นอาหาร นกแซงแซวเล็กเหลือบคล้ายกับนกแซงแซวชนิดอื่นๆ ในภูมิภาค แต่ต่างตรงมีขนาดเล็กกว่า ลำตัวด้านบนและอกด้านบนสีดำเหลือบฟ้าอมเขียว ปลายหางแฉกลึก.

ใหม่!!: สัตว์และนกแซงแซวเล็กเหลือบ · ดูเพิ่มเติม »

นกโพระดกคอสีฟ้า

นกโพระดกคอสีฟ้า (Blue-throated barbet) เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์นกโพระดก (Megalaimidae) มีความยาวจากจะงอยปากจรดหางประมาณ 22-23 เซนติเมตร ขนปกคลุมลำตัวส่วนใหญ่สีเขียว บริเวณคาง ใต้คอ คอด้านข้าง และบริเวณหน้ามีสีฟ้า หน้าผากและตอนท้ายกระหม่อมเป็นสีแดง กลางกระหม่อมมีสีแถบสีดำพาดกลางและยาวลงมาทางด้านหน้าของหน้า ใต้คอตอนล่างที่เป็นสีฟ้ามีแต้มสีแดง นกทั้งสองเพศมีลักษณะคล้ายคลึงกัน พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในป่าตั้งแต่อนุทวีปอินเดียจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดย่อย โดยไม่พบในประเทศไทยเพียงแค่ชนิดเดียว ซึ่งแตกต่างกันไปตามแถบสีดำส่วนหัว (ดูในตาราง) มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ลำพังเพียงตัวเดียวหรือเป็นฝูงเล็ก ๆ แต่ในสถานที่ ๆ อาหารอุดมสมบูรณ์อาจอยู่เป็นฝูงใหญ่ เป็นนกที่กินผลไม้และลูกไม้ป่า เช่น ไทร, มะเดื่อฝรั่ง เป็นอาหารหลัก ในยามที่อาหารขาดแคลนก็อาจกินหนอนหรือแมลง เป็นอาหารได้ เป็นนกที่ร้องเก่ง เสียงดัง โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์จะร้องบ่อยทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น เวลาร้องจะหมุนคอไปรอบทิศทาง ทำให้จับทิศทางของเสียงได้ยาก ในประเทศไทยจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และนกโพระดกคอสีฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

นกโมอา

นกโมอา (moa) เป็นนกขนาดใหญ่ในวงศ์ Dinornithidae เคยอาศัยอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ซึ่งปัจจุบันได้สูญพันธ์ไปหมดแล้ว มีความเกี่ยวข้องกับนกอีมูจากออสเตรเลีย ในช่วงศตวรรษที่ 1800 ถึงต้นศตวรรษที่ 1900 มีหลายสายพันธุ์ของนกโมอาอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์สรุปอย่างเป็นทางการได้ว่ามีอยู่ประมาณ 10 หรือ 12 ชนิด จากการศึกษาดีเอ็นเอ ของนกโมอา ได้มีการค้นพบว่านกโมอาตัวเมียกับตัวผู้มีความแตกต่างกันมาก ไม่ว่าจะเป็นทางขนาดลำตัวรึขนาดของกระดูก ตัวเมียมีขนาดที่ใหญ่กว่าและสูงกว่าตัวผู้อยู่ประมาณร้อยละ 150 และมีน้ำหนักกว่าร้อย 280 เหตุผลนี้ทำให้ตอนแรกมีการเข้าใจผิดคิดว่าโครงกระดูกที่ถูกค้นพบนี้เป็นของนก 2 ชนิด โครงกระดูกที่ถูกค้นพบได้ถูกนำมาประกอบกันแล้วจัดแสดงอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ทั่วประเทศนิวซีแลน.

ใหม่!!: สัตว์และนกโมอา · ดูเพิ่มเติม »

นกโจรสลัด

นกโจรสลัด หรือ นกฟรีเกต เป็นนกทะเลขนาดกลาง-ใหญ่ ที่อยู่ในวงศ์ Fregatidae มีเพียงสกุลเดียวเท่านั้น คือ Fregata ในอันดับ Pelecaniformes อันดับเดียวกันกับนกกระทุง มีรูปร่างโดยรวม คือ มีปากยาวกวางหัวและเป็นรูปทรงกระบอก ปลายจะงอยปากทั้งสองเป็นขอบแนวสบเรียบ รูจมูกเล็กลักษณะเป็นรองยาว ถุงใต้คางเล็กแต่พองออกได้ ปากยาวมาก ปลายปากแหลม ขนปลายปากเส้นสุดท้ายหรือเส้นนอกสุดยาวที่สุด หางเป็นหางแบบเว้าลึก มีขนหาง 12 เส้น แข็งเล็กและสั้น ประมาณ 1 ใน 5 ของความยาวปาก นิ้วยาว โดยมีนิ้วที่ 3 ยาวที่สุด ปลายนิ้วเป็นเล็บยาว เล็บหยัก มีพังผืดนิ้วเป็นแบบตีนพัดเต็ม แต่มักมีขนาดเล็กและเชื่อมเฉพาะโคนนิ้ว ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะและสีสันแตกต่างกัน ทำรังเป็นกลุ่มตามพุ่มไม้เตี้ย หรือตามโขดหิน หรือพื้นทราย วางไข่เพียงครอกละ 1 ฟอง เปลือกไข่สีขาว จะช่วยกันกกไข่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ลูกนกแรกเกิดมีสภาพเป็นลูกอ่อนเดินไม่ได้ ใช้เวลาประมาณ 5 เดือน ลูกนกที่จะเริ่มออกมาจากรังเกาะกิ่งไม้ แต่ก็ยังต้องอยู่ในความดูแลของพ่อแม่อีกนานนับปี พบกระจายพันธุ์อยู่ในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก นกโจรสลัดจัดเป็นนกที่บินได้ ที่เมื่อกางปีกออกแล้วถือว่าเป็นนกจำพวกหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เพราะกางปีกออกแล้วจะมีความยาวจากปีกข้างหนึ่งไปจรดอีกข้างหนึ่งประมาณ 70-100 เซนติเมตร และสามารถบินอยู่บนอากาศได้เป็นเวลาหลายวัน โดยไม่ต้องลงพื้นดิน เป็นนกที่ทรงตัวได้ดี เนื่อวงจากปีกมีขนาดใหญ่และหางในการรับน้ำหนัก และทรงตัว นกโจรสลัดเป็นนกที่กินเนื้อเป็นอาหาร มีพฤติกรรมชอบโฉบขโมยปลาจากนกอื่น เช่น นกนางนวลเป็นประจำ อันเป็นที่มาของชื่อเรียก แต่บางครั้งก็จะโฉบจับเหยื่อจากน้ำด้วยตัวเอง แต่ไม่สามารถที่จะดำน้ำได้ เป็นนกที่หากินในเวลากลางวัน และนอนหลับพักผ่อนในเวลากลางคืน นอกจากนี้ยังกินอาหารอย่างอื่นได้ด้วย เช่น ลูกเต่าทะเลแรกฟัก เป็นต้น เป็นนกที่มีความแตกต่างระหว่างเพศผู้และเพศเมียอย่างชัดเจน เพศผู้เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์จะมีถุงใต้คางสีแดงสดเห็นชัดเจน จนเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งถุงนี้มีไว้เพื่ออวดเพศเมียในฤดูผสมพันธุ์ เพื่อดึงดูดความสนใจจากเพศเมีย โดยจะป่องหรือเป่าถุงนี้ให้พองขึ้น นกโจรสลัดได้ถูกจำแนกออกเป็น 5 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และนกโจรสลัด · ดูเพิ่มเติม »

นกโคเอล

นกโคเอล (Koel) เป็นสกุลของนกในวงศ์นกคุกคู (Cuculidae) มีชื่อสกุลว่า Eudynamys โดยมาจากรากศัพท์ภาษากรีก คือ eu แปลว่า "ดี" สนธิกับคำว่า dyname ในเทพปกรณัม Dunamene แปลว่า "ผู้มีกำลังมาก" โดยรวมแล้วมีความหมายว่า "นกที่มีอำนาจหรือกำลังมาก" ขณะที่ชื่อสามัญ "โคเอล" (koel) มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตคำว่า "โกกิล" และคำที่ใช้ในภาษาอินเดียอื่น ๆ คล้ายคลึงกัน จัดเป็นนกปรสิต ที่นกตัวเมียจะวางไข่ไว้ในรังของนกชนิดอื่นด้วยความรวดเร็วเมื่อพ่อแม่นกชนิดอื่นเผลอ โดยไม่มีการสร้างรังของตัวเอง เพื่อให้พ่อแม่นกอื่นนั้นฟักไข่และเลี้ยงดูลูกจนโต เป็นนกกินแมลง, ผลไม้ มีเสียงร้องที่ดังเพื่อประกาศถึงอาณาเขตและเรียกหาคู.

ใหม่!!: สัตว์และนกโคเอล · ดูเพิ่มเติม »

นกโนรี

นกโนรีสีแดงที่สวนสัตว์พาต้า นกโนรี (Lory) เป็นสกุลของนกปากขอสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Lorius จัดเป็นนกขนาดกลางในอันดับนี้ มีความยาวจากจะงอยปากจรดปลายหาง 30 เซนติเมตร หางสั้น พบกระจายพันธุ์ในแถบประเทศอินโดนีเซีย หมู่เกาะโมลุกกะ ปาปัวนิวกินี และหมู่เกาะโซโลมอน ลำตัวสีสดใสต่างกันไปตามชนิด เช่น แดงเข้มไปหมดทั้งตัว ยกเว้นปลายปีก ปาก และนิ้ว เป็นต้น มีอุปนิสัยปกติจะอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว เว้นแต่ว่าเมื่อจับคู่แล้วจึงไม่แยกห่างจากกัน มีบ้างในบางครั้งจะอยู่รวมกันเป็นฝูงราว 4-6 ตัว ชอบบินสูงเหนือยอดไม้ ไม่ส่งเสียงร้องในขณะบินเหมือนนกชนิดอื่นในอันดับเดียวกัน อาหารหลักคือ ผลไม้สุกที่มีรสหวาน โดยมีตอนปลายของลิ้นก็ตรงที่ลิ้นที่ม้วนเป็นหลอดได้ สำหรับดูดกินน้ำหวานจากดอกไม้ และมีหนอนหรือแมลงเป็นอาหารเสริม โดยปกติแล้วจะวางไข่ครั้งละไม่เกิน 2 ฟองเท่านั้น นกโนรีก็เหมือนนกชนิดอื่นในอันดับนี้ คือ นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง ในประเทศไทยเชื่อว่ามีผู้นำเข้ามาเลี้ยงตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่สามารถที่จะฝึกหัดให้เลียนเสียงมนุษย์ได้เหมือนนกชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และนกโนรี · ดูเพิ่มเติม »

นกไต่ไม้

นกไต่ไม้ (Nuthatch) เป็นนกขนาดเล็กในอันดับนกเกาะคอน (Passeriformes) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Sittidae ลักษณะเป็นนกตัวเล็ก มีความยาวประมาณ 10-13 เซนติเมตร รูปร่างป้อม หางสั้น ปากแหลม มีความสามารถพิเศษคือ สามารถไต่ต้นไม้ด้วยนิ้วตีนลงมาในลักษณะเอาหัวลงได้ สามารถไต่ขึ้น ๆ ลง ๆ หรือไต่ไปรอบ ๆ ต้นไม้ หรือรอบ ๆ กิ่งไม้ได้คล่องแคล่วคล้ายกับหนู เพื่อหาแมลงและหนอนตามเปลือกไม้กิน และยังสามารถกินพืชอย่าง ลูกไม้ หรือเมล็ดพืชได้ด้วย ด้วยการคาบเมล็ดพืชขึ้นมายัดไว้ตามซอกเปลือกไม้ที่ลำต้นแล้วก็เอาปากจิกให้เปลือกเมล็ดนั้นแตกเพื่อจิกกินเนื้อใน มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมหากินรวม ๆ ไปในฝูงเดียวกันกับนกขนาดเล็กหลายชนิด มักพบตามป่าโปร่งบนเนินเขา ทำรังในโพรงไม้เล็ก ๆ และมีนิสัยประหลาด คือ ชอบคาบวัสดุต่าง ๆ มาปะติดปะต่อประดับไว้รอบ ๆ ปากโพรงรัง พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทวีปเอเชีย, ยูเรเชีย, ยุโรป จนถึงตอนเหนือของแอฟริกา และทวีปอเมริกาเหนือ และมีเพียงสกุลเดียวเท่านั้น คือ Sitta (โดยมาจากภาษากรีกโบราณคำว่า sittē หมายถึง "นก" ขณะที่ชื่อสามัญในภาษาอังกฤษที่ว่า "Nuthatch" เชื่อว่าเพี้ยนมาจากคำว่า "Nut+hack" เพราะนกกลุ่มนี้ในทวีปยุโรปมีพฤติกรรมกระเทาะเปลือกลูกนัทกินเป็นอาหาร) พบทั้งหมดประมาณ 24-27 ชนิด ในประเทศไทยพบทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ นกไต่ไม้ท้องสีเม็ดมะขาม (S. castanea), นกไต่ไม้หน้าผากกำมะหยี่ (S. frontalis), นกไต่ไม้สีสวย (S. formosa), นกไต่ไม้โคนหางสีน้ำตาล (S. nagaensis) และนกไต่ไม้ใหญ่ (S. magna) ทุกชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองทั้งหมด นอกจากนี้แล้วยังมีอีกชนิดที่เป็นนกพลัดหลง คือ นกไต่ไม้สีน้ำเงิน (S. azurea).

ใหม่!!: สัตว์และนกไต่ไม้ · ดูเพิ่มเติม »

นกไต่ไม้สีสวย

นกไต่ไม้สีสวย (Beautiful nuthatch) เป็นนกไต่ไม้ขนาดใหญ่ มีสีสันสวยงามกว่านกไต่ไม้ชนิดอื่น ๆ มีลวดลายสีขาวและฟ้าบนพื้นสีน้ำเงินเข้มที่ด้านบนของลำตัว และยังมีแถบสีฟ้ากว้างที่ปีกคาดยาวจรดหัวไหล่ ลำตัวด้านล่างมีสีส้มอมน้ำตาล ใบหน้าเป็นสีขาว มีแถบคาดตาจางๆและลายเปรอะสีเทาบริเวณแก้ม ปากและขาสีเทา ปลายปากดำ ถิ่นอยู่อาศัยในป่าดิบ ความสูง 950-2,290 เมตร การแพร่กระจายเป็นนกประจำถิ่น หายากและพบเฉพาะบางพื้นที่ นกไต่ไม้สีสวยชอบหากินเป็นคู่หรือเป็นฝูงขนาดเล็กในระดับใกล้เรือนยอดตามต้นไม้ใหญ่ที่มีพืชกาฝากและพืชชั้นต่ำปกคลุม บางครั้งหากินในเบิร์ดเวฟร่วมกับนกชนิดอื่น พบตามป่าบนภูเขาบางแห่งที่ความสูงมากกว่า 1,500 เมตรจากระดับน้ำทะเลในประเทศภูฏาน อินเดีย บังคลาเทศ พม่า จีนตอนใต้ ลาว และเวียดนาม แต่ในฤดูหนาวอาจพบลงมาหากินที่ระดับความสูงต่ำลงมาจนถึงราว ๆ 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล สถานภาพระดับโลกจัดว่าเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List) อันประกอบไปด้วยชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามและใกล้สูญพันธุ์ ในประเทศไทยถือเป็นชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์เป็นอย่างยิ่ง และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ในประเทศไทยพบที่ ดอยผ้าห่มปก จังหวัดเชียงใหม่ และ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัดน่าน ในบริเวณดอยดงหญ้าหว.

ใหม่!!: สัตว์และนกไต่ไม้สีสวย · ดูเพิ่มเติม »

นกเกาะคอน

นกเกาะคอน หรือ นกจับคอน (Passerine, Perching bird) เป็นอันดับของนกอันดับหนึ่ง ในกลุ่มนกขากรรไกรแบบใหม่ ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Passeriformes (โดยมีที่มาจาก Passer domesticus ซึ่งเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของนกกระจอกใหญ่ และนกในสกุล Passer ที่เป็นนกขนาดเล็กที่ใกล้เคียงกัน) นกในอันดับนี้มีลักษณะทั่วไปทางกายภาค คือ เป็นนกที่มีวิวัฒนาการเพื่ออาศัยและหากินบนต้นไม้เป็นหลัก นิ้วตีนมีทั้งหมด 4 นิ้ว ทุกนิ้วเจริญดีและอยู่ในระนาบเดียวกัน จึงเหมาะแก่การจับหรือเกาะเกี่ยวกับกิ่งไม้หรือต้นไม้ในป่าประเภทต่าง ๆ แต่ไม่เหมาะสำหรับการเดินบนพื้นดิน ดังนั้นเมื่อเมื่อลงดินจะได้วิธีก้าวกระโดด โดยมากแล้วจะเป็นนกที่มีลำตัวขนาดเล็ก ปัจจุบัน นักปักษีวิทยาได้แบ่งอันดับนี้เป็นอันดับย่อย 3 อันดับ (ดูในตาราง-บางข้อมูลจัดให้มี 2) โดยพิจารณาจากกล้ามเนื้อควบคุมกล่องเสียงที่อยู่ในลำคอ โดยบางอันดับย่อยจะมีกล้ามเนื้อนี้เพียง 2 คู่ ซึ่งยังเป็นลักษณะของนกในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ทำให้เสียงร้องไม่ไพเราะนัก แต่บางอันดับย่อยมีมากกว่า คือมี 4 คู่ ทำให้มีเสียงร้องที่ไพเราะกว่า นกในอันดับนี้มีมากกว่า 100 วงศ์ (ราว 110 วงศ์) ประมาณ 5,400 ชนิด ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยที่มีการค้นพบนกแล้วราว 1,000 ชนิด แบ่งเป็นนกในอันดับต่าง ๆ 16 อันดับ ใน 70 วงศ์ นกที่อยู่ในอันดับนี้นับว่ามากกว่าครึ่ง ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และนกเกาะคอน · ดูเพิ่มเติม »

นกเลิฟเบิร์ด

นกเลิฟเบิร์ด (Lovebird) เป็นสกุลของนกปากขอ หรือนกแก้วขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Agapornis (มาจากภาษากรีกคำว่า αγάπη หมายถึง "รัก" และคำว่า όρνις หมายถึง "นก") นกเลิฟเบิร์ดเป็นนกปากขอขนาดเล็ก ที่มีสีสันสดใส มีความยาวเต็มที่ประมาณ 5-6 นิ้ว โดยมีถิ่นกำเนิดในทวีปอัฟริกาฝั่งตะวันออก และเกาะมาดากัสการ์ซึ่งเป็นแถบที่อบอุ่นถึงค่อนข้างร้อน มีอายุขัยประมาณ 10-15 ปี นกเลิฟเบิร์ดมีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์และเลือกคู่ได้แล้วจะอยู่กับคู่ของตัวเองไปตราบจนตาย อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ นกเลิฟเบิร์ดก็เหมือนกับนกในอันดับนี้ส่วนใหญ่ ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง ประวัติของการเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ด ในสมัยแรกเริ่มคือช่วงปี ค.ศ. 1840 นกเลิฟเบิร์ดถูกเรียกว่า "Little parrot" (นกแก้วเล็ก) ตามประวัติกล่าวว่าชาวแอฟริกันเป็นผู้นำเข้าไปแพร่หลายในทวีปยุโรป และด้วยเอกลักษณ์ของนกสกุลนี้ก็คือ ชอบอยู่เป็นคู่ และจะดูแลกันและกันเป็นอย่างดี จึงได้รับการเรียกขานว่านกเลิฟเบิร์ดในที่สุด ต่อมา นกเลิฟเบิร์ดก็แพร่ขยายไปในสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 60 เมื่อมีการได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จึงเกิดการเพาะขยายพันธุ์อย่างกว้างขวางจนเกิดการกลายพันธุ์ เป็นสายพันธุ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา จนในช่วงศตวรรษที่ 80 การเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ดมีจุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ได้สีสันใหม่ ๆ ที่สวยงามขึ้น และเป็นการพัฒนาสายพันธุ์ รวมทั้งมีการผสมกับนกสายพันธุ์อื่น ๆ อีกด้วยจนปัจจุบันนกเลิฟเบิร์ด ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่มนุษย์รู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี แผนผังการจำแนกชน.

ใหม่!!: สัตว์และนกเลิฟเบิร์ด · ดูเพิ่มเติม »

นกเลขานุการ

ำหรับ Sagittarius ความหมายอื่น ดูที่: ราศีธนู และกลุ่มดาวคนยิงธนู นกเลขานุการ หรือ นกเลขานุการินี (Secretarybird, Secretary bird) นกล่าเหยื่อชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดและแพร่กระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา จัดอยู่ในอันดับ Accipitriformes อันเป็นอันดับเดียวกับอินทรี, เหยี่ยว และแร้ง และจัดเป็นเพียงชนิดเดียวและสกุลเดียว ในวงศ์ Sagittariidae เท่านั้น นกเลขานุการเป็นนกขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีน้ำหนักประมาณ 4 กิโลกรัม และมีความสูงกว่า 1 เมตร (ประมาณ 1.2-1.3 เมตร) เมื่อสยายปีกกว้างได้ถึง 2 เมตร ซึ่งชื่อ "นกเลขานุการ" แปลตรงตัวมาจากภาษาอังกฤษ คือ "Secretary bird" ซึ่งชื่อนี้ได้ดัดแปลงมาจากภาษาอาหรับคำว่า "saqr-et-tair" ซึ่งมีความหมายว่า "นกนักล่า" และต่อมาได้เพี้ยนจนกลายเป็น "Secretary" อย่างในปัจจุบัน แต่บางข้อมูลก็ระบุว่ามาจากขนหลังหัวที่เป็นซี่ ๆ ชี้ตั้งขึ้นเห็นได้ชัดเจน ซึ่งเหมือนขนนกที่ชาวตะวันตกในศตวรรษก่อนใช้ทัดหูและใช้แทนปากกา นกเลขานุการ มีลักษณะทั่วไปคล้ายอินทรี แต่มีส่วนขาที่ยาวมาก เป็นนกที่วิ่งและหากินตามพื้นดิน โดยไม่ค่อยบิน มีพฤติกรรมมักหากินอยู่เป็นคู่ตามทุ่งหญ้าและพุ่มไม้ต่าง ๆ โดย อาหาร คือ แมลงขนาดใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั๊กแตน, หนูชนิดต่าง ๆ นกที่ทำรังบนพื้นดินรวมทั้งไข่นก และสัตว์เลื้อยคลาน และมีรายงานว่าสามารถล้มสัตว์ขนาดใหญ่ อย่างแอนทิโลปขนาดเล็กหรือที่เป็นลูกอ่อนได้ด้วย ทั้งนี้ นกเลขานุการจะสร้างรังขนาดใหญ่บนต้นไม้ พบแพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนใต้ของทะเลทรายสะฮาราลงไป ซึ่งปัจจุบันจะพบได้ตามเขตอนุรักษ์และอุทยานแห่งชาติต่าง.

ใหม่!!: สัตว์และนกเลขานุการ · ดูเพิ่มเติม »

นกเหยี่ยวกินหอยทาก

นกเหยี่ยวกินหอยทาก (Snail Kite) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์ปีก หมวดหมู่:เหยี่ยว.

ใหม่!!: สัตว์และนกเหยี่ยวกินหอยทาก · ดูเพิ่มเติม »

นกเอี้ยง

นกเอี้ยง (Mynas) เป็นสกุลของนกเกาะคอนสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Acridotheres ในวงศ์นกเอี้ยงและนกกิ้งโครง (Sturnidae) มีรูปร่างอ้วนป้อม หางสั้น กินแมลงและผลไม้เป็นอาหาร รวมถึงน้ำหวานในดอกไม้ อยู่รวมกันเป็นฝูง ชอบส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว แพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่เอเชียใต้ จากภาคตะวันออกของอิหร่านถึงภาคใต้ของจีน และอินโดนีเซีย นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง บางชนิดถูกนำเข้าและแพร่ขยายพันธุ์ในซีกโลกใหม่เช่น บริติชโคลัมเบีย, แวนคูเวอร์ หรือนิวซีแลน.

ใหม่!!: สัตว์และนกเอี้ยง · ดูเพิ่มเติม »

นกเอี้ยงสาลิกา

นกเอี้ยงสาลิกา หรือ นกสาลิการาชบัณฑิตยสถาน.

ใหม่!!: สัตว์และนกเอี้ยงสาลิกา · ดูเพิ่มเติม »

นกเอี้ยงหัวสีทอง

วามหมายอื่น ดูที่: สาลิกาลิ้นทอง นกเอี้ยงหัวสีทอง หรือ นกสาลิกาลิ้นทอง (Golden-crested myna) เป็นนกชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกเอี้ยงและนกกิ้งโครง (Sturnidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Ampeliceps มีลักษณะทั่วไป คือ ตัวสีดำ มีแถบสีเหลืองที่ขอบปีกค่อนไปทางปลายปีก หนังรอบดวงตาสีเหลือง ตัวผู้ที่โคนปากด้านบนกระหม่อมไปจรดท้ายทอยสีเหลือง คอสีเหลืองไปจรดใต้ตา ตัวเมียโคนปากด้านบนจรอกระหม่อมสีเหลือง คอมีแถบสีเหลืองเล็ก ๆ มีความยาวประมาณ 22-24 เซนติเมตร เป็นนกที่พบได้ในป่าดิบ, ป่าโปร่ง และพบได้จนถึงพื้นที่ ๆ ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 800 เมตร พบได้ทั่วไปในทวีปเอเชียจนถึงบริติชอินเดียนโอเชียนเทร์ริทอรี ในมหาสมุทรอินเดีย ในประเทศไทยจะพบได้ที่ภาคเหนือตอนบน และผืนป่าภาคตะวันตก เช่น ทุ่งใหญ่นเรศวร ส่วนภูมิภาคอื่น พบได้บางพื้นที่ จัดเป็นนกที่ไม่พบบ่อยมากนัก มีสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และนกเอี้ยงหัวสีทอง · ดูเพิ่มเติม »

นกเอี้ยงคำ

นกเอี้ยงคำ หรือ นกขุนทอง (Hill mynas) เป็นสกุลของนกเกาะคอนร้องเพลงสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Gracula ในวงศ์นกเอี้ยงและนกกิ้งโครง (Sturnidae) มีรูปร่างคล้ายกับนกในสกุล Acridotheres หรือนกเอี้ยง แต่ลำตัวมีขนาดใหญ่กว่า ขนาดลำตัวโดยเฉลี่ย 20-30 เซนติเมตร ขนเป็นสีดำเป็นเงามัน มีลักษณะเด่น คือ มีเหนียง คือ แผ่นหนังสีเหลืองอมส้มคลุมท้ายทอยและอีกส่วนที่ใต้ตา ซึ่งจะแตกต่างไปกันตามแต่ละชนิด จะงอยปากสีแดงส้มและหน้าแข้งเป็นสีเหลืองสด เป็นนกที่แพร่กระจายพันธุ์ในป่าดิบหรือบนภูเขาตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย จนถึงเอเชียอาคเนย์ทั้งส่วนที่เป็นแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะต่าง ๆ เป็นนกที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่ามีเสียงร้องที่ไพเราะ และสามารถหัดให้เลียนเสียงต่าง ๆ เช่น เสียงพูดของมนุษย์ได้ จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง และมีการนำไปสู่สหรัฐอเมริกาด้วยในฐานะสัตว์เลี้ยง ในราคาที่สูง แต่ผู้คนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียนิยมนำมาทำเป็นแกงเผ็ด ถือเป็นอาหารจานโปรดของท้องถิ่น จำแนกออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ 4 หรือ 5 ชนิด ตามลักษณะของเหนียงและขนาดลำตัว ซึ่งแตกต่างกันไปตามถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งเดิมเคยจัดให้เป็นชนิดย่อยของกันและกัน แต่ปัจจุบันได้รับการยอมรับให้แยกเป็นชนิดต่างหาก ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และนกเอี้ยงคำ · ดูเพิ่มเติม »

นกเจย์สีน้ำตาลซินเจียง

นกเจย์สีน้ำตาลซินเจียง หรือ นกเจย์สีน้ำตาลทากลามากัน (Biddulph's ground jay, Xinjiang ground jay) เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกนกเจย์ อยู่ในวงศ์นกกา (Corvidae) จัดเป็นนกเจย์พื้นดินชนิดหนึ่ง เป็นนกขนาดเล็กขนาดไม่ใหญ่เกินไปกว่าฝ่ามือมนุษย์ มีขนตามลำตัวสีน้ำตาล ตัวผู้มีแถบลายพาดที่ใบหน้าสีดำ ขณะที่ยังเป็นลูกนกจะมีขนปุกปุยและไม่มีแถบสีดำ เป็นนกที่พบได้เฉพาะถิ่นที่พบได้ในประเทศจีนเท่านั้น โดยพบในทะเลทรายทากลามากัน ในมณฑลซินเจียง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจีน นกตัวผู้จะเป็นฝ่ายหาเลี้ยงลูก โดยจิกหากินตามพื้นดิน อาหาร ได้แก่ เมล็ดพืชและแมลงต่าง ๆ รวมถึงอาจพลิกกิ่งไม้หากินได้ด้วย โดยมีถุงเก็บอาหารในลำคอเหมือนนกชนิดอื่นในวงศ์กาทั่วไป.

ใหม่!!: สัตว์และนกเจย์สีน้ำตาลซินเจียง · ดูเพิ่มเติม »

นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร

นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร หรือ นกนางแอ่นตาพอง (White-eyed River-Martin, ชื่อวิทยาศาสตร์: Pseudochelidon sirintarae หรือ Eurochelidon sirintarae) เป็นนกจับคอนหนึ่งในสองชนิดของสกุลนกนางแอ่นแม่น้ำในวงศ์นกนางแอ่น พบบริเวณบึงบอระเพ็ดในช่วงฤดูหนาวเพียงแห่งเดียวในโลก แต่อาจสูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ปี..

ใหม่!!: สัตว์และนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร · ดูเพิ่มเติม »

นกเขาชวา

นกเขาชวา หรือ นกเขาเล็ก หรือ นกเขาแขก (- เป็นภาษาละติน แปลว่า "รอยไถ" หรือ "ลาย" มีความหมายว่า "นกเขาที่มีลาย") เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbridae) นกเขาชวามีรูปร่างเหมือนกับนกชนิดอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกันนี้ทั่วไป มีขนปกคลุมตัวสีน้ำตาลหัวสีเทา หรือมีสีที่หัวเป็นสีน้ำเงิน ด้านข้างคอมีแถบสีดำสลับกับแถบขาวเป็นลายตามขวาง ด้านหลังสีเข้มมีขีดขวาง คล้ายกับลายของม้าลายในต่างประเทศ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญในภาษาอังกฤษ (zebra dove) ด้านท้องสีจาง ใต้ลำตัวเป็นสีขาวมีขีดขวางเล็ก ขอบท้ายของขนหางสีขาว ขนาดเมื่อโตเต็มที่ไม่เกิน 8-9 นิ้ว นกเขาชวามีพฤติกรรมชอบอาศัยอยู่ตามป่าโปร่ง ป่าละเมาะ ชายทุ่ง และบริเวณที่ทำการเพาะปลูก ชอบอยู่กันเป็นคู่หรือลำพังเพียงตัวเดียว แต่ไม่ชอบหากินอยู่เป็นฝูงใหญ่ มักร้องบ่อย ๆ ในเวลาเช้าและเวลาเย็น มีถิ่นกระจายพันธุ์ในภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย จนถึงมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ นกตัวผู้จะมีลักษณะทั่วไปใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย หัวใหญ่ค่อนข้างยาว มีสีขาวที่หน้าผากสีขาวมากยาวถึงกลางหัว ขณะที่ตัวเมียหัวกลมเล็กและสีขาวที่ส่วนหัวจะไม่ยาวเท่า และมีรายละเอียดต่างกันเล็กน้อย เช่น หางที่ตัวเมียจะยกแอ่นกว่าตัวผู้ และเกล็ดที่ข้อเท้าจะละเอียดเล็กกว่าตัวผู้ นกเขาชวาเป็นนกที่ไม่เกรงกลัวมนุษย์ ซ้ำยังมีเสียงร้องที่ไพเราะ จึงเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในการเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับฟังเสียง จนกลายเป็นวัฒนธรรมในคาบสมุทรมลายู โดยเชื่อว่ามีมาจากเกาะชวา มีการจัดแข่งขันประกวด การเพาะขยายพันธุ์ ก่อตั้งเป็นชมรมหรือสมาคมต่าง ๆ ซึ่งในตัวที่มีเสียงร้องไพเราะอาจมีราคาสูงถึงหลักล้านบาท ตลอดจนแตกแขนงกลายเป็นอาชีพอื่น ๆ ต่อด้วย เช่น ประดิษฐ์กรงนกขาย นกเขาชว ในปัจจุบันกลายเป็นนกประจำถิ่นในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย จากการที่ถูกนำเข้ามาในฐานสัตว์เลี้ยง และไม่จัดว่าเป็นสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองแต่ประการใ.

ใหม่!!: สัตว์และนกเขาชวา · ดูเพิ่มเติม »

นกเขาพม่า

นกเขาพม่า (Oriental turtle dove) เป็นกที่อยู่ในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbidae) มีลักษณะคล้ายกับนกเขาใหญ่ (S. chinensis) ต่างกันตรงที่มีแถบสีดำข้างคอแบ่งเป็นสองแถบไม่ต่อเนื่องกัน และในแถบเป็นลายขีดขาวไม่เป็นจุดอย่างนกเขาใหญ่ และมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่ามากและหางสั้นกว่า (31-33 เซนติเมตร) อีกทั้งสีตามลำตัวก็คล้ำกว่า อาศัยอยู่ตามป่าเต็งรัง, ป่าดงดิบแล้ง, ป่าที่เพิ่งฟื้นฟู, ป่าละเมาะ หรือพื้นที่เกษตรกรรม และพบได้กระทั่งที่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 2,000 เมตร บางครั้งพบเป็นฝูงใหญ่มาก มักหากินตามพื้นดิน อาหารคือ เมล็ดพืชและธัญพืช รวมทั้งเยื่อไผ่ มีฤดูผสมพันธุ์เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ทำรังตามต้นไม้หรือกิ่งไผ่ ด้วยกิ่งไม้ขัดกันอย่างง่าย ๆ สูงจากพื้นดินประมาณ 1.5-3.6 เมตร วางไข่ครั้งละ 2 ฟอง เปลือกไข่มีสีขาว เป็นนกที่ตัวใหญ่ แต่ปราดเปรียว และบินได้เร็วและแข็งแรง แม้จะอยู่เป็นฝูง แต่เวลาตกใจจะบินแตกไปเป็นคู่ ๆ พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในซีกโลกทางเหนือและเอเชียตะวันออก ในประเทศไทย ถือเป็นนกประจำถิ่นที่พบได้น้อย มีบางส่วนเป็นนกอพยพช่วงนอกฤดูผสมพันธุ์ จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไทย และถือเป็นนกประจำเมืองฮิระกะวะ และเมืองทะมะ ในประเทศญี่ปุ่น.

ใหม่!!: สัตว์และนกเขาพม่า · ดูเพิ่มเติม »

นกเขาใหญ่

นกเขาใหญ่ หรือ นกเขาหลวง เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbidae) มีถิ่นอาศัยในเอเชียทางใต้จากประเทศปากีสถาน อินเดีย และ ศรีลังกา ทางตะวันออกถึงตอนใต้ของประเทศจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.

ใหม่!!: สัตว์และนกเขาใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกเขียวก้านตอง

นกเขียวก้านตอง (Leafbird) เป็นชื่อของสกุลและวงศ์ ของนกขนาดเล็กประเภทหนึ่งในตระกูลนกเกาะคอน มีถิ่นที่อยู่ในอินเดียและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นนก 1 ใน 2 วงศ์ซึ่งเป็นนกเฉพาะถิ่นของเขตนิเวศวิทยาอินโดมาลายัน โดยอีกวงศ์หนึ่งคือนกแว่นตาขาว เดิมสกุลนกเขียวก้านตอง อยู่ในวงศ์นกเขียวคราม ร่วมกับสกุลนกแว่นตาขาว แต่ภายหลังได้แยกวงศ์ออกมาทั้งสองสกุล ตั้งเป็นวงศ์ใหม่คือ วงศ์นกเขียวก้านตอง และวงศ์นกแว่นตาขาว นกเขียวก้านตองมีลักษณะคล้ายนกในวงศ์นกปรอดซึ่งเป็นวงศ์ใกล้เคียงกัน หากแต่มีสีสันสดใสกว่า นอกจากนี้ นกเขียวก้านตองเป็นนกที่มีลักษณะแตกต่างระหว่างเพศ โดยที่ตัวผู้จะมีสีสันสดใสกว่า และ/หรือ มีสีสันมากกว่า นกเขียวก้านตองวางไข่ 2-3 ฟองต่อครั้ง ในรังบนคาคบต้นไม้.

ใหม่!!: สัตว์และนกเขียวก้านตอง · ดูเพิ่มเติม »

นกเขียวก้านตองท้องสีส้ม

นกเขียวก้านตองท้องสีส้ม (Orange-Bellied Leafbird) เป็นนกที่มีถิ่าอาศัยในแถบตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัย และภาคใต้ของประเทศจีนจรดคาบสมุทรมลายู มันมีท้องสีส้มสดใส หลังสีเขียว หางและปีกสีฟ้า แต้มสีดำและฟ้าที่คอและอก มีปากโค้งยาว กินแมลงและน้ำต้อยเป็นอาหาร เป็นนกประจำถิ่น.

ใหม่!!: สัตว์และนกเขียวก้านตองท้องสีส้ม · ดูเพิ่มเติม »

นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้า

แถบสีฟ้าที่ปีกมักเห็นได้ชัดจนเป็นเอกลักษณ์ นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าเจอร์ดอน เพศผู้ นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าพายัพ เพศผู้ นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าโคชินไชน่า เพศผู้ นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าชวา เพศผู้ นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้า (Blue-winged Leafbird) เป็นชนิดพันธุ์หนึ่งของสกุลนกเขียวก้านตองลักษณะพิเศษคือมีแถบสีฟ้าที่ขอบปีกด้านนอก ยาวตั้งแต่หัวปีกถึงปลายปีก โดยความเข้มอ่อนขึ้นอยู่กับอายุและชนิดพันธุ์ย่อยของนก ชนิดพันธุ์นี้พบครั้งแรกในเขตโคชินไชน่า (ปัจจุบันคือเวียดนามใต้) จึงนำชื่อสถานที่พบมาตั้งเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ว่า cochinchinensis.

ใหม่!!: สัตว์และนกเขียวก้านตองปีกสีฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

นกเขียวก้านตองใหญ่

นกเขียวก้านตองใหญ่ (Greater green leafbird) เป็นนกในวงศ์นกเขียวก้านตอง มันต่างจากนกเขียวก้านตองเล็ก (Chloropsis cyanopogon) ตรงมันมีจะงอยปากแข็งแรง คอสีเหลือง และแหวนรอบตาในเพศเมียหญิง และไม่มีแต้มสีเหลืองใต้สีดำตรงคอเหมือนในเพศผู้ของนกเขียวก้านตองเล็ก พบในประเทศบรูไน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, พม่า, สิงคโปร์, และ ไทย ถิ่นอาศัยตามธรรมชาติของมันคือป่าในเขตร้อนชื้นหรือกึ่งเขตร้อนและป่าชายเลนในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ปกติจะเป็นป่าเก่าแต่ก็สามารถพบในป่าชั้นสองด้วยเช่นกัน สามารถพบเห็นได้ที่ความสูงระดับหลังคาป่า กระโดดจากกิ่งไม้หนึ่งไปสู่กิ่งไม้หนึ่ง หรือบินจากต้นหนึ่งไปสู่ต้นหนึ่ง ชอบกินลูกไทร แต่บางครั้งก็กินแมลงและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กเป็นอาหาร นกเขียวก้านตองใหญ่ส่งเสียงร้องเป็นทำนองเพลง ดัง "วี่-วิด".

ใหม่!!: สัตว์และนกเขียวก้านตองใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกเขียวก้านตองเล็ก

นกเขียวก้านตองเล็ก (Lesser Green Leafbird) เป็นนกในวงศ์นกเขียวก้านตอง พบในประเทศบรูไน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, พม่า, สิงคโปร์, และ ไทย ปัจจุบันกำลังถูกคุกคามจากการสูญเสียถิ่นที่อยู.

ใหม่!!: สัตว์และนกเขียวก้านตองเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

นกเขนน้อยไซบีเรีย

นกเขนน้อยไซบีเรีย (Siberian blue robin) เป็นนกเกาะคอนชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกจับแมลงและนกเขน (Muscicapidae) ตัวผู้และตัวเมียมีสีต่างกันอย่างเห็นชัดเจน นกตัวผู้จะมีลำตัวด้านบนเป็นสีน้ำเงิน ท้องสีขาวโพลน มีแถบสีดำพาดผ่านตาลากยาวแบ่งสีน้ำเงินและสีขาวออกจากกัน ขณะที่นกตัวเมียหรือนกที่ยังไม่โตเต็มวัยจะเป็นสีน้ำตาลตุ่น มีลายเกล็ดจาง ๆ บริเวณคอและอก ในนกตัวผู้ที่ยังโตไม่เต็มวัยต่างกับนกตัวเมียตรงที่มีหางออกสีฟ้า มีพฤติกรรมทำรังวางไข่ทางตอนเหนือของเอเชียตะวันออก ในช่วงฤดูหนาวฝูงส่วนใหญ่จะอพยพลงใต้ไปหากินอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นกบางตัวพลัดหลงไปไกลถึงทวีปยุโรป บางครั้งอาจอพยพรวมกันเป็นกลุ่มหลายสิบตัว และอพยพในเวลากลางคืนด้วย สำหรับประเทศไทยนกเขนน้อยไซบีเรียจัดเป็นนกอพยพนอกฤดูผสมพันธุ์ที่พบบ่อยทั่วทุกภาค แต่ในบางพื้นที่มีสถานะเป็นเพียงนกอพยพผ่านที่พบได้เฉพาะช่วงต้นและปลายฤดูหนาวเท่านั้น เป็นนกอพยพที่บินเป็นระยะทางไกลมาก ปกติจะพบเดินหาแมลงขนาดเล็กกินตามพื้นในป่าดิบ มีพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ คือ มักจะกระดกหางถี่ ๆ ตลอดเวลา แม้ตามปกติจะพบในป่า แต่ช่วงต้นและปลายฤดูกาลอพยพก็มักพบตามสวนสาธารณะได้บ่อยครั้ง และจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง นอกจากนี้แล้วนกเขนน้อยไซบีเรีย ยังเป็นหนึ่งในนกที่เป็น ID Station ของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และนกเขนน้อยไซบีเรีย · ดูเพิ่มเติม »

นกเดินดงสีดำ

นกเดินดงสีดำ หรือ นกแบล็กเบิร์ด (Blackbird) เป็นนกชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกเดินดง (Turdidae) พบได้ทั่วไปในทวีปยุโรปและเอเชีย มักอาศัยอยู่ในพื้นที่ ๆ ที่เป็นป่าโปร่ง, พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่เปิดโล่งต่าง ๆ ที่ราบถึงความสูง 950 เมตร นกตัวผู้มีขนาดใหญ่ ปากและหนังรอบตาสีเหลือง ขนลำตัวดำทั้งหมด แข้งและตีนเหลือง นกตัวเมียมีปากสีเหลืองหรือเหลืองแกมน้ำตาล ปลายอาจมีสีดำ ขนลำตัวน้ำตาลดำ คอน้ำตาลอ่อนมีลายขีดจาง ๆ มีความยาวลำตัว 23.5 - 29 เซนติเมตร อายุเฉลี่ยของนกเดินดงสีดำคือ 2.4 ปีและนกเดินดงสีดำที่อายุยืนที่สุดที่เคยมีการค้นพบคือ 20 ปี สำหรับในประเทศไทย ถือเป็นนกที่หายากมาก.

ใหม่!!: สัตว์และนกเดินดงสีดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกเด้าลม

นกเด้าลม จัดอยู่ในประเภทสัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นนกขนาดเล็กที่มีหางยาว.

ใหม่!!: สัตว์และนกเด้าลม · ดูเพิ่มเติม »

นกเค้า

นกเค้า หรือ นกเค้าแมว หรือ นกฮูก (Owl) เป็นนกที่อยู่ในอันดับ Strigiformes มีรูปใบหน้าคล้ายแมว อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ จับสัตว์เล็ก ๆ กินเป็นอาหาร เช่น หนู, งู หรือสัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเล็ก ๆ ในขณะที่บางชนิดที่มีขนาดใหญ่อาจจับปลา หรือปูกินได้ด้วย จัดเป็นนกล่าเหยื่อจำพวกหนึ่งเหมือนเหยี่ยว, อินทรี และแร้ง ที่หากินในเวลากลางวัน ส่วนนกเค้าแมวนั้นมักหากินในเวลากลางคืน ทำให้มีเล็บโค้งแหลมและมีปากงุ้มแหลมสำหรับจับสัตว์กิน เหตุที่หากินในเวลากลางคืน เป็นเพราะนกเค้าแมวเป็นนกที่ไม่อาจสู้กับนกล่าเหยื่อในเวลากลางวัน อย่าง เหยี่ยวหรืออินทรีได้ อีกทั้งบางครั้งยังถูกนกที่มีขนาดเล็กกว่าอย่าง นกเอี้ยงหรือนกกิ้งโครงไล่จิกตีอีกต่างหาก เนื่องจากเป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน จึงมีดวงตาโตกว่าเหยี่ยวและอินทรีมาก ดวงตาอยู่ด้านหน้าของใบหน้าเหมือนมนุษย์และสัตว์ตระกูลแมว หัวหมุนได้เกือบรอบตัวได้ถึง 270 องศา เนื่องจากมีกระดูกสันหลังตรงคอ 14 ชิ้น ซึ่งมากกว่าสัตว์ชนิดใด ๆ ในโลก หูของนกเค้าแมวมีความไวมากเป็นพิเศษสำหรับการฟังเสียงในเวลากลางคืนและหาเหยื่อ มีขนปีกอ่อนนุ่ม บินได้เงียบเพื่อไม่ให้เหยื่อรู้ตัว และมีประสาทสายตาที่มองเห็นได้ดีกว่ามนุษย์ถึง 100 เท่าโดยปกติแล้วตัวเมียมีขนาดโตกว่าตัวผู้ ตัวเมียเป็นตัวที่กกไข่ ตัวผู้ไม่กกไข่ มักพบก้อนที่สำรอกคายออกทิ้งลงมาที่พื้นเบื้องล่างในรังหรือบริเวณใกล้เคียงกับรัง เพราะนกเค้าแมวมักกลืนเหยื่อเข้าไปทั้งตัว กระดูกและขนที่ไม่ย่อยก็สำรอกออกมาเป็นก้อนทิ้งทีหลัง.

ใหม่!!: สัตว์และนกเค้า · ดูเพิ่มเติม »

นกเค้ากู่

นกเค้ากู่ หรือ นกฮูก (Collared scops owl) เป็นนกเค้าแมวชนิดหนึ่ง เป็นนกประจำถิ่นในเอเชียใต้จากตอนเหนือของประเทศปากีสถาน, ตอนเหนือของประเทศอินเดีย และเทือกเขาหิมาลัยไปทางตะวันออกถึงประเทศจีนตอนใต้ และบางตัวเป็นนกอพยพในฤดูหนาวที่พบในประเทศอินเดีย, ประเทศศรีลังกา และประเทศมาเลเซีย นกเค้ากู่เป็นนกเค้าแมวขนาดเล็ก (23–25 เซนติเมตร) มีปอยขนตั้งชันขึ้นบนหัวสองข้างหรือที่เรียกว่าหู ส่วนบนเป็นสีเทาหรือน้ำตาลขึ้นอยู่กับว่าเป็นชนิดย่อยชนิดไหน มีจุดสีน้ำตาลอมเหลืองจางๆ ส่วนล่างสีน้ำตาลอมเหลืองมีลายขีดสีเข้ม วงหน้าสีออกขาวหรือสีเนื้อ มีสร้อยคอสีเนื้อหรือน้ำตาลอมเหลือง ตากลมโตสีส้มหรือสัน้ำตาล ปากสั้น สันปากโค้งลง ทั้งสองเพศคล้ายกัน.

ใหม่!!: สัตว์และนกเค้ากู่ · ดูเพิ่มเติม »

นกเค้าจุด

นกเค้าจุด (อังกฤษ: Spotted owlet; ชื่อวิทยาศาสตร์: Athene brama) เป็นนกล่าเหยื่อจำพวกนกเค้าแมวชนิดหนึ่ง ที่สามารถพบได้ในประเทศไทย มีลักษณะส่วนหัวกลมไม่มีขนชี้ขึ้นไปเหมือนหูอย่างนกเค้ากู่ (Otus lempiji) มีจุดสังเกตอยู่ที่ขนคิ้วสีขาวที่เห็นได้เด่นชัด หัวค่อนข้างแบน บริเวณหัวจนถึงท้ายทอยสีน้ำตาลมีจุดเล็ก ๆ สีขาวประทั่วไป บริเวณตัวด้านบนซึ่งเป็นสีน้ำตาลก็มีจุด แต่จะมีขนาดใหญ่และกระจายมากกว่าบริเวณหัว บางทีใหญ่และเรียงตัวกันดูคล้ายบั้งมากกว่าจุด โดยเฉพาะด้านหลังคอที่จะเรียงตัวต่อกันคล้ายปลอกคอ ด้านล่างของลำตัวสีขาว แต่มีลายจุดสีน้ำตาลเช่นเดียวกัน นกตัวผู้และตัวเมียคล้ายคลึงกัน โตเต็มที่มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางประมาณ 20 เซนติเมตร จัดว่าเป็นนกเค้าแมวขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ออกหากินในเวลากลางคืน โดยเริ่มออกจากรังตั้งแต่เวลาโพล้เพล้ เป็นนกที่บินได้เงียบมาก อาหารได้แก่ แมลงชนิดต่าง ๆ รวมถึงแมลงปีกแข็ง, หนูขนาดเล็กหรือนกขนาดเล็กชนิดอื่นที่นอนหลับบนต้นไม้ เมื่อเห็นเหยื่อจะพุ่งตัวกางกรงเล็บอันแข็งแรงและแหลมคมออกจับเหยื่อ ถ้าเหยื่อตัวเล็กจะกินเลยทันที ถ้าตัวใหญ่ก็นำกลับมาที่รังก่อนแล้วใช้กรงเล็บจับเหยื่อขึ้นมาฉีกกินจนหมด นกเค้าจุดที่อาศัยอยู่ตามหมู่บ้านอาจมีพฤติกรรมไล่จับแมลงที่มาเล่นไฟที่หลอดนีออน มีการกระจายพันธุ์ที่ค่อนข้างกว้างขวาง โดยพบได้ตั้งแต่อิหร่าน, อัฟกานิสถาน, ปากีสถาน, อนุทวีปอินเดีย สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ที่พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว และเวียดนาม สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่ภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 400 เมตร จนถึงทะเลทราย ทั้งยังปรับตัวให้อยู่ในเมืองขนาดใหญ่ได้อีกด้วย โดยสามารถพบได้ตามที่ ๆ มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นหรือตามสวนสาธารณะ เป็นนกที่ปรับตัวให้เข้ากับมนุษย์ได้ดีมากชนิดหนึ่งและไม่ค่อยกลัวมนุษย์ มีชนิดย่อยทั้งหมด 4 ชนิด (ดูในตาราง) ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน โดยรังวางไข่ของนกเค้าจุด จะใช้โพรงธรรมชาติหรือโพรงที่สัตว์อื่นทำไว้ หรือรอยแตกรอยแยกในตึก, เจดีย์, ซอกหลังคาตามอาคารเป็นรัง อาจหาหญ้าหรือขนนกมารองพื้นรัง แต่ส่วนมากจะวางไข่กับพื้นเปล่าเลย วางไข่ครั้งละ3-5ฟอง ไข่มีลักษณะกลม ขนาด 37x27 มิลลิเมตร เปลือกไข่สีขาวเป็นมันเล็กน้อย นกทั้งสองเพศช่วยกันกกไข่ เช่นเดียวกับนกเค้าแมวชนิดอื่น ๆ นกเค้าจุดจะกกไข่ทันทีตั้งแต่วางไข่ฟองแรก ลูกนกในรังจึงมีขนาดแตกต่างกันมาก เพราะออกจากไข่ไม่พร้อมกัน ใช้เวลาเลี้ยงลูกนกประมาณ 35-40วัน ลูกนกจะสามารถออกมานอกรังได้ ทั้งพ่อและแม่นกช่วยกันหาอาหารมาป้อนลูกอ่อน โดยจะออกหากินในเวลากลางวัน ถ้าเหยื่อเป็นชิ้นเล็ก ๆ จะส่งให้ลูกทั้งตัว ถ้าขนาดใหญ่ก็จะฉีกเป็นชิ้นเล็กให้ ลูกนกที่โตพอสมควรแล้วจะยังคงอยู่กับพ่อแม่อีกนาน บางครั้งอาจพบนกเค้าจุด 2-3ตัว อยู่บนต้นไม้เดียวกัน หรือเกาะกิ่งเบียดใกล้ชิดกันเสมอ ๆ โดยในตอนกลางวันจะเกาะกิ่งหลับอยู่บนต้นไม้ใบหนา หรือถ้ามีโพรงก็จะมุดเข้าไปหลบในโพรงเพื่อความปลอดภัย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 แต่ก็เป็นนกเค้าแมวอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และนกเค้าจุด · ดูเพิ่มเติม »

นกเค้าป่าสีน้ำตาล

นกเค้าป่าสีน้ำตาล (Brown wood-owl) เป็นนกเค้าแมวประจำถิ่นในเอเชียใต้จากประเทศอินเดียและประเทศศรีลังกา ไปทางตะวันออกถึงทางตะวันตกของประเทศอินโดนีเซียและตอนใต้ของประเทศจีน นกเค้าป่าสีน้ำตาลเป็นนกขนาดกลาง (45–57 เซนติเมตร) ตาน้ำตาลเข้ม ปากเทาดำ วงหน้าสีน้ำตาลแกมส้มเข้ม หัวและลำตัวด้านบนเทาดำแซมน้ำตาลเข้ม มีจุดขาวและขาวแกมฟ้าที่หัวและลำตัวด้านบน ลำตัวด้านล่างขาวมีลายขวางสีน้ำตาลเข้มแกมดำ แข้งและตีนมีขนคลุม ร้องดัง "ฮู-ฮู-ฮู-ฮู-ฮู-ฮู-ฮู" ทุ้มสั่นระรัว.

ใหม่!!: สัตว์และนกเค้าป่าสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

นกเค้าป่าหลังจุด

นกเค้าป่าหลังจุด (Spotted wood-owl) เป็นนกเค้าแมวในสกุล Strix มีการกระจายพันธุ์ค่อนข้างแปลก เนื่องจากพบในที่ไม่ต่อเนื่องในหลายพื้นที่รอบเกาะบอร์เนียว แต่กลับไม่พบบนเกาะ มีสามชนิดย่อยคือ.

ใหม่!!: สัตว์และนกเค้าป่าหลังจุด · ดูเพิ่มเติม »

นกเค้าแมวหิมะ

นกเค้าแมวหิมะ หรือ นกเค้าหิมะ (Snowy owl) นกล่าเหยื่อชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกเค้าแมว (Strigidae) นกเค้าแมวหิมะจัดเป็นนกเค้าแมวที่มีขนาดใหญ่ มีลักษณะเด่น คือ ขนตามลำตัวเป็นสีขาวล้วนสะอาด มีหัวกลมสีเหลือง ดวงตากลมโตสีดำ, สีฟ้า หรือสีเหลือง เท้ามีขนมาก ขนตามลำตัวโดดเด่นด้วยสีขาวแต้มด้วยบางส่วนสีดำเป็นแถบแนวนอนหรือลายจุด นกตัวเมียและนกวัยที่ยังไม่โตเต็มที่จะมีจุดดำขึ้นตามลำตัวมากกว่า ในขณะที่ตัวผู้เป็นสีขาวเกือบทั้งหมด และสีขนอาจเปลี่ยนไปตามฤดูกาลเพียงเล็กน้อย ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ มีขนาดความยาวลำตัวประมาณ 51–68.5 เซนติเมตร (20–27 นิ้ว) ในขณะที่ตัวเมียประมาณ 66 เซนติเมตร (26 นิ้ว) ความยาวปีกประมาณ 137–164 เซนติเมตร (54–65 นิ้ว) เมื่อกางออก 137–164 เซนติเมตร (54–65 นิ้ว) น้ำหนักประมาณ 1,134–2,000 กรัม (40–70 ออนซ์) ตัวเมียประมาณ 1,707 กรัม (60 ออนซ์) ตัวผู้ประมาณ 1,612 กรัม (57 ออนซ์) จัดเป็นนกเค้าแมวที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก นกเค้าแมวหิมะ พบกระจายพันธุ์ในแถบซีกโลกทางตอนเหนือ เช่น เขตทุนดราทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปตอนเหนือบริเวณใกล้กับขั้วโลกเหนือ, วงกลมอาร์กติก หรือสแกนดิเนเวีย หากินช่วงกลางวันตั้งแต่เช้าถึงค่ำ มีความแข็งแรงและมั่นคงบินมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว บินสั้น ๆ ใกล้พื้นดิน นกเค้าแมวหิมะมีความก้าวร้าวเมื่อทำรังวางไข่ นกเค้าแมวหิมะทำรังบนพื้นดินที่เป็นทุ่งหญ้าในช่วงฤดูร้อนของเขตอาร์กติก TUNDRA, "Wildest Arctic" สารคดีทางแอนิมอลแพลนเน็ต ทางทรูวิชั่นส์: จันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2556วางไข่ครั้งละ 6–8 หรือ 10 ฟอง โดยไข่ฟองแรกจะฟักเป็นตัวก่อนฟองสุดท้ายประมาณ 2 สัปดาห์ ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะช่วยกันดูแลไข่และลูกนก พ่อแม่นกจะฉีกเหยื่อเป็นชิ้น ๆ ก่อนจะป้อนให้ จนกว่าลูกนกจะโตพอแล้วจึงจะกลืนกินทั้งตัว จนกระทั่งลูกนกอายุได้ 6 สัปดาห์จึงพอจะช่วยเหลือตัวเองได้ นกเค้าแมวหิมะมีพฤติกรรมการเลี้ยงลูกนกต่างจากนกล่าเหยื่อชนิดอื่น ๆ ตรงที่จะดูแลลูกนกตัวที่อ่อนแอที่สุดด้วยโดยไม่ทอดทิ้ง เมื่อลูกนกค่อย ๆ โตขึ้น จะมีขนสีเทาขึ้นปกคลุมลำตัว และพ่อแม่นกจะทิ้งลูกนกให้อยู่ตามลำพังมากขึ้น ลูกนกเค้าแมวหิมะจะเริ่มหัดบินก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูหนาว มีพฤติกรรมในการล่าเหยื่อด้วยการเฝ้ารอ หรือกระทั่งติดตามเหยื่อ ส่วนใหญ่มักล่าเหยื่อในเวลากลางวัน เหยื่อมีทั้งถูกจับบนพื้นและในอากาศ เหยื่อขนาดเล็กจะถูกกลืนทั้งหมด เหยื่อขนาดใหญ่จะถูกฉีกเป็นชิ้นใหญ่ กินอาหารจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหรือสัตว์เลือดอุ่นขนาดเล็ก เช่น นก, หนูเลมมิ่ง, กระรอก, กระต่าย, เป็ด, ห่าน หรือแม้กระทั่งลูกของหมาป่าหรือหมาจิ้งจอกขนาดเล็ก แต่จะไม่ล่าใกล้รังของนกชนิดอื่น แต่ขณะเดียวกันไข่นกหรือลูกนกก็ถูกรังควาญจากหมาป่าหรือหมาจิ้งจอกด้วยเช่นกัน.

ใหม่!!: สัตว์และนกเค้าแมวหิมะ · ดูเพิ่มเติม »

นกเค้าแมวหูสั้น

นกเค้าแมวหูสั้น (Short-eared owl) เป็นนกเค้าแมวชนิดหนึ่งในสกุล Asio กระจายพันธุ์เกือบทั่วโลกยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกาและประเทศออสเตรเลีย มักพบในพื้นที่เปิดโล่งในชนบทและทุ่งหญ้า ชื่อ flammeus มาจากภาษาละตินที่แปลว่า "เปลวไฟ หรือสีของไฟ".

ใหม่!!: สัตว์และนกเค้าแมวหูสั้น · ดูเพิ่มเติม »

นกเค้าแคระ

นกเค้าแคระ (Collared owlet, Collared pygmy owl) เป็นนกเค้าแมวขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ Strigidae สามารถพบได้ในอัฟกานิสถาน, บังกลาเทศ, ภูฏาน, บรูไน, กัมพูชา, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, ปากีสถาน, ไต้หวัน, ไทย และเวียดนาม ที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ คือ ป่าหนาว และจัดได้ว่าเป็นนกเค้าแมวที่มีขนาดเล็กที่สุดที่พบในทวีปเอเชีย ที่ขนาด 15 เซนติเมตร (6 นิ้ว) น้ำหนัก 60 กรัม (2.1 ออนซ์) โดยจะพบบ่อยที่สุดในบริเวณป่าดิบชื้น ตั้งแต่พื้นราบไปจนถึงระดับความสูง 3,050 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในประเทศไทยจะพบบ่อยขึ้นที่ระดับสูงเกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป บริเวณภาคใต้และคาบสมุทรมลายู จะพบได้บ่อยมากในระดับสูง 395 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป มีทั้งหมด 4 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) นกเค้าแคระจัดเป็นนกเค้าแมวที่บินได้ไม่เงียบเหมือนนกเค้าแมวหรือนกแสกส่วนมาก และยังเป็นนกที่หากินในเวลากลางวัน มีรูปร่างอ้วนกลม มีขนหนานุ่มปกคลุมอย่างหนาแน่น มีสีและลวดลายที่กลมกลืนไปกับต้นไม้ บริเวณคอก็มีขนอยู่อย่างหนาแน่นทำให้ดูเหมือนหัวอยู่ติดกับตัวโดยไม่มีคอ และมีหัวที่กลมโต หน้าแบน ตากลมโตสีเหลืองอยู่ด้านหน้าของใบหน้า ปากสั้นและปากบนโค้งงุ้มแหลมลง มีขนเส้นเล็ก ๆ คล้ายหนวดแมวอยู่รอบ ๆ โคนปากทำหน้าที่เป็นเครื่องนำทาง มีปีกกว้างแต่ปลายปีกมน ขนหางยาวกว่านกเค้าแม้วชนิดอื่น ๆ มีขาสั้นแต่เข็งแรงสีเหลืองนิ้วเท้าค่อนข้างใหญ่และแข็งแรง มีนิ้วตีน 4 นิ้วเวลาเกาะกิ่งจะอยู่ด้านหน้า 2 ด้านหลัง 2 นิ้ว เล็บสีดำ ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะเหมือนกัน จับอาหารจำพวกสัตว์ต่าง ๆ ขนาดเล็ก เช่น กิ้งก่า, หนู, สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก, จักจั่น, ด้วง และตั๊กแตน รวมถึงนกด้วยกันชนิดอื่นที่มีขนาดเล็ก เมื่อจะล่านก นกเค้าแคระมักจะซ่อนตัวตามพุ่มไม้ ไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกฝูงนกเล็ก ๆ เหล่านี้ไล่จิกตี แต่นกเค้าแคระก็สามารถจับเหยื่อที่มีขนาดตัวพอ ๆ กันหรือโตกว่าเล็กน้อยได้ด้วยกรงเล็บที่แข็งแรง หากจะหากินในเวลากลางคืน มักจะเป็นในคืนวันเพ็ญ ทำรังวางไข่ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม โดยใช้โพรงไม้ธรรมชาติ หรือรังของนกอื่นที่ทำรังในโพรงไม้เหมือนกัน โดยโพรงอาจเป็นรังเก่า หรืออาจมาจากการแย่งชิงมาก็ได้ ในบางครั้งอาจเป็นการฆ่ากินและปล้นชิงจากนกตัวอื่นเลยก็ได้ โพรงรังที่เลือกมักอยู่สูงจากพื้นราว 2-10 เมตร วางไข่ครั้งละ 3-5 ฟอง ลูกนกจะออกจากไข่ในช่วงต้นฤดูฝนที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์พอดีซึ่งจะเป็นผลดีต่อการรอดชีวิตของลูกนก เนื่องจากแม่นกจะกกไข่ตั้งแต่ออกไข่ฟองแรกทันที ในขณะเดียวกันก็จะออกไข่ใบอื่น ๆ ไปด้วย ดังนั้นในแต่ละรังลูกนกเค้าแคระจะมีอายุต่างกันพอสมควร ถ้าอาหารมีไม่พอเพียง ตัวที่ออกมาทีหลังตัวเล็กกว่าก็จะแย่งอาหารตัวอื่น ๆ ไม่ทันและตายไปในที่สุด จัดเป็นนกเค้าแมวอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง และมีสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และนกเค้าแคระ · ดูเพิ่มเติม »

นกเค้าใหญ่

นกเค้าใหญ่พันธุ์สุมาตรา (''B. sumatranus'') ซึ่งเป็นนกเค้าใหญ่ชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย นกเค้าใหญ่ หรือ นกเค้าหงอน หรือ นกเค้าอินทรีโลกเก่า (Horned owls, Old World eagle-owls) เป็นสกุลของนกล่าเหยื่อสกุลหนึ่ง ในวงศ์นกเค้าแมว (Strigidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Bubo (/บู-โบ/) นกเค้าใหญ่ เป็นนกเค้าหรือนกฮูกขนาดใหญ่ มีลักษณะเด่น คือ จะงอยปากเหลือง ขนคิ้วยาวแลดูคล้ายมีหูหรือหงอนยาว มีขนปกคลุมขา นกเค้าในสกุลนี้ บางชนิดสามารถโฉบจับปลาจากผิวน้ำกินเป็นอาหารได้ ในชนิดและโตที่ใหญ่ที่สุด อาจมีความสูงเกิน 2 ฟุต และกางปีกได้กว้างถึง 6 ฟุต และยังสามารถบินข้ามช่องแคบอังกฤษได้ด้วย พบกระจายพันธุ์อยู่ทุกทวีปทั่วโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งขั้วโลกเหนือ ในประเทศไทยพบประมาณ 3 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และนกเค้าใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกเค้าใหญ่พันธุ์สุมาตรา

นกเค้าใหญ่พันธุ์สุมาตรา (Barred-eagle owl, Malay eagle owl) นกล่าเหยื่อชนิดหนึ่ง จำพวกนกเค้าแมว หรือนกเค้า มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับนกทึดทือมลายู (Ketupa ketupu) ต่างกันที่ตรงที่มีขนคลุมขาท่อนล่าง จะงอยปากสีน้ำตาลอ่อน ตาสีน้ำตาล ขนหูใหญ่และยาวมากสีน้ำตาล อกสีน้ำตาล ท้องสีขาว ขนด้านบนมีลายขวางเล็ก ๆ สีเหลืองซีด ส่วนขนด้านล่างมีลายขวางเล็ก ๆ สีน้ำตาลปนพื้นขาว มีลายบั้งกระจายตรงขนปีก ในขณะที่ยังเป็นลูกนกหรือยังไม่โตเต็มที่ ขนตามลำตัวจะเป็นสีขาวหรือสีอ่อน พบกระจายพันธุ์ในป่าดิบในแหลมมลายู โดยพบได้จนถึงหมู่เกาะซุนดา ในบริเวณที่เป็นที่ราบขึ้นไปถึงระดับสูง 600 เมตร ในประเทศไทยพบได้เฉพาะในภาคใต้ตั้งแต่แนวเทือกเขาตะนาวศรีเท่านั้น ในวันที่ 3 กรกฎาคม..

ใหม่!!: สัตว์และนกเค้าใหญ่พันธุ์สุมาตรา · ดูเพิ่มเติม »

นกเค้าใหญ่แวโร

นกเค้าใหญ่แวโร หรือ นกเค้าใหญ่ยักษ์ (Verreaux's eagle-owl, Giant eagle owl) นกล่าเหยื่อชนิดหนึ่ง จำพวกนกเค้าแมว จัดอยู่ในวงศ์นกเค้าแมว (Strigidae) นกเค้าใหญ่แวโร ได้ชื่อมาจากนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส ฌูล แวโร จัดเป็นนกเค้าขนาดใหญ่ และเป็นนกเค้าแมวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับสองรองมาจากนกเค้าใหญ่ยูเรเชีย (B. bubo) มีลำตัวยาวประมาณ 66 เซนติเมตร น้ำหนักกว่า 3.11 กิโลกรัม เมื่อกางออกปีกออกแล้วยาวได้กว่า 140 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย, Arkive มีใบหน้าที่มีลักษณะกับใบหน้ามนุษย์มากที่สุด พบกระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา ตั้งแต่ซับสะฮารา พบได้ในทะเลทรายนามิบ ในประเทศนามิเบีย พบได้ในป่าฝน พบได้ในเขตอนุรักษ์แห่งชาติแซมบูรู ในประเทศเคนยา และพบได้ในที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,000 เมตร (9,800 ฟุต) เป็นนกที่หากินในเวลากลางคืน โดยล่าเหยื่อเช่น นกและหนูขนาดเล็ก, กิ้งก่า, กบ, แมลงปีกแข็ง และแมลงชนิดต่าง ๆ มีเสียงร้อง กว๊อก, กว๊อก, กว๊อก-กว๊อกกกกกกกก กว๊อกกกกกกกก กว๊อน ในขณะที่ตัวเมียก็ส่งเสียงร้องคล้ายกันแต่มีเสียงที่แหลมสูงกว.

ใหม่!!: สัตว์และนกเค้าใหญ่แวโร · ดูเพิ่มเติม »

นกเค้าโมง

นกเค้าโมง หรือ นกเค้าแมว (Asian barred owlet) เป็นนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกนกเค้าแมว มีลายสีน้ำตาลทั่วทั้งตัว ด้านใต้ของลำตัวเป็นสีขาวและมีลายสีขาวในแนวตั้งลากยาวขึ้นมาที่บริเวณอกอย่างไม่เป็นระเบียบ มีม่านตาสีเหลือง ในวัยเล็กจะมีลวดลายบนหัวเป็นจุดคล้ายกับนกเค้าแคระ (G. brodiei) ซึ่งเป็นนกในสกุลเดียวกันและเป็นนกจำพวกนกเค้าแมวที่เล็กที่สุดที่พบได้ในประเทศไทย นกเค้าโมง มีการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในภูมิภาคเอเชียใต้จนถึงเอเชียอาคเนย์และเอเชียตะวันออก มีชนิดย่อยทั้งสิ้น 8 ชนิด (ดูในตาราง) สามารถปรับตัวให้อยู่ได้ในทุกสภาพแวดล้อม ทั้งป่าทึบที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 1,980 เมตร จนถึงสวนสาธารณะในเมืองใหญ่ บางครั้งอาจจะพบได้ในเวลากลางวันได้อีกด้วย จึงนับเป็นนกจำพวกนกเค้าแมวอีกชนิดหนึ่งที่พบเห็นตัวได้บ่อยรองมาจากนกแสก (Tyto alba) สำหรับในประเทศไทย พบได้ทุกภาคยกเว้นภาคใต้ตอนล่างและภาคกลางตอนล่าง มีพฤติกรรมร้องได้หลายเสียง หลายทำนอง ในเวลากลางคืนจะร้องเป็นครั้งคราวคล้ายกับจะบอกโมงยาม จึงได้ชื่อว่า "นกเค้าโมง" เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพุทธศักราช 2535 แต่จากความที่เป็นนกขนาดเล็ก จึงทำให้นกเค้าโมงเป็นนกเค้าแมวอีกชนิดหนึ่งที่มีผู้นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเช่นเดียวกับนกเค้าแคร.

ใหม่!!: สัตว์และนกเค้าโมง · ดูเพิ่มเติม »

นกเค้าเหยี่ยว

นกเค้าเหยี่ยว (Brown Hawk-owl) เป็นนกเค้าแมวชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ มีลักษณะคล้ายกับนกเหยี่ยวหรืออินทรี มีลำตัวขนาดใหญ่ ปีกกว้างและกลมมน ตากลมโตสีเหลืองทอง ระหว่างตามีแถบคาดสีเหลือง หัวและลำตัวด้านบนมีสีน้ำตาลเข้ม ลำตัวด้านล่างสีกีกาหรือสีขาว มีลายจุดสีน้ำตาลหรือน้ำตาลเหลือง มีขนาดใหญ่เต็มที่สูงได้ถึง 30 เซนติเมตร กระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคตะวันออกกลางจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ หมู่เกาะอันดามันในทะเลอันดามัน จนถึงภาคใต้ของจีนและหมู่เกาะต่าง ๆ ของอินโดนีเซีย ในประเทศไทยพบได้ในภาคเหนือ, ภาคตะวันตก, ภาคใต้, บางส่วนของภาคตะวันออก และจัดเป็นนกอพยพในภาคใต้ โดยพบในป่าโปร่ง, ป่าชายเลน จนถึงป่าที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,200 เมตร มีทั้งหมด 12 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าในประเทศไทย พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และนกเค้าเหยี่ยว · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือก

นกเงือก (Hornbills) เป็นนกขนาดใหญ่ ที่อยู่ในวงศ์ Bucerotidae ในอันดับนกตะขาบ (Coraciiformes) (บางข้อมูลซึ่งเป็นข้อมูลเก่าจะจัดให้อยู่ในอันดับ Bucerotiformes ซึ่งเป็นอันดับเฉพาะของนกเงือกเอง แต่ปัจจุบันนับเป็นชื่อพ้อง โดยนับรวมนกเงือกดินเข้าไปด้วย) เป็นนกที่เชื่อว่าถือกำเนิดมานานกว่า 45 ล้านปีมาแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือก · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกกรามช้าง

นกเงือกกรามช้าง หรือ นกกู๋กี้ (Wreathed hornbill, Bar-pouched wreathed hornbill) เป็นนกในวงศ์นกเงือกพบในป่าจากทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียและประเทศภูฏาน, ทางตะวันออกและใต้จนถึงกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะซุนดา ยกเว้น เกาะซูลาเวซี นกเงือกกรามช้างยาว 75–100 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกกรามช้าง · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกกรามช้างปากเรียบ

นกเงือกกรามช้างปากเรียบ (plain-pouched hornbill) นกเงือกชนิดหนึ่ง ซึ่งพบได้ในประเทศไทย มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับนกเงือกกรามช้าง หรือนกกู๋กี๋ (R. undulatus) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ว่านกเงือกกรามช้างปากเรียบนั้น ที่ถุงใต้คอตัวเต็มวัยจะไม่มีขีดสีดำและจะงอยปากไม่มีรอยหยัก และมีขนาดลำตัวเฉลี่ยเล็กกว่า เป็นนกที่พบได้ในประเทศไทยบ่อยกว่านกเงือกกรามช้าง โดยสถานที่ ๆ พบได้เป็นจำนวนมาก คือ ป่าบาลา-ฮาลา ในจังหวัดยะลา ในต่างประเทศพบได้ตั้งแต่แนวเทือกเขาตะนาวศรีของพม่า ไปจนถึงคาบสมุทรมลายู.

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกกรามช้างปากเรียบ · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกสีน้ำตาล

นกเงือกสีน้ำตาล (Tickell's brown hornbill, Rusty-cheeked hornbill;; ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ แซมมวล ทิคเคล นักปักษีวิทยาชาวอังกฤษ) เป็นนกเงือกชนิดหนึ่ง ที่พบได้ในประเทศอินเดีย, พม่า และภาคตะวันตกของไทย โดยในบางครั้งจะถูกจัดเป็นชนิดย่อยของนกเงือกสีน้ำตาลคอขาว (A. austeni) มีโหนกเล็ก จะงอยปากสีเหลือง มีหนังรอบตาสีฟ้า ลำตัวด้านบนสีน้ำตาล ด้นล่างแกมส้ม ปลายปีกขาว ปลายขนหาง ยกเว้นคู่บนสุดสีขาว ตัวผู้มีคอสีน้ำตาลแกมส้ม ตัวเมียมีปากเทาดำ มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 60–65 เซนติเมตร จัดเป็นนกเงือกขนาดกลาง มีเสียงร้อง แอ๊-แอ๊ว หรือ แว้ว-แว้ว แหลมดังไม่เป็นจังหวะ ในประเทศไทยมีถิ่นอาศัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง เป็นป่าจำพวกป่าดิบ, ป่าโปร่ง และป่าเชิงเขาถึงความสูง 1,500 เมตร พบได้ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี และผืนป่าด้านตะวันตกเขตจังหวัดตาก (เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันออก).

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกสีน้ำตาลคอขาว

นกเงือกสีน้ำตาลคอขาว (Austen's brown hornbill, Brown hornbill) เป็นนกเงือกที่พบในทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียและภาคใต้ของจีนลงไปทางใต้จนถึงตอนใต้ของเวียดนามและภาคเหนือของไทย บ่อยครั้งที่ถูกจัดเป็นชนิดย่อยของนกเงือกสีน้ำตาล เป็นนกที่อาศัยอยู่ในป่าลึกที่มีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 700 เมตร ไม่ได้อยู่ใกล้ชายป่า นกเงือกสีน้ำตาลคอขาวจัดเป็นนกเงือกขนาดกลาง สีน้ำตาล มีสีขาวที่ปลายหาง ตัวผู้มีแก้มและลำคอสีขาว ปากสีครีมอ่อน ส่วนล่างสีน้ำตาลแดง ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ หัวและลำคอสีน้ำตาลหรือดำ ปากสีน้ำตาลหรือดำ กินผลไม้และสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร อาศัยอยู่กันเป็นฝูง ฝูงละ 2-15 ตัว Database entry includes justification for why this species is near threatened นกเงือกสีน้ำตาลคอขาว ถือเป็นนกเงือกที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก จึงสามารถมีลูกในโพรงรังครั้งหนึ่งได้หลายตัว นอกจากนี้แล้วลูกนกที่เกิดจากพ่อแม่นกในปีก่อน ๆ จะมีพฤติกรรมกลับมาช่วยพ่อแม่นกเลี้ยงลูกอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกสีน้ำตาลคอขาว · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกหัวหงอก

นกเงือกหัวหงอก (White-crowned hornbill) เป็นนกเงือกชนิดหนึ่ง และเป็นชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Berenicornis.

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกหัวหงอก · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกหัวแรด

นกเงือกหัวแรด (Rhinoceros hornbill) เป็นนกเงือกชนิดหนึ่งที่มีขนาดค่อนข้างใหญ.

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกหัวแรด · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกดำ

นกเงือกดำ (Black hornbill) เป็นนกเงือกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง พบในประเทศบรูไน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ไทย, อินเดี.

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกดิน

นกเงือกดิน หรือ นกเงือกพื้นดิน (Ground hornbills) เป็นนกเงือกที่อยู่ในวงศ์ย่อย Bucorvinae (หรือ Bucorvidae) และอยู่ในสกุล Bucorvus เป็นนกเงือกอีกจำพวกหนึ่งที่พบในทวีปแอฟริกา โดยพบได้ตั้งแต่ตอนใต้ของสะฮาราลงมา ตั้งแต่ภาคตะวันออกของเซเนกัล ถึงเอธิโอเปีย และตอนใต้และตอนตะวันออกของทวีปแอฟริกา นกเงือกดิน เป็นนกเงือกที่มีขนาดใหญ่ ตัวขนาดเท่าไก่งวง เป็นนกเงือกที่มีนิ้วตีนสั้นทู่จึงไม่เหมาะแก่การใช้ชีวิตหรือหากินบนต้นไม้ จึงลงมาหากินและใช้ชีวิตบนพื้นดินเป็นหลัก มีจะงอยปากใหญ่ ขาค่อนข้างยาวกว่านกเงือกจำพวกอื่น รวมถึงมีอายุขัยโดยเฉลี่ยสูงกว่านกชนิดอื่นด้วย เป็นนกเงือกที่มีสีลำตัวสีดำหรือเข้ม มีถุงใต้คอสีแดงเป็นจุดเด่น เป็นนกเงือกที่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก เช่น แมลง, สัตว์เลื้อยคลาน, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ แม้กระทั่งนกด้วยกันขนาดเล็ก รวมถึงกระต่าย หรือเต่าบกขนาดเล็ก ก็สามารถจับกินเป็นอาหารได้ด้วย โดยกินพืชเช่น เมล็ดพืชต่าง ๆ บ้างเป็นครั้งคราว.

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกดิน · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกดินใต้

นกเงือกดินใต้ หรือ นกเงือกดินพันธุ์ใต้สามเหลี่ยมโอคาแวนโก ตอนที่ 4, "สุดหล้าฟ้าเขียว".

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกดินใต้ · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกคอแดง

นกเงือกคอแดง (Rufous-necked hornbill, Rufous-cheeked hornbill) นกเงือกชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ในประเทศไทย มีขนาดลำตัวยาว 116 เซนติเมตร ทั้งสองเพศมีลักษณะแตกต่างกัน ตัวผู้มีส่วนหัว คอและหน้าอกส่วนบนสีสนิมเหล็ก หน้าอกส่วนล่างสีน้ำตาลแดง อันเป็นที่มาของชื่อเรียก หลังส่วนล่างและปีกสีดำเหลือบเขียว ขนปีกบินตอนปลายสีขาว หางยาวสีดำขาว ม่านตาสีแดง แผ่นหนังรอบตาสีฟ้าอมเขียวสดใส ถุงใต้คอสีแดงอมส้ม จะงอยปากสีขาวออกเหลืองเรื่อ ๆ ด้านข้างมีสันนูนขึ้นเป็นแนวเฉียงจำนวน 8 อัน ส่วนนกตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า ขนบนลำตัวสีดำโดยตลอด นกเงือกคอแดง ได้ชื่อว่าเป็นนกเงือกชนิดที่มีความสวยงามที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมีสีที่แตกต่างไปจากนกเงือกชนิดอื่นที่มีสีแค่สองสี คือ สีขาวกับสีดำ นกตัวผู้ขณะป้อนอาหารให้ลูกนกและนกตัวเมียในโพรง นกเงือกคอแดง เป็นนกที่จะพบกระจายพันธุ์เฉพาะป่าดิบเขาที่ระดับความสูง 800-2,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล พบตั้งแต่เนปาล, จีนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้, พม่า, ภาคเหนือของลาวและเวียดนามตอนเหนือ ในประเทศไทยพบได้ในเขตผืนป่าตะวันตก เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง, อุทยานแห่งชาติทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง และอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีพฤติกรรมหากินผลไม้บนระดับเรือนยอดของป่า บางครั้งพบกระโดดเก็บผลไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นดิน เสียงร้องคล้ายเสียงเห่าของสุนัข ในประเทศไทยพบทำรังวางไข่ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤษภาคม นกเงือกทำรังบนโพรงไม้สูงราว 10-30 เมตร จากพื้นดิน นกตัวเมียจะปิดโพรงจากภายในโดยใช้มูล เศษผลไม้และอาหารที่นกสำรอกออกมาผสมกันดินโคลนที่นกตัวผู้นำมา วางไข่สีขาวครั้งละ 2 ฟอง ระยะฟักไข่ประมาณ 30 วัน นอกฤดูผสมพันธุ์นกเงือกคอแดงจะอยู่กันเป็นคู่ ๆ หรือเป็นฝูงเล็ก ๆ 4-5 ตัว นกเงือกคอแดง จัดเป็นนกเงือกอีกชนิดหนึ่งที่ตกอยู่ในสภาวะถูกคุกคามใกล้สูญพันธุ์ เพราะต้องการป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมากในการอยู่อาศัยและแพร่ขยายพันธุ์ ในประเทศไทย จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองเช่นเดียวกับนกเงือกชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกคอแดง · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกปากย่น

นกเงือกปากย่น (Wrinkled hornbill, Sunda wrinkled hornbill) นกจำพวกนกเงือกชนิดหนึ่งที่พบได้ในประเทศไทย มีขนาดลำตัวยาว 81 เซนติเมตร ตัวมีขนาดไล่เลี่ยกับนกแก๊ก แต่มีขนาดเล็กกว่า นกตัวผู้ลำตัวสีดำโดยตลอด เว้นบริเวณหัวและคอมีสีขาว ขนหางตอนปลายสองในสามส่วนสีขาว ขนบนกระหม่อมและหงอนสีดำ ถุงใต้คอสีขาว จะงอยปากสีเหลือง ตอนโคนสีแดงเรื่อ ๆ สันบนจะงอยปากด้านบนสีแดง นกตัวเมียสีขนสีดำตลอดตัว ถุงใต้คอสีน้ำเงินอมเขียวหรือสีน้ำเงิน หนังรอบตาสีน้ำเงิน ขณะบิน พบกระจายพันธุ์ในประเทศไทย เฉพาะป่าดิบชื้นตอนล่างสุดของประเทศ เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบาลาฮาลา, ตลอดจนแหลมมลายู ไปจนถึงอินโดนีเซีย โดยจะอาศัยอยู่เฉพาะในป่าที่ราบต่ำติดกับชายฝั่งทะเล ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่พบนกเงือกชนิดนี้เป็นตอนบนสุด มีพฤติกรรมหากินเหนือเรือนยอดไม้ มักพบอยู่โดดเดี่ยวหรือเป็นฝูงเล็ก ๆ เคยมีการพบอยู่เป็นฝูงจำนวนมากถึง 20 ตัว วงจรชีวิตของนกเงือกปากย่นเป็นที่รู้จักกันน้อยมาก มักใช้ต้นตะเคียน หรือต้นชมพู่ดง เป็นสถานที่ทำรัง ระยะเวลาการทำรังอยู่ที่เดือนมิถุนายน-ตุลาคม มีเสียงร้องแตกต่างกันเป็น 3 แบบ คือ เสียงร้องตามปกติ, เสียงร้องในขณะบิน และเสียงร้องเวลาตกใจ เป็นนกเงือกที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่งในประเทศไทย และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองเช่นเดียวกับเงือกชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกปากย่น · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกปากดำ

นกเงือกปากดำ หรือ กาเขา birdsofthailand (Bushy-crested hornbill) เป็นนกเงือกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง พบในประเทศบรูไน, ประเทศอินโดนีเซีย,ประเทศมาเลเซีย, ประเทศพม่า, และประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกปากดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกปากเหลืองถิ่นใต้

นกเงือกปากเหลืองถิ่นใต้ (Southern yellow-billed hornbill) เป็นนกจำพวกนกเงือก (Bucerotidae) ชนิดหนึ่ง นกเงือกปากเหลืองถิ่นใต้ เป็นนกเงือกที่พบแพร่กระจายพันธุ์เฉพาะที่ทวีปแอฟริกาตอนใต้ ถือเป็นนกเงือกปากเหลืองแอฟริกาชนิดหนึ่ง นอกจากนกเงือกปากเหลืองถิ่นเหนือ (T. flavirostris) ซึ่งเป็นนกเงือกปากเหลืองอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ในทวีปแอฟริกา ขณะหากินบนพื้นที่ทะเลทรายคาลาฮารี นกเงือกปากเหลืองถิ่นใต้ มีจุดเด่น คือ ลักษณะจะงอยปากที่มีสีเหลือง มีพฤติกรรมความเป็นอยู่แตกต่างจากนกเงือกที่อาศัยอยู่ในทวีปเอเชียอย่างสิ้นเชิง โดยจะอาศัยอยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง เช่น ป่าละเมาะ หรือทุ่งหญ้า หรือทะเลทราย ผิดกับนกเงือกที่อาศัยอยู่ในทวีปเอเชียที่จะอาศัยอยู่เฉพาะในป่าดิบชื้นเท่านั้น กินแมลงเป็นอาหารหลัก ซึ่งในพื้นที่ ๆ เปิดโล่งนั้นสามารถหาอาหารได้ง่ายและมากกว่า แต่ก็ทำรังและหลับนอนบนต้นไม้.

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกปากเหลืองถิ่นใต้ · ดูเพิ่มเติม »

นกเงือกโหนกเล็ก

นกเงือกโหนกเล็ก เป็นสกุลของนกเงือก ที่ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhyticeros จัดเป็นนกเงือกขนาดใหญ่ กระจายพันธุ์ในป่าของภูมิภาคเอเชียอาคเนย์จนถึงหมู่เกาะโซโลมอน บางครั้งอาจรวมอยู่ในสกุล Aceros และบางครั้งสกุล Aceros เอง ก็ถูกจัดให้รวมอยู่ในสกุลนี้ สกุล Aceros จึงเหลือเพียงแค่นกเงือกคอแดงซึ่งเชื่อว่ามีบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อกว่า 29 ล้านปีก่อน นกเงือกคอแดงจึงเหลือเป็นสกุลเดียวเท่านั้น ทุกชนิดในสกุลนี้ มีลักษณะเด่น คือ โหนกบนกรามบนและส่วนหัวมีขนาดเล็ก และส่วนใหญ่มีกรามและโหนกสีขาวคล้ำ ทั้งสองเพศมีขนสีดำ แต่ส่วนหัวและลำคอของตัวผู้มีสีขาวหรือสีแดง หางเป็นสีขาวยกเว้นในนกเงือกซุมบา ซึ่งเป็นสีดำ หนังบริเวณลำคอย่นสีฟ้าเห็นได้ชัดเจน ยกเว้นตัวผู้ที่มีถุงใต้คอสีเหลือง.

ใหม่!!: สัตว์และนกเงือกโหนกเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

นกเปล้า

นกเปล้า หรือ นกเขาเปล้า หรือ นกเป้า (Green pigeons) เป็นสกุลของนกสกุลหนึ่ง ในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Treron มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับนกในสกุล Columba หรือนกพิราบ แต่มีขนาดลำตัวใหญ่กว่า แต่มีสีลำตัวสีเขียวเห็นได้ชัด แต่ละชนิดแตกต่างกันตรงสีที่หน้าอกและไหล่ซึ่งอาจเป็นสีม่วงหรือน้ำตาล อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ กินเมล็ดพืชและธัญพืชเป็นอาหาร โดยปกติจะไม่อาศัยอยู่ในเมืองเหมือนนกพิราบ แต่จะอาศัยอยู่ในป่าหรือชายทะเล พบกระจายพันธุ์ระหว่างทวีปเอเชีย และแอฟริกา มีความแตกต่างระหว่างเพศสูงโดยจำแนกจากสีขน พบทั้งหมด 23 ชนิด พบในประเทศไทย 12 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และนกเปล้า · ดูเพิ่มเติม »

นกเปล้าใหญ่

นกเปล้าใหญ่ หรือ นกพิราบเขียวใหญ่ (Large green pigeon) เป็นนกชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbidae) มีรูปร่างลักษณะคล้ายนกในวงศ์นี้ส่วนใหญ่ จัดเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ ปากหนาใหญ่สีขาวแกมเขียว หน้าสีเทา หนังรอบตาสีเหลือง ขนลำตัวเขียวแกมเทา มีแถบสีเหลืองที่ปีก ขนปีกสีดำ แข้งและตีนสีเหลือง นกเพศผู้ที่อกมีแถบสีส้มแกมน้ำตาลอ่อน ก้นและขนคลุมใต้โคนหางสีน้ำตาลเข้ม ในขณะที่นกเพศเมีย ที่อกมีแถบเหลือง ก้นและขนคลุมใต้โคนหางสีน้ำตาลอ่อน มีน้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 400 กรัม จัดเป็นนกที่กระจายพันธุ์ในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ปัจจุบันเป็นนกที่อยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤต เนื่องจากสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ในประเทศไทยจะพบได้ในป่าดิบและป่าพรุ อาทิ ป่าพรุโต๊ะแดง และจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และนกเปล้าใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกเป็ดผี

นกเป็ดผี (grebe) เป็นนกน้ำในอันดับ Podicipediformes ที่มีการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวาง ปกติพบตามแหล่งน้ำจืด บางครั้งในฤดูอพยพและฤดูหนาวอาจพบในทะเล ในอันดับนี้มีเพียงวงศ์เดียวคือ Podicipedidae ซึ่งประกอบไปด้วย 22 สปีชีส์ใน 6 สกุลที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน นกเป็ดผี มีลักษณะคล้ายเป็ด แต่มิใช่เป็ด หากแต่มีกลับความใกล้ชิดกับนกฟลามิงโก (Phoenicopteridae) เสียมากกว่า ทั้งที่มิได้มีสรีระรูปร่างใกล้เคียงกันเลย เหตุที่ได้ชื่อว่า "นกเป็ดผี" มาจากพฤติกรรมที่มักผลุบหายลงไปใต้น้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปโผล่อีกจุดหนึ่งซึ่งมักอยู่ห่างออกไปราวกับผีหลอก นกเป็ดผีเป็นนกที่วิวัฒนาการมาเพื่อการว่ายน้ำและดำน้ำโดยเฉพาะ มีความเชี่ยวชาญในการจับปลามาก ตลอดทั้งชีวิตแทบไม่เคยขึ้นจากน้ำเลย ยกเว้นยามเมื่อต้องบินและวางไข่เท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และนกเป็ดผี · ดูเพิ่มเติม »

นกเป็ดผีคอดำ

นกเป็ดผีคอดำ (Black-necked Grebe, Eared Grebe) เป็นนกน้ำในวงศ์นกเป็ดผี พบในทุทวีปยกเว้นทวีปออสเตรเลียและแอนตาร์กติก.

ใหม่!!: สัตว์และนกเป็ดผีคอดำ · ดูเพิ่มเติม »

นกเป็ดผีใหญ่

นกเป็ดผีใหญ่ (Great Crested Grebe) เป็นนกน้ำในวงศ์นกเป็ดผี.

ใหม่!!: สัตว์และนกเป็ดผีใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นกเป็ดผีเล็ก

นกเป็ดผีเล็ก (Little Grebe หรือ Dabchick) เป็นนกน้ำในวงศ์นกเป็ดผี มีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้าง.

ใหม่!!: สัตว์และนกเป็ดผีเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

นกเป็ดน้ำหางวงแหวน

นกเป็ดน้ำหางวงแหวน (Ringed teal) เป็นสัตว์ปีกจำพวกเป็ดชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์นกเป็ดน้ำ (Anatidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Callonetta มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับเป็ด แต่มีขนาดลำตัวเล็กกว่ามาก มีลักษณะเด่น คือ ลำตัวค่อนข้างป้อมสั้น มีจะงอยปากสีเทาดำ เท้าสีเทาดำเป็นพังผืดเพื่อช่วยในการว่ายน้ำ ขนตามตัวจะมีสีน้ำตาลแกมน้ำตาลแดงส่วนปลายหางจะมีสีน้ำตาลแดงและล้อมรอบด้วยสีเทาดำอย่างเห็นได้ชัด ส่วนขนที่ปลายปีกจะออกสีน้ำตาลปนสีเทาดำชัดเจน มีปีกที่ค่อนข้างยาวและมีความสามารถพิเศษที่สามารถกระพือปีกได้เร็วกว่านกอื่นทั่วไป จึงบินได้สูงและเร็ว และสามารถบินต่อเนื่องได้เป็นเวลานานหลายชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก มีการกระจายพันธุ์อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ โดยอาศัยรวมกันเป็นฝูงอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงตั้งแต่ 2 ตัว จนถึงหลายร้อยตัว เมื่อตกใจหรือบินจะบินตามติดกันเป็นฝูง ๆ ออกหากินในเวลากลางวันในละแวกใกล้เคียงที่อยู่อาศัยและกลับมานอนที่เดิมในตอนพลบค่ำ นกเป็ดน้ำหางวงแหวน ได้ชื่อว่าเป็นนกที่จับคู่ครองเพียงคู่เดียวตลอดชีวิต จึงมักใช้เป็นสัญลักษณ์ของความรักอยู่เสมอ ๆ โดยนกเป็ดน้ำหางวงแหวน ไม่ใช่นกประจำถิ่นของประเทศไทย แต่อาจพบได้ในบางฤดูกาลด้วยว่าเป็นนกอพยพ แต่ก็พบได้ในปริมาณที่น้อยมาก ตามพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ต่าง ๆ เช่น บึงบอระเพ็ด เป็นต้น ซึ่งมักมีผู้มายิงนำไปรับประทานอยู่บ่อย ๆ โดยที่ไม่ได้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมายไทยแต่ประการใ.

ใหม่!!: สัตว์และนกเป็ดน้ำหางวงแหวน · ดูเพิ่มเติม »

นอร์แมน เบตส์

นอร์แมนยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมในตอนท้ายของภาพยนตร์ นอร์แมน เบตส์ (Norman Bates) เป็นชื่อตัวละครเอกในนวนิยายและภาพยนตร์ขาวดำสัญชาติอเมริกันเรื่อง Psycho.

ใหม่!!: สัตว์และนอร์แมน เบตส์ · ดูเพิ่มเติม »

นอติลอยด์

นอติลอยด์ คือกลุ่มของหอยทะเล (ไฟลั่มมอลลัสก้า) ในชั้นย่อย นอติลอยดี ที่มีเปลือกห่อหุ้มภายนอกที่รู้จักกันดีคือหอยงวงช้างในปัจจุบัน (Nautilus spp.) พบปรากฏโดดเด่นในช่วงต้นของมหายุคพาลีโอโซอิกในฐานะสัตว์นักล่าโดยได้พัฒนาเปลือกกระดองทั้งรูปแบบและรูปร่างที่หลากหลาย พบเป็นซากดึกดำบรรพ์ประมาณ 2,500 ชนิด แต่อยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันเพียง 6 ชนิดเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และนอติลอยด์ · ดูเพิ่มเติม »

นักล่า-เก็บของป่า

นักล่า-รวบรวมพืชผล (hunter-gatherer) หมายถึงมนุษย์ในสังคมที่ได้อาหารส่วนมากหรือทั้งหมด จากการเก็บพืชในป่าหรือล่าสัตว์ป่า เปรียบเทียบกับสังคมเกษตร ที่โดยหลักพึ่งพืชสัตว์พันธุ์ที่ปรับนำมาเลี้ยงเพื่อเป็นอาหาร การหากินวิธีนี้เป็นการปรับตัวแบบแรกและที่ยืนยงที่สุดของคน โดยเป็นวิธีหากินใน 90 เปอร์เซนต์ของประวัติศาสตร์มนุษย์ แต่ว่าหลังจากการเกิดขึ้นของสังคมเกษตรกรรมโดยมากในโลก สังคมเกษตรและสังคมเลี้ยงสัตว์ก็ได้แทนที่หรือพิชิตสังคมนักล่า-รวบรวมพืชผล โดยมีกลุ่มที่จัดเป็นนักล่า-รวบรวมพืชผลเหลือเพียงไม่กี่สังคมในปัจจุบัน และหลายกลุ่มจริง ๆ ก็มีการปลูกพืชสวนและเลี้ยงสัตว์ควบคู่ไปด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และนักล่า-เก็บของป่า · ดูเพิ่มเติม »

นาก

นาก (ไทยถิ่นเหนือ: บ้วน) เป็นสัตว์อยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับสัตว์กินเนื้อ ในวงศ์ใหญ่ Mustelidae อันเป็นวงศ์เดียวกับวีเซลหรือเพียงพอน แต่นากจัดอยู่ในวงศ์ย่อย Lutrinae มีทั้งหมด 6 สกุล (ดูในตาราง) เป็นสัตว์บกที่สามารถว่ายน้ำและหากินในน้ำได้อย่างคล่องแคล่วมาก มีรูปร่างโดยรวมหัวสั้นและกว้างแบน หูมีขนาดเล็กซ่อนอยู่ใต้ขน นิ้วตีนทั้ง 4 ข้างมีพังผืดคล้ายตีนเป็ด ขนลำตัวสีน้ำตาลอมเทา มี 2 ชั้น ชั้นในละเอียด ชั้นนอกหยาบ ขาหลังใหญ่และแข็งแรงกว่า ขาหน้า ใช้ว่ายน้ำร่วมกับหาง มีฟันแหลมและแข็งแรง มีหนวดยาวใช้เป็นอวัยวะจับการเคลื่อนไหวของสิ่งที่อยู่ใต้น้ำและใช้เป็นประสาทสัมผัสเมื่อเวลาอยู่ในน้ำ ไล่จับปลาและสัตว์น้ำเล็ก ๆ เป็นอาหาร ในบางชนิดอาจกินสัตว์จำพวกอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ด้วย ออกหากินทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ขุดรูอยู่ริมตลิ่งใช้เป็นรังสำหรับอาศัยและเลี้ยงดูลูกอ่อน นากจึงเป็นสัตว์ที่มีที่อยู่ในธรรมชาติใกล้กับแหล่งน้ำหรือพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ หลากหลายประเภท เช่น บึง, ทะเลสาบ, ลำธาร, ป่าชายเลน แม้แต่พื้นที่เกษตรกรรมของมนุษย์ เช่น ท้องร่องในสวนผลไม้, นาข้าว หรือนากุ้ง เป็นต้น พบได้ทั่วโลก โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ นากยักษ์ (Pteronura brasiliensis) พบในลุ่มแม่น้ำอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ บางชนิดพบในทะเล คือ นากทะเล (Enhydra lutris) ที่สามารถนอนหงายท้องบนผิวน้ำทะเลและเอาหินทุบเปลือกหอยกินเป็นอาหารได้ด้วย นากมีความสำคัญต่อมนุษย์ คือ ในอดีตมีการล่าเพื่อเอาหนังและขนทำเป็นเสื้อขนสัตว์ โดยเฉพาะในทวีปยุโรปมีการล่าอย่างหนัก ทำให้นากหลายชนิดเกือบสูญพันธุ์ ซึ่งเสื้อขนสัตว์ 1 ตัว ต้องใช้ขนของนากมากถึง 40 ตัว จนทำให้ใกล้สูญพันธุ์ กระทั่งในปี ค.ศ. 1975 ทางกองทุนสัตว์ป่าโลก ได้เรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ยกเลิกการค้าหนังนาก ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้นากได้รับความคุ้มครอง แต่กระนั้นในบางพื้นที่ก็ยังคงมีการลักลอบกันอยู.

ใหม่!!: สัตว์และนาก · ดูเพิ่มเติม »

นากญี่ปุ่น

นากญี่ปุ่น (Japanese otter; ニホンカワウソ、, 日本川獺) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกสัตว์กินเนื้อ จัดเป็นนากชนิดหนึ่ง ในอดีตมีนากญี่ปุ่นกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น แต่ในปัจจุบันแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารถูกทำลายลงไป จึงทำให้มีสถานะใกล้สูญพันธุ์ นากญี่ปุ่น ในบางข้อมูลจะจัดให้เป็นชนิดเดียวกันกับนากใหญ่ธรรมดา (L. lutra) โดยจัดให้เป็นนากใหญ่ธรรมดาที่พบได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก.

ใหม่!!: สัตว์และนากญี่ปุ่น · ดูเพิ่มเติม »

นากยักษ์

นากยักษ์ (Giant otter;; ชื่อพื้นเมือง: lobo de río แปลว่า "หมาป่าแม่น้ำ") เป็นนากชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Pteronura แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง).

ใหม่!!: สัตว์และนากยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

นากหญ้า

นากหญ้า (Coipú, Nutria) เป็นสัตว์ฟันแทะชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Myocastor coypus อยู่ในวงศ์ Myocastoridae จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Myocastor และวงศ์นี้ ด้วยความที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายนาก ซึ่งอยู่ในวงศ์ Lutrinae ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ จึงได้ชื่อสามัญว่า "Nutria" ซึ่งในภาษาสเปนหมายถึง "นาก" และกลายมาเป็นชื่อสามัญในภาษาไทยด้วย นากหญ้ามีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ ทางตอนใต้ของบราซิล ปารากวัย อุรุกวัย เวเนซุเอลา โบลิเวีย อาร์เจนตินา ชิลี มีทั้งหมด 4 ชนิดย่อย จัดเป็นสัตว์ฟันแทะที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งเหมือนบีเวอร์หรือคาปิบารา เมื่อโตเต็มที่มีความยาวได้ 37-70 เซนติเมตร หางยาว 24-45 เซนติเมตร น้ำหนักตั้งแต่ 3.5-10 กิโลกรัม บางตัวอาจหนักได้ถึง 17 กิโลกรัม ตัวผู้มีน้ำหนักมากกว่าตัวเมีย 3-5 เท่า มีหัวกลม ปากสั้น คอสั้น ใบหูกลมและเล็ก หนวดเป็นเส้นหนา เท้าหลังมีนิ้วทั้งหมด 4 นิ้ว พังผืดยึดระหว่างนิ้วเพื่อช่วยในการว่ายน้ำ ยกเว้นนิ้วสุดท้าย ขณะที่เท้าหน้ามี 5 นิ้ว มีหางยาว ขนชั้นนอกยาวและหยาบ ขณะที่ขนชั้นในอ่อนนุ่ม ขนมีน้ำมันบาง ๆ เคลือบอยู่เป็นมันและไม่อุ้มน้ำขณะว่ายน้ำ ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนกับขนของนาก ซึ่งสีขนอาจแปรเปลี่ยนไปได้ตามฤดูกาล ตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงดำแกมแดง ในขณะที่บางตัวอาจมีแต้มสีขาวบริเวณปาก มีพฤติกรรมความเป็นอยู่คล้ายกับนาก คือ จะอาศัยอยู่รวมเป็นฝูงในพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยขุดโพรงริมตลิ่งหรือสร้างรังบนกอพืชน้ำอยู่ แต่กินอาหารจำพวกหญ้าและพืชน้ำและหอยทั้งหอยฝาเดียวและหอยฝาคู่ในบางครั้งด้วย ว่ายน้ำและดำน้ำเก่ง โดยสามารถดำน้ำได้นานถึง 7 นาที เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 4 เดือน ขณะที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 2-3 กิโลกรัม ตัวเมียมีวงรอบผสมพันธุ์ทุก ๆ 23-26 วัน ตลอดทั้งปี ออกลูกครั้งละ 2-7 ตัว โดยพบมากสุดถึง 13 ตัว ตั้งท้องนาน 123-150 วัน ลูกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวประมาณ 225 กรัม โดยมีขนปกคลุมทั้งลำตัวและดวงตาปิด จะอาศัยอยู่กับแม่ไป 6-10 ปี ตัวเมียมีเต้านม 4-5 คู่ อยู่ด้านข้างลำตัวซึ่งเหมาะกับแก่การให้นมลูกขณะที่ว่ายน้ำไปด้วยได้ มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 10 ปี นากหญ้า ถือเป็นสัตว์ที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ และด้วยความที่มีขนที่มีลักษณะคล้ายขนของนาก จึงทำให้มีความต้องการขนทำเป็นเสื้อขนสัตว์แทนนาก ที่ถูกล่าอย่างหนักจนถูกขึ้นชื่อไว้เป็นสัตว์อนุรักษ์ในหลายประเทศ จึงมีการเพาะเลี้ยงกันเป็นสัตว์เศรษฐกิจและมีการส่งออกจากทวีปอเมริกาใต้ไปยังหลายภูมิภาคของโลก เช่น ยุโรป อเมริกาเหนือ แอฟริกา รวมถึงเอเชีย ซึ่งในหลายพื้นที่ได้กลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะกลายมาเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่คุกคามความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตพื้นถิ่นในที่นั้น ๆ อีกทั้งยังเป็นพาหะของโรคกลัวน้ำอีกด้วย สำหรับในประเทศไทยเอง ก็ประสบกับปัญหานี้ด้วยเช่นนี้ ได้มีการนำเข้านากหญ้าครั้งแรกมาจากแอฟริกา โดยชาวไต้หวัน โดยถูกเลี้ยงไว้ที่จังหวัดราชบุรี ต่อมาก็ถูกนำไปเลี้ยงให้กว้างขวางยิ่งขึ้นโดยทหารบกชั้นประทวนผู้หนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก เมื่อปี พ.ศ. 2537 ก่อนที่จะแพร่หลายในฐานะเป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดใหม่ แต่ทว่าเมื่อได้มีการเลี้ยงกันอย่างจริงจังแล้ว ปรากฏว่า ผลตอบรับกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด จึงทำให้มีการปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ และกลายเป็นหนึ่งในสัตว์ที่เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในประเทศไทย เช่นเดียวกับ หอยเชอรี่ ปลาซัคเกอร์ หรือตะพาบไต้หวัน.

ใหม่!!: สัตว์และนากหญ้า · ดูเพิ่มเติม »

นากจมูกขน

นากจมูกขน หรือ นากใหญ่หัวปลาดุก (Hairy-nosed otter) เป็นนากชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ในประเทศไทย มีรูปร่างหน้าตาคล้ายนากใหญ่ธรรมดา (L. lutra) ขนตามลำตัวมีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มเหมือนกำมะหยี่ มีลักษณะเด่นคือ มีขนปกคลุมบริเวณจมูกแตกต่างไปจากนากชนิดอื่น ๆ ที่บริเวณจมูกจะเป็นแผ่นหนังเรียบ ริมฝีปากบน คาง และคอด้านล่างมีสีขาว หัวแบน และปากค่อนข้างกว้าง มีความยาวลำตัวและหัว 50-82 เซนติเมตร ความยาวหาง 45-50 เซนติเมตร น้ำหนัก 5-6 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนใต้ของกัมพูชา บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของเวียดนาม, มาเลเซีย, ภาคตะวันตกของเกาะสุมาตราและบอร์เนียว สำหรับในประเทศไทยพบบริเวณภาคตะวันตกและภาคใต้ จากรายงานเมื่อปี พ.ศ. 2531 มีการพบนากจมูกขน 2 แห่ง คือ ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง และบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และในปี พ.ศ. 2542 มีผู้สามารถจับตัวได้อีกที่ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส ในบริเวณใกล้กับชายแดนมาเลเซีย นากจมูกขนนับว่าเป็นนากชนิดที่ได้ชื่อว่าหายากที่สุดในโลก เพราะมีรายงานพบเห็นเพียงไม่กี่ครั้งและมีการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมน้อยมาก มักพบนากชนิดนี้ตามพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ปากแม่น้ำใกล้กับทะเลหรือชายฝั่ง มักอาศัยอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ในกลางปี พ.ศ. 2551 ได้มีการเปิดเผยว่าที่เวียดนามได้มีการค้นพบนากจมูกขนที่เขตป่าสงวนอูมิงห่า ในจังหวัดก่าเมา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของเวียดนาม เมื่อเดือนมีนาคม ปีเดียวกัน จากเดิมที่เคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และนากจมูกขน · ดูเพิ่มเติม »

นากทะเล

ำหรับนากทะเลที่อยู่ในสกุล Lontra ดูที่: นากทะเลอเมริกาใต้ นากทะเล (Sea otters) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทางทะเล ประเภทหนึ่งโดยอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งตอนเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก ในวัยเจริญพันธุ์จะมีน้ำหนักประมาณ 14–45 กิโลกรัม (31–99 ปอนด์) นากทะเลเป็นสัตว์ในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) ชนิดหนึ่ง และเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมทางทะเลที่มีขนาดเล็กที่สุดอีกด้วย นากทะเลนั้นไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทางทะเลทั่วไปเพราะมีฉนวนกันความร้อนด้วยขนที่หนาแน่น จึงทำให้นากทะเลสามารถหาอาหารในทะเลเป็นเวลานาน ๆ ได้ นากทะเลจะอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่ง โดยจะดำดิ่งสู่พื้นทะเลเพื่อหาอาหาร อาหารที่ชอบคือ สาหร่ายทะเล (ถ้าเป็นสาหร่ายเคลท์จะชอบมาก) เม่นทะเล หอยต่าง ๆ กุ้งบางชนิด และปลาบางชนิด นอกจากนี้นากทะเลยังเป็นสัตว์ที่สามารถวัดความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ได้อีกด้วย ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพฤติกรรมการกินอาหารของนากทะเลที่ใช้หินทุบเปลือกหอยบนหน้าอกตัวเองนั้นเป็นพฤติกรรมที่มีมานานเป็นระยะเวลานับหลายล้านปี ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยถือว่าเป็นพฤติกรรมการกินอาหารที่พัฒนาขึ้นมาจากการกินหรือหาอาหารทั่วไปของสัตว์โลก และเป็นสัตว์ทะเลชนิดแรกที่มีพัฒนาการเช่นนี้ โดยการสังเกตพฤติกรรมแม้แต่ลูกนากทะเลกำพร้าในสถานที่เลี้ยงก็ยังพบว่ามีพฤติกรรมเช่นนี้ ในอดีตจำนวนากทะเลอยูที่ประมาณ 1,000–2,000 ตัวเท่านั้นเพราะถูกล่าอย่างหนักในปี..

ใหม่!!: สัตว์และนากทะเล · ดูเพิ่มเติม »

นากแม่น้ำ

นากแม่น้ำ (River otter) เป็นนากสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Lontra (/ลอน-ตร้า/) เป็นนากสกุลที่พบได้ในทวีปอเมริกา หรือซีกโลกใหม่ เดิมทีเคยถูกรวมให้เป็นสกุลเดียวกันกับสกุล Lutra หรือ นากใหญ่ แต่ปัจจุบันถูกจำแนกออกมาต่างหาก.

ใหม่!!: สัตว์และนากแม่น้ำ · ดูเพิ่มเติม »

นากใหญ่

นากใหญ่ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสกุลหนึ่ง จำพวกนาก เป็นนากในสกุล Lutra (/ลู-ตร้า/) พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในทวีปยุโรปจนถึงทวีปเอเชียจนถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออก เป็นนากขนาดใหญ่มีอุปนิสัยอาศัยอยู่ตามลำพัง แตกต่างจากนากจำพวกอื่น ๆ เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำหรือบนบก โดยจะพบในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น ลำธาร, ห้วย หรือแม้กระทั่งพื้นที่เกษตรกรรม หากินสัตว์น้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร เช่น ปลา, สัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก และก็สามารถจับสัตว์อย่างอิ่น เช่น แมลง, สัตว์ฟันแทะ หรือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง กินได้ด้วยยามเมื่อฤดูอาหารขาดแคลน เช่น ฤดูหนาว นากในสกุลนี้พบกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชียมาตั้งแต่ยุคไพลโอซีนตอนปลาย โดยมีชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว คือ Lutra palaeindica พบเป็นฟอสซิลที่เก่าแก่ที.

ใหม่!!: สัตว์และนากใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นากใหญ่ธรรมดา

นากใหญ่ธรรมดา หรือ นากยุโรป (Common otter, European otter) เป็นนากชนิดที่สามารถพบได้กว้างขวางมาก มีลำตัวยาว ขนหนาและหยาบเพื่อป้องกันมิให้น้ำซึมเข้ามา ทำให้ว่ายน้ำได้คล่องแคล่ว และป้องกันอากาศเย็นได้เป็นอย่างดี สีขนตามลำตัวเป็นสีน้ำตาลอ่อน ในบางครั้งอาจเปลี่ยนหรือเห็นเป็นสีเทา บริเวณท้องมีสีขนที่อ่อนกว่า หัวแบนและกว้าง หูกลม หางเรียวยาว ขนสั้น นิ้วเท้ามีพังผืดยึดติดกัน.

ใหม่!!: สัตว์และนากใหญ่ธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

นากใหญ่ขนเรียบ

นากใหญ่ขนเรียบ (smooth-coated otter) เป็นนากชนิดหนึ่ง จัดเป็นนากชนิดที่ใหญ่ที่สุดที่พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียมาก มีลักษณะแตกต่างไปจากนากใหญ่ธรรมดา (Lutra lutra) และ นากจมูกขน (L. sumatrana) คือ มีหัวกลม แนวขนบนจมูกเป็นรูปตัววีคว่ำ ขนสั้น หูมีขนาดเล็กและมีลิ้นปิดหูเวลาว่ายน้ำเพื่อมิให้น้ำเข้าหู ขนตามลำตัวมีสีน้ำตาลปนสีดำหรือสีน้ำตาลอ่อน บริเวณท้องมีสีอ่อนกว่าบริเวณหลัง หางแบน และมีความยาวประมาณร้อยละ 60 ของลำตัว อุ้งเท้าและนิ้วเท้ามีขนาดใหญ่ มีความยาวลำตัวและหัว 65–75 เซนติเมตร ความยาวหาง 40–45 เซนติเมตร น้ำหนักเต็มที่ 7–11 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่เนปาล, อินเดีย, ภาคตะวันตกของมณฑลยูนาน, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนามตอนใต้, มาเลเซีย และเกาะสุมาตรา มีพฤติกรรมอาศัยตามพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นที่ลุ่มต่ำ เช่น ริมทะเลสาบ ลำธาร คลอง ใช้หนวดเป็นประสาทสัมผัสในการรับรู้ เช่นเดียวกับนากชนิดอื่น ๆ โดยใช้หนวดทำหน้าที่รับแรงสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ กินอาหารได้หลากหลายประเภท ทั้ง สัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ รวมทั้งนกหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดเล็ก เช่น หนู ด้วย ออกหากินทั้งกลางวันและกลางคืน มักอยู่รวมกันเป็นครอบครัวเล็ก ๆ ยกเว้นในสถานที่ที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์อาจอยู่รวมเป็นฝูงใหญ่ มีเท้าและเล็บแข็งแรงจึงสามารถขุดรูริมตลิ่งได้ลึกถึง 3 เมตร เพื่อใช้การเลี้ยงดูลูกอ่อน ลูกนากที่เกิดใหม่จะลืมตาภายในเวลา 10 วัน และออกหากินได้เองเมื่ออายุได้ 3 เดือน สำหรับในประเทศไทย พบได้ทั่วทุกภาค โดยพบได้แม้กระทั่งในเมืองใหญ่ ๆ เช่น เมืองหลวงอย่าง กรุงเทพมหานคร ในแถบป่าชายเลน ในเขตบางขุนเทียน ฝั่งธนบุรี รวมถึงบริเวณพื้นที่พุทธมณฑล อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นเขตปริมณฑลกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้แล้วในประเทศสิงคโปร์ แถบหน้ามารีนาเบย์แซนส์ โรงแรมขนาดใหญ่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนที่เป็นที่รู้จักดี ก็มีฝูงนากใหญ่ขนเรียบอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสง.

ใหม่!!: สัตว์และนากใหญ่ขนเรียบ · ดูเพิ่มเติม »

นากเล็ก

นากเล็ก หรือ นากไร้เล็บ (Small-clawed otter, Clawless otter) เป็นนากสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Aonyx (/เอ-โอ-นิก/) โดยแปลว่า "ไร้เล็บ" มาจากคำว่า prefix 'a-' (ไม่) และ 'onyx' (เล็บ/ตะขอ) เป็นนากขนาดเล็ก มีเล็บและขาหน้าสั้นไม่แข็งแรง จึงไม่สามารถขุดโพรงได้เหมือนนากสกุลหรือชนิดอื่น ๆ พบกระจายพันธุ์ใน 2 ทวีป คือ เอเชียและแอฟริกา ลักษณะอุ้งตีนและเล็บของนากเล็กเล็บสั้น.

ใหม่!!: สัตว์และนากเล็ก · ดูเพิ่มเติม »

นากเล็กเล็บสั้น

นากเล็กเล็บสั้น (oriental small-clawed otter, Asian small-clawed otter) เป็นนากขนาดเล็กที่สุดในโลก ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย ขนตามลำตัวมีสีเทาเข้มหรือสีน้ำตาล แต่สีขนบริเวณท้องจะอ่อนกว่า แต่สามารถเปลี่ยนสีขนได้ตามฤดูกาล ลักษณะเด่นคือ พังผืดบริเวณนิ้วตีนจะมีขนาดเล็กลง ช่วยให้นิ้วเคลื่อนไหวได้คล่องตัวมากขึ้น ใต้คอมีสีขาว มีจมูกที่สั้นมากกว่านากชนิดอื่น ๆ ตัวที่ยังไม่โตเต็มวัยจะมีจมูกยาว และโค้งกว่า เมื่ออายุได้ 5 สัปดาห์จมูกก็จะหดสั้นลง มีความยาวลำตัวและหางประมาณ 45-55 เซนติเมตร ความยาวหาง 25-35 เซนติเมตร น้ำหนัก 1-3 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางทั้งในทวีปแอฟริกาและในทวีปเอเชีย ในทวีปเอเชียพบตั้งแต่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย, เนปาล, บังกลาเทศ, ภาคใต้ของจีน, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, เกาะสุมาตรา, เกาะบอร์เนียวและเกาะชวา (แบ่งเป็น 3 ชนิดย่อย ดูในตาราง) นากเล็กเล็บสั้นมีความสามารถปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ในธรรมชาติจะอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น ลำธารขนาดเล็ก, ป่าชายเลน, ริมทะเลสาบ, ห้วย, หนอง, คลอง, บึง หรือแม้แต่ในพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นเขตเกษตรกรรมของมนุษย์ เช่น ตามท้องร่องสวนต่าง ๆ อาหารหลักได้แก่ สัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ แต่ชอบกินปูมากที่สุด มักอาศัยอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ นากเล็กเล็บสั้นไม่ได้ใช้หนวดเป็นประสาทสัมผัสในการรับรู้เหมือนนากชนิดอื่น ๆ เพราะมีประสาทสัมผัสอยู่ที่ขาหน้า ออกลูกตามโพรงไม้หรือโพรงหินที่มีอยู่แล้ว เพราะขาหน้าไม่แข็งแรงพอจะขุดโพรงริมตลิ่งได้เหมือนนากชนิดอื่น ๆ ออกหากินในเวลากลางคืน บางครั้งอาจพบได้ตั้งแต่ช่วงพลบค่ำจนถึงรุ่งเช้า นากเล็กเล็บสั้นหากนำมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก จะเชื่องและสามารถทำตามคำสั่งของมนุษย์ได้ จึงมีการนำมาแสดงโชว์ตามสวนสัตว์ต่าง ๆ เช่น ซาฟารีเวิลด์ เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค แม้แต่กระทั่งพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยพบในพื้นที่แถบคลองบางมด เขตทุ่งครุ ฝั่งธนบุรี เป็นนากเล็กเล็บสั้นที่อาศัยอยู่รวมเป็นฝูง มีพฤติกรรมขโมยกินปลาของเกษตรกรในพื้นที่ตามท้องร่องสวนในเวลากลางคืน.

ใหม่!!: สัตว์และนากเล็กเล็บสั้น · ดูเพิ่มเติม »

นางฟ้าทะเล

นางฟ้าทะเล (Sea angel) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกมอลลัสคา จัดเป็นหอยฝาเดี่ยวจำพวกหนึ่ง จัดอยู่ในชั้น Gymnosomata นางฟ้าทะเล ถือเป็นหอยฝาเดี่ยวที่ไม่มีเปลือก นางฟ้าทะเลมีลำตัวใส มองเห็นจุดสีส้มอยู่ทั้งหมดสามจุด โดยสองจุดแรกจะแยกออกจากกันไม่ชัดเจน เนื่องจากอยู่บริเวณหัวที่มีหนวดสั้น ๆ สองข้างด้านบน ซึ่งจุดดังกล่าวเป็นอวัยวะที่เรียกว่า "ถุงตะขอ" (Hook sac) และ "หลอดบุคคัล" (Buccal bulb) ซึ่งเป็นส่วนที่เปรียบได้กับปาก มีส่วนที่เป็นฟันอยู่ในนั้น จุดที่สามของลำตัว มีขนาดใหญ่กว่า เป็นส่วนที่ใช้สำหรับย่อยอาหาร และส่วนที่เป็นจุดเด่น คือ อวัยวะที่เป็นระยางค์เล็ก ๆ คล้ายปีก ที่ชื่อชื่อเรียกว่า "พาราโพเดีย" (Parapodia) อยู่สองข้าง ใช้สำหรับกระพือขึ้นลงเคลื่อนไหวในน้ำเป็นจังหวะ ดูแล้วคล้ายกับนางฟ้าในนิทาน อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ เปลือกของนางฟ้าทะเล ลดรูปลงไป จะพบได้ก็ต่อเมื่อยังเป็นระยะวัยอ่อนอยู่ ระยางค์สองข้างนั้นเปลี่ยนมาจากส่วนที่เป็นเท้าเพื่อใช้ในการว่ายน้ำ นางฟ้าทะเล จะพบในบริเวณที่เป็นน้ำเย็นจัดแถบขั้วโลกเท่านั้น ทั้งขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ นางฟ้าทะเลกินหอยฝาเดียวที่มีเปลือกแต่ว่ายน้ำได้เช่นเดียวกัน ที่เรียกว่า "ผีเสื้อทะเล" (Sea butterfly) การกินอาหารของนางฟ้าทะเลเป็นไปอย่างน่าสนใจ เพราะจู่โจมเข้าใส่อย่างรวดเร็วมาก ผิดกับสภาพการดำรงชีวิตปกติที่ดูเชื่องช้า นางฟ้าทะเลมีรายงานว่าสามารถมีชีวิตได้ด้วยการกินอาหารเพียงครั้งเดียว สามารถอดอาหารได้นานถึงเกือบหนึ่งปี (365 วัน) เพราะสามารถเก็บสำรองพลังงานจำนวนมากไว้ในตัว เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีอัตราการเผาผลาญพลังงานที่ต่ำมาก เนื่องจากอาศัยอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำ.

ใหม่!!: สัตว์และนางฟ้าทะเล · ดูเพิ่มเติม »

นาโธสโทมูลิดา

นาโธสโทมูลิดา (Gnathostomulida) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:สัตว์ หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:ไฟลัม.

ใหม่!!: สัตว์และนาโธสโทมูลิดา · ดูเพิ่มเติม »

นิลกาย

นิลกาย (Nilgai, Blue bull; নীলগাই; नीलगाय) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ในวงศ์วัวและควาย (Bovidae) จัดเป็นเพียงสัตว์ชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Boselaphus มีรูปร่างลักษณะคล้ายวัวผสมกับม้า ตัวผู้มีลักษณะเด่น ที่ สีลำตัวเมื่อโตขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มขึ้นเรื่อย ๆ หรือสีเทาปนดำ อันเป็นที่มาของชื่อ ถือเป็นแอนทีโลปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย โดยมีส่วนสูงวัดถึงไหล่ประมาณ 1.2–1.5 เมตร และยาว 1.8–2 เมตร หางยาว 40–45 เซนติเมตร ตัวเต็มวัยมีน้ำหนักประมาณ 120–140 กิโลกรัม ลำตัวใหญ่ แต่มีขาเล็กเรียว ตัวผู้มีเขาเล็ก ๆ โค้งไปข้างหน้าเล็กน้อย ยาวประมาณ 21-25 เซนติเมตร มีขนแข็งยาวขึ้นจากส่วนหัวไล่ไปถึงกลางหลังทั้งสองเพศ ขณะที่ตัวเมียมีสีออกน้ำตาลแดง นิลกาย เป็นสัตว์ที่มีถิ่นกระจายพันธุ์ในราบตอนเหนือของอินเดียและทางภาคตะวันออกของปากีสถาน ชอบอยู่ตามที่ราบและเนินเขาที่มีไม้พุ่มเตี้ยมากกว่าอยู่ในป่าทึบ นิลกายเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 18 เดือน ซึ่งหลังผสมพันธุ์แล้ว มีระยะเวลาตั้งท้องประมาณ 8 เดือน ออกลูกคราวละ 2 ตัวหรือมากได้ถึง 3 ตัว น้ำหนักตัวเมื่อเกิดใหม่ราว 13–16 กิโลกรัม มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 21 ปี นิลกายเป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางวัน และพักผ่อนในเวลากลางคืนเหมือนสัตว์ในวงศ์เดียวกันชนิดอื่น ๆ แต่กินอาหารหลากหลายกว่า เพราะกินทั้งต้นไม้, ใบหญ้า, ใบไม้ และผลไม้ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีความสามารถพิเศษ คือ สามารถอดน้ำได้หลายวันโดยไม่มีน้ำดื่ม แต่มักจะอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ โดยส่วนใหญ่จะอยู่กันเป็นกลุ่มประมาณ 15 ตัว บางกลุ่มอาจมีถึง 20 ตัว ยกเว้นตัวที่อายุมากแล้วมักจะปลีกตัวไปอยู่ตามลำพัง และจะรวมตัวกันอีกทีก็ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งอาจจะมีจำนวนถึง 30–100 ตัว ปัจจุบัน นิลกายพบจำนวนมากในที่ สวนลุมพินีวัน อันเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า และเชื่อว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ด้วย เป็นสัตว์ที่เชื่อว่าหากใครได้พบเห็น จะพบกับความเป็นสิริมงคล แต่นิลกายก็ถือเป็นสัตว์ที่รบกวนกินพืชผลของเกษตรกรเสียหายได้ครั้งละเป็นจำนวนมาก ทางการอินเดียจึงอนุญาตให้ล่าสัตว์ชนิดนี้ได้อย่างถูกกฎหมาย ขณะที่อีกไม่น้อยถูกรถชน นอกจากนี้ยังต้องขาดแคลนที่อยู่ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นทุกวัน และมีศัตรูตามธรรมชาติอีกอย่างคือเสือและสิงโต ทำให้ปัจจุบันเหลือปริมาณ นิลกายอยู่ไม่มากแล้ว ในอินเดียมีประมาณ 100,000 ตัวเท่านั้น ส่วนที่รัฐเทกซัสในสหรัฐอเมริกาถูกนำไปเลี้ยงในสวนสัตว์บ้าง ในธรรมชาติบ้าง ช่วงทศวรรษ 1920 เหลือปริมาณนิลกายประมาณ 1,500 ตัว สำหรับในประเทศไทย นิลกายมีอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ซึ่งได้ตกลูกในไทยมาแล้วถึง 4 ตัว นอกจากนี้แล้วยังเป็นสัตว์ที่มีความใกล้เคียงกับซาวลา (Pseudoryx nghetinhensis) ที่พบในป่าทึบของเวียดนามอีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และนิลกาย · ดูเพิ่มเติม »

นิวต์

นิวต์ (Newts) เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกซาลาแมนเดอร์ ในวงศ์ซาลาแมนเดอร์แท้ (Salamandridae) ในวงศ์ย่อย Pleurodelinae นิวต์เป็นซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็ก กระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาเหนือ, ยุโรป และเอเชีย เมื่อยังเป็นวัยอ่อนที่มีพู่เหงือกเรียกว่า "เอลฟ์" (Efts) นิวต์มีลักษณะภายนอกที่แตกต่างไปจากซาลาแมนเดอร์ คือ มีผิวหนังที่แห้งกว่าและขรุขระหรือเป็นตะปุ่มตะป่ำกว่า และมักมีพิษ กะท่าง (Tylottriton verrucosus) ซึ่งเป็นซาลาแมนเดอร์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่พบได้ในประเทศไทย พบในดอยสูงทางภาคเหนือที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก ก็จัดว่าเป็นนิวต์เช่นกัน ไม่ใช่ซาลาแมนเดอร์ และก็มีพิษด้วยเช่นกัน นิวต์อาจจำแนกออกได้เป็นสกุลต่าง ๆ ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และนิวต์ · ดูเพิ่มเติม »

นิวต์หางใบพาย

นิวต์หางใบพาย หรือ ซาลาแมนเดอร์หางใบพาย (Alpine newt) เป็นซาลาแมนเดอร์ในกลุ่มของนิวต์ หรือซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็ก ในสกุล Triturus (มาจาก ไทรทัน บุตรชายของโพไซดอน เทพเจ้าแห่งมหาสมุทรตามเทพปกรณัมกรีก และภาษากรีกคำว่า ura หมายถึง "หาง") ลักษณะเด่นของนิวต์หางใบพาย คือ มีส่วนหางที่แผ่แบนเหมือนใบพายหรือครีบปลา มีช่วงชีวิตยาวนานอยู่ในน้ำมากกว่านิวต์สกุลอื่น ๆ โดยที่ขณะเป็นตัวอ่อนหรือตัวเต็มวัย ลักษณะหางที่เป็นใบพายก็ยังคงลักษณะเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มีขนาดลำตัวประมาณ 9-12 เซนติเมตร ในชนิดที่มีขนาดใหญ่อาจยาวได้ถึง 16 เซนติเมตร ในบางชนิดมีแผ่นหนังที่ดูคล้ายหงอนหรือครีบหลังที่สันหลังของลำตัวไปถึงส่วนหางด้วยซึ่งดูเป็นจุดเด่น ลำตัวมักมีสีน้ำตาลหรือสีเทาเข้ม มีลายประหรือจุดสีสันต่าง ๆ แตกต่างออกไปตามและชนิด และยิ่งจะมีความเด่นชัดขึ้นโดยเฉพาะในช่วงฤดูผสมพันธุ์ มีการขยายพันธุ์และวางไข่เหมือนกับนิวต์สกุลอื่น วางไข่ครั้งละ 100-200 ฟอง หรือในชนิดที่มีจำนวนมากอาจได้ถึง 300-400 ฟอง พบกระจายพันธุ์ในป่า หรือลำห้วย หรือทะเลสาบในแถบเทือกเขาในระดับความสูงต่าง ๆ กันในทวีปยุโรป จนถึงบางส่วนของรัสเซีย และภูมิภาคตะวันออกกลางTriturus ทั้ง 5, คอลัมน์ Aqua Survey โดย สุริศา ซอมาดี.

ใหม่!!: สัตว์และนิวต์หางใบพาย · ดูเพิ่มเติม »

นิวต์หงอนใหญ่

นิวต์หงอนใหญ่ หรือ นิวต์หงอนเหนือ (Great crested newt, Northern crested newt) เป็นซาลาแมนเดอร์จำพวกนิวต์ชนิดหนึ่ง จำพวกซาลาแมนเดอร์หางใบพาย เป็นซาลาแมนเดอร์ที่คงรูปร่างความเป็นวัยอ่อนไว้เมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้วก็ตาม จัดเป็นซาลาแมนเดอร์หรือนิวต์อีกชนิดหนึ่งที่มีสีสันสดใส แลดูสวยงาม โดยปกติมีลำตัวสีเทาเข้ม มีลายกระกระจายสีดำ บางครั้งบนจุดสีเหลืองหรือส้มไปจนสีเงินที่หางด้วย มีจุดเด่น คือ มีแผ่นครีบเหมือนหงอนตั้งแต่ส่วนหัวไปจรดหาง เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ตัวผู้จะมารวมตัวกันเป็นกลุ่มในบริเวณแหล่งน้ำที่อาศัยแล้วกำหนดพื้นที่ของตนเองขึ้นมาและป้องกันพื้นที่ไว้จากตัวผู้ตัวอื่นด้วยการแสดงท่าทางและการต่อสู้ นิวต์ตัวเมียที่เคลื่อนย้ายไปตามพื้นที่แต่ละแห่งได้รับการต้อนรับจากตัวผู้ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ด้วยการแสดงท่าทาง เช่น แผ่กางครีบหลัง หรือครีบหาง แสดงสีสันที่สดใสตามลำตัว เป็นต้น ในขณะที่ตัวเมียก็จะมีแถบสีส้มเล็ก ๆ คาดที่โคนหาง วางไข่ในน้ำประมาณครั้งละ 200 ฟอง พบกระจายพันธุ์ในป่าแถบเทือกเขาแอลป์ ในทวีปยุโรป และบริเวณรอบ ๆ ทะเลดำ ชอบอาศัยในที่ชื้นแฉะและบริเวณที่มีมอสส์ขึ้นTriturus ทั้ง 5, คอลัมน์ Aqua Survey โดย สุริศา ซอมาดี.

ใหม่!!: สัตว์และนิวต์หงอนใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

นิวต์ผิวขรุขระ

นิวต์ผิวขรุขระ (Rough-skinned newt; ชื่อวิทยาศาสตร์: Taricha granulosa) เป็นนิวต์อเมริกาเหนือที่รู้จักกันดีว่ามีพิษร้ายแรง ขณะยังไม่โตเต็มวัย จะอาศัยอยู่บนพื้นดินเป็นเวลา 4 หรือ 5 ปีหลังจากเมตามอร์โฟซิส แต่ตัวเต็มวัยสามารถอาศัยอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ วางไข่ในน้ำ สัตว์ประเภทนี้ถูกพบมากเป็นพิเศษหลังจากเกิดฝนตกหนัก.

ใหม่!!: สัตว์และนิวต์ผิวขรุขระ · ดูเพิ่มเติม »

นิวต์จระเข้

นิวต์จระเข้ หรือ นิวต์ตะปุ่มตะป่ำ (Crocodile newts, Knobby newts) เป็นสกุลของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกซาลาแมนเดอร์สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Tylototriton จัดเป็นนิวต์หรือซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็ก ปัจจุบันพบทั้งหมด 14 ชนิด โดยเชื่อว่ายังมีอีกหลายชนิดที่ยังไม่ได้มีการค้นพบ และในบางชนิดก็อาจเป็นชนิดเดียวกัน พบกระจายพันธุ์ตามแนวเทือกเขาหิมาลัย ตั้งแต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียและพม่า ไปจนถึงพม่าสู่ภาคเหนือของไทย, ลาว, เวียดนาม และทางตอนใต้ของจีน.

ใหม่!!: สัตว์และนิวต์จระเข้ · ดูเพิ่มเติม »

นิวต์ท้องแดง

นิวต์ท้องแดง หรือ นิวต์ไฟ (Fire belly newt, Fire newt) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกนิวต์ (Salamandridae) ที่อยู่ในสกุล Cynops เป็นนิวต์หรือซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็ก พบกระจายพันธุ์อยู่ในพื้นที่เอเชียตะวันออก เช่น จีน และญี่ปุ่น มีลักษะเด่น คือ มีส่วนท้องเป็นสีแดงหรือสีเหลือง จำแนกออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และนิวต์ท้องแดง · ดูเพิ่มเติม »

นิวต์ท้องแดงจีน

นิวต์ท้องแดงจีน หรือ นิวต์ท้องแดง (Chinese fire belly newt, Oriental fire-bellied newt, Dwarf fire-bellied newt; 東方蠑螈) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง จำพวกนิวต์ (Salamandridae) เป็นนิวต์ขนาดเล็กมีลำตัวสีดำ ส่วนหางแบนเหมือนใบพาย มีช่วงท้องเป็นสีเหลืองมีแต้มสีส้มหรือแดง ตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย โดยตัวผู้จะมีปุ่มบริเวณโคนหาง จัดเป็นนิวต์ขนาดเล็กมีความยาวลำตัวจรดหางประมาณ 12-15 เซนติเมตร แพร่ขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ในน้ำ ตัวอ่อนมีพู่เหงือก แพร่กระจายพันธุ์ในพื้นที่ชุ่มน้ำที่น้ำสะอาดและบริสุทธิ์และมีพืชน้ำขึ้นหนาแน่นในตอนใต้ของประเทศจีน อุณหภูมิประมาณ 18-24 เซนติเมตร ออกหากินในเวลากลางคืน โดยกินสัตว์น้ำและแมลงขนาดเล็ก เช่น หนอน, กุ้งฝอย, หนอนแดง, ไส้เดือนน้ำ, ลูกอ๊อด เป็นต้น นิวต์ท้องแดงจีน มีพิษบริเวณผิวหนังที่มีพิษประเภทเตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) อันเป็นพิษแบบเดียวกับที่มีในปลาปักเป้า แต่เป็นพิษแบบอ่อน อันเป็นลักษณะสำคัญของนิวต์ในสกุล Cynops ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายมากนักสำหรับมนุษย์หากใช้มือเปล่าไปแตะต้องถูกเข้า แต่จะเป็นอันตรายต่อเมื่อกลืนกินเข้าไป เป็นนิวต์หรือซาลาแมนเดอร์อีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และนิวต์ท้องแดงจีน · ดูเพิ่มเติม »

นิวต์แปซิฟิก

นิวต์แปซิฟิก หรือ นิวต์ตะวันตก หรือ นิวต์ผิวขรุขระ (Pacific newt, Western newt, Roughskin newt) เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกซาลาแมนเดอร์สกุลหนึ่ง ในสกุล Taricha (/ทา-ริ-ชา/) จัดเป็นซาลาแมนเดอร์แท้ หรือนิวต์สกุลหนึ่ง เป็๋นนิวต์ที่หากินและใช้ชีวิตบนบกเป็นหลัก และจะเคลื่อนย้ายไปยังแหล่งน้ำเมื่อถึงเวลาผสมพันธุ์ การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายในลำตัว เป็นนิวต์ที่พบกระจายพันธุ์ทั้งในพื้นที่ตะวันออกและตะวันตกของสหรัฐอเมริกา และอาจพบได้จนถึงตอนเหนือของรัฐบาฮากาลิฟอร์เนีย เม็กซิโก จำแนกออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ดังนี้.

ใหม่!!: สัตว์และนิวต์แปซิฟิก · ดูเพิ่มเติม »

นิเวศวิทยา

นิเวศวิทยา (ecology) (มาจากภาษากรีก: οἶκος "บ้าน"; -λογία, "การศึกษาของ") คือ การวิเคราะห์และการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่มีต่อกันและกัน และปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่มีกับสิ่งแวดล้อมแบบ'อชีวนะ' (abiotic) ของสิ่งมีชีวิตนั้น หัวข้อนักนิเวศวิทยามักสนใจจะรวมถึงความหลากหลายทางนิเวศวิทยา การกระจาย ปริมาณ (ชีวมวล) จำนวน (ประชากร) ของสิ่งมีชีวิต เช่นเดียวกับการแข่งขันระหว่างพวกมันภายในและระหว่างระบบนิเวศ ปฏิสัมพันธ์ที่เป็นองค์ประกอบของระบบนิเวศมีลักษณะเป็นไดนามิค ซึ่งประกอบไปด้วย สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศ ชุมชนของสิ่งมีชีวิตที่พวกมันสร้างขึ้น และองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิตของสภาพแวดล้อมของสิ่งมีชีวิต กระบวนการในระบบนิเวศ (ecosystem process) เช่น การผลิตโดยผู้ผลิต (เช่น พืช สาหร่าย) การเกิดขึ้นของดิน (pedogenesis) วัฏจักรสารอาหาร และกิจกรรมการสร้างสภาวะที่เหมาะสม (niche construction) จะเป็นตัวกำหนดการไหลของพลังงานและสสารจากสถานะหนึ่งไปยังอีกสถานะหนึ่งในระบบนิเวศ กระบวนการเหล่านี้จะทำงานอย่างเป็นปกติโดยสิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทที่เฉพาะเจาะจงและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศนั้น โดยความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) ที่หมายถึงความหลากหลายของสายพันธุ์ ของยีน และของระบบนิเวศ จะช่วยเพิ่มการบริการในระบบนิเวศ (ecosystem services) นิเวศวิทยาเป็นสาขาการศึกษาแบบสหวิทยาการที่รวมชีววิทยาและวิทยาศาสตร์โลก โดยคำว่า "ระบบนิเวศ" ("Ökologie") เกิดขึ้นในปี 1866 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน แอรนส์ แฮกเกล (Ernst Haeckel) (1834-1919) ความคิดเกี่ยวกับนิเวศวิทยาเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากความคิดในเชิงปรัชญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจริยธรรมและการเมือง นักปรัชญากรีกโบราณเช่น Hippocrates และ อริสโตเติล ได้วางรากฐานของนิเวศวิทยาในการศึกษาเรื่อง 'ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ' (natural history) ของพวกเขา นิเวศวิทยาสมัยใหม่ถูกแปลงให้เป็น 'วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ' ที่เข้มงวดมากขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แนวคิดวิวัฒนาการในการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตและ 'การคัดเลือกโดยธรรมชาติ' กลายเป็นเสาหลักของ 'ทฤษฎีทางนิเวศวิทยาสมัยใหม่' คำว่านิเวศวิทยาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับ 'ชีววิทยาวิวัฒนาการ' พันธุศาสตร์ และ พฤฒิกรรมของสัตว์ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ (ethology) ความเข้าใจถึงกระบวนการที่ความหลากหลายทางชีวภาพจะสามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบนิเวศเป็นหัวข้อที่สำคัญในการศึกษาระบบนิเวศ โดยนักนิเวศวิทยาพยายามที่จะอธิบายดังต่อไปนี้.

ใหม่!!: สัตว์และนิเวศวิทยา · ดูเพิ่มเติม »

นิเวศวิทยาชุมชนเมือง

นิเวศวิทยาชุมชนเมือง (Urban ecology) เป็นสาขาย่อยของวิชานิเวศวิทยา เกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างพืช สัตว์และมนุษย์ในสิ่งแวดล้อมของชุมชนเมือง เป็นการวิเคราะห์ชุมชนเมืองในแง่ของระบบนิเวศ (เฝ้ามองวัฏจักรของสสารและการเคลื่อนไหวของพลังงานในระบบนิเวศของเมือง) ซึ่งจะมีผลต่อผู้อยู่อาศัยในชุมชนในเชิงที่จะเอื้อให้พืช สัตว์และผู้คนในชุมชนเมืองนั้นมีสุขภาพที่ดีขึ้นและเอื้อให้มีการดูแลจัดการชุมชนได้ดีขึ้น นิเวศวิทยาชุมชนเมืองเป็นการศึกษาปัจจัยต่างๆ ซึ่งจะเอื้อให้พืชพรรณและสัตว์พื้นถิ่นสามารถอยู่รอดและอาจเติบโตขยายพันธุ์ได้ในสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างในชุมชนเมือง เป็นการศึกษาการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและศึกษาวิธีการจัดการพื้นที่นั้นให้มีความน่าอยู่ นอกจากนี้ นิเวศวิทยาชุมชนเมืองยังเกี่ยวข้องกับการศึกษาผลกระทบจากรูปแบบการพัฒนาที่เกิดขึ้นในชุมชนเมืองภายใต้เงื่อนไขของระบบนิเวศ เป็นการเน้นวิธีการวางผังชุมชนเมืองให้มีสภาวะแวดล้อมในแบที่ยั่งยืนโดยใช้วิธีการออกแบบและการเลือกใช้วัสดุที่จะส่งเสริมสุขภาพของผู้อยู่อาศัยให้ดีขึ้น ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพให้มีเพิ่มมากขึ้นในระบบนิเวศชองชุมชนเมืองนั้น.

ใหม่!!: สัตว์และนิเวศวิทยาชุมชนเมือง · ดูเพิ่มเติม »

นีมาโทดา

นีมาโทดา หรือหนอนตัวกลม เป็นชื่อเรียกของ แขนงวิชา วิทยาศาสตร์ โดยใช้เรียก ไฟลัม ซึ่งเป็นประเภทของการแบ่งสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง.

ใหม่!!: สัตว์และนีมาโทดา · ดูเพิ่มเติม »

นีแอนเดอร์ทาล

นีแอนเดอร์ทาล คือมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ชนิดหนึ่ง ปัจจุบันนี้ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว โดยจัดอยู่ในสกุลเดียวกับมนุษย์ยุคปัจจุบัน คือ Homo นีแอนเดอร์ทาลถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อราว 160 ปีที่แล้ว ที่ถ้ำเฟลด์โฮเฟอร์ในหุบเขาเนอันเดอร์ ใกล้เมืองดึสเซลดอร์ฟ ทางตอนเหนือของเยอรมนี โดยคนงานเหมืองขุดค้นพบกระดูกโบราณซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าเป็นหมี และได้ส่งกระดูกนั้นแก่นักธรรมชาติวิทยา โยฮันน์ คาร์ล ฟูลรอทท์ ฟูลรอทท์จึงได้ส่งต่อให้แก่นักกายวิภาควิทยา เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วจึงพบว่าเป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ชนิดใหม่ จึงให้ชื่อว่า "นีแอนเดอร์ทาล" เพื่อเป็นเกียรติแก่หุบเขาเนอันเดอร์ สถานที่ที่ค้นพบ โดยรวมนีแอนเดอร์ทาลมีรูปร่างที่กำยำล่ำสัน แข็งแรง รวมถึงมีภูมิคุ้มกันโรคที่ดีกว่ามนุษย์ปัจจุบัน แต่มีระดับสติปัญญาที่ต่ำกว่า ด้วยเหตุนี้เป็นสาเหตุหลักที่เชื่อว่าทำให้สูญพันธุ์ ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดนได้ถอดรหัสพันธุกรรมของนีแอนเดอร์ทาลได้เป็นผลสำเร็จเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และนีแอนเดอร์ทาล · ดูเพิ่มเติม »

นีโอพัลปา โดนัลด์ทรัมปี

Neopalpa donaldtrumpi (นีโอพัลปา โดนัลด์ทรัมปี) เป็นสายพันธุ์ของผีเสื้อกลางคืน ในสกุล นีโอพัลปา (Neopalpa)  ซึ่งอยู่ในทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย และตอนเหนือของเม็กซิโก โดยได้รับคำอธิบายจากนักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาที่มีชื่อว่า วาซริค นาซารี (Vazrick Nazari) เขาเลือกชื่อนี้เพราะหัวของผีเสื้อกลางคืนสายพันธุ์นี้ทำให้เขานึกถึงทรงผมของประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป.

ใหม่!!: สัตว์และนีโอพัลปา โดนัลด์ทรัมปี · ดูเพิ่มเติม »

นีเมอร์เทีย

นีมอร์เทียน หรือ หนอนริบบิ้น (Nemertea) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีทั้งหมดประมาณ 1,400 สายพันธุ์ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทะเล บางชนิดพบได้ในมหาสมุทรทั่วโลก มีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในน้ำจืด ชนิดที่อาศัยในทะเล เช่น หนอนริบบิ้น (Lineus longissimus) หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:ไฟลัม.

ใหม่!!: สัตว์และนีเมอร์เทีย · ดูเพิ่มเติม »

น้ำมันประกอบอาหาร

น้ำมันมะกอก น้ำมันประกอบอาหาร (Cooking oil) คือ ส่วนประกอบในการทำอาหาร ซึ่งอาจทำจากไขมันของ พืช, หรือสัตว์ โดยนำมาใช้ ทอด หรือ ผัด หรือ ผสมในน้ำสลั.

ใหม่!!: สัตว์และน้ำมันประกอบอาหาร · ดูเพิ่มเติม »

น้ำลาย

แพทย์กำลังเก็บตัวอย่างน้ำลายของคนไข้ น้ำลาย คือสสารที่คล้ายน้ำและมักจะเป็นฟอง ถูกผลิตขึ้นในปากของมนุษย์และสัตว์อื่นๆ เป็นส่วนใหญ่ น้ำลายถูกผลิตขึ้นจากต่อมน้ำลาย น้ำลายของมนุษย์ประกอบด้วยน้ำ 98% ส่วนที่เหลือเป็นอิเล็กโทรไลต์ เมือก สารยับยั้งแบคทีเรีย และเอนไซม์ชนิดต่างๆ เอนไซม์ในน้ำลายสามารถย่อยแป้งที่อยู่ในอาหารในระดับโมเลกุล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการย่อยอาหาร น้ำลายช่วยชะล้างอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันและปกป้องไม่ให้เกิดการเน่าเสียจากแบคทีเรีย นอกจากนี้ น้ำลายยังช่วยหล่อลื่นและปกป้องฟัน ลิ้น และเนื้อเยื่ออ่อนบางภายในช่องปาก สัตว์หลายชนิดมีพัฒนาการการใช้น้ำลายเฉพาะทางมากไปกว่าการย่อยอาหาร นกนางแอ่นใช้น้ำลายที่เหนียวคล้ายยางในการสร้างรัง ซึ่งรังนกนางแอ่นนี้ใช้ทำเครื่องดื่มรังนก Marcone, M. F. (2005).

ใหม่!!: สัตว์และน้ำลาย · ดูเพิ่มเติม »

แบรีออนิกซ์

รีออนิกซ์ (Baryonyx) เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อที่อยู่ในวงศ์สไปโนซอร์ มีถิ่นกำเนิดที่อังกฤษ แบรีออนิกซ์มีฟันรูปกรวย มันมีเล็บหัวแม่มือที่ใหญ่กว่าเล็บอื่น ยังมีการพบเกล็ดปลาดึกดำบรรพ์ เลปิโดเทส ที่กระเพาะอาหารของมันอีกด้วย ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงคาดว่า มันคงจะกินปลาเป็นอาหาร โดยใช้เล็บจิกปลาขึ้นมากิน อย่างไรก็ตาม มันก็กินไดโนเสาร์อื่น ๆ และกระทั่งลูกของมันเอง มันมีความยาวประมาณ10.5เมตร อาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนต้น ประมาณ120ล้านปีก่อน หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส หมวดหมู่:สไปโนซอริเด.

ใหม่!!: สัตว์และแบรีออนิกซ์ · ดูเพิ่มเติม »

แบรคิโอพอด

''Spiriferina rostrata'' แบรคิโอพอด เป็นคำจากภาษาลาติน brachium หมายถึงแขน + ภาษาลาตินใหม่ -poda หมายถึงตีน เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอาศัยอยู่บนท้องน้ำรู้จักกันอีกชื่อหนึงว่า หอยตะเกียง เป็นสัตว์ทะเลมีสองฝาด้วยลักษณะภายนอกมีความละม้ายกับหอยกาบคู่ซึ่งที่แท้จริงแล้วไม่ได้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ใกล้ชิดกันอย่างใดเลย นักบรรพชีวินวิทยาได้ประมาณว่าหลักฐานของแบรคิโอพอดที่ได้รับการบันทึกไว้เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วถึงร้อยละ 99 แม้ว่าหอยกาบคู่และแบรคิโอพอดจะมีลักษณะภายนอกละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่ที่แท้จริงแล้วมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยปรกติแล้วหอยกาบคู่จะมีระนาบสมมาตรอยู่ระหว่างเปลือกฝาทั้งสอง ขณะที่แบรคิโอพอดจะมีระนาบสมมาตรแบบสมมาตรด้านข้าง คือระนาบสมมาตรจะตั้งฉากกับแนวหับเผย (hinge) เปลือกฝาทั้งสองของแบรคิโอพอดแตกต่างกันทั้งขนาดและรูปร่าง หอยกาบคู่ใช้กล้ามเนื้อแอดดักเตอร์ในการทำให้เปลือกฝาทั้งสองมาปะกบกันและจะเปิดอ้าออกโดยใช้ลิกาเมนต์ด้านนอกหรือด้านในทันทีที่กล้ามเนื้อแอดดักเตอร์คลายตัว ขณะที่แบรคิโอพอดใช้กล้ามเนื้อดิดักเตอร์ด้านในดึงให้ฝาทั้งสองเปิดออก และจะปิดปะกบเข้าหากันด้วยกล้ามเนื้อแอดดักเตอร์ ความแตกต่างที่ชัดเจนอีกลักษณะหนึ่งคือ แบรคิโอพอดทั้งหลายจะอาศัยอยู่ด้วยการยึดเกาะกับพื้นท้องทะเลโดยอาศัยอวัยวะที่มีลักษณะเป็นก้านเนื้อเยื่อยื่นออกไป ในทางตรงกันข้ามหอยกาบคู่ทั้งหลายจะเคลื่อนที่ไปอย่างอิสระด้วยอวัยวะเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่เป็นเท้า ทั้งนี้ยกเว้นหอยพวกหอยนางรม หอยแมลงภู่ และหอยรูดิสต์ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้วที่ยึดเกาะกับพื้นท้องทะเล นอกจากนี้ เปลือกฝาของแบรคิโอพอดถ้าไม่ประกอบด้วยสารแคลเซี่ยมฟอสเฟตก็เป็นสารแคลเซียมคาร์บอเนต ขณะที่เปลือกฝาของหอยกาบคู่ทั่วไปจะประกอบด้วยสารแคลเซียมคาร์บอเนต และท้ายสุดที่แบรคิโอพอดไม่เหมือนกับหอยกาบคู่ก็คือ แบรคิโอพอดบางกลุ่มมีเปลือกฝาเป็นปีกคล้ายครีบยื่นออกไปและรวมถึงมีหนามบนพื้นเปลือกฝ.

ใหม่!!: สัตว์และแบรคิโอพอด · ดูเพิ่มเติม »

แบรคิโอซอรัส

แบรคิโอซอรัส บราชิโอซอรัส ก็เรียกได้ (Brachiosaurus) หรือ แขนยาว เป็นซอโรพอดขนาดใหญ่ ลำตัวยาว 30 เมตร สูง 13-15 เมตร หนัก 78 ตันหรือเท่ากับช้างแอฟริกา 15 เชือก อาศัยอยู่ในยุคจูแรสซิก 200-130 ล้านปีก่อน ขุดค้นพบในอเมริกาเหนือและแอฟริกา เคยเป็นซอโรพอดที่ตัวใหญ่ที่สุดก่อนค้นพบซุปเปอร์ซอรัส อาร์เจนติโนซอรัส และ ซูเปอร์ซอรัส ลักษณะเด่นของแบรคิโอซอรัสที่ต่างจากซอโรพอดอื่นคือ บริเวณจมูกบนกระหม่อมมีโหนกยื่นขึ้นมาชัดเจนกว่าคามาราซอรัสหรือซอโรพอดอื่น หางสั้นไม่มีปลายแส้ มีขาหน้าที่ยาวกว่าขาหลัง ทำให้ตัวลาดลงแบบยีราฟ ส่งผลให้ส่วนคอของแบรคิโอซอรัสตั้งชันสูงกว่า ทำให้มันสามารถหาใบไม้บนยอดสูงได้ดีกว่าพวกอื่น และมีประโยชน์ในการมองเห็นไดโนเสาร์กินเนื้อแต่ไกล แบรคิโอซอรัสป็นที่รู้จักมากจากการปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่อง "จูราสสิค พาร์ค กำเนิดใหม่ไดโนเสาร์" แต่มีข้อวิพากษ์ถึงท่าทางในภาพยนตร์ที่มันยืน 2 ขาเพื่อยืดตัวกินยอดใบไม้ ด้วยสาเหตุที่ส่วนคอของมันตั้งสูงเหมาะกับการกินอาหารบนยอดไม้อยู่แล้ว ส่วนขาหลัง 2 ข้างของมันยังสั้นและเล็ก และสรีระทางสะโพกก็น้อย นอกจากนี้มันไม่มีท่อนหางยาวสำหรับคานน้ำหนักเหมือนซอโรพอดวงศ์ดิปพลอโดซิเด จึงไม่น่าจะแบกรับน้ำหนักของร่างกายช่วงบนเวลาที่มัน "ยืน" ไหว ดังนั้นภาพที่เห็นมันยืน 2 ขาในหนังก็ไม่น่าจะจริง.

ใหม่!!: สัตว์และแบรคิโอซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

แบล็ก & ไวต์

แบล็ก & ไวต์ (Black & White) เป็นวิดีโอเกมที่สร้างขึ้นโดยบริษัทไลออนเฮดสตูดิโอ (Lionhead Studios.) เผยแพร่โดยบริษัท อิเล็กทรอนิกอาร์ตส์ (Electronic Arts: EA) และฟีเรียลอินเตอร์เอ็กทีฟ (Feral Interactive.) เป็นเกมแบบพระเจ้าสร้างโลกเริ่มผลิตเมื่อวันที่ 25 มีนาคมค.ศ. 2001 ผู้เล่นจะทำหน้าที่เป็นพระเจ้าคอยสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา โดยมนุษย์ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังมีสัตว์ประหลาดซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้เล่นสามารถที่จะฝึกมันทำในสิ่งต่างๆที่ผู้เล่นสอนได้ รายชื่อสัตว์ประหลาดในเกม.

ใหม่!!: สัตว์และแบล็ก & ไวต์ · ดูเพิ่มเติม »

แบล็กบัก

thumb thumb แบล็กบัก หรือ แอนทิโลปอินเดีย (Blackbuck, Indian antelope) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกีบคู่จำพวกแอนทิโลปชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Antilope จึงจัดเป็นแอนทิโลปแท้ แบล็กบัก มีลักษณะคล้ายกับแอนทิโลปหรือกาเซลล์ที่พบในทวีปแอฟริกา แต่แบล็กบักเป็นสัตว์ที่พบได้ในทวีปเอเชีย แบล็กบักตัวผู้มีเขาคู่หนึ่งที่ยาว 35–75 เซนติเมตร เขามีความสวยงามตรงที่บิดเป็นเกลียวและปลายแหลม ดูน่าเกรงขาม ด้วยความยาวของเขานั้นแม้จะนอนหรือซ่อนอยู่ในพงหญ้าบางครั้งก็ยังเห็นโผล่มาชัดเจน มีความสูงประมาณ 74–84 เซนติเมตร ตัวผู้มีน้ำหนักระหว่าง 20–57 กิโลกรัม ตัวเมียมีน้ำหนักเฉลี่ย 27 กิโลกรัม เป็นสัตว์ที่วิ่งได้เร็วมาก สามารถวิ่งได้เร็วถึง 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ชอบกินหญ้าโดยเฉพาะหญ้าสั้นเป็นอาหาร แต่บางครั้งก็อาจกินใบไม้ได้ด้วย มักอาศัยในป่าละเมาะที่ใกล้กับแหล่งน้ำ เพราะต้องใช้น้ำในการดื่มกิน ตัวผู้จะป้องกันอาณาเขตของฝูงตัวเองและแย่งชิงตัวเมีย คือ การใช้เขาทั้งสองข้างนั้นขวิดสู้กัน ซึ่งพฤติกรรมนี้พบได้ตลอดทั้งปี ด้วยความสวยงามของเขา จึงทำให้ถูกล่าเพื่อเอาเขา รวมถึงแหล่งที่อยู่อาศัยถูกคุกคามด้วยจากการรุกรานเพื่อต้องการพื้นที่ทำการเกษตรและปศุสัตว์ ทำให้แบล็กบักที่เคยมีอยู่ทั่วไปในอินเดียสมัยก่อน และพบได้จนถึงอิสราเอลในตะวันออกกลาง ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ในป่าอนุรักษ์หรืออุทยานแห่งชาติของอินเดีย เช่น อุทยานแห่งชาติเวลาวาดาร์ ในรัฐคุชราต ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ซึ่งมีสภาพพื้นที่เป็นทุ่งสะวันนากว้างโล่งเหมือนทวีปแอฟริกา เป็นต้น และได้สูญพันธุ์ไปแล้วที่บังกลาเทศ แบล็กบักตัวผู้ในภาพย้อนแสง เห็นเขาคู่อย่างชัดเจน แบล็กบัก ได้ถูกจัดให้มี 2 ชนิดย่อย คือ.

ใหม่!!: สัตว์และแบล็กบัก · ดูเพิ่มเติม »

แบทแมน บีกินส์

แบทแมน บีกินส์ (อังกฤษ: Batman Begins) คือ ภาพยนตร์ชุดแบทแมนลำดับที่ 5 เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ. 2548 กำกับโดย คริสโตเฟอร์ โนแลน นำแสดงโดย คริสเตียน เบล, ไมเคิล เคน, เลียม นีสัน, แคที โฮล์มส์, แกรี โอลด์แมน, ซิลเลียน เมอร์ฟี, มอร์แกน ฟรีแมน, ทอม วิลคินสัน, Rutger Hauer และเค็ง วะตะนะเบะ เนื้อเรื่องของภาพยนตร์แบทแมนภาคนี้เป็นอิสระจากภาพยนตร์ชุดแบทแมนที่สร้างมาก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง โดยมีโครงเรื่องที่กล่าวถึงจุดกำเนิดของตัวละครแบทแมน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเส้นเรื่องของหนังสือการ์ตูนชุดแบทแมนดั้งเดิม เช่น แบทแมน: เดอะแมนฮูฟอลส์ (Batman: The Man Who Falls) แบทแมน: เยียร์วัน (Batman: Year One) และ แบทแมน: เดอะลองฮัลโลวีน (Batman: The Long Halloween) ที่มาของภาพยนตร์เรื่องนี้ มาจากความคิดของคริสโตเฟอร์ โนแลน และเดวิด เอส. โกเยอร์ (ผู้เขียนบทภาพยนตร์) ที่มาร่วมงานกันเมื่อช่วงต้นปี พ.ศ. 2546 ซึ่งภาคนี้ถือเป็นภาพยนตร์แบทแมนเรื่องแรก หลังจากที่ภาค แบทแมนแอนด์โรบิน (Batman & Robin) เมื่อ พ.ศ. 2540 ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบและประสบความล้มเหลวในเชิงพาณิชย์ โดยในภาคนี้ เขาทั้งสองคนได้ดัดแปลงให้มีโทนสีมืดและมีความสมจริงของเนื้อเรื่องมากกว่าที่ภาคที่ผ่านมา การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ใช้วิธีการแสดงผาดโผนแบบดั้งเดิมและอาศัยการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ไม่มากนัก โดยสถานที่ที่ใช้ในการถ่ายทำในเบื้องต้น คือ อังกฤษและชิคาโก แบทแมน บีกินส์ ได้รับกระแสที่ดีทั้งจากคำวิจารณ์และการตอบรับเชิงพาณิชย์ โดยได้มีการสร้างภาพยนตร์ภาคต่อชื่อว่า แบทแมน อัศวินรัตติกาล (The Dark Knight) ขึ้นมา ซึ่งออกฉายในปี พ.ศ. 2551 กำกับโดยคริสโตเฟอร์ โนแลน และนำแสดงโดยคริสเตียน เบล เช่นเดิม.

ใหม่!!: สัตว์และแบทแมน บีกินส์ · ดูเพิ่มเติม »

แบดเจอร์

แบดเจอร์ (badger) เป็นชื่อสามัญของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด ในอันดับสัตว์กินเนื้อที่อยู่ในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) แบ่งออกได้เป็น 3 วงศ์ย่อย 4 สกุล (ดูในตาราง-แต่โดยมากแล้วจะหมายถึง แบดเจอร์ยุโรป ที่จะอยู่ในวงศ์ย่อย Melinae).

ใหม่!!: สัตว์และแบดเจอร์ · ดูเพิ่มเติม »

แบดเจอร์ยุโรป

แบดเจอร์ยุโรป หรือ แบดเจอร์ยูเรเชีย (European badger, Eurasian badger, Badger) เป็นแบดเจอร์ชนิดหนึ่ง นับเป็นแบดเจอร์ขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี มีส่วนหัวที่เล็ก มีคอที่สั้นและหนา และมีหางที่สั้นและดวงตาขนาดเล็ก มีจุดเด่น คือ สีที่มีลักษณะเฉพาะเป็นแถบสีดำและขาวบริเวณส่วนหัว และมีขนสีขาวที่ปลายสุดของหู ความยาวตั้งแต่หัวจรดหางมีขนาดยาวได้ถึง 750 มิลลิเมตร โดยมีความยาวของหางอยู่ที่ 150 มิลลิเมตร มีน้ำหนักตัวเฉลี่ยอยู่ที่ระหว่าง 8-10 กิโลกรัม โดยที่ตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย มีฟันที่แหลมคมในปาก ซึ่งสามารถเขียนเป็นสูตรได้ว่า ลายแถบสีดำของแบดเจอร์มีทฤษฎีมากมายที่อธิบายถึงการมีอยู่ บ้างก็เชื่อว่า เพราะแบดเจอร์เป็นสัตว์ที่สายตาไม่ดี อีกทั้งหากินในเวลากลางคืน จึงช่วยในการติดต่อสื่อสารกันเพราะเป็นจุดเด่น หรือบ้างก็ว่า ช่วยในการป้องกันดวงตาเวลาต่อสู้กัน เป็นสัตว์ที่หาอาหารกินได้หลากหลายทั้งพืชและเนื้อสัตว์ โดยกินไส้เดือนดินเป็นอาหารหลัก และยังกินแมลงปีกแข็ง, ทาก, หนอนและดักแด้, หนูบ้าน, ผลไม้ และหัวของพืชหลาย ๆ ประเภท เป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน โดยจะเริ่มออกหากินตั้งแต่ช่วงโพล้เพล้ แบดเจอร์อาศัยอยู่ในโพรงดินที่ขุดจากกรงเล็บตีนที่แหลมคม โดยมีตัวผู้และตัวเมียที่โตเต็มวัยหลายตัวพร้อมกับลูกเล็ก ๆ ครอกหนึ่งหรือสองครอก โดยโพรงนี้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของแบดเจอร์หลายรุ่น ในโพรงมีทางเข้า-ออกหลายทาง แบ่งออกได้เป็นหลายห้อง โดยอาจมีได้ถึง 130 ทาง มีห้องถึง 50 ห้อง และมีอุโมงค์ทางเดินที่ทอดยาวได้ถึง 800 เมตร มีการสื่อสารระหว่างกันด้วยกลิ่น ซึ่งผลิตมาจากต่อมกลิ่นใกล้ก้น ถือเป็นเอกลักษณะประจำฝูงและประจำตัว นอกจากนี้แล้วแบดเจอร์ยังมีเสียงร้องที่แตกต่างกันได้ถึง 16 แบบ ครั้งหนึ่งมีความเชื่อกันว่าเสียงร้องของแบดเจอร์เป็นลางบอกเหตุว่า มีคนกำลังจะตาย แบดเจอร์เป็นสัตว์ที่มีกิจวัตรประจำวันที่ทำซ้ำตรงเวลาในทุก ๆ วัน และเมื่อหาคู่ จะตามหาคู่ด้วยกลิ่น ซึ่งบางครั้งอาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์ แบดเจอร์เริ่มจับคู่ผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปีแต่ไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์แล้วจะถูกระงับการพัฒนาการไว้ชั่วคราวอยู่ในมดลูกจนกระทั่งถึงช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่ไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จะได้รับการฝังไว้ในมดลูกและจะเจริญเติบโตต่อไปตามปกติ ทำให้ลูกแบดเจอร์ที่เกิดจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์ไม่ว่าช่วงไหนของปี จะคลอดมาพร้อม ๆ กัน หลังจากที่ไข่ซึ่งได้รับผสมพันธุ์ถูกฝังไว้ในมดลูกแล้ว ระยะเวลาการตั้งท้องจะอยู่ที่ 6-7 สัปดาห์ มีลูกได้ครอกละ 1-5 ตัว แต่ตามปกติแล้วจะอยู่ที่ 2-3 ตัว ลูกแบดเจอร์จะได้รับการเลี้ยงดูอยู่ใต้ดินเป็นเวลาถึง 8 สัปดาห์และจะเริ่มออกมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ลูกแบดเจอร์จะหย่านมที่ช่วงเวลาประมาณ 12 สัปดาห์ แบดเจอร์ตัวเมียจะโตเต็มวัยเจริญพันธุ์หลังจาก 12–15 เดือน แต่ตัวผู้นั้นจะไม่โตเต็มวัยเจริญพันธุ์จนกระทั่งเข้าถึงช่วงอายุปีที่ 2 ในช่วงฤดูหนาวแบดเจอร์จะไม่จำศีลแต่จะมีการเคลื่อนไหวน้อยลง มีการแพร่กระจายพันธุ์ที่กว้างไกลในหลายส่วนของทวีปยุโรปจนถึงบางส่วนในเอเชีย เช่น ยูเรเชีย, ตะวันออกกลาง แบ่งออกได้เป็น 8 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) แบดเจอร์ ในอดีตมีการล่าเพื่อนำหนังและขนมาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ รวมถึงการรับประทานเนื้อด้วย อีกทั้งแบดเจอร์ยังเป็นสัตว์รังควานต่อมนุษย์อีกด้วย และยังเป็นพาหะนำโรคบางอย่างสู่แก่ปศุสัตว์เช่น วัว ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และแบดเจอร์ยุโรป · ดูเพิ่มเติม »

แบคทีเรีย

แบคทีเรีย หรือ บัคเตรี เป็นประเภทของสิ่งมีชีวิตประเภทใหญ่ประเภทหนึ่ง มีขนาดเล็ก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ส่วนใหญ่มีเซลล์เดียว และมีโครงสร้างเซลล์ที่ไม่ซับซ้อนมาก และโดยทั่วไปแบคทีเรียแบ่งได้หลายรูปแ.

ใหม่!!: สัตว์และแบคทีเรีย · ดูเพิ่มเติม »

แบคทีเรียดื้อยา

date.

ใหม่!!: สัตว์และแบคทีเรียดื้อยา · ดูเพิ่มเติม »

แบ็บทอนิส

แบ็ททอนิส (Baptornis) เป็นนกที่อยู่ในสกุลเฮสเปอร์รอร์นิสที่ปรับตัวลงไปอาศัยอยู่ในน้ำ พวกมันอยู่ในช่วงยุคครีเทเชียส สัตว์ในสกุลเฮสเปอร์ลอนิส ได้แก่ เฮสเปอร์รอร์นิส, แบ็บทอนิส, พาราเฮสเปอร์รอร์นิส และ อื่น.

ใหม่!!: สัตว์และแบ็บทอนิส · ดูเพิ่มเติม »

แฟนพันธุ์แท้ 2008

รายการแฟนพันธุ์แท้ในปี 2008 ยังคงรูปแบบการแข่งขันส่วนใหญ่จากในปี 2007 แต่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในรอบ 4 คน และรอบชิงชนะเลิศ โดยมี แทนคุณ จิตต์อิสระ เป็นพิธีกร โดยจะเริ่มออกอากาศตอนแรกในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 ออกอากาศครั้งสุดท้ายในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552 และรางวัลสำหรับสุดยอดแฟนพันธุ์แท้แห่งปียังคงเป็นบ้านและรถยนต์รวมมูลค่ากว่า 4,000,000 บาท เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2008 นี้ มีแฟนพันธุ์แท้ทั้งหมด 23 เรื่อง เป็นเรื่องใหม่ 16 เรื่อง เรื่องเก่าที่นำมาจัดแข่งขันใหม่ 8 เรื่อง มีสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ทั้งหมด 24 คน ตอบคำถามสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ถูก 22 คน ตอบผิด 2 คน (โดยเป็นเรื่องเดียวกันทั้ง 2 คน ที่ตอบคำถามผิด) และในปีนี้มีสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ที่เข้าร่วมชิงชัยสุดยอดแฟนพันธุ์แท้แห่งปี 2008 รวมทั้งสิ้น 22 คน และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้แห่งปี 2008 มี 2 คน ก็คือ ณัฐพงษ์ ชวาลรัตนสกุล สุดยอดแฟนพันธุ์แท้พระเหรียญ และ ชัชวนันท์ สันธิเดช สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สามก๊ก หลังจากการแข่งขันสุดยอดแฟนพันธุ์แท้จบลง แฟนพันธุ์แท้ได้นำเสนอสรุปเรื่องราวที่สุด 4 สุดยอดในเรื่องต่างๆของแฟนพันธุ์แท้ ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ออกอากาศ ในตอน แฟนพันธุ์แท้ 444 อีก 2 เทปต่อมา ก่อนที่แฟนพันธุ์แท้จะยุติออกอากาศชั่วคราวเป็นเวลา 2 ปี เนื่องจากช่อง 5 ได้ยกเลิกสัญญากับรายการ.

ใหม่!!: สัตว์และแฟนพันธุ์แท้ 2008 · ดูเพิ่มเติม »

แพรรีด็อก

แพรรีด็อก (prairie dog) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cynomys (/ไซ-โน-มีส/) ในวงศ์กระรอก (Sciuridae) แพรรีด็อกมีลักษณะโดยทั่วไป คือ ใบหูเล็ก ดวงตากลมโต ฟันแข็งแรง ขาคู่หน้าจะมีเล็บที่แหลมคมและแข็งแรง มีหน้าที่ขุดคุ้ยดินเพื่อหาอาหารและขุดโพรงอยู่อาศัย ออกหาอาหารในเวลากลางวันซึ่งกินได้ทั้งพืชและสัตว์ จำพวกหญ้า ผัก เมล็ดพืชต่าง ๆ รวมถึง แมลงและหนอน มีสีขนสีน้ำตาลทอง ปลายหางมีสีดำ ส่วนของหางมีความยาว 3-4 นิ้ว เท้ามีสีครีม ลำตัวอ้วนกลม เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม แม้แพรรีด็อกจะเป็นสัตว์ฟันแทะวงศ์เดียวกับกระรอก แต่จะไม่อาศัยและหากินบนต้นไม้เหมือนกระรอกทั่วไป แต่จะหากินและทำรังด้วยการขุดโพรงอยู่ตามพื้นดินทุ่งราบและพื้นที่ที่เป็นดินโล่ง เช่น ทุ่งหญ้าแพรรีในอเมริกาเหนือและเม็กซิโก มีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และแพรรีด็อก · ดูเพิ่มเติม »

แพลทีโอซอรัส

ลาทีโอซอรัส (Plateosaurus) เป็นไดโนเสาร์โปรซอโรพอดของยุคไทรแอสซิก ขนาด 7.8 เมตร อยู่กันเป็นฝูง กินพืชเป็นอาหาร พบที่ทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ เมื่อหน้าแล้งมาถึงมันจะอพยพ มันสามารถเดินได้ทั้ง 4 ขาและ 2 ขา เวลากินอาหารบนต้นไม้จะยืนด้วย 2 ขา แต่เวลาเดินหรือกินอาหารที่อยู่บนพื่นอย่างหญ้า มันก็จะเดิน 4 ขา พบในยุคไทรแอสซิกตอนปลาย-ยุคจูแรสซิกตอนต้น.

ใหม่!!: สัตว์และแพลทีโอซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

แพลงก์ตอน

แพลงก์ตอน แพลงก์ตอน (plankton) มาจากคำว่า πλανκτος ("planktos") ในภาษากรีกแปลว่า wanderer หรือผู้ท่องเที่ยวไปโดยไร้จุดหมาย คือสิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์ที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ ไม่สามารถว่ายน้ำไปยังทิศทางที่ต้องการอย่างอิสร.

ใหม่!!: สัตว์และแพลงก์ตอน · ดูเพิ่มเติม »

แพะ

แพะ เป็นชนิดย่อยของแพะซึ่งทำให้เชื่องจากแพะป่าในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้และยุโรปตะวันออก แพะนี้อยู่ในสกุล Bovidae และสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแกะเพราะต่างอยู่ในวงศ์ย่อยแกะและแพะ (Caprinae) มีแพะกว่า 300 สายพันธุ์Hirst, K. Kris.

ใหม่!!: สัตว์และแพะ · ดูเพิ่มเติม »

แพคิเซอฟาโลซอรัส

แพคิเซอฟาโลซอรัส (Pachycephalosaurus) เป็นไดโนเสาร์หัวแข็ง หรือแพคิเซอฟาโลซอร์ชนิดหนึ่ง ไดโนเสาร์ชนิดนี้มีหัวหนาถึง 25 เซนติเมตร ซึ่งน่าจะมีไว้ต่อสู้หรือป้องกันตัว ฟอสซิลของค้นพบที่รัฐไวโอมิง ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และแพคิเซอฟาโลซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

แพนด้ายักษ์

แพนด้ายักษ์ (Giant panda) หรือที่นิยมเรียกว่า แพนด้า (Panda เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์หมี (Ursidae) ถิ่นอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน อาหารโปรดของแพนด้ายักษ์คือใบไผ่ นอกนั้นจะเป็นหญ้าชนิดอื่น ๆ ลักษณะเฉพาะของแพนด้ายักษ์คือมีขนสีดำรอบดวงตา, ใบหู, บ่า และขาทั้งสี่ข้าง ส่วนอื่นประกอบด้วยขนสีขาว.

ใหม่!!: สัตว์และแพนด้ายักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

แพนด้ายักษ์ (สกุล)

แพนด้ายักษ์ หรือ หมีแพนด้า (Giant pandas, Pandas) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์หมี (Ursidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Ailuropoda แพนด้ายักษ์ ได้ปรากฏขึ้นมาครั้งแรกบนโลกเมื่อราว 8–9 ล้านปีก่อน ในช่วงปลายยุคไพลโอซีน (เริ่มต้นเมื่อ 25 ล้านปีก่อน กินเวลาประมาณ 12 ล้านปี) ตามที่มีการพบหลักฐาน เป็นซากฟอสซิล ที่บริเวณรอบ ๆ ป่าเขตร้อนชื้น ในมณฑลยูนาน ทางภาคใต้ของประเทศจีน โดยสัตว์ในสกุลนี้ได้กระจายพันธุ์ไปทั่วบริเวณที่เป็นประเทศจีนในปัจจุบัน ตลอดจนถึงเกาะไต้หวัน และภาคเหนือของเวียดนาม, พม่า และภาคเหนือของไทยด้วย ซึ่งบรรพบุรุษของสัตว์ในสกุลนี้ได้วิวัฒนาการแยกตัวเองออกจากสัตว์ในสกุล Ailurarctos ที่มีชีวิตอยู่ในปลายยุคไมโอซีน โดยแพนด้ายักษ์ในตอนแรกเริ่มมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของแพนด้ายักษ์ในปัจจุบัน หรือมีขนาดตัวพอ ๆ กับสุนัขอ้วน ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น และมีชีวิตอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยุคก่อนประวัติศาสตร์หลายชนิด อาทิ มนุษย์ปักกิ่ง, เสือเขี้ยวดาบ, ช้างแมมมอธ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และแพนด้ายักษ์ (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

แพนด้าฉินหลิ่ง

แพนด้าฉินหลิ่ง (Qinling panda; 秦嶺大熊貓; พินอิน: Qínlǐng dà xióngmāo) เป็นชนิดย่อยของแพนด้ายักษ์ (A. melanoleuca) ชนิดหนึ่ง แพนด้าฉินหลิ่ง ถูกค้นพบตั้งแต่ทศวรรษที่ 60 แต่ได้รับการยอมรับให้เป็นชนิดย่อยในปี..

ใหม่!!: สัตว์และแพนด้าฉินหลิ่ง · ดูเพิ่มเติม »

แพนด้าแดง

แพนด้าแดง (Red panda, Shining cat; 小熊貓; พินอิน: Xiǎo xióngmāo) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ailurus fulgens อยู่ในวงศ์ Ailuridae จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในวงศ์นี้ที่ยังสืบทอดสายพันธุ์อยู่ จึงจัดเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตอยู่ชนิดหนึ่ง และเป็นเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Ailurus มีรูปร่างหน้าตาคล้ายแรคคูนและกระรอกรวมกัน หัวมีขนาดใหญ่ จมูกแหลม ขาสั้นคล้ายหมี ขนตามลำตัวมีหลากหลาย มีทั้งสีน้ำตาลเข้ม น้ำตาลเหลืองและน้ำตาลแดง ขนบริเวณลำคอยาวและนุ่มฟู หางเป็นพวงยาวคล้ายกับหางของกระรอก มีลายปล้องสีน้ำตาลแดงสลับขาว มีความยาวของลำตัวและหัว 51-64 เซนติเมตร หางยาว 50-63 เซนติเมตร มีน้ำหนัก 3-4.5 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์พบตามแนวเทือกเขาหิมาลัย ตั้งแต่ภาคเหนือของประเทศอินเดีย, ทิเบต, เนปาล, ภูฏาน, จีน, ภาคเหนือของพม่า และภาคเหนือของประเทศลาวบริเวณที่ติดกับจีน โดยอาศัยอยู่ในป่าที่มีระดับความสูงตั้งแต่ 1,500-4,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีพฤติกรรมออกหากินตามลำพัง มักหากินบนต้นไม้ กินอาหารเพียงไม่กี่ประเภท โดยกินเฉพาะใบไม้อ่อนเท่านั้น บางครั้งอาจกินไข่นก สัตว์ขนาดเล็กและผลไม้บางชนิดด้วย ใช้เวลาตอนกลางวันในการนอนหลับพักผ่อน แพนด้าแดงตัวผู้จะหวงอาณาเขตมากและมักเคลื่อนย้ายไปเรื่อย ๆ แต่แพนด้าแดงตัวเมียจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ครอบครองของตัวเอง บางครั้งตัวผู้อาจเข้ามาหากินภายในอาณาเขตของตัวเมียด้วย โดยทั่วไปอาณาเขตของแพนด้าแดงตัวผู้จะกว้างประมาณ 1.1-9.6 ตารางกิโลเมตร ส่วนอาณาเขตของตัวเมียจะกว้างประมาณ 1.0-1.5 ตารางกิโลเมตร ผสมพันธุ์ในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนกุมภาพันธ์ โดยตัวเมียจะยอมให้ตัวผู้ผสมพันธุ์อยู่เพียง 1-3 วันเท่านั้น แม่แพนด้าแดงใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 90-145 วัน และจะออกลูกในโพรงไม้หรือถ้ำเล็ก ๆ ออกลูกครั้งละ 4 ตัว ลูกที่เกิดใหม่จะยังมองไม่เห็น มีสีขนตามลำตัวออกสีเหลืองอ่อน และจะกินนมแม่อยู่นาน 5 เดือน หลังจากนั้นจึงหย่านมและเปลี่ยนมากินใบไผ่แทน เมื่ออายุได้ 2 ปี ก็จะแยกออกไปหากินตามลำพัง มีข้อสังเกตว่า แพนด้าแดงที่อยู่บริเวณภาคเหนือของอินเดียจะมีขนาดเล็กกว่าตัวที่อยู่ค่อนมาทางเอเชียตะวันออก และมีสีที่ใบหน้าซีดจางกว่า ซึ่งเป็นชนิดย่อยที่แยกออกไป สำหรับในประเทศไทย สวนสัตว์พาต้าเคยนำเข้ามาเลี้ยงในสวนสัตว์ครั้งหนึ่ง โดยให้อยู่ในห้องปรับอากาศ ปัจจุบันมีแสดงที่สวนสัตว์ดุสิต และสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และแพนด้าแดง · ดูเพิ่มเติม »

แกรฟโตไลต์

แกรฟโตไลต์ (Graptolithina) เป็นซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์โดยทั่วไปพบจากหินตั้งแต่ยุคแคมเบรียนตอนบนตลอดจนยุคคาร์บอนิเฟอรัสตอนล่าง แกรฟโตไลต์รุ่นแรกๆอาจเป็น Chaunograptus จากยุคแคมเบรียนตอนกลาง ชื่อแกรฟโตไลต์มาจากภาษากรีกคำว่า “graptos” หมายถึงรอยขีดเขียน และคำว่า “lithos” หมายถึงหิน ด้วยซากดึกดำบรรพ์ของแกรฟโตไลต์มีลักษณะคล้ายรอยขีดเขียนบนพื้นหิน เดิมทีลินเนียสได้พิจารณาให้เป็นเพียงรอยภาพที่ไม่ใช่ซากดึกดำบรรพ์จริงๆ ต่อมามีผู้ศึกษาหลายท่านดังเช่น ดร.ทิโมธี ทอปเปอร์ ที่มีความเห็นว่าอาจเป็นพวกไฮโดรซัว ซึ่งผลงานต่อจากนั้นได้พิจารณาให้เป็นพวกเธอโรบรานซ.

ใหม่!!: สัตว์และแกรฟโตไลต์ · ดูเพิ่มเติม »

แกรนท์กาเซลล์

แกรนท์กาเซลล์ (Grant's gazelle) เป็นแอนทีโลปขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง นับเป็นแอนทีโลปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดากาเซลล์ หรือแอนทีโลปขนาดกลางด้วยกัน (ชื่อในภาษาสวาฮิลีเรียกว่า Swala Grantiในขณะที่ชื่อสามัญในภาษาอังกฤษและชื่อวิทยาศาสตร์ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักสำรวจชาวสกอตในยุคศตวรรษที่ 19 พันเอกเจมส์ ออกุสตุส แกรนท์) ตัวผู้มีน้ำหนัก 60–75 กิโลกรัม ในขณะที่ตัวเมีย 40–50 กิโลกรัม ความสูงจากเท้าจรดหัวไหล่ 80–90 เซนติเมตร ความยาวตลอดลำตัว 1–1.4 เมตร ความยาวหาง 25–30 เซนติเมตร อายุขัยโดยเฉลี่ย 10–12 ปี ตัวผู้จะมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับอิมพาลา ซึ่งเป็นแอนทีโลปอีกชนิดหนึ่ง มีคอยาวแข็งแรงและมีเขาคู่ยาวเรียวแหลมสวยงาม ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่ามีเขาสั้นและเล็กกว่าตัวผู้ มีลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ระยะไกล คือ มีแผานสีดำเป็นทางขวางข้างลำตัวจากขาหน้าจรดขาหลังทั้ง 2 ข้างคล้ายทอมสันส์กาเซลล์ และมีทางสีดำยาวลงตรงสะโพกทั้ง 2 ด้าน หางสีขาวแต่ปลายหางเป็นสีดำ พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนเหนือของแทนซาเนียถึงตอนใต้ของซูดาน และเอธิโอเปีย และด้านชายฝั่งทะเลของเคนยาจนถึงทะเลสาบวิกตอเรีย ใบหน้าแบบโคลสอั.

ใหม่!!: สัตว์และแกรนท์กาเซลล์ · ดูเพิ่มเติม »

แกสโทรทริชา

แกสโทรทริชา (Gastrotrich) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีอายุขัยประมาณ 3 วัน มีขนาดประมาณ 0.06-3.0 มม.

ใหม่!!: สัตว์และแกสโทรทริชา · ดูเพิ่มเติม »

แกะ

ลูกแกะที่สวนสัตว์พาต้า แกะ เป็นสัตว์สี่เท้าเคี้ยวเอื้องและเลี้ยงลูกด้วยนม แกะเป็นสัตว์กีบคู่เหมือนสัตว์กับเคี้ยวเอื้องส่วนใหญ่ แกะส่วนใหญ่เคยเป็นแกะป่าที่พบได้ตามป่าของเอเชียและยุโรป ซึ่งแกะป่าเป็นสัตว์ชนิดแรก ๆ ที่นำมาทำให้เชื่องเพื่อใช้งานเกษตรกรรม ขน หนัง เนื้อและนม ขนแกะเป็นเส้นใยจากสัตว์ที่ผู้คนใช้มากที่สุด ส่วนมากจะเก็บขนแกะด้วยการโกนขน เนื้อแกะจะมีทั้งเนื้อของลูกแกะและเนื้อของตัวโตเต็มวัย กินอาหารประเภทพืชและหญ้าเป็นหลัก มีขนหนาฟู ออกลูกเป็นตัวและเลี้ยงลูกด้วยน้ำนม แกะบางพื้นที่กินดอกไม้และแมลงบางชนิด เช่น แกะภูเขา ส่วนใหญ่แกะจะอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ มีถิ่นอาศัยอยู่ตามพื้นที่หนาวเย็น แถบภูเขาและพื้นที่ราบโล่ง เช่น ประเทศนิวซีแลนด์ และประเทศออสเตรเลีย อเมริกาตอนกลาง และตอนใต้ของประเทศแคนาดา โดยมีการกระจายอยู่ตลอดแถบประเทศเขตหนาว ในโลกนั้นมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ โดยมีตั้งแต่สายพันธุ์ดังเดิมจนถึง สายใหม่ที่ถูกผสมพันธุ์โดยธรรมชาติ และสายพันธุ์ที่มนุษย์พัฒนาเพื่อเพิ่มคุณภาพของการใช้งานผลิตภัณฑ์ เช่น ขนสัตว์, เนื้อ, นม.

ใหม่!!: สัตว์และแกะ · ดูเพิ่มเติม »

แกะภูเขา

แกะภูเขา หรือ แกะบาร์บารี (Barbary sheep) เป็นแกะชนิดหนึ่ง จัดอยู่เพียงชนิดเดียวในสกุล Ammotragus Grubb, P. (16 November 2005).

ใหม่!!: สัตว์และแกะภูเขา · ดูเพิ่มเติม »

แก๊สเรือนกระจก

ice core) ล่าง: ปริมาณสุทธิของคาร์บอนที่เพิ่มในบรรยากาศเปรียบเทียบกับคาร์บอนที่ปลดปล่อยจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ (fossil fuel) แก๊สเรือนกระจก (greenhouse gas) หรือบางครั้งเรียกย่อๆว่า GHG คือแก๊สในบรรยากาศที่ดูดซับและปลดปล่อยรังสีภายในช่วงความถี่(คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า)อินฟราเรดร้อน (thermal infrared range) ทำให้เกิดการสูญเสียความร้อนบางส่วนออกสู่ห้วงอวกาศภายนอกและปลดปล่อยความร้อนกลับสู่พื้นผิวโลก ขบวนการนี้จึงเป็นสาเหตุพื้นฐานของปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse effect) แก๊สเรือนกระจกมีความจำเป็นและมีความสำคัญต่อการรักษาระดับอุณหภูมิของโลก หากปราศจากแก๊สเรือนกระจก โลกจะหนาวเย็นจนสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยไม่ได้ อุณหภูมิในโลกจะต่ำกว่าปัจจุบันที่ 14 °C (57 °F) ลงอีก 33 °C (59 °F) แต่การมีแก๊สเรือนกระจกมากเกินไปก็เป็นเหตุให้อุณหภูมิสูงขึ้นถึงระดับเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตดังที่เป็นอยู่กับบรรยากาศของดาวศุกร์ซึ่งมีบรรยากาศที่ประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์มากถึงร้อยละ 96.5 มีผลให้อุณหภูมิผิวพื้นร้อนมากถึง 467 °C (872 °F) คำว่า “แก๊สเรือนกระจก” บนโลกหมายถึงแก๊สต่างๆ เรียงตามลำดับความอุดมคือ ไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ โอโซน และ คลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbon) แก๊สเรือนกระจกเกิดเองตามธรรมชาติและจากกระบวนการอุตสาหกรรมซึ่งปัจจุบันทำให้ระดับคาร์บอนไดออกไซด์มีในบรรยากาศ 380 ppmv และที่ปรากฏในแกนน้ำแข็งตัวอย่าง (ดูแผนภูมิ) จะเห็นว่าระดับของคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศปัจจุบันสูงกว่าระดับเมื่อก่อนยุคอุตสาหกรรมประมาณ 100 ppmv.

ใหม่!!: สัตว์และแก๊สเรือนกระจก · ดูเพิ่มเติม »

แมลง

แมลง (Insect) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จัดอยู่ในไฟลัมอาร์โทรโพดา จำแนกออกเป็นไฟลัมต่าง ๆ ได้ 13 กลุ่ม มีลักษณะสำคัญคือมีลำตัวเป็นปล้องคล้อง ซึ่งอาจแบ่งเป็น 2 หรือ 3 ส่วน สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ลำตัวทั้งสองด้านซ้ายขวามีความเหมือนและมีขนาดเท่ากัน มีเปลือกห่อหุ้มลำตัวด้วยสารไคติน (Chitinous Exoskeleton) ไม่มีขน หายใจแบบใช้เหงือกหรือใช้รูหายใจ มีวัฎจักรวงจรชีวิตในการเจริญเติบโตแบบไข่ มีการลอกคราบเป็นบางครั้งแล้วสร้างผนังหรือเปลือกห่อหุ้มลำตัวใหม่ มีรยางค์เป็นคู่และเป็นปล้อง ส่วนใหญ่นักกีฏวิทยามักใช้รยางค์ในการแบ่งเพศผู้เพศเมียของแมลง มีอวัยวะภายในที่มีท่อทางเดินอาหารเป็นท่อยาวตลอดจากปากไปถึงทวารหนัก ระบบเลือดเป็นแบบเปิดและมีท่อเลือดอยู่ทางด้านสันหลังเหนือระบบทางเดินอาหาร มีระบบประสาทที่ประกอบไปด้วยสมองอยู่เหนือท่ออาหาร มีเส้นประสาทขนาดใหญ่หนึ่งคู่เชื่อมต่อจากสมอง มีการรวมตัวเป็นระยะก่อเกิดเป็นปมประสาท เส้นประสาทขนาดใหญ่ของแมลง จะอยู่ทางด้านล่างของลำตัวใต้ท่ออาหาร มีกล้ามเนื้อแบบเรียบอยู่ตามลำตัวบทปฏิบัติการกีฎวิทยาเบื้องต้น, ภาควิชากีฎวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ร. ดร.สาวิตรี มาไลยพันธุ์, สำนักพิมพ์รั้วเขียว,..

ใหม่!!: สัตว์และแมลง · ดูเพิ่มเติม »

แมลงชีปะขาว

ทความนี้หมายถึงแมลง ชีปะขาวในความหมายอื่นที่หมายถึง หญิงผู้ถือศีลในทางพุทธศาสนา ดูที่: แม่ชี แมลงชีปะขาว (Mayflies, Shadflies, Fishflies) เป็นแมลงที่จัดอยู่ในอันดับ Ephemeroptera (/อี-ฟี-เมอ-รอป-เทอ-รา/; มาจากภาษากรีก คือ คำว่า Ephemera (εφήμερος; ephemeros) แปลว่า "มีชีวิตสั้น" และคำว่า ptera (πτερόν; pteron) แปลว่า "ปีก" รวมความแล้วหมายถึงว่า "ปีกที่มีช่วงชีวิตสั้น") เป็นกลุ่มของแมลงน้ำ ปัจจุบันแมลงชีปะขาวถูกพบกว่า 3,000 ชนิดทั่วโลก แบ่งออกเป็น 400 สกุล ใน 42 วงศ์ ใช้ชีวิตส่วนมากเป็นตัวอ่อนอาศัยอยู่ในน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงชีปะขาว · ดูเพิ่มเติม »

แมลงช้างปีกใส

แมลงช้างปีกใส ชนิด Chrysoperla carnea Stephens เป็นแมลงตัวห้ำที่สำคัญที่นิยมนำมาเพาะเลี้ยงมากที่สุดในแถบทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเป็นศัตรูตามธรรมชาติที่สำคัญของแมลงศัตรูพืชหลายชนิด เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจั๊กจั้น เพลี้ยไฟ แมลงหวี่ขาว เพลี้ยแป้ง และไรแดง นอกจากนี้ตัวอ่อนของแมลงช้างปีกใสยังสามารถกินไข่และตัวอ่อนของด้วง หรือหนอนผีเสื้อที่ทำลายผลผลิตทางการเกษตรได้อีกด้วย ดังนั้นแมลงช้างปีกใสจึงมีบทบาทสำคัญในการควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แมลงช้างปีกใส C. carnea จะดำรงชีพแบบผู้ล่าหรือเป็นตัวห้ำเฉพาะในระยะตัวอ่อน ส่วนในตัวเต็มวัยจะกินน้ำหวานและละอองเรณู จึงมีบทบาทในการผสมเกสรและช่วยขยายพันธุ์พืชด้วยเช่นกัน หนอน แมลงช้างปีกใสในสกุล Chrysoperla ถูกแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ตามลักษณะสัณฐานวิทยาของตัวเต็มวัย ได้แก่ กลุ่ม carnea กลุ่ม pudica กลุ่ม comans และกลุ่ม nyerina การศึกษาความสัมพันธ์เชิงวิวัฒนาการของแมลงช้างปีกใสทั้ง 4 กลุ่ม โดยใช้ข้อมูลทางพันธุกรรม (nuclear marker 3 ยีน ได้แก่ namelywingless(546 bp), phosphoenolpyruvate carboxykinase (483 bp) และ sodium/potassium ATPase alpha subunit (410 bp)) พบว่า แมลงช้างปีกใสในกลุ่ม comans และ pudica เป็น sister group กัน และทั้งสองกลุ่มเป็น sister group กับกลุ่ม carnea แต่ความสัมพันธ์กับกลุ่ม nyerina ยังไม่แน่ชัด Haruyama, N., A. Mochizuki, P. Duelli, H. Naka, and M. Nomura.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงช้างปีกใส · ดูเพิ่มเติม »

แมลงกระชอน

แมลงกระชอน (มักออกเสียงหรือสะกดเป็น "แมงกะชอน"; Mole crickets; ไทยถิ่นเหนือ: แมงจอน; ไทยถิ่นอีสาน: แมงจีซอน, แมงอีซอน, แมงกีซอน; เขมร: กระมล) เป็นแมลงจำพวกหนึ่งในวงศ์ Gryllotalpidae มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับจิ้งหรีด ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในป่า พบในเขตเกษตรกรรมในประเทศไทยเพียงชนิดเดียวคือ Gryllotalpa orientalis ตัวยาวประมาณ 3 เซนติเมตร อกกว้าง 0.8 เซนติเมตร สีน้ำตาล ปีกบางใส บินได้ในระยะใกล้ ๆ เพียง 1–2 เมตร ขาคู่หน้าใช้ขุดดิน ปล้องสั้น ปล้องที่ 4 แบนคล้ายอุ้งมือ ส่วนขาคู่อื่น ๆ ใช้ในการวิ่ง กระโดดเหมือนแมลงทั่วไป ว่ายบนผิวน้ำและส่งเสียงร้องได้คล้ายจิ้งหรีด ส่วนใหญ่แมลงกระชอนอาศัยอยู่ใต้ดิน โดยขุดรูจากรังนอนไปหลายทิศทาง รังเป็นโพรงเท่าไข่ไก่ ลึกลงไป 5–10 เซนติเมตร วางไข่ในโพรงจนฟักเป็นตัว ใช้เวลาในการฟัก 10–21 วัน ตัวอ่อนเติบโตช้า บางชนิดใช้เวลาถึง 1 ปี จึงเป็นตัวเต็มวัย ชีวิตทั้งหมดอาศัยอยู่ใต้ดิน โดยจะออกมาเล่นไฟตอนกลางคืนเฉพาะเฉพาะเวลาผสมพันธุ์เท่านั้น กินสัตว์ต่าง ๆ ในดินเป็นอาหารและอาจทำลายรากพืช ขาคู่หน้าของแมลงกระชอน วงชีวิตของแมลงกระชอน แมลงกระชอน เป็นแมลงที่สามารถนำมารับประทานได้เหมือนกับจิ้งหรีด, ตั๊กแตน หรือหนอนไม้ไผ่บางชนิด โดยการจับนั้นนอกจากใช้วิธีการปล่อยน้ำลงพื้นที่นาแล้วใช้เท้าย่ำหรือเครื่องตัดหญ้าหรือรถไถแล้ว ปัจจุบันยังพัฒนาเป็นการใช้เสียงหลอกล่อด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงกระชอน · ดูเพิ่มเติม »

แมลงภู่

''แมลงภู่'' เกาะอยู่บนสภาพแวดล้อมในเมืองเขตร้อน เอลเดอร์ แมลงภู่เจาะรูทำรัง แมลงภู่ เป็นสายพันธ์ุผึ้งไม้ซึ่งแพร่หลายในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผึ้งชนิดนี้อาศัยอยู่ในป่าเขตร้อนอบอุ่น และสร้างรังโดยการเจาะเข้าไปในเนื้อไม้ แมลงภู่มักจะสร้างโพรงยาวลึกในไม้ผุ ต้นไม้ที่โค่นล้ม โทรศัพท์ หรือสิ่งอื่น ๆ ที่คล้าย ๆ กัน แต่ไม่พบว่าสร้างรังอยู่ในต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่ แมลงภู่ถูกบรรยายในทางวิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรกโดยนักกีฏวิทยาชาวอังกฤษ ใน..

ใหม่!!: สัตว์และแมลงภู่ · ดูเพิ่มเติม »

แมลงวัน

แมลงวัน (ภาษาไทยถิ่นเหนือ: แมงงุน) เป็น แมลง ใน อันดับ Diptera (di.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงวัน · ดูเพิ่มเติม »

แมลงวันสี

แมลงวันสี (march flies และ lovebugs) อยู่ในวงศ์ Biobionidae อับดับ Diptera มีประมาณ 780 ชนิดทั่วโลก ขนาดยาว 0.5 -1.1 เซนติเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงวันสี · ดูเพิ่มเติม »

แมลงวันทอง

แมลงวันทอง หรือ แมลงหวี่ เป็นแมลงศัตรูพืชที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ทำลายพืชได้หลายชนิด เช่น ชมพู่ มะม่วง กล้วย มะละกอ พุทรา น้อยหน่า ลำตัวสีน้ำผึ้งใส ดวงตาสีแดง มีลักษณะคล้ายแมลงวันทั่วไป.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงวันทอง · ดูเพิ่มเติม »

แมลงวันดอกไม้

แมลงวันดอกไม้ (Flower fly) วงศ์ Syrphidae หรือที่รู้จักในชื่อ hoverfly เป็นวงศ์หนึ่งของแมลง.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงวันดอกไม้ · ดูเพิ่มเติม »

แมลงวันตอมดอกไม้ บิล เกตส์

แมลงวันตอมดอกไม้ บิล เกตส์ (Bill Gates' flower fly; ชื่อวิทยาศาสตร์: Eristalis gatesi) เป็นแมลงวันตอมดอกไม้ ซึ่งพบในเขตป่าเมฆ เขาป่าดิบสูง ในประเทศคอสตาริกาเท่านั้น โดยได้รับการตั้งชื่อตามชื่อของบิล เกตส์ ส่วนแมลงวันตอมดอกไม้อีกสปีชี่ส์ที่อยู่อาศัยอยู่ในเขตเดียวกันก็ได้รับการตั้งชื่อตามพอล อัลเลน ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของบิล เกตส์ โดยให้ชื่อแมลงวันตอมดอกไม้อีกสปีชี่ส์นี้ว่าแมลงวันตอมดอกไม้ พอล อัลเลน (Eristalis alleni) โดยมีคริส ธอมสัน เป็นผู้ตั้งชื่อสปีชี่ส์เหล่านี้ ชื่อทั้งสองต่างเป็นที่รู้จักกันในวิชาวิทยาศาสตร์แขนงกีฏวิทยาด้านแมลงวัน.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงวันตอมดอกไม้ บิล เกตส์ · ดูเพิ่มเติม »

แมลงวันตอมดอกไม้ พอล อัลเลน

แมลงวันตอมดอกไม้ พอล อัลเลน (Paul Allen's flower fly; ชื่อวิทยาศาสตร์: Eristalis alleni Thompson) เป็นแมลงวันตอมดอกไม้ ซึ่งพบในเขตป่าคอสตาริกาบนที่ราบสูงภาคกลางเท่านั้น โดยได้รับการตั้งชื่อตามชื่อของพอล อัลเลน ส่วนแมลงวันตอมดอกไม้อีกสปีชี่ส์ที่อยู่อาศัยอยู่ในเขตเดียวกันก็ได้รับการตั้งชื่อตามบิล เกตส์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของพอล อัลเลน โดยให้ชื่อแมลงวันตอมดอกไม้อีกสปีชี่ส์นี้ว่าแมลงวันตอมดอกไม้ บิล เกตส์ (Eristalis gatesi) มันเป็นพันธุ์เดียวกันกับแมลงวันตอมดอกไม้พันธุ์ใหญ่ซึ่งมีชื่อว่า Eristalis circe Williston, 1891 กับ Eristalis persa Williston, 1891 หากแต่มีสีตรงส่วนขาที่ต่างกัน.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงวันตอมดอกไม้ พอล อัลเลน · ดูเพิ่มเติม »

แมลงวันแมงมุม

แมลงวันแมงมุม หรือ เครนฟลาย (crane fly) เป็นแมลงที่มีลักษณะคล้ายยุงมี 6 ขาและ 2 ปีก อยู่ในตระกูลของธิปูลิเดอี(Tipulidae) ทั่วโลกมีประมาณ 12,000 ชนิด ลักษณะโดดเด่นของมันคือไม่กินเลือดแต่กินน้ำหวาน น้ำค้างเป็นอาหาร คล้ายยุงตัวผู้ left.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงวันแมงมุม · ดูเพิ่มเติม »

แมลงสาบ

แมลงสาบ (Cockroachs) เป็นแมลงที่อยู่ในอันดับ Blattodea หรือ Blattaria จัดเป็นแมลงที่มีวงจรชีวิตไม่สมบูรณ์ คือ ไม่เป็นตัวหนอนและดักแด้ ปัจจุบันเป็นแมลงที่พบกระจายไปแล้วทั่วโลก โดยติดไปกับยานพาหนะต่าง ๆ พบได้ถึงขนาดบนเครื่องบินโดยสาร ถือเป็นสัตว์ที่เป็นพาหะนำโร.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงสาบ · ดูเพิ่มเติม »

แมลงสาบมาดากัสการ์

แมลงสาบมาดากัสการ์ (Giant hissing cockroach, Madagascan giant hissing cockroach, เรียกสั้น ๆ ว่า Hissing cockroach หรือ Hisser) เป็นแมลงชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gromphadorhina portentosa อยู่ในวงศ์แมลงสาบยักษ์ (Blaberidae) อันดับแมลงสาบ (Blattodea) แมลงสาบมาดากัสการ์เป็นแมลงสาบที่ไม่มีปีก ไม่มีแม้แต่แผ่นปีกเล็กปรากฏให้เห็นในระยะใดระยะหนึ่งของชีวิตหลังจากฟักจากไข่ ตัวเต็มวัยมีลำตัวสีน้ำตาลเข้ม และมีสีส้มอมเหลืองพาดอยู่ด้านบนของส่วนท้อง ตัวเต็มวัยมีขนาดลำตัวยาวได้ถึง 7-10 เซนติเมตร และมีน้ำหนักตัว 20-25 กรัมโดยประมาณ เป็นแมลงสาบที่เคลื่อนไหวได้ช้า มีกลิ่นฉุนเล็กน้อย และไม่ทำร้ายมนุษย์ จึงมีผู้นิยมนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง เพราะความแปลก โดยปกติอาศัยอยู่ใต้ซากใบไม้ที่หล่นปกคลุมผิวดินในป่า อันเป็นแหล่งอาศัยธรรมชาตินอกบ้านที่อยู่อาศัยของมนุษย์ กินซากลูกไม้ ใบไม้ หรือผลไม้ที่หล่นอยู่ในบริเวณป่า อย่างไรก็ตามแมลงสาบชนิดนี้ก็เหมือนแมลงสาบทั่วไป คือ กินอาหารได้เกือบทุกชนิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง กิจกรรมส่วนใหญ่รวมทั้งกิจกรรมออกหาอาหารเกิดขึ้นในเวลากลางคืน ส่วนในเวลากลางวันจะหลบซ่อนตัวตามขอนไม้หรือกองใบไม้ในป่า มีการกระจายพันธุ์บนเกาะมาดากัสการ์ และตามหมู่เกาะใกล้เคียงกัน คือ แถบชายฝั่งทางทวีปแอฟริกาตะวันออก มีวงชีวิตแบบไม่สมบูรณ์คือ มีระยะไข่, ระยะตัวอ่อน และระยะตัวเต็มวัย ตัวเมียวางไข่หลายใบในถุงไข่ ถุงไข่จะถูกเก็บไว้ภายในลำตัวนานประมาณ 60 วัน จนกระทั่งไข่ฟักออกมาเป็นตัวภายในลำตัวแม่ จากนั้นตัวอ่อนระยะแรกจะออกมาจากลำตัวแม่ ทำให้ดูคล้ายว่าออกลูกเป็นตัว สามารถให้ลูกได้ครั้งละ 30-60 ตัว มีระยะตั้งท้องประมาณ 60 วัน ตัวอ่อนมีรูปร่างคล้ายตัวเต็มวัย ต่างกันที่ขนาดเล็กกว่าลำตัวของตัวอ่อนจะมีรูปร่างเป็นรูปไข่ยาวรีมากกว่า แมลงสาบที่เพิ่งลอกคราบใหม่ ๆ ลำตัวจะมีสีขาว จากนั้นภายใน 2-3 ชั่วโมง สีลำตัวจะค่อย ๆ เข้มขึ้นจนกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มในที่สุด เป็นผลจากการสร้างเม็ดสีเมลานินมาสะสมบนผิว ตัวอ่อนตามปกติลอกคราบ 6 ครั้ง จากนั้นเข้าสู่ตัวเต็มวัย เข้าสู่ตัวเต็มวัยเมื่ออายุได้ 6-7 เดือน สามารถออกลูกได้ 3-4 ครั้งต่อปี มีอายุยืนถึง 2-5 ปี มีลักษณะพิเศษ คือ ตัวเต็มวัยของและตัวอ่อนในระยะหลังสามารถทำเสียงได้ เสียงนั้นคล้ายเสียงขู่ของงู อันเป็นที่ชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ อวัยวะที่ให้กำเนิดเสียงของแมลงสาบชนิดนี้อยู่ที่รูหายใจ ที่อยู่บริเวณด้านข้างของท้องปล้องที่ 4 ทั้งสองข้าง การทำเสียงเพื่อใช้ในการเกี้ยวพาราสีก่อนผสมพันธุ์ ตัวผู้จะส่งเสียงขู่เพื่อไล่ตัวผู้อื่น ๆ เพื่อแย่งตัวเมีย นอกจากนี้เสียงขู่ยังใช้สำหรับป้องกันตัวเองจากศัตรูด้วย แมลงสาบมาดากัสการ์เคยตกเป็นข่าวตามหน้าสื่อครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาจเป็นพาหะนำโรคจากต่างแดนมาสู่ในประเทศไทยได้ จากการมีพบว่าได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้ที่มีรสนิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ เพราะจากผลรายงานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีเชื้อแบคทีเรียถึง 45 ชนิด และยังตรวจพบหนอนพยาธิตัวจี๊ดอีก 22 ชนิด จึงมีการสั่งห้าม และนำตัวที่ยังมีชีวิตอยู่กว่า 500 ตัวไปทำลายโดยการเผา แมลงสาบมาดากัสการ์มีรายชื่ออยู่ในบัญชีหมายเลข 2 (Appendix II) ตามบัญชีของไซเตส และมีรายชื่อเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงสาบมาดากัสการ์ · ดูเพิ่มเติม »

แมลงอุตสาหกรรม

แมลงอุตสาหกรรม หมายถึง แมลงที่ในช่วงของการดำเนินชีวิต มีการสร้างผลผลิตซึ่งมนุษย์สามมารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ แมลงในกลุ่มนี้ประกอบด้วยแมลงหลายชนิดด้วยกัน เช่น ไหม ผึ้ง แมลงครั่ง รวมทั้งแมลงที่ถูกนำมาเป็นอาหารด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงอุตสาหกรรม · ดูเพิ่มเติม »

แมลงทับ

แมลงทับ (Jewel beetle, Metallic wood-boring beetle, Buprestid) เป็นแมลงในอันดับแมลงปีกแข็ง (Coleoptera) โดยจัดอยู่ในวงศ์ Buprestidae แมลงทับมีรูปร่างโดยรวม คือ มีลำตัวยาวโค้งนูน ส่วนที่เป็นปีกแข็งมีความแข็งมาก หัวมีขนาดเล็กซ่อนอยู่ใต้อกปล้องแรกซึ่งโค้งมนเรียวไปทางหัวเชื่อมกับอกปล้องกลางซึ่งกว้างกว่าส่วนอื่น ๆ ท้องมนเรียวไปทางปลายหาง ปีกแข็งหุ้มส่วนท้องจนหมด มีหนวดที่เป็นแบบใบไม้ มีลักษณะเด่น คือ มีสีสันที่สวยงามมาก หลายชนิด หลายสกุลมีสีเงางามแวววาวราวกับอัญมณี หลายชนิดเป็นสีที่หลากหลาย ทั้ง น้ำเงิน, แดง, ดำ และเหลือง จึงทำให้แมลงทับถูกมนุษย์จับนำมาใช้ทำเป็นเครื่องประดับต่าง ๆ มานานแล้วในหลายชนชาติ แมลงทับพบในเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก ปัจจุบันพบแล้วกว่า 15,000 ชนิด ใน 450 สกุล และที่สูญพันธุ์ไปแล้วเป็นซากดึกดำบรรพ์กว่า 100 ชนิด บางชนิดมีความยาวถึง 77 มิลลิเมตร แมลงทับเมื่อขยายพันธุ์ จะเจาะเข้าไปวางไข่ในต้นไม้หรือวางไข่ไว้ในดินใกล้รากของไม้ที่ตัวหนอนจะกินเป็นอาหาร จึงนับเป็นแมลงศัตรูพืชอีกจำพวกหนึ่ง ซึ่งแมลงทับใช้เวลาในการเป็นไข่-ตัวหนอน-ดักแด้ราว 1 ปี เหมือนเช่นแมงคีมหรือด้วงกว่าง อันเป็นแมลงปีกแข็งแต่ต่างวงศ์กัน แมลงทับนับเป็นแมลงปีกแข็งที่บินได้เร็วและสูงมาก และเมื่อถูกรบกวนจะมีพฤติกรรมแกล้งตาย โดยจะอยู่เฉย ๆ หรือหล่นจากต้นไม้ที่เกาะอยู่เพื่อลวงศัตรูให้เข้าใจผิดว่าตายแล้ว สำหรับแมลงทับชนิดที่พบในประเทศไทย มีอยู่ 2 ชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด คือ แมลงทับกลมขาเขียว (Sternocera aequisignata) พบมากในภาคกลาง และแมลงทับกลมขาแดง (S. ruficornis) พบมากในภาคอีสาน ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้กินใบอ่อนของมะขามเทศเป็นอาหาร และมีสีเขียวเหลือบทองเป็นมันแวววาวทั้งคู่ ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีความพยายามของทางการที่จะอนุรักษ์สายพันธุ์ของแมลงทับมิให้สูญพันธุ์ และมีการนำเอาปีกแมลงทับทั้ง 2 ชนิดนี้ทำเป็นงานหัตถกรรมชนิดต่าง ๆ ในโครงการพระราชดำริ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษ บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีน.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงทับ · ดูเพิ่มเติม »

แมลงทับกลมขาเขียว

แมลงทับกลมขาเขียว หรือ แมลงทับบ้านขาเขียว หรือ แมลงทับเขียว เป็นแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์แมลงทับ (Buprestidae) มีมีลำตัวยาวโค้งนูน ส่วนที่เป็นปีกแข็งมีความแข็งมาก หัวมีขนาดเล็กซ่อนอยู่ใต้อกปล้องแรกซึ่งโค้งมนเรียวไปทางหัวเชื่อมกับอกปล้องกลางซึ่งกว้างกว่าส่วนอื่น ๆ ท้องมนเรียวไปทางปลายหาง ปีกแข็งหุ้มส่วนท้องจนหมด ปีกแข็งเป็นสีเขียวเลื่อมเหลือบทองมีความแวววาวสวยงาม มีหนวดเป็นเส้นแบบใบไม้ หัวมีขนาดใหญ่ แมลงทับกลมขาเขียว มีวงจรชีวิตยาวประมาณ 1-2 ปี โดยเป็นตัวหนอน 8-20 เดือน ในดินที่มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ ในความลึกประมาณ 10-20 เซนติเมตร ในระยะที่ยังเป็นไข่ประมาณ 2-3 เดือน ฟองไข่มีลักษณะกลมรี สีเหลือง ระยะเป็นดักแด้จะอยู่ในปลอกดินหุ้มลำตัวประมาณ 2-3 เดือน แต่เมื่อเป็นตัวเต็มวัยแล้วจะมีอายุประมาณ 2-3 เดือนเท่านั้น โดยจะผุดขึ้นมาจากดินในช่วงฤดูฝน ที่พื้นดินมีความชุ่มชื้น โดยจะออกหากินทันทีและผสมพันธุ์ตามเรือนยอดไม้ วางไข่ครั้งละ 12 ฟอง ซึ่งจัดว่าน้อยสำหรับแมลงปีกแข็ง จะกินอาหารจำพวก ยอดไม้ โดยเฉพาะยอดอ่อน ๆ ของพืชหลายชนิด เช่น มะขามเทศ เป็นต้น ในประเทศไทยพบได้ทั่วไปในหลายพื้นที่ ทั้งใน ป่าละเมาะหรือแม้แต่สวนสาธารณะหรือสวนผลไม้ต่าง ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง มักพบเป็นกลุ่มเล็ก ๆ นับเป็นแมลงทับ 1 ใน 2 ชนิดที่พบได้บ่อยและรู้จักกันดีที่สุดในประเทศไทย (อีกหนึ่งชนิดนั้น คือ แมลงทับกลมขาแดง (S. ruficornis)) เป็นแมลงที่มีความสวยงาม จึงถูกใช้ประโยชน์ต่าง ๆ จากปีกแข็งที่มีสีเขียวเลื่อม ด้วยการทำเป็นเครื่องประดับต่าง ๆ ซึ่งสีของปีกนั้นสามารถคงทนอยู่ได้นานถึง 50 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงทับกลมขาเขียว · ดูเพิ่มเติม »

แมลงทับราชา

แมลงทับราชา (Jewel beetle, Metallic wood-boring beetle) เป็นแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่ง ในวงศ์แมลงทับ (Buprestidae) มีหนวดแบบฟันเลื่อย ลำตัวเรียวยาว ตารวมใหญ่ มีปีกสีน้ำเงินเข้มแวววาวจนถึงสีเขียว บริเวณอกมีแต้มสีแดง 2 อันอยู่ทางซ้ายและขวา ด้านหลังของปีกมีขีดสีแดงพาดยาวตั้งแต่โคนปีกไปจนถึงปลายปีก มีความยาวตั้งแต่ 1.3-1.9 นิ้ว แพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่อินเดีย, จีน, ไทยและลาว มีวงจรชีวิตเหมือนเช่นแมลงทับทั่ว ๆ ไป สามารถแบ่งออกได้เป็นชนิดย่อยต่าง ๆ (ดูในตาราง).

ใหม่!!: สัตว์และแมลงทับราชา · ดูเพิ่มเติม »

แมลงดา

แมลงดา,ราชบัณฑิตยสถาน.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงดา · ดูเพิ่มเติม »

แมลงปอ

วนหัวและตาขนาดใหญ่ของแมลงปอ การผสมพันธุ์ของแมลงปอ แมลงปอ (อังกฤษ: Dragonfly, ภาษาไทยถิ่นเหนือ: แมงก่ำบี้) คือแมลงที่มีตัวอ่อนอาศัยอยู่ในน้ำ ตัวเต็มวัยมีชีวิตอยู่บนบกมีปีกบินได้ แมลงปอมีการเจริญเติบโตแบบเป็นขั้นตอนประเภทไม่สมบูรณ์แบบ คือ มีระยะไข่ ตัวอ่อน และตัวเต็มวัย ไม่มีระยะดักแด้ โดยระยะไข่และตัวอ่อนมีชีวิตอยู่ในน้ำ ตัวอ่อนที่อยู่ในน้ำมีรูปร่างแตกต่างจากตัวเต็มวัยมาก เมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะลอกคราบครั้งสุดท้าย กลายเป็นตัวเต็มวัยที่มีปีกและจะใช้ชีวิตบนบกได้ต่อไป แมลงปอจัดเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตจำพวกหนึ่ง โดยถือกำเนิดมาตั้งแต่ 320 ล้านปีก่อนในยุคคาร์บอนิเฟอรัส ก่อนหน้าไดโนเสาร์ และแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเลยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากขนาดลำตัวที่แมลงปอในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าแมลงปอในยุคปัจจุบันมาก โดยมีความห่างระหว่างปีกมากกว่า 70 เซนติเมตร ในอารยธรรมอียิปต์โบราณ แมลงปอปรากฏอยู่ในอักษรภาพเฮียโรกริฟฟิธในหลุมศพของฟาโรห์Sky Hunters: The World Of Dragonfly.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงปอ · ดูเพิ่มเติม »

แมลงปอบ้านสองสีเขียวฟ้า

แมลงปอบ้านสองสีเขียวฟ้า เป็นแมลงปอที่กระจายพันธุ์ตั้งแต่จีนไปจนถึงออสเตรเลีย ตัวผู้มีลำตัว อกและท้องสีฟ้า ปลายหางแหลมสีขาว ปีกใสและมีสีดำอ่อน ๆ ปีกคู่หลังมีแผ่นปีกที่กว้าง ตัวเมียมีลำตัว อกและท้องสีเขียว ท้องด้านบนมีแถบสีดำตามยาว หางแหลม ปีกใสและมีสีดำอ่อน ๆ ปีกคู่หลังมีแผ่นปีกที่กว้าง.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงปอบ้านสองสีเขียวฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

แมลงแกลบ

แมลงแกลบ (Burrowing cockroach) เป็นแมลงชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pycnoscelus indicus เป็นแมลงที่อยู่ในอันดับแมลงสาบ (Blattodea) จัดอยู่ในวงศ์แมลงสาบยักษ์ (Blaberidae) เป็นแมลงสาบขนาดเล็กที่เป็นแมลงสาบพื้นเมืองแท้ ๆ ที่พบได้ในประเทศไทย มีลักษณะคล้ายกับแมลงสาบสุรินัม (P. surinumensis) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน ซึ่งมีเพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่อยู่ในสกุลนี้ มีลำตัวแบน รูปไข่ หนวดมีขนาดสั้นกว่าลำตัว ขายาวมีหนาม ปีกเจริญดี ขอบหลังของ pronotum เป็นมุมแหลมมน ตัวผู้มีลำตัวยาว 17-23 มิลลิเมตร ตัวเมียยาว 16-24 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีดำหรือน้ำตาลเข้มและขอบด้านหน้าถึงด้านข้างมีแถบสีขาว หรือสีคราม หรืออาจจะมีแถบสีนี้เฉพาะที่ด้าน อาศัยตามกองขี้เลื่อย หรือแกลบ ตามอาคารบ้านเรือน หรือกองขยะมูลฝอย หรือมูลสัตว์ต่าง ๆ แมลงแกลบถูกค้นพบในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2527 ที่ภาคอีสาน ปัจจุบันได้มีการใช้แมลงแกลบเพื่อการกำจัดขยะมูลฝอย ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกำจัดที่ดี โดยเฉพาะขยะอินทรีย์ รวมถึงใช้เป็นเหยื่อที่ดีในการตกปลาและเป็นอาหารปลาสวยงามได้ด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีผู้พยายามเพาะเลี้ยงเพื่อการนี้กัน.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงแกลบ · ดูเพิ่มเติม »

แมลงเสือซอลต์ครีก

แมลงเสือซอลต์ครีก (Salt Creek tiger beetle) เป็นแมลงปีกแข็งหายาก พบเฉพาะบริเวณ รัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา และใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการขยายตัวของเมืองลิงคอล์น.

ใหม่!!: สัตว์และแมลงเสือซอลต์ครีก · ดูเพิ่มเติม »

แมว

แมว เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อยู่ในตระกูล Felidae ต้นตระกูลมาจากเสือไซบีเรีย (Felis tigris altaica) ซึ่งมีช่วงลำตัวตั้งแต่จมูกถึงปลายหางยาวประมาณ 4 เมตร แมวที่เลี้ยงตามบ้าน จะมีรูปร่างขนาดเล็ก ขนาดลำตัวยาว ช่วงขาสั้นและจัดอยู่ในกลุ่มของประเภทสัตว์กินเนื้อ มีเขี้ยวและเล็บแหลมคมสามารถหดซ่อนเล็บได้เช่นเดียวกับเสือ สืบสายเลือดมาจากแมวป่าที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งลักษณะบางอย่างของแมวยังคงพบเห็นได้ในแมวบ้านปัจจุบัน แมวเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เมื่อประมาณ 9,500 ปีก่อน ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของแมวคือการทำมัมมี่แมวที่พบในสมัยอียิปต์โบราณ หรือในพิพิธภัณฑ์อังกฤษในลอนดอน มีการแสดงสมบัติที่นำออกมาจากพีระมิดโบราณแห่งอียิปต์ ซึ่งรวมถึงมัมมี่แมวหลายตัว ซึ่งเมื่อนำเอาผ้าพันมัมมี่ออกก็พบว่า แมวในสมัยโบราณทุกตัวมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือเป็นแมวที่มีรูปร่างเล็ก ขนสั้นมีแต้มสีน้ำตาล มีความคล้ายคลึงกับพันธุ์ในปัจจุบัน ที่เรียกว่าแมวอะบิสซิเนี.

ใหม่!!: สัตว์และแมว · ดูเพิ่มเติม »

แมวพัลลัส

แมวพัลลัส (Pallas's cat, Steppe cat) เป็นแมวป่าขนาดเล็ก ที่ค้นพบโดย ปีเตอร์ ไซมอน พัลลัส นักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน ในค.ศ. 1776 ถือเป็นชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Otocolobus.

ใหม่!!: สัตว์และแมวพัลลัส · ดูเพิ่มเติม »

แมวลายหินอ่อน

แมวลายหินอ่อน (Marbled cat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์เสือ (Felidae) ที่มีขนาดเท่ากับแมวบ้าน (Felis catus) แต่มีหางยาวกว่าและมีขนที่หางมากกว่า หัวมีขนาดเล็ก กลมมน สีขนมีลวดลายเป็นแถบหรือเป็นดวงคล้ายลวดลายของเสือลายเมฆ (Neofelis nebulosa) หรือลวดลายบนหินอ่อน ได้รับการอนุกรมวิธานโดยตัวอย่างต้นแบบเป็นตัวเมียที่ได้ตัวอย่างจากประเทศไทย ปัจจุบันนักวิชาการแบ่งแมวลายหินอ่อนออกเป็น 2 ชนิดย่อย ได้แก่ P. m. marmorata และ P. m. charltoni ถิ่นอาศัยของแมวลายหินอ่อนอยู่ในรัฐอัสสัมทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เนปาล (P. m. chartoni) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกาะบอร์เนียว และเกาะสุมาตรา เมื่ออยู่ในป่าทึบตามธรรมชาติจะพบเห็นได้น้อย ปัจจุบันยังมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแมวชนิดนี้อยู่น้อย และยังไม่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอน ขณะเดียวกันป่าที่เป็นถิ่นอาศัยก็มีพื้นที่ลดลง ทำให้ปัจจุบันแมวชนิดนี้อยู่ในสถานะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ พฤติกรรมของแมวลายหินอ่อน เมื่ออยู่ในที่เลี้ยงค่อนข้างดุร้ายกว่าเสือหรือแมวป่าชนิดอื่น ๆ มีอายุในสถานที่เลี้ยงยืนสุด 12 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และแมวลายหินอ่อน · ดูเพิ่มเติม »

แมวอิริโอะโมะเตะ

แมวอิริโอะโมะเตะ (Iriomote cat; 西表山猫) เป็นแมวป่าขนาดพอกับแมวบ้าน ซึ่งอาศัยอยู่เฉพาะบนเกาะอิริโอะโมะเตะของญี่ปุ่น นักชีววิทยาหลายคนจัดว่าเป็น "ซากดึกดำบรรพ์มีชีวิต" เพราะไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากรูปร่างดั้งเดิมมากนัก แมวอิริโอะโมะเตะเป็นหนึ่งในสัตว์ของวงศ์เสือและแมว (Felidae) ที่ใกล้สูญพันธุ์ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก (บ้างจัดว่าเป็นชนิดย่อยของแมวดาว (P. bengalensis ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน) โดยมีจำนวนประชากรประเมินไว้น้อยกว่า 100 ตัว มีขนสีน้ำตาลเข้มและหางเป็นพวงดก และไม่สามารถหดเล็บเข้าได้ นอกจากนี้แล้ว แมวอิริโอะโมะเตะยังรู้จักกันดีในชื่อ "ยะมะมะยา" (ヤママヤ) หมายถึง "แมวภูเขา" หรือ "ยะมะพิกะเรีย" (ヤマピカリャー) หมายถึง "ภูเขาประกายตา" หรือ "พินกียะมา" (メーピスカリャー) หมายถึง "แมวหลบหนี" สู่เกาะอิริโอะโมะเตะ แมวอิริโอะโมะเตะ หากินด้วยการจับสัตว์น้ำต่าง ๆ กินเป็นอาหาร ตามพื้นที่ชุ่มน้ำและป่าโกงกางบนเกาะอิริโอะโมะเตะได้มากถึง 70 ชนิด เป็นสัตว์ที่กินในเวลากลางคืน.

ใหม่!!: สัตว์และแมวอิริโอะโมะเตะ · ดูเพิ่มเติม »

แมวทราย

แมวทราย หรือ แมวเนินทราย (Sand cat, Sand dune cat) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทกินเนื้อชนิดหนึ่ง จำพวกแมวป่า นับเป็นแมวป่าขนาดเล็กที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และแมวทราย · ดูเพิ่มเติม »

แมวดาว

แมวดาว (Leopard cat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกเสือขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีรูปร่างเท่า ๆ กับแมวบ้าน แต่มีความคล่องแคล่วว่องไวกว่ามาก ขนตามลำตัวมีสีน้ำตาลอมเทา ลักษณะเด่นคือ ตามลำตัวมีจุดขนาดเล็กสีดำกระจายอยู่ทั่วไป ด้านข้างของหัวมีแถบสีน้ำตาลเข้ม 4—5 แถบ ขนบริเวณท้องมีสีขาวนวล แมวดาวตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย แมวดาวมีความยาวลำตัวและหัว 44.5—55 เซนติเมตร ความยาวหาง 23—29 เซนติเมตร น้ำหนัก 3—5 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวาง พบตั้งแต่ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, รัสเซีย, อินเดีย, ปากีสถาน, เนปาล, ภาคใต้ของจีน, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, เกาะสุมาตรา, เกาะชวา, เกาะบอร์เนียว, สิงคโปร์ แมวดาว สามารถปรับตัวให้อยู่ในพื้นที่หลากหลายสภาพได้ บางครั้งอาจพบในป่าที่ใกล้กับพื้นที่ชุมชน ล่าสัตว์ขนาดเล็ก เช่น หนู, สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก เป็นอาหาร ออกหากินในเวลากลางคืน พักผ่อนในเวลากลางวัน สามารถปีนต้นไม้ได้คล่องแคล่ว และยังสามารถว่ายน้ำได้อีกด้วย ปกติอาศัยและหากินตามลำพัง ยกเว้นในช่วงผสมพันธุ์ ที่อาจพบเห็นอยู่ด้วยกัน 2 ตัว ใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 65—72 วัน ออกลูกครั้งละ 2—4 ตัว จากการศึกษาในสถานที่เลี้ยงมีอายุยืนประมาณ 13 ปี นอกจากนี้แล้ว แมวดาวที่ผสมข้ามสายพันธุ์กับแมวบ้าน จะได้ลูกเป็นแมวพันทางสายพันธุ์ที่เรียกว่า แมวเบงกอล.

ใหม่!!: สัตว์และแมวดาว · ดูเพิ่มเติม »

แมวตีนดำ

แมวตีนดำ (Black-footed cat) เป็นสัตว์ในตระกูลแมวที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก และเป็นแมวถิ่นเดียวที่พบในเขตแห้งแล้งทางตะวันตกเฉียงใต้ของตอนใต้ทวีปแอฟริกา ได้รับการจัดเป็นชนิดที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์โดย IUCN เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และแมวตีนดำ · ดูเพิ่มเติม »

แมวป่า

แมวป่า, เสือกระต่าย หรือ เสือบอง เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกเสือขนาดเล็ก อยู่ในวงศ์ Felidae มีรูปร่างคล้ายแมวบ้าน มีลักษณะเด่นคือ มีหูแหลมยาวเป็นรูปสามเหลี่ยม และมีกระจุกขนยื่นออกมาจากปลายใบหูแลดูคล้ายกระต่าย จึงเป็นที่มาของชื่อสามัญว่า "เสือกระต่าย" มีขายาว หางสั้นมีลายสีเข้มสลับเป็นปล้อง ๆ ขนปลายหางมีสีดำตามลำตัวมีสีน้ำตาลเหลือง บริเวณหลังมีสีน้ำตาลเข้ม สีขนบริเวณท้องจะอ่อนกว่าลำตัว แมวป่านับเป็นเสือในสกุล Felis ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีความยาวลำตัวและหัว 50–56 เซนติเมตร ความยาวหาง 26–31 เซนติเมตร มีน้ำหนัก 4–6 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางมาก ตั้งแต่ภาคเหนือของทวีปแอฟริกาจรดเอเชียตะวันออก พบในภาคตะวันออกของซาอุดีอาระเบีย, คูเวต, อิรัก, อิหร่าน, จอร์แดน, ภาคตะวันออกของตุรกี, อิสราเอล, ปากีสถาน, อัฟกานิสถาน, เนปาล, ภูฏาน, บังกลาเทศ, ภาคใต้ของจีน, อินเดีย, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชาและเวียดนาม มักอาศัยอยู่ในป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ หรือป่าเต็งรังที่ไม่รกชัฏนัก จับสัตว์ขนาดเล็กที่อาศัยบนพื้นดินกินเป็นอาหาร เช่น กระต่ายป่า, กบ, หนู, กิ้งก่า หรือนกที่อาศัยอยู่บนพื้นดินกินเป็นอาหารหลัก ออกหากินทั้งกลางวันและกลางคืน แต่มักพบบ่อยในช่วงเช้า และช่วงเย็น จากกายภาพที่มีขายาว แต่หางสั้นไม่สมดุลกันเช่นนี้ ทำให้แมวป่ามีการทรงตัวที่ไม่ดีเมื่ออยู่บนต้นไม้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยปีนขึ้นไปบนต้นไม้นัก ในประเทศไทย นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล นักนิยมไพรและนักเขียนได้บันทึกไว้ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และแมวป่า · ดูเพิ่มเติม »

แมวป่าหัวแบน

แมวป่าหัวแบน (Flat-headed cat) แมวป่าชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prionailurus planiceps อยู่ในวงศ์เสือและแมว (Felidae) โดยเป็นแมวป่าขนาดเล็ก ขาและหางสั้น ใบหูเล็ก ขนตามลำตัวสีน้ำตาลแดงหรือส้ม ส่วนปลายของขนแต่ละเส้นมีขาวปนเทาหรือเหลืองอ่อน ลักษณะเด่นคือ หัวที่มีรูปร่างยาวและแบน อันเป็นที่มาของชื่อ ลูกแมวป่าหัวแบนจะมีจุดสีขาวบริเวณหลังหู อุ้งเท้าแคบและยาว มีขนากลำตัวและหัวยาว 46.5 - 48.5 เซนติเมตร ความยาวหาง 12.8 - 13 เซนติเมตร น้ำหนัก 1.5 - 2.2 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย, มาเลเซีย, เกาะสุมาตราและเกาะบอร์เนียว โดยอาศัยและหากินอยู่ตามพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ป่าพรุ หรือป่าที่น้ำท่วมขังหรือพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ อาหารได้แก่ สัตว์ขนาดเล็ก เช่น กบ, ปลา, สัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ รวมถึงผลไม้บางประเภทด้วย จัดเป็นเสือชนิดที่หายากชนิดหนึ่งของโลก เนื่องจากพบเห็นตัวได้ยากและมีรายงานพบเห็นในธรรมชาติเพียงไม่กี่ครั้ง แม้แต่ภาพถ่ายก็ยังมีเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น ปัจจุบัน สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และแมวป่าหัวแบน · ดูเพิ่มเติม »

แมวน้ำช้าง

แมวน้ำช้าง (elephant seal) บ้างก็เรียกว่า ช้างน้ำ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์แมวน้ำ สกุล Mirounga ขนาดใหญ่เท่าวอลรัสแต่ไม่มีเขี้ยว และจมูกไม่ย้อยเหมือนพะยูน มีสองสปีชีส์คือ.

ใหม่!!: สัตว์และแมวน้ำช้าง · ดูเพิ่มเติม »

แมวน้ำมีหู

แมวน้ำมีหู (Eared seals) เป็นวงศ์ที่จัดอยู่ในวงศ์ใหญ่สัตว์ตีนครีบ มี 15 สปีชีส์ ใน 7 สกุล (อีกสปีชีส์หนึ่งสูญพันธุ์ไปแล้วในช่วงปี ค.ศ. 1947) วงศ์แมวน้ำมีหูมีสองวงศ์ย่อย ได้แก่ วงศ์ย่อยสิงโตทะเล กับ วงศ์ย่อยแมวน้ำขน (fur seals) วงศ์แมวน้ำมีหูเป็นวงศ์ที่แตกต่างจากวงศ์แมวน้ำแท้ (true seals) และ วงศ์วอลรัส แมวน้ำมีหูเป็นสัตว์กึ่งบกกึ่งน้ำ โดยออกหากินและเดินทางในน้ำ แต่ผสมพันธุ์และพักผ่อนบนแผ่นดินหรือน้ำแข็ง อาศัยอยู่ในอากาศที่ค่อนข้างหนาว อยู่ตามมหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรใต้ มหาสมุทรอินเดียตอนใต้และมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ จะไม่ค่อยอาศัยในมหาสมุทรแอตแลนติก.

ใหม่!!: สัตว์และแมวน้ำมีหู · ดูเพิ่มเติม »

แมวน้ำลายพิณ

แมวน้ำลายพิณ หรือ แมวน้ำหลังอาน (Harp seal, Saddleback seal) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จำพวกสัตว์กินเนื้อ จัดเป็นแมวน้ำชนิดหนึ่ง ที่เป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล PagophilusWilson, D. E. & Reeder, D. M. (eds.) (2005).

ใหม่!!: สัตว์และแมวน้ำลายพิณ · ดูเพิ่มเติม »

แมวน้ำเสือดาว

แมวน้ำเสือดาว (Leopard seal) หรือบางทีเรียกว่า เสือดาวทะเล (Sea leopard) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์แมวน้ำ (Phocidae) หรือแมวน้ำแท้ และเป็นเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Hydrurga.

ใหม่!!: สัตว์และแมวน้ำเสือดาว · ดูเพิ่มเติม »

แมวแดงบอร์เนียว

แมวแดงบอร์เนียว (Bay Cat, Bornean Cat, Bornean Bay Cat หรือ Bornean Marbled Cat) เป็นแมวป่าถิ่นเดียวที่พบบนเกาะบอร์เนียว ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และแมวแดงบอร์เนียว · ดูเพิ่มเติม »

แมวเสือ

แมวเสือ หรือ ออนซิลลา (Oncilla, Little spotted cat, Tigrillo, Cunaguaro, Tiger cat) เป็นสัตว์ตระกูลแมวลายจุดขนาดเล็ก พบในป่าฝนเขตร้อนของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เป็นญาติใกล้ชิดกับโอเซลอตและมาร์เกย์ ขนสีออกน้ำตาลเหลืองมีจุดสีดำ แมวเสือเป็นสัตว์หากินในเวลากลางคืนล่าสัตว์ฟันแทะและนกเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และแมวเสือ · ดูเพิ่มเติม »

แมสโสสปอนดิลัส

แมสโสสปอนดิลัส (Massospondylus) หรือ “สันหลังใหญ่” วงศ์ เพลททีโอซอริเด อันดับใหญ่ โปรซอโรโพดา อันดับย่อย ซอโรโพโดมอร์พา อันดับ ซอริสเชีย ยุคจูแรสสิกตอนต้น ถิ่น ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา และทวีปอเมริกาเหนือ ลักษณะเดินได้ทั้ง 2 เท้า และ 4 เท้า เป็นสัตว์กินพืช ยาวประมาณ 13 ฟุต (4 เมตร) คอและหางยาว ลำตัวใหญ่ หนา มือใหญ่ ฟันหน้ามน ฟันด้านในมีด้านข้างติดเรียบ และอาจมีเขา หรือปุ่มเล็ก ๆ บนจะงอยปาก.

ใหม่!!: สัตว์และแมสโสสปอนดิลัส · ดูเพิ่มเติม »

แมง

แมง (arachnid) เป็นชื่อเรียกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในกลุ่มของสัตว์ขาปล้อง ชื่อในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์มาจากสตรีนามว่าอะแรกนีในเทพปกรณัมกรีก ร่างกายของแมงเมื่อโตเต็มที่แบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ หัวกับอกรวมกันเป็นส่วนหนึ่งและท้องอีกส่วนหนึ่ง การแยกแยะระหว่างแมงกับแมลง คือ แมงมี 8 หรือ 10 ขา ส่วนแมลงมี 6 ขา นอกจากนี้แมงยังไม่มีหนวดและปีกอีกด้วยซึ่งต่างจากแมลงที่มีหนวดและส่วนใหญ่มีปีก แมงมีความยาวของลำตัวตั้งแต่ 0.08 มิลลิเมตร ถึง 21 เซนติเมตร ตัวอย่างของสัตว์ประเภทแมง ได้แก่ แมงมุม แมงป่อง แมงดาทะเล เห็บ และไร เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และแมง · ดูเพิ่มเติม »

แมงกะพรุน

แมงกะพรุน หรือ กะพรุน จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมไนดาเรีย ไฟลัมย่อยเมดูโซซัว แบ่งออกเป็นอันดับได้ 5 อันดับ (ดูในตาราง) ลักษณะลำตัวใสและนิ่มมีโพรงทำหน้าที่เป็นทางเดินอาหารมีเข็มพิษที่บริเวณหนวดที่อยู่ด้านล่าง ไว้ป้องกันตัวและจับเหยื่อ เมื่อโตเต็มวัย ส่วนประกอบหลักในลำตัวเป็นน้ำร้อยละ 94-98 ด้านบนเป็นวงโค้งคล้ายร่ม ด้านล่างตอนกลางเป็นอวัยวะทำหน้าที่กินและย่อยอาหาร พบได้ในทะเลทุกแห่งทั่วโลก แมงกะพรุนส่วนใหญ่จัดอยู่ในอันดับไซโฟซัว แต่ก็บางประเภทที่อยู่ในอันดับไฮโดรซัว อาทิ แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (Physalia physalis) ซึ่งเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก และแมงกะพรุนอิรุคันจิ (Malo kingi) ที่อยู่ในอันดับคูโบซัว ก็ถูกเรียกว่าแมงกะพรุนเช่นกัน.

ใหม่!!: สัตว์และแมงกะพรุน · ดูเพิ่มเติม »

แมงกะพรุนสาหร่าย

แมงกะพรุนสาหร่าย หรือ สาโหร่ง (Sea wasps.) เป็นแมงกะพรุนจำพวกแมงกะพรุนกล่องสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Chironex (/ไค-โร-เน็ก/) ซึ่งคำว่า Chironex นั้น มีรากศัพท์จากคำว่า "chiro" (Χέρι) ในภาษากรีก แปลว่า "มือ" กับคำว่า "nex" ภาษาละตินแปลว่า "ความตาย" แมงกะพรุนสาหร่าย หรือที่ชาวประมงชาวไทยนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า "สาหร่า่ยทะเล" เป็นแมงกะพรุนสีขาว หรือเหลืองแกมแดง มีสายยาวต่อจากลำตัวหลายเส้น แต่ละเส้นยาวประมาณ 1.50 เมตร มีการเคลื่อนไหวได้น้อย อาศัยกระแสน้ำพัดพาไปยังที่ต่าง ๆ เมื่อมีพายุคลื่นลมแรง หนวดจะขาดจากลำตัว ลอยไปตามน้ำ แต่ยังสามารถทำอันตรายผู้ที่สัมผัสถูกได้ ซึ่งทำให้ไหม้เกรียม และมีอาการปวดแสบปวดร้อนตามกล้ามเนื้อ จุกแน่นหน้าอกในรายที่แพ้รุนแรง และเป็นไข้ อาการเป็นอยู่ 2-3 วัน จึงทุเลาหายไป แต่อาการหนักก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เป็นแมงกะพรุนที่ีมีถิ่นแพร่กระจายอยู่ทะเลน้ำตื้นรวมถึงป่าชายเลนแถบตอนเหนือของออสเตรเลีย ในน่านน้ำไทยพบแถบทะเลชุมพร และหัวหิน เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และแมงกะพรุนสาหร่าย · ดูเพิ่มเติม »

แมงกะพรุนหัวคว่ำ

แมงกะพรุนหัวคว่ำ หรือ แมงกะพรุนกลับหัว (Upside-down jellyfishes) เป็นแมงกะพรุนจำพวกหนึ่ง ที่จัดอยู่ในวงศ์ Cassiopeidae และสกุล Cassiopea ซึ่งเป็นเพียงสกุลเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์นี้ (แต่บางข้อมูลจัดให้มี 2 สกุล) แมงกะพรุนหัวคว่ำ เป็นแมงกะพรุนสกุลเดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่บนพื้นทะเลหรือพื้นมหาสมุทร โดยที่ตำแหน่งของเมดูซ่าหรือส่วนหัวที่คว่ำลงทำให้สามารถคอยจับแพลงก์ตอนที่ลอยผ่านกินมากับกระแสน้ำ และใช้พลังงานที่ได้จากการสังเคราะห์แสงของสาหร่ายซูแซนเทลลี่ที่อาศัยอยู่ในตัวเพื่อการเจริญเติบโต รวมถึงมีเข็มพิษที่อยู่รอบ ๆ นั้นด้วย และจากการศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย พบว่า แมงกะพรุนหัวคว่ำนั้นมีการนอนหลับอย่างหลับสนิทด้วยเหมือนกับสัตว์ชั้นสูงหรือสัตว์ที่มีโคร่งร่างซับซ้อนชนิดอื่น ๆ ทั้งที่เป็นเพียงสัตว์น้ำที่ไม่มีแกนสันหลังและลำตัวโปร่งแสงเท่านั้น โดยที่ชื่อ Cassiopeda และ Cassiopeidae นั้นมีที่มาจากแคสซิโอเปีย ราชินีแห่งเอธิโอเปีย ผู้เป็นชายาของราชาเซเฟอุส และเป็นมารดาของเจ้าหญิงแอนโดรมีดา ตามเทพปกรณัมกรีก แมงกะพรุนหัวคว่ำ มีขนาดประมาณ 30 เซนติเมตร แบ่งออกได้เป็น 8 ชนิด (บางข้อมูลแบ่งออกเป็น 11 ชนิด) ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และแมงกะพรุนหัวคว่ำ · ดูเพิ่มเติม »

แมงกะพรุนหนัง

แมงกะพรุนหนัง (Edible jellyfish.) เป็นสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลัง จำพวกแมงกะพรุนสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Rhopilema เป็นแมงกะพรุนแท้ คือ แมงกะพรุนที่จัดอยู่ในชั้นไซโฟซัว มีร่างกายเป็นก้อนคล้ายวุ้นโปร่งใส ไม่มีสี มีรูปร่างคล้ายร่ม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30 เซนติเมตร บริเวณขอบร่มเป็นริ้วตรงกลางด้านเว้ามีส่วนยื่นออกไปเป็นช่อคล้ายดอกกะหล่ำที่มีปากอยู่ตรงกลาง แมงกะพรุนหนังดำรงชีวิตเป็นแพลงก์ตอน ไม่สามารถว่ายน้ำได้เอง แต่จะมีการเคลื่อนที่ด้วยการล่องลอยไปตามกระแสน้ำและการพัดพาไปตามคลื่นลม โดยแมงกะพรุนหนังจัดเป็นแมงกะพรุนที่สามารถรับประทานได้ ชาวประมงจะจับกันในเวลากลางคืน ด้วยการล่อด้วยแสงไฟสีเขียว เมื่อได้แล้วจะนำไปล้างด้วยโซเดียมไบคาร์บอเนตและสารส้ม เพื่อให้เมือกหลุดจากตัวแมงกะพรุนและทำให้มีเนื้อที่แข็งขึ้น ก่อนจะนำไปพักไว้ เพื่อปรุงหรือเป็นส่วนผสมในอาหารประเภทต่าง ๆ เช่น ยำ, เย็นตาโฟ หรือสุกี้ อย่างไรก็ตาม แมงกะพรุนหนังก็ยังมีเข็มพิษที่มีพิษอยู่เช่นกันทุกชนิด แต่ทว่ามีพิษไม่ร้ายแรง เพียงโดนแล้วทำให้เกิดอาการระคายเคืองเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และแมงกะพรุนหนัง · ดูเพิ่มเติม »

แมงกะพรุนถ้วย

แมงกะพรุนถ้วย หรือ แมงกะพรุนพระจันทร์ เป็นสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกแมงกะพรุนชนิดหนึ่ง อยู่ในสกุล Aurelia มีรูปร่างคล้ายกับถ้วย คือ เมดูซ่าด้านบนของร่างกายจะโค้งนูน ส่วนด้านล่างเว้าเข้าเป็นด้านที่มีปาก ตรงบริเวณขอบมีนวดโดยรอบและมีอวัยวะรับความรู้สึกที่เรียกว่า เทนตาคูโลซีสต์ เรียงอยู่ตรงขอบเป็นระยะ ๆ เทนตาโคลูซีสต์แต่ละหน่วยประกอบด้วย ด้านล่างของลำตัวเป็นช่องปากอยู่บนมานูเบรียม รอบ ๆ ปากมีออรัลอาร์ม ลักษณะแบนและยาวรวม 4 อัน บริเวณนี้มีเนมาโตซิสต์ หรือเข็มพิษอยู่มาก ออรัลอาร์มทำหน้าที่จับเหยื่อเข้าปากเช่นเดียวกับหนวดของไฮดรา ต่อจากช่องปากเป็นเอนเตอรอนซึ่งแยกออกเป็น 4 กระเปาะ ต่อจากกระเปาะแต่ละอันมีท่อรัศมีมากมายผ่านมีโซเกลียไปยังท่อวงแหวน ที่อยู่รอบขอบของร่างกาย และในแต่ละกระเปาะจะมีอวัยวะสืบพันธุ์รูปตัวยู กระเปาะละอัน ติดอยู่กับพื้นล่างของเยื่อแกสโตรเดอร์มีส ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ผิวนอกของร่างกายทั้งหมดเป็นเซลล์เอปิเดอร์มี ส่วนเซลล์ที่บุในระบบย่อยอาหาร ตลอดจนท่อต่าง ๆ ภายในร่างกาย รวมทั้งอวัยวะสืบพันธุ์เป็นเซลล์ในชั้นแกสโตรเดอร์มีส แมงกะพรุนพระจันทร์ ถือเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษ แต่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นมีอันตรายต่อชีวิต อาศัยอยู่ทั้งในเขตน้ำตื้นและน้ำลึก ในช่วงเช้าส่วนมากจะพบมากในเขตน้ำตื้น เพราะจะถูกน้ำทะเลพัดมาในเวลากลางคืน และก็จะหาอาหารในเขตน้ำตื้นไปด้วยในช่วงที่อยู่ในเขตน้ำตื้น ซึ่งอาหารก็ได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ โดยการใช้เข็มพิษให้หมดสติ และกินเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และแมงกะพรุนถ้วย · ดูเพิ่มเติม »

แมงกะพรุนโนะมุระ

แมงกะพรุนโนะมุระ (エチゼンクラゲ; โรมะจิ: echizen kurage; Nomura's jellyfish) สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกแมงกะพรุนชนิดหนึ่ง จัดเป็นแมงกะพรุนชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยเป็นสัตว์ในไฟลัมไนดาเรียที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นแมงกะพรุนชนิดที่รับประทานได้แต่ไม่เป็นที่นิยมนัก แมงกะพรุนโนะมุระ แพร่กระจายพันธุ์อย่างรวดเร็วในน่านน่้ำญี่ปุ่น โดยอุตสาหกรรมประมงที่เคยจับปลาได้คราวละหลายล้านตัน ต้องตกตะลึงเมื่ออวนลากพบแต่แมงกะพรุนชนิดนี้เต็มไปหมด นับตั้งแต่ปี..

ใหม่!!: สัตว์และแมงกะพรุนโนะมุระ · ดูเพิ่มเติม »

แมงกะพรุนไฟ

แมงกะพรุนไฟ หรือ ตำแยทะเล เป็นสัตว์น้ำไม่มีกระดูกจำพวกแมงกะพรุนสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Chrysaora (/ไคร-เซ-ออ-รา/) จัดอยู่ในชั้นแมงกะพรุนแท้ หรือไซโฟซัว โดยแมงกะพรุนไฟ มีลักษณะทั่วไปคล้ายร่ม แต่มีสีลำตัวและหนวดเป็นสีแดงสดหรือสีส้ม ด้านบนมีจุดสีขาวอยู่ทั่วไป สังเกตได้ง่าย ปากและหนวดยื่นออกมาทางด้านล่างหรือด้านท้อง เส้นหนวดมีจำนวนมากเป็นสายยาวกว่าลำตัว พบในทะเลทั้งบริเวณชายฝั่งและไกลฝั่ง ในช่วงฤดูมรสุมอาจพบได้ในเขตน้ำกร่อย จัดเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงมากอีกจำพวกหนึ่ง เมื่อโดนต่อยจากเข็มพิษแล้วจะมีอาการเจ็บปวดที่บริเวณบาดแผล จะมีอาการเจ็บ ปวดบริเวณบาดแผลอย่างรุนแรงภายในระยะเวลา 44 นาที บางครั้งอาจพบหนวดแมงกะพรุนขาดติดอยู่บนผิวสัมผัส ผิวหนังมีแนวผื่นแดง หรือรอยไหม้ ตามรอยหนวด ปวดแสบปวดร้อน บวมแดงจากการอักเสบและอาจเป็นหนองจากการติดเชื้อสำทับ อาการบวมแดงอาจหายไปได้ในเวลาไม่ช้า แต่รอยไหม้และรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจะต้องใช้เวลารักษานานหลายปี หรืออยู่ถาวรตลอดไป นอกจากนี้อาจมีอาการไอ, น้ำมูกและน้ำตาไหล และอาการข้างเคียงอื่น ๆ เช่น เหงื่อออกมาก กล้ามเนื้อเป็นตะคริว, อ่อนเพลีย และหมดสติ จากการฉีดพิษที่สกัดจากแมงกะพรุนไฟเข้าไปในสัตว์ทดลองพบว่าทำให้การทำงานของตับและไตผิดปรกติ จนอาจเป็นอันตรายถึงตายได้ แต่ยังไม่มีรายงานว่าเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตมนุษย์ และผลที่ออกมาค่อนข้างทุกข์โศกพอสมควร โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์ของแมงกะพรุนไฟนั้น คือ Chrysaora มีที่มาจากเทพปกรณัมกรีก คือ ไครเซออร์ซึ่งเป็นโอรสของโปเซดอน เทพเจ้าแห่งท้องทะเลกับเมดูซ่า เป็นอนุชาของเพกาซัส โดยที่ชื่อนี้มีความหมายว่า "บุรุษผู้ถืออาวุธทองคำ".

ใหม่!!: สัตว์และแมงกะพรุนไฟ · ดูเพิ่มเติม »

แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส

แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส หรือ แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส (Portuguese man-of-war, Portuguese Man o' War, Blue bubble, Floating terror) เป็นไซโฟโนฟอร์ชนิดหนึ่ง อยู่ในไฟลัมไนดาเรีย ในชั้นไฮโดรซัว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Physalia physalis แม้จะถูกเรียกว่าเป็นแมงกะพรุน แต่เป็นสัตว์คนละชั้นกับแมงกะพรุนแท้ทั่วไป.

ใหม่!!: สัตว์และแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส · ดูเพิ่มเติม »

แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกสอินโด-แปซิฟิก

แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกสอินโด-แปซิฟิก หรือ แมงกะพรุนบลูบอตเทิล (Blue Bottle, (Indo-Pacific) Portuguese Man-of-War) เป็นสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกแมงกะพรุน ที่มิใช่แมงกะพรุนแท้ ๆ ชนิดหนึ่ง ที่พบในทะเล มีรูปร่างคล้ายกับแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกสหรือแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (P. physalis) ที่เป็นชนิดที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด ที่พบในมหาสมุทรแอตแลนติก หากแต่แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกสอินโด-แปซิฟิก จะพบได้ในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก และมีขนาดเล็กกว่ามาก (6 นิ้วเมื่อเทียบกับ 12 นิ้ว) แต่มีหนวดที่ยาวเหมือนกัน และมีปากมากกว่าหนึ่งปาก เป็นสัตว์ที่อยู่เป็นอาณานิคม และเป็นสัตว์ที่เกิดมาจากเอมบริโอของสัตว์ที่แตกต่างกันหลายชนิดมารวมกัน ซึ่งแต่ละตัวจะมีลักษณะเด่นและมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ขณะกำลังลอยน้ำที่หาดแมกมาสเตอส์ มีการแพร่กระจายพันธุ์ที่กว้างขวางกว่า โดยพบอย่างมากที่ชายฝั่งออสเตรเลียรวมถึงน่านน้ำฮาวาย โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นไม่เป็นทางการว่า ili mane‘o หรือ palalia และอาจเป็นไปได้ว่าเป็นชนิดที่พบที่ชายฝั่งประเทศไทย เช่น จังหวัดภูเก็ต ที่ชายฝั่งของออสเตรเลียมีผู้ที่ถูกแมงกะพรุนในสกุล Physalia ต่อยมากถึงปีละ 10,000 หรือ 30,000 ราย ส่วนใหญ่จะเกิดที่น่านน้ำฝั่งตะวันออก มีเพียง 500 รายเท่านั้นที่เกิดที่ฝั่งตะวันตกและทางใต้ แต่ไม่เหมือนกับแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส เพราะไม่มีบันทึกของผู้เสียชีวิตที่เกิดจากการต่อยของแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกสอินโด-แปซิฟิก แหล่งข้อมูลบางแหล่งจัดให้แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกสอินโด-แปซิฟิกเป็นชนิดเดียวกันกับแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส โดยถือเป็นชื่อพ้องซึ่งกันและกัน.

ใหม่!!: สัตว์และแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกสอินโด-แปซิฟิก · ดูเพิ่มเติม »

แมงกินลิ้น

แมงกินลิ้น (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cymothoa exigua) เป็นปรสิตจำพวกกุ้ง-กั้ง-ปูในวงศ์ Cymothoidae มีความยาวตั้งแต่ 3 ถึง 4 เซนติเมตร แมงกินลิ้นจะเข้าไปในปากของปลากะพงทางเหงือกและเกาะที่ลิ้นของปลา แมงกินลิ้นจะใช้ก้ามที่ขาสามคู่หน้าหนีบลิ้นของปลาไว้ทำให้เลือดออก ยิ่งแมงกินลิ้นตัวโตขึ้น ลิ้นของปลาก็จะมีเลือดไหลเวียนได้น้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งลิ้นนั่นฝ่อเนื่องจากขาดเลือด จากนั้นแมงกินลิ้นจะเอาตัวเองติดกับกล้ามเนื้อลิ้น ซึ่งปลาจะใช้แมงกินลิ้นได้เหมือนลิ้นปกติ แมงกินลิ้นจะดูดเลือดหรือไม่ก็กินเนื้อเยื่อของของปลาเป็นอาหาร โดยไม่ได้กินเศษอาหารของปลาแต่อย่างใด แมงกินลิ้นเป็นสัตว์จำพวก Cymothoa เพียงชนิดเดียวจากจำนวนหลายสายพันธุ์ที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ เมื่อพ.ศ. 2548 ได้มีการพบปลาที่ถูกแมงกินลิ้นเกาะในสหราชอาณาจักร ซึ่งปกติแล้วจะพบแมงกินลิ้นในแถบชายฝั่งของรัฐแคลิฟอร์เนียทำให้มีการคาดเดาว่าแมงกินลิ้นอาจจะเพิ่มถิ่นหากินมากขึ้น แต่ก็เป็นไปได้ว่าแมงกินลิ้นตัวนี้อาจจะเพียงแต่ติดไปกับปลาซึ่งว่ายน้ำไปจากอ่าวแคลิฟอร์เนียเพียงตัวเดียว.

ใหม่!!: สัตว์และแมงกินลิ้น · ดูเพิ่มเติม »

แมงมัน

แมงมันคั่วเกลือ แมงมัน (subterranean ants) เป็นชื่อเรียกของมดชนิดหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นมดราชินีสามารถนำมารับประทานเป็นอาหารได้ และมีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Carebara sp.

ใหม่!!: สัตว์และแมงมัน · ดูเพิ่มเติม »

แมงมุม

แมงมุม จัดเป็นสิ่งมีชีวิตพวกสัตว์ขาปล้อง หรืออาร์โธพอด เช่นเดียวกับแมลง, กิ้งกือ, ปู เป็นต้น จัดอยู่ในอันดับ Araneae (/อา-รัค-เน/) มีรูปทรง ลักษณะ และขนาดแตกต่างหลากหลายกันออกไป บางชนิดมีลำตัวที่กว้างมาก บางชนิดมีรูปร่างที่เพรียวยาว ขณะที่บางชนิดกลับมีรูปร่างที่คล้ายกับสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น เช่น มด หรือปู เพื่อใช้ในการพรางตัว โดยแมงมุมนั้นถูกค้นพบแล้วกว่า 40,000 ชนิด และก็ยังมีชนิดใหม่ ๆ ถูกค้นพบเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าจำนวนที่ถูกค้นพบนี้เป็นเพียงแค่ครึ่งเดียวของทั้งหมดที่มีเท่านั้น โดยแมงมุมขนาดเล็กที่สุด พบที่โคลัมเบีย ในทวีปอเมริกาใต้ มีความยาวเพียง 0.4 มิลลิเมตรเท่านั้น และที่ชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ แมงมุมกินนกโกไลแอท มีความยาวลำตัว 12–13 เซนติเมตร หรือขนาด 25–33 เซนติเมตรเลยทีเดียว แมงมุมพบได้ในแทบทุกภูมิภาคของโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งในทะเลทรายที่แห้งแล้งและร้อนอบอ้าว หรือในถ้ำลึก หรือภูเขาสูง หรือในน้ำ แต่ทั้งหมดเป็นสัตว์กินเนื้อ แมงมุมกินอาหารจำพวก เพลี้ยอ่อน, ตัวหนอน, ผีเสื้อ, แมลงวัน, ยุง, ปลวก, ด้วง, มด เป็นตัน จึงมีความสำคัญในระบบนิเวศทางการเกษตร และระบบนิเวศทั่วไป โดยส่วนใหญ่เมื่อจะล่าเหยื่อจะสร้างใยเพื่อเป็นรังอาศัย และดักเหยื่อ ในขณะที่บางชนิดไม่สร้างใยก็มี ซึ่งก็จะมีการใช้เส้นใยที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละชนิด ขึ้นอยู่กับรูปแบบการอยู่อาศัยของแมงมุมในแต่ละชนิดในพื้นที่นั้น.

ใหม่!!: สัตว์และแมงมุม · ดูเพิ่มเติม »

แมงมุมกระโดด

แมงมุมกระโดด (Jumping spiders) เป็นแมงมุมกลุ่มหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Salticidae ซึ่งถือว่าเป็นวงศ์ของแมงมุมที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด ด้วยมีจำนวนชนิดมากกว่า 5,000 ชนิด และแบ่งออกเป็นสกุลต่าง ๆ มากกว่า 500 สกุล นับเป็นร้อยละ 13 ของแมงมุมทั้งหมด แมงมุมกระโดด โดยทั่วไปเป็นแมงมุมที่มีขนาดเล็ก สามารถพบเห็นได้ทั่วทุกหนแห่ง เช่น ในสวนหลังบ้าน หรือแม้แต่ภายในบ้านเรือนทั่วไป เป็นแมงมุมที่ออกหากินในเวลากลางวัน และกลับเข้ารังพักผ่อนในยามกลางคืน เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน มีความสามารถที่จะกระโดดได้ไกลถึง 10–15 เท่าของความยาวลำตัว แมงมุมกระโดดโดยทั่วไปจะล่าแมลงขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ กินเป็นอาหาร เ้ช่น แมลงวัน จนได้อีกชื่อหนึ่งว่า "เสือแมลงวัน" แต่ก็สามารถที่จะล่าเหยื่อที่มีขนาดใหญ่กว่าลำตัวเองได้เช่นกัน แมงมุมกระโดดมีความเร็วต้นประมาณ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถ้าหากมีขนาดเทียบเท่ากับเสือชีตาห์ ซึ่งเป็นสัตว์นักล่าเหยื่อแห่งทุ่งหญ้าแอฟริกา เท่ากับว่าแมงมุมกระโดดจะทำความเร็วต้นได้สูงถึง 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง เลยทีเดียว นอกจากนี้แล้ว ยังถูกจัดให้เป็นแมงมุมที่มีระบบสายตาดีที่สุดในบรรดาแมงมุมทั้งหมดอีกด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากการวิวัฒนาการอันเป็นขั้นสูงสุดของสัตว์ประเภทแมงมุม แมงมุมกระโดดสามารถที่จะมองเห็นวัตถุเป็นภา่พด้วยดวงตาที่กลมโตคู่หน้า ในขณะที่แมงมุมทั่วไปสามาราถเห็นได้เพียงแค่เงามืด หรือแสงสว่าง หรือดีที่สุดก็เห็นเป็นเงาที่พร่ามัวเท่านั้น ส่วนแมงมุมกระโดดมีตาที่มีปฏิกิริยาไวต่อวัตถที่เคลื่อนไหวมาก อีกทั้งยังมีตาอีก 3 คู่ รายล้อมส่วนหัวอีกด้วย จึงสามารถทำให้มองเห็นได้รอบท.

ใหม่!!: สัตว์และแมงมุมกระโดด · ดูเพิ่มเติม »

แมงมุมมดแดง

แมงมุมมดแดง (Kerengga ant-like jumper) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จัดอยู่ใน Class Arachnida, Order Araneae เป็นแมงมุมที่สามารถปรับเปลี่ยนทั้งรูปร่างและพฤติกรรมให้เหมือนกับมดแดง โดยจะพบแมงมุมชนิดนี้ได้ทั้งในอินเดีย, ศรีลังกา, จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แมงมุมมดแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Myrmarachne plataleoides (O. P.- Cambridge, 1869) เป็นแมงมุมที่มีการปรับตัวโดยการเลียนแบบมด (ant mimicry) สาเหตุเนื่องมาจากในเขตร้อน มดถือได้ว่าเป็นแมลงที่มีมากที่สุด แม้ว่ามดจะเป็นเหยื่อของแมงมุมไม่กี่ชนิด แต่มดก็มีเขี้ยวที่มีพิษและทรงพลัง อีกทั้งในมดบางชนิดยังมีเหล็กในที่มีพิษ และเป็นศัตรูของแมงมุม แมงมุมหลายชนิดจึงต้องมีวิวัฒนาการมาอยู่ร่วมกันหรือให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมด เพื่อให้ปลอดภัยจากมดและผู้ล่าชนิดอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และแมงมุมมดแดง · ดูเพิ่มเติม »

แมงมุมลูกตุ้ม

แมงมุมลูกตุ้ม (Bolas spider) เป็นสัตว์ขาปล้องจำพวกแมงมุมกลุ่มหนึ่ง จัดอยู่ในเผ่า Mastophoreae ในวงศ์ Araneidae จัดเป็นแมงมุมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงกลุ่มหนึ่ง โดยเป็นแมงมุมที่ไม่สร้างใย รวมทั้งจะไม่มีพฤติกรรมซุ่มตัวเพื่อล่าเหยื่อ แต่จะผลิตสารเคมีจำพวกฟีโรโมนที่มีกลิ่นคล้ายผีเสื้อกลางคืนเพื่อหลอกล่อให้ผีเสื้อกลางคืนเข้าใจผิดว่า เป็นผีเสื้อกลางคืนตัวเมีย และบินเข้ามาใกล้เพื่อผสมพันธุ์ ซึ่งแมงมุมลูกตุ้มจะไม่จับเหยื่อโดยตรงแต่จะรอให้เหยื่อเข้ามาใกล้ จากนั้นจะใช้ลูกตุ้มซึ่งเป็นกาวเหนียวที่ทำเตรียมไว้แล้วคล้องไว้ด้วยขาหน้า และด้วยดวงตาที่มีประสิทธิภาพการมองเห็นที่ดี จะใช้ขาหน้ากวัดแกว่งลูกตุ้มให้ไปติดกับเหยื่อ ซึ่งกาวเหนียวของลูกตุ้มนั้นมีความเหนียวมากแม้เหยื่อที่เป็นแมลงขนาดใหญ่ก็ไม่อาจดิ้นหลุดไปได้ง่าย ๆ แมงมุมลูกตุ้ม กระจายพันธุ์ในหลายพื้นที่ เช่น ทวีปอเมริกา, แอฟริกา และออสตราเลเซี.

ใหม่!!: สัตว์และแมงมุมลูกตุ้ม · ดูเพิ่มเติม »

แมงมุมสันโดษเมดิเตอร์เรเนียน

แมงมุมสันโดษเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean recluse spider) เป็นแมงมุมที่พบได้ในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน แต่ก็พบการกระจายพันธุ์ในรัฐอาร์คันซอบนเกาะฮาวาย ออสเตรเลีย, บางส่วนของจีน เกาหลีและญี่ปุ่น ตลอดจนอำเภอไทรโยคในประเทศไทย ตัวมีสีน้ำตาลเข้มแบนเรียว ขนาดตัวราว 7.0-7.5 มิลลิเมตร มีพิษที่ส่งผลให้บริเวณที่ถูกกัดมีการอักเสบ เนื้อเยื่อตาย ซึ่งนำไปสู่การติดเชื้อจนอาจถึงแก่ชีวิต.

ใหม่!!: สัตว์และแมงมุมสันโดษเมดิเตอร์เรเนียน · ดูเพิ่มเติม »

แมงมุมหว่านแห

แมงมุมหว่านแห (Net-casting spider) เป็นสัตว์ขาปล้องจำพวกแมงมุมประเภทหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ Deinopidae แมงมุมหว่านแห มีรูปร่างที่แปลกแตกต่างออกไปจากแมงมุมทั่วไป โดยมีส่วนขาที่ยาว มีดวงตาคู่หนึ่งที่ใหญ่โต มีประสิทธิภาพในการมองเห็นโดยเฉพาะในเวลากลางคืนสูง อันเป็นเวลาที่ออกหากิน โดยจะมีพฤติกรรมสาวใยเส้นหนาแต่บางเบา และเหนียวให้เป็นลักษณะเหมือนกับร่างแห หรือตาข่ายรูปสี่เหลี่ยม และยึดไว้ด้วยขาคู่หน้าที่ยาวมากเหมาะสำหรับยืดกางออกให้กว้างที่สุด ส่วนขาคู่หลังทำหน้าที่เกาะยึดเส้นใยเพียงไม่กี่เส้น เหนือพื้นดินระยะใกล้ที่จะยึดแหลงมาถึง และเฝ้ารอเหยื่อที่ผ่านมาด้วยการมองจากดวงตา เมื่อมีเหยื่อผ่านมาจะทำการเอาเส้นใยเข้าคลุม โดยกางขาออกให้เต็มที่ แม้จะไม่เหมือนกับการที่มนุษย์ทอดแหหาปลา แต่ก็นับว่าเป็นพฤติกรรมการล่าเหยื่อที่แปลก แมงมุมหว่านแห มีการกระจายเกือบทั่วโลกในเขตร้อนตั้งแต่ทวีปออสเตรเลียไปจนถึงทวีปแอฟริกาและทวีปอเมริกา ในฟลอริด้า เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และแมงมุมหว่านแห · ดูเพิ่มเติม »

แมงมุมทะเล

แมงมุมทะเล (Sea spiders) หรือ พีคโนโกนิดา เป็นสัตว์ทะเลไม่มีแกนสันหลังที่ในไฟลัมอาร์โธพอด จัดอยู่ในชั้น Pycnogonida และอันดับ Pantopoda แมงมุมทะเล เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกับแมงมุม ที่เป็นอาร์โธพอดจำพวกแมงที่อยู่บนพื้นผิวโลก แต่ทั้งสองมิได้เกี่ยวเนื่องอะไรกันเลยนอกจากจะอยู่ในไฟลัมเดียวกัน แมงมุมทะเลมีลักษณะเด่น คือ ส่วนขาที่ยาวที่อาจยาวได้ถึง 25 เซนติเมตร เป็นสัตว์นักล่าที่โดยดูดกินเนื้อเยื่อสัตว์อื่นเป็นอาหาร ที่อาศัยที่พื้นทะเล พบได้ในทะเลต่าง ๆ เช่น ทะเลเมดิเตอเรเนียนและทะเลแคริบเบียน รวมถึงมหาสมุทรอาร์กติก แต่พบมากที่มหาสมุทรแอนตาร์กติก โดยที่มหาสมุทรแอนตาร์กติกนั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าที่พบในที่อื่น แมงมุมทะเลเป็นสัตว์ที่มีอัตราการเต้นของหัวใจต่ำและเบามาก โดยระบบการไหลเวียนของเลือดจะอยู่ช่วงล่างของลำตัว ขณะที่ลำไส้ที่เป็นท่อลงไปและช่วงขาที่มีความแข็งแรง ลักษณะการเดินของแมงมุมทะเล เป็นไปในลักษณะขึ้น ๆ ลง ๆ เรียกว่า เพอริสทอลซิส (Peristalsis) คือ กระบวนการที่กล้ามเนื้อบีบรัดและคลายตัวอย่างมีจังหวะ เป็นกระบวนการเช่นเดียวกับการย่อยอาหารในกระเพาะอาหารไปจนถึงลำไส้ของมนุษย์ หากแต่กระบวนนี้ในแมงมุมทะเลอยู่ไกลกว่าจะเป็นที่ต้องการสำหรับการย่อยอาหาร เพราะต้องได้รับออกซิเจนเพียงพอในร่างกายด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และแมงมุมทะเล · ดูเพิ่มเติม »

แมงมุมทารันทูล่า

แมงมุมทารันทูล่า (Tarantula; ภาษาไทยถิ่นอีสาน: เบิ้ง) เป็นสัตว์ขาปล้องจำพวกแมงมุมกลุ่มหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ Theraphosidae เป็นแมงมุมที่มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคโบราณกว่า 350 ล้านปีมาแล้ว โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างร่างกายน้อยมาก มีรูปร่างทั่วไปคล้ายกับแมงมุมท้องปล้อง แต่ทารันทูล่าจะไม่เหลือปล้องบริเวณท้องอีกแล้ว ทารันทูล่าทั่วไปเป็นแมงมุมขนาดใหญ่ มีขายาว และมีลักษณะเด่นคือ มีเส้นขนจำนวนมากขึ้นอยู่ตามตัวและขา เห็นได้ชัดเจน ส่วนมากมีสีสันหรือลวดลายที่สดใส พบได้ทั่วไปทุกมุมโลก ไม่เว้นแม้แต่ทะเลทราย, ทุ่งหญ้า หรือในถ้ำที่มืดมิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบร้อนชื้น หรืออุณหภูมิแบบป่าดิบชื้น ยกเว้นขั้วโลกเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และแมงมุมทารันทูล่า · ดูเพิ่มเติม »

แมงมุมปูขี้นก

แมงมุมปูขี้นก (Bird dung crab spider) จัดเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง อยู่ในไฟลัมArthropoda ชั้น Arachnida อันดับ Araneae เป็นแมงมุมที่มีลักษณะคล้ายปูขนาดเล็ก มีลำตัวค่อนข้างกว้างและแบน ขาทั้ง 4 คู่ยื่นออกไปทางด้านข้างของลำตัว โดยขาสองคู่หน้ามีขนาดใหญ่และยาวกว่าขาสองคู่หลัง ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสีค่อนข้างอ่อนหรืออาจมีสีที่ใกล้เคียงกับพื้นหลัง ทั้งนี้เพื่อเป็นการพรางตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม แมงมุมกลุ่มนี้จะไม่สร้างใยเพื่อดักจับเหยื่อ แต่จะซุ่มโจมตีเหยื่ออยู่บริเวณดอกไม้ ใบไม้ พื้นดิน เป็นต้น แมงมุมปูขี้นกนั้นจัดอยู่ในสกุล Phrynarachne ซึ่งถูกค้นพบบริเวณแถบเอเชียและแอฟริกาเป็นส่วนใหญ่ พบแล้วประมาณ 30 ชนิด ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีรายงานการศึกษาในสกุลนี้ค่อนข้างน้อย แมงมุมปูขี้นก ถือเป็นสิ่งชีวิตที่ประสบความสำเร็จในการพรางตัวมากที่สุดตัวหนึ่ง เนื่องจากร่างกายของมันมีรอยเปื้อนก้อนเล็กๆขึ้นเต็มไปหมด ซึ่งทำให้มันมีลักษณะเหมือนขี้นกที่สดใหม่ นอกจากนี้มันยังเพิ่มการเลียนแบบขี้นก โดยการอยู่บนใยสีขาวที่มันสร้างขึ้นมา เอาขาแนบชิดกับลำตัวและไม่แสดงการเคลื่อนไหวเป็นระยะเวลานาน ทั้งนี้เพื่อเป็นการทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นเกิดการเข้าใจผิดว่าเป็นรอยเปื้อนของขี้นกที่อยู่บนใบไม้และเพื่อเป็นการป้องกันตัวจากการถูกจับกินโดยศัตรู แมงมุมปูขี้นกสามารถสร้างกลิ่นและปล่อยกลิ่นที่เหมือนกับกลิ่นของอุจจาระหรือปัสสาวะได้ ซึ่งวิธีการสร้างกลิ่นนี้ถือเป็นวิธีการที่ฉลาดมากในการดึงดูดแมลงบางกลุ่ม เช่น แมลงวัน ให้เข้ามาและหลังจากนั้นมันก็จะโจมตีเหยื่อทันที.

ใหม่!!: สัตว์และแมงมุมปูขี้นก · ดูเพิ่มเติม »

แมงมุมน้ำ

แมงมุมน้ำ หรือ แมงมุมระฆังดำน้ำ (Diving bell spider, Water spider) เป็นแมงมุมชนิดหนึ่ง เป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Argyroneta โดยมาจากภาษากรีกคำว่า "Argyros" (ἄργυρος) แปลว่า "เงิน" และ "neta" หรือคำประดิษฐ์ใหม่ (บางทีอาจจะมาจาก νητής) มาจากคำกริยา "นีโอ" (νέω) "ปั่น" หรือ "กรอ" โดยหมายถึง "เครื่องปั่นเงิน" แมงมุมน้ำ เป็นแมงมุมที่แตกต่างจากแมงมุมชนิดอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะสามารถอาศัยอยู่ในน้ำได้ โดยอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำตื้น ๆ เช่น หนอง, บึง หายใจโดยอาศัยโพรงอากาศที่สร้างไว้ใต้น้ำ โดยมีสาหร่ายหรือพืชน้ำสำหรับโพรงอากาศนั้นเกาะติดอยู่ มีขนที่มีลักษณะพิเศษที่นอกจากกันน้ำได้เหมือนแมงมุมชนิดอื่น ๆ แล้ว ยังสามารถกักอากาศได้มากกว่า ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับระฆังดำน้ำ เมื่อขึ้นมายังผิวน้ำ และใช้ส่วนที่เป็นท้องขึ้นมาสัมผัสกับอากาศ ขนเหล่านี้จะดูดซับอากาศไว้ และก็จะดำน้ำลงไปยังที่ ๆ จะสร้างโพรงอากาศนั้นแล้วเติมอากาศที่นำมา รอบแล้วรอบเล่าจนกว่าจะพอที่จะเข้าไปอาศัยอยู่ข้างในได้ โดยในแต่ละรอบจะอยู่ใต้น้ำได้ประมาณ 40 นาที แต่มีงานวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันและออสเตรเลีย ระบุว่า แมงมุมน้ำสามารถที่จะอาศัยอยู่ใต้น้ำอย่างต่อเนื่องได้นานสุดถึง 24 ชั่วโมง แมงมุมน้ำ พบกระจายพันธุ์ในทวีปยุโรป เช่น เกาะอังกฤษ จนถึงทางตอนเหนือของเอเชียและเอเชียตะวันออก เช่น คาบสมุทรเกาหลี, เกาะญี่ปุ่น โดยล่าเหยื่อซึ่งได้แก่แมลงและสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ กินเป็นอาาหร เช่น ลูกปลา, ลูกอ๊อด, ลูกกุ้ง, ตัวอ่อนแมลงน้ำ เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และแมงมุมน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

แมงมุมแม่ม่ายดำ

แมงมุมแม่ม่ายดำ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Latrodectus hesperus) เป็นแมงมุมพิษในสกุลแมงมุมแม่ม่าย กระจายพันธุ์ในภาคตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย เพศเมียมีขนาดตัวราว 14–16 มิลลิเมตร มีลำตัวสีดำ กลางลำตัวมีเครื่องหมายเป็นรูปนาฬิกาทราย เครื่องหมายนี้อาจเป็นได้ทั้งสีแดงหรือสีเหลือง ในขณะที่เพศผู้จะมีขนาดตัวราวครึ่งหนึ่งของตัวเมียและมีลำตัวสีอ่อนกว่าตัวเมีย แมงมุมในสกุลแม่ม่าย ภายหลังการผสมพันธุ์กับตัวผู้แล้ว ตัวเมียจะกินแมงมุมตัวผู้เข้าไปซึ่งกลายเป็นที่มาของชื่อ โดยที่แมงมุมตัวเมียเท่านั้นที่สามารถกัดมนุษย์ได้ เนื่องจากตัวผู้มีกรามขนาดเล็กเกินกว่าจะกัดผ่านผิวหนังมนุษย์ พิษของแมงมุมสายพันธุ์นี้ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งจนกลายเป็นอัมพาต ซึ่งหากการอัมพาตเกิดกับกระบังลมและหัวใจก็อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ ผู้ถูกกัดมักมีอาการแสดงออกราว 20 นาทีถึง 1 ชั่วโมงภายหลังถูกกัด ซึ่งความรุนแรงก็จะขึ้นกับปริมาณสารพิษที่ร่ายกายได้รับ นอกจากนี้ยังอาจพบอาการข้างเคียงอื่นๆร่วมด้วย อาทิ ปวดท้องอย่างรุนแรง, คลื่นไส้อาเจียน, เหงื่อออกมาก, มือสั่น และชัก.

ใหม่!!: สัตว์และแมงมุมแม่ม่ายดำ · ดูเพิ่มเติม »

แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล

แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล (ชื่อวิทยาศาสตร์: Latrodectus geometricus) หรือมีอีกชื่อหนึ่งคือ แมงมุมแม่ม่ายเทา เป็นแมงมุมพิษในสกุลแมงมุมแม่ม่าย เป็นสายพันธุ์พี่น้องกับแมงมุมแม่ม่ายดำ นักวิจัยเชื่อว่าแมงมุมสายพันธุ์นี้มีถิ่นกำหนดมาจากทั้งทวีปแอฟริกา แต่ก็ไม่แน่ชัดนัก ทั้งนี้สายพันธุ์ดั้งเดิมพบทั้งในแอฟริกาและอเมริกาใต้ มักจะพบได้ตามอาคารบ้านเรือนในเขตร้อนชื้น ปัจจุบันแมงมุมสายพันธุ์นี้พบได้ในหลายพื้นที่ของประเทศแอฟริกาใต้, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, อัฟกานิสถาน, จีน, ญี่ปุ่น, แทนซาเนีย, โดมินิกัน, ไซปรัส, คอสตาริกา, เอลซัลวาดอร์ และ บราซิล นอกจากนี้ยังเคยมีการพบในประเทศอื่นอย่าง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ไทย และ ปากีสถาน อีกด้วย แมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาลมีขนาดตัวเล็กและมีสีอ่อนกว่าแมงมุมแม่ม่ายดำ ซึ่งลำตัวอาจมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้มเกือบดำ กลางท้องมีเครื่องหมายสีแดงเป็นรูปนาฬิกาทราย ตัวเมียจะวางไข่ครั้งละประมาณ 120–150 ฟอง โดยมีระยะฟักตัวประมาณ 20 วัน มีนิสัยไม่ก้าวร้าว และเช่นเดียวกับแม่ม่ายดำที่มีเฉพาะตัวเมียเท่านั้นที่กัดเข้าผิวหนังมนุษย์ได้ อย่างไรก็ตามการกัดของแมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาลไม่ร้ายแรงเท่าของแม่ม่ายดำ เนื่องการกัดหนึ่งครั้งปล่อยพิษออกมาในปริมาณที่น้อยกว่า และผลของพิษจำกัดอยู่แค่บริเวณที่ถูกกัดเท่านั้นในขณะที่พิษของแม่ม่ายดำจะลามไปทั่วระบบไหลเวียนโลหิต โดยพิษของแม่ม่ายสีน้ำตาลจะทำให้มีอาการเกร็งกระตุกและตะคริว ตลอดจนเจ็บปวดคล้ายถูกผึ้งต่อ.

ใหม่!!: สัตว์และแมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

แมงมุมแวมไพร์

แมงมุมแวมไพร์ หรือ แมงมุมผีดูดเลือด (Vampire spider) เป็นแมงมุมขนาดเล็ก จำพวกแมงมุมกระโดดชนิดหนึ่ง เป็นแมงมุมที่มีพฤติกรรมกินเลือดของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังทางอ้อม โดยเฉพาะยุง โดยเฉพาะชนิด Anopheles gambiae ซึ่งเป็นพาหะสำคัญในการแพร่โรคมาลาเรีย ในยุงตัวเมียที่กินเลือดมาแล้วเต็มท้อง จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และแมงมุมแวมไพร์ · ดูเพิ่มเติม »

แมงอีนูน

แมงอีนูน หรือ แมงกีนูน (Cockchafer) หรือ แมงนูน หรือ กุดกีนูน (อีสาน) หรือ แมงนูนหลวง เป็นแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Melolontha melolontha อยู่ในวงศ์ Scarabaeidae มีรูปร่างอ้วนป้อมเป็นรูปไข่ หัวมันเรียบ มีหนวดแบบใบไม้ 1 คู่ที่ปาก ปากเป็นแบบปากกัด ตามีขนาดใหญ่มองเห็นได้ชัด ที่อกปล้องแรกเห็นชัดกว่าปล้องอื่น ๆ ปีกมี 2 คู่ คู่หน้ามีลักษณะแข็งเรียบเป็นมันมีหน้าที่เป็นเปลือกหุ้มตัว ส่วนปีกคู่ที่สองนั้นบางใส ใช้สำหรับบิน ส่วนท้องอยู่ด้านล่างมีปีกที่แข็งคลุม หัว อกและขามีสีน้ำตาลไปจนถึงสีดำ ปีกที่แข็งมีสีน้ำตาลอ่อน ขนาดลำตัวยาวประมาณ 30 มิลลิเมตร แมงอีนูน จัดเป็นแมลงศัตรูพืช เพราะกัดแทะใบของพืชที่เป็นพืชเศรษฐกิจ อาทิ มะขามเทศ, มะขาม, อ้อย, มันสำปะหลัง, พุทรา แมงอีนูนมีวงจรชีวิตเป็นหนอนอยู่ใต้ดินนานนับปี ก่อนจะเข้าสู่ระยะดักแด้และเป็นตัวเต็มวัยในช่วงต้นฤดูฝนของทุกปี ซึ่งจะพบแมงอีนูนเป็นจำนวนมากในเวลานี้ แมงอีนูนจัดเป็นอาหารรับประทานในวิถีชีวิตของชาวเหนือและชาวอีสาน อีกทั้งยังเป็นการกำจัดแมลงศัตรูพืช โดยการจับแมงอีนูนจะกระทำในช่วงหัวค่ำ ใช้แสงไฟจากนีออนเป็นตัวล่อ หรือเขย่าจากต้นไม้ที่มีแมงอีนูนจำนวนอาศัยอยู่ก็จะหล่นลงมาให้จับได้ง่าย ๆ ซึ่งการปรุงแมงอีนูนทำได้ทั้งวิธีการต้มและทอด ในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดกำแพงเพชร มีการค้าขายกันเป็นล่ำเป็นสันด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และแมงอีนูน · ดูเพิ่มเติม »

แมงดา

การผสมพันธุ์ของแมงดา แมงดา หรือที่บางครั้งเรียกว่า แมงดาทะเล จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในไฟลัมอาร์โธรพอด โดยที่ไม่ใช่ครัสเตเชียน แต่เป็นเมอโรสโทมาทา อยู่ในอันดับ Xiphosura และวงศ์ Limulidae.

ใหม่!!: สัตว์และแมงดา · ดูเพิ่มเติม »

แมงดาญี่ปุ่น

แมงดาญี่ปุ่น หรือ แมงดาจีน (Japanese horseshoe crab, Chinese horseshoe crab; 鱟; カブトガニ) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tachypleus tridentatus เป็นแมงดาหนึ่งในสองชนิดที่อยู่ในสกุล Tachypleus แมงดาญี่ปุ่นมีส่วนหางเป็นสันขึ้นมาเป็นเหมือนสามเหลี่ยม ตัวผู้มีรอยหยักสองรอยทำให้มีลักษณะโค้งเป็นลอนสามลอน บริเวณขอบด้านหน้าของกระดอง ขอจับพองออกเป็นกระเปาะสองคู่ ตัวเมียมีหนามบริเวณขอบด้านข้างของส่วนท้องขนาดยาวสามคู่แรก และขนาดสั้นสามคู่หลัง ส่วนในตัวผู้มีขนาดความยาวใกล้เคียงกัน ขนาดใหญ่สุดมีความยาวตลอดตัว ประมาณ 74 เซนติเมตร สีของกระดองเป็นสีเขียวและอ่อนกว่าแมงดาถ้วย (Carcinoscorpius rotundicauda) พบในชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก บริเวณชายฝั่งของญี่ปุ่น, ไต้หวัน, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, มาเลเซีย และบริเวณเกาะบอร์เนียวเหนือ โดยไม่พบในน่านน้ำไทย ในญี่ปุ่น เป็นแมงดาเพียงชนิดเดียวที่พบได้ที่นั่น โดยพบบริเวณชายฝั่งของทะเลเซโตะในฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นในฤดูหนาวจะอพยพไปยังเกาะของเกาะฮนชูและเกาะคีวชูเพื่อจับคู่ผสมพันธุ์ แมงดาญี่ปุ่นหรือแมงดาจีนนั้นสามารถนำมารับประทานได้เช่นเดียวกับแมงดาจาน (T. gigas) ซึ่งเป็นแมงดาอีกชนิดหนึ่งที่อยู่ในสกุลเดียวกัน โดยในตำรับอาหารจีนและอาหารญี่ปุ่นนิยมรับประทานเนื้อและไข่ แต่ก็ยังมีพิษอยู่บ้างในบางท้องที่และบางฤดูกาล เช่นในสิงคโปร์ เคยพบรายงานของแมงดาที่มีพิษ.

ใหม่!!: สัตว์และแมงดาญี่ปุ่น · ดูเพิ่มเติม »

แมงดาจาน

แมงดาจาน เป็นแมงดาเพียงหนึ่งในสองชนิดที่พบได้ในประเทศไทย และจัดเป็นหนึ่งในสองชนิดที่อยู่ในสกุล Tachypleus แมงดาจานมีลักษณะกระดองแบนราบและกว้างกว่าแมงดาถ้วย หางมีลักษณะเป็นสันนูนขึ้นมาเป็นสามเหลี่ยม มีสันซึ่งมีหนามเล็ก ๆ เรียงเป็นแถวตามความยาวอยู่ตรงกลางด้านบนของหาง ตัวผู้มีขอจับพองออกเป็นกระเปาะ 2 คู่ ตัวเมียมีหนามบริเวณขอบด้านข้างของส่วนท้องขนาดยาว 3 คู่แรก และสั้น 3 คู่หลังในตัวผู้มีขนาดความยาวใกล้เคียงกัน ด้านท้องมีสีน้ำตาลอ่อนและมีสีเข้มตอนขอบหน้า ขนาดใหญ่สุดมีความกว้างของกระดอง ไม่เกิน 25 เซนติเมตร หรือประมาณเท่าจานข้าวใบใหญ่ อันเป็นที่มาของชื่อ สีของกระดองอ่อนกว่าแมงดาถ้วย ความยาวของกระดองประมาณ 35–40 เซนติเมตร พบกระจายทั่วไปในเขตชายฝั่งของมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย, ทางตะวันออกของอ่าวเบงกอล, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ซาราวะก์, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ไทย ไปจนถึงจีน สำหรับในประเทศไทยซึ่งพบแพร่กระจายชุกชุมทั้ง 2 ฟาก ในฝั่งทะเลอันดามันพบได้ตั้งแต่บริเวณจังหวัดสมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, เพชรบุรีถึงชุมพร ในฝั่งอ่าวไทยพบได้ที่ จังหวัดสมุทรปราการ, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรีจนถึงจันทบุรี แมงดาจานนั้น มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า แมงดาทะเลหางเหลี่ยม หรือ แมงดาทะเลหางสามเหลี่ยม ตามลักษณะของหาง จัดเป็นแมงดาชนิดที่รับประทานได้ โดยนิยมนำไข่และเนื้อมาย่าง หรือทำเป็นห่อหมก โดยที่พิษของแมงดาจานนั้น ในประเทศไทยยังไม่เคยมีรายงานพบ แต่ทว่าในต่างประเทศ มีรายงานพบประมาณร้อยละ 10 เช่นที่ สิงคโปร์ แมงดาจานอาศัยอยู่บริเวณน้ำตื้นตามชายฝั่งทะเล โดยวางไข่ไว้บนหาดทรายด้วยการขุดหลุมประมาณ 8–12 หลุม วางไข่แต่ละครั้งประมาณ 9,000 ฟอง ช่วงต้นฤดูร้อนประมาณตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกันยายน โดยจะวางไข่ในช่วงน้ำขึ้นสูงสุดประมาณ 2–3 วัน ทุก ๆ รอบ 15 วัน ไข่มีสีเหลืองอ่อน และมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-4 มิลลิเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และแมงดาจาน · ดูเพิ่มเติม »

แมงดาถ้วย

แมงดาถ้วย หรือ แมงดาทะเลหางกลม เป็นแมงดาชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Carcinoscorpius มีรูปร่างกลมและกระดองนูนเหมือนชามหรือถ้วยคว่ำ ทางด้านหัวโค้งกลม หางเรียวยาวเป็นทรงกลม กระดองมีสีเขียวเหลือบเหลืองคล้ำ ใช้สำหรับปักลงกับพื้นท้องทะเล เมื่อต้องการนอนนิ่งอยู่กับที่ หรือใช้พลิกตัวเมื่อนอนหงายท้อง พบอาศัยในทะเลโคลนแถบป่าชายเลนหรือปากแม่น้ำ อาจพบได้ในเขตน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวประมาณ 40 เซนติเมตร (รวมหาง) ในบางครั้งแมงดาถ้วยบางตัวและในบางฤดูกาลอาจมีสีกระดองสีแดงเหลือบส้ม และมีขนที่กระดองและบางส่วนของลำตัว แมงดาถ้วยแบบนี้จะเรียกว่า เหรา (อ่านว่า), ตัวเหรา หรือ แมงดาไฟ แมงดาถ้วยพบกระจายไปทั่วในชายฝั่งทะเลอินเดียจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ในประเทศไทยพบได้ทุกจังหวัดที่ติดกับทะเล แมงดาชนิดนี้ทั้งเนื้อและไข่มีพิษทุกฤดูกาล จึงไม่ควรนำมาบริโภคอย่างเด็ดขาด สันนิษฐานกันว่าการเกิดพิษในตัวแมงดามาจาก 2 สาเหตุ คือ เกิดจากการที่ตัวแมงดาไปกินแพลงก์ตอนที่มีพิษเข้าไป ทำให้สารพิษไปสะสมอยู่ในเนื้อและไข่ และตัวแมงดาเองมีพิษซึ่งเกิดจากแบคทีเรียในลำไส้สร้างพิษขึ้นมาได้เอง อาการเมื่อรับพิษเข้าไป คือ ชาที่ริมฝีปาก มือ และเท้า เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เดินเซ แขนขาไม่มีแรง พูดไม่ออก กลืนลำบาก หายใจไม่ออก กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจเป็นอัมพาต เนื่องจากเป็นพิษที่ผลต่อระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ในเด็กเล็กจะมีอาการรุนแรงมากกว่าผู้ใหญ่ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ จากการที่แมงดาถ้วยสามารถปรับตัวให้อยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ จึงมักพบการค้าขายแมงดาถ้วยเป็นสัตว์เลี้ยงในตลาดปลาสวยงามเสมอ ๆ โดยผู้ขายมักหลอกผู้ซื้อว่า เลี้ยงในน้ำจืดได้ แต่ทว่าเมื่อนำมาเลี้ยงจริง ๆ แล้ว แมงดาจะอยู่ได้เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นก่อนที่จะตายไปในที.

ใหม่!!: สัตว์และแมงดาถ้วย · ดูเพิ่มเติม »

แมงดาแอตแลนติก

แมงดาแอตแลนติก (Atlantic horseshoe crab) เป็นแมงดาชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Limulus polyphemus จัดอยู่ในสกุล Limulus ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุลนี้ และเป็นแมงดาเพียงชนิดเดียวด้วยที่พบในมหาสมุทรแอตแลนติก แมงดาแอตแลนติกมีลักษณะหางด้านบนนูนเป็นสามเหลี่ยมคล้ายแมงดาจาน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ตัวผู้มีขาจับที่พองออกเป็นกระเปาะเพียงคู่เดียว แต่ในแมงดาจานจะมีสองคู่ ส่วนตัวเมียมีหนามบริเวณขอบด้านข้างของส่วนท้องขนาดยาวใกล้เคียงกันทั้ง 6 คู่เหมือนตัวผู้ ในขณะที่แมงดาจานมีหนามบริเวณขอบของส่วนท้องยาว 3 คู่แรก ส่วน 3 คู่หลังสั้น (ยกเว้นในระยะที่ยังเจริญไม่เต็มที่จะมีหนามยาวเท่า ๆ กันเช่นเดียวกับตัวผู้) ขนาดใหญ่สุดมีความยาวตลอดตัวมากกว่า 60 เซนติเมตร แมงดาชนิดนี้พบในมหาสมุทรแอตแลนติก บริเวณชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือ ตั้งแต่รัฐเมน, อ่าวเดลาแวร์ ไปจนถึงอ่าวเม็กซิโก.

ใหม่!!: สัตว์และแมงดาแอตแลนติก · ดูเพิ่มเติม »

แมงคีม

แมงคีม หรือ ด้วงเขี้ยวกาง หรือ ด้วงคีม (Stag beetle) เป็นแมลงปีกแข็งในวงศ์ Lucanidae ซึ่งยังแบ่งออกได้เป็นวงศ์ย่อยอีก 4 วงศ์ (ดูในตาราง) พบประมาณ 1,200 ชนิด แมงคีมมีลักษณะเด่นคือ ในตัวผู้จะมีขากรรไกรล่างที่มีขนาดใหญ่และกางเข้าออกได้เหมือนคีมหรือกรรไกรอันเป็นที่มาของชื่อเรียก ซึ่งใช้สำหรับเป็นอาวุธในการต่อสู้กันและแย่งตัวเมียเช่นเดียวกับแมลงปีกแข็งในวงศ์ Dynastinae ขณะที่ตัวเมียจะมีขนาดและขากรรไกรเล็กกว่า มีสีลำตัวที่อ่อนกว่า แมงคีมมีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 12 เซนติเมตร ขณะที่บางชนิดที่ขนาดเล็กมีความยาวเพียง 5 เซนติเมตรเท่านั้น มีลำตัวโดยรวมค่อนข้างแบน มีหนวดแบบหักเหมือนข้อศอก โดยมีปล้องแรกยาวและปล้องต่อ ๆ ไปเป็นปล้องสั้น ๆ เรียงตัวกันในทิศทางเดียวกันแต่เป็นคนละทิศกับหนวดปล้องแรก ปล้องใกล้ส่วนปลายมีหลายปล้องที่ขยายใหญ่ขึ้นเป็นปมอาจจะประกอบไปด้วยปล้องเล็ก ๆ 3-4 ปล้อง หรือ 5-6 ปล้อง ซึ่งจำนวนปล้องที่ปลายหนวดนี้มีส่วนสำคัญในการอนุกรมวิธานด้วย แมงคีมวางไข่และตัวหนอนเจริญเติบโตในซากไม้ผุเช่นเดียวกับแมลงปีกแข็งในวงศ์ Dynastinae แต่จะไม่วางไข่ในดิน เพราะระยะเป็นตัวหนอนจะกินอาหารจำพวกไม้ผุหรือเห็ดราที่ติดมากับไม้เหล่านั้น แตกต่างกันไปตามชนิดหรือสกุล โดยใช้เวลาฟักเป็นตัวเต็มวัยนานเป็นแรมปีเหมือนกัน แมงคีมพบได้ทั่วโลก ปกติเป็นแมลงที่ไม่ก้าวร้าวต่อมนุษย์ ในประเทศไทยสามารถพบได้หลายชนิด อาทิ แมงคีมยีราฟ (Prosopocoilus giraffa) ซึ่งเป็นชนิดที่มีขนาดใหญ่ มีที่มีขนาดพอ ๆ กับนิ้วมือมนุษย์ พบได้ในป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งในภาคเหนือและภาคตะวันออก เป็นชนิดที่หายากใกล้สูญพันธุ์มากแล้ว และมีรายชื่อเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ด้วย แมงคีมนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงใช้สำหรับต่อสู้กันเช่นเดียวกับแมลงปีกแข็งในวงศ์ Dynastinae ซึ่งอาจจะใช้ต่อสู้ด้วยกันก็ได้ และเป็นที่นิยมสะสมของนักสะสมแมลง.

ใหม่!!: สัตว์และแมงคีม · ดูเพิ่มเติม »

แมงคีมยีราฟ

แมงคีมยีราฟ หรือ ด้วงคีมยีราฟ หรือ ด้วงคีมหยักสองต่อ (Giraffe stag beetle) เป็นแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prosopocoilus giraffa จัดอยู่ในวงศ์แมงคีม (Lucanidae) แมงคีมยีราฟจัดเป็นแมงคีมชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีจุดเด่น คือ เขี้ยวหรือขากรรไกรล่างที่ใช้เป็นอาวุธของตัวผู้ที่เรียวยาวและแลดูแข็งแรงมาก โดยอาจยาวได้ถึง 2.5-4.0 เซนติเมตร ในขณะที่ลำตัวมีความยาวทั้งหมดประมาณ 10.5 เซนติเมตรในตัวผู้ และ 7.5 เซนติเมตรในตัวเมีย ลำตัวเป็นสีน้ำตาลดำเป็นเงามัน บริเวณตรงกลางส่วนอกของขาคู่กลาง และขาคู่หลังมีหนามข้างละ 1 อัน แต่ที่ขาคู่หลังจะมีขนาดเล็กกว่า ที่ฐานของขากรรไกรล่างมีปุ่มขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ข้างละ 1 อัน และมีลักษณะเด่นที่สำคัญ คือ ส่วนหัวบริเวณขอบตรงกลางด้านบนจะมีปุ่มยื่นตรงไปด้านหน้า 1 คู่ ในขณะที่ตัวเมียจะมีขนาดเล็กกว่ามาก โดยที่ขากรรไกรในตัวผู้จะมีลักษณะแตกต่างออกไปตามช่วงวัยและขนาดลำตัว ซึ่งยิ่งเจริญเติบโตมากและมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าใด คีมหรือขากรรไกรนั้นก็จะยาวใหญ่และมีส่วนโค้งและมีปุ่มเหมือนเขี้ยวมากขึ้นด้วย แมงคีมยีราฟพบกระจายพันธุ์ในป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งของหลายประเทศในทวีปเอเชียจนถึงอินโดนีเซีย ในประเทศไทยพบได้ในป่าทางภาคเหนือและภาคตะวันออก (มีทั้งหมด 9 ชนิดย่อย-ดูในตาราง) เป็นแมลงที่หากินในเวลากลางคืน โดยกินยางไม้ตามเปลือกไม้ของต้นไม้ใหญ่ในป่า ตัวผู้มีพฤติกรรมใช้ขากรรไกรที่ยาวใหญ่นั้นต่อสู้เพื่อป้องกันตัว และสู้กับตัวผู้ตัวอื่น ๆ เพื่อแย่งตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ หรือแม้แต่สู้กับด้วงในวงศ์ Dynastinae ที่ใช้เขาเพื่อการต่อสู้ได้ด้วยเช่นกัน ในระยะที่เป็นตัวหนอน อายุการเป็นตัวหนอนของแมงคีมยีราฟจะแตกต่างออกไปตามเพศ ตัวผู้จะมีอายุราว 9 เดือน ขณะที่ตัวเมียมีอายุสั้นกว่าคือ 4-7 เดือน และตัวหนอนสามารถส่งเสียงขู่ผู้รุกรานได้ด้วย ด้วยการยกขาคู่หลังตั้งขึ้นให้ด้านข้างซึ่งเป็นแผ่นแข็งเสียดสีกับขาคู่กลางไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดการสั่นจนมีเสียงพอรับรู้ได้ สำหรับสถานะในประเทศไทย เป็นแมลงที่หาได้ยากใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการถูกจับไปเป็นสัตว์เลี้ยงและสตัฟฟ์เพื่อการสะสม และการทำลายป่าที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัย ทำให้แมงคีมยีราฟถูกจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และเคยมีภาพปรากฏลงในสลากกินแบ่งรัฐบาลและแสตมป์ด้วยแต่ขณะนี้ได้มีความพยายามจากภาคเอกชนในการเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงแล้ว ซึ่งแมงคีมยีราฟจะวางไข่ไว้ในไม้ผุเท่านั้น โดยจะไม่วางไข่ไว้ในดินเหมือนด้วงในวงศ์ Dynastinae เพราะตัวหนอนกินอาหารต่างกัน โดยจะกินไม้ผุและเห็ดราที่ติดมากับไม้นั้นด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และแมงคีมยีราฟ · ดูเพิ่มเติม »

แมงคีมละมั่งเหลือง

แมงคีมละมั่งเหลือง หรือ ด้วงคีมละมั่งเหลือง เป็นแมงคีมชนิดหนึ่ง มีรูปร่างทั่วไปเหมือนแมงคีมละมั่งดำเขาใหญ่ (H. nigritus) ที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่มีปีกนอกที่เป็นปีกแข็งเป็นสีเหลืองประมาณ 2 ใน 3 จากส่วนปลายปีก ยกเว้นขอบเส้นปีกตรงกลางเป็นสีดำ ตัวเมียมีสีดำและมีบริเวณส่วนไหล่ค่อนข้างกลม ปลายหนวดมีปล้อง 4-5 ปล้อง โดยถือเป็นชนิดต้นแบบของสกุลนี้ด้วย พบกระจายพันธุ์ในอินเดีย, พม่า, มาเลเซีย และประเทศไทย ที่อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ตัวผู้มีขนาดความยาวประมาณ 43-80 มิลลิเมตร ขณะที่ตัวเมียประมาณ 98-39 มิลลิเมตร ขยายพันธุ์โวยการวางไข่ในขอนไม้ ตัวหนอนจะกินไม้ผุซึ่งเจริญเติบโตได้ดี มีทั้งหมด 4 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) สามารถเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว โดยอาจเพาะเลี้ยงในขวดสุราแบบแบนก็ได้ โดยใส่ขี้เลื่อยและเศษไม้ผุลงไป.

ใหม่!!: สัตว์และแมงคีมละมั่งเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

แมงป่อง

แมงป่อง (ภาษาไทยถิ่นอีสาน: แมงงอด; ภาษาไทยถิ่นเหนือ: แมงเวา) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จำพวกสัตว์ขาปล้อง เป็นสัตว์มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของแมงป่องที่มีอายุถึง 440 ล้านปี ตั้งแต่ยุคซิลลูเรียน เช่น Archaeobuthus estephani หรือ Protoischnurus axelrodorum http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name.

ใหม่!!: สัตว์และแมงป่อง · ดูเพิ่มเติม »

แมงป่องช้าง

แมงป่องช้าง (Giant forest scorpions) เป็นแมงป่องที่อยู่ในสกุล Heterometrus ในวงศ์ Scorpionidae.

ใหม่!!: สัตว์และแมงป่องช้าง · ดูเพิ่มเติม »

แมงป่องช้างก้ามยาว

แมงป่องช้างก้ามยาว แมงป่องช้างชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายแมงป่องช้างชนิด H. spinifer คือ มีปล้องพิษที่ปลายหางสีแดงเหมือนกัน ส่วนหัวไม่เรียบ แต่แมงป่องช้างก้ามยาวจะมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่าเมื่อเทียบขนาดกับแมงป่องช้างชนิดอื่นที่อายุเท่ากัน และมีส่วนก้ามที่ใหญ่และยาวกว่า มีความยาวลำตัวประมาณ 8-9 เซนติเมตร (ไม่รวมหาง) พบมากในป่าทางภาคใต้ของประเทศไทย จนถึงมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปิน.

ใหม่!!: สัตว์และแมงป่องช้างก้ามยาว · ดูเพิ่มเติม »

แมงป่องช้างใต้

แมงป่องช้างใต้ (Giant forest scorpion, Giant blue scorpion) อาร์โธพอดชนิดหนึ่ง จำพวกแมงป่อง ในกลุ่มแมงป่องช้าง เป็นแมงป่องช้างที่มีลักษณะคล้ายกับแมงป่องช้างชนิด H. laoticus แต่แตกต่างกันตรงที่ผิวบริเวณส่วนหัวของแมงป่องช้างใต้จะไม่เรียบ มีตุ่มคล้ายตุ่มผดขึ้นกระจายโดยรอบส่วนหัวและบริเวณตา ส่วนหัวจะเรียวกว่า H. laoticus ในตัวเต็มวัยปล้องพิษจะมีสีแดงมองเห็นเด่นชัด มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 10–12 เซนติเมตร (3.9–4.7 นิ้ว) เป็นสัตว์ก้าวร้าวเหมือนแมงป่องช้างทั่วไป แม้จะมีพิษแต่ไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตต่อมนุษย์ กินแมลงหรือแมงทั่วไป เช่น แมลงสาบ, จิ้งหรีด, แมงมุม, ตั๊กแตน พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย, ไทย, เวียดนาม, กัมพูชา ในประเทศไทยพบมากทางภาคใต้ แต่ก็มีรายงานพบที่จังหวัดหนองบัวลำภูด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และแมงป่องช้างใต้ · ดูเพิ่มเติม »

แมงป่องแส้

แมงป่องแส้ หรือ แมงป่องหางแส้ (Whip scorpion) เป็นสัตว์ขาปล้องจำพวกแมงจำพวกหนึ่ง อยู่ในอันดับ Thelyphonida แมงป่องแส้ มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับแมงป่อง มีขา 4 คู่ แต่ขาคู่หน้าเรียวยาวพัฒนาเป็นอวัยวะรับสัมผัส และมีขนยาวตอนปลายลำตัวมีลักษณะยาวคล้ายแส้ ไม่มีอวัยวะในการต่อย จึงเป็นสัตว์ที่ไม่มีพิษ แต่ก็สามารถปล่อยสารเคมีที่มีกลิ่นฉุนออกมา ซึ่งเป็นกรดอเซติคเป็นส่วนใหญ่ ใช้สำหรับป้องกันตัวไม่ใช้ล่าเหยื่อ อันสามารถขับไล่แมลงบางจำพวกอย่าง มด หรือเห็บไปได้ แมงป่องแส้ สามารถจัดจำแนกได้ตามลักษณะของหาง ซึ่งมีทั้งยาวและสั้น แพร่กระจายพันธุ์ในป่ารวมถึงในเมืองในภูมิภาคที่มีอากาศแบบเมืองร้อนหรือกึ่งเขตร้อนทั้งในทวีปยุโรป, แอฟริกา, เอเชีย จนถึงออสเตรเลีย ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และแมงป่องแส้ · ดูเพิ่มเติม »

แมนนาทีอินเดียตะวันตก

แมนนาทีอินเดียตะวันตก (West Indian Manatee) เป็นแมนนาทีชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่ที่สุดในอันดับพะยูน แมนนาทีอินเดียตะวันตกจัดเป็นสปีชีส์ที่แยกจากแมนนาทีแอมะซอนและแมนนาทีแอฟริกาบนพื้นฐานจากการศึกษาพันธุกรรมและสัณฐานวิทยา มีสองชนิดย่อยคือ แมนนาทีฟลอริดา (T. m. latirostris) และแมนนาทีแคริบเบียน (T. m. manatus) อย่างไรก็ตาม การวิจัยล่าสุดทางพันธุกรรม (mtDNA) ชี้ให้เห็นว่าแมนนาทีอินเดียตะวันตกแบ่งได้เป็นสามกลุ่มซึ่งมากหรือน้อยตามการกระจายพันทางภูมิศาสตร์ คือ (1) รัฐฟลอริดาและเกรตเตอร์แอนทิลลิส (2) ภาคกลางและภาคเหนือของอเมริกาใต้ (3) อเมริกาใต้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.

ใหม่!!: สัตว์และแมนนาทีอินเดียตะวันตก · ดูเพิ่มเติม »

แมนนาทีแอฟริกา

แมนนาทีแอฟริกา (African manatee) หรือที่รู้จักกันในชื่อ แมนนาทีแอฟริกาตะวันตก เป็นแมนนาทีชนิดหนึ่ง พบมากในทางตะวันตกของทวีปแอฟริกาจากสาธารณรัฐเซเนกัลถึงประเทศแองโกลา นักวิทยาศาสตร์ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมันมากนัก แต่สร้างสมมุติฐานว่าแมนนาทีแอฟริกานั้นคล้ายกับแมนนาทีอินเดี.

ใหม่!!: สัตว์และแมนนาทีแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

แมนนาทีแอมะซอน

แมนนาทีแอมะซอน (Amazonian Manatee) เป็นแมนนาทีชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดในลุ่มน้ำแอมะซอน เป็นสัตว์น้ำในอันดับพะยูนหรือที่รู้จักกันในชื่อวัวทะเล พบในประเทศบราซิล เปรู โคลัมเบีย เอควาดอร์ กายอานา และเวเนซุเอลา ลำตัวมีสีเทาหรือน้ำตาลออกเทา ผิวหนา เหี่ยวย่น มีหนวดรอบปาก มันไม่มีศัตรูทางธรรมชาติที่สำคัญ นอกจากถูกล่าโดยมนุษย์เป็นครั้งคราว แมนนาทีเป็นญาติใกล้ชิดกับพะยูนซึ่งเป็นสัตว์น้ำที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมจำพวกเดียวที่กินพืชในปัจจุบัน แมนนาทีแอมะซอนเป็นแมนนาทีขนาดเล็กที่สุดนอกเหนือไปจากแมนนาทีแคระ มันยาว 2.8 เมตร ตัวเมียใหญ่กว่าตัวผู้ สามารถหนักได้ถึง 360 ถึง 540 กิโลกรัม ไม่มีเล็บที่ปลายครี.

ใหม่!!: สัตว์และแมนนาทีแอมะซอน · ดูเพิ่มเติม »

แม่หอบ

แม่หอบ หรือ จอมหอบ (อังกฤษ: Mud lobster, Mangrove lobster) เป็นสัตว์น้ำประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกครัสเตเชียนชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสกุล Thalassina และวงศ์ Thalassinidae จัดเป็นสิ่งมีชีวิตโบราณหรือซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตที่ดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน โดยถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคไมโอซีนยาวนานถึง 16 ล้านปี มีรูปร่างคล้ายกุ้งผสมกับปูโดยขาคู่แรกขนาดใหญ่คล้ายก้ามปู นอกจากใช้เดินแล้วยังทำหน้าที่ขุดรูและขนดินออกมากองคล้ายจอมปลวก แต่มีขนาดเล็กกว่า หัวเหมือนกุ้งมีขนาดใหญ่ ลำตัวสีแดงเข้มเป็นปล้อง ๆ คล้ายกั้ง ท้องขนาดเล็กยาวเรียวไม่มีแพนหาง ลักษณะคล้ายแมงป่อง มีขนาดความยาวประมาณ 20–30 เซนติเมตร (7.9–12 นิ้ว) อาศัยโดยการขุดรูอยู่ตามพื้นป่าชายเลน โดยขนดินขึ้นมากองทับถมกันเป็นเนินสูง และอาศัยอยู่ด้านใต้กองดินนั้น สามารถอยู่บนบกได้เป็นเวลานานกว่าครัสตาเซียนจำพวกอื่น ๆ กินอาหารจำพวกอินทรีย์สารที่อยู่ในดินเลนในเวลากลางคืน ในประเทศไทยพบเฉพาะป่าชายเลนทางภาคใต้ โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน ในต่างประเทศพบได้ที่รัฐเกรละ ในอินเดีย, ศรีลังกาจรดถึงเวียดนาม, หมู่เกาะริวกิวของญี่ปุ่น จนถึงชายฝั่งทะเลของปาปัวนิวกินีและออสเตรเลียทางตอนเหนือและตะวันตก รวมถึงฟิจิและซามัว พบได้รอบ ๆ พื้นที่เกษตรกรรม เช่น พื้นที่เพาะเลี้ยงปลาหรือกุ้ง โดยถือว่าเป็นสัตว์คุกคาม การที่ได้ชื่อในภาษาไทยว่า "แม่หอบ" เนื่องจากมีความเชื่อว่า เนื้อของแม่หอบสามารถรักษาอาการหอบหืดได้ จึงนิยมนำมาเผาไฟรับประทานกันในอดีต สอดคล้องกับชื่อวิทยาศาสตร์ Thalassina ที่หมายถึง "การย้อนกลับทางเดินหายใจ" เพื่อให้เหงือกไม่มีสิ่งสกปรก สถานะปัจจุบันของแม่หอบ ถือได้ว่าหมิ่นเหม่ต่อการสูญพันธุ์ อันเนื่องจากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ประกอบกับเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างบอบบางตายง่าย เช่น ในช่วงฤดูมรสุมน้ำทะเลอาจท่วมรูของแม่หอบ จนทำให้แม่หอบตายได้.

ใหม่!!: สัตว์และแม่หอบ · ดูเพิ่มเติม »

แม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาพ

แม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาพ (bioelectromagnetism) หรือ ไฟฟ้าชีวภาพ (bioelectricity) หมายถึงพลังงานไฟฟ้า พลังงานแม่เหล็ก หรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากเซลล์ เนื้อเยื่อ หรือสิ่งมีชีวิตต่างๆ ตัวอย่างนี้รวมไปถึง ศักย์ไฟฟ้าเยื่อหุ้มเซลล์ (membrane potential) และกระแสไฟฟ้าที่ไหลอยู่ในเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ซึ่งก่อให้เกิดศักยะงาน (action potential) คำนี้ไม่ควรสับสนกับ bioelectromagnetics ซึ่งเป็นการศึกษาผลกระทบของสิ่งมีชีวิตจากพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าภายนอก.

ใหม่!!: สัตว์และแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาพ · ดูเพิ่มเติม »

แย้

แย้ (Butterfly lizards, Small-scaled lizards, Ground lizards, Butterfly agamas) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่าประเภทหนึ่ง จัดเป็นสัตว์ที่อยู่ในสกุล Leiolepis ในวงศ์ Agamidae วงศ์ย่อย Leiolepidinae พบกระจายทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะภูมิภาคอินโดจีน พบทั้งหมด 8 ชนิด สำหรับในประเทศไทยพบทั้งหมด 4 ชนิด มีลักษณะเด่นคือ มีสีสวยสด และลำตัวไม่มีปุ่มหนาม.

ใหม่!!: สัตว์และแย้ · ดูเพิ่มเติม »

แย้กะเทย

แย้กะเทย (Nhông cát trinh sản) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกแย้ชนิดใหม่ของโลก มีความสามารถพิเศษที่สามารถสืบพันธุ์ได้เองโดยไม่ต้องพึ่งตัวผู้ โดยที่จะสืบพันธุ์ด้วยวิธีการโคลนตัวเอง ด้วยการผลิตไข่เอง ซึ่งสัตว์เลื้อยคลานที่จะทำแบบนี้ได้มีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น และตัวอ่อนที่ฟักจากไข่ของแย้ชนิดนี้ ได้ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของตัวแม่อย่างครบถ้วน ทำให้มีลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า เพราะเหตุใดแย้ชนิดนี้มีวิวัฒนาการผิดไปจากธรรมชาติ และยังไม่ทราบเช่นกันว่า แย้ชนิดนี้มีวิวัฒนาการมานานเท่าไร และพ่อของแย้ตัวเมียตัวแรกมาจากไหนและหายไปไหน จึงได้แต่สันนิษฐานว่าแย้กะเทยที่พบอาจจะเป็นพันธุ์ผสมของแย้เพศผู้กับเพศเมียต่างสายกัน ทำให้พวกมันกลายเป็นหมัน และในครั้งหนึ่งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แห้งแล้ง อาจจะทำให้มันเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ จึงต้องดิ้นรนวิวัฒนาการ หาทางสืบเผ่าพันธุ์ตามธรรมชาติด้วยการโคลน แต่สำหรับชาวเวียดนามแล้วรู้จักและรับประทานแย้ชนิดนี้มานานแล้ว โดยพบได้ในเมนูอาหารในร้านอาหารบริเวณที่พบ โดยถิ่นที่อาศัยของแย้ชนิดใหม่นี้ คือ เขตสงวนธรรมชาติบิ่ญเจิว-เฟื้อกบื๋ว (Bình Châu-Phước Bửu) ในจังหวัดบ่าเสียะ-หวุงเต่าทางภาคใต้ของเวียดนาม ซึ่งเป็นป่าพุ่มไม้เตี้ย ๆ กับดินทรายชายฝั่งทะเล.

ใหม่!!: สัตว์และแย้กะเทย · ดูเพิ่มเติม »

แย้เส้น

แย้เส้น หรือ แย้ธรรมดา (Common butterfly lizard) เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกแย้ (Leiolepidinae) มีลำตัวแบนราบ ไม่มีหนามสันหลัง ลำตัวมีสีน้ำตาลอมเขียว บนหลังมีจุดสีเทาเหลืองเรียงชิดต่อกัน ตั้งแต่บริเวณโคนหางตามแนวความยาวของลำตัวไปที่บริเวณท้ายทอย บนหลังมีจุดเล็ก ๆ เรียงห่างกันระหว่างเส้น โคนหางแบนและแผ่แบนออกข้าง ตัวผู้มีเขี้ยวขนาดเล็ก ส่วนตัวเมียไม่มีเขี้ยว ตัวผู้มีสีสันและลวดลายสวยกว่าตัวเมีย ลำตัวยาวประมาณ 11.5 เซนติเมตร ส่วนหางยาว 23.8 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ทั่วไปตามพื้นดินที่เป็นที่ดอนแห้ง ไม่มีน้ำท่วมขัง หรือมีไม้พุ่มเตี้ย ๆ หรือหญ้าขึ้นแซม หรือป่าโปร่ง ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ยกเว้นสิงคโปร์ สำหรับในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค รวมถึงพบบนเกาะต่าง ๆ ด้วย เช่น เกาะกลางในพื้นที่เทศบาลเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ โดยจะขุดรูลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร เรียกว่า "แปว" อาศัยอยู่ จัดแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่วิ่งได้เร็วมาก โดยจะอาศัยอยู่ในรูไม่โผล่หน้ามาให้เห็น พฤติกรรมในการเข้าออกรูสามารถนำไปพยากรณ์การตกของฝนได้ตามภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะเป็นสัตว์ที่จะอาศัยอยู่ในที่แห้ง จึงไวต่อสภาพอากาศ ออกหากินเวลากลางวันที่มีอากาศแจ่มใสแดดไม่จัด ในช่วงแดดจัดจะพักผ่อนอยู่ในรู อาหารหลัก ได้แก่ แมลงชนิดต่าง ๆ อาศัยอยู่รูละตัวอาจจะอยู่ใกล้ ๆ กัน มีการผสมพันธุ์ในช่วงฤดูร้อนจนถึงฤดูฝน และวางไข่หมกดินครั้งละ 6-8 ฟอง ไข่มีลักษณะยาวรี สีขาว เปลือกเหนียวนิ่ม และเริ่มวางไข่ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน เมื่อไข่ฟักเป็นตัวอ่อนประมาณ 5-6 วัน ลูกวัยอ่อนต้องพึงพาอาศัยแม่ในการเลี้ยงดู แย้เส้น หรือแย้ธรรมดา เป็นแย้ชนิดที่พบได้ทั่วไปและเป็นที่รู้จักกันดีที่สุด เป็นสัตว์ที่มีการบริโภคกันในท้องถิ่นในบางพื้นที่ เช่น ภาคอีสาน โดยนำไปปรุง เช่น ย่าง หรือผัดเผ็.

ใหม่!!: สัตว์และแย้เส้น · ดูเพิ่มเติม »

แรมิพีเดีย

แรมิพีเดีย เป็น สัตว์น้ำเปลือกแข็งครัสเตเชียนตาบอดจำพวกหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำใต้น้ำ ของทะเลแคริบเบียน หมู่เกาะคานารี และออสเตรเลียตะวันตก.

ใหม่!!: สัตว์และแรมิพีเดีย · ดูเพิ่มเติม »

แรมโฟริงคัส

แรมโฟริงคัส (Rhamphorhynchus) เป็นเทอโรซอร์ขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในยุคจูแรสซิก มีฟันแหลมคมไว้ใช้สำหรับจับปลา และมีหางยาว ซึ่งปลายหางมีหางเสือรูปสีเหลี่ยมขนมเปียกปูน ซึ่งใช้ในการรักษาสมดุล อาศัยอยู่ในยุคจูแรสซิกตอนต้น-ยุคจูแรสซิกตอนปลาย ค้นพบฟอสซิลที่เยอรมนี ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และแรมโฟริงคัส · ดูเพิ่มเติม »

แรด

แรด เป็นสัตว์อยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับสัตว์กีบคี่ ในวงศ์ Rhinocerotidae แรดถือว่าเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ อาจเรียกได้ว่าเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรองจากช้างก็ว่าได้ เพราะแรดอาจมีขนาดยาวได้ถึง 3.6-5 เมตร ความสูงของไหล่ 1.6-2 เมตร น้ำหนัก 2.3-3.6 ตัน.

ใหม่!!: สัตว์และแรด · ดูเพิ่มเติม »

แรดชวา

แรดชวา หรือ ระมาด หรือ แรดซุนดา (Javan Rhinoceros) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในอันดับสัตว์กีบคี่ในวงศ์แรด อยู่ในสกุลเดียวกันกับแรดอินเดีย เป็นหนึ่งในห้าชนิดของแรดที่ยังเหลืออยู่ ลำตัวยาว 3.1–3.2 ม.สูง 1.4–1.7 ม.มีขนาดใกล้เคียงกับแรดดำ เหนือจมูกมีนอสั้น ๆ หนึ่งนอมีขนาดเล็กกว่าแรดทุกชนิด จึงได้อีกชื่อว่า แรดนอเดียว แรดชวาเป็นแรดเอเชียที่มีการกระจายพันธุ์กว้างที่สุดตั้งแต่เกาะในอินโดนีเซีย ตลอดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และจีน ปัจจุบันแรดชวาถูกคุกคามจนอยู่ในขั้นวิกฤติ มีเพียงสองแห่งเท่านั้นที่ยังมีประชากรหลงเหลืออยู่ในป่า ไม่มีแรดชวาจัดแสดงในสวนสัตว์ แรดชวาอาจเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่พบได้ยากที่สุดในโลก มีประชากรแรดน้อยกว่า 40-50 ตัวในอุทยานแห่งชาติอูจุงกูลนบนเกาะชวาในประเทศอินโดนีเซีย และประชากรจำนวนเล็กน้อย (ประเมินเมื่อปี พ.ศ. 2550) ไม่เกิน 8 ตัวในอุทยานแห่งชาติก๊าตเตียนในประเทศเวียดนาม แต่ในปัจจุบันมีการยืนยันว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว การลดลงของแรดชวาเกิดจากการล่าเอานอซึ่งเป็นสิ่งมีค่าในการแพทย์แผนจีนซึ่งมีราคาถึง $30,000 ต่อกก.ในตลาดมืด การสูญเสียถิ่นอาศัยโดยเฉพาะผลของสงครามอย่างสงครามเวียดนาม มีส่วนในการลดลงและขัดขวางการฟื้นฟูของจำนวนประชากร แม้พื้นที่ถิ่นอาศัยที่เหลือจะได้รับการปกป้องแต่แรดชวายังคงเสี่ยงต่อการถูกล่า โรคภัยไข้เจ็บ และการสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรมซึ่งจะนำไปสู่การผสมพันธุ์ในสายเลือดเดียวกัน แรดชวามีอายุประมาณ 30-45 ปีในธรรมชาติ อาศัยอยู่ในป่าดินชื้น ป่าหญ้าชื้นแฉะ และลุ่มน้ำขนาดใหญ่ แรดชวาเป็นสัตว์สันโดษมักอยู่ลำพังเพียงตัวเดียว ยกเว้นช่วงจับคู่ผสมพันธุ์และเลี้ยงดูลูกอ่อน บางครั้งจะรวมฝูงกันเมื่อลงแช่ปลักโคลนหรือลงกินโป่ง มีอาหารหลักเป็น ใบไม้อ่อน ยอดไม้ ตาไม้ และผลไม้สุกที่ร่วงหล่นตามพื้นดิน นอกจากมนุษย์แล้วแรดชวาไม่มีศัตรูอื่นอีก แรดชวาจะหลีกเลี่ยงมนุษย์แต่จะโจมตีเมื่อรู้สึกถูกคุกคาม เป็นการยากที่นักวิทยาศาสตร์และนักอนุรักษ์จะศึกษาในแรดชวาโดยตรงเพราะพบยากมากและเป็นอันตรายต่อสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดจากการรบกวน นักวิจัยอาศัยเพียงกับดักกล้องและตัวอย่างมูลเพื่อประเมินสุขภาพและพฤติกรรม ดังนั้นจึงมีการศึกษาในแรดชวาน้อยกว่าในแรดทุกชน.

ใหม่!!: สัตว์และแรดชวา · ดูเพิ่มเติม »

แรดอินเดีย

แรดอินเดีย จัดเป็นแรด 1 ใน 3 สายพันธุ์ที่พบได้ในทวีปเอเชีย และเป็นสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดที่พบในทวีปแห่งนี้.

ใหม่!!: สัตว์และแรดอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

แรดขาว

แรดขาว (White rhinoceros, White rhino, Square-lipped rhinoceros) เป็นแรดชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ceratotherium simum จัดว่าเป็นสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดในโลกรองลงมาจากช้าง เพราะแรดขาวสามารถที่จะมีความยาวลำตัวได้ถึง 3.6-5 เมตร ความสูงของไหล่ 1.6-2 เมตร น้ำหนัก 2.3-3.6 ตัน มีผิวสีน้ำตาลอมเทาหรือเหลือง จนได้ชื่อว่า "แรดขาว" มีนอ 2 นอ ความยาวของนอที่ใหญ่ที่สุดอาจยาวได้ถึง 1.5 เมตร ริมฝีปากบนของแรดขาวจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมไม่มีติ่งยื่นแหลมออกมาเหมือนแรดชนิดอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะแรดขาวชอบที่จะกินหญ้าหรือพืชที่อยู่ตามพื้นดินหรือพุ่มไม้เตี้ย ๆ มากกว่าใบไม้ มีหูที่ยาวและปลายแหลม หน้าผากลาดและมน หัวไหล่นูนเป็นก้อน ผิวหนังเป็นตุ่มนูนเล็กน้อย ตามลำตัวไม่มีขน ยกเว้นที่ปลายหูและหาง กีบเท้ามีทั้งหมด 3 กีบ แรดขาวมีการกระจายพันธุ์บริเวณทวีปแอฟริกาตอนใต้ พบตั้งแต่ซูลูแลนด์ ถึงอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ในแอฟริกาใต้ และยังพบได้ใน ซูดานตอนใต้, ยูกันดา และบริเวณใกล้ ๆ คองโก มีทั้งหมด 2 ชนิดย่อย คือ แรดขาวเหนือ (C. s. simum) และแรดขาวใต้ (C. s. cottoni) แรดขาวมักอยู่เป็นครอบครัวเล็ก ๆ ประกอบด้วยสมาชิกประมาณ 3-4 ในพื้นที่มีมีอาหารอุดมสมบูรณ์อาจพบอยู่หลายครอบครัวหากินอยู่ด้วยกัน บางครั้งอาจพบมากถึง 18 ตัว โดยมีตัวผู้คุมฝูงตัวเดียว นอกนั้นเป็นตัวเมียและลูก แรดขาวมีการกระจายถิ่นหากินกว้าง โดยใช้กองอุจจาระและปัสสาวะเป็นการบอกอาณาเขตของมัน ตัวเมียที่มีลูกจะยอมให้ตัวผู้เข้าใกล้เฉพาะตอนที่เป็นสัดเท่านั้น หลังจากผสมพันธุ์แล้ว ตัวเมียจะต่อสู้ไล่ตัวผู้ไปทันที ในฤดูร้อนชอบหลบร้อนตามร่มไม้หรือแช่ปลัก บางครั้งอาจแช่ปลักทั้งคืนเพื่อบรรเทาความร้อนและกำจัดแมลง ในฤดูหนาวจะนอนอาบทรายแทนการแช่ปลัก แรดขาวโตเต็มที่พร้อมจะผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ 7-10 ปี ฤดูผสมพันธุ์ ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ระยะการตั้งท้องนานประมาณ 18 เดือน มีอายุประมาณ 40-50 ปี ลูกแรดขาวจะอยู่ร่วมกับแม่จนอายุประมาณ 3-5 ปี โดยแรดตัวเมียจะออกลูกเพียงครั้งละตัว ในอดีตแรดขาวจะถูกล่าอย่าหนักเพื่อเอานอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคล่าอาณานิคม จนทำให้ประชากรของแรดขาวเกือบสูญพันธุ์ แต่ปัจจุบันได้มีกฎหมายคุ้มครองแรดขาวและห้ามการล่าและค้าขายนอแรดอย่างเด็ดขาด รวมถึงแรดชนิดอื่น ๆ ด้วย ทำให้ประชากรของแรดขาวมีเพิ่มมากขึ้นจากการอนุรักษ์ แต่กระนั้นก็คงมีการลักลอบอยู่เป็นร.

ใหม่!!: สัตว์และแรดขาว · ดูเพิ่มเติม »

แรดขาวเหนือ

แรดขาวเหนือ (northern white rhinoceros) หรือ แรดริมฝีปากสี่เหลี่ยมเหนือ (northern square-lipped rhinoceros) เป็นหนึ่งในสองสปีชีส์ย่อยของแรดขาว เดิมพบในหลายประเทศในแอฟริกาตะวันออกและแอฟริกากลางที่อยู่ใต้ทะเลทรายสะฮารา แต่ปัจจุบันแสดงรายการเป็นเสี่ยงขั้นวิกฤตต่อการสูญพันธุ์ ในเดือนมีนาคม 2561 มีแรดสปีชีส์ย่อยนี้เหลือเพียงสองตัว ทั้งหมดเป็นของสวนสัตว์ Dvůr Králové ในสาธารณรัฐเช็ก.

ใหม่!!: สัตว์และแรดขาวเหนือ · ดูเพิ่มเติม »

แรดดำ

แรดดำ เป็นแรดที่มีขนาดใหญ่รองลงมาจากแรดขาว (Ceratotherium simum) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Diceros bicornis มีรูปร่างทั่วไปคล้ายแรดขาว เพียงแต่สีผิวที่คล้ำกว่า จึงเป็นมาของชื่อ "แรดดำ" ปากของแรดดำจะเป็นติ่งแหลมยื่นออกมาบริเวณริมฝีปากบน เนื่องจากชอบตวัดกินใบไม้มากกว่า และคอของแรดดำจะสั้นกว่าแรดขาว ผิวหนังมีรอยย่นและตุ่มนูนและหนากว่า หูกลมกว่าแรดขาว ขนาดของแรดดำจะมีขนาดเล็กกว่าแรดขาวพอสมควร คือ ความยาวเต็มที่ประมาณ 140-170 เซนติเมตร ความสูงของไหล่ 3.3-3.6 เมตร น้ำหนักเต็มที่โดยประมาณ 800-1,300 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ในแอฟริกาตะวันออกและแอฟริกาใต้ ในประเทศเคนยา, แทนซาเนีย, แอฟริกาใต้, แคเมอรูน, นามิเบียและซิมบับเว มีทั้งหมด 4 ชนิดย่อย คือ D. b. michaeli, D. b. longipes, D. b. bicornis, D. b. minor ซึ่งบางครั้งเขตหากินของแรดดำอาจจะเข้าไปอยู่ในถิ่นของแรดขาว แต่สัตว์ทั้งสองชนิดนี้ไม่เคยที่จะต่อสู้แก่งแย่งกัน แรดดำเป็นสัตว์ที่มีนิสัยดุร้าย ฉุนเฉียวง่ายกว่าแรดขาว สามารถวิ่งได้เร็ว 29 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่บางครั้งเมื่อตกใจหรือป้องกันตัวอาจวิ่งได้เร็วถึง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สถานภาพในธรรมชาติของแรดดำปัจจุบันอยู่ในสภาวะ CR (Critically Endangered) คือ มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญพันธุ์จากพื้นที่ธรรมชาติในขณะนี้.

ใหม่!!: สัตว์และแรดดำ · ดูเพิ่มเติม »

แรดดำตะวันตก

แรดดำตะวันตก หรือ แรดดำแอฟริกันตะวันตก เป็นสปีชีส์ย่อยหายากของแรดดำ การสำรวจล่าสุดไม่พบแม้แต่เพียงตัวเดียว และใน..

ใหม่!!: สัตว์และแรดดำตะวันตก · ดูเพิ่มเติม »

แร็กคูน

แร็กคูน (raccoon, common raccoon) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดหนึ่ง ในอันดับสัตว์กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Procyon lotor อยู่ในวงศ์แร็กคูน (Procyonidae) มีความยาวลำตัวราว 2 ฟุต มีหางเป็นพวงมีแถบสีดำคาดเป็นปล้อง ๆ ยาวราว 10 นิ้ว ขนตามลำตัวสีน้ำตาลปนเทา ใบหน้าสีขาวมีแถบสีดำคาดจากตาไปเป็นแถบตลอดแก้ม แลดูคล้ายเหมือนโจรสวมหน้ากาก เป็นสัตว์ที่กระจายพันธุ์ไปทั่วในทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกากลางในหลายพื้นที่ ทั้งในป่า หรือแม้แต่ชุมชนของมนุษย์ เป็นสัตว์ที่สามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดี กินอาหารได้หลากหลายประเภททั้งเนื้อสัตว์และพืช อีกทั้งยังชอบที่จะอยู่ใกล้พื้นที่ชุ่มน้ำด้วยการจับสัตว์น้ำกินเป็นอาหาร เช่น กบ, ปลา, กุ้ง และปู หรือเต่าขนาดเล็กเป็นอาหาร รวมทั้งนกหรือแมลงปีกแข็งขนาดเล็กกินเป็นอาหารได้ด้วย แต่ไม่สามารถที่จะว่ายน้ำได้ จะใช้วิธีการจับในน้ำตื้น ๆ ที่ขาหยั่งถึงแทน ในช่วงฤดูแล้งที่อาหารขนาดแคลนก็จะกินลูกไม้, ผลไม้ และดอกข้าวโพด เป็นอาหาร หรืออาจจะบุกเข้าไปในบ้านเรือนของมนุษย์ ขุดคุ้ยหาขยะหรือเศษอาหาร หรือแม้กระทั่งเปิดตู้เย็นหากิน แร็กคูน เป็นสัตว์ที่ใช้เท้าหน้าได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนมือสำหรับหยิบจับอาหาร ซึ่งสามารถกระทำได้ถึงขนาดคลายปมเชือก และยังเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมพิเศษ คือ ก่อนจะกินอาหาร มักจะนำไปล้างน้ำเสียก่อน จนมีความเชื่อว่าเป็นสัตว์รักสะอาด แต่ความจริงแล้ว เป็นพฤติกรรมที่จะนวดอาหารให้นิ่มซะก่อน ก่อนที่จะกิน แร็กคูน เป็นสัตว์ที่ปีนต้นไม้เก่ง ทำรังอยู่บนยอดไม้และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนต้นไม้ ในเวลากลางวันจะนอนขดอยู่ตามพงไม้ หรือซอกหิน หรือนอนผึ่งแดดอยู่ในรัง ในตอนกลางคืนจะออกหากิน โดยใช้เส้นทางเดิม และมักจะใช้เส้นทางที่เป็นพื้นแข็ง เพื่อไม่ให้เกิดรอยเท้า ตัวเมียออกลูกครั้งละ 4-6 ตัว ในโพรงไม้ ในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตกและอาหารขาดแคลน แร็กคูนจะใช้เวลาช่วงนี้ในการจำศีลตลอดฤดูกาล แร็กคูน เป็นสัตว์ที่มีความน่ารัก จึงมีผู้นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง อีกทั้งขนและหนังมีความหนานุ่มและสีสวย จึงมีการล่าเพื่อทำเป็นเสื้อขนสัตว์ด้วย ปัจจุบันกลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในทวีปยุโรป โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปกลาง โดยแร็กคูนถูกนำเข้าไปในเยอรมนีครั้งแรกเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และแร็กคูน · ดูเพิ่มเติม »

แร้ง

แร้งสีน้ำตาล (''Gyps indicus'') แร้ง หรือ อีแร้งบรรจบ พันธุเมธา, ศาสตราจารย์, ดอกเตอร.

ใหม่!!: สัตว์และแร้ง · ดูเพิ่มเติม »

แร้งสีน้ำตาล

แร้งสีน้ำตาล (Indian vulture, Long-billed vulture) นกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกแร้ง แร้งสีน้ำตาล จัดเป็นแร้งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งมีความยาวลำตัวประมาณ 90 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 5.5-6.3 กิโลกรัม ขนตามลำตัวเป็นสีน้ำตาลอ่อน ขอบขนเป็นสีจาง ๆ ส่วนท้องมีสีน้ำตาลอ่อน แผงขนรอบต้นคอเป็นขนอุยหรือขนอ่อนสีน้ำตาล มีจะงอยปากที่งุ้มเรียวกว่าแร้งชนิดอื่น ๆ แพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่อนุทวีปอินเดียจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในภูมิภาคอินโดจีน มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ เมื่อกินซากอาจจะแย่งกินซากกันแย่งเสียงดังเอะอะหรือกินร่วมกับแร้งชนิดอื่น ๆ ได้ จัดเป็นนกประจำถิ่นของประเทศไทย แต่พบเห็นได้ยากมาก โดยพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2539 ที่จังหวัดพัทลุง และต่อมาในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 พบอีกตัวที่อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง เป็นลูกนกที่ยังไม่โตเต็มวัย นับเป็นตัวที่ 4 ในรอบ 10 ปีเคยพบเห็นอยู่ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งโดยมันกำลังกินซากกวางอยู่จำหน่วย5ตัวเท่านั้น ปัจจุบัน มีสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และแร้งสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

แร้งสีน้ำตาลหิมาลัย

แร้งสีน้ำตาลหิมาลัย (Himalayan griffon vulture) เป็นนกล่าเหยื่อจำพวกอีแร้งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และแร้งสีน้ำตาลหิมาลัย · ดูเพิ่มเติม »

แร้งดำหิมาลัย

แร้งดำหิมาลัย (Black Vulture, European Black Vulture, Cinereous Vulture) เป็นนกล่าเหยื่อจำพวกอีแร้งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง เป็นนกเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Aegypius.

ใหม่!!: สัตว์และแร้งดำหิมาลัย · ดูเพิ่มเติม »

แร้งคอนดอร์แอนดีส

แร้งคอนดอร์แอนดีส (Andean condor, Condor) นกล่าเหยื่อขนาดใหญ่จำพวกแร้ง จัดเป็นแร้งโลกใหม่ (Cathartidae) ชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Vultur แร้งคอนดอร์แอนดีส จัดเป็นแร้งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จึงจัดเป็นนกล่าเหยื่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วย และนับเป็นหนึ่งในนกที่บินได้ที่มีช่วงปีกกว้างที่สุดในโลก รองมาจากนกอัลบาทรอส เพราะมีช่วงปีกกางได้กว้างถึง 3 เมตร ขณะที่มีลำตัวยาว 1.2 เมตร และมีน้ำหนักตัวประมาณ 14 กิโลกรัม เมื่อโตเต็มที่ และถือเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบได้ในทวีปอเมริกาใต้ด้วย แร้งคอนดอร์แอนดีส มีความแตกต่างระหว่างเพศที่เห็นได้ชัด คือ ตัวผู้จะมีหงอนสีแดงสดและเหนียงยานต่าง ๆ ที่บนหัวและใต้คางหรือหลังหัวที่โล้นเลี่ยนปราศจากขน ซึ่งเหนียงเหล่านี้เป็นเสมือนสัญลักษณ์บอกถึงความสง่างามและแข็งแกร่งของนกตัวผู้ ขณะที่ตัวเมียจะไม่มีลักษณะดังกล่าว มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ในแถบเทือกเขาแอนดีสและที่ราบสูงปาตาโกเนีย ในทวีปอเมริกาใต้ โดยอาศัยและทำรังบนหน้าผาสูงในระดับนับร้อยหรือพันเมตรจากพื้นดิน มีระดับการบินที่สูงจากพื้นดิน ขณะที่สายตาก็สอดส่องมองหาอาหาร ซึ่งได้แก่ ซากสัตว์ต่าง ๆ ที่ตายบนพื้นดิน เมื่อพบเจอซากสัตว์ แร้งคอนดอร์แอนดีสมักจะได้สิทธิกินซากก่อนนกหรือแร้งโลกใหม่ชนิดอื่น ๆ เนื่องจากเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ ขณะที่แร้งคอนดอร์แอนดีสด้วยกันตัวอื่น ๆ แม้จะเจอซากสัตว์เหมือนกัน อาจมีการแย่งกินกันบ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงเหมือนแร้งโลกเก่า (Aegypiinae) และนกตัวผู้จะได้รับสิทธิให้กินก่อน ต่อจากนั้นก็จะตามมาด้วยนกตัวเมีย และนกวัยรุ่นหรือนกวัยอ่อน ซึ่งในนกวัยรุ่นอาจมีการดึงแย่งเศษซากชิ้นส่วนกันด้วย แร้งคอนดอร์แอนดีสเป็นนกที่มีอายุยืน อาจมีอายุได้ถึง 50-60 ปี เป็นนกที่จับคู่แบบคู่เดียวตลอดทั้งชีวิต ทำรังบนหน้าผาสูง โดยวางไข่เพียงครั้งละ 1 ฟอง พ่อแม่นกจะช่วยกันเลี้ยงลูกนานถึง 2 ปี เมื่อลูกนกฝึกบินจะเป็นพ่อและแม่นกที่ช่วยสอนลูก ขณะบิน แร้งคอนดอร์แอนดีส มีการอพยพย้ายถิ่นไปในสหรัฐอเมริกาและอเมริกากลางเช่นเดียวกับแร้งโลกใหม่ชนิดอื่น ๆ โดยจะบินอพยพไปพร้อม ๆ กันเป็นฝูงใหญ่ โดยมีการแวะพักในระหว่างทาง แร้งคอนดอร์แอนดีส เกือยจะสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และแร้งคอนดอร์แอนดีส · ดูเพิ่มเติม »

แร้งโลกใหม่

แร้งโลกใหม่ (New world vulture) เป็นวงศ์ของนกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ ในวงศ์ Cathartidae โดยนกในวงศ์นี้จะพบแพร่กระจายพันธุ์เฉพาะซีกโลกที่เรียกว่า "โลกใหม่" เท่านั้น คือ ทวีปอเมริกา ทั้ง อเมริกาเหนือ, อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ แร้งโลกใหม่ เป็นนกที่กินซากสัตว์เป็นอาหารเช่นเดียวกับแร้งโลกเก่า (Aegypiinae) ที่พบในทวีปเอเชีย, แอฟริกา และบางส่วนของยุโรป แต่ทว่ามีลักษณะหลายประการที่แตกต่างกัน คือ แร้งโลกใหม่ในหลายชนิดจะหาอาหารด้วยการใช้ประสาทการดมกลิ่นแทนที่จะการมองเห็น เช่นเดียวกับแร้งโลก หรือนกล่าเหยื่อจำพวกอื่น ๆ และทำให้การจัดอันดับของแร้งโลกใหม่นั้นไม่มีข้อยุติ โดยบางข้อมูลจะจัดให้อยู่ในอันดับ Accipitriformes เช่นเดียวกับนกล่าเหยื่อจำพวกอื่น แต่ในบางข้อมูลก็จัดให้อยู่ในอันดับ Ciconiiformes อันเป็นอันดับเดียวกับพวกนกกระสา โดยเชื่อว่ามีวิวัฒนาการมาจากนกกระสา หรือกระทั่งอยู่ในอันดับ Cathartiformes ซึ่งเป็นอันดับของตนเองไปเลยก็มี.

ใหม่!!: สัตว์และแร้งโลกใหม่ · ดูเพิ่มเติม »

แร้งโลกเก่า

แร้งโลกเก่า (Old world vulture) เป็นวงศ์ย่อยของนกล่าเหยื่อในอันดับเหยี่ยว (Accipitriformes) ในวงศ์เหยี่ยวและอินทรี (Accipitridae) ใช้ชื่อวงศ์ย่อยว่า Aegypiinae จัดเป็นแร้งจำพวกหนึ่ง นกในวงศ์ย่อยนี้ มีความแตกต่างไปจากนกจำพวกอื่นในวงศ์เดียวกัน คือ จะไม่กินสัตว์ที่มียังมีชีวิตอยู่ แต่จะกินเฉพาะสัตว์ที่ตายไปแล้ว หรือซากสัตว์ มีรูปร่างโดยรวมคือ ปีกกว้าง หางสั้น มีคอที่ยาว หัวเล็ก บริเวณต้นคอมีขนสีขาวรอบเหมือนสวมพวงมาลัย มีลักษณะเด่นคือ ขนที่หัวและลำคอแทบไม่มีเลยจนดูเหมือนโล้นเลี่ยน สันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะพฤติกรรมการกินซากสัตว์ จึงไม่มีขนเพื่อไม่ให้เป็นที่สะสมของเชื้อโรค และเพื่อความสะดวกในการในการมุดกินซากด้วย แต่ก็มีบางชนิดที่ชอบกินลูกปาล์ม ขนาดลำตัวและปีกเฉลี่ยแล้วนับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดานกในวงศ์นี้ วางไข่ทำรังบนหน้าผาสูงหรือบนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ วางไข่ครั้งละ 1 ฟอง มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ บนอยู่เหนือท้องฟ้า และมองหาอาหารด้วยสายตา ด้วยการบินวนเป็นวงกลม เมื่อร่อนลงเพื่อกินซาก อาจจะแย่งกันและส่งเสียงดังเอะอะกันในฝูง แต่เมื่อเวลาบินขึ้น ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่และปีกที่กว้าง จำต้องวิ่งไปไกลถึง 20 ฟุต เหมือนเครื่งบินเวลาทะยานขึ้น และความเป็นสัตว์กินซา่ก แร้งโลกเก่าจึงเป็นนกที่ใช้เวลานอกเหนือจากการกินอาหารไซ้ขน รวมทั้งกางปีก ผึ่งแดด เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค พบกระจายพันธุ์ในซีกโลกเก่า ได้แก่ ทวีปเอเชีย, แอฟริกา และบางส่วนของยุโรป ในช่วงฤดูหนาวมีการอพยพลงซีกโลกทางใต้เพื่อหนีหนา่ว ปัจจุบัน แร้งโลกเก่าหลายชนิดอยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติถูกรุกราน และสภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไป ทำให้จำนวนหนึ่งต้องตายลงเนื่องจากไม่มีอาหารกิน ในอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีหลายตัวต้องตายลงเนื่องจากไปกินซากสัตว์ที่ปนเปื้อนสารเคมีและเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ แร้ง - ชีวิตพิศดารของสัตว์ (๒) โดย ประพันธ์ บุญกลิ่นขจร: ต่วยตูน เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๐ ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๙ ไข่ของแร้งโลกเก.

ใหม่!!: สัตว์และแร้งโลกเก่า · ดูเพิ่มเติม »

แร้งเทาหลังขาว

แร้งเทาหลังขาว (อังกฤษ: The Indian White-rumped Vulture; ชื่อวิทยาศาสตร์: Gyps bengalensis) นกล่าเหยื่อจำพวกอีแร้งชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และแร้งเทาหลังขาว · ดูเพิ่มเติม »

แร้งเครา

แร้งเครา (Bearded vulture, Lammergeier, Ossifrage) นกล่าเหยื่อขนาดใหญ่จำพวกแร้งชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในประเภทแร้งโลกเก่า โดยเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Gypaetus แร้งเครา เป็นแร้งขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับแร้งชนิดอื่น ๆ จะมีขนาดใหญ่กว่า และมีลักษณะที่แตกออกไปจากแร้งทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด คือ ส่วนหัวจะมีขนปุกปุยต่างจากแร้งทั่วไปที่หัวและลำคอจะล้านเลี่ยน สีของขนตามลำตัวเป็นสีเหลือง ส่วนหัวสีขาวเป็นสัญลักษณะบ่งบอกว่า แร้งตัวนั้นโตเต็มวัยแล้ว และมีกระจุกขนสีดำบริเวณจะงอยปากล่างแลดูคล้ายเครา อันเป็นที่มาของชื่อ แร้งเครา มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 95–125 เซนติเมตร น้ำหนักตั้งแต่ 4.5–9.9 กิโลกรัม ความยาวปีกเมื่อกางเต็มที่เกือบ 10 ฟุต มีเอกลักษณะในการบินเฉพาะตัว มีสายตารวมถึงประสาทในการดมกลิ่นอย่างดีเยี่ยม กระจายพันธุ์ตามเทือกเขาสูงในทวีปยุโรปตอนใต้, แอฟริกา จนถึงอินเดีย และทิเบต เช่น เทือกเขาแอลป์ ทำรังและวางไข่บนหน้าผาสูงสำหรับใช้หลบหลีกจากสัตว์นักล่าชนิดต่าง ๆ ที่มารังควาญได้ นอกจากจะกินเนื้อและซากสัตว์ต่าง ๆ เหมือนแร้งชนิดอื่นแล้ว แร้งเครายังมีพฤติกรรมและชื่นชอบอย่างมากในการกินกระดูกด้วย สันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะอาหารขาดแคลนด้วยปัจจัยของถิ่นที่อยู่อาศัยที่ทำให้หาอาหารได้ยากและสภาพอากาศที่หนาวเย็น เคยมีผู้พบแร้งเคราคาบกระดูกสัตว์ชิ้นใหญ่ เชื่อว่าเป็นกระดูกของแกะบินขึ้นไปในอากาศที่จุดสูงสุด และทิ้งลงไปให้แตกเป็นชิ้นละเอียดกับพื้น ก่อนจะบินลงมากินทั้งหมดลงไปในกร.

ใหม่!!: สัตว์และแร้งเครา · ดูเพิ่มเติม »

แลมบีโอซอรัส

แลมบีโอซอรัส แลมเบ (Lambeosaurus lambei) เป็นไดโนเสาร์มีหงอนรูบหมวกอยู่บนหัว กินพืชเป็นอาหาร รักสงบ ภายในหงอนกลวง เพื่อใช้ส่งเสียงร้องเรียกเพื่อนๆของมัน คล้ายๆกับพาราซอโรโลฟัส ชื่อมีความหมายว่ากิ้งก่าแห่งแลมบี ยาวประมาณ 10 เมตร ค้นพบฟอสซิลที่ทวีปอเมริกาเหนือ อาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนปลายเมื่อประมาณ 75-80 ล้านปีก่อน.

ใหม่!!: สัตว์และแลมบีโอซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

แอฟริกากลาง

สหพันธ์แอฟริกากลาง (ยกเลิก) แอฟริกากลาง เป็นดินแดนในทวีปแอฟริกา ได้ถูกนิยามไว้สองอย่างคือ Central Africa และ Middle Africa (นิยามโดยสหประชาชาติ) ประกอบด้วยประเท.

ใหม่!!: สัตว์และแอฟริกากลาง · ดูเพิ่มเติม »

แอกโซลอเติล

แอกโซลอเติล (axolotl) หรือ อาโชโลตล์ (นาอวตล์: āxōlōtl) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในอันดับซาลาแมนเดอร์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะใกล้เคียงกับซาลาแมนเดอร์เสือ (A. tigrinum) ซึ่งอยู่ในวงศ์และสกุลเดียวกัน โดยที่ชื่อ "แอกโซลอเติล" นั้น มาจากชื่อของเทพเจ้าโชโลตล์ (Xolotl) ซึ่งเป็นพระเจ้าแห่งความตายตามความเชื่อของชาวแอซเท็ก แอกโซลอเติลเป็นซาลาแมนเดอร์ขนาดเล็ก ที่มีถิ่นที่อยู่ค่อนข้างจำกัด โดยจะพบได้เฉพาะทะเลสาบหรือพื้นที่ชุ่มน้ำใกล้กับกรุงเม็กซิโกซิตี ประเทศเม็กซิโกเท่านั้น จุดเด่นของแอกโซลอเติลก็คือ มีพู่เหงือกสีแดงสดซึ่งเป็นอวัยวะช่วยในการหายใจซึ่งติดตัวมาตั้งแต่ฟักออกจากไข่ โดยที่ไม่หายไปเหมือนกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกอื่น เช่น กบหรือซาลาแมนเดอร์ชนิดอื่น ซึ่งที่ถือได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกประการหนึ่งของแอกโซลอเติล คือ เมื่ออวัยวะไม่ว่าส่วนใดของร่างกายขาดหายไปจะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะภายนอกหรืออวัยวะสำคัญภายในร่างกาย เช่น หัวใจ ปอด แอกโซลอเติลยังเป็นสัตว์ที่ไม่มีเปลือกตา และของเหลวที่ขับออกมาเป็นของเสียออกจากร่างกายก็ไม่ใช่ปัสสาวะ แต่เป็นน้ำที่ผ่านเหงื่อ อีกทั้งยังมีสีผิวแตกต่างกันหลากหลายด้วย เช่น สีน้ำตาลเข้ม สีดำ สีส้ม สีขาวตาดำ หรือแม้กระทั่งสีขาวตาแดงหรือสภาพที่เป็นอัลบิโน โดยทั้งนี้ที่เป็นแบบนี้ เพราะแอกโซลอเติลเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการแบบย้อนกลับเพื่อให้เข้าได้กับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย แอกโซลอเติลมีความยาวเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร แต่โดยทั่วไปจะมีขนาดเฉลี่ย 15 เซนติเมตร ใช้เวลาโตเต็มที่ประมาณ 18-24 เดือน มีอายุยืนยาวประมาณ 15 ปี โดยอาศัยในน้ำที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 20 องศาเซลเซียส ซึ่งจัดว่าค่อนข้างเย็น กินสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร เช่น ปลาขนาดเล็ก กุ้ง หอยชนิดต่าง ๆ รวมถึงไส้เดือนดินหรือไส้เดือนน้ำ เป็นต้น ขยายพันธุ์เมื่ออายุได้ 5 เดือนจนถึงโต ซึ่งขึ้นอยู่กับความถี่และคุณภาพของอาหาร รวมถึงอุณหภูมิกับคุณภาพของน้ำด้วย มีรายงานว่ามีตัวผู้ที่พร้อมผสมพันธุ์มีอายุต่ำกว่า 6 เดือนอยู่พอสมควร โดยที่ตัวผู้เมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์จะมีความยาว 7 นิ้ว ขณะที่ตัวเมียมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ช่วงวัยนี้ช้ากว่าตัวผู้ 1-2 เดือน ตัวผู้มีลักษณะโคนหางที่ใหญ่และยาวกว่าตัวเมีย ฤดูการขยายพันธุ์อยู่ในเดือนมิถุนายนถึงธันวาคมในแต่ละปี ซึ่งในสถานที่เลี้ยงพบว่าสามารถขยายพันธุ์ได้ทุกช่วงเดือนของปี ไข่ใช้เวลาฟักประมาณ 2 สัปดาห์ สถานะในธรรมชาติของแอกโซลอเติลจัดอยู่ในภาวะเสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ เนื่องจากถูกคุกคามอย่างหนักในถิ่นที่อยู่จากมนุษย์และยังตกเป็นอาหารของสัตว์ขนาดใหญ่กว่าตามห่วงโซ่อาหาร เช่น นกกินปลา ปลาขนาดใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว แอกโซลอเติลยังกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ อีกด้วย โดยนิยมเลี้ยงในตู้ปลาเช่นเดียวกับปลาสวยงามทั่วไป ในประเทศไทย บางครั้งแอกโซลอเติลจะถูกเรียกว่า "หมาน้ำ".

ใหม่!!: สัตว์และแอกโซลอเติล · ดูเพิ่มเติม »

แอมฟิอูมา

แอมฟิอูมา (Amphiuma, Conger eel) เป็นวงศ์ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในอันดับซาลาแมนเดอร์ (Caudata) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Amphiumidae เป็นวงศ์ที่คงรูปร่างของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในวัยอ่อนไว้เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ คือ ไม่มีเปลือกตา ไม่มีลิ้น ไม่มีเหงือกภายนอก แต่มีเหงือกภายใน และมีช่องเปิดเหงือก 1 คู่ มีขาทั้ง 2 คู่ แต่มีขนาดเล็กมาก และมีจำนวนนิ้วที่แตกต่างกันตั้งแต่ 1-3 นิ้ว มีฟันและมีปอด มีลักษณะเด่น คือ มีลำตัวเรียวยาวคล้ายปลาไหลหรืองูและมีความยาวแตกต่างกัน ตั้งแต่ 33 เซนติเมตร จนถึง 1.2 เมตร พบกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะแหล่งน้ำที่มีกระแสน้ำไหลไม่แรง ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และบางครั้งอาจขึ้นมาบนบก โดยสามารถกินได้ทั้งสัตว์น้ำและสัตว์บก เช่น แมลง, กุ้ง, ปู, หอย, ปลา, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกอื่น และหนูตัวเล็ก ๆ ก็สามารถกินได้ หากินในเวลากลางคืน มีการปฏิสนธิภายในตัว โดยตัวผู้จะถ่ายสเปอร์มาโทฟอร์เข้าไปในช่องทวารร่วมของตัวเมียโดยตรง ขณะเกี้ยวพาราสีกัน ตัวเมียวางไข่บนพื้นโคลนใกล้แหล่งน้ำที่อาศัยและเฝ้าดูแลไข่ แอมฟิอูมา มีเพียงสกุลเดียวเท่านั้น คือ Amphiuma แตกต่างกันไปตามจำนวนของนิ้วที่ปรากฏ.

ใหม่!!: สัตว์และแอมฟิอูมา · ดูเพิ่มเติม »

แอมฟิอูมาสองนิ้ว

แอมฟิอูมาสองนิ้ว (Two-toed amphiuma, Conger eel, Congo snake, Blind eel) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ในวงศ์แอมฟิอูมา (Amphiumidae) มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายปลาไหลหรืองู ลำตัวลื่นเต็มไปด้วยเมือก ตามีขนาดเล็กมาก ผิวหนังเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือดำ ส่วนหัวแหลมยาว ปากกว้างมาก ภายในปากมีฟันที่แหลมคม ขามีขนาดเล็กและสั้นมาก มีนิ้วเท้าทั้งหมด 2 นิ้ว อันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีความยาวได้ถึง 120 เซนติเมตร น้ำหนัก 1,042 กรัม นับเป็นแอมฟิอูมาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำแถบรัฐลุยเซียนา, เวอร์จิเนีย, นอร์ทแคโรไลนา, เซาท์แคโรไลนา และฟลอริดา ออกหากินในเวลากลางคืน โดยกินสัตว์ขนาดเล็กกว่าได้หลากหลาย ทั้ง ปลา, แมลง, กุ้ง, ปู, หอย รวมถึงสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก เช่น นกหรือหนูได้ด้วย โดยเป็นสัตว์ที่มีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว มีฤดูกาลขยายพันธุ์ระหว่างเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม ตัวเมียวางไข่ราว 200 ฟอง นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง สำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก โดยเลี้ยงในตู้ปลาและจัดสภาพแวดล้อมให้เหมือนในธรรมชาต.

ใหม่!!: สัตว์และแอมฟิอูมาสองนิ้ว · ดูเพิ่มเติม »

แอมโมนอยด์

แอมโมนอยด์ เป็นกลุ่มของสัตว์ทะเลที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ในทางชีววิทยาได้จัดให้อยู่ในชั้นย่อย แอมโมนอยดี ของชั้นเซฟาโลพอด ในไฟลั่มหอยหรือมอลลัสกา แอมโมไนต์เป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนีที่ดีสามารถใช้กำหนดอายุของชั้นหินในทางธรณีวิทยาได้ ญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของแอมโมไนต์อาจจะไม่ใช่หอยวงช้าง (''Nautilus'' spp.) แม้จากลักษณะภายนอกแล้วจะมีความใกล้เคียงกันมาก แต่แท้จริงแล้วอาจมีความใกล้ชิดกับพวกในชั้นย่อยโคโลอิดี คือพวกหมึกและออคโตปุส ปรกติแล้วเปลือกกระดองจะขดม้วนในแนวระนาบ แม้ว่าจะพบบ้างว่ามีการขดม้วนเป็นรูปเกลียวและแบบไม่มีการขดม้วนเลยก็มี (เฮตเทอโรมอร์พ) ชื่อ “แอมโมไนต์” มาจากลักษณะของเปลือกกระดองที่มีการขดม้วนเป็นรูปเกลียวดังที่พบเปลือกกระดองเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่ขดม้วนกันแน่นแบบเขาแกะ Pliny the Elder (d. 79 A.D. near Pompeii) เรียกซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ชนิดนี้ว่า “ammonis cornua” (เขาของแอมมอน) เพราะว่า แอมมอน แอมุน เทพเจ้าของชาวอียิปต์จะสวมเขาแกะ ชื่อสกุลของแอมโมไนต์จะพบว่าลงท้ายด้วยว่า -“ceras” บ่อยๆซึ่งหมายถึงเขาสัตว์นั่นเอง เช่น Pleuroceras เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และแอมโมนอยด์ · ดูเพิ่มเติม »

แอมโมไนต์

แอมโมไนต์ แบบต่างๆ แอมโมไนต์ (Ammonite) เป็นสัตว์ประเภทนอติลอยด์ชนิดหนึ่ง มนุษย์ในอดีตพบมันมานานแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร มนุษย์ในยุคนั้นคิดว่ามันเป็นซากของงู ที่ตายและคดตัวเป็นวงกลม แอมโมไนต์พบได้หลายที่บนโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย มันมีอยู่หลากหลายชนิด และพบได้ทั่วไปในทะเลดึกดำบรรพ์ จนกระทั่งมันสูญพันธุ์ไปพร้อมกับไดโนเสาร์ เมื่อ 65 ล้านปีก่อน ในช่วงปลายยุคครีเทเชียส แอมโมไนต์วิวัฒนาการไปเป็น ปลาหมึก หอย และ หอยงวงช้าง แอมโมไนต์มีขนาดตั้งแต่ 23 เซนติเมตร (9 นิ้ว) ไปจนถึง 2 เมตร แอมโมไนต์เป็นสัตว์พวกหอยโบราณ ที่เกิดในมหายุคพาลีโอโซอิกจนถึงมหายุคมีโสโซอิกอาศัยในทะเล ปัจจุบันพวกที่สืบทอดมาได้แก่ ปลาหมึกกล้วย ปลาหมึกยักษ์ และหอยงวงช้าง หมวดหมู่:ซากดึกดำบรรพ์.

ใหม่!!: สัตว์และแอมโมไนต์ · ดูเพิ่มเติม »

แอลลิเกเตอร์อเมริกา

แอลลิเกเตอร์อเมริกา หรือ จระเข้ตีนเป็ดอเมริกา (American alligator, Gator) เป็นสัตว์เลื้อยคลานเฉพาะถิ่นที่พบเฉพาะในทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา เป็นแอลลิเกเตอร์หนึ่งในสองชนิดที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลก จัดอยู่ในสกุล Alligator วงศ์ Alligatoridae มีขนาดใหญ่กว่าแอลลิเกเตอร์จีน (A. sinensis) ที่พบในประเทศจีน แอลลิเกเตอร์อเมริกา มีฟันที่แหลมคมในปาก สามารถงอกใหม่ทดแทนกันได้ทันที ประมาณว่ามีทั้งหมดราว 1,000 ฟันตลอดทั้งชีวิตGiant Python Invader, "Austin Stevens Adventures".

ใหม่!!: สัตว์และแอลลิเกเตอร์อเมริกา · ดูเพิ่มเติม »

แอลลิเกเตอร์จีน

แอลลิเกเตอร์จีน หรือ จระเข้ตีนเป็ดจีน (Chinese alligator;; พินอิน: yáng zǐ è) เป็นแอลลิเกเตอร์หนึ่งในสองชนิดที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Alligator sinensis มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 2 เมตร น้ำหนักมากกว่า 40 กิโลกรัม ทำรังด้วยการขุดโพรงวางไข่ที่ชายหาดริมฝั่งแม่น้ำ พบอาศัยอยู่ในลุ่มแม่น้ำแยงซีในประเทศจีน แถบมณฑลอันฮุย เจียงซูและเจ้อเจียงเท่านั้น ครั้งหนึ่ง แอลลิเกเตอร์ชนิดนี้ เคยมีอยู่เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของจีน แต่ในปัจจุบัน ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งใน 10 อันดับสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่งในอนาคตของโลก เนื่องจากปัญหาด้านมลพิษ และอุณหภูมิที่สูงขึ้นรวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์เป็นภัยคุกคามต่อการดำรงชีวิตของมัน ซึ่งปัจจุบันคาดมีปริมาณแอลลิเกเตอร์จีนอาศัยอยู่ในธรรมชาติราว 120 ตัว ซึ่งสถานะการอนุรักษ์ของแอลลิเกเตอร์จีน จัดอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต และติดอยู่ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) และอยู่ในบัญชีรายชื่อหมายเลข 1 (Appendix I) ของไซเตส ซึ่งห้ามค้าขายโดยเด็ดขาด เว้นแต่จะกระทำไปเพื่อการอนุรักษ์หรือวิจัย แต่ต้องได้รับการอนุญาตจากประเทศต้นกำเนิดเสียก่อน ปัจจุบัน ทางการจีนได้มีการอนุรักษ์และเพาะขยายพันธุ์แอลลิเกเตอร์จีนมาแล้วกว่า 30 ปี ซึ่งผลจากการอนุรักษ์และเพาะพันธุ์ที่ผ่านมานี้ทำให้มีลูกแอลลิเกเตอร์จีนเกิดมากขึ้นและมีเปอร์เซนต์รอดในธรรมชาติเพิ่มมากขึ้นจากอดีตในรอบ 5 ปี และคาดว่าจะมีปริมาณแอลลิเกเตอร์จีนเพิ่มขึ้น 300 ตัว ในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้.

ใหม่!!: สัตว์และแอลลิเกเตอร์จีน · ดูเพิ่มเติม »

แอดแดกซ์

แอดแดกซ์ หรือ แอนทิโลปขาว หรือ แอนทิโลปเขาเกลียว (addax, white antelope, screwhorn antelope) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นแอนทิโลปชนิดหนึ่ง จำพวกแอนทิโลปปศุสัตว์ จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Addax โดยคำว่า "แอดแดกซ์" นั้นมาจากภาษาอาหรับแปลว่า "สัตว์ป่าเขาเบี้ยว" ขณะที่ชื่อชนิดทางวิทยาศาสตร์ nasomaculatus มาจากภาษาละตินแปลว่า "จมูกเป็นจุด" (nasus (หรืออุปสรรคว่า naso) หมายถึง "จมูก" และ macula หมายถึง "จุด" และหน่วยคำเติม atus) ขณะที่ชาวเบดูอินจะรู้จักแอดแดกซ์ดี โดยคำว่าแอดแดกซ์นั้นมาจากภาษาอาหรับเรียกว่า bakr (หรือ bagr) al wahsh หมายถึง วัว, ควาย หรือสัตว์กีบทั่วไป แอดแดกซ์มีความแตกต่างจากแอนทิโลปอื่น ๆ ที่มีฟันขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมและไร้ต่อมบนหน้า มีความสูงจากไหล่ 91–115 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 120–130 เซนติเมตร ความยาวหาง 25–35 เซนติเมตร น้ำหนัก 60–125 กิโลกรัม ตัวเมียขนาดเล็กกว่าตัวผู้ มีขนสีน้ำตาลเทาในฤดูหนาว และเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือสีซีดในฤดูร้อน มีขนสีน้ำตาลหรือดำรูปตัวเอ็กซ์บนจมูก ทั้งตัวผู้และตัวเมียมีเขาทั้งคู่ ลักษณะเขาบิดเป็นเกลียวยาว 55–85 เซนติเมตร และมีการขด 2–3 ครั้ง มีกีบเท้าขนาดใหญ่เพื่อเดินบนพื้นทราย ที่กีบเท้าทั้งหมดมีต่อมกลิ่นอยู่ แต่เป็นสัตว์ที่มีความเชื่องช้าจึงมักตกเป็นเหยื่อของสัตว์นักล่าอยู่เสมอ ๆ เช่น หมาล่าเนื้อแอฟริกา, ไฮยีนา, ชีตาห์, เสือดาว, คาราคัล, เซอวัล โดยเป็นสัตว์ที่ไม่ก้าวร้าวแม้จะถูกรบกวนก็ตาม พบกระจายพันธุ์ในแอฟริกาเหนือ โดยเป็นสัตว์พื้นเมืองของชาด, มอริเตเนีย และไนเจอร์ ปัจจุบันนี้สูญพันธุ์ไปแล้วที่แอลจีเรีย, อียิปต์, ลิเบีย, ซูดาน และสะฮาราตะวันตก และกำลังได้รับการฟื้นฟูที่โมร็อกโกและตูนิเซีย ปัจจุบันเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤตเนื่องจากพบน้อยกว่า 500 ตัว ในแถบทะเลทรายสะฮารา เป็นสัตว์ที่มีความอดทนอย่างมากจากการขาดน้ำเนื่องจากรับน้ำจากอากาศและพืชจำพวกพุ่มไม้หรืออาเคเชียที่กินเข้าไป อีกทั้งยังมีกระเพาะที่มีความพิเศษที่เก็บน้ำไว้ใช้ในคราวจำเป็น และปัสสาวะก็มีความเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืนโดยจะหลบนอนอยู่ตามร่มเงาของภูเขาทรายในเวลากลางวันและหลบพายุทะเลทราย แต่แอดแดกซ์เป็นสัตว์ที่มีอยู่จำนวนมากในสถานที่เลี้ยงหรือเขตอนุรักษ์ทางธรรมชาติในปัจจุบัน มีโครงการขยายพันธุ์ในหลายประเทศในหลายทวีป ทั้ง อิสราเอล, ญี่ปุ่น, อเมริกาเหนือ, ซูดาน, อียิปต์, ออสเตรเลี.

ใหม่!!: สัตว์และแอดแดกซ์ · ดูเพิ่มเติม »

แองคิโลซอรัส

แองคิโลซอรัส (Ankylosaurus) เป็นไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดในสกุล แองคิโลซอร์ (ankylosaurid) อาศัยอยู่ในยุคครีเตเชียส ในทวีปอเมริกาเหนือ โครงกระดูกของ แองคิโลซอรัส ยังไม่สมบูรณ์ แองคิโลซอรัส เป็นไดโนเสาร์ที่มีลักษณะในแบบสกุล แองคิโลซอร์ที่มีน้ำหนักตัวหนักมีเกราะแข็งหุ้มทั่วทั้งตัว และมีลูกตุ้มขนาดใหญ่(ลักษณะคล้ายกับรังผึ้ง)สำหรับไว้ป้องกันตัวจากนักล่าในยุคนั้นอย่าง ไทรันโนซอรัส และ ทาร์โบซอรัส ที่บริเวณหาง.

ใหม่!!: สัตว์และแองคิโลซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

แอนทิโลปสี่เขา

แอนทิโลปสี่เขา หรือ ชูสิงห์ (Four-horned antelope, Chousingha; चौशिंगा) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Bovinae ในวงศ์ใหญ่ Bovidae จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Tetracerus มีความสูงจากกีบเท้าจนถึงหัวไหล่ประมาณ 50 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม จัดเป็นแอนทิโลปที่มีขนาดเล็กที่สุดที่พบได้ในทวีปเอเชีย มีขนสีเหลืองน้ำตาลที่บริเวณด้านข้างละด้านล่างลำตัว ด้านในของขาเป็นสีขาว ขามีลักษณะเรียวเล็กและมีแถบสีดำเป็นทางยาวไปตามขา ในตัวผู้จะมีเขาขนาดเล็กสั้น ๆ 4 เขางอกขึ้นมาบนส่วนหัว 2 เขาแรกอยู่ระหว่างใบหูทั้ง 2 ข้างขวาหน้าผาก ซึ่งเขาคู่แรกนี้จะงอกหลังจากเกิดมาได้ไม่กี่เดือน และเขาคู่ที่ 2 จะยาวกว่าคู่แรก เป็นปัจจัยบ่งบอกถึงอายุ และสมบูรณ์แข็งแรงของแต่ละตัว อันเนื่องจากปัจจัยทางโภชนาการ จะไม่มีการสลัดเขาทิ้งเหมือนกวาง แต่เขาอาจจะแตกหักเสียหายได้จากการต่อสู้ แอนทิโลปสี่เขา มีการกระจายพันธุ์อยู่ ในอินเดียแถบรัฐทมิฬนาฑู และโอริศา และบางส่วนในเนปาล ซึ่งปัจจุบันพบได้เฉพาะในอุทยานแห่งชาติป่ากีร์เท่านั้น มีนิเวศวิทยาอาศัยอยู่ในป่าดิบแล้งหรือป่าผลัดใบ ปกติแล้วจะอาศัยและหากินเพียงลำพัง ยกเว้นในช่วงฤดูผสมพันธุ์ จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ตัวผู้จะมีพฤติกรรมก้าวร้าว และต่อสู้กันเพื่อแย่งตัวเมีย ปกติแล้ว จะตกเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ เช่น เสือ, สิงโต, หมาใน เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และแอนทิโลปสี่เขา · ดูเพิ่มเติม »

แอนทิโลปปศุสัตว์

แอนทิโลปปศุสัตว์ (Grazing antelopes) เป็นแอนทิโลปที่อยู่ในวงศ์ย่อย Hippotraginae จัดเป็นแอนทิโลปขนาดใหญ่ พบได้เฉพาะในทวีปแอฟริกาและบางส่วนของคาบสมุทรอาหรับ เขามีลักษณะยาวใหญ.

ใหม่!!: สัตว์และแอนทิโลปปศุสัตว์ · ดูเพิ่มเติม »

แอนทิโลปแคระ

แอนทิโลปแคระ (Dwarf antelopes) เป็นแอนทิโลปขนาดเล็ก ที่อยู่ในเผ่า Neotragini ในวงศ์ย่อย Antilopinae หรือแอนทิโลปแท้ โดยจำแนกออกมาจากวงศ์ย่อย Neotraginae พบกระจายพันธุ์เฉพาะในทวีปแอฟริก.

ใหม่!!: สัตว์และแอนทิโลปแคระ · ดูเพิ่มเติม »

แอนคิออร์นิส

แอนคิออร์นิส ไดโนเสาร์ขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ที่มีรูปร่างคล้ายสัตว์เลื้อยคลานผสมนก ปัจจุบันพบเพียงชนิดเดียวคือ Anchiornis huxleyi (แปลว่า "ใกล้เคียงนกของฮักลีย์"; ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่โทมัส เฮนรี ฮักลีย์) ขนาดเปรียบเทียบกับมนุษย์ นับเป็นไดโนเสาร์ขนาดเล็ก มีเกล็ดที่หน้าแข้งเหมือนไก่หรือนก ปีกมีขนปกคลุม หางเรียว ไม่มีกระดูกสันอกและกระดูกหางสั้น ฟันแหลมเล็ก มีผิวบาง ๆ ของเนื้อเยื่อส่วนบริเวณด้านหน้าข้อศอก ซึ่งเชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญใช้ในการบิน แต่ไม่ชัดเจนว่าจะสามารถร่อนตัวอยู่กลางอากาศได้หรือไม่ เนื่องจากนักบรรพชีวินวิทยายังมีความเห็นต่าง บางส่วนเชื่อว่าสามารถร่อนไปมาในอากาศได้ โดยอาศัยช่วงแขนที่เรียวยาวเหมือนปีก แต่บางส่วนก็เชื่อว่า ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เนื่องจากลักษณะของขนไม่ได้เป็นขนที่มีลักษณะคล้ายขนนก แอนคิออร์นิส มีอายุเก่าแก่นานถึง 160 ล้านปี พบซากดึกดำบรรพ์ในมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน ถือได้ว่าเป็นไดโนเสาร์ที่เป็นบรรพบุรุษของนกที่มีอายุเก่าแก่ยาวนานกว่าอาร์คีออปเทอริกซ์ ที่พบในเยอรมนีถึง 10 ล้านปีเสียอีก.

ใหม่!!: สัตว์และแอนคิออร์นิส · ดูเพิ่มเติม »

แอนตาร์กติกซิลเวอร์ฟิช

แอนตาร์กติกซิลเวอร์ฟิช (Antarctic silverfish) แอนตาร์กติกซิลเวอร์ฟิชเป็นปลาทะเลประเภทปลากระดูกแข็งในอันดับปลากะพง ปลาในมหาสมุทรแอนตาร์กติกาเป็นปลาที่สามารถผลิตโปรตีนต้านความแข็งตัวเป็นน้ำแข็งเพื่อทำให้ปรับตัวอยู่ได้ในบริเวณที่มีน้ำเย็นจั.

ใหม่!!: สัตว์และแอนตาร์กติกซิลเวอร์ฟิช · ดูเพิ่มเติม »

แอนโธซัว

แอนโธซัว (Anthozoa) เป็นชั้นหนึ่งในไฟลัมไนดาเรีย เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเป็นแท่งคล้ายดอกไม้ มีโครงสร้างค้ำจุน อาศัยอยูเดี่ยวๆหรือเป็นโคโลนี อาศัยอยู่ในทะเลทั้งหมด แบ่งได้เป็นสี่กลุ่มคือ ดอกไม้ทะเล ปะการังแข็ง ปะการังอ่อน และกัลปังหา หมวดหมู่:ไนดาเรีย.

ใหม่!!: สัตว์และแอนโธซัว · ดูเพิ่มเติม »

แอโครแคนโทซอรัส

แอโครแคนโทซอรัส (acrocanthosaurus) เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ ในตระกูล อัลโลซอร์ (allosauroids) มีชีวิตอยู่ระหว่าง 112-125 ล้านปีก่อน ถูกค้นพบในทวีปอเมริกาเหนือ ฟอสซิลของมันมันยังคงพบส่วนใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ในรัฐโอคลาโฮมาและรัฐเทกซัส แต่ก็มีการบันทึกว่าถูกค้นพบใน ทางตะวันออกในรัฐแมริแลนด์ ขนาดของแอโครแคนโทซอรัสเมื่อเทียบกับมนุษย์ ถือได้ว่ามีขนาดใหญ่โตมาก แอโครแคนโทซอรัส เป็นหนึ่งในไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่โตและแข็งแรงที่สุด มีความยาวโดยประมาณ 12 เมตร (40ฟุต) และมีน้ำหนักประมาณ 6.8 ตัน แต่มันก็มีขนาดเล็กกว่าญาติขนาดใหญ่เช่น กิก้าโนโตซอรัสที่มีความยาว13เมตร (42ฟุต) ฟอสซิลของแอโครแคนโทซอรัส ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยค้นพบวัดจากปลายจมูกถึงพวยปลายหางมีความยาว11.5เมตร (38ฟุต) น้ำหนักประมาณ 6177 กิโลกรัม (6.1ตัน) กะโหลกของแอโครแคนโทซอรัส มีลักษณะคล้ายกับ ไดโนเสาร์ไนตระกูลอัลโลซอร์ อื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่มีความยาวและแคบ คุณสมบัติเด่นที่สุดของ แอโครแคนโทซอรัส คือ แถวของหนามประสาทสูง ตั้งอยู่บนกระดูกสันหลังของคอ และสะโพกและหางบน ซึ้งคล้ายกับของ สไปโนซอรัส แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยหน้าที่ของมันนั้นยังไม่สามารถสรุปได้แน่นอน นอกเหนือจากกระดูกสันหลัง แอโครแคนโทซอรัส มีโครงกระดูกแบบ ตระกูลอัลโลซอร์ ทั่วไปที่หางมีความยาวและหนัก ศรีษระ มีขนาดใหญ่และมีนำหนักเพื่อรักษา สมดุล ของร่างกาย แต่ละมือมี 3นิ้ว แขนมีขนาดสั้นแต่มีความแข็งแรง กว่าของไทรันโนซอรัส กระดูกขาหลังของแอโครแคนโทซอรัส มีความแข็งแรงกว่า อัลโลซอรัส ญาติขนาดเล็กกว่าของมันภาพวาดของแอโครแคนโทซอรัสเมื่อขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แอโครแคนโทซอรัส ถูกออกแบบมาเพื่อล่าเหยื่อเป็นไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่เช่น ทีนอนโตซอรัส หรือแม้แต่ซอโรพอดขนาดใหญ่อย่างซอโรโพไซดอน ไดโนเสาร์ขนาดยักษ์ที่มีความสูง 17 เมตร (56ฟุต) มีความยาวถึง 34เมตร (112ฟุต) ต่างจากไทรันโนซอรัสที่มักจะล่าเหยื่อที่มีขนาดเล็ก โดยมันเป็นเพียงเทอโรพอดเพียงไม่กี่ขนิดที่สามารถล่าเหยือที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ได้.

ใหม่!!: สัตว์และแอโครแคนโทซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

แฮมสเตอร์

แฮมสเตอร์ (Hamster) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Cricetinae ในวงศ์ Cricetidae มีหลากหลายสกุล หลายชน.

ใหม่!!: สัตว์และแฮมสเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

แฮมสเตอร์จีน

แฮมสเตอร์จีน (Chinese hamster; 中國倉鼠; พินอิน: Zhōngguó cāngshǔ) เป็นสัตว์ฟันแทะชนิดหนึ่ง จำพวกแฮมสเตอร์ แฮมสเตอร์จีนเป็นแฮมสเตอร์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะแตกต่างจากแฮมสเตอร์ทั่วไป คือ รูปร่างลักษณะลำตัวยาวป้อม จมูกยาว หางยาวเล็กน้อยซึ่งจะคล้ายกับหนูมากกว่าแฮมสเตอร์ทั่วไป ลำตัวมีสีน้ำตาลและสีเทาขาว มีเส้นสีดำพาดอยู่กลางสันหลังตั้งแต่หน้าผาก จนถึงบั้นท้ายบริเวณโคนหาง ขนาดโตเต็มที่จะมีขนาดความยาว 7.5-9 เซนติเมตร กระจายพันธุ์อยู่ในทุ่งหญ้าและทะเลทรายของจีนทางตอนเหนือและมองโกเลียใน อาศัยอยู่ด้วยการขุดโพรงอยู่ในดิน ออกหากินในเวลากลางคืน มีอุปนิสัยค่อนข้างรักสันโดษ ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้เล็กน้อย ตัวผู้ในฤดูผสมพันธุ์จะมีอุปนิสัยดุร้าย ก้าวร้าวกว่าแฮมสเตอร์ทั่วไปจนถึงขั้นทำร้ายตัวเมียจนถึงตายเลยก็มี จัดเป็นแฮมสเตอร์อีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงและเป็นสัตว์ทดลอง โดยเริ่มเลี้ยงกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 แฮมสเตอร์จีนเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ตั้งแต่อายุเพียง 5 สัปดาห์ ออกลูกครอกหนึ่งอาจมากถึง 9 ตัว ปีหนึ่งอาจออกลูกได้มากถึง 5 ครอก จึงนับเป็นสัตว์ฟันแทะอีกชนิดหนึ่งที่แพร่ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วมาก EPISODE 5, " Untamed China with Nigel Marven".

ใหม่!!: สัตว์และแฮมสเตอร์จีน · ดูเพิ่มเติม »

แฮมสเตอร์โรโบรอฟสกี

แฮมสเตอร์โรโบรอฟสกี หรือ แฮมสเตอร์ทะเลทราย (Roborovski hamster, Desert hamsters) สัตว์ฟันแทะขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกแฮมสเตอร์ นิยมเป็นสัตว์เลี้ยง มีชื่อเรียกเล่น ๆ ว่า โรโบ (Robos) แฮมสเตอร์โรโบรอฟสกี จัดเป็นแฮมสเตอร์แคระชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในสกุล Phodopus เป็นแฮมสเตอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เมื่อโตเต็มที่มีความยาวเพียง 2 นิ้วเท่านั้น มีลักษณะเฉพาะตัว คือ ขนนุ่มสั้น สีขนออกไปทางสีทอง และสีน้ำตาล โดยจะไล่สีกันไประหว่างสีเข้มจนถึงจางลง เส้นหนวดยาว ตากลมโตสีดำ อาศัยอยู่ในธรรมชาติแถบทะเลทรายหรือที่แห้งแล้งที่จีน, มองโกเลีย, รัสเซีย โดยพบได้ในพื้นที่สูงถึง 1,200 เมตร (3,900 ฟุต)–1,450 เมตร (4,760 ฟุต) แม้จะไม่พบหลักฐานถึงการมีอยู่ของซากดึกดำบรรพ์ก็ตาม.

ใหม่!!: สัตว์และแฮมสเตอร์โรโบรอฟสกี · ดูเพิ่มเติม »

แฮ็กฟิช

แฮ็กฟิช (hagfish, slim eel) เป็นปลาในชั้นปลาไม่มีขากรรไกรเพียงหนึ่งในสองจำพวกที่ยังสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน (อีกหนึ่งจำพวก คือ ปลาแลมป์เพรย์) ที่อยู่ในชั้น Myxini ซึ่งมีเพียงอันดับเดียว คือ Myxiniformes และวงศ์เดียว คือ Myxinidae แฮ็กฟิชเป็นปลาที่อยู่ในทะเล โดยการกินปลาตาย หรือใกล้ตายรวมทั้งสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีลำตัวอ่อนนุ่ม เช่น หนอนปล้อง มอลลัสคาและครัสเตเชียนเป็นอาหาร จึงต่างจากปลาแลมป์เพรย์ที่ใช้ชีวิตเหมือนเป็นปรสิต และไม่ได้เป็นสัตว์ล่าเหยื่อ แต่ค่อนมาทางกินซากสัตว์มากว่า แฮ็กฟิชมีต่อมเมือกทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่กระจายอยู่ที่ผิวหนังและมีต่อมเมือกเรียงตัวเป็นแนวอยู่ทางด้านข้างตลอดความยาวของลำตัว มีคำกล่าวว่า แฮ็กฟิช 1 ตัว สามารถทำให้น้ำ 1 ถัง แปรสภาพเป็นก้อนวุ้นสีขาวภายใน 1 นาที จากเมือกของตัวที่ปล่อยออกมา ซึ่งมีความเหนียวมากกว่าใยแมงมุมด้วยซ้ำ สามารถใช้ในการห้ามเลือดได้ และนักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาเพื่อที่นำไปพัฒนาในการสร้างใยสังเคราะห์ แฮ็กฟิชมีประมาณ 67 ชนิด ชนิดที่รู้จักกันดีในทวีปอเมริกาเหนือ ในมหาสมุทรแอตแลนติก คือ ชนิด Myxine glutinosa และในมหาสมุทรแปซิฟิก คือ แฮ็กฟิชแปซิฟิก (Eptatretus stonti) แฮ็กฟิชจะกินปลาตายหรือปลาใกล้ตายโดยการกัดไชเข้าไปทางทวารหรือถุงเหงือก ซึ่งปากของแฮ็กฟิชจะอยู่ส่วนล่างของหัวต่ำลงมาเมื่อเปรียบเทียบกับปลาแลมป์เพรย์ แล้วกินส่วนของตัวปลาที่อ่อนนุ่มเหลือไว้แต่หนังและกระดูก นอกจากนี้แฮ็กฟิชยังกินปลาที่ติดอวนลอยอยู่ ทำความเสียหายให้แก่ชาวประมง แต่หลังจากมีการประมงโดยใช้อวนลากขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูง ปัญหาที่เกิดจากแฮ็กฟิชจึงลดลง และในบางประเทศ ก็มีการปรุงแฮ็กฟิชรับประทานเป็นอาหารเช่นเดียวกับปลาแลมป์เพรย์ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เป็นต้น ในน่านน้ำไทยเคยมีรายงานพบแฮ็กฟิชด้วย ในฝั่งทะเลอันดามันในเขตที่ลึกกว่า 200 เมตร.

ใหม่!!: สัตว์และแฮ็กฟิช · ดูเพิ่มเติม »

แทสเมเนียนเดวิล

แทสเมเนียนเดวิล (Tasmanian Devil) เป็นมาร์ซูเปียลกินเนื้อในวงศ์ Dasyuridae ปัจจุบันมีถิ่นฐานเฉพาะในรัฐแทสเมเนียของออสเตรเลีย โดยได้รับสถานะเป็นสัตว์คุ้มครองมาตั้งแต่ปี..

ใหม่!!: สัตว์และแทสเมเนียนเดวิล · ดูเพิ่มเติม »

แดนซ์ แดนซ์ เรโวลูชัน

ตราสัญลักษณ์เกม แดนซ์ แดนซ์ เรโวลูชัน แดนซ์ แดนซ์ เรโวลูชั่น; Dance Dance Revolution) เป็นเกมที่ได้รับความนิยมในช่วงปี พ.ศ. 2541 ถึงปี พ.ศ. 2546 เป็นเกมประเภทดนตรี ลักษณะโดยทั่วไปภายในเกมจะมีลูกศร ซ้าย ลง ขึ้น ขวา ขึ้นมาตามจังหวะของเพลงที่กำลังบรรเลง โดยให้ผู้เล่นใช้เท้าเหยียบตามจังหวะให้ตรง ซึ่งเกมนี้ มีจุดเด่นตรงที่ใช้เท้าควบคุมเกม โดยมีแผงควบคุมให้เท้าเหยียบตามลูกศร ซ้าย ลง ขึ้น ขวา แดนซ์ แดนซ์ เรโวลูชั่น ปรากฏเป็นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2541 โดยบริษัท โคนามิ ประเทศญี่ปุ่น จำกัด และเกมนี้ ได้มีการสร้างภาคต่อไปเรื่อย ๆ และได้มีการเล่นเกมชนิตนี้ในแถบอเมริกาเหนือและแถบยุโรป โดยที่แถบยุโรปได้เรียกชื่อเกมนี้ว่า "แดนซิ่ง สเตจ" (Dancing Stage) เมื่อเป็นที่รู้จักในไทย ทำให้เรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า เกมเต้น นั่นเอง มหาวิทยาลัยบางส่วนในสหรัฐอเมริกาได้มีการเสริมการเล่นเกมนี้เข้าเป็นกิจกรรมชมรม หรือแม้แต่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร.

ใหม่!!: สัตว์และแดนซ์ แดนซ์ เรโวลูชัน · ดูเพิ่มเติม »

แคมาราซอรัส

คามาราซอรัส (Camarasaurus) เป็นไดโนเสาร์กินพืช ตระกูลซอโรพอด 4 เท้า มีขนาดลำตัวไม่ใหญ่ มีชีวิตอยู่ในกลางถึงปลายยุคจูแรสซิก เมื่อ 155 -145 ล้านปีก่อน มีความยาว 18 เมตร มีน้ำหนักประมาณ 18-20 ตัน กะโหลกศีรษะมีลักษณะสั้นแต่ลึกเข้าไปด้านใน ขากรรไกรมีขนาดใหญ่ คอและหางสั้นกว่าซอโรพอดตัวอื่น ไม่มีปลายหางแส้ ลำตัวกลมหนาและค่อนข้างสั้น แขนขาใหญ่โตมีลักษณะคล้ายเสาหิน ขาหลังยาวกว่าขาหน้าเล็กน้อย มีรูจมูกขนาด ใหญ่เหนือดวงตา เพื่อช่วยในการระบายความร้อนและดมกลิ่น ชื่อของเจ้าคามาราซอรัสมาจากภาษากรีก แปลว่า "โพรง" สาเหตุที่ได้ชื่อสุดพิศวงนี้ก็เพราะกระดูกที่เป็นโพรงของมัน นัก-วิทยาศาสตร์ทั้งหลายกล่าวว่าโพรงนี้เอาไว้ลดภาระของขาทั้ง 4ของมันไม่ให้แบกรับน้ำหนักตัวอันอ้วนฉุมากเกินไปแถมยังช่วยระบายความร้อนในร่างกายได้อีกด้วย นอกจากนี้เจ้าคามาราซอรัสยังมีคอและหางสั้นกว่าไดโนเสาร์ตัวอื่นในสายพันธุ์เดียวกัน หากลองสังเกตใบหน้างามๆดีๆ จะพบว่ากระโหลกศีรษะของมันลึกเข้าไปด้านในและมีรูขนาดใหญ่อยู่เหนือดวงตา ฟันเป็นซี่ถี่เอาไว้งับแล้วรูดใบไม้เรียวออกจากกิ่งชนิดไม่เหลือเศษติดก้านในคำเดียว หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคจูแรสซิก หมวดหมู่:ซอโรโพดา.

ใหม่!!: สัตว์และแคมาราซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

แคราแคล

แคราแคล หรือ ลิงซ์เปอร์เซีย หรือ ลิงซ์อียิปต์ หรือ ลิงซ์แอฟริกา หรือ ลิงซ์ทะเลทราย (Caracal, Persian lynx, Egyptian lynx, African lynx, Desert lynx) เป็นแมวขนาดกลาง มีการกระจายพันธุ์ในเอเชียตะวันตก, เอเชียใต้ และทวีปแอฟริกา คำว่า "แคราแคล" (Caracal) มาจากคำในภาษาตุรกี คำว่า "karakulak" ซึ่งแปลว่า "หูสีดำ" ในอินเดียเหนือและประเทศปากีสถาน แคราแคลรู้จักกันในชื่อ syahgosh (स्याहगोष/سیاه گوش) หรือ shyahgosh ซึ่งในคำในภาษาปากีสถานแปลว่า หูสีดำ เช่นกัน ในภาษาแอฟริคานส์เรียกแคราแคลว่า Rooikat ซึ่งแปลว่า "แมวแดง".

ใหม่!!: สัตว์และแคราแคล · ดูเพิ่มเติม »

แตน

แตน (Hymenoptera) จัดเป็นแมลงจำพวกผึ้ง เพราะว่ามีเหล็กในและการดำรงชีวิตที่คล้ายคลึงกัน แตนเป็นแมลงเอวคอด ปีกบางสองคู่ แตนมีหลายชนิดสร้างรังรูปแบบแปลกๆ สวยงาม แตนบัว หรือแตนฝักบัวสร้างรังคล้ายกับฝักบัวคว่ำ รังนี้ยึดติดแน่นกับกิ่งไม้ ด้านล่างของรังที่หันลงดินแบ่งเป็นช่องสำหรับเป็นที่อยู่ของตัวอ่อน และเป็นทางเข้าออก แตนสร้างรังโดยการเคี้ยวไม้เก่าๆ ผสมกับน้ำลายซึ่งจะแปรสภาพเป็นเยื่อไม้แล้วเอาไปเรียงต่อกันเป็นห้องจนกลายเป็นรัง ภายหลังผสมพันธุ์เสร็จ เมื่อแม่แตนสร้างรังหรือห้องได้บ้างแล้ว มันจะไปหาอาหารมาทิ้งไว้ให้ลูกอ่อนกิน อาหารตัวอ่อนชอบกิน คือตัวหนอนผีเสื้อ ซึ่งแม่แตนจะต่อยให้สลบแล้วนำมาใส่ไว้ในช่องที่เตรียมไว้เมื่อไข่ฟักเป็นตัวก็จะมีอาหารกิน แมลงจำพวกเดียวกันกับแตนมีหลายชนิด เช่น ต่อ ต่อหมาร่า รูปร่างคล้ายกัน แต่สีแตกต่างกันไป สีเหลือง ดำสลับเหลือง รังอาจเป็นรูปกลมรี รูปกระปุกหรือแบบลูกฟูก แตนบางชนิดทำรังด้วยดิน เช่น หมาร่า หมวดหมู่:แมลง.

ใหม่!!: สัตว์และแตน · ดูเพิ่มเติม »

แซนแทนาแรปเทอร์

แซนแทนาแรปเทอร์ (Santanaraptor) ชื่อของมันมีความหมายว่าจอมขโมยจากแซนแทนา เป็นเทอโรพอดในตระกูลโคลูซอเรีย(Coelurosauria) ยาวประมาณ 1.25 เมตร อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ในยุคครีเทเชียสเมื่อประมาณ 108 ล้านปีก่อน ฟอสซิลของมัน พบในปี..1996 ฟอสซิลซานตาน่าฟอร์เมชั่น ชั้นหินโบราณอุดมไปด้วยฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตและพืช ทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ถึงมันจะมีชื่อแรปเตอร์ (ที่นิยมใช้กับพวกโดรมีโอซอร์) แต่มันไม่ใช่ไดโนเสาร์กลุ่มโดรมีโอซอร.

ใหม่!!: สัตว์และแซนแทนาแรปเทอร์ · ดูเพิ่มเติม »

โบโนโบ

นโบ หรือ ชิมแปนซีแคระ (Bonobo, Dwarf chimpanzee, Pygmy chimpanzee).

ใหม่!!: สัตว์และโบโนโบ · ดูเพิ่มเติม »

โพรโทเธอเรีย

โพรโทเธอเรีย (Subclass Prototheria) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง เป็นชั้นย่อยของชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่วางไข่ หมวดหมู่:สัตว์ หมวดหมู่:สัตว์มีแกนสันหลัง หมวดหมู่:สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม.

ใหม่!!: สัตว์และโพรโทเธอเรีย · ดูเพิ่มเติม »

โพลาแคนทัส

ลาแคนทัส (Polacanthus) เป็นไดโนเสาร์โนโดซอร์ชนิดหนึ่ง ยาวประมาณ 4 เมตร มีหนามและแผ่นแข็งๆคล้ายเสื้อเกราะอยู่บริเวณผิวหนัง หนามและเกราะนี้ช่วยป้องกันกันเวลาถูกพวกไดโนเสาร์กินเนื้อล่า มีลักษณะคล้ายกับพวกแองคีลอซอร์ แต่มันไม่มีลูกตุ้มที่หาง อาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนต้นเมื่อประมาณ 132- 112 ล้านปีก่อน.

ใหม่!!: สัตว์และโพลาแคนทัส · ดูเพิ่มเติม »

โพลีคีทา

ลีคีท (Polychaeta) หรือ ไส้เดือนทะเล เป็นสิ่งมีชีวิตพื้นทะเลอยู่ในไฟลัมสัตว์พวกหนอนปล้อง ลักษณะที่เด่นชัด คือ การมีเดือย (setae) หรือก้าน (chaetae) ในแต่ละปล้องเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของชื่อ โพลีคีท (polychaete) โดย poly หมายถึง มาก และ setae หรือ chaete หมายถึง ขนแข็ง นอกจากนี้ ลำตัวของไส้เดือนทะเลยังมีระยางศ์สองข้างของแต่ละปล้อง เรียกว่า พาราโพเดียม (parapodium) งอกออกมาจากผนังด้านข้างของปล้อง ปล้องละ 1 คู่ ลักษณะเป็น 2 พู ประกอบไปด้วยพูด้านบนหรือด้านหลัง เรียกว่า โนโทโพเดียม (notopodium) และพูด้านล่างหรือด้านท้อง เรียกว่า นิวโรโพเดียม (neuropodium) ลำตัวของไส้เดือนทะเลนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ.

ใหม่!!: สัตว์และโพลีคีทา · ดูเพิ่มเติม »

โพโกโนฟอรา

โพโกโนฟอรา (Pogonophora) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:สัตว์ หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง es:Pogonophora ja:有鬚動物.

ใหม่!!: สัตว์และโพโกโนฟอรา · ดูเพิ่มเติม »

โมซาซอร์

มซาซอร์ (Mosasaur) ความหมายชื่อคือ "ราชากิ้งก่าแม่น้ำมิวส์"เป็นกลุ่มกิ้งก่าทะเลคล้ายงูในวงศ์ Mosasauridae ที่เคยมีชีวิตอยู่ปลายยุคครีเทเชียส เชื่อว่ามีวิวัฒนาการมาจากสัตว์กลุ่มกิ้งก่าและงู (Squamata) ที่รู้จักกันว่า aigialosaurs ช่วงต้นยุค และหลังจากที่มีการวิเคราะห์วิวัฒนาการของมัน โดยดูโครงสร้างขากรรไกรและกะโหลกศีรษะที่ยืดหยุ่นได้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ากิ้งก่ากลุ่มนี้น่าจะเป็นญาติใกล้ชิดกับงู โมซาซอร์เป็นญาติห่างจากไลโอพลัวเรอดอนแต่โมซาซอร์ยาวกว่ามากและโมซาซอร์อาศัยกระจายไปหลายส่วนของโลก เพราะในยุคนี้มีระดับน้ำทะเลสูง เรียกว่าน้ำทะเลไปถึงไหนเจ้าสัตว์กลุ่มนี้ก็ไปถึงนั่น ดังจะเห็นได้จากมีการค้นพบฟอสซิลในหลายพื้นที่ ทั้งในอเมริกาเหนือ ได้แก่ แคนาดาและสหรัฐ ที่พบในหลายรัฐซึ่งเคยเป็นเส้นทางทะเล นอกจากนี้ยังพบในเนเธอร์แลนด์ สวีเดน แอฟริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเกาะเวกานอกชายฝั่งขั้วโลกใต้ โดยพบฟอสซิลครั้งแรกในเขตเหมืองหินปูนในเมืองมาสตริกช์ของเนเธอร์แลนด์ ปี 1764 และจากฟอสซิลที่ค้นพบทำให้แบ่งสัตว์กลุ่มนี้ได้ 4 วงศ์ย่อยคือ Halisaurinae,Mosasaurinae, Plioplatecarpinae และTylosaurinae สกุลที่ใหญ่ที่คือไทโลซอรัส ฮอฟมานี โมซาซอร์เป็นกิ้งก่าทะเลที่ว่ายน้ำเก่งและสามารถปรับตัวได้ดีเพื่ออยู่ในเขต ทะเลน้ำตื้นและอบอุ่น และแม้แต่ออกลูกในน้ำ ซึ่งออกลูกเป็นตัว ไม่ต้องขึ้นฝั่งเพื่อไปวางไข่เหมือนเต่าทะเลทั่วไป ส่วนอาหารกินได้ทุกอย่าง รวมถึงพวกทากทะเล หอยและสัตว์ทะเลอื่น ๆ เพราะมีฟันแข็งแรง ตัวเล็กสุดมีขนาดยาวประมาณ 5-9 เมตร ในวงศ์ย่อย ฮาลิซอร์ ส่วนตัวใหญ่สุดยาวระหว่าง 16.8-20 เมตรคือ "ไทโลซอร์รัส" แต่นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังหลายคนและข้อมูลบีบีซีเชื่อว่ามันไม่ได้ยาวแค่นั้นและเป็นไปได้ที่อาจยาวถึง30เมตรหรือหนักราว58-74ตันและอาจเคยกินวาฬหัวทุยแล้วก็ได้ด้วยกรามที่แข็งแรงมันจึงสามารถกัดเหล็กชั้นหนาจนขาดได้และบางทีมันอาจว่ายน้ำได้ถึง 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ได้ซึ่งเหยื่อที่โมซาซอร์ก็คือฉลามขาว หมึกยักษ์หรือแม้แต่โมซาซอร์ด้วยกันเองโดยมีชีวิตอยู่ช่วง 65-89 ล้านปีก่อนและบางทีอาจจะกินวาฬได้ด้วย หมวดหมู่:สัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยอยู่ในยุคไดโนเสาร์ หมวดหมู่:โมซาซอร์ หมวดหมู่:กิ้งก่าในยุคครีเทเชียส หมวดหมู่:กิ้งก่า.

ใหม่!!: สัตว์และโมซาซอร์ · ดูเพิ่มเติม »

โมโนทรีม

มโนทรีม หรือ โมโนทรีมาทา (Monotremata) เป็นอันดับในการจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์อันดับหนึ่ง อยู่ในชั้น Mammalia หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และอยู่ในชั้นย่อยโมโนทรีม (บางครั้งเรียกชั้นย่อยนี้ว่า Prototheria) สัตว์ในอันดับโมโนทรีมภาษาอังกฤษเรียกว่าโมโนทรีม (monotreme) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก mono (หนึ่ง) + trema (รู) เนื่องจากสัตว์ในอันดับนี้มีช่องขับถ่ายและช่องสืบพันธุ์เป็นช่องเดียวกัน โมโนทรีมเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงอันดับเดียวที่ออกลูกเป็นไข่ แทนที่จะออกลูกเป็นตัวเหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และโมโนทรีม · ดูเพิ่มเติม »

โยชิ

(Yoshi; บางครั้งก็ระบุว่าโยชิสีเขียว) เป็น 1 ในฮีโร่ของเกมมาริโอและเป็นพันธมิตรกับมาริโอกับลุยจิ เขาเป็น 1 ใน กลุ่มโยชิ ตอนมาริโอและลุยจิยังเป็นทารกเขาช่วยปกป้องทั้งสองจาก คาเมคคุบปะนักเวทย์ ให้ปลอดภั.

ใหม่!!: สัตว์และโยชิ · ดูเพิ่มเติม »

โรควัวบ้า

วัวที่เป็น BSE ลักษณะของโรค คือ สัตว์ที่ติดเชื้อจะยืนไม่ได้ โรคสมองรูปฟองน้ำวัว (bovine spongiform encephalopathy, ย่อ: BSE) หรือรู้จักกันทั่วไปว่า โรควัวบ้า เป็นโรคเสื่อมของระบบประสาท (โรคสมอง) ถึงตายในปศุสัตว์ซึ่งทำให้เกิดการเสื่อมฟองน้ำ (spongy degeneration) ในสมองและไขสันหลัง โรควัวบ้ามีระยะฟักนาน ราว 30 เดือนถึง 8 ปี ปกติมีผลต่อปศุสัตว์โตเต็มวัยโดยมีอายุตั้งต้นสูงสุดที่สี่ถึงห้าปี ทุกสายพันธุ์ไวรับเท่ากัน ในสหราชอาณาจักร ประเทศซึ่งได้รับผลมากที่สุด มีปศุสัตว์ติดเชื้อกว่า 180,000 ตัว และถูกฆ่า 4.4 ล้านตัวระหว่างโครงการกำจัด โรคนี้อาจส่งผ่านสู่มนุษย์ได้ง่ายที่สุดโดยการกินอาหารที่ปนเปื้อนด้วยสมอง ไขสันหลังหรือทางเดินอาหารของสัตว์ที่ติดเชื้อ ทว่า เชื้อก่อโรคซึ่งแม้กระจุกในเนื้อเยื่อประสาทสูงสุด แต่สามารถพบได้แทบทุกเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย รวมทั้งเลือด ในมนุษย์ถือว่าโรคเป็นชนิดย่อย (variant) หนึ่ง ของโรคครอยท์ซเฟลดท์–ยาคอบ (vCJD หรือ nvCJD) และในเดือนตุลาคม 2552 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 166 คนในสหราชอาณาจักร และที่อื่น 44 คน; มีสัตว์ที่ติดเชื้อ BSE ระหว่าง 460,000 ถึง 482,000 ตัวเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ก่อนมีการริเริ่มควบคุมเครื่องในสัตว์ความเสี่ยงสูงในปี 2532 สาเหตุของโรคเกิดจาก พรีออน ซึ่งเป็น คือ โปรตีนขนาดเล็ก ไม่ละลายน้ำ ทนความร้อน พรีออนเป็นปรสิตต่อคนและสัตว.

ใหม่!!: สัตว์และโรควัวบ้า · ดูเพิ่มเติม »

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

รคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือ โรคส่งผ่านทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted disease; STD) หรือ กามโรค (Venereal disease; เรียกย่อว่า วีดี) เป็นความเจ็บป่วยซึ่งมีแนวโน้มติดต่อหรือส่งผ่านระหว่างมนุษย์หรือสัตว์โดยการสัมผัสทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางทวารหนัก ในปัจจุบันมีการใช้คำว่า การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted infection; STI) ซึ่งมีความหมายกว้างกว่าเดิมมากขึ้น เพราะผู้ป่วยอาจมีการติดเชื้อและมีความสามารถในการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้โดยไม่มีอาการแสดงของโรค การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อาจติดต่อได้จากการใช้เข็มฉีดยาเสพติดเข้าหลอดเลือดดำต่อจากผู้ป่วย รวมถึงผ่านการคลอดหรือการเลี้ยงลูกด้วยนมแม.

ใหม่!!: สัตว์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ · ดูเพิ่มเติม »

โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า อุตรดิตถ์

รงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า อุตรดิตถ์ (เดิมชื่อ โรงเรียนอุตรดิตถ์วิทยา) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ ประเภทสหวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 ตั้งอยู่ที่ ตำบลผาจุก อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ บนพื้นที่ราชพัสดุ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าอุตรดิตถ์ เป็นโรงเรียนในเครือข่ายเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า แห่งที่ 7 เดิมโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าอุตรดิตถ์ มีชื่อว่า โรงเรียนอุตรดิตถ์วิทยา (ก่อตั้ง พ.ศ. 2522) โดยคณะกรรมการบริหารโรงเรียน, คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า รวมทั้งคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 ได้เห็นชอบให้โรงเรียนอุตรดิตถ์วิทยา เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น "โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า อุตรดิตถ์" เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปัจจุบัน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้าอุตรดิตถ์ อยู่ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 กระทรวงศึกษาธิการ เปิดทำการสอนช่วงชั้นที่ 3 - 4 (ม.1 - 6) จำนวน 32 ห้องเรียน แผนการเรียน วิทย์-คณิต, ภาษาและสังคมศาสตร์, เทคโนโลยีอุตสาหกรรม, การจัดการธุรกิจและพานิชกรรม จำนวนนักเรียน 1,175 คน และครูอาจารย์ 66 คน.

ใหม่!!: สัตว์และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า อุตรดิตถ์ · ดูเพิ่มเติม »

โรติเฟอร์

รติเฟอร์ที่อยู่เป็นโคโลนี โรติเฟอร์ (Rotifer) เป็นชื่อสามัญของสัตว์ใน ไฟลัมโรติเฟอรา (Rotifera) ซึ่งเป็นกลุ่มของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีชื่อสามัญว่าโรติเฟอร์ ส่วนหัวมีขนเซลล์เรียงกันเป็นแผงเรียกว่าโคโรนา มีการพัดโบกของซิเลียดูคล้ายวงล้อหมุน สมมาตรครึ่งซีก มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้นในระยะเอ็มบริโอ มีระบบอวัยวะแบบสัตว์ชั้นสูง มีซีลอมไม่แท้ มีระบบทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ (Complete digestive tract) เป็นพวกแรก ลำตัวยาว โปร่งใส ถ้ามีสีจะมีสีสดใส มีตาเดี่ยวทำหน้าที่รับแสง ระบบสืบพันธุ์แยกเพศกัน ตัวผู้เล็กกว่าตัวเมียเสมอ บางชนิดมีสารเคลือบผิวหนา คล้ายเป็นเกราะ และมีหนามด้วย เรียกโครงสร้างนี้ว่า ลอริกา มีเท้าสำหรับยึดเกาะ บริเวณคอหอยมีอวัยวะคล้ายฟันเรียกว่า แมสแตกซ์ (Mastax) ตัวอย่างของสัตว์ในไฟลัมนี้ ได้แก่ไรหมุนหรือหนอนจักร มักอยู่กับพืชน้ำในน้ำจืด หรือมอสในน้ำเค็ม หากินอิสระ บางชนิดเป็นปรสิตบนเหงือกของสัตว์จำพวกกุ้ง-กั้ง-ปู โรติเฟอร์ที่มีเท้าจะเคลื่อนที่ไปตามพื้นท้องน้ำโดยใช้โคโรนาและเท้าคืบคลาน โรติเฟอร์ที่เป็นแพลงก์ตอนใช้โคโรนาเคลื่อนที่เพียงอย่างเดียว โคโรนาทำหน้าที่พัดอาหารเข้าปาก ใช้แมสแตกซ์บดเคี้ยว แล้วจึงส่งเข้าสู่กระเพาะอาหาร การผสมพันธุ์เป็นแบบปฏิสนธิภายใน เมื่อประชากรน้อย โรติเฟอร์จะสร้างไข่ที่เป็นดิพลอยด์ ซึ่งจะฟักเป็นตัวเมียทั้งหมด จนมีประชากรมากจึงจะสร้างไข่แบบแฮพลอยด์ ที่จะฟักเป็นตัวผู้และตัวเมีย ซึ่งเมื่อเป็นตัวเต็มวัยจึงจะผสมพันธุ์กัน ไข่ของโรติเฟอร์ที่เกิดจากการปฏิสนธิมีผนังหนา ทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ดี โรติเฟอร์บางชนิดอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่นบนมอสหรือทรายได้นาน 3-4 ปี โดยไม่มีการผสมพัน.

ใหม่!!: สัตว์และโรติเฟอร์ · ดูเพิ่มเติม »

โลมา

ลมา เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกหนึ่ง อาศัยอยู่ทั้งในทะเล, น้ำจืด มีรูปร่างคล้ายปลา คือ มีครีบ มีหาง แต่โลมามิใช่ปลา เพราะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีรก จัดอยู่ในอันดับวาฬและโลมา (Cetacea) ซึ่งประกอบไปด้วย วาฬและโลมา ซึ่งโลมาจะมีขนาดเล็กกว่าวาฬมาก และจัดอยู่ในกลุ่มวาฬมีฟัน (Odontoceti) เท่านั้น โลมา เป็นสัตว์ที่รับรู้กันเป็นอย่างดีว่าเฉลียวฉลาด มีความเป็นมิตรกับมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะช่วยชีวิตมนุษย์เมื่อยามเรือแตก จนกลายเป็นตำนานหรือเรื่องเล่าขานทั่วไป มีอุปนิสัยอยู่รวมกันเป็นฝูง บางฝูงอาจมีจำนวนมากถึงหลักพันถึงหลายพันตัว ว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว รวมถึงสามารถกระโดดหมุนตัวขึ้นเหนือน้ำได้ ชอบว่ายน้ำขนาบข้างหรือว่ายแข่งไปกับเรือวาฬและโลมา หน้า 37-42, "สัตว์สวยป่างาม" (ชมรมนิเวศวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล, สิงหาคม 2518).

ใหม่!!: สัตว์และโลมา · ดูเพิ่มเติม »

โลมามหาสมุทร

รีบหลังของโลมามหาสมุทร โลมามหาสมุทร หรือ โลมาทะเล (Oceanic dolphins, Marine dolphins) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวาฬและโลมา (Cetacea) ใช้ชื่อวงศ์ว่า Delphinidae โลมามหาสมุทร จัดเป็นวาฬมีฟัน (Odontoceti) เป็นโลมาวงศ์ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีที่สุดวาฬและโลมา หน้า 37-42, "สัตว์สวยป่างาม" (ชมรมนิเวศวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล, สิงหาคม 2518) มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับโลมาทั่วไป คือ มีขนาดลำตัวใหญ่แต่เพรียวยาวคล้ายตอร์ปิโดหรือทรงกระสวย มีครีบและหางใช้สำหรับว่ายน้ำ ครีบหางเป็นแผ่นแบนในแนวนอน ใช้สำหรับว่ายในแนวขึ้นลง ลักษณะเด่นของโลมามหาสมุทร คือ ครีบหลังมีลักษณะยาวและโค้งไปทางด้านหลังเหมือนคลื่น ส่วนจมูกโดยมากจะแหลมยาวเหมือนปากขวด แต่ก็มีบางสกุล บางชนิดที่กลมมนเหมือนบาตรพระหรือแตงโม ทุกชนิดเป็นสัตว์กินเนื้อที่ไล่ล่าสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร โดยเฉพาะปลาขนาดเล็ก ๆ เช่น ปลาซาร์ดีน, ปลากะตัก หรือปลาแฮร์ริ่ง แต่ก็มีบางชนิดที่มีขนาดใหญ่ สามารถล่าสัตว์อย่างอื่น เช่น นกเพนกวิน, นกทะเล, แมวน้ำ, สิงโตทะเล เป็นอาหารได้ มีฟันแหลมคมเรียงตามยาวในปาก ระหว่าง 100-200 ซี่ มีพฤติกรรมอยู่รวมเป็นฝูง บางฝูงอาจอยู่รวมกันได้หลายร้อยตัวและอาจถึงพันตัว กระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลเปิด, มหาสมุทรต่าง ๆ โดยเฉพาะในเขตร้อนและเขตอบอุ่น แต่ก็มีบางชนิดเช่นกันที่ปรับตัวให้อาศัยในน้ำกร่อยและน้ำจืดสนิทได้ เช่น ปากแม่น้ำ, ป่าชายเลน หรือแม้แต่ในทะเลสาบน้ำจืด หรือแม่น้ำสายใหญ่ เป็นสัตว์ที่ชาญฉลาด มีอุปนิสัยขี้เล่น ร่าเริง ชอบเล่นสนุก ด้วยการว่ายน้ำแข่งกัน กระโดดขึ้นเหนือน้ำ หรือว่ายแข่งกับไปเรือของมนุษย์ มีการติดต่อสื่อสารกันด้วยส่งคลื่นเสียงใต้น้ำด้วยระบบเอคโคโลเคชั่นหรือโซนาร์ ในความถี่ระหว่าง 80-200 เฮิรตซ์ โลมามหาสมุทร ขนาดเล็กที่สุด คือ โลมาฮาวี่ไซด์ มีความยาวเพียง 1.2 เมตร น้ำหนักเพียง 40 กิโลกรัม และขนาดที่ใหญ่ที่สุด คือ วาฬเพชฌฆาต ที่มีความยาวเกือบ 10 เมตร น้ำหนักกว่า 10 ตัน.

ใหม่!!: สัตว์และโลมามหาสมุทร · ดูเพิ่มเติม »

โลมาหลังโหนก

ลมาหลังโหนก หรือ โลมาขาวเทา หรือ โลมาเผือก หรือ โลมาสีชมพู (Chinese white dolphin, Pacific humpback dolphin, Indo-Pacific humpbacked dolphin;; 中華白海豚; พินอิน: Zhōnghuá bái hǎitún) เป็นโลมาชนิดหนึ่ง ในวงศ์โลมามหาสมุทร (Delphinidae) มีลักษณะทั่วไป คือ มีจะงอยปากยาวโค้งเล็กน้อยที่เด่นชัดคือส่วนของฐานครีบหลังจะเป็นสันนูนสูงรองรับครีบหลังสีลำตัวจะมีการผันแปรต่างกันมาก ตัวเล็กจะมีสีจางจนเหมือนเผือก แม้บางตัวก็มีสีออกขาว หรืออย่างน้อยขาวในบางส่วน หรือสีชมพู ซึ่งสีเหล่านี้ไม่ได้มาจากเม็ดสี แต่เป็นสีของหลอดเลือดที่ช่วยให้ไม่ให้อุณหภูมิร่างกายสูงจนเกินไป และมีส่วนหลังที่เป็นสันนูนเหมือนโหนก อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ ขนาดโตเต็มที่ ตัวผู้ยาวประมาณ 3.2 เมตร ขณะที่ตัวเมียยาว 2.5 เมตร และลูกแรกเกิดยาวประมาณ 1 เมตร มีอายุโดยเฉลี่ย 40 ปี โลมาหลังโหนกเมื่ออายุมากขึ้นสีชมพูตามตัวจะยิ่งเข้มขึ้น และส่วนด้านท้องและด้านล่างลำตัวจะเป็นจุด และมีสีที่สว่างกว่าลำตัวด้านบน กระจายพันธุ์ตามแถบชายฝั่งหรือแหล่งน้ำตื้นที่มีความลึกไม่เกิน 20 เมตร บริเวณอินโดแปซิฟิก พบมากที่สุด คือ อ่าวรีพัลส์ หรือเกาะลันเตา ที่ฮ่องกง ที่มีจำนวนประชากรในฝูงนับร้อย โดยมากชายฝั่งทะเลที่โลมาหลังโหนกอาศัยอยู่นั้นมักจะมีป่าชายเลนอยู่ด้วยเสมอ ๆ แต่จะต้องอยู่ในบริเวณน้ำตื้นเท่านั้น มีอุปนิสัยอาศัยประจำที่หรือมีการย้ายที่อพยพน้อยมากและอาศัยไม่ห่างจากชายฝั่งเกินระยะ 1 กิโลเมตร จึงพบเห็นตัวได้โดยง่าย โดยมักจะพบเห็นตั้งแต่ตอนเช้า จะอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ 10 ตัว ว่ายน้ำช้า ประมาณ 4.8 กิโลเมตร/ชั่วโมง และจะดำน้ำประมาณ 40-60 วินาที ก่อนจะโผล่ขึ้นมาหายใจ กินปลาทั้งตามชายฝั่งและในแนวปะการังเป็นอาหารหลัก รวมทั้งหมึก, กุ้ง, ปู ออกหาอาหารเป็นฝูง โดยใช้คลื่นเสียง เป็นโลมาอีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาฝึกกันตามสวนน้ำหรือสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ในประเทศไทยจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน.

ใหม่!!: สัตว์และโลมาหลังโหนก · ดูเพิ่มเติม »

โลมาหัวบาตรหลังเรียบ

ลมาหัวบาตรหลังเรียบ หรือ โลมาหัวบาตรไร้ครีบหลัง (Finless porpoise, 江猪, พินอิน: Jiāng zhū-หมูแม่น้ำ) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวาฬและโลมา (Cetacea) ขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์พอร์พอยส์ (Phocoenidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Neophocaena แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) เป็นสัตว์ที่สืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันแล้วประมาณ 20 ล้านปี มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับโลมาอิรวดี หรือ โลมาหัวบาตรมีครีบหลัง (Orcaella brevirostris) คือ มีส่วนหัวกลมหลิมเหมือนบาตรพระไม่มีจะงอยปาก แต่ส่วนหลังเรียบไม่มีครีบหลัง ครีบข้างค่อนข้างใหญ่ปลายแหลม และลักษณะฟันในปากจะเป็นตุ่ม ไม่แหลมคม อันเป็นลักษณะเฉพาะของโลมาในวงศ์พอร์พอย์ ซึ่งทั่วโลกพบอยู่ 6 ชนิด ในประเทศไทยพบเพียงชนิดนี้ชนิดเดียว มีขนาดโตเต็มที่ยาว 1.9 เมตร ลูกแรกเกิดยาว 70–80 เซนติเมตร ในน่านน้ำไทยสามารถได้ทุกจังหวัดที่ติดกับทะเล โดยพบมากที่สุดในฝั่งอ่าวไทย คือ ทะเลแถบจังหวัดตราด และจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 เหมือนกับวาฬและโลมาชนิดอื่น ๆ ในประเทศจีน โลมาหัวบาตรหลังเรียบ เป็นโลมาเพียง 1 ใน 2 ชนิด นอกจากโลมาแม่น้ำแยงซีเกียง (Lipotes vexillifer) หรือไป๋จี๋ ที่สามารถพบได้ในแม่น้ำแยงซีเกียง โดยมีชื่อเล่นจากชาวจีนว่า "หมูแม่น้ำ" หรือ"แพนด้าแม่น้ำ" เป็นสัตว์ที่อยู่ในฐานะหวั่นวิตกว่าจะสูญพันธุ์ เนื่องจากมลภาวะสภาพแวดล้อม จากการประเมินพบว่าปัจจุบันหลงเหลือเพียงพันกว่าตัวเท่านั้น ซึ่งทุกปีจะมีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็วถึงร้อยละ 5–10 ต่อปี.

ใหม่!!: สัตว์และโลมาหัวบาตรหลังเรียบ · ดูเพิ่มเติม »

โลมาอิรวดี

ำหรับโลมาน้ำจืดจำพวกอื่น ดูที่: โลมาแม่น้ำ โลมาอิรวดี หรือ โลมาหัวบาตรมีครีบหลัง (Irrawaddy dolphin, Ayeyarwaddy dolphin) เป็นโลมาชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์โลมามหาสมุทร (Delphinidae) รูปร่างหน้าตาคล้ายโลมาทั่วไป แต่มีลักษณะเด่นคือ หัวที่มนกลมคล้ายบาตรพระ ลำตัวสีเทาเข้ม แต่บางตัวอาจมีสีอ่อนกว่า ตามีขนาดเล็ก ปากอยู่ด้านล่าง ครีบข้างลำตัวแผ่กว้างเป็นรูปสามเหลี่ยม ครีบบนมีขนาดเล็กมาก มีรูปทรงแบนและบางคล้ายเคียว มีขนาดประมาณ 180-275 เซนติเมตร น้ำหนักไม่มีรายงาน มีการกระจายอย่างกว้างขวางในมหาสมุทรแปซิฟิก, มหาสมุทรอินเดีย, อ่าวไทย มักพบเข้ามาอยู่ในแหล่งน้ำกร่อยและทะเลสาบหรือน้ำจืด เช่น บริเวณปากแม่น้ำ โลมาอิรวดีบางกลุ่มอาจเข้ามาอาศัยอยู่ในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ด้วย เช่น แม่น้ำโขง และทะเลสาบเขมร ในปี พ.ศ. 2459 มีรายงานว่าพบอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา และเคยมีผู้จับได้ที่คลองรังสิต ในเขตปริมณฑลของกรุงเทพมหานคร ถูกค้นพบครั้งแรกที่แม่น้ำอิรวดีในประเทศพม่า จึงเป็นที่มาของชื่อ ปัจจุบันในน้ำจืด สามารถพบได้ 5 แห่ง คือ ทะเลสาบชิลิก้า ประเทศอินเดีย, แม่น้ำโขง, ทะเลสาบสงขลา, แม่น้ำมหาคาม ประเทศอินโดนีเซีย และปากแม่น้ำบางปะกง โดยสถานที่ ๆ พบได้น้อยที่สุดและถือเป็นแหล่งวิกฤตที่สุด คือ ทะเลสาบสงขลา ในส่วนที่เป็นน้ำจืดหรือน้ำกร่อย หรือที่เรียกว่า ทะเลน้อย มีพฤติกรรมพบได้บริเวณที่มีน้ำขุ่น สามารถอยู่ใต้ผิวน้ำได้นานถึง 70-150 วินาที แล้วจะโผล่ขึ้นมาหายใจสลับกัน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้งท้องนาน 9 เดือน ลูกที่เกิดมามีขนาด 40 % ของตัวโตเต็มวัย อาหารได้แก่ กุ้ง ปลา และหอยที่อยู่บนผิวน้ำและใต้โคลนตม สถานภาพจัดอยู่ในบัญชีประเภทที่ 1 ของไซเตส (Appendix I) คือ ห้ามซื้อขาย ยกเว้นมีไว้ในการศึกษาและขยายพันธุ์ โลมาอิรวดีมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น "โลมาหัวบาตรมีครีบหลัง", "โลมาน้ำจืด", "โลมาหัวหมอน" ในภาษาใต้ และ "ปลาข่า" (ປາຂ່າ) ในภาษาลาว เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และโลมาอิรวดี · ดูเพิ่มเติม »

โลมาฮาวี่ไซด์

ลมาฮาวี่ไซด์ (Haviside's dolphin) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลชนิดหนึ่ง จำพวกโลมา จัดเป็นวาฬมีฟันชนิดหนึ่ง ในวงศ์โลมามหาสมุทร (Delphinidae) โลมาฮาวี่ไซด์ จัดเป็นโลมาขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 180 เซนติเมตร น้ำหนัก 75 กิโลกรัม อายุขัยโดยเฉลี่ย 20 ปี ตั้งชื่อตามชื่อของกัปตันฮาวี่ไซด์ ซึ่งนำตัวโลมาชนิดนี้จากนามิเบียไปยังสหราชอาณาจักรเมื่อต้นศตวรรษที่ 19 เพื่อทำการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ แต่ชื่อนี้ได้ถูกสะกดผิดเป็น "เฮฟวี่ไซด์" (Heaviside) แต่ชื่อฮาวี่ไซด์ก็ยังนิยมใช้อยู่ทั่วไป ขนาดเมื่อเทียบกับมนุษย์ โลมาฮาวี่ไซด์ พบได้เฉพาะชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของนามิเบียและแอฟริกาใต้เท่านั้น พบได้ง่ายที่อ่าววัลฟิส ของนามิเบี.

ใหม่!!: สัตว์และโลมาฮาวี่ไซด์ · ดูเพิ่มเติม »

โลมาครีบทู่

ลมาครีบทู่ (Snubfin Dolphin) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล จำพวกโลมา ใช้ชื่อสกุลว่า Orcaella จัดอยู่ในวงศ์โลมามหาสมุทร (Delphinidae) จากการศึกษาด้านดีเอ็นเอและวิเคราะห์โมเลกุลพบว่า โลมาครีบทู่มีสายสัมพันธ์และเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมกับวาฬเพชฌฆาต หรือวาฬออร์กา ซึ่งจัดว่าเป็นโลมาชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งทั้ง 2 สกุลนี้ อาจจัดได้ว่าอยู่ในวงศ์ย่อย Orcininae.

ใหม่!!: สัตว์และโลมาครีบทู่ · ดูเพิ่มเติม »

โลมาปากขวด

ลมาปากขวด หรือ โลมาหัวขวด (Bottlenose dolphin) เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Tursiops (/ทูร์-ไซ-ออฟส์/) จัดอยู่ในวงศ์โลมามหาสมุทร (Delphinidae) มีลำตัวสีน้ำเงินเข้มอมเทา สีจางหรือบางครั้งอมชมพูด้านท้อง จะงอยปากค่อนข้างสั้นใหญ่ครีบหลังขนาดค่อนข้างใหญ่ เป็นรูปโค้งอยู่กึ่งกลางหลัง รูปร่างค่อนข้างอ้วน ไม่มีลายหรือจุดประแต่ประการใด ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวประมาณ 2.3-3.1 เมตร มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ในบางฝูงอาจพบได้ถึงหลายร้อยตัวจนถึงหลักพัน และชอบว่ายน้ำแข่งกับเรือขณะที่เรือเดินอยู่ในทะเลได้หลายไมล์ และมีความเร็วในการว่ายน้ำประมาณ 40.5 กิโลเมตร/ชั่วโมง โลมาปากขวด เป็นโลมาที่ฉลาด มีความแสนรู้ ขี้เล่น เป็นมิตรกับมนุษย์ จึงนิยมเลี้ยงไว้แสดงตามสวนสัตว์และสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำทั่วไป พบกระจายพันธุ์ตามทะเลเปิดและมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่นรวมถึงเขตหนาวทั่วโลก แต่เดิมถูกแบ่งไว้เพียงชนิดเดียว คือ โลมาปากขวดธรรมดา (T. truncatus) แต่ต่อมาในปี..

ใหม่!!: สัตว์และโลมาปากขวด · ดูเพิ่มเติม »

โลมาปากขวดอินโดแปซิฟิก

ลมาปากขวดอินโดแปซิฟิก หรือ โลมาปากขวดมหาสมุทรอินเดีย (Indo-Pacific bottlenose dolphin, Indian ocean bottlenose dolphin) เป็นโลมาชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายคลึงกับโลมาปากขวดธรรมดา (T. truncatus) คือ มีผิวหนังสีน้ำเงินเข้มอมเทา สีจางหรือบางครั้งอมชมพูด้านท้อง จะงอยปากค่อนข้างสั้นใหญ่ครีบหลังขนาดค่อนข้างใหญ่ เป็นรูปโค้งอยู่กึ่งกลางหลัง รูปร่างค่อนข้างอ้วน สิ่งที่แตกต่างจากโลมาปากขวด คือ มีจุดสีเทาเข้มเป็นประอยู่ด้านข้างและด้านท้องลำตัว และมีขนาดเล็กกว่า คือ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 1.9-2.3 เมตร เดิมเคยถูกจัดให้เป็นชนิดเดียวกันกับโลมาปากขวดธรรมดา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1998 จึงได้รับการยอมรับให้แยกออกมาเป็นชนิดต่างหาก พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในเขตอินโดแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย เช่น ทะเลแดง, ออสเตรเลียตอนเหนือ, ทะเลจีนใต้, ชายฝั่งแอฟริกา ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน แต่ปัจจุบันพบได้น้อยลง และถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และโลมาปากขวดอินโดแปซิฟิก · ดูเพิ่มเติม »

โลมาปากขวดธรรมดา

ลมาปากขวดธรรมดา หรือ โลมาหัวขวดธรรรมดา (Bottlenose dolphin, Common bottlenose dolphin) เป็นโลมาชนิดหนึ่ง ที่เป็นรู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นโลมาจำพวกโลมาปากขวด มีลำตัวสีน้ำเงินเข้มอมเทา สีจางหรือบางครั้งอมชมพูด้านท้อง จะงอยปากค่อนข้างสั้นใหญ่ครีบหลังขนาดค่อนข้างใหญ่ เป็นรูปโค้งอยู่กึ่งกลางหลัง รูปร่างค่อนข้างอ้วน ไม่มีลายหรือจุดประแต่ประการใด ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวประมาณ 2.3-3.1 เมตร มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ในบางฝูงอาจพบได้ถึงหลายร้อยตัวจนถึงหลักพัน และชอบว่ายน้ำแข่งกับเรือขณะที่เรือเดินอยู่ในทะเลได้หลายไมล์ และมีความเร็วในการว่ายน้ำประมาณ 40.5 กิโลเมตร/ชั่วโมง โลมาปากขวดธรรมดา เป็นโลมาที่ฉลาด มีความแสนรู้ ขี้เล่น เป็นมิตรกับมนุษย์ จึงนิยมเลี้ยงไว้แสดงตามสวนสัตว์และสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำทั่วไป พบกระจายพันธุ์ตามทะเลเปิดและมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก (แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดย่อย ดูรายชื่อในตาราง) สำหรับในประเทศไทย ไม่จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง เนื่องจากโลมาปากขวดที่พบในประเทศไทย มิใช่โลมาปากขวดชนิดนี้ หากแต่เป็นโลมาปากขวดอินโดแปซิฟิก (T. aduncus) ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ครั้งหนึ่ง กองทัพเรือสหรัฐและอีกหลายกองทัพเรือของชาติมหาอำนาจ เคยฝึกให้โลมาปากขวดปฏิบัติการในการสงคราม ด้วยการผูกติดระเบิดไว้กับตัว แล้วว่ายไปชนกับเรือข้าศึกแบบพลีชีพเหมือนกามิกาเซ่ แต่มีปัญหาอยู่ว่าจะสอนให้แยกแยะได้อย่างไรว่า เรือลำไหนคือเรือข้าศึก เรือลำไหนคือเรือที่เป็นมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องมองเรือจากใต้น้ำที่เหมือนกันหม.

ใหม่!!: สัตว์และโลมาปากขวดธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

โลมาแม่น้ำ

ำหรับโลมาน้ำจืดชนิดอื่น ดูที่: โลมาน้ำจืด โลมาแม่น้ำ หรือ โลมาน้ำจืด (River dolphin, Freshwater dolphin) เป็นวงศ์ใหญ่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลุ่มหนึ่ง ในอันดับวาฬและโลมา (Cetacea) ในกลุ่มโลมา ใช้ชื่อวงศ์ใหญ่ว่า Platanistoidea ซึ่งแยกออกเป็นวงศ์ต่าง ๆ ได้อีก นับเป็นสัตว์เพียงจำพวกเดียวในอันดับวาฬและโลมานี้เท่านั้นที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดได้อย่างแท้จริง โลมาแม่น้ำ มีลักษณะส่วนใหญ่เหมือนกับโลมาทั่วไป หรือโลมาทะเล มีความยาวเต็มที่ประมาณ 2.4 เมตร (8 ฟุต) มีสีลำตัวหลากหลายตั้งแต่ ชมพู, ขาว, เหลือง, น้ำตาล และดำ Rice, D. W. (1998).

ใหม่!!: สัตว์และโลมาแม่น้ำ · ดูเพิ่มเติม »

โลมาแม่น้ำอาราไกวยา

ลมาแม่น้ำอาราไกวยา (Araguaian river dolphin; boto do Araguaia) เป็นสัตว์ในวงศ์โลมาแม่น้ำ (Iniidae) ในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งมีการประกาศการจำแนกเป็นสปีชีส์ใหม่แยกจากโลมาแม่น้ำแอมะซอน (Inia geoffrensis) ในปี 2557.

ใหม่!!: สัตว์และโลมาแม่น้ำอาราไกวยา · ดูเพิ่มเติม »

โลมาแม่น้ำจีน

ลมาแม่น้ำจีน หรือ โลมาแม่น้ำแยงซี หรือ โลมาครีบขาว (Chinese river dolphin, Yangtze river dolphin, White-flag dolphin; หรือ "ไป๋จี" 白鱀豚) เป็นโลมาน้ำจืด อาศัยอยู่ในแม่น้ำแยงซีตอนกลางและตอนล่างของประเทศจีน รวมทั้งแม่น้ำเชียนถังที่อยู่ใกล้เคียง จัดเป็นโลมาเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในสกุล Lipotes และวงศ์ Lipotidae (แต่บางข้อมูลจัดให้อยู่ในวงศ์ Iniidae).

ใหม่!!: สัตว์และโลมาแม่น้ำจีน · ดูเพิ่มเติม »

โลมาแม่น้ำแอมะซอน

ลมาแม่น้ำอะเมซอน หรือ โลมาสีชมพู (Amazon river dolphin, Pink dolphin; โปรตุเกส: Boto, Boutu;; ออกเสียง: /อิ-เนีย-จี-โอฟ-เฟรน-สิส/) เป็นโลมาแม่น้ำชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงชนิดเดียวในสกุล Inia และวงศ์ Iniidae โลมาแม่น้ำแอมะซอน จัดเป็นโลมาแม่น้ำ หรือโลมาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดแท้ ๆ โดยที่ไม่พบในทะเล มีความยาวประมาณ 1.53-2.4 เมตร (5.0-7.9 ฟุต) ขึ้นอยู่กับชนิดย่อย ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ โดยตัวที่ใหญ่ที่สุด เป็นตัวเมียที่มีความยาวถึง 2.5 เมตร (8.2 ฟุต) และน้ำหนักตัว 98.5 กิโลกรัม (217 ปอนด์) ขณะที่ตัวผู้ที่ใหญ่ที่สุด ยาว 2.0 เมตร (6.6 ฟุต) และน้ำหนักตัว 94 กิโลกรัม (210 ปอนด์) นอกจากนี้แล้วกระดูกสันหลังบริเวณคอมีความยืดหยุ่นจึงสามารถทำให้หันหัวได้ 180 องศา ซึ่งความยืดหยุ่นตรงนี้เองที่ทำให้เป็นสิ่งสำคัญในการว่ายน้ำผ่านต้นไม้ต่าง ๆ และวัสดุกีดขวางต่าง ๆ ในป่าน้ำท่วม นอกจากนี้ยังมีจะงอยปากยาวซึ่งฟันมี 24 ถึง 34 คู่ ฟันเป็นรูปทรงกรวยและมีฟันกรามด้านในของขากรรไกร มีผิวหนังสีขาวอมชมพูเรื่อ ๆ ตามีขนาดเล็ก โลมาแม่น้ำแอมะซอน กระจายพันธุ์ในแม่น้ำสายใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้ เช่น แม่น้ำแอมะซอน, แม่น้ำโอริโนโก, แม่น้ำลาพลาตา, แม่น้ำปารานา, แม่น้ำโทคันตินส์ เป็นต้น จึงแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดย่อย คือ.

ใหม่!!: สัตว์และโลมาแม่น้ำแอมะซอน · ดูเพิ่มเติม »

โลมาแม่น้ำโบลิเวีย

ลมาแม่น้ำโบลิเวีย (Bolivian river dolphin;; การออกเสียง: /อิน-เนีย-จี-โอฟ-เฟรน-สิส-โบ-ลิ-เวียน-ซิส/) เป็นโลมาแม่น้ำชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์โลมาแม่น้ำอเมซอน (Iniidae) โลมาแม่น้ำโบลิเวีย เป็นชนิดย่อยของโลมาแม่น้ำอเมซอน หรือโลมาสีชมพู (I. geoffrensis) มีลักษณะทั่วไปเหมือนกัน คือ มีสีผิวขาวอมชมพู จะงอยปากเรียวยาว มีฟันแหลมคมอยู่ในปาก แต่มีความแตกต่างกันที่ โลมาแม่น้ำโบลิเวียจะพบได้เฉพาะในแม่น้ำสายใหญ่ในประเทศโบลิเวีย มีจำนวนฟันที่มากกว่า มีส่วนหัวเล็กกว่า และลำตัวมีความกลมกว้างมากกว่า ในปี ค.ศ. 2012 สมาคมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยทะเลได้ยอมรับให้เป็นชนิดใหม่ต่างหากโดยเริ่มศึกษามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 อย่างไรก็ตามโลมาชนิดนี้มักไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ ในเดือนกันยายน ปีเดียวกัน ประธานาธิบดีเอโบ โมราเลส แห่งโบลิเวีย ได้ออกกฎหมายคุ้มครองโลมาแม่น้ำโบลิเวียให้เป็นสมบัติของชาต.

ใหม่!!: สัตว์และโลมาแม่น้ำโบลิเวีย · ดูเพิ่มเติม »

โอพอสซัม

อพอสซัม (opossum) หรือเรียกโดยทั่วไปว่า พอสซัม (possum) มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์คือ อันดับโอพอสซัม (Didelphimorphia; อ่านว่า ไดเดลฟิมอร์เฟีย) เป็นอันดับของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคล้ายหนู แต่มีถุงหน้าท้องเหมือนจิงโจ้ ในซีกโลกตะวันตก อันดับนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องทั้งหลาย ซึ่งประกอบด้วย 109 สปีชีส์หรือมากกว่าใน 19 สกุล โอพอสซัมเป็นหนึ่งในสัตว์ทดลองทางการแพทย์ที่มักใช้ศึกษาหาสาเหตุการเกิดโรคในคน เช่น โรคมะเร็ง ความผิดปกติของระบบประสาท ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์สามารถถอดรหัสดีเอ็นเอของโอพอสซัมได้ทั้งหมด ถือเป็นครั้งแรกของการถอดรหัสพันธุกรรมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดที่มีกระเป๋าหน้าท้องเช่นเดียวกับจิงโจ้และโคอาล่าได้.

ใหม่!!: สัตว์และโอพอสซัม · ดูเพิ่มเติม »

โอพิสโธคอนตา

อพิสโธคอนตา (Opisthokonta) หรือ โอพิสโธคอนส์ เป็นกลุ่มขนาดใหญ่ของยูแคริโอต ประกอบไปด้วยทั้งอาณาจักรสัตว์และเห็ดรา และรวมกันกับจุลินทรีย์ยูแคริโอตขนาดเล็ก ซึ่งบางครั้งถูกจัดให้อยู่ในไฟลัมโคอาโนซัว (ถูกจัดอยู่ในอาณาจักรโพรทิสตา ตามอัตภาพ) กลุ่มโอพิสโธคอนตานี้ (บางครั้งถูกเรียกว่า "กลุ่มฟังไจ/เมตาซัว") ถูกยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียว.

ใหม่!!: สัตว์และโอพิสโธคอนตา · ดูเพิ่มเติม »

โอลิงกีโต

อลิงกีโต (olinguito; คำแปล: โอลิงโกน้อย) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กในอันดับสัตว์กินเนื้อชนิดหนึ่ง ในวงศ์แร็กคูน (Procyonidae) โอลิงกีโตถือเป็นสัตว์ในวงศ์แร็กคูนที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็นสัตว์จำพวกโอลิงโกและคิงคาจู โดยมีน้ำหนักเฉลี่ย 2.5 ปอนด์ (1.1 กิโลกรัม) เป็นสัตว์กินเนื้อหากินในเวลากลางคืน และก็สามารถกินผลไม้ได้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะมะเดื่อฝรั่ง มีรูปร่างลักษณะและขนาดคล้ายแมวผสมกับตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ โอลิงกีโตเป็นสัตว์ที่เพิ่งค้นพบใหม่ของโลก ได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 2013 โดยถูกเข้าใจว่าว่าเป็นโอลิงโกมาตลอด จนกระทั่งคริสโตเฟอร์ เฮลเกน ภัณฑารักษ์แห่งสถาบันสมิธโซเนียนเล็งเห็นความแตกต่างกันของโครงสร้างกระดูกและหัวกะโหลกและได้ทำการศึกษาในปี ค.ศ. 2006 จนกระทั่งแน่ชัดว่าเป็นสัตว์ชนิดใหม่ โอลิงกีโตเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามป่าเมฆในที่สูง ในบริเวณเทือกเขาของทวีปอเมริกาใต้ เช่น ตอนกลางของโคลอมเบีย และตะวันตกของเอกวาดอร์ แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) การที่ค้นพบโอลิงกีโตถือเป็นการค้นพบสัตว์กินเนื้่อที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดแรกของทวีปอเมริกาในรอบ 35 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และโอลิงกีโต · ดูเพิ่มเติม »

โอลิโกคีทา

โอลิโกคีทา (Oligochaeta) เป็นชั้นหนึ่งในไฟลัมแอนเนลิดา เช่นไส้เดือน ไส้เดือนทะเล หมวดหมู่:แอนเนลิดา.

ใหม่!!: สัตว์และโอลิโกคีทา · ดูเพิ่มเติม »

โอล์ม

อล์ม (Olm, Human fish) เป็นซาลาแมนเดอร์ชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์หมาน้ำ (Proteidae) จัดเป็นซาลาแมนเดอร์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Proteus (เคยมีอีกชนิดหนึ่ง คือ P. bavaricus สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ยุคไพลสโตซีน) โอล์ม เป็นซาลาแมนเดอร์รูปร่างประหลาดกว่าซาลาแมนเดอร์ชนิดอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัดเจน กล่าว คือ มีรูปร่างเพรียวยาวเหมือนปลาไหลหรืองู มากกว่าจะเป็นซาลาแมนเดอร์ ยาวประมาณ 40 เซนติเมตร ผิวหนังขาวซีด ไม่มีเม็ดสี รวมทั้งไม่มีตา เนื่องจากใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำที่มีแต่ความมืด ไม่มีแสงสว่างส่องเข้ามาถึง จึงหายไปเนื่องจากไม่ได้ใช้ประโยชน์ ขาเล็กสั้น นิ้วตีนหน้ามี 3 นิ้ว และตีนหลัง 2 นิ้ว ซึ่งเป็นการลดรูปของอวัยวะที่ไม่ได้ใช้งาน มีส่วนปากยื่นยาวและแผ่กว้าง ซึ่งเป็นประสาทสัมผัส โอล์ม กระจายพันธุ์เฉพาะในน้ำที่มีอุณหภูมิประมาณ 8 องศาเซลเซียส ในถ้ำลึกของทวีปยุโรป แถบยุโรปกลาง และยุโรปตะวันตกเฉียงใต้ เช่น สโลเวเนีย, โครเอเชีย เช่น ถ้ำโพสทอยน่าในสโลเวเนีย โดยหลบซ่อนอยู่ตามหลืบหินหรือซอกต่าง ๆ ใต้น้ำ เมื่อแรกเจอ โอล์มถูกเชื่อว่าเป็นลูกของมังกร ซึ่งพ่อแม่ของมังกรหลบอยู่ในส่วนลึกของถ้ำเข้าไปอีก นอกจากนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า "ปลามนุษย์" จากการที่มีผิวขาวเหมือนชาวผิวขาว ซึ่งมาจากภาษาสโลเวเนีย คำว่า človeška ribica และภาษาโครเอเชีย คำว่า čovječja ribica โอล์ม มีความไวต่อแสงมาก แม้จะไม่มีตา แต่ก็มีประสาทสัมผัสที่ดีมาก ตลอดจนมีประสาทรับรู้รสในปาก เมื่อโตเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังคงรูปร่างเมื่อยังเป็นตัวอ่อนอยู่ คือ ไม่มีเปลือกตา มีเหงือกขนาดใหญ่เห็นเป็นพู่เหงือก และมีช่องเปิดเหงือก 2 ช่อง มีแผ่นครีบหาง มีการขยายพันธุ์ด้วยการปฏิสนธิในตัว ตัวเมียวางไข่จำนวน 50-70 ฟอง นอกจากนี้แล้ว ในปี ค.ศ. 1986 ได้มีการค้นพบโอล์มดำ (P. a. parkelj) ซึ่งเป็นชนิดย่อยของโอล์ม มีส่วนปากสั้นกว่าโอล์ม แต่มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างเห็นชัดเจน คือ มีตาขนาดเล็กเห็นชัดเจน และสีผิวที่คล้ำกว่า รวมทั้งมีความกระฉับกระเฉงว่องไวกว่า มีความยาว 40 เซนติเมตรเท่ากัน โอล์มดำ เป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นที่พบได้ในลำธารใต้ดินใกล้กับเมือง คอร์โนเมลจ์ ในสโลเวเนียเท่านั้น การขยายพันธุ์ของโอล์มดำนั้น ยังไม่เป็นที่ทราบกันโดยแน่ชัดThe Human Fish, "Nick Baker's Weird Creatures".

ใหม่!!: สัตว์และโอล์ม · ดูเพิ่มเติม »

โอวิแรปเตอร์

โอวิแรปเตอร์(Oviraptor)มีหงอนเป็นเอกลักษณ์ ยาว 2 เมตร ส่วนสูงประมาณหัวเข่าของผู้ใหญ่ที่โตเต็มไวแล้ว พบที่มองโกเลีย มีการค้นพบฟอสซิลของมันอยู่กับลูกในรังของมัน ในท่ากกไข่ หลายชุด เป็นหลักฐานที่ระบุว่ามันเป็นไดโนเสาร์ที่เลี้ยงลูกของมันอย่างดี ฟอสซิลในท่ากกไข่ของโอวิแรปเตอร์ ตัวนั้นอาจตายตอนมีพายุทรายพัดมา พบในชั้นหินของยุคครีเทเซียส ช่วงเวลา 90-85 ล้านปี หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส.

ใหม่!!: สัตว์และโอวิแรปเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

โอคาพี

อคาพี (okapi; ชื่อวิทยาศาสตร์: Okapia johnstoni) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับสัตว์กีบคู่ ในวงศ์ Giraffidae เช่นเดียวกับยีราฟ เป็นสัตว์พื้นเมืองของเขตป่าฝนอีตูรี ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ในแอฟริกากลาง แม้ว่าโอคาพีจะมีลายแถบและรูปร่างที่คล้ายกับม้าลาย แต่ที่จริงแล้วมีสายสัมพันธ์กับยีราฟ อันเป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เดียวกัน และถือว่าเป็นสัตว์เพียง 1 ใน 2 ชนิดเท่านั้นในวงศ์นี้ ที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันนี้ จึงถือว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตอยู่อีกชนิดหนึ่ง โอคาพีมีความสูงเพียงประมาณ 1.5-2 เมตร บริเวณขาทั้ง 4 ข้างและบั้นท้ายจะมีแถบดำคล้ายกับม้าลาย ส่วนบริเวณคอนั้นจะเห็นเป็นแถบไม่ชัดนัก อีกทั้งยังมีนัยน์ตาคล้ายคลึงกับกวางหรือแอนทีโลป โอคาพีตัวผู้นั้นจะมีเขา 2 เขา โดยหากมองจากด้านข้างแล้วจะทำให้ดูราวกับว่ามีเพียงเขาเดียว ซึ่งในอดีตมีผู้เคยเข้าใจว่าโอคาพี คือ ยูนิคอร์น สัตว์ในเทพปกรณัมกรีกด้วยซ้ำ แถบดำบนตัวของโอคาพีนั้น นอกจากจะเป็นสิ่งที่ช่วยพรางตัวในธรรมชาติแล้ว ยังเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้โอคาพีวัยอ่อนสามารถที่จะสังเกตเห็นแม่ของตัวเองได้ง่ายขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เป็นป่าฝนที่หนาทึบ เพราะถึงแม้โอคาพีเป็นสัตว์ที่รักสันโดษ มักใช้ชีวิตตามลำพัง แต่โอคาพีตัวเมียจะดูแลและไปไหนมาไหนกับลูกของตัวเองเสมอ โดยปกติแล้ว โอคาพีมีลำตัวสีน้ำตาลแดง มีความยาวประมาณ 2-2.5 เมตรและสูงประมาณ 1.5-2 เมตร ส่วนหางจะยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร เมื่อโตเต็มวัย โอคาพีจะมีน้ำหนักอยู่ในราว 200-250 กิโลกรัม และถึงแม้ว่าลำตัวของโอคาพีจะคล้ายคลึงกับยีราฟ แต่ลำคอก็มิได้ยืดยาวเหมือนยีราฟแต่อย่างใด โอคาพีเป็นที่รู้จักครั้งแรกของโลกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จากการค้นพบของเซอร์แฮร์รี จอห์นสตัน ผู้สำเร็จราชการแห่งจักรวรรดิอังกฤษ ที่พบเห็นชาวปิกมีนุ่งห่มหนังของโอคาพี ในครั้งแรกเซอร์จอห์นสตันเข้าใจว่าเป็นหนังของม้าลายหน้า 71-72, สัตว์สวยป่างาม โดย ชมรมนิเวศวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล (สิงหาคม, 2518) ปัจจุบัน มีโอคาพีอยู่ในป่าที่ประมาณ 10,000–20,000 ตัวใน..

ใหม่!!: สัตว์และโอคาพี · ดูเพิ่มเติม »

โฮโม

ม เป็นสกุล ซึ่งนับรวมเอามนุษย์สมัยใหม่ทางกายวิภาคและสปีชีส์ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด สกุลนี้ประเมินว่ามีอายุระหว่าง 2.3 ถึง 2.4 ล้านปี Also ISBN 0-521-46786-1 (paperback) วิวัฒนามาจากบรรพบุรุษออสตราโลพิเธคัสโดยมีลักษณะภายนอกของ Homo habilis ลักษณะเฉพาะของชนิด H. habilis สันนิษฐานว่าจะเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงของ Australopithecus garhi ซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อราว 2.5 ล้านปีก่อน พัฒนาการทางสรีรวิทยาที่สำคัญที่สุดระหว่างสองสปีชีส์นี้คือการเพิ่มขึ้นของความจุกะโหลก จาก 450 ซีซีใน A. garhi เป็น 600 ซีซีใน H. habilis ในสกุล โฮโม ความจุกะโหลกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก H. habilis เป็น H. heidelbergensis เมื่อ 0.6 ล้านปีก่อน ความจุกะโหลกของ H. heidelbergensis คาบเกี่ยวกันกับพิสัยความจุกะโหลกที่พบในมนุษย์สมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม..

ใหม่!!: สัตว์และโฮโม · ดูเพิ่มเติม »

โทรูลีน

ทรูลีน (torulene) หรือ 3',4'-ไดดีไฮโดร-บีตา,แกมมา-แคโรทีน (3',4'-didehydro-β,γ-carotene) เป็นสารกลุ่มแคโรทีน (สารแคโรทีนอยด์ที่ประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอน) มีสูตรเคมีคือ C40H54 สังเคราะห์ได้จากการถ่ายทอดยีนในแนวราบของเพลี้ยอ่อนถั่ว (Acyrthosiphon pisum) โทรูลีนเป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดเดียวที่สังเคราะห์ได้จากสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรสัตว.

ใหม่!!: สัตว์และโทรูลีน · ดูเพิ่มเติม »

โขน

น เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยที่มีความสง่างาม อลังการและอ่อนช้อย การแสดงประเภทหนึ่งที่ใช้ท่ารำตามแบบละครใน แตกต่างเพียงท่ารำที่มีการเพิ่มตัวแสดง เปลี่ยนทำนองเพลงที่ใช้ในการดำเนินเรื่องไม่ให้เหมือนกับละคร แสดงเป็นเรื่องราวโดยลำดับก่อนหลังเหมือนละครทุกประการ ซึ่งไม่เรียกการแสดงเหล่านี้ว่าละครแต่เรียกว่าโขนแทน มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จากหลักฐานจดหมายเหตุลาลูแบร์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีการกล่าวถึงการแสดงโขนว่า เป็นการเต้นออกท่าทาง ประกอบกับเสียงซอและเครื่องดนตรีประเภทต่าง ๆ ผู้แสดงจะสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าตนเองและถืออาวุธว่าด้วยการแสดงและการละเล่นอย่างอื่นของชาวสยาม, มหรสพสามอย่างของชาวสยาม,จดหมายเหตุ ลา ลู แบร์ ราชอาณาจักรสยาม, เขียนโดย: มองซิเอร์ เดอ ลาลูแบร์, แปลโดย: สันต์ ท. โกมลบุตร, สำนักพิมพ์ศรีปัญญา, 2548, หน้า 157 โขนเป็นจุดศูนย์รวมของศาสตร์และศิลป์หลากหลายแขนงเช่น วรรณกรรม วรรณศิลป์ นาฏศิลป์ คีตศิลป์ หัตถศิลป์คำนำการแสดงโขนชุดนางลอย, สูจิบัตรการแสดงโขนชุด นางลอย, มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, ระหว่างวันที่ 19 -20 และ 22 -24 พฤศจิกายน 2553, หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยนำเอาวิธีเล่นและการแต่งตัวบางชนิดมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ มีท่าทางการต่อสู้ที่โลดโผน ท่ารำ ท่าเต้นเช่น ท่าปฐมในการไหว้ครูของกระบี่กระบอง รวมทั้งการนำศิลปะการพากย์ การเจรจา หน้าพาทย์และเพลงดนตรีเข้ามาประกอบการแสดง ในการแสดงโขน ลักษณะสำคัญอยู่ที่ผู้แสดงต้องสวมหัวโขน ซึ่งเป็นเครื่องสวมครอบหุ้มตั้งแต่ศีรษะถึงคอ เจาะรูสองรูบริเวณดวงตาให้สามารถมองเห็น แสดงอารมณ์ผ่านทางการร่ายรำ สร้างตามลักษณะของตัวละครนั้น ๆ เช่น ตัวยักษ์ ตัวลิง ตัวเทวดา ฯลฯ ตกแต่งด้วยสี ลงรักปิดทอง ประดับกระจก บ้างก็เรียกว่าหน้าโขน ในสมัยโบราณ ตัวพระและตัวเทวดาต่างสวมหัวโขนในการแสดง ต่อมาภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงไม่ต้องสวมหัวโขน คงใช้ใบหน้าจริงเช่นเดียวกับละคร แต่งกายแบบเดียวกับละครใน เครื่องแต่งกายของตัวพระและตัวยักษ์ในสมัยโบราณมักมีสองสีคือ สีหนึ่งเป็นสีเสื้อ อีกสีหนึ่งเป็นสีแขนโดยสมมุติแทนเกราะ เป็นลายหนุนประเภทลายพุ่ม หรือลายกระจังตาอ้อย ส่วนเครื่องแต่งกายตัวลิงจะเป็นลายวงทักษิณาวรรต โดยสมมุติเป็นขนของลิงหรือหมี ดำเนินเรื่องด้วยการกล่าวคำนำเล่าเรื่องเป็นทำนองเรียกว่าพากย์อย่างหนึ่ง กับเจรจาเป็นทำนองอย่างหนึ่ง ใช้กาพย์ยานีและกาพย์ฉบัง โดยมีผู้ให้เสียงแทนเรียกว่าผู้พากย์และเจรจา มีต้นเสียงและลูกคู่ร้องบทให้ ใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าประกอบการแสดง นิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์และอุณรุท ปัจจุบันสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์มีหน้าที่หลักในการสืบทอดการฝึกหัดโขน และกรมศิลปากร มีหน้าที่ในการจัดการแสดงคำนำการแสดงโขนชุดพรหมมาศ, สูจิบัตรการแสดงโขนชุด พรหมมาศ, มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, ระหว่างวันที่ 25 และ 27 -28 ธันวาคม 2550, หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และโขน · ดูเพิ่มเติม »

โดโด

(dodo) เป็นนกท้องถิ่นที่พบได้เฉพาะบนหมู่เกาะมอริเชียสในมหาสมุทรอินเดีย เป็นนกที่บินไม่ได้อยู่ในตระกูลเดียวกับนกพิราบ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Raphus cucullatus ในปี พ.ศ. 2048 ชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปพวกแรกที่พบ และเพียงประมาณปี พ.ศ. 2224 มันก็สูญพันธุ์อย่างรวดเร็วโดยมนุษย์ รวมถึงสุนัขล่าเนื้อ หมู หนู ลิง ที่ถูกนำเข้าโดยชาวยุโรป โดโดไม่ใช่นกเพียงชนิดเดียวในมอริเชียสที่สูญพันธุ์ในศตวรรษนี้ จากนกกว่า 45 ชนิดที่พบบนเกาะ มีเพียง 21 ชนิดเท่านั้นที่เหลือรอด นกสองชนิดซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับโดโดก็สูญพันธุ์ไปเช่นกัน คือ Reunion solitaire (Raphus solitarius) ประมาณปี พ.ศ. 2289 และ Rodrigues solitaire (Pezophaps solitaria) ประมาณปี พ.ศ. 2333 เมื่อทศวรรษ พ.ศ. 2533 วิลเลียม จ. กิบบอนส์ นำคณะสำรวจขึ้นค้นหาบนเขาบนเกาะมอริเชียส แต่ก็ไม่มีใครค้นพบ จึงประกาศการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการ.

ใหม่!!: สัตว์และโดโด · ดูเพิ่มเติม »

โคริโทซอรัส

โคริโทซอรัส (Corythosaurus) เป็นไดโนเสาร์จำพวกแฮดโดรซอร์ อาศัยช่วงปลายยุคครีเตเซียส เมื่อ 65 ล้านปีก่อน ขนาด 12 เมตร ริว เท ซูน ฟอสซิลของมันพบที่ทวีปอเมริกาเหนือ ชื่อแปลว่ากิ้งก่ามงกุฏ ลักษณะปากของโคริโทซอรัสคล้ายกระสุนปืน สามารถกินหินได้อย่างสบาย ๆ เลยทีเดียว มันเป็นหนึ่งในเหยื่อ ที่โปรดปราณ ของ ไทรันโนซอรัส หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส.

ใหม่!!: สัตว์และโคริโทซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

โคอาลา

อาลา (koala) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีกระเป๋าหน้าท้อง จำพวกพอสซัม (ไม่ใช่หมี) ตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้อง สำหรับให้ลูกอ่อนอาศัยอยู่ จากการที่มีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายสัตว์ในตระกูลหมี ทำให้ส่วนใหญ่นิยมว่า "หมีโคอาลา" หรือ "หมีต้นไม้" โคอาลา นับเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง เนื่องจากพบหลักฐานเป็นฟอสซิลอายุนานกว่า 20 ล้านปีมาแล้ว ในออสเตรเลียตอนใต้ เป็นโคอาลาขนาดยักษ.

ใหม่!!: สัตว์และโคอาลา · ดูเพิ่มเติม »

โคอาที

อาที (Coati) จากสกุล Nasua and Nasuella เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมจากวงศ์แร็กคูนชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์ออกหากินในเวลากลางวัน ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ในวงศ์แร็กคูนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสัตว์กลางคืน โคอาทีมีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ อเมริกากลาง และบริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกาเหนือ.

ใหม่!!: สัตว์และโคอาที · ดูเพิ่มเติม »

โคะอิโคะอิ

การเริ่มเล่นโคะอิโคะอิ โคะอิโคะอิ (Koi-Koi) เป็นเกมไพ่ญี่ปุ่นชนิดหนึ่งที่ใช้ไพ่ฮะนะฟุดะและเป็นเกมที่โด่งดังในญี่ปุ่น.

ใหม่!!: สัตว์และโคะอิโคะอิ · ดูเพิ่มเติม »

โคเรียโนซอรัส (ออร์นิโธพอด)

รียโนซอรัส โบซองเอนซิส (코레아노사우루스 보성엔시스) ชื่อหมายถึง "กิ้งก่าเกาหลีแห่งเมืองโบซอง" เป็นสกุลหนึ่งของไดโนเสาร์กลุ่มออร์นิโธพอด ฟอสซิลทั้งสามของโคเรียโนซอรัสที่ปรากฏในเดือนพฤษภาคม..

ใหม่!!: สัตว์และโคเรียโนซอรัส (ออร์นิโธพอด) · ดูเพิ่มเติม »

โปรโตเซอราทอปส์

ปรโตเซอราทอปส์ (Protoceratops) เป็นไดโนเสาร์ตระกูลเซอราทอปส์เชียน ค้นพบในประเทศมองโกเลีย ในทะเลทรายโกบี มีลักษณะซิทตาโคซอรัส ขนาดประมาณ 2 เมตรเคยค้นพบฟอสซิลของมันกำลังกัดเวโลซีแรปเตอร์ และในปี..

ใหม่!!: สัตว์และโปรโตเซอราทอปส์ · ดูเพิ่มเติม »

โนซิเซ็ปชัน

นซิเซ็ปชั่น (nociception หรือ nocioception หรือ nociperception) คือ "กระบวนการทางประสาทที่เข้ารหัส และประมวลผลตัวกระตุ้นอันตราย" โดยเริ่มที่การทำงานของใยประสาทนำเข้า และเกิดขึ้นที่ทั้งระบบประสาทส่วนปลายและส่วนกลาง เพราะเหตุแห่งตัวกระตุ้นที่มีโอกาสทำเนื้อเยื่อ/ร่างกายให้เสียหาย การทำงานเริ่มต้นที่โนซิเซ็ปเตอร์ (ซึ่งบางครั้งเรียกอย่างไม่ตรงความหมายว่า ตัวรับรู้ความเจ็บปวด) ที่สามารถตรวจจับความเปลี่ยนแปลงเชิงกล เชิงอุณหภูมิ หรือเชิงเคมีที่สูงกว่าระดับขีดเริ่มเปลี่ยนของโนซิเซ็ปเตอร์ และเมื่อถึงขีดนี้แล้ว โนซิเซ็ปเตอร์ก็จะส่งสัญญาณไปยังไขสันหลังแล้วเลยไปถึงสมอง เป็นกระบวนการที่เริ่มการตอบสนองอัตโนมัติของระบบประสาทอิสระหลายอย่าง และอาจจะทำให้เกิดความเจ็บปวดอันเป็นอัตวิสัย ในสัตว์ที่รับรู้ความรู้สึกได้ โนซิเซ็ปเตอร์จะสร้างศักยะงานเป็นขบวนเพื่อตอบสนองต่อตัวกระตุ้นอันตราย และความถี่ของขบวนศักยะงานนั้น จะเป็นตัวบอกระดับอันตรายของตัวกระตุ้น.

ใหม่!!: สัตว์และโนซิเซ็ปชัน · ดูเพิ่มเติม »

ไบรโอซัว

รโอซัวเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มโคโลนีขนาดเล็ก ที่สามารถสร้างโครงสร้างแข็งด้วยสารแคลเซียมคาร์บอเนต เมื่อดูอย่างผิวเผินแล้วจะมีลักษณะคล้ายปะการัง สมาชิกของสัตว์ในไฟลั่มไบรโอซัวนี้รู้จักกันในนามของ “สัตว์มอสส์” (moss animals หรือ moss animalcules) ซึ่งหากแปลตรงตัวจากศัพท์ภาษากรีก ไบรโอซัวจะหมายถึง เสื่อทะเล (sea mats) โดยทั่วไปแล้วไบรโอซัวชอบอาศัยอยู่ในน้ำทะเลเขตร้อน อากาศอบอุ่น และพบได้ทั่วโลก ปัจจุบันมีประมาณ 8,000 ชนิด ซึ่งมากกว่าชนิดของซากดึกดำบรรพ์ที่ได้รับการบันทึกไว้หลายเท่าตัว.

ใหม่!!: สัตว์และไบรโอซัว · ดูเพิ่มเติม »

ไบลาทีเรีย

ลาทีเรีย (Bilateria) คือ สัตว์ที่มีสมมาตรด้านข้าง กล่าวคือมีด้านหน้า หลัง บน ล่าง ซ้ายและขวา ในทางตรงกันข้าม สัตว์ที่มีสมมาตรรัศมี เช่น แมงกะพรุน มีด้านบนและด้านล่าง แต่ไม่มีด้านหน้าและหลังที่แน่ชัด ไบลาทีเรียเป็นกลุ่มใหญ่ของสัตว์ ประกอบด้วยไฟลัมส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ฟองน้ำ ไนดาเรีย พลาโคซัว และทีโนฟอรา ตัวอ่อนของไบลาทีเรียมีไทรโพลบลาสตี คือ มีเนื้อเยื่อคัพภะสามชั้น ได้แก่ เอนโดเดิร์ม เมโซเดิร์ม และเอ็กโทเดิร์ม สิ่งมีชีวิตเกือบทุกตัวที่มีสมมาตรไบลาทีเรีย ยกเว้นอิคีเนอเดอร์เมอเทอ เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยโตเต็มที่จะมีลักษณะที่ใกล้เคียงสมมาตรรัศมี แต่เมื่อยังเป็นตัวอ่อนจะมีสมมาตรด้านข้าง สัตว์สมมาตรด้านข้างยกเว้นบางไฟลัม (เช่น หนอนตัวแบน) มีทางเดินอาหารที่สมบูรณ์ และมีปากกับทวารหนักแยกออกจากกัน สัตว์ไบลาทีเรียบางตัวไม่มีช่องว่างระหว่างลำตัว.

ใหม่!!: สัตว์และไบลาทีเรีย · ดูเพิ่มเติม »

ไบซาออริกซ์

ซาออริกซ์ หรือ ออริกซ์แอฟริกาตะวันออก (Beisa oryx, East African oryx; หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "ไบซา" หรือ "ออริกซ์") แอนทิโลปขนาดใหญ่จำพวกออริกซ์ มีลักษณะคล้ายกับเจมส์บอก (O. gazella) ซึ่งในอดีตเคยถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยของกันและกัน (โดยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oryx gazella beisa) แต่ปัจจุบันได้มีการจัดให้เป็นชนิดต่างหาก โดยแบ่งออกเป็นชนิดย่อยได้ 2 ชนิด ไบซาออริกซ์ มีลักษณะคล้ายกับเจมส์บอก มีความแตกต่างกันที่มีรูปร่างที่เล็กกว่า ปลายเขาคู่กางถ่างออกน้อยกว่าเจมส์บอก และไม่มีแถบสีดำคล้ายปานพาดเฉียงเหนือท้องทั้งสองข้าง รวมถึงแถบสีดำบริเวณใบหน้าก็มีน้อยกว่า ไบซาออริกซ์ ถือเป็นสัตว์เฉพาะถิ่นที่พบได้ในเขตอนุรักษ์แห่งชาติแซมบูรู ในเคนยา โดยถือว่าเป็น "สัตว์ทั้ง 5 ของแซมบูรู" ร่วมกับ เจเรนุค, ยีราฟลายร่างแห, นกกระจอกเทศโซมาลี และม้าลายเกรวี แต่ปัจจุบันได้มีการนำไปขยายพันธุ์ในเขตอนุรักษ์เอกชนสวีตวอเตอร์ที่อยู่ใกล้เคียงกันด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และไบซาออริกซ์ · ดูเพิ่มเติม »

ไฟลัม

ฟลัม (phylum) เป็นขั้นอนุกรมวิธานขั้นหนึ่งในการจำแนกสัตว์ในทางวิทยาศาสตร์ (ในทางพืชนิยมใช้คำว่า ส่วน แทนไฟลัม ไฟลัมถือเป็นการจัดกลุ่มในขั้นสูงที่สุดแยกตามสายวิวัฒนาการ แต่บางครั้งก็มีการรวมไฟลัมเป็นไฟลัมใหญ่ (superphylum) อีกทีหนึ่ง เช่น สัตว์ที่มีการลอกคราบในการเจริญเติบโต (Echdysozoa) ประกอบด้วยสัตว์มีเปลือกแข็งและหนอนตัวกลม และ สัตว์ที่มีช่องปากเกิดภายหลังช่องทวาร (Deuterostomia) ประกอบด้วยปลาดาวและสัตว์มีแกนสันหลัง ไฟลัมของสัตว์ที่รู้จักกันมากที่สุด ได้แก่ มอลลัสกา, ฟองน้ำ, ไนดาเรีย, หนอนตัวแบน, นีมาโทดา, หนอนปล้อง, สัตว์ขาปล้อง, เอคคิโนเดอร์มาทา และสัตว์มีแกนสันหลัง (ซึ่งมนุษย์อยู่ในไฟลัมนี้) ถึงแม้ว่าจะมีไฟลัมทั้งหมดประมาณ 35 ไฟล่า (หน่วยของไฟลัม) ไฟลัมที่กล่าวทั้ง 9 ตัวนี้ครอบคลุมสปีชีส์ส่วนใหญ่ และทุกไฟลัมยกเว้นหนอนกำมะหยี่ ต่างก็มีสมาชิกอาศัยในมหาสมุทร.

ใหม่!!: สัตว์และไฟลัม · ดูเพิ่มเติม »

ไฟลัมย่อย

ฟลัมย่อย (subphylum) เป็นขั้นอนุกรมวิธานขั้นหนึ่งในการจำแนกสัตว์ในทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอยู่ระหว่าง ไฟลัม (phylum) และ ชั้นใหญ่ (superclass) ไฟลัมย่อยเทียบเท่ากับ ส่วนย่อย (subdivision) ในพืชและฟังไจ ไฟลัมบางประเภทเท่านั้นที่มีไฟลัมย่อย ดังตัวอย่างต่อไปนี้.

ใหม่!!: สัตว์และไฟลัมย่อย · ดูเพิ่มเติม »

ไพกา

กา (pika, pica, rock rabbit, coney; วงศ์ Ochotonidae) เป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กวงศ์หนึ่ง ในอันดับกระต่าย (Lagomorpha) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ochotonidae ไพกาจัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกวงศ์หนึ่ง ที่อยู่ในอันดับกระต่าย ที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน นอกเหนือไปจากกระต่าย (Leporidae) มีรูปร่างโดยทั่วไปเล็กกว่ากระต่าย แลดูคล้ายหนู ใบหูมีขนาดใหญ่แต่สั้นและเล็กกว่ากระต่าย มีขนอ่อนนุ่มสีเทาหรือสีน้ำตาลตลอดทั้งลำตัว มีหางขนาดเล็กจนมองไม่เห็น มีขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 8 นิ้ว หนักประมาณ 6 ออนซ์ มีฟันที่เขียนเป็นสูตรได้ว่า มีระยะเวลาการตั้งท้องนาน 25-30 วัน มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยแต่ละตัวนั้นจะมีหน้าที่ของตัวเอง ในการหาอาหารและแบ่งปันกัน และมีพฤติกรรมที่จะแสดงตัวเพื่อที่จะประกาศอาณาเขต โดยจะหากินในเวลากลางวัน มีหญ้าเป็นอาหารหลัก โดยใช้เวลาทั้งวันในการสะสมอาหาร ไม่มีพฤติกรรมจำศีลในช่วงฤดูหนาว ไพกาตัวเมียในประเทศญี่ปุ่น มีพฤติกรรมจะกลบซ่อนรังที่มีลูกอ่อนไว้ด้วยใบไม้และดิน เสมือนกับว่าฝังทั้งเป็นหรือทำรังอยู่ใต้ดิน เพื่อหลบซ่อนสัตว์นักล่า ลูกไพกาจะสามารถหลบซ่อนอยู่ใต้ดินอย่างนั้นได้นานถึง 2 วัน มีทั้งหมด 1 สกุล คือ Ochotona พบทั้งหมดประมาณ 30 ชนิด กระจายพันธุ์ไปในหลายพื้นที่ของโลกแถบเหนือที่มีอากาศหนาวเย็น เช่น อเมริกาเหนือ, ยุโรปตะวันออก, ยูเรเชีย จนถึงเอเชียตะวันออก เช่น จีน.

ใหม่!!: สัตว์และไพกา · ดูเพิ่มเติม »

ไพรมหากาฬ

รมหากาฬ เป็นตอนที่หนึ่งของเพชรพระอุมาจำนวน 4 เล่ม ได้แก่ไพรมหากาฬ เล่ม 1 - 4.

ใหม่!!: สัตว์และไพรมหากาฬ · ดูเพิ่มเติม »

ไพรอะพูลา

ไพรอะพูลา เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:สัตว์ หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:ไฟลัม ลักษณะของ Priapula: - 1) สมมาตรทั้งสองข้างและหนอน 2) ร่างกายมีมากกว่าสองเซลล์ชั้นเนื้อเยื่อและอวัยวะ 3) ช่องร่างกายเป็น coelom จริง 4) มีร่างกายผ่านทางลำไส้กับทวารหนัก 5) ร่างกายในสองส่วน prosoma และลำตัว 6) มีระบบประสาทกับแหวนเส้นประสาทหน้าและคอร์ดประสาท ganglionated 7) มีการไหลเวียนเลือดไม่ แต่เม็ดเลือดที่มีอยู่ในของเหลว coelomic 8) การสืบพันธุ์ทางเพศและ gonochoristic 9) อาหารที่หนอนทะเลอื่น ๆ 10) ทั้งหมดอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมทางทะเล Priapulida หรือ Priapula เป็นไฟลัมขนาดเล็ก (ประมาณ 16 ชนิดที่รู้จักกันของนักวิทยาศาสตร์) ของหนอนขนาดเล็กตามปกติเหมือนสัตว์ พวกเขาช่วงความยาว 0.5 มิลลิเมตรสำหรับสายพันธุ์ของ Tubuluchus ประมาณ 200 มมสำหรับการขยายพันธุ์ของ Priapulus ที่จะเกิดขึ้นในทะเลมากที่สุดทั้งเขตร้อนและขั้วโลกที่ความหลากหลายของระดับความลึกจากน้ำตื้นชายฝั่งที่ไกลลงเป็น 7,200 เมตร ชื่อ Priapulida หมายถึงความจริงที่ว่านักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ตั้งชื่อให้พวกเขาคิดว่าพวกเขาดูคล้ายอวัยวะเพศของมนุษย์ แต่พวกเขามีลักษณะเหมือนบางชนิดของ cacti และมันจะไม่เป็นเหตุผลที่จะใช้คำว่าแคคตัสเวิร์มเป็นชื่อร่วมกันของพวกเขา ทุกชนิดที่รู้จักกันเป็นทะเลและสัตว์หน้าดิน (หมายถึงพวกเขาอาศัยอยู่ในหรือบนพื้นทะเล) ร่างกาย priapulid ประกอบด้วยสองส่วน; prosoma บางครั้งเรียกว่าเก็บตัวและลำต้น prosoma สามารถถูกดูดเข้าไปในลำต้นซึ่งเป็นเหตุผลที่บางครั้งเรียกว่าเก็บตัว prosoma มีปากที่ส่วนท้ายของหน้า ปากได้ 5 เงี่ยงเรียก scalids จัดรอบการเปิด นอกจากนี้ยังมีแถวของ scalids วิ่งลง prosoma ในสายพันธุ์มากที่สุด ลำต้นก็มักจะมีเงี่ยงครีบหรือเกล็ดและอาจจะมีเช่นในกรณีของสกุล Priapulus, อวัยวะหาง (ซึ่งมีลักษณะเหมือนห่อของเวิร์มที่ปลายสุดของร่างกายสัตว์) เหล่านี้จะถูกสงสัยว่ามีฟังก์ชั่นระบบทางเดินหายใจ ลำต้นหมี 20-30 ภายนอก annuli (แหวน) แต่ไม่มีการแบ่งส่วนภายใน ร่างกายมีหนังกำพร้าซึ่งมีไคตินรวมทั้งวัสดุอื่น ๆ ที่อยู่นอกของหนังกำพร้า หนังกำพร้านี้ moulted เป็นสัตว์ที่เติบโตขึ้น หลุมศพของ priapulids เป็น coelom จริงหรือ pseudocoelom ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจคุณปรึกษา คัพภคือการศึกษาน้อยในสิ่งมีชีวิตไม่น่ารังเกียจเหล่านี้และมันก็เป็นการศึกษารายละเอียดของเรื่องนี้ซึ่งจะตอบคำถาม หลังปากเป็นคอหอยซึ่งนำไปสู่ลำไส้ตรงสั้นซึ่งจะสิ้นสุดลงในทวารหนักที่หลัง (หาง) ในตอนท้ายของร่างกายของสัตว์ มีอวัยวะสำหรับการแลกเปลี่ยนก๊าซและไม่มีระบบไหลเวียนเลือดไม่มีแม้ว่าในบางชนิดเช่น Priapulus ของเหลวที่อาบอิ่มอวัยวะภายในมี corpuscles ซึ่งมีเม็ดสีที่เรียกว่าระบบทางเดินหายใจ Haemerythrin การขับถ่ายการเผาผลาญอาหารเป็นด้วยวิธีการ protonephridia เพศที่แยกต่างหากและมีเป็นปกติเพียงหนึ่งรังไข่หรืออัณฑะ ไข่และสเปิร์มจะถูกปล่อยออกไปในทะเลและการปฏิสนธิเกิดขึ้นในทะเล ตัวอ่อนมีชุดจาน (ที่ทำจากหนังกำพร้า) ที่ล้อมรอบมันก็เป็นไปได้ว่ามันอาศัยอยู่ในโคลนเหมือนผู้ใหญ่เป็นที่รู้จักกันที่จะไปผ่านจำนวน moults ก่อนที่จะใช้เวลาในรูปแบบผู้ใหญ่ ระบบประสาทประกอบด้วยแหวนรอบปากและสายเส้นประสาทที่วิ่งลงหน้าท้องด้านข้างของร่างกาย สายนี้มีจำนวนของปมประสาทตามมันจากการที่เส้นประสาทที่วิ่งออกมาผ่านทางผิวหนังชั้นนอกส่วนที่เหลือของร่างกาย ผิวหนังชั้นนอกได้รับการสนับสนุนโดยชั้นของกล้ามเนื้อวงกลมและยาวซึ่งอยู่ภายใน coelom ทำหน้าที่เป็นโครงกระดูกอัด อย่างไรก็ตามแม้จะมีผู้ใหญ่ Priapulids ไม่ดีที่เคลื่อนไหวและมีความลำบากในการขุดกลับลงไปในโคลนถ้าเอาออกไปจากมัน พวกเขาย้ายผ่านโคลนโดยใช้เงี่ยงที่ prosoma และความสามารถของ prosoma ที่จะถอนตัวออกมาเข้าสู่ร่างกาย Priapulids เชื่อว่าทุกคนที่จะเป็นนักล่ากินหนอนขนาดเล็กพวกเขาพบในโคลน แต่บางชนิดเช่นผู้ที่อยู่ในลำดับที่เพิ่งค้นพบ Seticoconaria ชีวิตอยู่ประจำและมีมงกุฎหนามหนวดเหมือนแข็งและดังนั้นจึงอาจจะกินอะไรที่ ตกอยู่ในมงกุฎนี้.

ใหม่!!: สัตว์และไพรอะพูลา · ดูเพิ่มเติม »

ไพลโอซอร์

ลโอซอร์ (pliosaurs) คือสัตว์เลื้อยคลานในทะเลยุคดึกดำบรรพ์พวกหนึ่ง มีครีบขนาดใหญ่สี่อัน น้ำหนักประมาณ 120 กิโลกรัมถึงเกือบ 20 ตัน และมีความยาวตั้งแต่ 4.2 เมตรไปจนถึง 11 เมตรเลยทีเดียว(สายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดคือ พรีเดเตอร์เอ็กซ์ ความยาวสูงสุดประมาณ 13 เมตร และหนักเกือบ 20 ตัน)มีรูปร่างแตกต่างจากโมซาซอร์ญาติห่างๆ ตรงที่โมซาซอร์ใช้หางว่ายน้ำคล้ายจระเข้ แต่ไพลโอซอร์จะมีหางสั้น และครีบขนาดเล็กกว่าซึ่งใช้ว่ายน้ำได้ลำบากกว่า นอกจากนี้ ฟันของโมซาซอร์จะมีรูปร่างแบบกิ้งก่าปัจจุบัน คือแหลมและโค้งไปด้านหลัง แต่ฟันของไพลโอซอร์จะเป็นกรวยแหลมขนาดเล็กที่เหมาะสำหรับการขบกัดกระดูกให้เป็นรอยและสร้างบาดแผลสาหัสได้น้อยกว่าโมซาซอร์ประกอบกับแรงกัดที่มากกว่าหลายเท่า ทำให้ไพลโอซอร์เป็นหนึ่งในนักล่าที่ดุร้ายรองจากโมซาซอร์ในยุคดึกดำบรรพ์เลยทีเดียว สายพันธุ์ของไพลโอซอร์ที่น่าสนใจได้แก่ โครโนซอรัส(kronosaurus),ไทรนาครอมีเรี่ยม(trinacromerum)และไลโอพลัวเรอดอน(liopleurodon) เป็นต้น อาหารส่วนใหญ่ของไพลโอซอร์คือทุกอย่างที่จับและกินได้ รวมถึงพวกเดียวกันเอง เคยมีการพบซากไทรนาครอมีเรี่ยมในท้องของโครโนซอรัสตัวเต็มวัยด้วย เนื่องจากออกลูกเป็นไข่ ไพลโอซอร์จึงต้องขึ้นบกเพื่อวางไข่ด้วย.

ใหม่!!: สัตว์และไพลโอซอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ไพโรโซม

รโซม (Pyrosomes) เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์น้ำที่อยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง และไฟลัมย่อยยูโรคอร์ดาตา จัดอยู่ในสกุล Pyrosoma นอกจากนี้แล้วยังมีชื่อสามัญเรียกว่า "แตงกวาดองทะเล" (Sea pickles) ไพโรโซม เป็นสัตว์ที่มีลำตัวโปร่งใส ลำตัวยาวเหมือนกรวยขนาดยาว สามารถเรืองแสงเป็นสีฟ้าหรือเขียวได้ เป็นสัตว์ที่หายาก แต่เป็นสัตว์ที่ไม่มีกะโหลกหรือขากรรไกรหรือกล้ามเนื้อ จึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง แต่จะล่องลอยไปตามกระแสน้ำ ไพโรโซมเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของสัตว์ขนาดเล็กลักษณะเหมือนแมงกะพรุนคือ "ซูอิก" (Zooid) จำนวนนับพันตัวรวมตัวกันอยู่ โดยเฉลี่ยแล้วจะมีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร หรือ 60 เซนติเมตร หรือแม้แต่มีความยาวแค่ไม่กี่เซนติเมตร แต่ก็มีการพบตัวที่มีความยาวถึง 30 หรือ 35 เมตร ขนาดเทียบเท่ากับวาฬขนาดใหญ่เลยทีเดียว ไพโรโซม กินสาหร่ายขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่าเป็นอาหาร รวมถึงแพลงก์ตอน เป็นสัตว์ที่ไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ แต่ทว่าสร้างความรำคาญให้แก่อุตสาหกรรมประมง โดยเฉพาะการประมงในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสามารถเกาะคลุมอุปกรณ์ประมงได้ ทำให้ไม่สามารถจับปลาได้ หากมีเป็นจำนวนมาก อาจต้องทำให้เรือประมงบางลำต้องย้ายที่ประมงหนี โดยบริเวณชายฝั่งของแคลิฟอร์เนียไม่เคยมีรายงานการพบไพโรโซมมาก่อนเลย จนกระทั่งในปี..

ใหม่!!: สัตว์และไพโรโซม · ดูเพิ่มเติม »

ไก่

ลูกเจี๊ยบขณะมีอายุได้หนึ่งวัน ไก่ จัดอยู่ในประเภทสัตว์ปีกจำพวกนก ชื่อวิทยาศาสตร์ Gallus gallus มีหลายวงศ์ บินได้ในระยะสั้น หากินตามพื้นดิน ตกไข่ก่อนแล้วจึงฟักเป็นตัว ตัวผู้หงอนใหญ่และเดือยยาว เช่น ไก่แจ้ ไก่อู ไก่ตะเภา ไก่เบตง ไก่ดำ ไก่นา เสียงร้องดัง ต๊อก ต๊อก.

ใหม่!!: สัตว์และไก่ · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ฟ้าพญาลอ

ก่ฟ้าพญาลอ (Siamese fireback, Diard's fireback) เป็นไก่ขนาดกลางในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา (Phasianidae) มีขนสวยงาม พบในประเทศไทย, กัมพูชา, ลาว และเวียดนาม.

ใหม่!!: สัตว์และไก่ฟ้าพญาลอ · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ฟ้าสีทอง

ก่ฟ้าสีทอง (Golden pheasant, Red golden pheasant, Chinese pheasant; 红腹锦鸡) เป็นสัตว์ป่าประเภทไก่ฟ้าที่นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม ได้รับความนิยมอย่างมาก มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมบนภูเขาสูง พบมากทางภาคกลางและภาคตะวันตกของสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงบางส่วนในปากีสถาน, อินเดีย, ศรีลังกา มีความสวยงามและทนทานต่ออากาศหนาวได้เป็นอย่างดี ไก่ฟ้าสีทอง ตัวผู้จะมีหลายสี (5 สี) แต่ถ้าเป็นสีทองส่วนของอกจะมีสีแดง ส่วนหลังมีสีเหลืองและปีกมีสีน้ำเงิน นัยน์ตาจะเป็นวงแหวนนสีน้ำเงิน สำหรับตัวเมียจะมีสีน้ำตาลพื้นธรรมดา นัยน์ตาไม่มีวงแหวน เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีน้ำหนักตัวประมาณ 500-700 กรัม มีรูปร่างป้อม และไม่มีหงอน ไก่ฟ้าสีทอง สามารถแยกแยะเพศออกได้เมื่อมีอายุ 3 เดือน ดูความแตกต่างที่วงแหวนของดวงตา ส่วนสีขนจะค่อย ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งตัวเต็มวัย เฉลี่ยประมาณ 1.5-2 ปี จึงจะมีสีเหมือนกับไก่ตัวเต็มวัย โตเต็มวัยเมื่อมีอายุได้ 2 ปี ออกลูกในช่วงฤดูร้อนเพียงปีละครั้ง ช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ออกไข่ครั้งละ 5-6 ฟอง ใช้เวลาฟักประมาณ 21-23 วัน ปัจจุบัน ในประเทศไทย มีการเพาะเลี้ยงกันเป็นฟาร์มอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ซึ่งสามารถเพาะเลี้ยงได้อย่างเสรี เนื่องจากไม่จัดว่าเป็นสัตว์ที่จะจัดอยู่ในสถานะคุ้มครองตามกฎหมายแต่ประการใด โดยการเลี้ยงในแบบฟาร์ม สามารถทำให้ไก่ออกไข่ได้ตลอดทั้งปี เฉลี่ยแล้วปีละถึง 20-30 ฟอง มีอายุขัยในที่เลี้ยงประมาณ 15 ปี โดยมีราคาขายในฐานะสัตว์เลี้ยงสวยงามถึงราคาคู่ละ 6,000-7,000 บาท (อายุ 1.5 ปีขึ้นไป) ทั้งนี้ราคาจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับอายุของไก่ที่ขายและสายพันธุ์ โดยราคาสูงอาจไปถึงคู่ละ 400,000-500,000 บาท ในอดีตราว 20 ปีก่อน (นับจาก พ.ศ. 2555) ไก่ฟ้าสีทองมีราคาขายเพียงคู่ละไม่เกิน 1,000 บาท เท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และไก่ฟ้าสีทอง · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ฟ้าสีเลือด

ก่ฟ้าสีเลือด (Blood pheasant) เป็นนกชนิดหนึ่ง จำพวกไก่ฟ้า จัดอยู่ในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา (Phasianidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Ithaginis ไก่ฟ้าสีเลือดมีขนาดลำตัวเหมือนไก่ป่าขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 43 เซนติเมตร มีจะงอยปากที่แข็งแรง มีขนปกคลุมลำตัวรุงรังสีเทา แต่ที่หน้าอกเป็นสีแดงสดเหมือนเลือดไหลซึมไปทั่วเส้นขน อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ ในตัวผู้จะมีส่วนใบหน้าและหัวเป็นสีแดง ขณะที่ตัวเมียจะเป็นสีน้ำตาลทึม ๆ พบกระจายพันธุ์ตามแถบเทือกเขาสูงตามแนวเทือกเขาหิมาลัยในหลายประเทศ เช่น ภูฐาน, เนปาล, ธิเบต, ตอนเหนือของอินเดีย, ตอนเหนือของพม่า และภาคตะวันตกของจีน มีพฤติกรรมมักชอบอาศัยในป่าสนผสมและในพื้นที่อยู่ใกล้กับยอดเขาที่มีหิมะหรือน้ำแข็งปกคลุม มีการอพยพย้ายถิ่นตามฤดูกาล โดยพบได้ในที่ ๆ ระดับความสูงที่สูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน และด้วยปริมาณหิมะที่เพิ่มขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวจะย้ายไปอยู่ในระดับพื้นที่ ๆ ต่ำกว่า ไก่ฟ้าสีเลือด เป็นนกประจำรัฐสิกขิม ของอินเดีย และเป็นนกประจำชาติของคาซัคสถาน.

ใหม่!!: สัตว์และไก่ฟ้าสีเลือด · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ฟ้าหลังขาว

องไก่ฟ้าหลังขาว ไก่ฟ้าหลังขาว (Silver pheasant) เป็นนกในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา (Phasianidae) ที่พบในป่าในภูมิภาคอินโดจีน และทางตะวันออกและทางใต้ของจีน ถูกนำเข้าไปในรัฐฮาวายและในบางส่วนของสหรัฐอเมริกา ตัวผู้มีสีดำและขาว ตัวเมียมีสีน้ำตาล ทั้งสองเพศมีหน้ากากหนังสีแดงที่หน้า ขามีสีแดง (ใช้แบ่งชนิดจากไก่ฟ้าหลังเทาที่มีขาสีเทา)McGowan, P. J. K. (1994).

ใหม่!!: สัตว์และไก่ฟ้าหลังขาว · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ฟ้าหลังเทา

ก่ฟ้าหลังเทา (Kalij pheasant) เป็นไก่ฟ้าที่พบในป่าทึบโดยเฉพาะในตีนเขาของเทือกเขาหิมาลัย จากแม่น้ำสินธุไปทางตะวันตกจนถึงไทย มันถูกนำเข้าสู่รัฐฮาวาย (แต่ค่อน ข้างหายาก) ที่นั่นมันจัดเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่กินและแพร่กระจายพืชชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ตัวผู้มีขนหลากหลายขึ้นกับชนิดย่อย แต่อย่างน้อยก็มีสีขนดำออกฟ้า ขณะที่เพศเมียเป็นสีน้ำตาลทั้งตัว ทั้งสองเพศมีหนังสีแดงที่หน้า ขาออกเทาMcGowan, P. J. K. (1994).

ใหม่!!: สัตว์และไก่ฟ้าหลังเทา · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ฟ้าหางลายขวาง

ก่ฟ้าหางลายขวาง (Hume's pheasant, Mrs Hume's pheasant, Bar-tailed pheasant) เป็นไก่ฟ้าขนาดใหญ่ พบในประเทศจีน, ประเทศปากีสถาน, ประเทศอินเดีย, ประเทศพม่า และ ประเทศไทย ชื่อสามัญในภาษาอังกฤษถูกตั้งตามชื่อของ มารี แอนน์ กรินดอลล์ ฮิม ภรรยาของอัลลัน อ๊อตทาเวียน ฮิม นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ เพราะการสูญเสียที่อยู่และถูกล่าเป็นอาหาร ไก่ฟ้าหางลายขวางจึงจัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกคุกคามความเสี่ยงต่ำ (NT) ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ และจัดอยู่ในบัญชีที่ 1 ของ CITES.

ใหม่!!: สัตว์และไก่ฟ้าหางลายขวาง · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ฟ้าหน้าเขียว

ก่ฟ้าหน้าเขียว (Crested fireback) เป็นไก่ฟ้าที่มีความสวยงาม มีลักษณะเด่นคือมีแผ่นหนังที่หน้าสีฟ้า ต่างจากไก่ฟ้าชนิดอื่นๆที่มีแผ่นหนังสีแดง พบในประเทศไทย มาเลเซีย บอร์เนียว และสุมาตร.

ใหม่!!: สัตว์และไก่ฟ้าหน้าเขียว · ดูเพิ่มเติม »

ไก่จุก

ก่จุก (Crested wood partridge, Crested partridge, Roul-roul, Red-crowned wood partridge, Green wood partridge) เป็นนกในวงศ์ Phasianidae และเป็นชนิดเดียวในสกุล Rollulus.

ใหม่!!: สัตว์และไก่จุก · ดูเพิ่มเติม »

ไก่งวง

''Meleagris gallopavo'' ไก่งวง (Turkey) เป็นนกที่บินไม่ได้ประเภทหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา (Phasianidae) จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Meleagridinae สกุล Meleagris มีปากสั้นเรียวบาง บริเวณหัวบางส่วนและลำคอไม่มีขนที่เห็นชัด แต่มีหนังย่น ๆ และตุ่มคล้ายหูด ขนหางมี 28-30 เส้น แพนหางชี้ตั้งขึ้น ขายาว ลักษณะนิ้วตีนเหมือนกับไก่ในวงศ์ Phasianidae ตัวผู้มีเดือย ขนตามลำตัวเป็นเงา แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ M. gallopavo พบในอเมริกาเหนือ และ M. ocellata พบในอเมริกากลาง ในสหรัฐอเมริกา ชาวคริสต์นิยมรับประทานไก่งวงในวันขอบคุณพระเจ้า ไก่งวง มีขนาดใหญ่กว่าไก่ทั่วไป ในการประกอบอาหาร นิยมยัดไส้นานาชนิด แล้วนำไปปรุงแต่งอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และไก่งวง · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ต๊อก

ก่ต๊อก (guineafowl, guineahen) เป็นวงศ์ของสัตว์ปีกจำพวกไก่วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Numididae ลักษณะโดยทั่วไปของไก่ต๊อก คือ มีจะงอยปากสั้นและหนา สีน้ำตาลหรือแดงอมส้ม มีเหนียงสีเทาอมดำห้อยอยู่ที่จะงอยปากล่างแผ่ไปทั้ง 2 ข้างของคาง และมีเหนียงสีขาวประแดงบริเวณใต้ขากรรไกรทั้ง 2 ข้างด้วย หัวถึงสันคอมีขนเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ลำตัวป้อม ขนหางมี 14-16 เส้น หางสั้น ปลายชี้ลง ขาแข็งแรง ส่วนนิ้วตีนเหมือนไก่ในวงศ์ Phasianidae ตัวผู้มีเดือยหรือไม่มีแล้วแต่ชนิด มีพฤติกรรมการจับคู่เพียงคู่เดียวตลอดชีวิต อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง บางครั้งอาจมีสมาชิกได้ถึง 100 ตัว แพร่กระจายพันธุ์ทั่วไปในทวีปแอฟริกา หากินตามพื้นดินมากกว่าจะขึ้นต้นไม้ จะบินหรือขึ้นต้นไม้ต่อเมื่อจำเป็น เช่น หนีศัตรู มักอาศัยอยู่ตามป่าโปร่งและทุ่งหญ้าสะวันนา ในธรรมชาติมักตกเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อชนิดต่าง ๆ เช่น ลิงบาบูน, เสือชีตาห์, ไฮยีนา, หมาจิ้งจอก, เสือดาว และนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงามและบริโภคเนื้อและไข่เป็นอาหารสำหรับมนุษ.

ใหม่!!: สัตว์และไก่ต๊อก · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ต๊อกหมวกเหล็ก

ก่ต๊อกหมวกเหล็ก (helmeted guineafowl) เป็นนกขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ไก่ต๊อก (Numididae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Numida ไก่ต๊อกหมวกเหล็ก มีลักษณะทั่วไปเหมือนกับไก่ต๊อกชนิดอื่น ๆ แต่บนหัวมีหงอนที่เป็นโหนกแข็งที่มีลักษณะที่เหมือนกับสวมหมวกเหล็กหรือหมวกกันน็อกอยู่ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 61 เซนติเมตร มีพฤติกรรมรวมตัวกันเป็นฝูงตั้งแต่ 10-100 ตัว หากินตามพื้นดินหรือตามทุ่งหญ้าโปร่งเท่านั้น เมื่อตกใจจะบินได้ระยะทางสั้น ๆ เพื่อขึ้นต้นไม้หรือขึ้นที่สูง โดยกินอาหารที่เป็นพืชแทบทุกชนิด ตลอดจนสัตว์ขนาดเล็ก เช่น หอยทาก แมลงชนิดต่าง ๆ ไก่ต๊อกหมวกเหล็กเป็นไก่ต๊อกที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกา และเป็นไก่ต๊อกชนิดที่พบเห็นได้ง่ายและแพร่กระจายพันธุ์มากที่สุด ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงไก่ต๊อกหมวกเหล็กเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม เพื่อความเพลิดเพลินใจ และยังมีการเพาะเลี้ยงเพื่อการบริโภคเนื้อและไข่เป็นสัตว์เศรษฐกิจอีกด้วย โดยเมื่อวางไข่ไก่ต๊อกหมวกเหล็กจะแยกตัวจากฝูงไปวางไข่เพียงตามลำพังในพงหญ้า ครั้งละ 40-50 ฟอง แม่ไก่จะดูแลลูกประมาณ 2-3 เดือน เมื่อพ้นจากนี้แล้วลูกไก่จะแข็งแรงพอที่จะเข้าฝูงหากินเองได้ ไก่ต๊อกหมวกเหล็กเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 5-7 เดือน.

ใหม่!!: สัตว์และไก่ต๊อกหมวกเหล็ก · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ต๊อกอีแร้ง

ก่ต๊อกอีแร้ง (vulturine guineafowl) นกขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ไก่ต๊อก (Numididae) นับเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Acryllium ไก่ต๊อกอีแร้ง มีลักษณะคล้ายกับไก่ต๊อกชนิดอื่น ๆ แต่มีสีขนที่สวยงามเงางามกว่าไก่ต๊อกชนิดอื่น และมีส่วนหัวที่ปราศจากขนและจะงอยปากที่แหลมคม งองุ้มทำให้แลดูคล้ายอีแร้ง อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ ไก่ต๊อกอีแร้งมีขนาดความยาวถึง 71 เซนติเมตร นับเป็นไก่ต๊อกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากนั้นแล้วมีพฤติกรรมคล้ายกับไก่ต๊อกชนิดอื่น ๆ คือ หากินตามทุ่งหญ้าที่แห้งแล้งหรือป่าโปร่ง หากินเมล็ดพืชตามพื้นดินเป็นหลัก รวมถึงสัตว์ขนาดเล็ก ๆ เช่น แมลง ส่งเสียงร้อง ชิง-ชิง-ชิง-ชิง-ชิง วางไข่สีครีมครั้งละ 4-8 ฟองในพงหญ้า ส่วนหัวที่คล้ายอีแร้ง พบกระจายพันธุ์ในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา ตั้งแต่ภาคใต้ของเอธิโอเปีย ตลอดจนเคนยาและภาคเหนือของแทนซาเนี.

ใหม่!!: สัตว์และไก่ต๊อกอีแร้ง · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ป่า

''Gallus gallus'' ไก่ป่า หรือ ไก่เถื่อน อยู่ในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา (Phasianidae) จัดเป็นนกมีขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ขนาดลำตัว 46-73 เซนติเมตร พบการกระจายอยู่ในเขตศูนย์สูตรโดยมีการกระจายตั้งแต่ประเทศอินเดียจนถึงเวียดนาม และประเทศจีนตอนใต้ จนไปถึงเกาะต่าง ๆ ในประเทศอินโดนีเซีย จัดเป็นไก่สายพันธุ์ดั้งเดิมและเป็นต้นตระกูลของไก่บ้านที่เลี้ยงกันเป็นสัตว์เศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ สามารถแบ่งออกได้แบ่งชนิดย่อยได้ 6 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และไก่ป่า · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ป่าชวา

ก่ป่าชวา หรือ ไก่ป่าเขียว (Green junglefowl, Javan junglefowl) เป็นไก่ป่าชนิดหนึ่ง ไก่ป่าชวา มีลำตัวยาวประมาณ 75 เซนติเมตร มีลักษณะเด่น คือ ตัวผู้มีขนสร้อยคอสั้นและกลมมนสีขาว ตัวเมียมีหน้าอกสีน้ำตาลคล้ำ ส่วนของลำตัวมีลายสีดำทั่วไป พบกระจายพันธุ์ในเกาะชวา และเกาะบาหลี และเกาะต่าง ๆ รายรอบในประเทศอินโดนีเซีย เช่น เกาะโคโมโด, เกาะฟลอเรส เป็นต้น พบได้ในที่ราบและจนถึงพื้นที่สูงถึง 2,000 เมตร ในป่าเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ไก่ป่าชวาที่ผสมข้ามพันธุ์กับไก่ป่า (G. gallus bankiva) ที่พบในชวา ได้ลูกผสมที่เรียกว่า "เบคิซาร์" เป็นที่นิยมกันมากในชวาตะวันออก.

ใหม่!!: สัตว์และไก่ป่าชวา · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ป่าลังกา

ก่ป่าลังกา หรือ ไก่ป่าศรีลังกา หรือ ไก่ป่าซีลอน (Sri Lanka junglefowl, Ceylon junglefowl; ทมิฬ: காட்டுக்கோழி) เป็นไก่ป่าชนิดหนึ่ง ไก่ป่าลังกา นับเป็นไก่ป่าชนิดที่ใกล้เคียงกับไก่ป่า (G. gallus) ที่พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากที่สุด มีลักษณะเด่น คือ ตัวผู้มีสีแดงแทบทั้งตัว หน้าอกและใต้ท้องเป็นสีแดง แตกต่างจากไก่ป่าที่หน้าอกและใต้ท้องเป็นสีดำ ปลายปีกและหางสีดำแกมม่วง ตุ้มหูสีขาว ส่วนตัวเมียมีหน้าอกเป็นลายเลือน ๆ สีน้ำตาล ปลายปีกและหางมีลายขวาง ตัวผู้มีขนาดประมาณ 66–72 เซนติเมตร (26–28 นิ้ว) และน้ำหนักระหว่าง 790–1,140 กรัม (1.7–2.5 ปอนด์) ขณะที่ตัวเมียมีลำตัวประมาณ 35 เซนติเมตร (14 นิ้ว) และน้ำหนักประมาณ 510–645 กรัม (1.1–1.42 ปอนด์) เป็นไก่ที่พบเฉพาะถิ่นในศรีลังกา หรือเกาะซีลอนที่เดียวเท่านั้น เช่น อุทยานแห่งชาติยาลา หรือป่าสงวนสิงหราชา เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และไก่ป่าลังกา · ดูเพิ่มเติม »

ไก่ป่าอินเดีย

ก่ป่าอินเดีย หรือ ไก่ป่าเทา (Grey junglefowl, Sonnerat's junglefowl) เป็นไก่ป่าชนิดหนึ่ง ไก่ป่าอินเดีย มีลักษณะเด่น คือ ตัวผู้มีขนสร้อยคอกลมมนและมีจุดสีขาว ๆ บนหลัง หน้าอกและใต้ท้องเป็นสีเทามีลายตามขอบขนสีดำ ปลายปีกและหางเป็นสีดำแกมเขียว หน้าแข้งสีดำ ตุ้มหูสีแดง ตัวเมียหน้าอกสีขาวลายขอบขนสีดำ ปีกและหางมีลายเลือน ๆ พบกระจายพันธุ์ในป่าแถบตอนใต้และตอนกลางของประเทศอินเดีย ไก่ป่าอินเดีย มีฤดูผสมพันธุ์ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม วางไข่ครั้งละ 7 วัน ระยะเวลาฟักไข่นาน 21 วัน ส่วนใหญ่จะหากินตามพื้นดินเหมือนไก่ป่าทั่วไป แต่จะบินหรือกระโดดขึ้นต้นไม้สูงเพื่อหลบหนีสัตว์นักล่าหรือผู้คุกคาม.

ใหม่!!: สัตว์และไก่ป่าอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

ไก่นวล

ก่นวล (Long-billed partridge) เป็นนกในวงศ์ Phasianidae พบได้ในบรูไน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, พม่า และ ประเทศไทยตั้งแต่แนวเทือกเขาตะนาวศรีลงไป มีถิ่นอาศัยในป่าแล้งเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ป่าชื้นพื้นราบและเขาสูงเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน อาจจะอยู่บนที่สูงกว่า 900 เมตรก็ได้ สถานะปัจจุบันกำลังถูกคุกคามจากการสูญเสียถิ่นอาศัย และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเืทศไทย ที่มีรายงานพบเพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง มีขนาดลำตัวยาว 35 เซนติเมตร ลำตัวสีน้ำตาลออกเหลืองและมีลายขีดบนหลังและปีก มีจะงอยปากโค้งยาวสีคล้ำเห็นเด่นชัด นกตัวผู้มีแถบสีเทาคาดบริเวณคอตอนล่าง นกตัวเมียมีแถบนี้สีน้ำตาลแดง แข้งและเท้าสีเหลือง ทั้งสองเพศมีเดือยแหลมที่ขาข้างละอัน ลักษณะพิเศษ คือ ปลายของเดือยจะโค้งงอลงด้านล่าง.

ใหม่!!: สัตว์และไก่นวล · ดูเพิ่มเติม »

ไก่เถื่อน

ก่เถื่อน หรือ ไก่ป่า เป็นสกุลของสัตว์ปีกที่บินไม่ได้ ในวงศ์ไก่ฟ้าและนกกระทา (Phasianidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Gallus ซึ่งเป็นภาษาละตินที่หมายถึง "ไก่ตัวผู้" ไก่เถื่อน มีลักษณะสำคัญแตกต่างจากไก่สกุลอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน คือ บนหัวมีหงอนที่เป็นเนื้อไม่ใช่ขน มีเหนียงทั้ง 2 ข้างห้อยลงมาที่โคนปากและคาง ที่บริเวณใบหน้าและคอเป็นหนังเกลี้ยงไม่มีขน ขนตามลำตัวมีสีสันสวยงาม ขนหางตั้งเรียงกันเป็นสันสูงตรงกลาง มีขนหาง 14-16 เส้น เส้นกลางยาวปลายแหลมและอ่อนโค้ง ที่แข้งมีเดือยแหลมข้างละอันเป็นอาวุธที่ใช้ในการป้องกันตัว มีความแตกต่างระหว่างเพศชัดเจน โดยตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้และขนมีสีไม่ฉูดฉาดเท่าตัวผู้ แข้งไม่มีเดือย หงอนและเหนียงมีขนาดเล็กเห็นชัดเจน พบกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย ตั้งแต่ทวีปยูเรเชีย จนถึงอนุทวีปอินเดีย, เอเชียอาคเนย์ และภาคใต้ของจีน เช่น มณฑลยูนนาน โดยพบทั้งผืนแผ่นดินใหญ่และส่วนที่เป็นเกาะหรือหมู่เกาะ ไก่ในสกุลนี้ ถือได้ว่าเป็นไก่ที่ผูกพันกับมนุษย์มาอย่างยาวนาน โดยมีหลักฐานว่ามนุษย์ได้นำไก่ในสกุลนี้มาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในครัวเรือน เพื่อการบริโภคเป็นเวลานานกว่า 4,000 ปีมาแล้วในยุคเมโสโปเตเมีย หรือในสมัยสุโขทัย ในประวัติศาสตร์ไทย การล่าไก่ป่าถือเป็นวิถีการดำรงชีวิตอย่างหนึ่งของผู้คนในสมัยนั้น ก่อนที่จะมีการพัฒนาสายพันธุ์จนมาเป็นไก่บ้านอย่างในปัจจุบัน และในส่วนการเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงามและความเพลินเพลินก็พัฒนามาเป็นไก่แจ้หรือไก่ชน ที่มีการจิกตีกันเป็นการละเล่นในหลายวัฒนธรรม.

ใหม่!!: สัตว์และไก่เถื่อน · ดูเพิ่มเติม »

ไมอาซอรา

มอาซอรา (Maiasaura) เป็นไดโนเสาร์ปากเป็ดชนิดหนึ่ง มีชื่อเสียงในการเลี้ยงลูก จัดอยู่ในพวกออร์นิทิสเชียน ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และไมอาซอรา · ดูเพิ่มเติม »

ไมโครแรปเตอร์

มโครแรปเตอร์ (Microraptor; ศัพทมูลวิทยา: ภาษากรีก, μίκρος, mīkros: "เล็ก"; ภาษาละติน, raptor: "ผู้ที่คว้าที่หนึ่ง") เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดเล็กสกุลหนึ่ง ในวงศ์โดรมีโอซอร์ (Dromaeosauridae) เช่นเดียวกับเวโลซีแรปเตอร์ ไมโครแรปเตอร์ มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ผสมนกมีขนปกคลุมลำตัวเหมือนนก ขนาดลำตัวเท่า ๆ กับนกพิราบ มีปีกทั้งหมด 4 ปีก (ขาหน้า 2 ปีก และขาหลัง 2 ปีก) มีขนหางที่เรียวยาว และเชื่อว่าดำรงชีวิตและหากินบนต้นไม้เป็นหลัก รวมถึงทำรังบนต้นไม้ และมีหลักฐานว่าจับนกในยุคก่อนประวัติศาสตร์กินเป็นอาหาร จากการพบซากในส่วนที่เป็นกระเพาะ ไมโครแรปเตอร์ ไม่สามารถบินได้ แต่จะใช้ปีกและขนร่อนไปมาเหมือนสัตว์ในยุคปัจจุบันหลายชนิดเช่น กระรอกบิน หรือบ่างChatterjee, S., and Templin, R.J. (2007).

ใหม่!!: สัตว์และไมโครแรปเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ไรทะเล

รทะเล หรือ อาร์ทีเมีย หรือ ไรน้ำเค็ม หรือ ไรน้ำสีน้ำตาล (Brine shrimp, Sea-monkey) เป็นสัตว์น้ำจำพวกครัสเตเชียนสกุลหนึ่ง ที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมการประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ไรทะเล เป็นครัสเตเชียน ในสกุล Artemia ถือกำเนิดในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนมานานกว่า 5.5 ล้านปีมาแล้ว ลักษณะเป็นสัตว์สีน้ำตาลแดงหรือสีน้ำตาลส้ม ไม่มีเปลือกแข็งหุ้มตัว มีเพียงเนื้อเยื่อบาง ๆ เท่านั้นที่หุ้มตัว ว่ายน้ำเคลื่อนที่ในลักษณะหงายท้อง ลำตัวเรียวยาวคล้ายใบไม้แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว แบ่งออกได้เป็น 6 ปล้อง ปล้องแรกเป็นที่ตั้งของตาเดียวและตารวม มีก้านตา 1 คู่ ปล้องที่ 2 เป็นที่ตั้งของหนวดคู่แรก ปล้องที่ 3 เป็นที่ตั้งของหนวดคู่ที่ 2 ปล้องที่ 4 เป็นกราม ปล้องที่ 5 เป็นฟันคู่แรก ปล้องที่ 6 เป็นฟันคู่ที่ 2 ส่วนอกแบ่งออกเป็น 11 ปล้อง แต่ละปล้องประกอบด้วยระยางค์ เป็นอวัยวะทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ การหายใจและการกรองรวบรวมอาหาร ส่วนท้องแบ่งออกได้ 8 ปล้อง ปล้องแรกเป็นที่ตั้งของอวัยวะเพศ ปล้องที่ 2-7 ไม่มีระยางค์ ปล้องที่ 8 มีแพนหาง 1 คู่ โดยปกติเมื่อโตเต็มวัย เพศผู้จะมีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย และจะมีหนวดคู่ที่ 2 ขนาดใหญ่กว่ารูปร่างคล้ายตะขอใช้เกาะจับเพศเมีย บริเวณปล้องแรกของส่วนท้องของเพศผู้จะมีอวัยวะเพศผู้อยู่ 1 คู่ ในเพศเมียตัวเต็มวัย หนวดคู่ที่ 2 จะมีขนาดเล็กลง และเปลี่ยนมาทำหน้าที่รับความรู้สึก บริเวณปล้องแรกของส่วนท้องจะมีอวัยวะเพศเมียทำหน้าที่เก็บตัวอ่อนหรือเก็บไข่ ไรทะเลสืบพันธุ์ได้ทั้งอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ให้ลูกทั้งแบบเป็นตัว โดยจะมีไข่ฟักเป็นตัวภายในมดลูก ไข่ไม่มีเปลือกหนาแข็งหุ้ม สามารถวางไข่ได้ครั้งละ 300-500 ฟอง ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์, ความสมบูรณ์ของไรทะเล หรืออุณหภูมิของสภาพแวดล้อมที่อาศัย ใช้เวลาประมาณ 48 ชั่วโมง ในการฟักเป็นตัว ไรทะเล มีถิ่นกำเนิดในทะเลสาบน้ำเค็ม ในสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และจีน ไม่พบในประเทศไทย แบ่งออกได้เป็น 10 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และไรทะเล · ดูเพิ่มเติม »

ไรขาว

รขาว ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Polyphagotarsonemus latus (Banks) (Broad mite) มีขนาดเล็กสามารถมองเห็นไรขาวได้โดยการมองผ่านกล้องจุลทรรศน์ เป็นศัตรูพืชชีวภาพอย่างหนึ่ง มักพบระบาดหนักในฤดูฝนช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ทำให้เกิดการหยุดเจริญในพืช ได้แก่ พริก กะเพรา แตงกวา ส้มโอ ฯลฯ ส่งผลกระทบต่อพืชเศรษฐกิจจำนวนมาก.

ใหม่!!: สัตว์และไรขาว · ดูเพิ่มเติม »

ไรน้ำนางฟ้า

รน้ำนางฟ้า (Fairy shrimp) เป็นครัสเตเชียนจำพวกแบรงคิโอโพดาจำพวกหนึ่ง จัดอยู่ในสกุล Streptocephalus และวงศ์ Streptocephalidae มีลักษณะคล้ายไรทะเลหรืออาร์ทีเมีย แต่มีขนาดตัวโตกว่า คือ ไม่มีเปลือก ตัวใส มีขาว่ายน้ำ 11 คู่ ลำตัวยาว 1 - 3 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย และมีพฤติกรรมว่ายน้ำแบบหงายท้องโดยใช้ขาช่วยกรรเชียงนำโบก พัดอาหารเข้าปาก บริเวณหัวมีตาขนาดใหญ่ที่มีก้านยาว 1 คู่ มีหนวด 2 คู่ ส่วนหางแยกเป็นสองแฉกมีสีแดงส้ม ตัวเมียมีถุงไข่ 1 ถุง อยู่ทางด้านท้อง หนวดคู่ที่ 2 ของตัวผู้เปลี่ยนแปลงไปใช้สำหรับจับตัวเมียเวลาผสมพันธุ์ และใช้ในการจำแนกชนิด ไข่ที่ตัวเมียสร้างขึ้นจะพัฒนาให้มีเปลือกหนา ไรน้ำนางฟ้า จะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดต่าง ๆ ที่มีขนาดเล็ก เช่น คูน้ำข้างถนน หรือนาข้าว แม้กระทั่งแหล่งน้ำชั่วคราว เช่น ปลักควาย หรือรอยเท้าควายในเลน ยามฤดูฝน อาหารของไรน้ำนางฟ้า ได้แก่ แพลงก์ตอนสัตว์, โปรโตซัว, อินทรียสารและแพลงก์ตอนพืช ฤดูที่พบ คือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงสิงหาคม คือ ในฤดูฝน วงจรชีวิต คือ ไข่มีเปลือกหนา เป็นซีส ฝังอยู่ในพื้นดินหรือโคลน โดยจะพบในบ่อเล็กบ่อน้อย เมื่อน้ำท่วมขังก็จะฟักเป็นตัวออกมา ส่วนแหล่งน้ำขนาดใหญ่จะไม่พบไรน้ำนางฟ้า ไรน้ำนางฟ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ไรน้ำนางฟ้า แบ่งออกได้ราว ๆ 50-60 ชนิด (ดูเนื้อหาข้างล่าง) พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ แอฟริกา, ออสเตรเลีย, ยูเรเชีย, อเมริกากลาง และอเมริกาเหนือ ซึ่งเดิมเคยเป็นมหาทวีปกอนด์วานา เป็นต้น ส่วนในประเทศไทย มีทั้งหมด 3 ชนิด ซึ่งทั้ง 3 ชนิดนั้น ล้วนแต่เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นทั้งหมด ได้แก่ ไรน้ำนางฟ้าสิรินทร (Streptocephalus sirindhornae) พบครั้งแรกที่จังหวัดหนองบัวลำภู และพบได้ทั่วประเทศ, ไรน้ำนางฟ้าไทย (Branchinella thailandensis) มิได้จัดอยู่ในสกุล Streptocephalus ไข่มีขนาดใหญ่กว่าไรน้ำนางฟ้าสิรินธรสองเท่า และไรน้ำนางฟ้าสยาม (Streptocephalus siamensis) พบครั้งแรกที่จังหวัดสุพรรณบุรี และกาญจนบุรี เป็นชนิดที่หาได้ยากมาก นอกจากนี้แล้วยังพบได้ที่ประเทศลาว ไรน้ำนางฟ้า มีคุณค่าทางสารอาหารสูง ปัจจุบันได้มีการเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารให้แก่สัตว์น้ำต่าง ๆ ทั้งเป็นอาหารให้แก่ตัวอ่อน, เป็นอาหารให้แก่สัตว์น้ำเศรษฐกิจ และสัตว์น้ำสวยงาม โดยปัจจุบันสามารถเพาะเลี้ยงได้แล้วตลอดทั้งปี นอกจากนี้แล้ว ไรน้ำนางฟ้ายังมีชื่อเรียกตามภาษาถิ่นต่าง ๆ เช่น "แมงอ่อนช้อย", "แมงแงว", "แมงหางแดง" และ"แมงน้ำฝน" เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และไรน้ำนางฟ้า · ดูเพิ่มเติม »

ไรแดง

ทความนี้หมายถึงไรที่เป็นสัตว์น้ำ หากไรที่เป็นแมง ดูที่: ไร ไรแดง หรือ ไรน้ำจืด หรือ ลูกไร เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกครัสเตเชียนสกุลหนึ่ง โดยอยู่ในสกุล Moina ถือเป็นแพลงก์ตอนสัตว์อย่างหนึ่ง อาศัยอยู่ทั่วไปในแหล่งน้ำจืด มีขนาดโดยทั่วไป 0.4–1.8 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีแดงเรื่อ ๆ ถ้าอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากจะมองเห็นเป็นกลุ่มสีแดงเข้ม ตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย ลำตัวอ้วนเกือบกลมมีขนาดโดยเฉลี่ย 1.3 มิลลิเมตร ขณะที่ตัวผู้มีขนาดเล็กและค่อนข้างยาวกว่า มีขนาดเฉลี่ย 0.5 มิลลิเมตร ตัวอ่อนของไรแดงเมื่ออกมาจากไข่ใหม่ ๆ จะมีขนาด 0.22–0.35 มิลลิเมตร มีสีจางกว่าตัวเต็มวัย ไรแดงนิยมให้เป็นอาหารปลาทั้งปลาสวยงาม และปลาเศรษฐกิจ โดยเป็นอาหารที่เหมาะมากสำหรับลูกปลาวัยอ่อน และเป็นอาหารถ่ายท้องแก้ปัญหาท้องผูกของปลา คุณค่าทางสารอาหารของไรแดง ประกอบไปด้วย โปรตีนร้อยละ 74.09, คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 12.50, ไขมันร้อยละ 10.19 และเถ้าร้อยละ 3.47 ปัจจุบันมีการเพาะขยายพันธุ์ไรแดงเป็นสัตว์เศรษฐกิจเพื่อส่งขายเป็นอาหารปลาทั่วไป.

ใหม่!!: สัตว์และไรแดง · ดูเพิ่มเติม »

ไรเฟิล วินเชสเตอร์ .375 โมเดล 70

ปืนไรเฟิล วินเชสเตอร์.375 โมเดล 70 ไรเฟิล วินเชสเตอร.375 โมเดล 70 (Rifle Winchester.375 Model 70) เป็นปืนขนาด 375 Holland & Holland MagnumJack O'Connor, The Rifle Book, 3rd Edition, p. 57, Alfred A Knopf (1978) ลักษณะภายนอกเป็นปืนขนาดหนักและมีลูกเลื่อนซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นอมตะและเสน่ห์ของปืนวินเชสเตอร์ เริ่มทำการผลิตและออกวางจำหน่ายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2479 ซึ่งปืนไรเฟิล วินเชสเตอร.375 โมเดล 70 เป็นปืนที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในบรรดาผู้ที่นิยม โมเดล 70 ต่อมาได้กลายเป็นปืนมาตรฐานของปืนไรเฟิลชนิดที่มีลูกเลื่อนของชาวอเมริกัน โมเดล 70 ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมากในลักษณะรูปร่างที่แตกต่างกันไป ทั้งขนาดและน้ำหนักของกระบอกปืนรวมถึงกระสุนที่ใช้งาน ซึ่ง โมเดล 70 ใช้กระสุนแบบ 375 Holland & Holland Magnum ที่ได้รับการผลิตและพัฒนาโดยบริษัท Holland & Holland ประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2455 ลักษณะของกระสุนปืนเมื่อผลิตออกมาครั้งแรก เป็นกระสุนแบบที่ไม่มีจานท้ายขอบแต่จะมีขอบแบบ Belt แทน ที่ได้รับความนิยมนำมาทำในกระสุนหลายขนาดด้วยกัน ต่อมาเมื่อปืนไรเฟิล วินเชสเตอร.375 โมเดล 70 ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ทั่วโลก ที่มีผู้กล่าวขานถึงขนาดและแรงปะทะของกระสุน 375 ที่สามารถนำไปใช้ได้กับสัตว์ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ วิถีกระสุนราบ หัวกระสุนมีน้ำหนักประมาณ 200 เกรน - 350 เกรน โดยเฉพาะหัวกระสุนในขนาด 300 เกรน จะมีความเร็ว 27000 ฟิต/วินาที นับตั้งแต่กระสุนถูกขับออกจากรังเพลิง เกิดแรงปะทะอย่างสูงสุดถึง 4615 ฟุต - ปอนด์ ถือว่าเป็นกระสุนที่มีความเร็วและแรงเป็นอย่างมากJohn Walter, Rifle of The World, DBI Books, Inc, ISBN 0873492021.

ใหม่!!: สัตว์และไรเฟิล วินเชสเตอร์ .375 โมเดล 70 · ดูเพิ่มเติม »

ไลโอพลัวเรอดอน

ลโอพลัวเรอดอน (Liopleurodon; IPA: /ˌlaɪ.ɵˈplʊərədɒn/) ความหมายชื่อคือ"กิ้งก่าฟันเรียบด้าน"เป็นสกุลกิ้งก่าทะเลในตระกูลสัตว์เลื้อยคลานที่เรียกกันว่าไพลโอซอร์ซึ่งมีชีวิตอยู่ในกลางยุคจูราสสิค ประมาณ 160-158 ล้านปีก่อน ช่วงกลางยุคมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิดชื่อ Liopleurodon ferox และ Liopleurodon pachydeirus ส่วนอีกชนิดชื่อ Liopleurodon rossicus อยู่ในช่วงปลายยุคจูราสสิค แต่ทั้งหมดล้วนเป็นกลุ่มนักล่าที่ยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเลที่ครอบคลุมพื้นที่ ยุโรป ซึ่งแหล่งฟอสซิลที่สำคัญ ได้แก่ ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี และรัสเซีย แต่มักเป็นตัวอย่างที่ไม่สมบูรณ์นัก ขนาดตัวของไลโอพลัวเรอดอนประเมินได้จากฟอสซิลกะโหลก ศีรษะที่มีความยาวประมาณ 1 ใน 7 ของลำตัว จากกะโหลกใหญ่สุดของ L. ferox ที่ยาวถึง 1.5 เมตร ทำให้เชื่อว่าตัวเต็มๆของมันคงยาวได้ประมาณ 10 เมตร แต่โดยรวมแล้วลีโอพลูโรดอนตัวยาวได้ระหว่าง 7-11.3 เมตร อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากบีบีซีบอกว่าไลโอพลัวเรอดอนบางตัวสามารถยาวได้ถึง 18 เมตร ขณะที่มีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 2.5-5 ตัน ส่วนรูปลักษณ์ของไลโอพลัวเรอดอนมีขาเป็นพายแข็งแรง เหมือนกิ้งก่าทะเลทั่วไป แสดงให้เห็นว่ามันสามารถว่ายน้ำได้เร็วมากจากพลังขับดันของขา นอกจากนี้ยังมีขากรรไกรยาวพร้อมฟันแหลมคม และสามารถรับรู้กลิ่นได้ดี โดยมันจะได้กลิ่นเหยื่อตั้งแต่ระยะไกล สัตว์นักล่าขนาดยักษ์นี้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในทะเล แม้ต้องหายใจเอาอากาศเข้าไป และไม่สามารถขึ้นจากน้ำได้ แต่จะอยู่ในเขตน้ำตื้นเวลาผสมพันธุ์และออกลูกเป็นตัว นอกจากนี้มันยังแอบซุ่มในเขตน้ำตื้นเพื่อรอเหยื่อด้วย ซึ่งมีทั้งกลุ่มจระเข้ทะเล ปลาใหญ่ลีดส์อิชธีส์ หรือแม้แต่ไพลโอซอร์ด้วยกันเอง.

ใหม่!!: สัตว์และไลโอพลัวเรอดอน · ดูเพิ่มเติม »

ไลเกอร์

ลเกอร์ (liger) เป็นเสือผสมสิงโตที่เกิดจากสิงโตตัวผู้ผสมพันธุ์กับเสือโคร่งตัวเมีย มีแผงคอเหมือนสิงโตแต่สั้นกว่าและมีลายเสือโคร่งจางๆ มีขนาดใหญ่กว่าเสือและสิงโตมากเพราะปกติสิงโตตัวเมืยจะมียีนยับยั้งการเจริญเติบโตแต่เสือโคร่งตัวเมียไม่มี ไลเกอร์จึงมีร่างกายใหญ่กว่าสัตว์สายพันธ์อื่นในอื่นในตระกูลแมว ให้เสือผสมกับสิงโตโดยการจับพวกมันมาอยู่ร่วมกรงกันนั้น เริ่มมีการบันทึกครั้งแรกที่ประเทศอินเดียในปีคริสต์ศักราช 1837.

ใหม่!!: สัตว์และไลเกอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ไวมานู

วมานู (Waimanu)เป็นสกุลของเพนกวินในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ถือเป็นบรรพบุรุษของเพนกวินในปัจจุบัน ใช้ชื่อสกุลว่า Waimanu ไวมานูมีชีวิตอยู่ในสมัยพาลีโอซีนเมื่อกว่า 60 ล้านปีก่อน ไวมานูมีชีวิตอยู่หลังเหตุการณ์การสูญพันธุ์ในยุคครีเทเชียส-เทอร์เชียรี และถือได้ว่าเป็นต้นแบบให้แก่นกขากรรไกรแบบใหม่ ไวมานู เป็นนกที่มีปีกขนาดเล็ก ไม่สามารถใช้บินได้ แต่กลับใช้ได้ดีเมื่อแหวกว่ายอยู่ในน้ำ จึงทำให้กลายเป็นนกน้ำ และหากินในน้ำเป็นหลัก ไวมานูมีรูปร่างที่เพรียวยาว มีจะงอยปากเรียวยาว ซึ่งไม่เหมือนกับเพนกวินในปัจจุบันเลย ฟอสซิลของไวมานูถูกค้นพบครั้งแรกในชั้นหินที่แม่น้ำไวปารา ที่แคนเทอเบอรี่ ในนิวซีแลนด์ เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และไวมานู · ดูเพิ่มเติม »

ไวรัส

วรัส เป็นศัพท์จากภาษาลาตินแปลว่า พิษ ในตำราชีววิทยาเก่าของไทยอาจเรียกว่า วิสา อันเป็นการทับศัพท์ในยุคแรกจากภาษาสันสกฤตที่แปลว่า พิษ เช่นเดียวกัน ปัจจุบันคำว่า ไวรัส หมายถึงจุลินทรีย์ที่สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ (infectious agents) ทั้งในมนุษย์, สัตว์, พืช และ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตมีเซลล์ (cellular life) ทำให้เกิดโรคที่ส่งผลกระทบกว้างขวาง จึงมีความสำคัญที่จะต้องศึกษาทั้งในทางการแพทย์และทางเศรษฐกิจ ไวรัสเป็นปรสิตอยู่ในร่างของสิ่งมีชีวิตอื่น (obligate intracellular parasite) ไม่สามารถเติบโตหรือแพร่พันธุ์นอกเซลล์อื่นได้ ไวรัสอาจถือได้ว่าเป็นจุลินทรีย์ที่มีลักษณะของการเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงประการเดียวคือสามารถแพร่พันธุ์ หรือการถ่ายทอดสารพันธุกรรมของตนเองจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง อย่างไรก็ตามไวรัสไม่ใช่จุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กที่สุด ยังมีจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กกว่าไวรัสคือ ไวรอยด์ (viroid) และ พรีออน (prion) ไวรัสชนิดแรกที่ค้นพบคือไวรัสใบยาสูบด่าง(TMV หรือ Tobacco Mosaic Virus) ซึ่งค้นพบโดยมาร์ตินัส ไบเยอรินิค ใน ค.ศ. 1899 ในปัจจุบันมีไวรัสกว่า 5,000 ชนิดที่ได้รับการบันทึกไว้ วิชาที่ศึกษาไวรัสเรียกว่าวิทยาไวรัส (virology) อันเป็นสาขาหนึ่งของจุลชีววิทยา (microbiology).

ใหม่!!: สัตว์และไวรัส · ดูเพิ่มเติม »

ไส้เดือนยักษ์กีนาบาลู

้เดือนยักษ์กีนาบาลู (Kinabalu giant earthworm) เป็นสัตว์จำพวก Annelid มีสีเทาออกน้ำเงิน พบได้เฉพาะแถบยอดเขากีนาบาลูบนเกาะบอร์เนียว เมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวราว 70 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และไส้เดือนยักษ์กีนาบาลู · ดูเพิ่มเติม »

ไส้เดือนดิน

้เดือนดิน หรือไส้เดือน หรือรากดิน (earthworm) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในไฟลัมแอนเนลิดา ในอันดับย่อย Lumbricina มีลักษณะลำตัวเป็นข้อปล้อง พบได้ทั่วไปในดิน ใต้กองใบไม้ หรือใต้มูลสัตว์ เป็นสัตว์ที่มี 2 เพศในตัวเดียวกัน มีการสืบพันธุ์ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ ปัจจุบันพบทั่วโลกประมาณ 4,400 ชนิด โดยแบ่งออกได้ตามลักษณะแหล่งที่อยู่อาศั.

ใหม่!!: สัตว์และไส้เดือนดิน · ดูเพิ่มเติม »

ไส้เดือนน้ำ

้เดือนน้ำ (Tubiflex worm) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่เป็นสัตว์พวกหนอนปล้องชนิดหนึ่ง มีการดำรงชีวิตอยู่ตามแหล่งน้ำจืดต่าง ๆ โดยกินอาหารจำพวกอินทรียวัตถุที่เน่าเปื่อยในดินชั้นล่างของแหล่งน้ำที่อาศัย จะขุดรูคล้ายท่อหรือหลอดในโคลนโดยทิ้งให้ส่วนหัวอยู่ด้านล่าง และยื่นออกมาเฉพาะส่วนท้ายของหางโผล่ออกมาจากดิน ส่วนของหางจะทำหน้าที่ในการโบกกลับไปมา ทำให้เกิดการหมุนเวียนของกระแสน้ำเพื่อแลกเปลี่ยนออกซิเจนในการหายใจด้วย ดังนั้นจะเห็นไส้เดือนน้ำมักรวมกลุ่มกันเป็นก้อนโบกตัวไปมาใต้พื้นน้ำ ไส้เดือนน้ำนิยมให้เป็นอาหารปลา โดยเฉพาะปลาสวยงาม มีคุณค่าทางสารอาหาร คือ ประกอบไปด้วยโปรตีนร้อยละ 60, ไขมันร้อยละ 6.50, ความชื้นร้อยละ 6, ไฟเบอร์ร้อยละ 0.30 ถือว่ามีคุณค่าทางสารอาหารสูงกว่าหนอนแดงเสียอีก แต่ทว่าไส้เดือนน้ำมักมีความสกปรก เมื่อนำไปให้ปลากิน ปลามักจะป่วยหรือตายได้ง่าย ๆ ฉะนั้นก่อนจะให้ ผู้เลี้ยงจึงต้องทำความสะอาดด้วยการล้างด้วยน้ำเปล่าสะอาด ๆ หลายครั้ง อีกทั้งการเก็บรักษาก็ยุ่งยากกว่าอาหารปลาที่เป็นอาหารสดทั่วไป โดยต้องให้ออกซิเจนตลอดเวลา จึงมักเก็บไว้ในภาชนะที่มีระบบน้ำไหลผ่านตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นไส้เดือนน้ำจะตายได้และจะทับถมกันจนน้ำเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็น.

ใหม่!!: สัตว์และไส้เดือนน้ำ · ดูเพิ่มเติม »

ไหม (แมลง)

หม เป็นผีเสื้อกลางคืนชนิด Bombyx mori อยู่ในวงศ์ Bombycidae ตัวอ่อนเรียกว่า ตัวไหม หรือ หนอนไหม มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เนื่องจากมันสามารถให้เส้นใยเป็นเส้นไหม ผีเสื้อไหมไม่ปรากฏในป่าตามธรรมชาติ การสืบพันธุ์และดำรงชีวิตขึ้นอยู่กับการดูแลของมนุษย์เท่านั้น อาหารที่มันชอบก็คือใบหม่อนขาว (Morus alba) แต่อาจกินใบของพืชชนิดอื่นได้ด้วย เช่น Osage Orange หรือ Tree of Heaven เดิมเป็นสัตว์พื้นเมืองของจีน.

ใหม่!!: สัตว์และไหม (แมลง) · ดูเพิ่มเติม »

ไอโซพอด

ไอโซพอด (Isopod) เป็นสัตว์จำพวกครัสเตเชียนกลุ่มที่มีความหลากหลายมากที่สุดชนิดหนึ่ง พบอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ แต่จะพบได้มากที่สุดในทะเลน้ำตื้น สัตว์กลุ่มนี้มีความแตกต่างไปจากครัสเตเชียนส่วนใหญ่ เพราะสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมบนบกได้ดี (อันดับย่อย Oniscidia ได้แก่ เหาไม้ และแมลงสาบทะเล) แม้ว่าพบได้หลากหลายที่สุดในทะเลลึกก็ตาม (อันดับย่อย Asellota) มีหลายสปีชีส์ในจีนัส Cymothoa ที่ดำรงชีวิตเป็นปรสิตในช่องปากของปลา รู้จักกันในชื่อว่า "ตัวกัดลิ้น (Tongue biter)" สัตว์ในกลุ่มไอโซพอดจัดว่าเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่พบฟอสซิลตั้งแต่ในยุคคาร์บอนิเฟอรัส (อันดับย่อย Phreatoicidea วงศ์ Paleophreatoicidae) ซึ่งแตกต่างเพียงเล็กน้อยไปจากกลุ่ม Phreatoicidean ยุคใหม่ที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดทางซีกโลกใต้ หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง.

ใหม่!!: สัตว์และไอโซพอด · ดูเพิ่มเติม »

ไฮยีน่า

ีนา (hyena; มาจากคำภาษากรีกโบราณว่า ὕαινα ออกเสียงว่า /ฮือไอนา/ หรือ /ฮือแอนา/) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อวงศ์หนึ่ง โดยใช้ชื่อวงศ์ว่า Hyaenidae ไฮยีนา มีลักษณะและรูปร่างโดยรวมคล้ายกับสุนัขหรือหมาป่า ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อที่อยู่ในวงศ์ Canidae แต่ไฮยีนาก็ไม่ใช่สุนัข หากแต่เป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์ของตนเองต่างหาก โดยอยู่ในอันดับย่อย Feliformia ซึ่งใกล้เคียงกับแมวและเสือ (Felidae) มากกว.

ใหม่!!: สัตว์และไฮยีน่า · ดูเพิ่มเติม »

ไฮยีน่าลายจุด

ีน่าลายจุด (Spotted hyena) เป็นไฮยีน่าชนิดหนึ่ง จัดเป็นไฮยีน่าในสกุล Crocuta เพียงชนิดเดียว และเป็นไฮยีน่าชนิดที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่รู้จักกันดีที่สุด ไฮยีน่าลายจุดมีลักษณะคล้ายกับไฮยีน่าทั่วไป แต่มีขนาดใหญ่กว่า มีน้ำหนักตัวได้มากถึง 60-70 กิโลกรัม เกือบเท่าสิงโตตัวเมีย มีขาคู่หน้ายาวกว่าขาคู่หลัง ดังนั้นเมื่อเวลาวิ่งจะวิ่งแบบหย่ง ๆ แต่ก็วิ่งได้เร็วถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้และเป็นผู้ปกครองฝูง มิเช่นนั้นตัวผู้จะเป็นฝ่ายกินลูกอ่อนจนหมดสิ้น อีกทั้งอวัยวะสืบพันธุ์ของตัวเมียนั้นยังมีลักษณะคล้ายกับองคชาตของตัวผู้ สามารถที่จะแข็งตัวได้ รวมทั้งเป็นที่ใช้ปัสสาวะด้วย โดยที่ช่องคลอดจะถูกเก็บไว้ในอวัยวะส่วนนี้ ซึ่งปัจจุบันยังมิอาจหาคำอธิบายใด ๆ ในทางวิทยาศาสตร์ได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แต่การที่ไฮยีน่าลายจุดมีอวัยวะสืบพันธุ์เช่นนี้ ทำให้การให้กำเนิดลูกไฮยีนาทำได้ยากด้วยเช่นกัน เพราะสายรกนั้นสั้นเกินกว่าที่จะลอดช่องคลอดออกมาได้ และสร้างความเจ็บปวดให้แก่แม่ไฮยีน่า ไฮยีน่าลายจุด มีระยะเวลาตั้งท้องเพียง 4 เดือนเท่านั้น และเมื่อตั้งท้องจะมีความดุร้ายมากเป็นพิเศษ เนื่องจากสัญชาตญาณป้องกันตัว ไฮยีน่าลายจุดมีฟันและกรามที่แข็งแรงมาก จัดเป็นสัตว์กินเนื้อบนบกที่มีแรงกัดมากที่สุดในโลก โดยมากได้ถึง 1,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ซึ่งสามารถที่จะบดและเคี้ยวกระดูกได้อย่างง่ายดาย เป็นสัตว์ที่กินไม่เลือก โดยสามารถที่จะล่าและล้มสัตว์ชนิดอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่ามากได้ รวมทั้งแย่งอาหารจากสัตว์อื่น เช่น สิงโต จนเสมือนเป็นคู่ปรับกัน รวมถึงกินซากสัตว์หรือมนุษย์ได้ด้วย ดังนั้น ในบางพื้นที่ที่ใกล้กับหมู่บ้านหรือชุมชนของมนุษย์ จะมีไฮยีน่าลายจุดเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่เสมอ ๆ ซึ่งจะขโมยข้าวของของมนุษย์ รวมถึงขุดศพในสุสานมากินได้ด้วย ในพื้นที่ทางตอนเหนือของเอธิโอเปีย มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ผู้คนในนั้นเลี้ยงไฮยีน่าลายจุดด้วยอาหาร ซึ่งทำให้มีพฤติกรรมการหากินเปลี่ยนไปจากไฮยีน่าที่อยู่ในป่าจริง ๆ และมีอุปนิสัยไม่ดุร้ายเท่า ไฮยีน่าลายจุดแพร่กระจายพันธุ์ทั่วไปในทวีปแอฟริกา มีรอยเท้าคล้ายรอยเท้าสุนัข โดยปกติจะออกหากินในเวลากลางคืน และนอนหลับพักผ่อนตามโพรงหรือถ้ำในเวลากลางวัน รวมถึงรอยแยกตามหุบเขาด้วย เพื่อหลบความร้อนและแสงแดด เมื่อถึงโพล้เพล้จะเริ่มตื่นตัว ปกติจะอาศัยอยู่รวมเป็นฝูง มากสุดอาจถึงหลักร้อย ตัวผู้บางตัวอาจจะแยกออกไปหากินและอาศัยตามลำพัง แต่ก็พร้อมที่จะกลับเข้ารวมฝูงได้ทุกเมื่อ พฤติกรรมของไฮยีน่าลายจุดเมื่อได้ยินเสียงสิงโตล่าเหยื่อ จะตื่นตัวและวิ่งหาต้นเสียง เพราะเรียนรู้ว่าจะได้กินอาหารต่อจากสิงโต หรือแย่งมากินเองได้Night of the Hyena, "Austin Stevens Adventures".

ใหม่!!: สัตว์และไฮยีน่าลายจุด · ดูเพิ่มเติม »

ไฮดรอกซิซีน

รอกซิซีน (Hydroxyzine) เป็นสารต้านฮิสตามีนรุ่นแรกที่อยู่ในกลุ่ม diphenylmethane และ piperazine ซึ่งสังเคราะห์ขึ้นเป็นครั้งแรกโดยบริษัทเบลเยียม (Union Chimique Belge) ในปี 2499 และยังเป็นยาที่ใช้อย่างกว้างขวางทุกวันนี้ เนื่องจากฤทธิ์ต้านหน่วยรับความรู้สึกหลายอย่างในสมอง ยาจึงมีฤทธิ์คลายกังวลที่มีกำลัง ต้านความหมกมุ่น และรักษาโรคจิตอย่างอ่อน ๆ ทุกวันนี้ มันมักจะใช้โดยหลักเพื่อคลายกังวลและความเครียดที่สัมพันธ์กับโรคจิตประสาท (psychoneurosis) และเป็นยาเพิ่ม (adjunct) ในโรคทางกายอื่น ๆ ที่คนไข้รู้สึกกังวล เนื่องจากฤทธิ์ต้านฮิสตามีน จึงสามารถใช้รักษาความคัน ภาวะรู้สึกเจ็บมากกว่าปรกติ (hyperalgesia) และความคลื่นไส้ที่เกิดจากการป่วยจากการเคลื่อนไหว (เช่นเมารถเมาเรือ) และยังใช้ในบางกรณีเพื่อบรรเทาผลการขาดยากลุ่มโอปิออยด์ แม้ว่ามันจะมีฤทธิ์ระงับประสาท (sedative) ให้นอนหลับ (hypnotic) และคลายกังวล (anxiolytic) แต่มันไม่มีลักษณะของสารที่ใช้เสพติด รวมทั้งการติดและโอกาสเป็นพิษเหมือนกับยาอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์คล้าย ๆ กัน ยาสามารถใช้เพิ่มผลระงับความเจ็บปวดของยากลุ่มโอปิออยด์ต่าง ๆ และบรรเทาผลข้างเคียงของพวกมัน เช่น ความคัน ความคลื่นไส้ และการอาเจียน การซื้อยาในบางประเทศต้องอาศัยใบสั่งยาจากแพทย์ โดยขายในสองรูปแบบ คือ pamoate และ hydrochloride salt ยาที่คล้าย/สัมพันธ์กับไฮดร๊อกซิซีนรวมทั้ง ไซคลิซีน, บิวคลิซีน และ meclizine ซึ่งมีประโยชน์ ข้อบ่งใช้ ข้อห้ามใช้ ข้อควรระวัง และผลข้างเคียงเหมือนกับไฮดร๊อกซิซีน สารต้านฮิสตามีนรุ่นสองคือ เซทิไรซีน จริง ๆ ก็คือ เมแทบอไลต์ของไฮดร๊อกซิซีนที่เกิดในร่างกายมนุษย์ แต่ว่าโดยที่ไม่เหมือนกับไฮดร๊อกซิซีน เซทิไรซีนดูเหมือนจะไม่ข้ามตัวกั้นเลือด-สมอง (blood-brain barrier) อย่างสำคัญ แม้ว่าจะมีรายงานว่ามีผลต่อกล้ามเนื้อและมีฤทธิ์ระงับประสาท ดังนั้น ทำให้เป็นสารต้านฮิสตามีนที่ดี เพราะมีผลระงับความกังวลและฤทธิ์ต่อจิตใจอย่างอื่น ๆ น้อยลง แต่ว่าก็ยังสามารถมีผลต่อกล้ามเนื้อและทำให้ง่วงนอนสำหรับคนไข้บางคนได้.

ใหม่!!: สัตว์และไฮดรอกซิซีน · ดูเพิ่มเติม »

ไฮดรา (สกุล)

รา (Hydras) เป็นสัตว์น้ำชนิดหนึ่ง ลำตัวยาวประมาณ 0.5-1 นิ้ว สืบพันธุ์ด้วยการแตกหน่อ พบได้ในแหล่งน้ำนิ่งดำรงชีวิต อย่างง่าย ๆ ตามคูน้ำ หรือสระน้ำ ซึ่งมีระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายไม่ยุ่งยากสลับซับซ้อน เราจัดไฮดราให้อยู่ในจำพวกเดียวกับแมงกะพรุนแต่มีขนาด ตัวเล็กกว่าแมงกะพรุนมาก โดยเฉพาะลำตัวไฮดราจะใสจึงยากแก่การสังเกตสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ มีลำตัวยาวเป็นรูปทรงกระบอกสูง มีลักษณะสมมาตรแบบรัศมี ปลายด้านหนึ่งประกอบด้วยหนวดเส้นเล็กล้อมรอบปาก โดยไฮดราจะใช้หนวดมัดอาหารเข้าทางช่อง ปากเพื่อเข้าในช่องว่างภายในลำตัว อาหารของไฮดราคือ ไรน้ำ (Daphia) หรือลูกไร (Cyclops) นอกจากหนวดของไฮดราจะทำหน้าที่ช่วยในการเคลื่อนที่ และจับอาหารแล้ว บริเวณหนวดของไฮดรามีบางเซลล์เปลี่ยนไปเป็นเข็มพิษ เมื่อไฮดรา ต้องการล่าเหยื่อ หรือทำลายศัตรูก็จะใช้หนวดปกป้องตัวเอง โดยใช้หนวดรัดและปล่อยเข็ม พิษออกมา แต่เข็มพิษของไฮดรา ไม่ทำให้มนุษย์เกิดการเจ็บปวดแต่อย่างไร ลำตัวของไฮดราบางครั้งจะพบปุ่มเล็ก ๆ ยื่นยาวออกมาข้างลำตัว เรียกกันทั่วไปว่า หน่อ (Bud) หน่อเหล่านี้สามารถหลุดออกมาเจริญเป็นตัวไฮดราใหม่ได้ เรียกการสืบพันธุ์วิธีนี้ว่าการแตกหน่อ (Budding) แต่ไฮดราก็มีอวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้ (testis) ซึ่งเป็นปุ่มเล็ก ๆ อยู่ตอนบนของลำตัว และมีอวัยวะสืบพันธุ์เพศเมีย (Ovary) ซึ่งเป็นปุ่มเล็ก ๆ อยู่ตอนล่างไว้สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศได้อีกด้วย ลำตัวของไฮดราจะประกอบไปด้วยเซลล์หลาย ๆ เซลล์ จัดเรียงเป็นเนื้อเยื่อ 2 ชั้น ชั้นนอกสุด (ectoderm) จะมีเซลล์ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้ในเรื่องการรับสัมผัส ส่วนเนื้อเยื่อชั้นใน (endoderm) จะมีเซลล์ทำหน้าที่เกี่ยวกับการย่อยสลายอาหาร ฮไดรา.

ใหม่!!: สัตว์และไฮดรา (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

ไฮแรกซ์หิน

แรกซ์หิน (Rock hyrax, Cape hyrax, Rock rabbit, Dassie) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในอันดับไฮแรกซ์ (Hyracoidea) และวงศ์ Procaviidae จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Procavia มีรูปร่างคล้ายหนูตัวใหญ่ ๆ หรือกระต่าย มีหางสั้น มีขนหนานุ่มสีน้ำตาลเพื่อควบคุมอุณหภูมิร่างกาย เมื่อโตเต็มที่มีขนาดลำตัวตั้งแต่ 30–70 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 2–5 กิโลกรัม กินพืชเป็นอาหาร ทั้ง ใบไม้, หญ้า และเมล็ดพืชชนิดต่าง ๆ และสามารถกินพืชที่มีหนามและมีพิษได้ด้วย ไฮแรกซ์หินพบทั่วไปในทวีปแอฟริกา ในหลากหลายภุมิประเทศทั้งทะเลทราย, ป่าฝน และป่าสน และพบไปถึงบางส่วนในตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดิอาระเบีย, โอมาน มีระยะเวลาตั้งท้องนาน 7–8 เดือน ออกลูกได้ครั้งละ 1–2 ตัว อายุ 5 เดือนจึงหย่านม มีอายุเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ประมาณ 17–18 เดือน อาศัยอยู่เป็นฝูงหรือครอบครัวเล็ก ๆ โดยมีตัวผู้ 1 ตัว เป็นผู้นำ และตัวเมียหลายตัว มีพฤติกรรมปีนป่ายโขดหิน และอาศัยอยู่ในโพรงหินหรือถ้ำขนาดเล็ก อันเป็นที่มาของชื่อ ชอบที่จะนอนอาบแดดในเวลาเช้า ก่อนจะออกหาอาหาร กับถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ ไฮแรกซ์หิน เป็นสัตว์ที่มีความตื่นตัวระแวดระวังภัยสูง เนื่องด้วยเป็นสัตว์ที่ตกเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่เสมอ ๆ รวมถึงนกล่าเหยื่อด้วย เช่น เหยี่ยวหรืออินทรี แต่เป็นสัตว์ที่ไม่ตื่นกลัวมนุษย์ มักจะเข้ามาหาอาหารในชุมชนของมนุษย์อยู่เสมอ ๆ ในประเทศไทย มีไฮแรกซ์หินแสดงที่สวนสัตว์เชียงใหม.

ใหม่!!: สัตว์และไฮแรกซ์หิน · ดูเพิ่มเติม »

ไฮแรกซ์จุดเหลือง

แรกซ์จุดเหลือง หรือ ไฮแรกซ์พุ่มไม้ (Yellow-spotted rock hyrax, Bush hyrax) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ในอันดับไฮแรกซ์ (Hyracoidea) ในวงศ์ไฮแรกซ์ (Procaviidae) มีลักษณะรูปร่างคล้ายกับไฮแรกซ์หิน ซึ่งเป็นไฮแรกซ์อีกชนิดหนึ่ง มีน้ำหนักประมาณ 1.5-2.5 กิโลกรัม มีความสูง 20-25 เซนติเมตร ความยาว 35-57 เซนติเมตร อายุขัยเฉลี่ย 5-10 ปี ไฮแรกซ์จุดเหลืองมีรูปร่างลักษณะเหมือนไฮแรกซ์หิน แต่มีจุดสีขาวเหนือดวงตาแต่ละข้าง อาศัยอยู่ตามโขดหินและถ้ำเล็ก ๆ กินพืชต่าง ๆ และใบไม้บนต้นไม้เป็นอาหาร ไฮแรกซ์จุดเหลืองก็เหมือนกับไฮแรกซ์หินตรงที่ก็ตกเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น เสือดาว, เสือชีตาห์, แมวป่าต่าง ๆ, นกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ เช่น อินทรี, เหยี่ยว หรือนกฮูก รวมทั้งงู ไฮแรกซ์จุดเหลือง นับเป็นไฮแรกซ์ชนิดที่พบได้มากที่สุดและกระจายพันธุ์ในวงกว้างที่สุด โดยพบที่แองโกลา, บอตสวานา, บูรุนดี, คองโก, อียิปต์ตอนใต้, เอริเธรีย, เอธิโอเปีย, เคนยา, มาลาวี, โมซัมบิก, รวันดา, โซมาลี, ตอนเหนือของแอฟริกาใต้, ซูดาน, แทนซาเนีย, อูกันดา, แซมเบีย และ ซิมบับเว โดยไม่พบในอาระเบียเหมือนไฮแรกซ์หิน.

ใหม่!!: สัตว์และไฮแรกซ์จุดเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

ไฮแรกซ์ต้นไม้

แรกซ์ต้นไม้ (Tree hyraxes, Tree dassies) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในสกุล Dendrohyrax เป็นไฮแรกซ์สกุลหนึ่ง มีลักษณะทั่วไปเหมือนกับไฮแรกซ์ทั่วไป หรือไฮแรกซ์หิน แต่ไฮแรกซ์ต้นไม้จะมีสีขนลำตัวที่อ่อนกว่าโดยสอดคล้องไปกับสภาพแวดล้อม และมีส่วนของใบหน้ายื่นยาวกว่า เป็นสัตว์หากินกลางคืนที่มีความใกล้เคียงกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยขนมขนาดใหญ่ คือ ช้าง, พะยูน รวมถึงมานาที นิ้วตีนมีทั้งหมด 4 นิ้วในตีนหน้า และ 3 นิ้วในตีนหลัง มีเล็บกลมมนและฝ่าตีนที่เหมือนแผ่นยางใช้สำหรับในการป่ายปีนต้นไม้เพื่อหากิน ตัวผู้มีการส่งเสียงร้องที่ดังเพื่อประกาศอาณาเขต ขณะที่ตัวเมียก็สามารถส่งเสียงได้แต่ขาดถุงอากาศและกล่องเสียงเหมือนตัวผู้จึงทำเสียงได้เบากว่า โดยเฉลี่ยจะส่งเสียงร้องสองครั้งต่อคืน ในช่วงแรกราว 2–3 ชั่วโมงหลังจากตกค่ำ และต่อมาอีกครั้งในช่วงหลังเที่ยงคืนไปแล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และไฮแรกซ์ต้นไม้ · ดูเพิ่มเติม »

ไฮโดรซัว

รซัว (Hydrozoa) เป็นชั้นหนึ่งในไฟลัมไนดาเรียเป็นคลาสที่ประกอบด้วยสัตว์ประมาณ 3,000 ชนิด ส่วนใหญ่อยู่ในทะเล ระยะเมดูซาของไฮโดรซัวจะมีขนาดเล็กมาก และจะมีเยื่อบางๆ เรียกเยื่อวีลัม (Velum) ติดอยู่ตามขอบ ซึ่งเยื่อนี้จะไม่พบในระยะเมดูซาของไซโฟซัว แบ่งเป็นสองกลุ่มคือ ไฮโดรซัวที่อยู่เป็นตัวเดี่ยว ได้แก่ ไฮดรา Sarsia Liriope โกนีโอนีมัส และไฮโดรซัวที่อยุ่เป็นโคโลนี ได้แก่ โอบีเลีย กะพรุนไฟ (Physalia).

ใหม่!!: สัตว์และไฮโดรซัว · ดูเพิ่มเติม »

ไฮโนซอรัส

นซอรัส (Hainosaurus) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานทะเลในวงศ์ โมซาซอร์ เคยได้รับการขนานว่าเป็น โมซาซอร์ ที่ใหญ่ที่สุด โดยได้รับฉายาว่า “ที.เร็กซ์แห่งมหาสมุทร” ตอนแรกประมาณการความยาวไว้ที่ 17เมตร(54 ฟุต) ต่อมาในปี 1990 มีการปรับขนาดลดลงมาที่15 เมตร(49 ฟุต) แต่ต่อมา นักวิทยาศาสตร์ จอห์น ลินเกรน ได้ลดขนาดลงมาที่ 12.2เมตร (40 ฟุต) (ปัจจุบัน โมซาซอร์ที่ใหญ่ที่สุดคือไทโลซอรัส ฮอฟมานี โดยมีความยาว 19 เมตร) มันเป็นหนึ่งในนักล่าในทะเลที่อยู่บนสุดใน ยุคครีเทเซียส มันมีคู่แข่งร่วมยุคอย่าง อีลาสโมซอรัส โดยมีการพบหลักฐานฟอสซิลรอยกัดของ ไฮโนซอรัส ที่บริเวณหาง และครีบ ของ อีลาสโมซอรัส ไฮโนซอรัส เป็นกิ้งก่าทะเลในวงศ์ย่อย ไทโลซอร์ (อังกฤษ:Tylosaurinae) ซึ่งเป็นกลุ่มกิ้งก่าทะเลตัวใหญ่ที่อยู่ในทุกทวีปของโลกยกเว้นในออสเตรเลียและอเมริกาใต้ แม้ว่าไฮโนซอรัสจะเป็นนักล่าในลำดับต้นๆเหมือนกัน แต่ว่ายน้ำได้ไม่เร็วนัก โดยชอบว่ายน้ำช้าๆ อาศัยครีบช่วยผลักดัน และมีโครงสร้างร่างกายที่ช่วยให้ลอยตัวได้ดีในน้ำ มีการลดน้ำหนักตัวโดยมีขาหน้าและหลังที่มีขนาดเล็ก กระดูกเชิงกรานและกล้ามเนื้ออกเล็ก มีเนื้อกระดูกบางและอาจเต็มไปด้วยเซลล์ไขมันระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งช่วยในการลอยตัวเหมือนทุ่นลอยในน้ำ ในเรื่องการกินก็ไม่ได้มีปัญหาโดยอาศัยขากรรไกรที่แข็งแรงพร้อมฟัน แหลมคม กินแม้กระทั่งโมซาซอร์ด้วยกันเอง เต่า ฉลาม และปลาอื่นๆ และอาจรู้จักใช้วิธีแอบซุ่มในหินหรือสาหร่ายในยามล่าเหยื่อ ซึ่งอะไรก็ตามที่หากเข้าไปในปากของมันแล้วก็ยากที่จะรอด แต่มีบ้างเหมือนกันที่เจ้าโมซาซอร์เพลี่ยงพล้ำถูกฉลามกัด หรือลูกๆของมันต้องกลายเป็นเหยื่อของฉลามไปบ้างก็มี ตัวทารกของมันมีขนาดเท่ากับ จระเข้ ในปัจจุบัน.

ใหม่!!: สัตว์และไฮโนซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ไจกาโนโทซอรัส

ขนาดของไจแกนโนโทซอรัสเมื่อเทียบกันไดโนเสาร์กินเนื้ออื่น (สีส้ม) ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ คือภาพที่ไจกาโนโทซอรัสเห็นไม่ทับซ้อนกัน ทำให้มองลำบากเพราะกะระยะไม่ถูกนัก จากการสำรวจพบว่าไจกาโนโทซอรัสเป็นสัตว์เลือดอุ่น หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส ไดโนเสาร์ โครงบรรพชีวินวิทยา.

ใหม่!!: สัตว์และไจกาโนโทซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ไทกอน

ทกอน (Tigon หรือ Tiglon) เป็นสัตว์ชนิดข้ามสายพันธุ์ระหว่างเสือโคร่งกับสิงโตเกิดจากสิงโตเพศเมียมาผสมพันธุ์กับเสือเพศผู้ มีการผสมคล้ายไลเกอร์ เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า เพราะปกติสิงโตตัวเมืยจะมียีนยับยั้งการเจริญเติบโตแต่เสือโคร่งตัวเมียไม่มี ไทกอนไม่มีแผงคอ หาดูได้ยากกว่าไลเกอร์มาก.

ใหม่!!: สัตว์และไทกอน · ดูเพิ่มเติม »

ไทรออปส์

ทรออปส์ (Triops) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกสัตว์ขาปล้องประเภทหนึ่ง จัดอยู่ในไฟลัมครัสตาเซียนเช่นเดียวกับ กุ้ง หรือ ปู และอยู่ในอันดับ Notostraca ในวงศ์ Triopsidae ไทรออปส์ เป็นสัตว์น้ำขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในน้ำจืด มีรูปร่างประหลาดคล้ายแมงดาทะเล จึงมีผู้เรียกว่า "แมงดาทะเลน้ำจืด" หรือ "กุ้งไดโนเสาร์" เนื่องจากเป็นสัตว์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่างมาตั้งแต่ยุคคาร์บอนิฟอรัส ราว 300 ล้านปีมาแล้ว จัดได้ว่าเป็นฟอสซิลที่มีชีวิตอีกจำพวกหนึ่งได้ ไทรออปส์ จัดอยู่ในสกุล Triops แบ่งออกได้ทั้งสิ้น 10 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และไทรออปส์ · ดูเพิ่มเติม »

ไทรนาครอมีรัม

ไทรนาครอมีเรี่ยม(trinacromerum) เป็นสัตว์เลื้อยคลานทะเลในกลุ่มเพลซิโอซอร์ขนาดเล็ก.

ใหม่!!: สัตว์และไทรนาครอมีรัม · ดูเพิ่มเติม »

ไทรโลไบต์

ทรโลไบต์ (Trilobite; สามพู) เป็นสัตว์ทะเลที่มีรยางค์เป็นข้อปล้องในไฟลัมอาร์โธรโพดา ในชั้น “ไทรโลไบตา” เริ่มปรากฏครั้งแรกในยุคแคมเบรียนตอนต้นและชุกชุมในมหายุคพาลีโอโซอิกตอนต้นก่อนที่จะเริ่มต้นลดจำนวนลงและสูญพันธุ์ไปในที่สุด โดยระหว่างช่วงเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในช่วงยุคดีโวเนียนตอนปลายไทรโลไบต์ทุกอันดับได้สูญพันธุ์ไปยกเว้นแต่เพียงอันดับพรีเอตทิดา และไทรโลไบต์ก็ได้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปทั้งหมดเมื่อสิ้นยุคเพอร์เมียนประมาณ 250 ล้านปีมาแล้ว ไทรโลไบต์เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางและอาจจะเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับสองรองจากไดโนเสาร์ เมื่อไทรโลไบต์ได้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นของยุคแคมเบรียนก็เกิดการแตกแขนงเผ่าพันธุ์อย่างรวดเร็วและแผ่ขยายแพร่พันธุ์ไปกว้างขวาง เนื่องด้วยความหลากหลายในสายพันธุ์และมีเปลือกกระดองที่ง่ายต่อการกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์จึงได้พบเป็นซากดึกดำบรรพ์ได้มากกว่า 17,000 ชนิดในช่วงตลอดมหายุคพาลีโอโซอิก ไทรโลไบต์มีความสำคัญในการวิจัยทางด้านการลำดับชั้นหินทางชีวภาพ บรรพชีวินวิทยา และเพลทเทคโทนิก ไทรโลไบต์ถูกจัดให้อยู่ในไฟลัมอาร์โธรโพดา ไฟลัมย่อยชีสโซราเมีย อยู่ในเหนือชั้นอะราชโนมอร์ฟา (เทียบเคียงได้กับ อะราชนาต้า) แต่ก็พบว่ามีผู้จัดจำแนกที่แตกต่างไปจากนี้ ไทรโลไบต์ต่างชนิดกันก็มีรูปแบบการดำรงชีวิตที่แตกต่างกันไป บางกลุ่มก็อาศัยอยู่ตามพื้นท้องทะเล อาจเป็นนักล่า กินของเน่า หรือดูดกรองอาหารจากน้ำทะเล บางกลุ่มก็ดำรงชีวิตด้วยการว่ายน้ำและกินแพลงตอนเป็นอาหาร การดำรงชีวิตทั้งหลายก็จะคล้ายกับสัตว์ทะเลปัจจุบันที่อยู่ในไฟลั่มนี้ทั้งหลายยกเว้นไม่เป็นพวกพาราสิต ไทรโลไบต์บางกลุ่ม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยู่ในวงศ์โอลีนิดา) ถูกเข้าใจว่าได้วิวัฒนาการมีความสัมพันธ์แบบซิมไบโอติกกับแบคทีเรียที่กินกำมะถันจากอาหารที่ตนได้รับม.

ใหม่!!: สัตว์และไทรโลไบต์ · ดูเพิ่มเติม »

ไทรเซราทอปส์

นาดของไทรเซราทอปซ์เมื่อเทียบกับมนุษย์ ไทรเซราทอปส์ (triceratops) เป็นไดโนเสาร์ที่มีชีวิตอยู่ในปลายยุคครีเทเชียสราว 68-65ล้านปีมันเป็น1ในไดโนเสาร์ชนิดสุดท้าย ไทรเซราทอปส์เป็นไดโนเสาร์ขนาดใหญ่หนักราว6-8ตันและยาวได้กว่า6-10เมตรโดยทั่วไปแล้วไทรเซราทอปส์จะกินเฟริน สนซึ่งเป็นพืชเนื้อหยาบมันมีจะงอยปากคล้ายนกแก้วไว้ตัดพืช และมันจะกลืนหินไปในกระเพาะเพื่อบดอาหารหินนี้เรียกว่า แกสโตรลิท ไทรเซราทอปส์มีวิถีชีวิตคล้ายแรดอยู่รวมเป็นฝูงเล็มอาหารเมื่อถูกคุกคามจากนักล่า เช่น ไทรันโนซอรัส จะหันหน้าเป็นวงกลมให้ตัวอ่อนแอและเด็กอยู่ในวงล้อม หากศัตรูเข้ามาทางใดจะพุ่งชนด้วยแรงชนกว่า6ตัน ไทรเซราทอปส์มีเขา3เขาอยู่บนหัวเขาแรกยาว20เซนติเมตรอยู่เหนือจมูก ส่วน2เขาหลังอยู่ที่ตายาวราว1เมตรแทงเพียงครั้งเดียวอาจถึงตาย บางตัวเขาอาจยาวกว่า2เมตร แต่ด้วยพละกำลังและขนาดเป็น2เท่าของช้างนักล่าส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยโจมตีมัน แต่มันมีจุดอ่อนที่แผงคอทำให้มันมองหลังไม่ดีแต่หากโจมตีข้างหน้าสถานการจะกลับกัน ไทรเซราทอปส์กินค่อนข้างมากเฉลี่ยถึง500กิโลกรัม มันมีชื่อเสียงพอๆกับที-เร็กซ์และมักเห็นภาพมันเข้าปะทะกับที-เร็กซ์ทำให้เจ้า3เขาตัวนี้ได้คำขนานนามว่า คู่ปรับแห่งราชาไดโนเสาร์ นอกจากนี้มันยังเป็นพระเอกในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องไดโนคิง (DINOSAUR KING) อีกด้วย ไทรเซราทอปส์มีชื่อเต็มว่าไทรเอราทอปส์ ฮอริดัส ฟอสซิลของไทรเซราทอปส์ตัวแรกพบโดยมารช์ คู่แข็งของโคป ในสงครามกระดูกไดโนเสาร์ ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได่สันนิฐานว่า ไทรเซราทอปส์ น่าจะใช้เขาขวิดศัตรูแบบวัวกระทิง เนื่องจากกะโหลกของมันบาง หากใช้วิธีพุ่งชนแบบแรดอาจจะทำให้กะโหลกของมันแตกได้.

ใหม่!!: สัตว์และไทรเซราทอปส์ · ดูเพิ่มเติม »

ไทลาซีน

ทลาซีน (Thylacine;; มาจากภาษากรีก แปลว่า "มีหัวเหมือนสุนัขและมีกระเป๋าหน้าท้อง") หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ เสือแทสเมเนีย หรือ หมาป่าแทสมาเนีย (Tasmanian tiger, Tasmanian wolf) เนื่องจากมีลายทางที่หลังคล้ายเสือ และลักษณะคล้ายหมาป่าหรือสุนัข มีฟันแหลมคม และสามารถยืนด้วยสองขาหลังได้เหมือนจิงโจ้ ในอดีตไทลาซีนเคยเป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องประเภทกินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีถิ่นฐานอยู่ในออสเตรเลีย รัฐแทสเมเนีย และนิวกินี ไทลาซีนสูญพันธุ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมีบันทึกไว้ว่า ไทลาซีนตัวสุดท้ายที่สวนสัตว์โฮบาร์ต ชื่อ "เบนจามิน" ได้ตายลงเมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1936 เนื่องจากถูกละเลย ขาดการดูแลรักษา และถูกประกาศสถานะสูญพันธุ์โดย IUCN ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และไทลาซีน · ดูเพิ่มเติม »

ไททันโอโบอา แซร์อาโฮนเอนซิส

ททันโอโบอา แซร์อาโฮนเอนซิส (ชื่อย่อ: ไททันโอโบอา (Titanoboa)) เป็นชื่องูขนาดใหญ่ที่ไม่มีพิษ ในวงศ์ Boidae ซึ่งปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ถูกค้นพบโดยคณะนักวิทยาศาสตร์สาขาบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยโทรอนโต ไททันโอโบอาเป็นงูที่อยู่ในวงศ์เดียวกับงูไม่มีพิษจำพวกโบอา ที่คล้ายกับงูเหลือมหรืองูหลาม ที่พบได้ในทวีปอเมริกากลางและเกาะมาดากัสการ์ในปัจจุบัน นักบรรพชีวินวิทยาเชื่อว่า ไททันโอโบอา มีรูปร่างลักษณะและมีพฤติกรรมคล้ายงูอนาคอนดาซึ่งปัจจุบันพบในป่าดิบชื้นทวีปอเมริกาใต้ โดยหากินในน้ำ ซึ่งอาหารได้แก่ จระเข้และปลาขนาดใหญ่ แต่ทว่ามีความยาวกกว่ามาก โดยมีความยาวเฉลี่ยประมาณ 13.5 เมตร และอาจยาวได้ถึง 15 เมตร หนักถึง 2.6 ตัน โดยชื่อของมันเป็นภาษาลาติน แปลได้ว่า "งูยักษ์จากแซร์อาโฮน" (Titanic boa from Cerrejon) ซึ่งมาจากชื่อเมืองแซร์อาโฮน ซึ่งเป็นเหมืองแร่ ในประเทศโคลอมเบีย ซึ่งเป็นที่ ๆ ค้นพบซากฟอสซิลของมันเป็นครั้งแรก ซากฟอสซิลของไททันโอโบอา ที่ค้นพบเป็นกระดูกสันหลัง จำนวน 180 ชิ้น คาดว่าน่าจะเป็นของงูทั้งหมด 12 ตัว ค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2007 ซึ่งกระดูกสันหลังนั้นมีขนาดใหญ่กว่ากระดูกสันหลังของงูอนาคอนดามากนัก จากการวิเคราะห์และคำนวณด้วยเครื่องมือต่าง ๆ พบว่า ไททันโอโบอามีชีวิตอยู่ในยุคพาลีโอซีน (56-60 ล้านปีก่อน) ซึ่งมีสภาพเป็นป่าดิบชื้น มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 30-34 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของป่าดิบชื้นในยุคราว 3-4 องศาเซลเซียส และสอดคล้องกับสภาพอากาศในยุคพาลีโอซีนที่คาดว่ามีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศปริมาณมาก.

ใหม่!!: สัตว์และไททันโอโบอา แซร์อาโฮนเอนซิส · ดูเพิ่มเติม »

ไททันโนซอรัส

ททันโนซอรัส (Titanosaurus) จัดเป็นไดโนเสาร์กินพืชในกลุ่มซอโรพอด ลำตัวยาว 9-12 เมตร นำหนัก 13 ตัน เกิดในยุคครีเทเชียสตอนปลาย พบทางตอนใต้ของทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาใต้ ไททันโนซอรัส มีลำตัวขนาดใหญ่ คอยาวหนา หางยาว เดิน 4 ขา เชื่องช้า มักอาศัยอยู่รวม - กันเป็นฝูง กินพืชเป็นอาหาร สมองขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาดลำตัว.

ใหม่!!: สัตว์และไททันโนซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ไทแรนโนซอรัส

กะโหลกของ ไทแรนโนซอรัส นั้นมีขนาดใหญ่ที่สุด ในบรรดา ไดโนเสาร์กินเนื้อทั้งหมด ซึ่งความใหญ่ของกะโหลกวัดกันที่ความกว้าง หลังมีการค้นพบญาติร่วมวงศ์ตระกูลของทีเร็กซ์ ว่ามีขนปกคลุม ทำให้นักวิทยาศาตร์ ได้สันนิฐานว่า ทีเร็กซ์และญาติของมัน น่าจะมีขนปกคลุมตามตัว ไทแรนโนซอรัส หรือ ไทรันโนซอรัส (แปลว่า กิ้งก่าทรราชย์ มาจากภาษากรีก) เป็นสกุลหนึ่งของไดโนเสาร์ประเภทเทอโรพอด ชนิดเดียวที่เป็นที่รู้จักในสกุลนี้คือ ไทแรนโนซอรัส เรกซ์ (rex แปลว่า ราชา มาจากภาษาละติน) หรือเรียกอย่างย่อว่า ที.

ใหม่!!: สัตว์และไทแรนโนซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ไขมันทรานส์

มันทรานส์ ที่ ไขมันทรานส์ (trans fat) เป็นไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งพบได้ไม่บ่อยในธรรมชาติ แต่สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้ ไขมันมีสายไฮโดรคาร์บอนขนาดใหญ่ยาว ซึ่งอาจเป็นไขมันไม่อิ่มตัว คือ มีพันธะคู่อย่างน้อยหนึ่งตำแหน่ง หรือไขมันอิ่มตัว คือ ไม่มีพันธะคู่เลย ก็ได้ tyในธรรมชาติ โดยทั่วไปกรดไขมันมีการจัดเรียงแบบซิส (ซึ่งตรงข้ามกับแบบทรานส์) แม้ว่าไขมันทราน์จะกินได้ แต่มีการแสดงแล้วว่าไขมันทรานส์เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือด ส่วนหนึ่งไปเพิ่มไลโพโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) ลดระดับไลโพโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) เพิ่มไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดและเพิ่มการอักเสบทั่วร่างกาย ไขมันทรานส์ยังเกิดขึ้นตามธรรมชาติได้ แต่น้อย เช่น กรดแวกซีนิก (vaccenic acid) และกรดคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก (conjugated linoleic acid) มีไขมันทรานส์ที่เกิดเองตามธรรมชาติในปริมาณหนึ่งในเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมจากสัตว์เคี้ยวเอื้อง ไขมันธรรมชาติและไขมันสังเคราะห์มีความแตกต่างทางเคมี แต่ไม่มีความเห็นพ้องกันทางวิทยาศาสตร์ถึงความแตกต่างในผลกระทบต่อสุขภาพ การศึกษาสองชิ้นในประเทศแคนาดาได้แสดงว่ากรดแวกซีนิกซึ่งเป็นไขมันทรานส์ธรรมชาติ ที่พบในเนื้อวัวและผลิตถัณฑ์นม แท้จริงแล้วอาจเป็นประโยชน์เมื่อเทียบกับน้ำมันพืชที่ผ่านปฏิกิริยาไฮโดรจีเนชัน (hydrogenated vegetable shortening) หรือมันหมูและน้ำมันถั่วเหลือง โดยลดระดับคอเลสเตอรอลรวม LDL และไตรกลีเซอไรด์ ในทางตรงข้าม การศึกษาโดยกระทรวงการเกษตรสหรัฐอเมริกาแสดงว่า กรดแวกซีนิกมีผลเสียต่อ LDL และ HDL เหมือนกับไขมันทรานส์อุตสาหกรรม เมื่อขาดหลักฐานอันเป็นที่ยอมรับและการตกลงทางวิทยาศาสตร์ หน่วยงานโภชนาการจึงพิจารณาไขมันทรานส์ทั้งหมดว่ามีผลเสียต่อสุขภาพเท่ากัน และแนะนำให้ลดการบริโภคไขมันทรานส์ลงเหลือน้อยที่สุด องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาออกข้อกำหนดเบื้องต้นว่าน้ำมันที่ผ่านปฏิกิริยาไฮโดรจีเนชันบางส่วน (ซึ่งมีไขมันทรานส์) โดยทั่วไปไม่ผ่านการรับรองว่าปลอดภัย ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การห้ามไขมันทรานส์ที่ผลิตเป็นอุตสาหกรรมจากอาหารอเมริกา ในประเทศอื่น มีข้อจำกัดทางกฎหมายต่อปริมาณไขมันทรานส์ สามารถลดระดับไขมันทรานส์ได้ โดยการใช้ไขมันอิ่มตัว เช่น มันหมู น้ำมันปาล์ม หรือไขมันที่ผ่านปฏิกิริยาไฮโดรจีเนชันอย่างสมบูรณ์ ไขมันที่ผ่านปฏิกิริยาอินเทอร์เอสเทอริฟิเคชัน (interesterified fat) และสูตรทางเลือกซึ่งใช้ไขมันไม่อิ่มตัวแทนไขมันไม่อิ่มตัวหรือผ่านปฏิกิริยาไฮโดรจีเนชันบางส่วน ไขมันที่ผ่านปฏิกิริยาไฮโดรจีเนชันไม่ใช่ไวพจน์กับไขมันทรานส์ เพราะปฏิกิริยาไฮโดรจีเนชันที่สมบูรณ์จะขจัดไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหมด คือ ทั้งซิสและทราน.

ใหม่!!: สัตว์และไขมันทรานส์ · ดูเพิ่มเติม »

ไข่มุก

มุก เป็นอัญมณี มีสีขาว เงินยวง ชมพูและสีทอง โดยนำมาจากสัตว์จำพวกหอยนางรม อาจจะนับได้ว่าเป็นอัญมณีชนิดเดียวในโลกที่เกิดมาจากสัตว์ ไข่มุกสามารถนำมาทำเป็นเครื่องประดับ หรือนำมาบดในการใช้เป็นเครื่องสำอาง ความเชื่อของไข่มุก เป็นอัญมณีแห่งสายน้ำ เสริมสง่าราศีให้กับเพศหญิงก่อให้เกิดความนุ่มนวล อ่อนหวาน แก้ปัญหาทางด้านอารมณ์ ในปัจจุบันนี้ ประเทศจีน ถือได้ว่าเป็นประเทศที่ติดอันดับต้น ๆ ของการส่งไข่มุกออกสู่ตลาดโลก ไข่มุกที่คุณภาพดีนั้น ควรมีอายุการเลี้ยงอยู่ที่ 8 เดือน ถึง 2 ปี ยิ่งเลี้ยงไว้ได้นาน ความสวยงามแวววาวยิ่งมีมากขึ้น แต่ส่วนมากที่พบในตลาดไข่มุกนั้น จะมีอายุการเลี้ยงอยู่ที่ 2-5 ปี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมด้วย เช่น มลภาวะทางน้ำ อุณหภูมิ และความอุดมสมบูรณ์ของทะเล.

ใหม่!!: สัตว์และไข่มุก · ดูเพิ่มเติม »

ไดพลอโดคัส

ลอโดคัส () หรือ กิ้งก่าสันคู่ วงศ์ ดิพโพลโดซิเด อันดับแยกย่อย ซอโรโพดา อันดับย่อย ซอโรโพโดมอพา อันดับ ซอริสเชีย เป็นไดโนเสาร์ ตระกูลซอโรพอดเช่นเดียวกับ อะแพทโตซอรัสและ มีชื่อเสียงพอๆกัน ในด้านความยาวขนาดตัว ขนาดใหญ่โตเต็มที่ยาว 25-27 เมตร(David Gillete คำนวณขนาดมันว่า ใหญ่ได้มากที่สุด 33 เมตร) แต่หนักแค่ 10-12 ตัน ถือว่าเป็นซอโรพอดที่เบาที่สุด อาศัยอยู่กลางถึงปลายยุคจูแรสซิก 150 - 147 ล้านปีก่อน ไดพลอโดคัส เป็นสายพันธุ์ที่แยกประเภทได้ง่าย เนื่องจาก ลักษณะตามแบบไดโนเสาร์ ศีรษะขนาดเล็ก เตี้ย และเอียงลาด ตาลึก รูจมูกอยู่เหนือตา จมูกกว้าง คอและหางยาว ปลายแส้ที่หางยาวมากกว่า อะแพทโตซอรัส ขา 4 ข้างที่ใหญ่โตเหมือนเสา ลักษณะที่โดดเด่นคือ เงี่ยงกระดูกเป็นคู่ที่ยื่นโผล่ออกมาจากกระดูกสันหลังตั้งแต่หลังคอเรียงรายไปถึงหาง หลายปีก่อน ไดพลอโดคัส เคยเป็น ไดโนเสาร์ที่ตัวยาวที่สุด ขนาดตัวมหึมาของมัน เป็นอุปสรรคระดับหนึ่งต่อนักล่า อย่าง อัลโลซอรัส พบที่อเมริกาเหนือ อยู่ในยุคจูราสสิคตอนปล.

ใหม่!!: สัตว์และไดพลอโดคัส · ดูเพิ่มเติม »

ไดยีมิดา

ไดยีมิดา เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:สัตว์ หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:ไฟลัม.

ใหม่!!: สัตว์และไดยีมิดา · ดูเพิ่มเติม »

ไดโลโฟซอรัส

ลโฟซอรัส (Dilophosaurus) หงอนของมันจะมีเฉเพาะตัวผู้เท่านั้น มีไว้อวดตัวเมียเวลาผสมพันธุ์ ชื่อของมันมีความหมายว่ากิ้งก่ามีหงอน พบที่ทวีปอเมริกาเหนือและประเทศจีน อาศัยอยู่ในยุคจูราสสิคตอนต้นเมื่อประมาณ 208 ล้านปีก่อน ยาวประมาณ 6-7 เมตร มันมีฟันหน้าอันแหลมคมที่นักบรรพชีวินวิทยาเชื่อว่ามีไว้สำหรับฉีกเนื้อมากกว่าการขย้ำหรือขบกัด ส่วนหงอนบนหัวไว้สำหรับโอ้อวดตัวเมีย เวลาผสมพันธุ์ ไดโลโฟซอรัส เป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วจากไปจากการปรากฏตัวใน ภาพยนตร์เรื่อง จูราสสิค พาร์ค โดยภายในภาพยนตร์ได้มีการแสดงว่า ไดโลโฟซอรัส สามารถพ่นพิษออกจากปากได้(คล้ายงูเห่าแอฟริกา) แต่เป็นเพียงเพื่อการเพิ่มอรรถรสในการชมเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า ไดโลโฟซอรัสสามารถพ่นพิษหรือกางแผงคอ ได้.

ใหม่!!: สัตว์และไดโลโฟซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ไดโปรโตดอน

ปรโตดอน หรือ วอมแบตยักษ์ หรือ วอมแบตแรด (giant wombat, rhinoceros wombat) เป็นชื่อเรียกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่จำพวกหนึ่ง ในอันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง ซึ่งเคยได้พบที่ทวีปออสเตรเลียเมื่อกว่า 40,000 ปีก่อน แต่ปัจจุบันนี้ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วไดโปรโตดอนเป็นสัตว์เลีี้ยงลูกด้วยนมมีกระเป๋าหน้าท้องที่ใหญ่ที่สุดและมันเป็นอาหารของนักล่าอย่าง สิงโตมาซูเฟียว และ เมกะลาเนีย ไดโปรโตดอน จัดอยู่ในสกุล Diprotodon มีรูปร่างลักษณะคล้ายตัววอมแบต แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก กล่าวคือ มีความสูงจากพื้นดินถึงหัวไหล่ประมาณ 2 เมตร ลำตัวยาว 3 เมตร น้ำหนักราว 3 ตัน ขณะที่วอมแบตทั่วไปสูงเพียง 25 เซนติเมตร ยาวเกือบ 1 เมตร และมีน้ำหนักราว 20-45 กิโลกรัมเท่านั้น ไดโปรโตดอน อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำเช่น ห้วยหนองคลองบึง ทั่วไป สาเหตุการสูญพันธุ์ของไดโปรโตดอน ปัจจุบันไม่มีข้อสรุปที่แน่นอน เนื่องจากนักบรรพชีวินวิทยามีทฤษฎีอยู่ 2 ทฤษฎี โดยทฤษฎีแรกเชื่อว่า มันสูญพันธุ์ไปเองโดยสาเหตุธรรมชาติ แต่อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าสูญพันธุ์เพราะถูกล่าจากมนุษย์ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวอะบอริจินส์ ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของออสเตรเลีย ทั้งที่มีหลักฐานบ่งว่ามนุษย์เพิ่งอพยพมาสู่ออสเตรเลียครั้งแรกเมื่อ 5,000 ปีก่อนนี้เอง อย่างไรก็ดี มีความเชื่อของชาวอะบอริจินส์อยู่ประการหนึ่ง ถึงสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่ดุร้ายและกินมนุษย์โดยเฉพาะผู้หญิงเป็นอาหาร ที่มีชื่อว่า "บันยิป" (Bunyip) โดยเชื่อว่า บันยิปเป็นวิญญาณของสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ที่มารวมกัน และเชื่ออีกว่าบันยิปจะอาศัยอยู่ตามพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ ทั่วออสเตรเลีย จึงมีการสันนิษฐานว่า หากบันยิปมีอยู่จริง ก็อาจจะเป็นไดโปรโตดอนที่ยังหลงเหลือเผ่าพันธุ์มาจนปัจจุบัน ก็เป็นได้.

ใหม่!!: สัตว์และไดโปรโตดอน · ดูเพิ่มเติม »

ไดโนนีคัส

นนีคัส (Deinonychus) เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อที่ฉลาดและว่องไว มีความยาวประมาณ 2-5 เมตร หนัก 73 กิโลกรัม อยู่ในวงศ์โดรเมโอซอร์ มีการออกล่าเหยื่อเป็นกลุ่มเหมือนหมาป่า อาวุธคือเล็บเท้าแหลมคมเหมือนใบมีดที่พับเก็บได้และฟันที่คมกริบ เป็นไดโนเสาร์ที่มีชีวิตอยู่บนโลก ช่วงประมาณ 83-70 ล้านปีก่อนในยุคครีเทเชียส (Cretaceous) มีหลักฐานพบเป็นฟอสซิลในบริเวณอเมริกาเหนือชื่อก่อนคือ เวโลซีแร็พเตอร์ แอนเทอโรฟัส เจ้านี้คือตัวที่ปรากฏใน จูราสสิค พาร์ค แสดงว่า สตีเว่น สปีลเบิร์ก ทำถูกแล้วเขาไม่ได้เอา เวโลซีแร็พเตอร์ จากมองโกเลียมาแต่เป็น เวโลซีแร็พเตอร์แอนเทอโรฟัส มาใช้แสดงทั้ง 4.

ใหม่!!: สัตว์และไดโนนีคัส · ดูเพิ่มเติม »

ไดโนเสาร์

นเสาร์ (dinosaur) เป็นชื่อเรียกโดยรวมของสัตว์ดึกดำบรรพ์ในอันดับใหญ่ Dinosauria ซึ่งเคยครองระบบนิเวศบนพื้นพิภพ ในมหายุคมีโซโซอิก เป็นเวลานานถึง 165 ล้านปี ก่อนจะสูญพันธุ์ ไปเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าไดโนเสาร์เป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่อันที่จริงไดโนเสาร์เป็นสัตว์ในอันดับหนึ่งที่มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างสัตว์เลื้อยคลานและนก คำว่า ไดโนเสาร์ ในภาษาอังกฤษ dinosaur ถูกตั้งขึ้นโดย เซอร์ ริชาร์ด โอเวน นักบรรพชีวินวิทยา ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นการผสมของคำในภาษากรีกสองคำ คือคำว่า deinos (δεινός) (ใหญ่จนน่าสะพรึงกลัว) และคำว่า sauros (σαύρα) (สัตว์เลื้อยคลาน) หลายคนเข้าใจผิดว่า ไดโนเสาร์ คือสัตว์ที่อาศัยอยู่ในมหายุคมีโซโซอิกทั้งหมด แต่จริง ๆ แล้ว ไดโนเสาร์ คือสัตว์ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนพื้นดินเท่านั้น สัตว์บกบางชนิดที่คล้ายไดโนเสาร์ สัตว์น้ำและสัตว์ปีกที่มีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ ไม่ถือว่าเป็นไดโนเสาร์ เป็นเพียงสัตว์ชนิดที่อาศัยอยู่ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์เท่านั้น แม้ว่าไดโนเสาร์จะสูญพันธุ์ไปนานหลายล้านปีแล้ว แต่คำว่าไดโนเสาร์ก็ยังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะไดโนเสาร์นั้นนับว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยปริศนาและความน่าอัศจรรย์เป็นอันมากนั่นเอง.

ใหม่!!: สัตว์และไดโนเสาร์ · ดูเพิ่มเติม »

ไดโนเซฟาโลซอรัส

นเซฟาโลซอรัส (ความหมาย: "สัตว์เลื้อยคลานที่มีหัวน่ากลัว") เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีชีวิตอยู่ในยุคไทรแอสซิก (ราว 245 ล้านปีก่อน) เป็นไดโนเสาร์ชนิดหนึ่งที่มีส่วนคอเรียวยาว มีเท้าที่มีครีบหรือพังผืดระหว่างนิ้วเท้า มีส่วนหัวที่เล็ก โดยตัวอย่างต้นแบบถูกค้นพบที่มณฑลกุ้ยโจว ประเทศจีน เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และไดโนเซฟาโลซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ไครนอยด์

รนอยด์ (Crinoidea) เป็นชั้นหนึ่งในไฟลัมเอไคโนดอร์มาทา ได้แก่พลับพลึงทะเลและดาวขนนก ลักษณะโดยทั่วไป ลำตัวมีก้านยึดติดกับวัตถุใต้น้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และไครนอยด์ · ดูเพิ่มเติม »

ไครโอโลโฟซอรัส

ไครโอโลโฟซอรัส (Cryolophosaurus) มีความหมายว่า "กิ้งก่าหงอนแช่แข็ง" เพราะค้นพบในทวีปแอนตาร์กติก และสภาพฟอสซิลของสมบูรณ์มาก บางคนเรียกว่า "ไดโนเสาร์เอลวิส" เพราะหงอนมีลักษณะเหมือนผมของ "เอลวิส เพรสลีย์" หงอนมีลักษณะป็นรูปพัด หงอนนี้บางและอ่อนมากจึงไม่สามารถใช้เป็นอาวุธได้ แต่เป็นเพียงเคลื่องที่อาจไว้ยั้วโมโหคู่ต่อสู้ ขนาดตัวอยู่ในราว 7 - 8 เมตร อาศัยอยู่ กินเนื้อเป็นอาหาร เป็นนักล่าขนาดกลางไม่ใหญ่มาก ในยุคจูแรสซิกตอนต้น ไครโอโลโฟซอรัสกินเนื้อเป็นอาหาร อยู่ในกลุ่มไดโลโฟซอริดส์ หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคจูแรสซิก.

ใหม่!!: สัตว์และไครโอโลโฟซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ไคโนรินชา

ไคโนรินชา เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:สัตว์ หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หมวดหมู่:ไฟลัม.

ใหม่!!: สัตว์และไคโนรินชา · ดูเพิ่มเติม »

ไซส์โมซอรัส

ซส์โมซอรัส (Seismosaurus) เป็นอดีตสกุลไดโนเสาร์ซอโรพอดที่มีความยาวประมาณ 30-35 เมตร และหนักถึง 60 ตัน มีความหมายว่ากิ้งก่าแห่งแผ่นดินไหว เพราะเวลาเดินจะทำให้พื้นสั่นเหมือนแผ่นดินไหว กินพืชเป็นอาหาร รักสงบ อาศัยอยู่ในจูแรสซิกตอนปลาย ค้นพบโดยกิลต์เลตต์ เมื่อปี..1991 รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา แต่ในปัจจุบัน ได้มีการค้นพบว่าไซส์โมซอรัสนั้น แท้จริงแล้วคือชนิดหนึ่งของสกุลดิปโพลโดคั.

ใหม่!!: สัตว์และไซส์โมซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

ไซคาเนีย

ซคาเนีย (Saichania) เป็นไดโนเสาร์หุ้มเกราะชนิดหนึ่ง ชื่อของมันมีความหมายว่าสวยงาม อาศัยอยู่ใน ยุคครีเทเชียสตอนปลายประมาณ 70 ล้านปีมาแล้ว มันเป็นไดโนเสาร์หุ้มเกราะชนิดหนึ่ง ตรงที่หางคล้ายมีกระบองติดอยู่ กระบองใช้เป็นอาวุธฟาดศัตรู สาเหตุที่มันได้ชื่อว่างดงามเป็นเพราะฟอสซิลของมันอยูในสภาพสมบูรณ์มาก ยาวประมาณ 7 เมตร กินพืชเป็นอาหาร ค้นพบฟอสซิลที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และไซคาเนีย · ดูเพิ่มเติม »

ไซน์แรปเตอร์

ซน์แรปเตอร์ (Sinraptor) เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดหนึ่ง ชื่อของมันมีความหมายว่าราชาหัวขโมยแห่งจีน ค้นพบฟอสซิลที่ประเทศจีนในปี..

ใหม่!!: สัตว์และไซน์แรปเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ไซโฟซัว

ซโฟซัว หรือ แมงกะพรุนแท้ เป็นชั้นของสัตวน้ำไม่มีกระดูกสันหลังในไฟลัมไนดาเรีย ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scyphozoa.

ใหม่!!: สัตว์และไซโฟซัว · ดูเพิ่มเติม »

ไซโฟซูรา

แมงดาทะเลโบราณในสกุล ''Mesolimulus'' ไซโฟซูรา เป็นอันดับของสัตว์ทะเลขาปล้องในชั้นเมอโรสโทมาทา (Merostomata) ที่นอกเหนือไปจากแมงป่องทะเล ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Xiphosura ลักษณะของสัตว์ในอันดับนี้ คือ มีรูปร่างคล้ายจานหรือถ้วยคว่ำ หรือครึ่งวงกลมแบบเกือกม้า ด้านบนมีตาข้าง 1 คู่เป็นตาประกอบ มีแอมมาทิเดียหลายร้อยหน่วยที่ไม่สามารถรับภาพได้ แต่สามารถจับการเคลื่อนไหวของสิ่งต่าง ๆ ได้ มีตากลาง ขนาดเล็กหลายอันทำหน้าที่รับแสง มีส่วนหางยาวเป็นแท่งใช้สำหรับจิ้มกับพื้นทรายให้พลิกตัวกลับมา เมื่อยามหงายท้องขึ้น เป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคซิลลูเรียน แต่สูญพันธุ์ไปเกือบหมด คงเหลือเพียง 4 ชนิดเท่านั้นในโลก คือ แมงดาทะเล จึงจัดเป็นฟอสซิลที่มีชีวิตอย่างหนึ่ง พบในทะเลและน้ำกร่อยของบริเวณภาคตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือและแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น สำหรับชนิดที่พบในไทยจะมีด้วยกัน 2 ชนิดคือ แมงดาจาน หรือ แมงดาหางเหลี่ยม (Tachypleus gigas) เป็นแมงดาขนาดใหญ่ หางเป็นสันแหลม รูปหน้าตัดของหางเป็นสามเหลี่ยม คาราแพดค่อนข้างเรียบและแทบจะไม่พบขนแข็ง ๆ บนคาราแพด สามารถกินได้ ส่วนอีกชนิดหนึ่งคือ แมงดาถ้วย หรือ แมงดาหางกลม หรือ เหรา (Carcinoscorpius rotundicauda) มีขนาดเล็กกว่าแมงดาหางเหลี่ยม หางโค้งมน รูปหน้าตัดของหางจะค่อนข้างกลม คาราแพดมีขนแข็งจำนวนมากและมีสีส้มหรือน้ำตาลเข้ม มีรายงานอยู่เสมอว่าผู้ที่กินไข่ของแมงดาชนิดนี้มักเป็นอันตรายต่อชีวิต เนื่องจากว่าแมงดาชนิดนี้ในบางฤดูกาลจะกินสาหร่ายและแพลงค์ตอนที่สร้างสารพิษได้ จึงมีพิษสะสมอยู่ในตัวแมงดาทะเล พิษที่ว่าจะมีผลต่อระบบประสาทต่อผู้ที่กินเข้าไป แมงดาทะเลจะขึ้นมาวางไข่บนพื้นหาดทรายชายทะเลพร้อม ๆ กัน โดยตัวเมียจะวางไข่ครั้งละ 200–3,300 ฟอง โดยมีตัวผู้เกาะเกี่ยวอยู่ที่หลัง โดยใช้ปล้องสุดท้ายของเพลดิพาลติเกาะกับโพรโซมาของตัวเมียเอาไว้และคลานตามกันไป โดยอาจมีตัวผู้ตัวอื่นมาเกาะท้ายร่วมด้วยเป็นขบวนยาวก็ได้ ตัวเมียจะขุดหลุมปล่อยไข่ออกมาแล้วตัวผู้ก็จะปล่อยสเปิร์มออกมาผสมกับไข่ หลังจากนั้นก็จะกลบไข่โดยไม่มีการดูแลไข่ ไข่จะฟักออกมาเป็นตัวอ่อนที่เรียกว่าไตรโลไบต์ ลาวา ลักษณะคล้ายตัวเต็มวัยเพียงแต่มีหางสั้นมาก แมงดาทะเลในยุคปัจจุบันมีความยาวได้ถึง 60 เซนติเมตร (24 นิ้ว) iแต่ในยุคเพลลีโอโซอิก จะมีขนาดเล็กกว่านี้ โดยมีความยาวเพียง 1–3 เซนติเมตร (0.39–1.2 นิ้ว) เท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และไซโฟซูรา · ดูเพิ่มเติม »

ไซเรน (สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก)

ำหรับสัตว์ประหลาดในเทพปกรณัมกรีก ดูที่: ไซเรน ไซเรน (Sirens) สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกซาลาแมนเดอร์วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Sirenidae จัดอยู่ในอันดับย่อย Sirenoidea ไซเรน มีความแตกต่างจากซาลาแมนเดอร์จำพวกอื่น ๆ พอสมควร เนื่องจากมีลำตัวเรียวยาวคล้ายปลาไหลหรือเขียดงู ไม่มีขาคู่หลังและกระดูกเชิงกราน ขาคู่หน้าเล็กมากและนิ้วเท้าลดจำนวนลง ปากเป็นจะงอยแข็ง เมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ยังคงรูปโครงสร้างของระยะวัยอ่อนไว้หลายประการ เช่น ไม่มีเปลือกตา, มีเหงือก, มีช่องเปิดเหงือก 1 คู่ หรือ 3 ช่อง, ไม่มีฟัน, ไม่มีกระดูกแมคซิลลา หรือมีขนาดเล็กมาก รวมทั้งลักษณะโครงสร้างของผิวหนัง มีความยาวของลำตัวประมาณ 10–90 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในน้ำตลอดเวลา เช่น บึง, ทะเลสาบ หรือแหล่งน้ำที่มีกระแสน้ำไม่แรง และมีพืชน้ำขึ้นหนาแน่น กินอาหารจำพวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก เช่น กุ้ง, ปู, แมลงน้ำ, หนอนแดง, ไส้เดือนน้ำ เป็นต้น โดยกินด้วยการดูด ในช่วงฤดูแล้งจะฝังตัวอยู่ใต้โคลน โดยสร้างปลอกหุ้มตัวคล้ายดักแด้ของแมลง การปฏิสนธิของไซเรน เกิดขึ้นภายนอกตัว และไม่พบมีพฤติกรรมเกี้ยวพาราสี และไม่มีต่อมโคลเอคัลซึ่งเป็นต่อมที่ตัวผู้ของซาลาแมนเดอร์จำพวกอื่นใช้สร้างสเปอร์มาโทฟอร์ และของตัวเมียใช้เก็บสเปิร์ม ตัวเมียวางไข่ติดกับพืชน้ำหรือสร้างรังอยู่ในกอของพืชน้ำที่อยู่ใต้น้ำ บางชนิดมีพฤติกรรมเฝ้.

ใหม่!!: สัตว์และไซเรน (สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก) · ดูเพิ่มเติม »

ไซเรนแคระ

ซเรนแคระ (Dwarf sirens, Mud sirens) เป็นสกุลของซาลาแมนเดอร์ จำพวกไซเรน (Sirenidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Pseudobranchus ไซเรนในสกุลนี้ มีรูปร่างแตกต่างจากไซเรนในสกุล Siren คือ มีลำตัวสั้นป้อมกว่า และไม่มีกระดูกแมคซิลลา พบกระจายพันธุ์ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และไซเรนแคระ · ดูเพิ่มเติม »

ไนดาเรีย

ฟลัมไนดาเรีย หรือ เคยมีชื่อว่า ไฟลัมซีเลนเตอราตา หรือพวก ซีเลนเตอราตา เป็นกลุ่มสัตว์ที่มีรูปร่างทรงกระบอก มีโพรงในลำตัว และมีเข็มพิษ เช่น แมงกะพรุน ดอกไม้ทะเล ไฮดรา ส่วนใหญ่พบตามชายฝั่งลงไปจนถึงทะเลลึก บางชนิดพบในน้ำจืด กลางลำตัวเป็นท่อกลวง มีอวัยวะคล้ายหนวดหลายเส้น ภายในหนวดนี้มีเข็มพิษจำนวนมาก เมื่อสัมผัสจะทำให้ผิวหนังระคายเคืองและพิษจากเข็มพิษบางชนิดทำให้สัตว์เป็นอัมพาตได้ สัตว์กลุ่มนี้มีประโยชน์ต่อมนุษย์โดยเฉพาะพวกปะการัง เสมือนเป็นป่าใต้น้ำ ที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย ที่เจริญเติบโตและหลบภัยของสัตว์น้ำนานาชนิด สัตว์กลุ่มนี้ บางชนิดจะสืบพันธุ์ แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกหน่อ เช่น ไฮดรา ปะการัง และกัลปังหา บางชนิดสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เช่น แมงกะพรุน.

ใหม่!!: สัตว์และไนดาเรีย · ดูเพิ่มเติม »

ไนโตรเจนออกไซด์

นโตรเจนออกไซด์ (NOx) หรือ กลุ่มก๊าซที่มี (Highly reactive gases) เป็นก๊าซซึ่งมีองค์ประกอบทางเคมีของไนโตรเจนและออกซิเจน ในอัตราส่วนแตกต่างกัน ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ยกเว้นก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ เมื่อรวมตัวกับอนุภาคอื่น ๆ ในอากาศ จะเห็นคล้ายตดเป็นชั้นสีน้ำตาลแดง.

ใหม่!!: สัตว์และไนโตรเจนออกไซด์ · ดูเพิ่มเติม »

เชลิเซอราตา

ฟลัมย่อยเชลิเซอราตา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Chelicerata) หรือ เชลิเซอเรต (Chelicerate) เป็นไฟลัมย่อยของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในไฟลัมอาร์โธพอดา (Arthropoda) หรือ อาร์โธพอด ถือกำเนิดมาแล้วกว่า 600 ล้านปี ลักษณะโดยรวมของสัตว์ในไฟลัมย่อยนี้คือ ไม่มีกราม และไม่มีหนวด ลำตัวแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เซฟาโลทอแรกซ์ และส่วนท้อง เซฟาโลทอแรกซ์เป็นส่วนที่รวมส่วนหัวและส่วนอกเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีเปลือกแข็งชิ้นเดียวคลุมอยู่เรียก คาราเพช ระยางค์ทั้ง 6 คู่ ประกอบด้วยระยางคู่แรกเป็นระยางค์หนีบ ระยางค์คู่ที่ 2 คือ เพดิพาลพ์ ช่วยในการฉีกอาหาร ระยางค์อีก 4 คู่ เป็นขาเกิน ส่วนท้องไม่มีระยางค์ แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และเชลิเซอราตา · ดูเพิ่มเติม »

เบวะซิซิวแมบ

วะซิซิวแมบ (Bevacizumab) ที่วางตลาดในชื่อการค้า Avastin เป็นยาที่ใช้รักษาโรคมะเร็งบางอย่างและโรคตาอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ สำหรับมะเร็ง มันปล่อยเข้าเส้นเลือดดำอย่างช้า ๆ เพื่อรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งปอด, มะเร็งสมอง (glioblastoma), และมะเร็งเซลล์ไต (renal cell carcinoma) สำหรับรักษาจุดภาพชัดเสื่อมเนื่องกับอายุ (AMD) มันใช้ฉีดเข้าในตา ผลข้างเคียงสามัญเมื่อใช้รักษามะเร็งรวมทั้งเลือดกำเดาไหล ปวดหัว ความดันโลหิตสูง และผื่น ผลข้างเคียงรุนแรงรวมทั้งทางเดินอาหารทะลุ (gastrointestinal perforation) เลือดออก แพ้ ลิ่มเลือด และความเสี่ยงติดเชื้อสูงขึ้น เมื่อใช้รักษาตา ผลข้างเคียงรวมทั้งการเสียการเห็นและจอตาลอก bevacizumab อยู่ในหมู่ยายับยั้งกำเนิดหลอดเลือด (angiogenesis inhibitor) และสารภูมิต้านทานโมโนโคลน (monoclonal antibody) มันทำงานโดยชะลอการเกิด/การเติบโตของเส้นเลือด bevacizumab อนุมัติให้ใช้รักษาในสหรัฐอเมริกาปี 2004 เป็นยาอย่างหนึ่งในรายการยาจำเป็นขององค์การอนามัยโลก คือเป็นยาที่มีประสิทธิผลและปลอดภัยที่สุดและจำเป็นในระบบสาธารณสุข โดยติดรายการเพราะใช้รักษาโรคตา ในประเทศกำลังพัฒนา ราคาขายส่งของมันอยู่ที่ 638.54 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 20,741 บาท) ต่อขวดในปี 2014 เพื่อขวดขนาดเดียวกันองค์การอนามัยสหราชอาณาจักร (NHS) ต้องจ่าย 242.66 ปอนด์สเตอร์ลิง (ประมาณ 12,700 บาท).

ใหม่!!: สัตว์และเบวะซิซิวแมบ · ดูเพิ่มเติม »

เชสนัส มาคอว์

นัท มาคอว์ หรือ มาคอว์สีเกาลัด เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดของมาคอว์ขนาดเล็ก มีขนาดประมาณ 45 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และเชสนัส มาคอว์ · ดูเพิ่มเติม »

เชื้อเพลิง

ม้ เชื้อเพลิงชนิดหนึ่ง เชื้อเพลิง คือวัสดุใดๆ ที่นำไปเผาไหม้หรือแปรเปลี่ยนเพื่อนำมาซึ่งพลังงาน เชื้อเพลิงจะปลดปล่อยพลังงานผ่านปฏิกิริยาทางเคมีเช่นการเผาไหม้ หรือปฏิกิริยานิวเคลียร์เช่นการแตกตัวหรือการรวมตัวของนิวเคลียส อย่างใดอย่างหนึ่ง คุณสมบัติสำคัญของเชื้อเพลิงที่มีประโยชน์คือพลังงานที่มีอยู่สามารถถูกบรรจุและปลดปล่อยได้ตามต้องการ และการปลดปล่อยนั้นถูกควบคุมในทางใดทางหนึ่งเพื่อให้สามารถใช้สร้างงานทางวิศวกรรมได้ สิ่งมีชีวิตที่มีคาร์บอนเป็นพื้นฐาน (carbon-based life) ทุกชนิด คือตั้งแต่จุลชีพไปจนถึงสัตว์รวมทั้งมนุษย์ ใช้เชื้อเพลิงเป็นแหล่งพลังงาน เซลล์ต่างๆ จะต้องเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า เมแทบอลิซึม (metabolism) ซึ่งดึงเอาพลังงานออกมาจากอาหารหรือแสงอาทิตย์ในรูปแบบที่สามารถใช้ในการดำรงชีวิต นอกจากนั้นมนุษย์ใช้เทคนิคที่หลากหลายเพื่อแปรเปลี่ยนพลังงานรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งการสร้างพลังงานก็เพื่อจุดประสงค์ที่มากไปกว่าพลังงานในร่างกายมนุษย์ การใช้พลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกจากเชื้อเพลิงมีตั้งแต่ การทำความร้อนเพื่อการปรุงอาหาร การผลิตไฟฟ้า หรือแม้แต่การเพิ่มแสนยานุภาพของอาว.

ใหม่!!: สัตว์และเชื้อเพลิง · ดูเพิ่มเติม »

เบียร์ดดราก้อน

ียร์ดดราก้อน หรือ มังกรเครา (Bearded dragon, Inland bearded dragon, Central bearded dragon) สัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง จำพวกกิ้งก่า ในวงศ์กิ้งก่า (Agamidae) เบียร์ดดราก้อน มีสีลำตัวตามธรรมชาติสีน้ำตาลสลับกับลายสีครีมเข้ม ตามลำตัวจะเต็มไปด้วยเกล็ดและหนามเล็ก ๆ ใช้สำหรับป้องกันตัวจากศัตรูผู้ล่า แต่ไม่อาจทำอันตรายสัตว์อื่นใดก่อนได้ ขนาดเมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวรวมหางประมาณ 16-18 นิ้ว มีจุดเด่นที่ถุงใต้คอซึ่งเป็นหนามแหลม แลดูคล้ายเครา อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ ยิ่งโดยเฉพาะในตัวผู้ในวัยเจริญพันธุ์จะมีถุงนี้เห็นได้ชัดเจน ซึ่งจะแผ่ขยายออกเป็นสีดำเวลาตื่นเต้น ตกใจ ต่อสู้ หรือใช้ในการเกี้ยวพาราสีตัวเมีย กระจายพันธุ์อยู่ในทะเลทราย ที่มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับกับเนินทรายเตี้ย ๆ ในประเทศออสเตรเลีย แถบรัฐควีนส์แลนด์, นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี, นิวเซาท์เวลส์ และวิกตอเรีย โดยหากินและอาศัยอยู่บนพื้นมากกว่าจะปีนป่ายตามก้อนหินหรือต้นไม้ กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น หนอน, แมลง, กิ้งก่าขนาดเล็ก, ผักชนิดต่าง ๆ เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 8-12 เดือน ในช่วงผสมพันธุ์ ตัวผู้อาจจะผสมพันธุ์กับตัวเมียได้หลายตัว อาจถึงหลักสิบ ใช้เวลาตั้งท้องนาน 20-28 วัน เมื่อวางไข่ ตัวเมียจะไม่กินอาหารก่อน 2-4 วัน ซึ่งตัวเมียจะขุดหลุมกับพื้นทราย ก่อนที่จะวางไข่ในหลุมประมาณ 20-30 ฟองต่อครั้ง หลังจากวางไข่เรียบร้อยแล้ว ตัวเมียสามารถตั้งท้องได้อีกโดยที่ไม่ต้องผ่านการผสมพันธุ์อีกราว 2-4 ท้อง โดยทิ้งช่วงระยะเวลาประมาณ 20-28 วัน เท่ากับการตั้งท้อง ไข่เบียร์ดดราก้อนใช้เวลา 55-65 วัน ในการฟักเป็นตัว อุณหภูมิเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดเพศเหมือนเช่นสัตว์เลื้อยคลานอีกหลายประเภท อุปนิสัยและพฤติกรรมของเบียร์ดดราก้อนนั้นในธรรมชาติของเบียร์ดดราก้อนเป็นสัตว์ที่หวงถิ่นที่อยู่มาก เบียร์ดดราก้อนไม่ว่าเพศผู้หรือเพศเมียนั้นเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษในธรรมชาติ เบียร์ดดราก้อนไม่จับคู่อยู่ร่วมกันเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มแต่อย่างใด เบียร์ดดราก้อนนั้นไม่มีความผูกพันธ์ุทางสายเลือดและไม่อาจมีความรู้สึกรักหรือว่ารับรู้ถึงการมีความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมสายพันธ์ุได้ การที่ผู้เลี้ยงไม่ศึกษาพฤติกรรมที่ของเบียร์ดดราก้อนให้รอบคอบ อาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตของสัตว์เลี้ยงได้ เบียร์ดดราก้อนเพศผู้นั้นจะเข้าขู่เบียร์ดดราก้อนผู้รุกรานในทันทีที่พบเห็นโดยการฉีดสีไปในส่วนเคราให้เป็นสีดำและการยักหัวขึ้นลงอย่างรุนแรง ก่อนที่เพศผู้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ตัวเล็กกว่าจะโบกมือขึ้นลงอย่างช้าๆแสดงความยอมแพ้และถอยหนี แต่ถ้าหากว่าเพศผู้ทั้งคู่มีความเหี้ยนกระหือรือทั้งคู่ การเข้าขู่และวิ่งไล่กัดกันย่อมเกิดขึ้น ตามมาด้วยความตายหรือบาดเจ็บของทั้งสองฝ่าย เบียร์ดดราก้อนจำนวนไม่น้อยนั้นได้สูญเสียนิ้ว ขา หรือหาง มาจากการต่อสู้ไม่ว่าในวัยเด็กเล็กหรือโตเต็มวัย หรือแย่กว่านั้นอาจทำให้แผลเกิดการติดเชื้อตามมาด้วยการเน่าและถึงแก่ความตายได้ เบียร์ดดราก้อนไม่ควรนำมาเลี้ยงด้วยกันไม่ว่าจะเพศผู้หรือเพศเมีย ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะให้มันมาอยู่ร่วมกันคือช่วงการผสมพันธุ์ชั่วคราวเท่านั้น การที่เบียร์ดดราก้อนสองตัวเอาตัวทับกันนั้นไม่ได้เป็นการแสดงออกถึงความรักแต่อย่างใด แต่หากเป็นการแสดงถึงความเป็นใหญ่ในอาณาเขตของตน ตัวที่เป็นใหญ่นั้นจะเอาร่างตัวมันเองบังแสงและความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้อีกตัวไม่สามารถได้รับแสงได้อย่างเหมาะสม ลักษณะพฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่การแสดงออกทางความรักแต่อย่างใด เนื่องจากเบียร์ดดราก้อนเป็นสัตว์เลือดเย็นไม่สามารถสร้างความร้อนเองได้ อาจส่งผลทำให้ตัวที่ด้อยกว่านั้นส่งผลเสียทางสุขภาพและความเครียดในระยะยาวอาทิ ซึมเศร้า ขาดน้ำและขาดสารอาหาร ซึ่งสามารถทำให้ถึงตายได้ เบียร์ดดราก้อนเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยแสดงออกทางอาการ ไม่ว่าจะเจ็บ หรือป่วย แต่จะตายทันทีเมื่อถึงขีดสุดที่มันจะทนได้ เบียร์ดดราก้อนที่มีอาการเครียดนั้น จะแสดงออกโดยการฉีดสีดำเข้าไปที่ใต้ท้อง มีลักษณะเป็นเส้นลายวงๆ เบียร์ดดราก้อนที่ไม่มีอาการเครียดจะมีท้องลักษณะขาวโพลน ไม่มีเส้นดำ หรือลายใดๆใต้ท้องลำตัว หากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น ควรที่จะนำเบียร์ดดราก้อนไปในที่ที่มันรู้สึกปลอยภัยเช่นตู้ที่อยู่ของมันในทันที มักจะทำให้อาการเหล่านี้หายไปได้ เบียร์ดดราก้อนเป็นสัตว์ที่ขี้เกียจ ไม่ค่อยชอบเดินและมักจะอยู่เฉยๆตากแดดตลอดวัน เมื่อเบียร์ดดราก้อนรู้สึกร้อน มันจะอ้าปากเพื่อเป็นการคลายความร้อน เนื่องจากเบียร์ดดราก้อนเป็นสัตว์เลื้อยคลาน พวกมันไม่สามารถระบายความร้อนทางเหงื่อได้เฉกเช่นมนุษย์ เบียร์ดดราก้อนที่ตากแดด ควรจะมีที่กำบังขณะตากแดดบ้าง จะทำให้เบียร์ดดราก้อนสามารถเข้าไปหลบแดดได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการช็อกตายโดยความร้อนจัดในเวลากลางวัน เบียร์ดดราก้อนเป็นสัตว์ที่เก็บน้ำในร่างกาย พวกมันกินน้ำน้อยมากต่อวันหรือไม่กินเลย เบียร์ดดราก้อนบางตัวมักไม่ยอมกินน้ำจากถ้วย แต่พวกมันสามารถได้รับน้ำจากอาหารที่กินเช่นผักหรือผลไม้ได้ ลักษณะของเบียร์ดดราก้อนที่แข็งแรงนั้นควรจะหัวเชิดตรง ดวงตาเปิดเป็นวงกลมเต็มที่ ไม่ง่วงซึมช่วงตอนกลางวันแต่อย่างใด เบียร์ดดราก้อน นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง เพราะมีอุปนิสัยไม่ดุร้าย ไม่กัดหรือทำร้ายมนุษย์ โดยสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้ โดยมักจะเป็นตู้ปลาที่ปูพื้นด้วยทรายหรือกรวดแห้ง ๆ เหมือนสภาพที่อยู่ในธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบัน สามารถเพาะเบียร์ดดราก้อนที่มีความยาวถึง 22 นิ้วได้ ซึ่งนับว่ามีความใหญ่กว่าขนาดในธรรมชาติ หรือมีสีต่าง ๆ ผิดไปจากธรรมชาติด้วย เช่น สีแดง, สีเหลืองทั้งตัว หรือหนามบนตัวหายไปหมด หรือแม้แต่ลำตัวโปร่งใสจนมองเห็นอวัยวะต่าง ๆ ภายในได้ลาง ๆ ดวงตามีแต่ส่วนตาดำ ไม่มีตาขาว เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และเบียร์ดดราก้อน · ดูเพิ่มเติม »

เบียร์ดดราก้อน (สกุล)

ียร์ดดราก้อน (อังกฤษ: Bearded dragons; มังกรเครา) ชื่อสามัญที่ใช้เรียกกิ้งก่าในสกุล Pogona มีรูปร่างเหมือนกิ้งก่าทั่วไป แต่มีจุดเด่นอยู่ที่ถุงใต้คอซึ่งเป็นหนามแหลม อันเป็นที่มาของชื่อ ยิ่งโดยเฉพาะในตัวผู้ในวัยเจริญพันธุ์จะมีถุงนี้เห็นได้ชัดเจน ซึ่งจะแผ่ขยายออกเป็นสีดำเวลาตื่นเต้นหรือตกใจ เบียร์ดดราก้อน มีขนาดความยาวโดยเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 18 นิ้ว มีทั้งสิ้น 7 ชนิด (ดูในตาราง) สามารถแยกเพศได้ชัดเจนเมื่ออายุได้ 1 ปี พบกระจายพันธุ์ในทะเลทรายทางตอนเหนือของออสเตรเลีย สามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อม กินอาหารได้ทั้งพืช,แมลงและ หนอนนก หากินในเวลากลางวัน โดยกินผักได้หลากหลายชนิด เช่น ข้าวโพด, ผักกาดขาว, ผักกาดหอม, ฟักทอง, ผักกวางตุ้ง, แครอท มีอุปนิสัยที่ไม่ดุร้าย เชื่องต่อมนุษย์ จึงนิยมนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลาน ยิ่งโดยเฉพาะในตัวที่มีสีสันแปลกแตกต่างไปจากปกติ สนนราคาก็จะยิ่งแพงขึ้น.

ใหม่!!: สัตว์และเบียร์ดดราก้อน (สกุล) · ดูเพิ่มเติม »

เบเลมไนต์

ลมไนต์ (หรือเบเลมนอยด์) เป็นกลุ่มของสัตว์ทะเลพวกเซฟาโลพอดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว มีลักษณะคล้ายกับหมึกกระดอง (cuttlefish) และหมึกกล้วย (squid) ในปัจจุบันมาก เบเลมไนต์เหมือนกับหมึกทั้งสองคือมีถุงหมึก แต่ไม่เหมือนหมึกกล้วยที่เบเลมไนต์มีแขน 10 แขนที่มีความยาวเกือบเท่ากันทั้งหมดแต่ไม่มีหนวด (tentacle) เบเลมไนต์พบมากในช่วงยุคจูแรสซิกและยุคครีเทเชียสโดยพบเป็นซากดึกดำบรรพ์พบมากทั้งมหายุคมีโซโซอิกโดยมักพบร่วมกับญาติๆใกล้ชิดของมันอย่างแอมโมไนต์ เบเลมไนต์ได้สูญพันธุ์ไปเมื่อสิ้นสุดยุคครีเทเชียสไปพร้อมๆกับแอมโมไนต์ ต้นกำเนิดของเบเลมไนต์อยู่ระหว่างนอติลอยด์อันดับแบคทรีติดาในยุคดีโวเนียน ส่วนของการ์ดของเบเลมไนต์สามารถพบได้ในชั้นหินตั้งแต่ยุคคาร์บอนิเฟอรัสตอนต้นเรื่อยมาจนถึงยุคครีเทเชียสร่วมกับซากดึกดำบรรพ์ของเซฟาโลพอดอื่นๆได้แก่บาคูไลต์ นอติลอยด์ และโกนิเอไทต์ ซากดึกดำบรรพ์เบเลมไนต์จากฟรังโคเนียน จูรา ปกติแล้วซากดึกดำบรรพ์ของเบเลมไนต์จะพบเฉพาะส่วนหลังของเปลือกกระดองที่เรียกกันว่า “การ์ด” หรือ “รอสตรัม” การ์ดนี้มีรูปร่างคล้ายกระสุนยาว มีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอกโดยปลายด้านหนึ่งจะแหลมหรือโค้งมน ที่ด้านหน้าของการ์ดจะเป็นรูกลวงเรียกว่า “อัลวีโอลัส” ซึ่งเป็นส่วนของเปลือกกระดองที่เป็นห้องรูปกรวยเรียกว่า “แฟรกโมโคน” ส่วนของแฟรกโมโคนนี้ปรกติจะพบเป็นชิ้นตัวอย่างในสภาพที่ดี ส่วนปลายด้านตรงข้ามกับแฟรกโมโคนจะเป็น “โปร-ออสทราคัม” บางๆ แฟรกโมโคนของเบเลมไนต์ก็เหมือนกับเปลือกกระดองของเซฟาโลพอดทั้งหลายที่ประกอบด้วยแร่อะราโกไนต์ การ์ดของเบเลมไนต์ประกอบขึ้นด้วยแร่แคลไซต์ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ในสภาพที่สมบูรณ์ได้ การ์ดที่แตกหักได้แสดงโครงสร้างของเส้นใยแร่แคลไซต์เรียงตัวในแนวรัศมีและอาจแสดงเส้นเติบโตเป็นเส้นวงกลมซ้อนกันหลายๆวง ในเนื้อของการ์ดเป็นสิ่งที่มีลักษณะเฉพาะทางธรณีเคมีไอโซโทป ซึ่งการ์ดของเบเลมไนต์จากหมวดหินปีดียุคครีเทเชียส ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกานั้นได้ถูกใช้เป็นมาตรฐานโลก (*PDB*) ในการเทียบเคียงกับตัวอย่างที่จะทำการวัดค่าทางธรณีเคมีไอโซโทปทั้งของไอโซโทปของคาร์บอนและไอโซโทปของออกซิเจน การ์ด แฟรกโมโคน และโปร-ออสทราคัม เป็นสิ่งที่อยู่ภายในของตัวเบเลมไนต์ที่มีชีวิตเหมือนดังเป็นโครงกระดูกที่ถูกห่อหุ้มด้วยกล้ามเนื้อโดยรอบทั้งหมด ตัวมีชีวิตจริงๆจึงมีขนาดใหญ่กว่าเปลือกกระดองที่กลายเป็นซากดึกดำบรรพ์และมีรูปร่างยาวที่ลู่ไปตามน้ำพร้อมด้วยดวงตาที่โดดเด่น การ์ดจะอยู่ต่อจากส่วนท้ายของตัวเบเลมไนต์โดยมีแฟรกโมโคนอยู่ด้านหลังของส่วนหัวที่ชี้ปลายไปทางด้านหลัง เบเลมไนต์ การ์ดของเบเลมไนต์ “เมกะทิวธิส จิแจนตี” ที่พบในยุโรปและเอเชียวัดความยาวได้ถึง 46 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และเบเลมไนต์ · ดูเพิ่มเติม »

เฟร์ริต

ฟอเรท (ferret) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง จำพวกวีเซล นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง เฟอเรทเป็นชนิดย่อยของโพลแคตยุโรป (M. putorius) ที่เป็นวีเซลหรือเพียงพอนที่พบได้ในทวีปยุโรป จากการตรวจสอบทางดีเอ็นเอพบว่าเฟอเรทนั้นถูกมนุษย์เลี้ยงกันมาถึง 2,500 ปีแล้ว โดยในประวัติศาสตร์ จะมีเฟอเรทปรากฏตามที่ต่าง ๆ อาทิ ปรากฏในภาพวาดของลีโอนาร์โด ดา วินชี หรือเป็นสัตว์เลี้ยงของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 แห่งจักรวรรดิอังกฤษ และยังเป็นสัตว์ที่ใช้ในการวางสายเคเบิลในการถ่ายทอดพระราชพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าฟ้าชายชาลส์ กับเลดี้ไดอานา ในปี ค.ศ. 1981 ด้วยPets 101: Pet Guide, สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต ทางทรูวิชั่นส์: พฤหัสบดีที่ 3 มกราคม 2556 เฟอเรทมีความยาวประมาณ 20 นิ้ว (51 เซนติเมตร) และความยาวหาง 5 นิ้ว (13 เซนติเมตร) น้ำหนักประมาณ 1.5–4 ปอนด์ (0.7–2 กิโลกรัม) อายุขัยโดยเฉลี่ย 7-10 ปี ตัวผู้นั้นจะมีความยาวมากกว่าตัวเมีย อาหารที่เฟอเรทกินนั้นคือเนื้อสัตว์เท่านั้น ไม่ใช่ผลไม้ หากเฟอเรทกินผลไม้อาจจะทำให้เฟอเรทเสียชีวิตจากการที่อาหารไม่ย่อย หรือกระทั่งเป็นเบาหวานได้ ในสหรัฐอเมริกา เฟอเรทถูกนำเข้ามาในฐานะของสัตว์ที่ฝึกไว้สำหรับล่ากระต่าย ซึ่งเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของเฟอเรทหรือวีเซลอยู่แล้ว ที่ล่าสัตว์ขนาดเล็กตามโพรงดิน เช่น หนู, กระต่าย เป็นอาหาร โดยการมุดเข้าไปลากออกมาถึงในโพรง เฟอร์เร็ตนับเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีจำนวนชิ้นกระดูกสันหลังมากที่สุดในโลก โดยมีกระดูกที่ต้นคอถึง 7 ชิ้น และสะโพก 6 ชิ้น นั่นจึงทำให้เฟอร์เร็ตสามารถที่จะมุดหรือลอดไปตามโพรงหรือรูเรี้ยวต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น คล่องแคล่ว เฟอเรทเป็นสัตว์ที่สามารถเลี้ยงไว้ในบ้านได้เป็นอย่างดี แต่มีข้อเสียคือ กลิ่นตัวที่เหม็น โดยเฉพาะเมื่อตกใจจะปล่อยกลิ่นออกมาตามสัญชาตญาณธรรมชาติ หลังจากผสมผ่านไป 2 สัปดาห์ ท้องตัวเมียจะใหญ่ขึ้น เห็นราวนมชัดขึ้น มีระยะเวลาตั้งท้องนาน 42วัน มีลูกปีละ 1-2 ครั้ง โดยสามารถคลอดลูกได้ถึง 2-12ตัวต่อครั้ง ใช้เวลาเลี้ยงลูกให้นมลูกนานราว 6สัปดาห์ จากนั้นลูกเฟอร์เร็ตจะเริ่มกินอาหาร กินเนื้อได้เอง ซึ่งในประเทศไทย ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์เฟอเรทได้แล้ว แทนการนำเข้ามาจากต่างประเท.

ใหม่!!: สัตว์และเฟร์ริต · ดูเพิ่มเติม »

เฟอร์ริติน

ฟอร์ริติน (Ferritin) เป็นโปรตีนในเซลล์ทั่วไปที่สะสมธาตุเหล็กและปล่อยมันอย่างเป็นระบบ โปรตีนนี้มีในสิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมด รวมทั้งสาหร่าย แบคทีเรีย พืชชั้นสูง และสัตว์ ในมนุษย์ มันมีหน้าที่เป็นสารบัฟเฟอร์เพื่อไม่ให้ขาดเหล็กหรือมีเหล็กเกิน และพบในเนื้อเยื่อโดยมากในรูปแบบของโปรตีนในไซโตซอล (ในไซโทพลาซึมของเซลล์) แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่อยู่ในเลือดโดยทำหน้าที่เป็นตัวขนส่งธาตุเหล็ก ระดับเฟอร์ริตินในเลือดยังเป็นตัวชี้ทางชีวภาพ (biomarker) ของปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมในร่างกาย และดังนั้น จึงสามารถตรวจสอบเพื่อวินิจฉัยภาวะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็ก (iron-deficiency anemia) เฟอร์ริตินเป็นคอมเพล็กซ์โปรตีนรูปทรงกลมที่มีหน่วยย่อย 24 หน่วยและเป็น "โปรตีนเก็บธาตุเหล็กในเซลล์" หลักทั้งในโพรแคริโอตและยูแคริโอต โดยเก็บเหล็กในรูปแบบที่ละลายน้ำได้และไม่มีพิษ ส่วนเฟอร์ริตินที่ไม่รวมเข้ากับธาตุเหล็กก็จะเรียกว่า apoferritin.

ใหม่!!: สัตว์และเฟอร์ริติน · ดูเพิ่มเติม »

เฟิร์น

ฟิร์น หรือ เฟิน (fern) เป็นหนึ่งในกลุ่มของพืชที่มีราว ๆ 20,000 สปีชีส์ ที่ถูกจำแนกในไฟลัม Pteridophyta หรือ Filicophyta พืชกลุ่มนี้ยังเป็น Polypodiophyta หรือ Polypodiopsida ด้วย เมื่อถือตามส่วนย่อยของพืชมีท่อลำเลียง คำว่า เทอริโดไฟต์ (pteridophyte) ใช้เพื่อกล่าวถึงพืชมีท่อลำเลียงที่ไม่มีเมล็ดทั้งหมด ทำให้มันหมายถึง "เฟิร์นและพืชใกล้เคียงเฟิร์น" ซึ่งสามารถสร้างความสับสนเมื่อสมาชิกของเฟิร์นในส่วน Pteridophyta บางครั้งอ้างเป็นเทอริโดไฟต์ได้ด้วยเหมือนกัน การศึกษาในเรื่องของเฟิร์นและเทอริโดไฟต์อื่น ๆ เรียกว่า วิทยาเฟิร์น (Pteridology).

ใหม่!!: สัตว์และเฟิร์น · ดูเพิ่มเติม »

เพชรพระอุมา

รพระอุมา เป็นนวนิยายแนวผจญภัยที่มีขนาดความยาวมากที่สุดในประเทศไทย และนับว่าเป็นนวนิยายที่มีความยาวมากที่สุดในโลกรักษ์ชนก นามทอน, เจาะลึกเบื้องหลังเพชรพระอุมา คำนิยมจากบรรณาธิการ, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544 บทประพันธ์โดย พนมเทียน ซึ่งเป็นนามปากกาของนายฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ และตีพิมพ์ต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน ใช้ระยะเวลาในการประพันธ์ยาวนานกว่า 25 ปี โดยพนมเทียนเริ่มต้นการประพันธ์เพชรพระอุมาในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2507 และสิ้นสุดเนื้อเรื่องทั้งหมดในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2533 รวมระยะเวลาในการประพันธ์ทั้งสิ้น 25 ปี 7 เดือน กับ 2 วัน เพชรพระอุมาถูกนำมาตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มซ้ำใหม่หลาย ๆ ครั้งในรูปแบบของพ็อกเก็ตบุ๊ค จำนวน 48 เล่ม โดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ลิขสิทธิ์โดยพนมเทียน (เดิมเป็นชนิดปกแข็งจำนวน 53 เล่ม แต่ละเล่มมีความหนาประมาณ 33 ยก หรือ 16 หน้ายก และเมื่อนำมารวมกันทั้งหมดจะมีความหนาประมาณ 1,749 ยก แบ่งเป็นสามภาคได้แก่ ภาคแรก จำนวน 24 เล่ม ภาคสอง จำนวน 15 เล่ม และ ภาคสาม จำนวน 14 เล่ม แต่ปัจจุบันได้รวบรวมเนื้อหาในแต่ละภาคและลดลงคงเหลือเพียงแค่ 48 เล่ม) แบ่งเป็นสองภาคคือภาคแรก จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน และภาคสมบูรณ์ จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน ตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2538 ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2541 และทำการปรับปรุงต้นฉบับเดิมพร้อมกับตีพิมพ์ครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2544 และตีพิมพ์ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2547 อีกทั้งยังมีการทำเป็น eBook โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์ในปี พ.ศ. 2556 โดยเนื้อเรื่องต่าง ๆ ของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนได้นำเค้าโครงเรื่องมาจาก คิง โซโลมอน'ส มายน์ส (King Solomon's Mines) หรือ สมบัติพระศุลี นวนิยายของเซอร์เฮนรี่ ไรเดอร์ แฮกการ์ด (H. Rider Haggard) ที่ผจญภัยในความลี้ลับของป่าดงดิบภายในทวีปแอฟริกาพนมเทียน, เจาะลึกเบื้องหลังเพชรพระอุมา เค้าโครงเรื่องจากคิง โซโลมอน'ส มายน์ส (King Solomon's Mines), สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2546 หน้า 11.

ใหม่!!: สัตว์และเพชรพระอุมา · ดูเพิ่มเติม »

เพรียงหัวหอม

รียงหัวหอม (Sea squirts) เป็นสัตว์ในกลุ่มยูโรคอร์ดาตา คือ เป็นสัตว์ทะเลมีแกนสันหลัง รูปร่างคล้ายหัวหอม เมื่อถูกสัมผัสจะปล่อยน้ำออกจากตัว มีกลิ่นคล้ายหอมแดง ขนาดประมาณ 3-8 เซนติเมตร อาศัยเกาะกับวัตถุใต้น้ำ อยู่แบบเดี่ยว ๆ หรือเป็นกลุ่มก็ได้ พบตามเขตน้ำตื้น แนวปะการัง โขดหิน ทราย หรือโคลนในทะเล ตัวอ่อนมีลักษณะคล้ายลูกอ๊อดของกบ การสืบพันธุ์มีทั้งแบบอาศัยเพศที่ปฏิสนธิภายนอก และแบบไม่อาศัยเพศโดยการแตกหน่อ เพรียงหัวหอม แม้จะเป็นสัตว์ที่แลดูคล้ายฟองน้ำ แต่เป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการสูงกว่าหน้า 66–89, ความงามใต้โลกน้ำแข็ง โดย โลรอง บาเลสต.

ใหม่!!: สัตว์และเพรียงหัวหอม · ดูเพิ่มเติม »

เพลสิโอซอร์

ลสิโอซอร์ (Plesiosaurs;; กรีกโบราณ: πλησίος, plesios, หมายถึง "ใกล้ถึง" และ Sauria หมายถึง กิ้งก่า) เป็นกลุ่มของสัตว์เลื้อยคลานทะเลขนาดใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ตั้งแต่ยุคครีเตเชียสเมื่อราว 65 ล้านปีก่อน ที่อยู่ในอันดับ Plesiosauria เพลสิโอซอร์ ปรากฏตัวตั้งแต่ยุคไทรแอสซิกตอนปลาย (ประมาณ 230 ล้านปีก่อน) มีคอยาว แต่หัวเล็ก ในปากมีฟันแหลมคม สามารถว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว และสามารถลอยตัวผ่านน้ำได้ ฟันมีลักษณะรูปกรวยมีความแหลมคมแข็งแรงมากพอที่จะฆ่าสัตว์น้ำต่าง ๆ กินเป็นอาหารได้ และด้วยความยาวลำตัวที่มากถึง 15 เมตรเป็นอย่างน้อย จึงทำให้เพลสิโอซอร์ได้ชื่อว่าเป็นอสุรกายแห่งท้องทะเลในยุคก่อนประวัติศาสตร์ด้วยความที่เป็นสัตว์นักล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร ทั้งนี้ เพลสิโอซอร์มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด เช่น อีลาสโมซอรัส (Elasmosaurus platyurus), เพลสิโอซอรัส (Plesiosaurus dolichodeirus) หรือฟุตาบะซอรัส (Futabasaurus suzukii) พบกระจายพันธุ์ในท้องทะเลต่าง ๆ ทั่วโลก ตั้งแต่แถบอาร์กติกจนถึงขั้วโลกใต้ในปัจจุบัน เชื่อกันว่าเพลสิโอซอร์ล่าสัตว์น้ำต่าง ๆ เช่น ปลา, หมึก กินเป็นอาหาร แต่ก็มีบางทฤษฎีที่เชื่อว่าเพลสิโอซอร์ไม่สามารถยกส่วนหัวหรือคอขึ้นพ้นผิวน้ำได้ และจากการศึกษาล่าสุดของนักบรรพชีวินวิทยากลุ่มหนึ่ง โดยการใช้แบบจำลองส่วนหัวและฟันของเพลสิโอซอร์พบว่า การสบกันของฟันอาจเป็นไปได้ว่าใช้ชีวิตด้วยการกรองกินเหมือนกับวาฬบาลีนหรือวาฬไม่มีฟัน ซึ่งไม่เคยพบพฤติกรรมเช่นนี้ในสัตว์เลื้อยคลานทางทะเลชนิดอื่น ๆ มาก่อน โดยอาจเป็นวิวัฒนาการเบนเข้า เนื่องจากทั้งวาฬและเพลสิโอซอร์นั้นมิได้มีส่วนใดเกี่ยวข้องกันเลยแต่ประการใด แต่ทั้งนี้ก็ยังต้องเป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันต่อไป โดยเพลสิโอซอร์ มักถูกอธิบายว่าเป็นสัตว์ที่ยังหลงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน อันเป็นที่มาของสัตว์ประหลาดทะเลสาบตลอดจนสัตว์ประหลาดทะเลหรือมังกรทะเล ที่พบตามแหล่งน้ำต่าง ๆ จนถึงทะเลหรือมหาสมุทรทั่วโลก เช่น เนสซี หรือสัตว์ประหลาดล็อกเนสส์ในสก๊อตแลนด์, มอแรก ในสก๊อตแลนด์, แชมป์ ในพรมแดนสหรัฐอเมริกาและแคนาดา, โอโกโปโก ในแคนาดา เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และเพลสิโอซอร์ · ดูเพิ่มเติม »

เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล

ลี้ยกระโดดสีน้ำตาล (อังกฤษ:Brown planthopper;ชื่อวิทยาศาสตร์: Nilaparvata lugens (Stal)) เป็นแมลงศัตรูพืช ชนิดปากดูด โดยมักทำลาย ข้าว โดยดูดน้ำเลี้ยงข้าวจนทำให้ข้าวแห้งตาย และเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสโรคใบหงิก ลักษณะเป็นแมลงขนาดเล็ก 2-3 มิลลิเมตรสีน้ำตาล มีรูปร่าง 2 ลักษณะ คือ ชนิดปีกยาว (macropterous form) และชนิดปีกสั้น (bracrypterous form).

ใหม่!!: สัตว์และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

เพลี้ยแป้ง

ลี้ยแป้ง เป็นแมลงที่อยู่ในตระกูลเดียวกันกับเพลี้ยหอย (Coccidae) เพลี้ยแป้งแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ เพลี้ยแป้งหางสั้น และเพลี้ยแป้งหางยาว ลักษณะตัวเพลี้ยมีขนาดเล็ก และมีสีขาว เพราะถูกสารขี้ผึ้ง ซึ่งขับออกมาคลุมตัวเพลี้ยไว้ และมีขาอ่อนเจริญออกมารอบตัวทำให้เคลื่อนที่ไปมาได้แต่ช้า เพลี้ยตัวผู้แต่ละตัวอยู่ที่ต้นชบา, ''Maconellicoccus hirsutus''. มด ''Formica fusca'' ดูแลฝูงเพลี้ยแป้ง.

ใหม่!!: สัตว์และเพลี้ยแป้ง · ดูเพิ่มเติม »

เพียงพอน

ระวังสับสนกับ: พังพอน เพียงพอน (weasel, mink, ferret, ermine, polecat) คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในสกุล Mustela ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงศ์ Mustelidae มีถิ่นกำเนิดกว้างขว้างทั้งในทวีปเอเชีย, แอฟริกาเหนือ, ยุโรป, อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ เพียงพอนมีรูปร่างโดยรวมเป็นสัตว์ขนาดเล็ก มีความยาวตั้งแต่ 15–55 เซนติเมตร น้ำหนักตั้งแต่ 30–40 กรัม ไปจนถึง 1.4–3.2 กิโลกรัม เป็นสัตว์กินเนื้อเป็นอาหาร มีรูปร่างเพรียวยาว ส่วนขาทั้งสี่ข้างสั้น มีนิ้วเท้า 5 นิ้ว เล็บมีความแหลมคม แต่พับเก็บเล็บไม่ได้ ปากแหลม ภายในปากมีฟันแหลมคมจำนวน 34 ซี่ ทุกชนิดจะมีต่อมกลิ่นที่ก้น ซึ่งจะผลิตสารเคมีสีเหลืองคล้ายน้ำมันที่มีกลิ่นเหม็นรุนแรง ใช้ในประกาศอาณาเขต เป็นสัตว์มีความปราดเปรียวว่องไว หากินได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยจะล่าสัตว์ขนาดเล็ก เช่น หนู, หนูผี, ตุ่น, แมลง, สัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเป็นอาหาร รวมทั้งอาจล่ากระต่ายได้ด้วย รวมทั้งล่าเป็ด, ไก่, นกกระทา ในพื้นที่เกษตรกรรมของมนุษย์ได้ด้วย ซึ่งจะใช้ลำตัวที่เพียวยาวนั้นมุดเข้าไปล่าถึงในโพรงดิน นอกจากนี้แล้ว เพียงพอนเป็นสัตว์ที่เมื่อผสมพันธุ์กันแล้ว ตัวผู้จะผสมกับตัวเมียหลายตัว แต่จะอยู่กับตัวเมียเพียงตัวเดียว ในบางชนิด ไข่เมื่อได้รับการปฏิสนธิแล้ว จะยังไม่ฝังตัวในผนังมดลูก แต่จะลอยอยู่อย่างนั้น ซึ่งอาจกินเวลานับ 10 เดือน จะฝังตัวเฉพาะเมื่อถึงฤดูกาลที่อาหารอุดมสมบูรณ์เท่านั้น มีระยะเวลาการตั้งท้องนานประมาณ 35–45 วัน ออกลูกครั้งละ 4–10 ตัว และอาจมากได้ถึง 13 ตัว ซึ่งจะออกลูกในโพรงของสัตว์ที่ล่าได้ ลูกที่เกิดใหม่ตาจะยังไม่ลืม จะมีขนบาง ๆ ปกคลุมลำตัวเท่านั้น จะลืมตาเมื่ออายุได้ 3–4 สัปดาห์ หรืออาจจะ 5–6 สัปดาห์ มีระยะเวลาการกินนมแม่ 5–10 สัปดาห์ และจะอาศัยอยู่กับแม่จนอายุได้ 1 ปี ในอดีต เพียงพอนมักถูกมนุษย์ล่า เพื่อนำขนและหนังไปทำเป็นเสื้อขนสัตว์ที่เรียกว่า "เสื้อขนมิงก์" ในปัจจุบัน ในบางชนิดนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง แบ่งออกได้เป็น 18 ชนิด (ดูในตาราง) ในประเทศไทยมักพบในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลนับพันเมตร พบประมาณ 3 ชนิด ได้แก่ เพียงพอนไซบีเรีย (M. sibirica), เพียงพอนเหลือง (M. nudipes) และเพียงพอนเส้นหลังขาว (M. strigidorsa).

ใหม่!!: สัตว์และเพียงพอน · ดูเพิ่มเติม »

เพียงพอนสีน้ำตาล

ียงพอนสีน้ำตาล หรือ เพียงพอนเล็ก (Brown weasel, Least weasel) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อชนิดหนึ่ง จำพวกเพียงพอน มีรูปร่างเพรียวยาว ว่องไวปราดเปรียว มีลักษณะเด่นคือ มีสีขนแบ่งแยกกันชัดเจน โดยสีขนด้านบนลำตัวจะเป็นสีน้ำตาลแดง ส่วนด้านล่างซึ่งเป็นด้านท้องจะเป็นสีขาว ในฤดูหนาวสีขนด้านบนจะเปลี่ยนเป็นสีขาวทั้งลำตัว มีความยาวลำตัวตั้งแต่หัวจนถึงโคนหาง 18-23 เซนติเมตร ความยาวหางประมาณ 5-7 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 45-130 กรัม มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางมากตั้งแต่ทวีปยุโรป, อเมริกาเหนือ, เอเชียตะวันตก, มณฑลเสฉวนในประเทศจีน และตอนเหนือของเวียดนาม แบ่งออกเป็นชนิดย่อยได้ถึง 19 ชนิด (ดูในตาราง) มีพฤติกรรมอาศัยและหากินตามพื้นดินเป็นหลัก โดยล่าสัตว์ขนาดเล็กกว่ากินเป็นอาหาร เช่น นก, หนู, ตุ่น, กระต่าย โดยบางครั้งจะใช้ลำตัวที่เพรียวยาวนั้นมุดเข้าไปลากจับจากในโพรงดินหรือรัง ในฤดูผสมพันธุ์จะอยู่ด้วยกันเป็นคู่ สามารถปีนต้นไม้ได้ และปราดเปรียวว่องไว บางครั้งอาจขึ้นไปนอนหลับบนต้นไม้ได้.

ใหม่!!: สัตว์และเพียงพอนสีน้ำตาล · ดูเพิ่มเติม »

เพียงพอนโคลัมเบีย

ียงพอนโคลัมเบีย (Colombian weasel) เป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae) ที่หายากมาก พบได้เฉพาะบริเวณ Hulia และ Cauca ในประเทศโคลัมเบีย (Columbia) และทางตอนเหนือของประเทศเอกวาดอร.

ใหม่!!: สัตว์และเพียงพอนโคลัมเบีย · ดูเพิ่มเติม »

เพียงพอนไซบีเรีย

ียงพอนไซบีเรีย (Siberian weasel, Kolonok) เป็นเพียงพอนชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายกับเพียงพอนทั่ว ๆ ไป คือ เพรียวยาว ส่วนขาสั้น ลำตัวด้านบนมีสีน้ำตาลอ่อน บริเวณส่วนท้องจะมีสีที่อ่อนกว่า แต่สีจะเข้มขึ้นในช่วงฤดูร้อน ขนบริเวณคอจะมีสีขาวหรือสีน้ำตาลแดง มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 27-30 เซนติเมตร ความยาวหางประมาณ 13.5-15 เซนติเมตร โดยตัวผู้จะมีน้ำหนักและขนาดที่ใหญ่กว่าตัวเมีย น้ำหนักประมาณ 0.5-2 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ค่อนข้างกว้าง โดยพบตั้งแต่ไซบีเรียในรัสเซีย, เอเชียกลาง, เอเชียตะวันออก, อนุทวีปอินเดีย, ภาคเหนือและภาคอีสานของไทย และทางตอนเหนือของลาวและเวียดนาม มักอาศัยอยู่ในป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่มีความชื้นไม่มากนัก และอยู่ในระดับพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,500-5,000 เมตร บางครั้งอาจเข้ามาหากินในพื้นที่เกษตรกรรมของมนุษย์ได้ ออกหาสัตว์ขนาดเล็กกว่า เช่น หนู เป็นอาหาร ออกหาอาหารทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในโพรงดิน ผสมพันธุ์ในเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ตั้งท้องนาน 35-45 วัน ออกลูกครั้งละ 4-10 ตัว จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเพียงพอนไซบีเรีย · ดูเพิ่มเติม »

เพียงพอนเส้นหลังขาว

ียงพอนเส้นหลังขาว หรือ เพียงพอนหลังขาว (Back-striped weasel) เป็นเพียงพอนชนิดหนึ่ง มีรูปร่างเหมือนกับเพียงพอนชนิดอื่น ๆ แต่มีลักษณะเด่น คือ มีแถบสีขาวแคบ ๆ พาดตามแนวสันหลังบริเวณกึ่งกลางหลัง ตั้งแต่ท้ายทอยจรดโคนหาง และมีอีกแถบสีคล้ายคลึงกันตามแนวกึ่งกลางของใต้ท้อง ขนตามบริเวณลำตัวและหางมีสีน้ำตาลเข้ม บริเวณใต้คางและใต้คอมีสีเหลืองอ่อน หางมีความยาวประมาณครึ่งหนึ่งของลำตัว ตัวผู้จะมีแถบขนสีขาวพาดอยู่เพียงเส้นเดียว ขณะที่ตัวเมียจะมีอยู่ด้วยกันสองเส้น มีความยาวลำตัวตั้งแต่หัวจรดโคนหางประมาณ 27.5-32.5 เซนติเมตร ส่วนหางยาว 14.5-20.5 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 1-2 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์ในป่าบนภูเขาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,200-2,000 เมตร และเคยมีรายงานว่าพบในป่าผลับใบบนพื้นที่สูง ตั้งแต่แคว้นสิกขิมในอินเดีย, เนปาล, ภูฐาน, จีนทางตอนใต้, ลาวและเวียดนามทางตอนเหนือ และภาคเหนือและภาคอีสานของไทย มีพฤติกรรมออกล่าเหยื่อในเวลากลางวัน โดยมักล่าสัตว์ขนาดเล็ก เช่น หนู เป็นอาหาร โดยเมื่อจับได้แล้วมักจะกัดที่จมูกจนตาย ในประเทศไทย จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเพียงพอนเส้นหลังขาว · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวิน

นกวิน (Penguin) เป็นนกที่อยู่ในวงศ์ Spheniscidae อันดับ Sphenisciformes.

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวิน · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวินชินสแตรป

นกวินชินสแตรป (chinstrap penguin) เป็นนกบินไม่ได้จำพวกเพนกวินชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพนกวินในสกุลเพนกวินหางแปรงชนิดหนึ่ง เพนกวินชินสแตรปมีลักษณะแตกต่างจากเพนกวินหางแปรงชนิดอื่น คือ บริเวณใต้คางจะเป็นเส้นเล็ก ๆ สีดำคาดผ่านเหมือนสายรัดคางของหมวกนักขี่ม้า อันเป็นที่มาของชื่อ โดยมีส่วนบริเวณใบหน้าไปจรดถึงท้องสีขาว และถึงแม้ว่าตีนจะเป็นพังผืดเหมือนตีนเป็ดและเพนกวินทั่วไป จึงเหมาะแก่การว่ายน้ำ แต่เพนกวินชินสแตรปก็สามารถเดินและกระโดดไปมาบนโขดหินได้อย่างคล่องแคล่ว เพนกวินชินสแตรปมีความสูงได้ถึง 68 เซนติเมตร (27 นิ้ว) น้ำหนักได้ถึง 6 กิโลกรัม (13.2 ปอนด์) แต่น้ำหนักอาจจะลดลงเหลือแค่ 3 กิโลกรัม (6.6 ปอนด์) ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวงจรการขยายพันธุ์ ตัวผู้จะมีขนาดและน้ำหนักมากกว่าตัวเมีย เพนกวินชินสแตรปอาศัยอยู่ในทวีปแอนตาร์กติกาหรือมหาสมุทรใต้ มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงหรือเป็นอาณานิคม บางครั้งอาจร่วมฝูงปะปนไปกับเพนกวินชนิดที่ใกล้เคียงกัน เช่น เพนกวินอาเดลีหรือเพนกวินเจนทู วางไข่และกกไข่ที่โขดหินริมทะเลในจุดที่เป็นที่บังลม โดยรอคู่ที่ออกไปหาอาหารในทะเล.

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวินชินสแตรป · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวินมาเจลลัน

นกวินมาเจลลัน (Magellanic penguin) เป็นเพนกวินที่พบในทวีปอเมริกาใต้ที่แพร่พันธุ์ในบริเวณริมฝั่งทะเลชิลี, อาร์เจนตินา และหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ แถบช่องแคบมาเจลลัน อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ โดยบางกลุ่มอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังบราซิล เพนกวินมาเจลลันเป็นเพนกวินในสกุล Spheniscus ที่มีจำนวนมากที่สุด ส่วนชนิดอื่น ๆ ในสกุลเดียวกันก็ได้แก่ เพนกวินแอฟริกา, เพนกวินฮัมโบลต์ และเพนกวินกาลาปาโกส เพนกวินมาเจลลันเป็นเพนกวินขนาดกลางที่เมื่อโตเต็มที่สูงราวระหว่าง 61 ถึง 76 เซนติเมตร และหนักระหว่าง 2.7 ถึง 6.5 กิโลกรัม ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย แต่น้ำหนักนี้จะลดลงพอสมควรในฤดูที่ต้องเลี้ยงลูกนก เพนกวินมาเจลลัน เป็นเพนกวินที่อาศัยอยู่เป็นคู่ ซึ่งจะจับคู่กันเป็นระยะเวลานานหลายปี ตัวเมียจะหาตัวผู้พบจากเสียงร้อง.

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวินมาเจลลัน · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวินราชา

นกวินราชา หรือ เพนกวินกษัตริย์ (King penguin) เป็นเพนกวินที่ใหญ่เป็นที่สองของเพนกวินที่ใหญ่ที่สุด มีน้ำหนักระหว่าง 11 ถึง 16 กิโลกรัม มีความสูงเกือบ 1 เมตร รองจากเพนกวินจักรพรรดิ เพนกวินราชามีสองชนิดย่อยคือ A. p. patagonicus ที่พบในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ และ A. p. halli พบที่อื่น เป็นเพนกวินที่กินปลาเล็กเป็นอาหารส่วนใหญ่เป็น ปลาโคม และ ปลาหมึก และไม่ค่อยกินเคย หรือ ครัสเตเชียน เช่น สัตว์ในมหาสมุทรใต้อื่น ๆ เมื่อหาอาหารเพนกวินราชาจะดำน้ำลึกกว่า 100 เมตร บางครั้งก็กว่า 200 เมตรซึ่งลึกกว่าเพนกวินอื่น ๆ และหากินออกไปได้ไกลกว่า 3 ไมล์ นอกไปจากเพนกวินจักรพรรดิซึ่งเป็นเพนกวินสกุลเดียวกัน เพนกวินราชาที่หมู่เกาะปรินซ์เอ็ดเวิร์ดนอกจากจะตกเป็นเหยื่อของปลาฉลาม, วาฬเพชฌฆาต แล้ว ยังตกเป็นเหยื่อของแมวน้ำขนสีน้ำตาล อีกด้วย เพนกวินราชาวางไข่เพียงใบเดียว ฟักบนแผ่นหนังที่ฝ่าตีน พ่อแม่นกจะเลี้ยงลูกเป็นระยะเวลา 10-13 เดือน ลูกนกที่โตแล้วจะมีสีขนเปลี่ยนไป จนครั้งหนึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจผิดว่าเป็นเพนกวินอีกชนิดหนึ่ง เพนกวินที่โตแล้วจะผลัดขนปีละครั้ง โดยขนใหม่จะงอกขึ้นมาทดแทนขนที่หลุดไปทันทีเพื่อป้องกันความหนาวเย็นที่ดำเนินอยู่นานหลายเดือนWildest Islands, สารคดีทางแอนนิมอลแพลนเน็ต ทางทรูวิชั่นส์: อาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2556 มีลูกนกในบริเวณหมู่เกาะซับแอนตาร์กติก และทางตอนเหนือของทวีปแอนตาร์กติกา และเกาะเตียร์ราเดลฟวยโก, เซาธ์จอร์เจีย และเกาะอื่นๆ ในบริเวณเดียวกัน ประชากรของเพนกวินราชาประมาณกันว่ามี 2.23 ล้านคู่และยังคงเพิ่มขึ้น และมีจำนวนประชากรมากที่หมู่เกาะฟอล์กแลน.

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวินราชา · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวินริดเกน

นกวินริดเกน (Ridgen's penguin) เป็นสปีชีส์ของเพนกวินที่สูญพันธุ์ไปแล้วที่เดิมมีถิ่นฐานอยู่ในนิวซีแลนด์ ที่มีความสูงระหว่าง 90 ถึง 100 เซนติเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวินริดเกน · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวินลาย

นกวินลาย (Banded penguin) เป็นเพนกวินสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Spheniscus (แปลว่า "รูปลิ่ม") เพนกวินในสกุลนี้เป็นเพนกวินขนาดกลาง มีรูปร่างและลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ มีลายพาดสีดำตรงหน้าอกบนพื้นลำสีขาว และมีจุดกลมดำเล็ก ๆ บนหน้าท้อง ซึ่งจุดนี้จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไปเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวเหมือนลายนิ้วมือของมนุษย์ ซึ่งจุดนี้อาจเป็นสีชมพู หรือขาวก็ได้ เป็นเพนกวินที่อาศัยอยู่ในเขตอบอุ่นของซีกโลกทางใต้ เช่น อเมริกาใต้, แอฟริกาใต้ หรือหมู่เกาะกาลาปากอส มีพฤติกรรมวางไข่บนพื้นดิน และเจริญเติบโตขึ้นในโพรงดิน ในบางครั้ง เพนกวินสกุลนี้ยังมีชื่อเรียกอื่น เช่น "เพนกวินแจ็ค-แอส" เนื่องจากมีเสียงร้องเหมือนลา ปัจจุบัน หลงเหลืออยู่ทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวินลาย · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวินหางแปรง

นกวินหางแปรง หรือ เพนกวินขาก้น (Brush tailed penguin, Bottom-legged) เป็นสกุลของนกบินไม่ได้ จำพวกเพนกวินสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Pygoscelis เพนกวินหางแปรง จากการศึกษาดีเอ็นเอและไมโตคอนเดรียพบว่า การได้แยกสายวิวัฒนาการมาจากเพนกวินสกุลอื่น ๆ เป็นเวลานานกว่า 38 ล้านปีมาแล้ว หลังจาก 2 ล้านปีของการกำเนิดบรรพบุรุษของเพนกวินสกุล Aptenodytes ในทางกลับกัน เพนกวินอะเดลี่ได้มีวิวัฒนาการของตัวเองจากชนิดอื่น ๆ ในสกุลราว 19 ล้านปีก่อน.

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวินหางแปรง · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวินอาเดลี

นกวินอาเดลี (Adélie penguin) เป็นนกประเภทเพนกวินชนิดหนึ่ง โดยที่ชื่อ "อาเดลี" นั้นมาจากชื่อภรรยาของฌูล ดูว์มง ดูร์วีล (Jules Dumont d'Urville) นักสำรวจขั้วโลกใต้ชาวฝรั่งเศส เพนกวินอาเดลีเป็นเพนกวินขนาดกลาง มีความสูงประมาณ 46-75 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 3.6-6 กิโลกรัม มีลักษณะเด่นคือ รอบดวงตามีวงกลมสีขาวคล้ายวงแหวน และมีขนหางที่ยาวกว่าเพนกวินชนิดอื่น ๆ เพนกวินอาเดลี เป็นเพนกวินที่พบได้ทั่วไปในซีกโลกทางใต้ เช่น ขั้วโลกใต้, มหาสมุทรใต้ หรือทวีปแอนตาร์กติกา โดยอาศัยอยู่ร่วมกับเพนกวินจักรพรรดิ เพนกวินอาเดลีขยายพันธุ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของซีกโลกทางใต้ ลูกเพนกวินจะกำเนิดมาในช่วงนี้ และจะต้องเร่งให้โตทันก่อนที่จะถึงฤดูหนาว ที่ทั้งทวีปจะปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ซึ่งเป็นการยากมากที่จะหาอาหาร พ่อแม่นกจะเร่งออกทะเลไปหาอาหาร ซึ่งได้แก่ ปลาและหมึก เก็บไว้เป็นของเหลวในท้อง เพื่อกลับมาป้อนเป็นอาหารให้แก่ลูกนก เพนกวินอาเดลีมีไข่ได้ครั้งละ 2 ฟอง โดยจะฟักไข่และทำรังบนพื้นที่ไม่มีน้ำแข็งปกคลุม โดยพ่อนกจะเป็นฝ่ายกกไข่ ในช่วงที่เร่งให้ลูกเติบโต บางทีพ่อแม่นกอาจต้องไป-กลับทะเลวันละหลาย ๆ เที่ยว และบางครั้งอาจใช้เวลาออกหาอาหารนานหลายวัน ซึ่งพ่อแม่นกจะเลี้ยงลูกได้ดีที่สุดแค่เพียงตัวเดียวเท่านั้น ลูกเพนกวินอาเดลีจะมีขนสีเทาตลอดทั้งตัว และเมื่อมีขนชุดสุดท้ายก่อนจะผลัดขนเป็นเหมือนนกวัยเจริญพันธุ์ มีจะมีกระจุกขนกลุ่มหนึ่งอยู่หลังหัวฤดูใบไม้ร่วง, สุดยอดสารคดีโลก: "อัศจรรย์โลกน้ำแข็ง (Frozen Planet)" ทางไทยพีบีเอส: พฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม 2556 เพนกวินอาเดลีอาศัยอยู่รวมเป็นฝูงขนาดใหญ่แบบนิคมซึ่งมีจำนวนสมาชิกได้ถึงหลักแสนตัว เมื่อถึงฤดูหนาวที่น้ำแข็งจะปกคลุมทั้งทวีปแอนตาร์กติกา เพนกวินอาเดลีจะอพยพย้ายถิ่นอาศัยไปยังพื้นที่ที่มีอุณหภูมิอุ่นกว่า บางครั้งใช้วิธีการเดินทางด้วยการอาศัยบนก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ลอยไปในท้องทะเลเป็นระยะเวลาหลายวัน นอกจากนี้แล้วเพนกวินอาเดลีถือได้ว่าเป็นเพนกวินชนิดเดียวที่มีอุปนิสัยดุ โดยจะต่อสู้กับศัตรูผู้รุกราน เช่น นกทะเลชนิดต่าง ๆ เพื่อป้องกันตัวหรือลูก ๆ บางครั้งอย่างดุเดือด เพนกวินอาเดลีได้ถูกบันทึกโดยจอร์จ เมอร์รีย์ เลวิก นักสำรวจชาวอังกฤษที่ได้เดินทางไปสำรวจขั้วโลกใต้ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวินอาเดลี · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวินฮัมโบลต์

นกวินฮัมโบลต์ หรือ เพนกวินเปรู (Humboldt penguin, Peruvian penguin) หรือ ปาตรังกา (Patranca) เป็นเพนกวินชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Spheniscus humboldti จัดเป็นเพนกวินขนาดกลาง มีความสูงเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 40 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม เมื่อโตเต็มที่มีจุดเด่นคือ มีสีดำคาดที่หน้าอก บริเวณใต้คอและรอบดวงตาสีขาว จะงอยปากเป็นเนื้อสีชมพู พบกระจายพันธุ์อยู่บริเวณชายฝั่งทะเลด้านมหาสมุทรแปซิฟิกในทวีปอเมริกาใต้ทางแถบประเทศเปรูและชิลี และถือว่าเป็นเพนกวินเพียงชนิดเดียวที่สามารถพบได้ในพื้นที่แห้งแล้งอย่างทะเลทราย ออกลูกเป็นไข่ครั้งละ 2 ฟอง อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งและโขดหินริมทะเล โดยตัวผู้เป็นฝ่ายกกไข่ ทำรังด้วยการขุดโพรงตามพุ่มไม้หรือป่าละเมาะริมทะเล สร้างรังด้วยก้อนหิน กิ่งไม้หรือใบไม้ เป็นสัตว์สังคมอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ติดต่อสื่อสารกันด้วยเสียงร้อง ลูกเพนกวินฮัมโบลต์ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อพ่อแม่นกมิได้อยู่ดูแล จะมีการป้องกันตัวเองด้วยการถ่ายมูลใส่ผู้คุกคามหรือหันหลังถีบเศษหินเศษกรวดใส่ เพนกวินชนิดนี้นิยมเลี้ยงกันตามสวนสัตว์ ในประเทศไทย มีการเลี้ยงที่สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์สงขลา และสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวินฮัมโบลต์ · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวินจักรพรรดิ

นกวินจักรพรรดิ (Emperor Penguin) เป็นเพนกวินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสปีชีส์ต่างๆ ที่มีถิ่นฐานอยู่ในทวีปแอนตาร์กติกา ตัวผู้และตัวเมียมีสีขนและขนาดใกล้เคียงกัน สูงราว และหนักระหว่าง 22–37 กิโลกรัม (48–82 ปอนด์) ขนด้านหลังสีดำตัดกันกับขนด้านหน้าตรงบริเวณท้องที่มีสีขาว อกตอนบนสีเหลืองอ่อนและค่อยๆ ไล่ลงมาจนเป็นสีขาว และบริเวณหูเป็นสีเหลืองจัด เพนกวินจักรพรรดิก็เป็นเช่นเดียวกันกับเพนกวินชนิดอื่นที่เป็นนกที่บินไม่ได้ แต่มีรูปร่างที่เพรียวและปีกที่ลู่ตามตัวแต่แข็งแบนเหมือนครีบที่เหมาะกับการเป็นสัตว์น้ำมากกว่าที่จะเป็นนก อาหารที่บริโภคส่วนใหญ่เป็นปลา และรวมทั้งสัตว์ประเภทกุ้ง-กั้ง-ปู (crustacean) เช่น ตัวเคย และ สัตว์ประเภทเซฟาโลพอดเช่นปลาหมึก เมื่อดำน้ำหาอาหารเพนกวินจักรพรรดิสามารถอยู่ใต้น้ำได้นานถึง 18 นาที และสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 535 เมตรเนื่องจากลักษณะหลายอย่างที่ช่วยในการอยู่ใต้น้ำได้นานเช่นโครงสร้างของฮีโมโกลบินที่ทำให้มีชีวิตอยู่ได้ในบรรยากาศที่มีระดับออกซิเจนต่ำ โครงกระดูกที่แน่นที่ช่วยต้านความกดดันสูง (barotrauma) และความสามารถในการลดการเผาผลาญของร่างกาย (กระบวนการสร้างและสลาย) และการปิดการทำงานอวัยวะที่ไม่จำเป็นได้ เพนกวินจักรพรรดิมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีจากการเดินทางราว 50 ถึง 120 กิโลเมตรจากฝั่งทะเลไปยังบริเวณที่ทำการผสมพันธุ์ทุกปีเพื่อที่จะไปหาคู่ ผสมพันธุ์ กกและฟักไข่ และเลี้ยงลูกนกที่เกิดใหม่ และเป็นเพนกวินชนิดเดียวที่ผสมพันธุ์ระหว่างฤดูหนาวแบบอาร์กติก แหล่งผสมพันธุ์อาจจะเป็นบริเวณกว้างใหญ่ที่มีเพนกวินอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นพันๆตัว ตัวเมียจะออกไข่ฟองเดียวทิ้งไว้ให้ตัวผู้ยืนกกระหว่างขาเป็นเวลาสองเดือนขณะที่ตัวเองเดินกลับไปทะเลเพื่อไปหาอาหารให้ตัวเองและนำกลับมาให้ลูกที่เกิดใหม่ เมื่อกลับมาทั้งพ่อและแม่ก็จะสลับกันเลี้ยงลูก อายุเฉลี่ยของเพนกวินจักรพรรดิราว 20 ปีและบางตัวอาจจะถึง 50 ปีก็ได้.

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวินจักรพรรดิ · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวินปีกขาว

นกวินปีกขาว (White-flippered penguin) เป็นเพนกวินชนิดหนึ่ง เพนกวินปีกขาวนั้นเป็นเพนกวินขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 30 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม แพร่กระจายพันธุ์และทำรังเฉพาะคาบสมุทรแบงค์ และเกาะโมทูนัว ใกล้กับภูมิภาคแคนเทอเบอรี่ ในนิวซีแลนด์ เท่านั้น เพนกวินปีกขาว มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับเพนกวินน้อย (E. minor) หรือเพนกวินสีน้ำเงิน ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกัน แตกต่างกันตรงกันที่มีปื้นสีขาวบนครีบที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ 2 ปื้นเท่านั้น เพนกวินปีกขาว เดิมเคยถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยของเพนกวินน้อย จนกระทั่งในปี..

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวินปีกขาว · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวินน้อย

นกวินน้อย หรือ เพนกวินนางฟ้า หรือ เพนกวินสีน้ำเงิน หรือ เพนกวินสีน้ำเงินน้อย (Little penguin, Fairy penguin, Blue penguin, Little blue penguin.) เป็นเพนกวินชนิดหนึ่ง เพนกวินน้อย จัดเป็นเพนกวินชนิดที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาเพนกวินทั้งหมด มีความสูงประมาณ 33 เซนติเมตร (13 นิ้ว) จนถึงประมาณ 43 เซนติเมตร น้ำหนักเพียง 1.5 กิโลกรัม (ขนาดแตกต่างกันตามแต่ละชนิดย่อย) นอกจากนี้แล้วยังมีชื่อเป็นภาษาพื้นเมืองต่าง ๆ เช่น โครัว (Kororā) ในภาษามาวรี และปิงกูวโน เปงเกโย (Pingüino pequeño) หรือ ปิงกูวโน อาซูล (Pingüino azul) ในภาษาสเปน ในชิลี เพนกวินน้อย มีขนที่ส่วนหลังสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน มีจะงอยปากสั้นสีดำ และเป็นเพนกวินเพียงชนิดเดียวที่เมื่อเดินแล้ว หัวจะทิ่มลงไปข้างหน้า ไม่ตั้งตรงเหมือนเพนกวินทั่วไป พบกระจายพันธุ์ในหลายพื้นที่ของออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ รวมถึงบางแห่งในชิลี ซึ่งสำหรับออสเตรเลียแล้วถือเป็นเพนกวินเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่พบได้ในประเทศ โดยแหล่งที่สามารถพบเพนกวินน้อยได้มากที่สุดแห่งหนึ่ง คือ เกาะฟิลิป ในรัฐวิคตอเรีย เพนกวินน้อย เป็นเพนกวินที่ออกหากินในเวลากลางคืน ว่ายน้ำได้เร็วประมาณ 8 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีระยะทางหากินไกลได้ถึง 200 กิโลเมตร แต่โดยปกติแล้วจะดำน้ำได้ไม่ลึกเกินกว่า 2 เมตร อัตราโดยเฉลี่ยประมาณ 21 วินาที แต่ก็มีรายงานว่าสามารถดำได้ลึกและนานกว่านั้น ศัตรูตามธรรมชาติของเพนกวินน้อยมีมากกว่าเพนกวินชนิดอื่น ๆ เนื่องจากมีตัวขนาดเล็กกว่า เพนกวินน้อย เป็นเพียงเพนกวินชนิดเดียวที่อาศัยอยู่ในพื้น ๆ ที่ไม่มีน้ำแข็ง มีการผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี วางไข่ครั้งละ 2 ฟอง โดยการขุดโพรงในพื้นทรายในป่าละเมาะใกล้ทะเล หรือตามใต้ถุนบ้านเรือนผู้คน พ่อแม่นกจะช่วยกันเลี้ยงดูลูก ซึ่งบางครั้งลูกนกที่อ่อนแอจะตายไป เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ลูกนกตัวที่แข็งแรงกว่าได้รับอาหารเต็มที่ เพื่อที่จะเติบโตต่อไปได้อย่างสมบูรณ์ ขณะว่ายน้ำที่เกาะฟิลิป มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 6.5–7 ปี แต่พบที่มีอายุมากที่สุดในสถานที่เลี้ยงถึง 25 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวินน้อย · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวินแอฟริกัน

นกวินแอฟริกัน หรือ เพนกวินตีนดำ (African penguin, Black-footed penguin) เป็นเพนกวินชนิดหนึ่ง เพนกวินแอฟริกัน เป็นเพนกวินขนาดเล็ก มีลำตัวยาวประมาณ 68–70 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 2–5 กิโลกรัม ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย มีจะงอยปากที่แหลมกว่าเพนกวินฮัมโบลด์ ซึ่งเป็นเพนกวินที่อยู่ร่วมสกุลเดียวกัน เดิมได้ชื่อว่า "เพนกวินลา" (Jackass penguin) เนื่องจากมีเสียงร้องเหมือนลา ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเพนกวินแอฟริกัน เพราะเป็นเพนกวินเพียงชนิดเดียวที่พบได้ในทวีปแอฟริกา โดยจะพบได้ตามชายฝั่งแถบแหลมกูดโฮป ในแอฟริกาใต้ และพบได้มากที่สุด ที่ชายหาดโบลส์เดอร์ ริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ประเทศแอฟริกาใต้ นิคมใหญ่ของเพนกวินแอฟริกัน ที่ชายหาดโบลส์เดอร์ เพนกวินแอฟริกัน เป็นนกที่จับคู่อยู่เพียงคู่เดียวตลอดชีวิต มีพฤติกรรมการอยู่รวมกันเป็นนิคมใหญ่ เมื่ออากาศร้อนจะขุดหลุมฝังตัวในพื้นทรายและอ้าปากรับลมเพื่อระบายความร้อนออกจากตัว จัดเป็นเพนกวินอีกชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้เป็นอย่างดี.

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวินแอฟริกัน · ดูเพิ่มเติม »

เพนกวินเจนทู

นกวินเจนทู (Gentoo penguin) เป็นนกที่บินไม่ได้จำพวกเพนกวินชนิดหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ในซีกโลกทางตอนใต้ เช่น หมู่เกาะฟอล์กแลนด์, เกาะเซาท์จอร์เจียและหมู่เกาะเซาท์แซนด์วิช เป็นต้น เพนกวินเจนทูเป็นหนึ่งในสมาชิกสามชนิดในสกุล Pygoscelis โดยหลักฐานทางนิวเคลียร์ดีเอ็นเอแสดงให้เห็นว่า เพนกวินเจนทูแบ่งแยกออกจากเพนกวินชนิดอื่น ๆ ประมาณ 38 ล้านปีที่ผ่านมา ประมาณ 2 ล้านปีหลังจากบรรพบุรุษของเพนกวินสกุล Aptenodytes ปรากฏออกมา อย่างไรก็ตาม เพนกวินในสกุลเดียวกันชนิดอื่นอย่างเพนกวินอาเดลีแยกออกจากสมาชิกชนิดอื่น ๆ ประมาณ 19 ล้านปีที่ผ่านมา ส่วนเพนกวินชินสแตรปและเพนกวินเจนทูออกตัวออกมาเมื่อประมาณ 14 ล้านปีมาแล้ว เพนกวินเจนทูเป็นเพนกวินที่มีความสูงเมื่อยืนเต็มที่ประมาณ 75 เซนติเมตร ทำให้เป็นเพนกวินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองมาจากเพนกวินจักรพรรดิและเพนกวินราชา แต่เพนกวินเจนทูว่องไวมากเมื่ออยู่ในน้ำ โดยสามารถทำความเร็วได้ถึง 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยปีกที่ยาวใหญ่เหมือนครีบและรูปร่างที่เพรียวเหมือนตอร์ปิโด ทำให้เป็นนกที่ว่ายได้เร็วที่สุดในโลก โดยล่าเคย, หมึก และครัสเตเชียนเป็นอาหาร มีลักษณะเด่นคือ มีแถบสีขาวบริเวณขมับทั้งสองข้าง จะงอยปากเป็นสีเหลืองส้ม และพังผืดที่ตีนเป็นสีเหลืองสดใส เพนกวินเจนทูเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 2 ปี แต่นกที่ยังอายุไม่ถึงก็จะมีการสร้างรังก่อนเพื่อเรียนรู้ วางไข่และเลี้ยงลูกทีละ 2 ตัว ซึ่งพ่อแม่นกจะประสบปัญหาในการป้อนอาหารให้ลูก บางครั้งพ่อแม่นกอาจใช้วิธีวิ่งหนีเพื่อให้ลูกนกวิ่งตาม เพนกวินเจนทู มีศัตรูตามธรรมชาติ เช่น แมวน้ำเสือดาว, สิงโตทะเล, ปลาฉลาม, วาฬเพชฌฆาต ลูกนกและไข่นกก็ตกเป็นอาหารของนกทะเลอย่างนกสกิวอาหรือเหยี่ยวคาราคาราได้Wildest Islands, สารคดีทางแอนนิมอลแพลนเน็ต ทางทรูวิชั่นส์: อาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2556.

ใหม่!!: สัตว์และเพนกวินเจนทู · ดูเพิ่มเติม »

เกมส์ซ่าท้ากึ๋น

กมซ่าท้ากึ๋น (欽ちゃん&香取慎吾の全日本仮装大賞; Kinchan and Katori Shingo's All Japan Costume Grand Prix) หรือ คาโซ ไทโช (Kasou Taisho) เกมโชว์ของประเทศญี่ปุ่น ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์นิปปอน เปิดโอกาสให้ผู้เข้าประกวด ที่มีความคิดสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ เช่น ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม พระอาทิตย์ขึ้น ปีศาจ ดอกไม้ไฟ สัตว์ประหลาด อาหารหลากหลายแบบ งานเทศกาล ส่วนของร่างกาย ฤดู การเดินทางด้วยยานพาหนะ ผี ละคร ผจญภัย วัฒนธรรม โลกใต้ทะเล การ์ตูนดังต่างๆ สัตว์ กิจวัตรประจำวัน ฮีโร่ การแปลงร่าง บุคคลสำคัญของโลก กีฬาทุกประเภท ภาพล้อเลียน อารมณ์ต่างๆ เป็นต้น รายการนี้ ออกอากาศในประเทศไทยทุกวันอังคาร เวลา 20.40 น. ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ภายหลังได้มาฉายทางช่อง พีพีทีวี ช่อง 36 และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "เกมส์ซ่าท้าทุกกึ๋น" ครั้งแรกสุดออกอากาศในคืนวันส่งท้ายปีเก่า 31 ธันวาคม พ.ศ. 2522 ในปัจจุบันออกอากาศปีละ 2 ครั้ง คือเดือนมกราคมและเดือนพฤษภาคม ในอดีตเคยออกอากาศในเดือนกันยายนด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และเกมส์ซ่าท้ากึ๋น · ดูเพิ่มเติม »

เกรินุก

กรินุก, วอลเลอส์กาเซลล์ หรือ แอนทิโลปคอยีราฟ (gerenuk, Waller's gazelle, giraffe-necked antelope) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งในวงศ์ Antilopinae ในวงศ์ใหญ่ Bovinae จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Litocranius มีลักษณะทั่วไปเหมือนสัตว์ชนิดอื่นในวงศ์เดียวกันไป แต่มีลักษณะเด่นคือ มีคอยาวและขายาวกว่าชนิดอื่น ๆ ซึ่งคำว่า "เกรินุก" นั้นมาจากคำในภาษาโซมาเลีย หมายถึง "คอยีราฟ" เพราะเกรินุกมีพฤติกรรมการกินอาหารที่แปลก คือ มักจะยืนบนสองขาหลัง ทำให้สามารถยืดคอขึ้นไปกินใบไม้ที่อยู่สูงขึ้นไปเหมือนยีราฟ ส่วนสองขาหน้าจะใช้เกาะกิ่งไม้ไว้ ขนาดเมื่อโตเต็มที่ในตัวผู้จะมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม ในตัวเมีย 33 กิโลกรัม มีความสูงวัดจากเท้าจนถึงหัวไหล่ประมาณ 85 เซนติเมตรจนถึง 1 เมตร ความยาวลำตัวประมาณ 1.5-1.6 เมตร ความยาวหาง 25-30 เซนติเมตร มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 10-12 ปี ตัวผู้มีเขาที่โค้งงอสวยงาม ขณะที่ตัวเมียไม่มีเขาและตัวเล็กกว่า ขณะกินใบไม้ ในเขตอนุรักษ์แห่งชาติแซมบูรูในเคนยา เกรินุกถือเป็นจุดสนใจในบรรดาสัตว์ป่า 5 ชนิดที่พบได้ในนั้น ซึ่งประกอบไปด้วยเกรินุก, ยีราฟลายร่างแห, นกกระจอกเทศโซมาลี, ม้าลายเกรวี และไบซาออริกซ์ จะพบได้ในเขตแอฟริกาตะวันออก เฉพาะที่เขตอนุรักษ์แห่งชาติแซมบูรูเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และเกรินุก · ดูเพิ่มเติม »

เกลือ

กลือ เกลือ เป็นแร่ธาตุส่วนใหญ่ประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) สารประกอบในระดับสูงกว่าเกลือชนิดต่าง ๆ เกลือในธรรมชาติก่อตัวเป็นแร่ผลึกรู้จักกันว่า เกลือหิน หรือแฮไลต์ เกลือพบได้ในปริมาณมหาศาลในทะเลซึ่งเป็นองค์ประกอบของแร่ที่สำคัญ ในมหาสมุทรมีแร่ธาตุ 35 กรัมต่อลิตร ความเค็ม 3.5% เกลือเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตสัตว์ ความเค็มเป็นรสชาติพื้นฐานของมนุษย์ เนื้อเยื่อสัตว์บรรจุเกลือปริมาณมากกว่าเนื้อเยื่อพืช ดังนั้นอาหารของชนเผ่าเร่ร่อนที่ดำรงชีวิตในฝูงต้องการเกลือเพียงเล็กน้อย หรือไม่ต้องการเกลือเลย ขณะอาหารประเภทซีเรียลจำเป็นต้องเพิ่มเกลือ เกลือเป็นหนึ่งในเครื่องปรุงรสที่เก่าแก่ที่สุดและหาได้ง่ายที่สุด และการดองเค็มก็เป็นวิธีการถนอมอาหารที่สำคัญวิธีหนึ่ง หลักฐานการทำเกลือยุคแรกที่สุดย้อนไปถึง 6,000 ปีที่แล้ว เมื่อคนที่อาศัยในประเทศโรมาเนียต้มน้ำเพื่อสกัดเกลือ การทำนาเกลือในจีนก็เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน เกลือถูกชาวฮีบรู กรีก โรมัน ไบแซนไทน์ ฮิไทต์ และอียิปต์ ตีราคาสูง เกลือกลายเป็นวัตถุสำคัญและขนส่งทางเรือผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผ่านทางทางเกลือที่สร้างขึ้นเฉพาะ และผ่านทะเลทรายซาฮาราในคาราวานอูฐ ความขาดแคลนและความต้องการเกลือทั่วโลกนำไปสู่สงครามชิงเกลือ และใช้เกลือเพื่อเพิ่มภาษีเงินได้ เกลือยังถูกใช้ในพิธีทางศาสนา และวัฒนธรรมต่าง ๆ ด้วย เกลือผลิตจากเหมืองเกลือ หรือจากการระเหยน้ำทะเล หรือน้ำซับที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุในบ่อตื้น ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลักของเกลือคือโซดาไฟ และคลอรีน และใช้ในกระบวนการทางอุตสาหกรรมและในการผลิตโพลีไวนิลคลอไรด์ พลาสติก เยื่อกระดาษ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ จากการผลิตเกลือปริมาณสองล้านตันต่อปี มีเพียง 6% ที่ให้มนุษย์บริโภค ส่วนอื่น ๆ ใช้ในการปรับสภาวะของน้ำ กำจัดน้ำแข็งบนถนน และใช้ในการเกษตร เกลือที่กินได้มีขายในหลายรูปแบบ เช่น เกลือสมุทรและเกลือโต๊ะปกติจะบรรจุสารป้องกันการรวมตัวเป็นก้อน และอาจเสริมไอโอดีนเพื่อป้องกันภาวะพร่องไอโอดีน นอกจากจะใช้ปรุงอาหารและวางบนโต๊ะแล้ว เกลือยังพบได้ในอาหารแปรรูปจำนวนมาก อาหารที่มีโซเดียมมากเกินไปทำให้ความดันโลหิตสูง และอาจเพิ่มความเสี่ยงของกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าผู้ใหญ่ควรบริโภคโซเดียมน้อยกว่า 2,000 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่ากับเกลือ 5 กรัมต่อวัน.

ใหม่!!: สัตว์และเกลือ · ดูเพิ่มเติม »

เก้ง

ก้ง หรือ อีเก้งบรรจบ พันธุเมธา, ศาสตราจารย์, ดอกเตอร.

ใหม่!!: สัตว์และเก้ง · ดูเพิ่มเติม »

เก้งยักษ์

ก้งยักษ์ (Giant muntjac) มีรูปร่างหน้าตาคล้ายเก้งธรรมดา (M. muntjac) แต่มีขนาดลำตัวใหญ่กว่ามาก สีขนตามลำตัวมีหลากหลาย ทั้งสีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลดำ มีเขาเฉพาะตัวผู้ มีลักษณะเด่นคือ เขามีขนาดใหญ่ บางตัวอาจมีกิ่งเขาถึง 3 กิ่ง บางตัวอาจมีแค่ 2 โคนเขาหนากว่าโคนเขาของเก้งธรรมดา เก้งยักษ์ถือเป็นสัตว์ป่าลึกลับที่ไม่ค่อยปรากฏตัวจึงมีข้อมูลทางวิชาการน้อยมาก แม้แต่รูปถ่ายก็ยังไม่เคยมี จนกระทั่งกลางปี ค.ศ. 2008 ที่เวียดนามสามารถใช้กล้องวงจรปิดจับภาพเก้งยักษ์ขณะหากินในเวลากลางคืนได้เป็นครั้งแรกในโลก พบว่ามีการกระจายพันธุ์อยู่ในพรมแดนระหว่างลาว เวียดนาม และกัมพูชา ออกหากินทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน คาดว่าคงกินอาหารจำพวกเดียวกับเก้งทั่วไป ชาวพื้นเมืองที่เก้งยักษ์อาศัยอยู่มักล่าได้ในป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้ง หรือป่าผสมผลัดใบ ในพื้นที่ที่มีความสูงประมาณ 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล.

ใหม่!!: สัตว์และเก้งยักษ์ · ดูเพิ่มเติม »

เก้งหม้อ

ก้งหม้อ หรือ กวางเขาจุก หรือ เก้งดำ หรือ เก้งดง (Fea's muntjac, Tenasserim muntjac) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่จำพวกกวาง มีลักษณะคล้ายเก้งธรรมดา (M. muntjac) แต่ต่างกันเก้งหม้อจะมีขนบริเวณลำตัวที่เข้มกว่า ใบหน้ามีสีน้ำตาลเข้ม บริเวณกระหม่อมและโคนขามีสีเหลืองสด ด้านล่างของลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อน ขาทั้ง 4 ข้างมีสีดำ จึงเป็นที่มาของอีกชื่อสามัญที่เรียก ด้านหน้าด้านหลังมีสีขาวเห็นได้ชัดเจน หางสั้น หางด้านบนมีสีเข้ม แต่ด้านล่างมีสีขาว มีเขาเฉพาะตัวผู้ เขาของเก้งหม้อสั้นกว่าเก้งธรรมดา ผลัดเขาปีละ 1 ครั้ง มีความยาวลำตัวและหัว 88 เซนติเมตร ความยาวหาง 10 เซนติเมตร น้ำหนัก 22 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ในภาคใต้ของพม่า, มาเลเซีย, ภาคตะวันตกและภาคใต้ของไทย เป็นเก้งที่หายากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ครั้งหนึ่งเคยเชื่อว่าเหลือเพียงตัวเดียวในโลก ที่สวนสัตว์ดุสิต แต่ปัจจุบัน ยังพอหาได้ตามป่าธรรมชาติและวัดในพรมแดนไทยพม่า ที่พระสงฆ์เลี้ยงอยู่ เก้งหม้ออาศัยอยู่ในป่าที่มีความชื้นสูง เช่น บริเวณหุบเขาหรือป่าดิบชื้นใกล้แหล่งน้ำ อดน้ำได้ไม่เก่งเท่าเก้งธรรมดา ออกหาอาหารตามลำพังในช่วงเย็นหรือพลบค่ำ แต่ในบางครั้งอาจพบอยู่เป็นคู่หรือเป็นฝูงเล็ก ๆ ในฤดูผสมพันธุ์ จะผสมพันธุ์ในช่วงฤดูหนาว ตั้งท้องนาน 6 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ พ.ศ. 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเก้งหม้อ · ดูเพิ่มเติม »

เก้งอินโดจีน

ก้งอินโดจีน หรือ เก้งโรสเวลต์ (Roosevelt's muntjac) เป็นเก้งชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Muntiacus rooseveltorum เป็นเก้งที่มีข้อมูลทางวิชาการน้อยมาก โดยถูกพบตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2475 ใกล้กับเมืองพงสาลี แขวงหลวงพระบาง ทางตอนเหนือของลาว และในปี พ.ศ. 2539 พบซากที่สันนิษฐานของเก้งที่เชื่อว่าน่าจะเป็นเก้งอินโดจีนอีกครั้ง ในแขวงเชียงขวาง โดยสันนิษฐานว่า อาจกระจายพันธุ์อยู่ในป่าดิบเขา หรือพื้นที่ที่ราบสูงทางตะวันออกของแม่น้ำโขง และอาจมีการกระจายพันธุ์ในเวียดนามด้วย โดยมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับเก้งหม้อ (M. feae) ต่อมน้ำตามีขนาดเล็กคล้ายกับเก้งธรรมดา (M. muntjak) โดยในบางข้อมูลจะจัดให้เป็นชนิดย่อยของเก้งหม้อด้วยซ้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และเก้งอินโดจีน · ดูเพิ่มเติม »

เก้งจีน

ก้งจีน (Reeves' Muntjac, Chinese Muntjac) เป็นเก้งชนิดหนึ่งที่พบในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน (มณฑลกานซูถึงมณฑลยูนนาน) และในไต้หวันWilson, Don E.; Reeder, DeeAnn M., eds (2005).

ใหม่!!: สัตว์และเก้งจีน · ดูเพิ่มเติม »

เก้งธรรมดา

ก้งธรรมดา หรือ อีเก้ง หรือ ฟาน หรือที่นิยมเรียกกันว่า เก้ง (Indian muntjac, Common barking deer, Red muntjac) เป็นเก้งชนิดหนึ่ง นับเป็นเก้งชนิดที่รู้จักและมีถิ่นกระจายพันธุ์กว้างขวางที่สุด มีส่วนหลังโก่งเล็กน้อย ลำตัวสีน้ำตาลแดง ด้านใต้ซีดและอมเทาเล็กน้อย หางด้านบนสีน้ำตาลเข้ม ด้านล่างสีขาว เก้งตัวผู้มีเขาสั้น ฐานเขาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกะโหลกยื่นยาวขึ้นไปเป็นแท่ง มีขนปกคลุม และมีขนสีดำขึ้นตามแนวเขาจนดูเป็นรูปตัววีเมื่อมองด้านหน้าตรง ส่วนปลายเขาสั้น แต่เป็นง่ามเล็ก ๆ แค่สองง่าม ไม่แตกเป็นกิ่งก้านแบบกวาง ผลัดเขาปีละครั้ง ส่วนตัวเมียไม่มีเขาและฐานเขา แต่บนหน้าก็มีขนรูปตัววีเหมือนกัน เก้งตัวที่อายุมากผู้มีเขี้ยวยาวแหลมโค้งโผล่พ้นขากรรไกรออกมา เวลาเดินจะยกขาสูงทุกย่างก้าว หากินได้ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ส่วนใหญ่จะพบตอนเย็นหรือหัวค่ำ และตอนเช้ามืดจนถึงช่วงสาย อดน้ำไม่เก่ง จึงมักอยู่ไม่ไกลจากแหล่งน้ำ อาหารหลักได้แก่ยอดไม้, หน่ออ่อน, ใบไม้, ผลไม้ และรวมถึงเปลือกไม้ด้วย ไม่ค่อยกินหญ้า พบแพร่กระจายพันธุ์ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ ศรีลังกา, อินเดีย, จีนตอนใต้, พม่า, ไทย, ลาว, เวียดนาม, กัมพูชา, มาเลเซีย, เกาะสุมาตรา, เกาะชวา, เกาะบอร์เนียว, เกาะไหหลำ และหมู่เกาะซุนดา มีฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม ตกลูกต้นฤดูฝนพอดี ปกติตกลูกครั้งละหนึ่งตัว ตั้งท้องนานราว 6 เดือน ออกลูกตามใต้พุ่มไม้ ลูกเก้งมีจุดสีขาวตามตัว เมื่ออายุได้ราว 6 เดือน จุดสีขาวนั้นจึงค่อยจางหายไป เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ได้เมื่ออายุได้ 18 เดือน อายุขัยประมาณ 15 ปี ในประเทศไทย ถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

ใหม่!!: สัตว์และเก้งธรรมดา · ดูเพิ่มเติม »

เก้งเจื่องเซิน

ก้งเจื่องเซิน หรือ เก้งอันนัม (Truong Son muntjac, Annamite muntjac; Mang Trường Sơn) เป็นเก้งชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Muntiacus truongsonensis เป็นเก้งชนิดหนึ่งที่มีข้อมูลทางวิชาการน้อยมาก เหมือนเก้งอินโดจีน (M. rooseveltorum) โดยถูกพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2540 ในเวียดนาม เป็นหัวกะโหลกที่นำมาวางขายเท่านั้น ทำให้สันนิษฐานว่ามีรูปร่างคล้ายกับเก้งธรรมดา (M. muntjac) แต่มีขนาดเล็กกว่า ใบหน้าและขาทั้ง 4 ข้างมีสีดำคลายเก้งหม้อ (M. feae) เชื่อว่าอาศัยอยู่ตามป่าดิบเขาของเทือกเขาอันนัมซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างเวียดนามกับลาว และสถานะของเก้งชนิดนี้ในปัจจุบันกำลังแย่ลงทุกขณะเพราะการบุกรุกทำลายป่าและล่าสัตว์อย่างรุนแรงใน 2 ประเทศนี้.

ใหม่!!: สัตว์และเก้งเจื่องเซิน · ดูเพิ่มเติม »

เภสัชศาสตร์

ร้านยาแผนปัจจุบันในประเทศนอร์เวย์ เภสัชศาสตร์ ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งว่าด้วยกระบวนการต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องยาบำบัด บรรเทา หรือป้องกันโรค โดยศึกษาตั้งแต่วัตถุดิบที่จะนำมาผลิตยา การปรุงยา การเก็บรักษา ตลอดจนกระบวนการกระจายยา โดยศึกษาตั้งแต่แหล่งของยา โครงสร้างทางเคมีของยา การผลิตเป็นรูปแบบยาเตรียมต่างๆ การควบคุมคุณภาพและการประกันคุณภาพยาและเภสัชภัณฑ์ การวิจัยและการพัฒนายาและเภสัชภัณฑ์ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา เภสัชจลนศาสตร์ เภสัชพลศาสตร์ การใช้ยาทางคลินิกในโรคของระบบต่างๆ อาการไม่พึงประสงค์ของยา การติดตามผลของยา การประเมินการใช้ยา ไปจนถึงการบริหารจัดการเรื่องยาและกฎหมายเกี่ยวกับยา ทั้งนี้ยังครอบคลุมไปถึงเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สารเสพติด สารพิษ และวัตถุหรือสารออกฤทธิ์ประเภทต่างๆ เภสัชศาสตร์กำเนิดขึ้นควบคู่กับวิวัฒนาการของมนุษยชาติ ในการบำบัดรักษาคนป่วยในสมัยโบราณได้นำพืช สัตว์ และแร่ธาตุในการบำบัดรักษา โดยศึกษาวิธีการจากสิ่งมีชีวิตรอบตัว จนได้มีการจดบันทึกสั่งสมองค์ความรู้สู่การพัฒนาเภสัชตำรับฉบับแรกของโลกโดยชาวสุเมเรียน และได้เริ่มมีการศึกษาฤทธิ์ของยาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นในสมัยของฮิปโปเครตีส การเรียนการสอนทางเภสัชศาสตร์ในสมัยโบราณเป็นการศึกษาในวงจำกัดของชนชั้นสูงในสังคมอาหรับและการสืบทอดตำราโดยบาทหลวงเท่านั้น จนกระทั่งสมเด็จพระจักรพรรดิฟรีดริชที่ 2 ทรงประกาศกฎหมายเกี่ยวกับวิชาชีพเภสัชกรรม และการฝึกหัดทางเภสัชศาสตร์ทำให้มีการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น เภสัชศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพอย่างยิ่ง การเรียนการสอนทางเภสัชศาสตร์เน้นหลักในวิชาการด้านเคมีเป็นส่วนใหญ่ มีการแบ่งสาขาวิชาทางเภสัชศาสตร์จำแนกย่อยอีกหลายสาขา โดยแบ่งเป็นด้านวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม ประกอบด้วยสาขาเภสัชวิทยา เภสัชเวท เภสัชเคมี เภสัชวิเคราะห์และเภสัชภัณฑ์ จวบจนกระทั่งเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้น การผลิตยาจึงได้ประยุกต์สู่ด้านเภสัชอุตสาหกรรมด้วย ด้านเภสัชบริบาลศาสตร์ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการบริบาลผู้ป่วยและดูแลรักษาควบคุมการใช้ ตลอดจนติดตามผลการรักษาจากการใช้ยา ประกอบด้วยสาขาเภสัชกรรมคลินิกและเภสัชกรรมโรงพยาบาล และด้านเภสัชสาธารณสุข เภสัชศาสตร์สังคมและบริหารเภสัชกิจที่ดูแลการใช้ยาในระดับประชากรและการบริหารจัดการเรื่อง.

ใหม่!!: สัตว์และเภสัชศาสตร์ · ดูเพิ่มเติม »

เภสัชเวท

ัชเวท (Pharmacognosy) เป็นศาสตร์ทางเภสัชศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับยาอันมีที่มาจากแหล่งธรรมชาติ เภสัชเวทสมาคมแห่งสหรัฐอเมริกาได้ให้คำจำกัดความของเภสัชเวทไว้ว่า "เป็นการศึกษาลักษณะทางกายภาพ, เคมี, ชีวเคมี และคุณสมบัติทางชีวภาพของยา, สารที่นำมาใช้เป็นยาที่มีที่มาจากธรรมชาติ และการวิจัยค้นพบยาใหม่จากแหล่งธรรมชาติ" สมุนไพรที่นำมาใช้เป็นยาได้ภายหลังผ่านกระบวนการทางเภสัชกรรมเราเรียกว่า "เครื่องยา" โดยมีการจัดจำแนกตามคุณสมบัติของเครื่องยาตามวิธีการของศาสตร์ต่างๆ อาทิ เภสัชวิทยา, กลุ่มสารเคมี, การเรียงลำดับตามตัวอักษรละตินและภาษาอังกฤษ เป็นต้น เภสัชเวทเป็นหนึ่งในศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดศาสตร์หนึ่งของทางการแพทย์ และนับเป็นต้นกำเนิดของวิชาเภสัชศาสตร์ ในสมัยโบราณมีการใช้ยาจากธรรมชาติในการบำบัดรักษาเสียทั้งสิ้น ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งนำมาสู่การสังเคราะห์ยาจากสารเคมีทดแทนวิธีการทางธรรมชาติ อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันมีความนิยมการใช้ยาสมุนไพรมากขึ้น ทำให้เภสัชเวทเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ได้รับการส่งเสริมในปัจจุบัน เภสัชเวทยังครอบคลุมไปถึงการประยุกต์ใช้ทางการแพทย์เช่น ไฟเบอร์, ยาง ในการศัลยกรรมรักษา และการใช้เพื่อควบคุมภูมิคุ้มกันในร่างกาย รวมถึงการใช้เป็นสารปรุงแต่งทางเภสัชกรรม, เครื่องสำอาง.

ใหม่!!: สัตว์และเภสัชเวท · ดูเพิ่มเติม »

เภสัชเคมี

ัชเคมี (Pharmaceutical Chemistry) เป็นสาขาวิชาที่เกิดจากการผสมผสานกันของศาสตร์หลายสาขาโดยเฉพาะเคมีและเภสัชกรรม เพื่อการค้นหาและออกแบบตัวยา เภสัชเคมีจะเกี่ยวข้องกับการศึกษาเอกลักษณ์ทางเคมีของตัวยา การสังเคราะห์ตัวยา และการพัฒนาสารเคมีตัวใหม่ที่เหมาะสำหรับการรักษาโรค รวมถึงการศึกษายาที่มีอยู่เดิมในส่วนของคุณสมบัติทางเคมีกับคุณสมบัติทางเภสัชวิทยา-พิษวิทยา เช่น ความสัมพันธ์เชิงปริมาณระหว่างการออกฤทธิ์และโครงสร้างของยา (Quantitative Structure-Activity Relationship: QSAR) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และเภสัชเคมี · ดูเพิ่มเติม »

เมกะลาเนีย

มกะลาเนีย (Megalania; ชื่อวิทยาศาสตร์: Varanus priscus) เป็นสัตว์เลื้อยคลานกินเนื้อขนาดใหญ่ในวงศ์เดียวและสกุลเดียวกับเหี้ยในปัจจุบัน ซึ่งเมกะลาเนียได้สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ทว่า เมกะลาเนีย นั้นมีขนาดใหญ่ได้มากถึง 5.5 เมตร และหนักได้ถึง 600 กิโลกรัม ซึ่งเท่ากับว่าใหญ่กว่ามังกรโคโมโด สัตว์ในวงศ์เหี้ยขนาดใหญ่ที่สุดที่ยังสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันนี้ถึง 2 เท่า เมกะลาเนีย อาศัยอยู่บริเวณที่เป็นทวีปออสเตรเลียในปัจจุบัน และได้สูญพันธุ์ไปเมื่อ 45,000-50,000 ปีก่อน ในปลายยุคเพลสโตซีน หรือ ยุคสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยุคน้ำแข็ง เชื่อว่าเมกะลาเนีย มีพฤติกรรมและมีพิษในน้ำลายเช่นเดียวกับมังกรโคโมโดในปัจจุบัน และเชื่อว่าเมกะลาเนียยังเป็นสัตว์นักล่าที่น่ากลัวมากอีกด้วย เนื่องจากมีกรามที่ใหญ่และฟันที่แหลมคมมากในปากและอาหารโปร่ดเมกะลาเนียคือ ไดโปรโตดอนสึงมันยังมีคู่แข่งอย่า สิงโตมาซูเพียล หรือ สิงโตมีกระเป๋าหน้าท้อง อีกด้วย สำหรับคำว่าเมกะลาเนียนั้นตั้งโดย เซอร์ริชาร์ด โอเวน นักบรรพชีวินวิทยาชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ที่ศึกษามัน และตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้แก่มันด้วย โดยมาจากภาษากรีก ที่มีความหมายว่า "ผู้เดินทางที่ยิ่งใหญ่ในอดีต".

ใหม่!!: สัตว์และเมกะลาเนีย · ดูเพิ่มเติม »

เมกาซีลลีน กูชา

มกาซีลลีน กูชา เป็นสายพันธ์ของด้วง ในวงศ์เครามบาซีเด มันถูกอธิบายโดยมาร์ตินส์ และกาลิเลโอในปี..

ใหม่!!: สัตว์และเมกาซีลลีน กูชา · ดูเพิ่มเติม »

เมก้าแร็ปเตอร์

มก้าแร็ปเตอร์ (Megaraptor) ฟอสซิลของมันค้นพบครั้งแรกที่อาร์เจนตินา โดยนายโนวาส เมื่อปี..1998 มีชื่อเต็มว่า เมก้าแร็ปเตอร์ นามันฮัวอิคิวอิ (Megaraptor namunhuaiquii) ซึ่งมีความหมายว่าหัวขโมยขนาดยักษ์ อาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนปลาย เมื่อประมาณ 98 ล้านปีก่อน เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ประมาณรถเมล์ มีความยาวระหว่าง 6-8 เมตร สูงจากพื้นถึงหัว 4 เมตร แต่ก็เคยพบขนาดใหญ่ที่สุดยาว 9 เมตร มีเล็บที่มือยาวถึง 15 นิ้ว ซึ่งอาจจะยาวที่สุดในไดโนเสาร์ทั้งหมด คาดว่ามีไว้ล่าเหยื่อขนาดใหญ่อย่างอมาร์กาซอรัส หรืออาร์เจนติโนซอรัส ในช่วงแรกมันถูกจัดอยู่ในพวกแร็พเตอร์โดรเมโอซอร์ เนื่องจากค้นพบฟอสซิลเพียงชิ้นเดียวคือกรงเล็บรูปร่างโค้งคล้ายเคียวขนาดใหญ่ของมัน แต่ทว่าเรื่องจริงก็ถูกเปิดเผย จากการค้นพบฟอสซิลเพิ่มเติม นักบรรพชีวินพบว่าแท้จริงแล้วกรงเล็บนั้นไม่ได้อยู่บนนิ้วเท้าแบบของพวกโดรมีโอซอร์ แต่กลับอยู่บนมือ ทำให้เมก้าแรพเตอร์เปลี่ยนสถานะไปในทันที ปัจจุบัน เมก้าแรพเตอร์มีวงศ์ย่อยเป็นของมันเองคือ Megaraptora ซึ่งจะประกอบไปด้วยเทอโรพอดแปลกประหลาดอีกหลายตัว เช่น อีโอไทแรนนัส ออสตราโลเวเนเทอร์ ฯ ส่วนวงศ์ใหญ่ที่คลุม Megaraptora อีกทีนั้นยังไม่แน่ชัด บ้างก็ว่าเป็น Tyrannosauroid บ้างก็ว่าเป็น Allosauroid หรือ Spinosauroid ไปเลยก็มี เพราะฉะนั้นในตอนนี้รูปร่างของเมก้าแรพเตอร์ก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป.

ใหม่!!: สัตว์และเมก้าแร็ปเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

เมลาโนโซม

มลาโนโซม ในทางชีววิทยาของเซลล์ หมายถึง ออร์แกเนลล์ชนิดหนึ่งที่มีเมลานินอยู่ภายใน ซึ่งเป็นรงควัตถุที่พบมากในอาณาจักรสัตว์ เซลล์ที่มีเมลาโนโซมเรียกเมลาโนไซต์รวมทั้งเซลล์ที่เยื่อบุผิว ส่วนที่เซลล์กินเมลาโนโซมเรียกเมลาโนฟ.

ใหม่!!: สัตว์และเมลาโนโซม · ดูเพิ่มเติม »

เมอโรสโทมาทา

มอโรสโทมาทา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Merostomata) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมอาร์โธรโพดา ชั้นย่อยเชลิเซอราตา เป็นสัตว์น้ำที่แบ่งออกได้เป็น 2 อันดับ ได้แก่ Eurypterida หรือ แมงป่องทะเล ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว กับ Xiphosura หรือ แมงดาทะเล ที่ยังคงสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน โดยเมอโรสโมมาทาได้พัฒนาแยกออกมาจากอาร์โธรโพดาเมื่อกว่า 480 ล้านปีมาแล้ว แมงดาทะเล ในปัจจุบันเหลือเพียง 5 ชนิด จัดว่าเป็นเซริเชอราตาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีความยาวถึง 60 เซนติเมตร ที่พบเป็นฟอสซิลยาวถึง 2 เมตร ด้านหลังของคาราเพชมีตาประกอบ 1 คู่ ด้านล่างของเซฟาโรทอแรกซ์เป็นที่ตั้งของระยางค์ทั้ง 6 คู่ โดยระยางค์ขา 3 คู่ มีลักษณะเป็นก้ามหนีบ ยกเว้นขาคู่สุดท้ายใช้ในการกวาดโคลน ทราย ปล้องส่วนท้องจะรวมกัน ด้านท้ายสุดจะยื่นยาวออกเป็นหาง ด้านล่างของส่วนท้องเป็นที่ตั้งของเหงือก 5 คู่ และมีแผ่นปิดเหงือก แมงดาทะเลเป็นสัตว์ที่ไม่เป็นอันตราย จะใช้ระยางค์ขาคู่สุดท้ายดันขุดดินไปด้านหลังเพื่อฝังตัวลงในโคลนหรือทราย การดำรงชีวิตเป็นทั้งกินพืชและกินซาก รวมทั้งสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีลำตัวอ่อนนุ่ม.

ใหม่!!: สัตว์และเมอโรสโทมาทา · ดูเพิ่มเติม »

เมืองออโกก๊ก

เมืองออโกก๊ก กล่าวว่าเจ้าเมืองคือลุดตัดกุด ชาวเมืองนี้จะขุดถ้ำเพื่ออาศัย เลี้ยงสัตว์ร้ายต่างๆเพื่อทำสงคราม หนังสือบางเล่มก็บอกว่ากินงูดิบด้วย หมวดหมู่:สามก๊ก.

ใหม่!!: สัตว์และเมืองออโกก๊ก · ดูเพิ่มเติม »

เมียร์แคต

มียร์แคต (Meerkat, Suricate) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีขนาดลำตัวเล็ก น้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม (2 ปอนด์) และสูงประมาณ 50 เซนติเมตร (20 นิ้ว) จัดอยู่ในวงศ์พังพอน (Herpestidae) มีถิ่นอาศัยอยู่ในทะเลทรายคาลาฮารีทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Suricata และแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) เมียร์แคตมีอุ้งเล็บที่มีลักษณะโค้งเพื่อใช้ในการขุด และมีจมูกไวมาก มีขนสั้นสีน้ำตาล มีขนเป็นแนวเส้นขนานพาดข้ามหลัง อาศัยและหาอาหารในโพรงดินที่ขุดขึ้น โดยอาหารได้แก่ แมลงชนิดต่าง ๆ รวมถึงสัตว์มีกระดูกสันหลังตัวเล็ก ๆ อีกด้วย อีกทั้งยังสู้และกินสัตว์มีพิษต่าง ๆ ได้อีกด้วย เช่น แมงป่อง ตะขาบ งูพิษ เป็นต้น มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่บางครั้งอาจมีสมาชิกถึง 30 ตัว และอยู่ร่วมกับสัตว์ขนาดเล็กชนิดอื่น ๆ เช่น กระรอกดิน ไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบยืนชะเง้อคอ เพื่อตรวจดูและดมกลิ่นในบริเวณรอบ ๆ จะออกมารับแสงแดดในช่วงเวลาเช้าเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เมียร์แคตถือได้ว่าเป็นสัตว์มีประสาทสัมผัสและการระแวดระวังภัยที่ดีมาก โดยเฉพาะเรื่องการรับฟังเสียงจะสามารถได้ยินเสียงในรัศมีถึง 160 ฟุต (50 เมตร) และจะอพยพย้ายที่อยู่เมื่อมีภัย ทั้งนี้โพรงของเมียร์แคตมีความลึกลงไปในใต้ดิน โพรงดินที่สร้างขึ้นสามารถเชื่อมต่อกัน ทำให้มีช่องทางเข้าออกมากขึ้นและช่วยให้มีทางหลบหนีเมื่อมีภัยมา เมียร์แคตจะขยายพันธุ์เมื่อมีอายุประมาณ 1 ปี จะออกลูกตามโพรง ช่วงฤดูผสมพันธุ์คือเดือนตุลาคม-มีนาคม ระยะเวลาตั้งท้องประมาณ 11 สัปดาห์ ออกลูกครั้งละ 2-5 ตัว.

ใหม่!!: สัตว์และเมียร์แคต · ดูเพิ่มเติม »

เมทาเธอเรีย

เมทาเธอเรีย (Infarclass Metatheria) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง เป็นชั้นฐานของชั้นย่อยเธอเรีย ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีถุงหน้าท้อง หมวดหมู่:สัตว์ หมวดหมู่:สัตว์มีแกนสันหลัง หมวดหมู่:สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม.

ใหม่!!: สัตว์และเมทาเธอเรีย · ดูเพิ่มเติม »

เมแทบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต

มแทบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต (carbohydrate metabolism) เป็นขบวนการทางชีวเคมีต่าง ๆ ซึ่งเป็นเหตุของการสร้าง การสลาย และการเปลี่ยนแปลงของคาร์โบไฮเดรตในสิ่งมีชีวิต คาร์โบไฮเดรตที่สำคัญที่สุด คือ กลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่เกิดเมแทบอลิซึมได้ในสิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิดเท่าที่ทราบ กลูโคสและคาร์โบไฮเดรตตัวอื่นมีส่วนในวิถีเมแทบอลิซึมอันหลากหลายในสปีชีส์ต่าง ๆ พืชสังเคราะห์คาร์โบไฮเดรตจากแก๊สในบรรยากาศโดยการสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งเก็บพลังงานที่ดูดซับมาไว้ภายใน มักอยู่ในรูปของแป้งหรือลิพิด ส่วนประกอบของพืชถูกสัตว์หรือฟังไจกิน และใช้เป็นเชื้อเพลิงในการหายใจระดับเซลล์ ออกซิเดชันของคาร์โบไฮเดรตหนึ่งกรัมให้พลังงานประมาณ 4 กิโลแคลอรี พลังงานที่ได้จากเมแมบอลิซึม (นั่นคือ ออกซิเดชันของกลูโคส) มักถูกเก็บไว้ในเซลล์ชั่วคราวในรูปของ ATP สิ่งมีชีวิตซึ่งสามารถหายใจแบบใช้ออกซิเจนสามารถเกิดเมแทบอลิซึมของกลูโคสและออกซิเจนเพื่อปลดปล่อยพลังงาน โดยมีคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำเป็นผลพลอยได้ คาร์โบไฮเดรตประกอบด้วยน้ำตาลซับซ้อนและน้ำตาลอย่างง่าย น้ำตาลเดี่ยวสามารถสลายได้โดยตรงในเซลล์ คาร์โบไฮเดรตซับซ้อนอย่างซูโครส (น้ำตาลโมเลกุลคู่) มีน้ำตาลเดี่ยวมากกว่าหนึ่งตัวในสายโซ่ คาร์โบไฮเดรตพวกนี้ถูกสลายในทางเดินอาหารโดยเอนไซม์เฉพาะที่สลายสายโซ่และให้น้ำตาลเดี่ยวออกมา แป้งเป็นพอลิเมอร์ของหน่วยกลูโคสและถูกสลายเป็นกลูโคส เซลลูโลสเป็นสายโซ่คาร์โบไฮเดรตที่สัตว์บางชนิดไม่สามารถย่อยได้ เช่น มนุษย์ ดังนั้น มนุษย์จึงไม่ได้รับพลังงานจากการทานพืช แบคทีเรียบางชนิดที่ผลิตเอนไซม์ย่อยเซลลูโลสอาศัยอยู่ในทางเดินอาหารของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เช่น วัว และเมื่อวัวกินหญ้า เซลลูโลสจะถูกแบคทีเรียสลาย และบางส่วนจะถูกปล่อยเข้าสุ่ทางเดินอาหาร คาร์โบไฮเดรตเชื้อเพลิงระยะสั้นอันดับแรกของสิ่งมีชีวิต เพราะคาร์โบไฮเดรตเกิดเมแทบอลิซึมได้ง่ายกว่าไขมันหรือกรดอะมิโนของโปรตีนส่วนที่ใช้เป็นพลังงาน ในสัตว์ คาร์โบไฮเดรตที่สำคัญที่สุด คือ กลูโคส ระดับของกลูโคสถูกใช้เป็นการควบคุมหลักของฮอร์โมนอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนศูนย์กลางเมแทบอลิซึม คาร์โบไฮเดรตอย่างง่ายบางชนิดมีวิถีออกซิเดชันด้วยเอนไซม์ของมันเอง เช่นเดียวกับคาร์โบไฮเดรตซับซ้อนอีกเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น น้ำตาลโมเลกุลคู่ แล็กโทส ต้องอาศัยเอนไซม์แลกเทสเพื่อสลายได้เป็นองค์ประกอบมอโนแซ็กคาไรด์ ซึ่งสัตว์หลายชนิดขาดเอนไซม์นี้เมื่อโตเต็มวัย คาร์โบไฮเดรตมักถูกเก็บอยู่ในรูปพอลิเมอร์สายยาวที่โมเลกุลกลูโคสต่อกันด้วยพันธะไกลโคซิดิก เป็นโครงสร้างค้ำจุน (นั่นคือ ไคติน เซลลูโลส) หรือเพื่อการเก็บสะสมพลังงาน (นั่นคือ ไกลโคเจน แป้ง) อย่างไรก็ดี ความชอบน้ำอย่างมากของคาร์โบไฮเดรตส่วนมากทำให้การเก็บสะสมคาร์โบไฮเดรตในปริมาณมากไม่มีประสิทธิภาพ เพราะน้ำหนักโมเลกุลที่มากของสารประกอบเชิงซ้อนระหว่างน้ำกับคาร์โบไฮเดรต ในสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ คาร์โบไฮเดรตที่มากเกินไปจะเกิดแคแทบอลิซึมเป็นประจำเพื่อสร้างอะซิติลโค เอ ซึ่งสามารถเข้าวิถีการสังเคราะห์กรดไขมัน พลังงานระยะยาวตามปกติเก็บสะสมอยู่ในรูปของกรดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์และลิพิดอื่น ๆ มากกว่า อย่างไรก็ดี สัตว์ รวมทั้งมนุษย์ ขาดกลไกเอนไซม์ที่จำเป็นในการสังเคราะห์กลูโคสจากลิพิด แม้กลีเซอรอลจะสามารถเปลี่ยนมาเป็นกลูโคสได้ก็ตาม.

ใหม่!!: สัตว์และเมแทบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต · ดูเพิ่มเติม »

เม่นหางพวง

ม่นหางพวง (Asiatic brush-tailed porcupine) เป็นสัตว์ฟันแทะจำพวกเม่นชนิดหนึ่ง ในวงศ์เม่นโลกเก่า (Hystricidae) เป็นเม่นขนาดเล็ก มีความยาวลำตัวและส่วนหัว 36–52 เซนติเมตร ความยาวหาง 14–23 เซนติเมตร ขนตามลำตัวและหนามเป็นสีน้ำตาล มีลักษณะเด่น คือ มีหางที่ยาวกว่าหางของเม่นในสกุล Hystrix ปลายหางเป็นพู่ แต่จะไม่มีขนแผงคอ พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่รัฐอัสสัมในอินเดีย, ภาคใต้และมณฑลไหหลำของจีน, ภาคเหนือและตะวันออกของเมียนมา, ทั่วทุกภาคของไทย, ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม, มาเลเซีย ตลอดจนถึงเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย มีชื่อพ้อง คือ Atherurus assamensis (Thomas, 1921) และ Atherurus macrourus (Thomas, 1921) และชนิดย่อย คือ assamensis เป็นสัตว์ที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ ตั้งแต่ป่าอุดมสมบูรณ์ไปจนถึงพื้นที่เกษตรกรรม อาหารได้แก่ รากไม้, ผลไม้, เปลือกไม้ของพืชบางชนิด และซากกระดูกหรือเขาสัตว์ ออกหากินในเวลากลางคืน โดยมักจะอยู่รวมกันเป็นฝูง ๆ ละ 6–8 ตัว นอนตามโพรงไม้ในเวลากลางวัน โดยใช้โพรงไม้เดิมเป็นเวลาหลายปี บางครั้งพบว่าอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นคู่ในโพรงเดียวกัน.

ใหม่!!: สัตว์และเม่นหางพวง · ดูเพิ่มเติม »

เม่นทะเล

ม่นทะเล หรือ หอยเม่น (Sea urchin) เป็นสัตว์ในชั้น เอไคนอยเดีย (Echinoidea) ในไฟลัมเอไคโนดอร์มาทา และอยู่ในกลุ่มเอคไคนอยด์ที่มีสมมาตร อาศัยอยู่ตามพื้นแข็ง มีสีต่างกัน ด้านที่เกาะกับพื้นเป็นปาก ทวารหนักอยู่กลางลำตัว ด้านบนสุด เม่นทะเลจะมีหนามสองขนาด หนามขนาดยาวใช้ในการผลักดันพื้นแข็ง ขุดคุ้ยสิ่งต่างๆหรือช่วยในการฝังตัว หนามเล็กสั้นใช้ยึดเกาะเวลาปีนป่าย เม่นทะเลที่มีพิษจะมีหนามที่กลวงและมีพิษอยู่ภายใน หนามนี้จะแทงทะลุผิวหนังได้ง่าย เมื่อหักจะปล่อยสารพิษออกมา อาหารของเม่นทะเลคือสาหร่าย สัตว์ที่ตายแล้ว และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่เกาะอยู่กับที่ มีตาด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และเม่นทะเล · ดูเพิ่มเติม »

เม่นต้นไม้

ม่นต้นไม้ หรือ เม่นบราซิล (Brazilian porcupine) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Coendou prehensilis เป็นสัตว์ฟันแทะจำพวกเดียวกับเม่น มีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าดิบชื้นในทวีปอเมริกาใต้ แถบประเทศโบลิเวีย, บราซิล, ตรินิแดดและโตเบโก, ตอนเหนือของอาร์เจนตินา, เวเนซุเอลา, กายอานา และมีรายงานพบในเอกวาดอร์ด้วย มีลักษณะจมูกและปากเล็กแหลม ฟันแหลมคม สำหรับขบเคี้ยวอาหารและใช้เป็นอาวุธสำหรับต่อสู้ป้องกันตัวในบางครั้ง ดวงตากลมโตสีดำ ใบหูขนาดเล็ก รับฟังเสียงรอบข้างได้ดี ทั่วทั้งร่างกายปกคลุมด้วยหนามสั้นหนา ปลายหนามด้านบนสีขาวหรือสีเหลืองเข้มผสม ส่วนโคนหนามซึ่งติดกับผิวหนังเป็นสีเทา ขาคู่หน้า ยาวกว่าคู่หลังเล็กน้อย แต่ละข้างมี 4 นิ้ว และเล็บที่แหลมคมสำหรับแกะเปลือกไม้และขุดรากพืชบางชนิด กิ่งไม้ขนาดเล็กรวมทั้งผลไม้สดเป็นอาหาร ส่วนหางยาวและค่อนข้างแข็งแรงจะใช้จับกิ่งก้านขณะเคลื่อนไหว ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนต้นไม้ มีนิสัยขี้อาย ชอบใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังตัวเดียว ออกหากินในเวลากลางคืน กลางวันจะพักผ่อนหลับนอนอยู่ตามโพรงไม้ บางครั้งอาจพบอยู่ตามโพรงดินที่ขุดลึกไป 6-10 เมตร ขนาดโตเต็มที่ขนาดลำตัวมีความยาว 300-600 มิลลิเมตร และหางจะมีความยาวเกือบเท่าขนาดลำตัวหรือยาวเพิ่มอีก 330-485 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวเฉลี่ย 2-5 กิโลกรัม ตกลูกครั้งละตัวเดียว เม่นต้นไม้แรกเกิดถูกปกคลุมด้วยเส้นขนสีแดงและหนามเล็ก ๆ ที่จะแข็งตัวเร็วหลังจากเกิด มักส่งเสียงร้องเมื่อพบอันตรายใกล้ตัวคล้ายเสียงร้องไห้ เมื่อพบกับศัตรูจะขดตัวกลมคล้ายลูกบอลคล้ายตัวลิ่น ในประเทศไทย เม่นต้นไม้ถูกนำเข้ามาแสดงครั้งแรกในวันปลาสวยงามแห่งชาติ ที่ห้างเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ระหว่างวันที่ 2 ตุลาคม จนถึง 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553.

ใหม่!!: สัตว์และเม่นต้นไม้ · ดูเพิ่มเติม »

เม่นใหญ่

ม่นใหญ่ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในสกุล Hystrix (/ฮิส-ทริก/) เป็นสัตว์ฟันแทะ จำพวกเม่น ในวงศ์เม่นโลกเก่า (Hystricidae) จัดเป็นเม่นขนาดใหญ่ หนามยาวและแหลมแข็ง กระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียและแอฟริกา โดยเม่นสกุลนี้สามารถย้อนเผ่าพันธุ์ไปได้ไกลถึงยุคไมโอซีนในแอฟริก.

ใหม่!!: สัตว์และเม่นใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

เม่นใหญ่แผงคอยาว

ม่นใหญ่แผงคอยาว (Malayan porcupine, Himalayan porcupine, Large porcupine) เป็นเม่นขนาดใหญ่ หูและหางสั้น ขนตามลำตัวสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ มีขนแข็งแหลมและยาวมากบนหลังและสะโพก ซึ่งขนดังกล่าวจะชี้ตรงไปทางด้านหลัง ก้านขนมีสีขาว บางเส้นอาจมีวงสีดำสลับอยู่ ขนแผงคอยาวประมาณ 3-6 เซนติเมตร มีสีน้ำตาลเข้ม มีฟันหน้าที่ใหญ่ยาวและแข็งแรงมาก มีความยาวลำตัวและหัว 63.5-72.5 เซนติเมตร ความยาวหาง 6.4-11.4 เซนติเมตร น้ำหนัก 20-27 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ในเนปาล, อินเดีย, ภูฏาน, จีน, บังกลาเทศ, พม่า, ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, เกาะบอร์เนียวและเกาะสุมาตรา สามารถปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ ทั้งป่าสมบูรณ์และป่าเสื่อมโทรมที่ผ่านการทำลายมาแล้ว หลับนอนในโพรงที่ขุดขึ้นมาเอง บริเวณปากโพรงจะปกคลุมด้วยพืชรกชัฏเพื่ออำพราง ออกหากินในเวลากลางคืน กินอาหารจำพวกรากพืช หน่อไม้ เปลือกไม้ ผลไม้สุกที่ร่วงจากต้น กระดูกสัตว์รวมทั้งเขาสัตว์ด้วย เช่น เขาของเก้งหรือกวางที่ผลัดทิ้งเพื่อเพิ่มแคลเซี่ยมให้กับร่างกาย อีกทั้งเป็นการขัดฟันไม่ให้ยาวเกินไปในตัวด้วย นอนหลับในเวลากลางวันในโพรง โดยจะลากเอาเขาหรือกระดูกสัตว์เข้ามาแทะถึงในโพรง เมื่อพบศัตรูจะกระทืบเท้าเสียงดัง หากไม่สำเร็จจะค่อย ๆ เดินหนี หากศัตรูยังตามมา จะวิ่งหนีรวดเร็วและหยุดอย่างกะทันหัน เพื่อให้ศัตรูหยุดไม่ทันและถูกหนามแหลมทิ่ม โดยปกติจะสั่นขนของตัวเองอยู่เสมอ ทำให้มักได้ยินเสียงการกระทบกันของเส้นขนอยู่บ่อย ๆ ซึ่งเป็นการอวดศักยภาพของตัวเอง หรือแม้แต่เดินธรรมดา ๆ ก็จะได้ยินเสียงเส้นขนลากกับพื้น เม่นใหญ่แผงคอยาวออกลูกครั้งละ 2-3 ตัว มีอายุสูงสุดในที่เลี้ยง 27 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และเม่นใหญ่แผงคอยาว · ดูเพิ่มเติม »

เม็กกาโลดอน

ม็กกาโลดอน (Megalodon; มาจากภาษากรีกโบราณคำว่า μέγας (megas) "ใหญ่, ทรงพลัง" และ ὀδoύς (odoús), "ฟัน"—ต้นกำเนิดคือ odont-, ตามที่เห็นในรูปแบบสัมพันธ์รูปแบบ ὀδόντος, odóntos; หมายความโดยรวม คือ ฟันใหญ่) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เม็ก (Meg) ปลาฉลามขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Carcharocles megalodon โดยเดิมใช้ชื่อวิทยาศาตร์ว่า Carcharodon megalodon ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันกับปลาฉลามขาว (C. carcharias) ด้วยเชื่อว่ามีพฤติกรรมและลักษณะคล้ายคลึงกัน แม้ว่าเม็กกาโลดอนจะมีขนาดใหญ่กว่ามาก และจัดอยู่ในวงศ์ Lamnidae แต่ปัจจุบันได้มีการพิจารณาใหม่ให้ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Carcharocles megalodon และอยู่ในวงศ์ Otodontidae ซึ่งเป็นวงศ์ของปลาฉลามขนาดใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในอันดับ Lamniformes.

ใหม่!!: สัตว์และเม็กกาโลดอน · ดูเพิ่มเติม »

เยติ

รคดี เยติ หรือ มนุษย์หิมะ (เนปาลี: हिममानव himamānav, คำแปล "มนุษย์หิมะ") เป็นชื่อที่ใช้เรียกสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ในความเชื่อของชาวเชอร์ปา ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาหิมาลัย ในประเทศเนปาล, ภูฏาน, ธิเบต, จีน จนถึงบางพื้นที่ในมองโกเลียและรัสเซีย โดยเชื่อว่าเยติ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่สูงตั้งแต่ 5–8 ฟุต น้ำหนักประมาณ 600 ปอนด์ ที่คล้ายมนุษย์ผสมกับลิงไม่มีหางคล้าย กอริลลา มีขนยาวสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำหรือสีเทาหรือเทาเข้มปกคลุมทั้งลำตัว ยกเว้นใบหน้าที่มีสีคล้ำ มีเสียงร้องที่น่าสะพรึงกลัว โดยปรกติแล้ว เยติเป็นสัตว์ที่มีนิสัยสงบเสงี่ยม แต่อาจดุร้ายโจมตีใส่มนุษย์และสัตว์เลี้ยง เช่น จามรี ได้ในบางครั้ง เยติ ปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมของชาวเชอร์ปามาอย่างช้านาน โดยถูกกล่าวถึงในนิทานและเพลงพื้นบ้าน และเรื่องเล่าขานต่อกันมาถึงผู้ที่เคยพบมัน นอกจากนี้แล้วยังปรากฏในศิลปะของพุทธศาสนานิกายมหายานแบบธิเบต โดยปรากฏเป็นภาพในพรมธิเบตที่แขวนไว้ที่ฝาผนังเหมือนจิตรกรรมฝาผนังในวัดลามะอายุกว่า 400 ปี เป็นภาพของสิ่งมีชีวิตประหลาดอย่างหนึ่งที่ขนดกอยู่ด้านมุมภาพและในมือถือกะโหลกมนุษย์อยู่ และปัจจุบันนี้ ก็มีสิ่งที่เชื่อว่าเป็นหนังหัวของเยติถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในวัดลามะแห่งหนึ่งในคุมจุง ซึ่งนับว่าเยติเป็นสัตว์ที่ถูกกล่าวอ้างถึงยาวนานกว่าสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะคล้ายกันชนิดอื่นที่พบในอีกซีกโลก เช่น บิ๊กฟุต หรือ ซาสควาทช์ ในทวีปอเมริกาเหนือ, ยาวี ในทวีปออสเตรเลีย หรืออัลมาส์ ในเอเชียกลาง หากแต่หลักฐานเกี่ยวกับเยติเมื่อเทียบกับบิ๊กฟุตแล้วพบน้อยกว่ามาก แต่มีหลายกรณีที่บ่งชี้ว่าเป็นสัตว์ที่ดุร้าย ก้าวร้าวกว่ามาก นอกจากคำว่าเยติแล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ ที่เรียกเยติ เช่น เธลม่า (Thelma), แปลว่า "ชายตัวเล็ก" เชื่อว่ามีนิสัยรักสงบ ชอบสะสมกิ่งไม้และชอบร้องเพลงขณะที่เดินไป, ดซูท์เทห์ (Dzuteh) เป็นเยติขนาดใหญ่ มีขนหยาบกร้านรุงรัง มีนิสัยดุร้ายชอบโจมตีใส่มนุษย์, มิห์เทห์ (Mith-teh) มีนิสัยคล้ายดซูท์เทห์ คือ ดุร้าย มีขนสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำ, เมียกา (Mirka) แปลว่า "คนป่า" เชื่อว่าหากมันพบเห็นสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ มันจะทำร้ายจนถึงแก่ความตาย, คัง แอดมี (Kang Admi) แปลว่า "มนุษย์หิมะ" และ โจบราน (JoBran) แปลว่า "ตัวกินคน" ขณะที่ในภูฏานเรียกว่า มิกอย (Migoi) หรือ นากอย (Nagoi) ส่วนชื่อ มนุษย์หิมะ นั้น ปรากฎขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1921 เมื่อนักสำรวจชาวตะวันตกซึ่งเป็นผู้ที่ถ่ายภาพรอยเท้าของเยติไว้ได้เป็นภาพแรก เจอกับปัญหาการแปลภาษาเชอร์ปา ซึ่งมาจากคำว่า "ดซูท์เทห์" ที่แปลได้ว่า "มนุษย์ตัวเหม็นแห่งหิมะ" ซึ่งเขาได้เขียนลงในบันทึกในฐานที่พักว่า "มนุษย์ตัวเหม็นน่ารังเกียจแห่งหิมะ" ที่ภูฏาน ชาวพื้นเมืองต่างเชื่อว่าเยติมีจริง หลายคนเคยได้พบเจอตัวหรือได้ยินเสียงของเยติ โดยกล่าวว่าเยติเป็นสัตว์ดุร้าย ที่ฆ่ามนุษย์ได้ มีรูปร่างสูงใหญ่ มีพละกำลังมาก มีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุมทั่วร่างรวมถึงมีใบหน้าคล้ายลิง มีเขี้ยวที่ยาวและแหลมคม เสียงร้องของเยติเป็นเสียงสูง เยติอาศัยอยู่ตามถ้ำหรือในป่าลึก ออกหากินในช่วงเวลาที่อากาศอบอุ่น ทำรังด้วยการใช้กิ่งไม้ขัดสานกันเหมือนเตียงนอน และเชื่อว่าหากผู้ใดต้องการพบเห็นตัวเยติต้องทำร่างกายให้สกปรก หากเนื้อตัวสะอาดก็จะไม่ได้พบเยติ มีรายงานการพบเห็นเยติเป็นจำนวนมากทางตอนเหนือของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสากเต็ง ในเขตตราชิกัง เรเน เดอ มีล์วีลล์ นักปีนเขาชาวฝรั่งเศสเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1976 เรื่องราวของเยติที่โจมตีใส่มนุษย์นั้น ได้ถูกทำเป็นรายงานส่งไปยังเมืองกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล ซึ่งปากคำของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อถูกบันทึกโดยอาสาสมัครชาวอเมริกันที่ทำงานในเนปาล โดยผู้ถูกทำร้ายเป็น เด็กหญิงชาวเชอร์ปาคนหนึ่ง ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และเยติ · ดูเพิ่มเติม »

เรือด

รือด (Bedbug) เป็นแมลงขาปล้องที่เป็นปรสิต อยู่ใน Phylum Arthropoda, Class Insecta มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cimex lectularius.

ใหม่!!: สัตว์และเรือด · ดูเพิ่มเติม »

เรดบิลลี่ มาคอว์

รดบิลลี่ มาคอว์ หรือ มาคอว์ท้องแดง เป็น มาคอว์ที่มีขนาดเล็ก มีลำตัวสีเขียว ท้องสีแดง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อนั้นเอง เรดบิลลี่ มาคอว์ มีแหล่งกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกใต้ แถบประเทศ โคลัมเบีย,ตรินิแดด,เปรู,โบลิเวียและทางตอนกลางของบราซิล.

ใหม่!!: สัตว์และเรดบิลลี่ มาคอว์ · ดูเพิ่มเติม »

เลียงผา

ลียงผา หรือ เยียงผา หรือ โครำ (Serows; อีสาน: เยือง) เป็นสกุลของสัตว์กีบคู่สกุลหนึ่ง ในวงศ์ Bovidae วงศ์ย่อย Caprinae คือ วงศ์เดียวกับแพะและแกะ ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Capricornis (/แคป/-ปริ-คอร์-นิส/).

ใหม่!!: สัตว์และเลียงผา · ดูเพิ่มเติม »

เลียงผาญี่ปุ่น

ลียงผาญี่ปุ่น (日本カモシカ; โรมะจิ: Nihon kamoshika; ชื่อวิทยาศาสตร์: Capricornis crispus) เป็นสัตว์จำพวกที่มีเขาเป็นเกลียว และเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกีบคู่จำพวกเลียงผาชนิดหนึ่ง พบได้ในป่าทึบในประเทศญี่ปุ่น ส่วนมากกระจายพันธุ์อยู่บริเวณตอนเหนือและตอนกลางของเกาะฮนชู โดยเลียงผาญี่ปุ่นถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศในด้านการปกป้องและอนุรักษ์ธรรมชาติ ตัวโตเต็มวัยจะมีส่วนสูงราว 81 เซนติเมตร และมีน้ำหนัก 30-45 กิโลกรัม มีสีตัวตั้งแต่ดำไปจนถึงเทาและเมื่อกระทบกับแสงตะวันจะออกสีน้ำตาล มีขนหนาปุกปุยโดยเฉพาะตรงหาง ทั้งสองเพศต่างมีเขาขนาดเล็กโค้งงอไปด้านหลังเหมือนกันทำให้ยากที่จะจำแนกเพศด้วยสายตาได้ พวกมันอาศัยอยู่ในป่าภูเขาโดยจะออกหากินในช่วงเช้าและช่วงเย็นของวัน กินใบไม้, หน่อไม้ และลูกโอ็คเป็นอาหาร มักจะอาศัยอยู่แบบสันโดษหรือจับคู่กันอยู่หรือรวมกลุ่มกันอยู่ไม่เกินสี่ตัวและแต่ละกลุ่มจะไม่มีการปะปนเพศกัน พวกมันแบ่งอาณาเขตโดยปล่อยสารคัดหลั่งที่มีกลิ่นเปรี้ยว กลางศตวรรษที่ 20 พวกมันถูกล่าเป็นจำนวนมากจนเกือบจะสูญพันธุ์ ทำให้ในปี 1955 รัฐบาลญี่ปุ่นต้องตรากฎหมายและกำหนดให้เลียงผาญี่ปุ่นเป็น "อนุสรณ์พิเศษแห่งชาติ" ซึ่งเป็นการปกป้องพวกมันจากเหล่านายพราน หลังจากนั้นประชากรพวกมันก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติได้ระบุให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการสูญพันธุ์ และนำไปสู่การยกเลิกกฎหมายดังกล่าวในปี 1979 โดยการนำของนักป่าไม้และเกษตรกร ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เลียงผาญี่ปุ่นก็เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองใน 13 พื้นที่ใน 23 จังหวัด และพวกมันยังได้ถูกตีตราโดยนักอนุรักษ์ว่าเป็น "สมบัติในป่าไม้ของชาติที่มีชีวิต" Nohonkamoshika3.JPG|alt.

ใหม่!!: สัตว์และเลียงผาญี่ปุ่น · ดูเพิ่มเติม »

เลียงผาใต้

ลียงผาใต้ (Common serow, Sumatran serow, Southern serow, Mainland serow) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง อยู่ในอันดับสัตว์กีบคู่ วงศ์ Bovidae อันเป็นวงศ์เดียวกับแพะ, แกะ และวัว.

ใหม่!!: สัตว์และเลียงผาใต้ · ดูเพิ่มเติม »

เลียงผาเหนือ

ลียงผาเหนือ (Chinese serow, Southwest china serow, Mainland serow) เป็นสัตว์กีบคู่ชนิดหนึ่ง จำพวกเลียงผา เลียงผาเหนือ เดิมเคยถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยของเลียงผาใต้ (C. sumatraensis) โดยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Capricornis sumatraensis milneedwardsii (ในบางข้อมูลยังจัดให้เป็นชนิดย่อยอยู่) พบกระจายพันธุ์ในประเทศจีนทางใต้ เช่น เมืองเปาซิงเสียน ในมณฑลเสฉวน ในประเทศไทยพบได้ในตอนเหนือของประเทศ และพบได้ทั่วทุกภาคยกเว้นภาคกลางและภาคใต้ เลียงผาเหนือ มีขนที่หยาบสีเทาอมดำเหมือนเลียงผาใต้ อุณหภูมิระหว่างขนกับชั้นผิวหนังมีความแตกต่างกัน มีแผงคอที่พาดผ่านระหว่างเขาไปตรงกลางของด้านหลัง เขาโดยเฉพาะในเพศผู้จะโดดเด่น มีสีอ่อน ความยาวประมาณ 6 นิ้ว และมีความยาวโค้ง เลียงผาเหนือมีขนาดลำตัวที่ใหญ่มาก เมื่อเติบโตเต็มที่มีความยาวกว่า 6 ฟุต และมีส่วนสูง 3 ฟุต จากกีบเท้าจนถึงหัวไหล่ และมีน้ำหนักกว่า 150 กิโลกรัม พบอาศัยอยู่ตามภูเขาสูงหรือหน้าผาที่มีความสูงได้ถึง 4,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล สามารถอาศัยและปีนป่ายได้ดีในพื้นที่ที่มีความขรุขระ แต่ก็สามารถพบได้ว่าบางครั้งพบในที่รา่บ และสามารถว่ายน้ำข้ามทะเลไปยังอาศัยยังเกาะแก่งต่าง ๆ ได้อีกด้วย มักอาศัยอยู่เพียงลำพังตัวเดียวหรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในถิ่้นที่ปราศจากการรบกวน โดยเฉพาะจากมนุษย์ มีอาณาเขตหากินไม่กี่ตารางไมล์ กินหญ้า, หน่อไม้ และใบไม้ต่าง ๆ เป็นอาหาร มีการประกาศอาณาเขตหากินอย่างชัดเจนด้วยการถ่ายมูล มักออกหากินตั้งแต่ช่วงเวลาเช้าตรู่และเวลาโพล้เพล้พลบค่ำ เลียงผาเหนือมักจะให้กำเนิดลูกอ่อนระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม มีระยะเวลาการตั้งท้องนาน 8 เดือน.

ใหม่!!: สัตว์และเลียงผาเหนือ · ดูเพิ่มเติม »

เสมหะ

มหะ เสลดหรือสิ่งขาก (Phlegm) เป็นของไหลเหนียวที่ผลิตโดยเยื่อเมือกของมนุษย์และสัตว์อื่นๆ คำจำกัดความของเสหะคือเมือกที่ผลิตโดยระบบการหายใจนอกจากเมือกที่ออกมาทางช่องจมูกโดยเฉพาะที่ออกมาจากร่างกายโดยการจาม ส่วนผสมของเสหะอาจไม่เหมือนกันในแต่ละคนขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ สถานะของระบบภูมิต้านทาน หรือพันธุกรรมของคน ทั้งนี้ เสมหะยังเป็นเจลที่มีส่วนผสมของน้ำเป็นหลักและมีสารประกอบโปรตีน โปรตีนที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันโรค ลิพิดและอื่นๆอีกมากมาย เสมหะอาจจะมีหลายสีแตกต่างกันไป.

ใหม่!!: สัตว์และเสมหะ · ดูเพิ่มเติม »

เสือ

ือ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ฟิลิดีซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับแมวโดยชนิดที่เรียกว่าเสือมักมีขนาดลำตัวค่อนข้างใหญ่กว่าและอาศัยอยู่ภายในป่า ขนาดของลำตัวประมาณ 168 - 227 เซนติเมตรและหนักประมาณ 180 - 245 กิโลกรัม รูม่านตากลม เป็นสัตว์กินเนื้อกลุ่มหนึ่ง มีลักษณะและรูปร่างรวมทั้งพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากสัตว์ในกลุ่มอื่น หากินเวลากลางคืน มีถิ่นกำเนิดในป่า เสือส่วนใหญ่ยังคงมีความสามารถในการปีนป่ายต้นไม้ ซึ่งยกเว้นเสือชีต้า เสือทุกชนิดมีกรามที่สั้นและแข็งแรง มีเขี้ยว 2 คู่สำหรับกัดเหยื่อ ทั่วทั้งโลกมีสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เสือและแมวประมาณ 37 ชนิด ซึ่งรวมทั้งแมวบ้านด้วย เสือจัดเป็นสัตว์นักล่าที่มีความสง่างามในตัวเอง โดยเฉพาะเสือขนาดใหญ่ที่แลดูน่าเกรงขราม ไม่ว่าจะเป็นเสือโคร่งหรือเสือดาว ผู้ที่พบเห็นเสือในครั้งแรกย่อมเกิดความประทับใจในความสง่างาม แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความหวาดหวั่นเกรงขามในพละกำลังและอำนาจภายในตัวของพวกมัน เสือจึงได้รับการยกย่องให้เป็นราชาแห่งสัตว์ปา และเป็นจ้าวแห่งนักล่าอย่างแท้จริง เสือ จ้าวแห่งนักล่า, ศลิษา สถาปรวัฒน์, ดร.อลัน ราบิโนวิทซ์, สำนักพิมพ์สารคดี, 2538, หน้า 14 ปัจจุบันจำนวนของเสือในประเทศไทยลดจำนวนลงเป็นอย่างมากในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี เสือกลับถูกล่า ป่าภายในประเทศถูกทำลายเป็นอย่างมาก สภาพธรรมชาติในพื้นที่ต่าง ๆ ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของมนุษย์เอง ทุกวันนี้ปริมาณของเสือที่จัดอยู่ในลำดับสุดท้ายของห่วงโซ่อาหารถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการสูญสิ้นหรือลดจำนวนลงอย่างมากของเสือซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและระบบนิเวศทั้งหมด การลดจำนวนอย่างรวดเร็วของเสือเพียงหนึ่งหรือสองชนิดในประเทศไทย ทำให้ปริมาณของสัตว์กินพืชเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้ธรรมชาติเสียความสมดุลในที.

ใหม่!!: สัตว์และเสือ · ดูเพิ่มเติม »

เสือชีตาห์

ือชีตาห์ (Cheetah) เป็นเสือเล็กชนิดหนึ่ง เนื่องไม่สามารถส่งเสียงคำรามได้ แต่จากรูปร่างภายนอก ทำให้นิยมเรียกกันว่า เสือชีตาห์ เสือชีตาห์มีที่อยู่อาศัยในทุ่งหญ้าสะวันนา เป็นสัตว์ที่วิ่งได้เร็วมากวิ่งได้เร็วประมาณ 110–120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จัดเป็นสัตว์บกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก เป็นผลมาจากความสามารถในการโค้งงอของกระดูกสันหลังในการเคลื่อนที่และเมื่อพุ่งตัวกระดูกสันหลังจะเหยียดออก ปัจจุบันเสือชีตาห์ลดจำนวนลงในทวีปเอเชียเหลืออยู่แค่ในอิหร่านไม่เกิน 20 ตัว ส่วนในแอฟริกาประมาณการว่าเหลืออยู่ราว 4,000 ตัวเท่านั้น เสือชีตาห์มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Acinonyx jubatus และจัดเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Acinonyx ที่ยังสืบเผ่าพันธุ์จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเสือชีตาห์ชนิดอื่น ๆ นั้นได้สูญพันธุ์ไปหมดในยุคน้ำแข็งสุดท้าย จึงทำให้สายพันธุ์กรรมของเสือชีตาห์ทั้งหมดในปัจจุบันใกล้ชิดกันมาก.

ใหม่!!: สัตว์และเสือชีตาห์ · ดูเพิ่มเติม »

เสือชีตาห์เอเชีย

ือชีตาห์เอเชีย (Asiatic cheetah) เสือชีตาห์ชนิดย่อยชนิดหนึ่ง ที่ยังคงสืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน โดยมีลักษณะทั่วไปเหมือนกับเสือชีตาห์ที่พบในทวีปแอฟริกา แต่ว่ามีส่วนหัวที่เล็กกว่า ขาสั้น มีขนหนา และมีกระดูกคอที่แข็งแรงกว่า กระจายพันธุ์ในทวีปเอเชียหลายภูมิภาคทั้งอินเดีย, รัสเซีย, ตะวันออกกลาง เช่น อิหร่าน เป็นต้น เชื่อว่าแยกออกจากชนิดที่พบในทวีปแอฟริกาเมื่อกว่า 32,000 ถึง 67,000 ปีมาแล้ว เสือชีตาห์เอเชียเป็นสัตว์ที่มีความสามารถในการเอาตัวรอดสูงและเดินทางรอนแรมได้ไกลกว่าเสือชีตาห์ที่พบในทวีปแอฟริกา โดยในอดีต มีการเลี้ยงเสือชีตาห์เอเชียไว้ในราชสำนักหรือบ้านของชนชั้นสูงเพื่อใช้ในการล่าสัตว์ เช่น แอนทิโลปชนิดต่าง ๆ ในอินเดียและอิหร่าน แต่ปัจจุบันเป็นสัตว์ที่อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง โดยคาดว่ามีจำนวนประชากรในธรรมชาติราว 60–100 ตัวเท่านั้น โดยปัจุบันหลงเหลืออยู่เฉพาะในอิหร่านเท่านั้น เสือชีตาห์เอเชียเป็นสัตว์สัญลักษณ์ในชุดแข่งขันของฟุตบอลทีมชาติอิหร่านสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล และเอเชียนคัพ 2015.

ใหม่!!: สัตว์และเสือชีตาห์เอเชีย · ดูเพิ่มเติม »

เสือพูม่า

ือพูม่า หรือ เสือคูการ์ หรือ สิงโตภูเขา (Cougar, Puma, Mountain lion, Mountain cat, Catamount, Panther) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในวงศ์เสือและแมว (Felidae) มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา เป็นแมวรักสันโดษขนาดใหญ่ที่มีการกระจายพันธุ์กว้างที่สุดในบรรดาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดใหญ่ในซีกโลกตะวันตก จากยูคอนในประเทศแคนาดาถึงทางตอนใต้ของเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้ เป็นสัตว์ที่ปรับตัวได้เก่ง สามารถพบในถิ่นอาศัยเกือบทุกแบบในทวีปอเมริกา เป็นสัตว์จำพวกแมวที่หนักเป็นอันดับสองในซีกโลกตะวันตก รองจากเสือจากัวร์ แม้ว่าเสือพูม่าจะมีขนาดใหญ่มันกลับมีพันธุกรรมใกล้ชิดกับแมวบ้านมากกว่าสิงโตขาดว่าสืบเชื้อสายมาจากเสือชีตาห์อเมริกาที่สูญพันธ์ไปแล้ว ด้วยความเป็นนักล่าที่มีความสามารถในการย่องเงียบและซุ่มโจมตี ทำให้เสือพูม่าสามารถล่าเหยื่อได้หลากหลาย เหยื่ออันดับแรก ประกอบด้วย สัตว์มีกีบ เช่น กวาง, กวางเอลก์, กวางมูส, และแกะบิ๊กฮอร์น รวมทั้งปศุสัตว์อย่าง วัวบ้าน, ม้า และแกะ นอกจากนี้ยังล่าสัตว์ขนาดเล็กอย่างแมลงและสัตว์ฟันแทะ เสือพูม่าชอบอาศัยในบริเวณที่มีพุ่มไม้และก้อนหินหนาแน่นเพื่อการหลบซ่อน แต่มันก็สามารถอาศัยในพื้นที่เปิดได้เช่นกัน เสือพูม่าเป็นสัตว์ที่มีอาณาเขต มีความหนาแน่นของประชากรในแต่ละบริเวณต่ำ ขนาดของเขตแดนแต่ละเขตขึ้นกับ ภูมิประเทศ พืชพรรณ และความอุดมสมบูรณ์ของเหยื่อ แม้เป็นนักล่าขนาดใหญ่ แต่มันไม่จำเป็นต้องเป็นนักล่าที่โดดเด่นของบริเวณนั้น เพราะมันต้องแข่งขันในการล่ากับนักล่าอื่น เช่น เสือจากัวร์, หมาป่าสีเทา, หมีดำ, และหมีกริซลีย์ มันเป็นสัตว์สันโดษและหลีกเลี่ยงมนุษย์ การโจมตีมนุษย์นั้นเกิดขึ้นน้อยมาก แม้ว่าปัจจุบันจะมีความถี่เพิ่มขึ้น เพราะการล่าสัตว์มากเกินไปของชาวยุโรปที่มาตั้งถิ่นฐานในอเมริกาและการเจริญของสังคมมนุษย์ในถิ่นอาศัยของเสือพูม่า ทำให้ประชากรของเสือพูม่าลดลงในพื้นที่กระจายพันธุ์ส่วนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสือพูม่าได้สูญพันธุ์ไปแล้วในทางตะวันออกของอเมริกาเหนือในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ยกเว้น ประชากรชนิดย่อยส่วนน้อยในรัฐฟลอริดา อย่างไรก็ตาม ในทศวรรษที่ผ่านมาประชากรได้ย้ายจากทางทิศตะวันออกไปในส่วนตะวันตกของดาโกตาส์, รัฐเนแบรสกา, และรัฐโอคลาโฮมา มีการยืนยันถึงเพศผู้ผ่านถิ่นในคาบสมุทรบนของรัฐมิชิแกนและรัฐอิลลินอยส์ที่ซึ่งมันถูกยิงในเขตเมืองของชิคาโก และอย่างน้อยหนึ่งตัวที่สังเกตพบในตะวันออกไกลของรัฐคอนเนตทิคัต.

ใหม่!!: สัตว์และเสือพูม่า · ดูเพิ่มเติม »

เสือก

ือก เป็นคำกริยาและคำวิเศษณ์ หมายความว่า ชอบเข้าไปยุ่งในเรื่องของคนอื่นหรือเรื่องที่มิใช่หน้าที่ของตน อยากรู้อยากเห็น โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องการให้มายุ่งหรือเกี่ยวข้อง ในภาษาไทยมีไวพจน์อยู่หลายคำ เช่น จุ้น, จุ้นจ้าน, เจ๋อ, ละลาบละล้วง, สอดรู้, สอดรู้สอดเห็น, สะเหล่อ, สะเออะ, สาระแน, สู่รู้, เสนอหน้า, เสือกกระบาล, เสือกกะโหลก, แส่ ฯลฯ ซึ่งทุกคำมีความหมายในทางลบ และมักใช้เป็นคำด่า อาการเสือกเป็นอารมณ์ที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมอยากรู้ อยากเห็น อยากค้นหา อยากสืบเสาะ ซึ่งอาการเช่นนี้มิได้มีแต่เฉพาะในมนุษย์เท่านั้น แต่สัตว์อีกหลายสายพันธุ์ก็ดุจกัน หากผู้มีอาการได้สนองความรู้เช่นนี้โดยมีพฤติกรรมต่าง ๆ จนติดเป็นสันดาน อย่างไรก็ดี อาการเสือกเป็นพฤติกรรมอันไม่เป็นที่พึงประสงค์ ผู้เสือกอาจประสบอันตรายได้ ดังคำว่า "แส่หาเรื่อง" และการเสือกก็มักตามมาด้วยการนินทาไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร แต่หากพฤติกรรมนั้นกระทำให้ผู้อื่นต้องเสียหาย อาจเป็นความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาทและอาจถูกฟ้องเอาค่าเสียหายทางแพ่งได้และเป็นคำหยาบคายที่ไม.

ใหม่!!: สัตว์และเสือก · ดูเพิ่มเติม »

เสือลายเมฆ

ือลายเมฆ (Clouded leopard) เสือใหญ่ประเภทหนึ่ง อยู่ในวงศ์เสือและแมว (Felidae).

ใหม่!!: สัตว์และเสือลายเมฆ · ดูเพิ่มเติม »

เสือลายเมฆบอร์เนียว

ือลายเมฆบอร์เนียว หรือ เสือลายเมฆซุนดา (Bornean clouded leopard, Sunda clouded leopard, Sundaland clouded leopard) แต่เดิมเคยจัดอยู่เป็นชนิดย่อยของเสือลายเมฆ (N. nebulosa) แต่ในวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2006 ทางกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) ได้ยอมรับให้เป็นเสือชนิดใหม่ของโลก ด้วยว่ามีความแตกต่างจากเสือลายเมฆธรรมดา และแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย ในเดือนมีนาคม..

ใหม่!!: สัตว์และเสือลายเมฆบอร์เนียว · ดูเพิ่มเติม »

เสือจากัวร์

ือจากัวร์ จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม อันดับสัตว์กินเนื้อ วงศ์เสือและแมว (Felidae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera onca เป็นเสือขนาดใหญ่รองลงมาจากเสือโคร่ง (P. tigris) และสิงโต (P. leo).

ใหม่!!: สัตว์และเสือจากัวร์ · ดูเพิ่มเติม »

เสือดาว

ำหรับเสือดำ มีบทความขยายที่: เสือดำ เสือดาว หรือ เสือดำ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จัดอยู่ในวงศ์เสือและแมว (Felidae) เป็นเสือขนาดใหญ่รองจากเสือโคร่ง (P. tigris) thumb.

ใหม่!!: สัตว์และเสือดาว · ดูเพิ่มเติม »

เสือดาวหิมะ

ือดาวหิมะ (Snow leopard, Ounce) สัตว์ในวงศ์ Felidae ชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์ป่าที่หายากใกล้สูญพันธุ์ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera uncia เดิมทีเสือดาวหิมะ ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Uncia uncia โดยถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Uncia โดยใช้มาตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 30 แต่จากการศึกษาด้านจีโนไทป์พบว่าอยู่ในสกุล Panthera เช่นเดียวกับเสือใหญ่หลายชนิด ตั้งแต่ปี..

ใหม่!!: สัตว์และเสือดาวหิมะ · ดูเพิ่มเติม »

เสือดาวอามูร์

ือดาวอามูร์ หรือ เสือดาวไซบีเรีย (Amur leopard, Siberian leopard) เป็นเสือดาวชนิดย่อยชนิดหนึ่ง เสือดาวอามูร์ มีลักษณะคล้ายกับเสือดาวทั่วไป เพียงแต่ลายจุดตามลำตัวเทียบกันแล้วกับเสือดาวชนิดอื่น เสือดาวอามูร์ลายจะค่อนข้างเล็กกว่า อยู่ชิดกันมากกว่า และสันจุดบางกว่า การเปลี่ยนสีตามฤดูกาลด้วย โดยจะมีสีซีดที่สุดในฤดูหนาว เสือดาวอามูร์ พบกระจายพันธุ์ในแถบตะวันออกไกลของรัสเซีย, จีนทางภาคตะวันออกจรดพรมแดนเกาหลีเหนือและคาบสมุทรเกาหลี โดยที่ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ย 32-48 กิโลกรัม แต่บางตัวอาจมีน้ำหนักมากถึง 75 กิโลกรัม ขณะที่ตัวเมียมีน้ำหนัก 25-43 กิโลกรัม เสือดาวอามูร์ นับเป็นเสือดาวและสัตว์ป่าชนิดหนึ่งที่ใกล้สูญพันธุ์มากแล้วชนิดหนึ่งของโลก โดยคาดว่ามีจำนวนประชากรในธรรมชาติในปัจจุบันเหลือเพียงไม่เกิน 50 ตัว โดยในกลางปี ค.ศ. 2012 มีการบันทึกภาพของเสือดาวอามูร์วัยเต็มตัวได้ที่เขาฉังไป๋ซาน มณฑลจี๋หลิน ซึ่งเป็นการบ่งบอกด้วยว่าสภาพแวดล้อมของป่าแถบนี้ยังคงอุดมสมบูรณ์อยู.

ใหม่!!: สัตว์และเสือดาวอามูร์ · ดูเพิ่มเติม »

เสือดาวอาระเบีย

ือดาวอาระเบีย หรือ เสือดาวอาหรับ (Arabian leopard; อาหรับ: نمر) เสือใหญ่จำพวกเสือดาวชนิดหนึ่ง เสือดาวอาระเบีย เป็นเสือดาวชนิดย่อยชนิดหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางแถบคาบสมุทรอาระเบียจนถึงคาบสมุทรไซนาย เสือดาวอาระเบียจัดเป็นเสือดาวขนาดเล็ก มีขนาดเล็กกว่าเสือดาวที่พบในทวีปแอฟริกาและในทวีปเอเชีย โดยจัดเป็นเสือดาวชนิดที่มีขนาดเล็กที่สุด ตัวผู้ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของทะเลทรายจูดีนของอิสราเอล เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเพียง 30 กิโลกรัม และตัวเมียเพียง 23 กิโลกรัมเท่านั้น เสือดาวอาระเบีย เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามลำพังและโดดเดี่ยวในสภาพแวดล้อมที่เป็นหุบเขาหรือทะเลทรายแห้งแล้งของคาบสมุทรอาระเบีย โดยใช้ถ้ำหรือซอกหลีบหินต่าง ๆ เป็นที่อยู่อาศัย เสือดาวที่อาศัยอยู่ในเขตภูเขานูฟา จะกินน้ำโดยอาศัยจากหมอกที่จับตัวแน่นหนาจนกลายเป็นฝนตกลงมา ซึ่งก็ตกเพียงปีละไม่กี่ครั้งเท่านั้น และถือเป็นพื้นที่ ๆ ชุ่มชื้นที่สุดในภูมิภาคแถบนี้ เสือดาวอาระเบีย ถือเป็นสัตว์นักล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันร่วมกับสัตว์นักล่าชนิดอื่น ๆ เช่น หมาป่าอาระเบีย, ไฮยีนาลายแถบ โดยจะล่าสัตว์ต่าง ๆ กินเป็นอาหาร เช่น ไฮแรกซ์, กระต่ายป่า, แกะหรือแพะภูเขา หรือปศุสัตว์ต่าง ๆ ของชนพื้นเมือง รวมถึงสัตว์ขนาดเล็กอย่างนก, กบ หรือแมลงด้วยKingdon, J. (1990) Arabian Mammals. A Natural History.

ใหม่!!: สัตว์และเสือดาวอาระเบีย · ดูเพิ่มเติม »

เสือดาวอินโดจีน

ือดาวอินโดจีน หรือ เสือดาวจีนใต้ (Indochinese leopard, South-Chinese leopard) เป็นชนิดย่อยของเสือดาว (P. pardus) ชนิดหนึ่ง โดยชื่อวิทยาศาสตร์ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ ฌ็อง เตออดอร์ เดอลากูร์ นักปักษีวิทยาชาวฝรั่งเศส-อเมริกัน เสือดาวอินโดจีนมีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับเสือดาวอินเดีย (P. pardus fusca) ที่พบในภูมิภาคอนุทวีปอินเดีย แต่มีขนาดลำตัวใหญ่กว่าเล็กน้อย โดยมีสีขนออกเป็นสีแดงเข้ม แต้มจุดรอบนอกของลายขยุ้มตีนหมาค่อนข้างหนา ขนาดของลายขยุ้มตีนหมาโดยเฉลี่ยเล็กกว่าของเสือดาวอามูร์ (P. pardus orientalis) และเสือดาวจีนเหนือ (P. pardus japonensis) พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ภาคใต้ของจีน ภาคตะวันออกของอินเดีย และหลายประเทศในภูมิภาคอินโดจีนรวมถึงประเทศไทย เสือดาวอินโดจีนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าชะตี้นของพม่ามีปริมาณลดลงอย่างมากในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1940–1980 จนกระทั่งมีสถานะเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ในท้องถิ่นเมื่อถึงปี..

ใหม่!!: สัตว์และเสือดาวอินโดจีน · ดูเพิ่มเติม »

เสือดาวอินเดีย

ือดาวอินเดีย (Indian leopard) เป็นชนิดย่อยของเสือดาว (P. pardus) ที่พบกระจายพันธุ์อยู่ในอนุทวีปอินเดีย นับเป็นเสือขนาดใหญ่ 1 ใน 5 ชนิด ที่พบได้ในภูมิภาคแถบนี้ ซึ่งประกอบด้วยสิงโตเอเชีย, เสือเบงกอล, เสือดาวหิมะ และเสือลายเมฆ เสือดาวอินเดียลักษณะทั่วไปคล้ายกับเสือดาวจีนใต้ หรือเสือดาวอินโดจีน (P. pardus delacouri) มาก ขนสั้นเกรียนยาวประมาณ 1 นิ้ว ขนเรียบเปนมนและนุ่ม สีของขนโดยทั่วไปมักเปนสีสดใส เชน สีเหลืองทอง, สีสม หรือน้ำตาลแกมเหลือง สีขนบริเวณหลังจะเขมกวาบริเวณอื่น ลักษณะของลายขยุมตีนหมา ไมมีแบบแผนแนนอน บางตัวอาจมีลายขยุมตีนหมาขนาดเล็ก และแตมจุดในขยุ้มลายเชื่อมตอกันเปนวง แต่บางตัวอาจมีขยุมตีนหมาขนาดใหญ และแต้มจุดอยู่หางกัน แตลักษณะของขยุมตีนหมานี้สีขนตรงกลางของขยุมลายจะเขมกวาสีพื้นทั่วไป ขาดานในสีขาวและมีแตมจดสีดำกระจายทั่วไป ถิ่นที่อยูของเสือดาวอินเดีย มีอาศัยอยูทั่วไปในประเทศอินเดีย ตั้งแต่รัฐแคชเมียร์ และบริเวณเชิงเขาหิมาลัย ลงมาจดแหลมคอมอรินทางภาคใต เสือดาวอินเดีย นับเป็นเสือดาวสายพันธุ์ที่คุกคามมนุษย์และปศุสัตว์มากที่สุด แม้ในอินเดียเองจะมีกฎหมายคุ้มครองให้เป็นสัตว์สงวนก็ตาม แต่เสือดาวอินเดียในหลายพื้นที่อยู่อาศัยในป่าที่ใกล้กับแหล่งชุมนุมของมนุษย์ บางครั้งอาจหลุดเข้าไปถึงตัวเมืองจนกลายเป็นการโกลาหล จึงทำให้มีการทำร้ายมนุษย์ได้รับบาดเจ็บและถึงขั้นล้มตายเป็นจำนวนมาก หลายครั้งที่ต้องถูกฆ่าเพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทของอินเดีย คาดว่าจำนวนประชากรในธรรมชาติของเสือดาวอินเดียเหลืออยู่ประมาณ 12,000-14,000 ตัว ในปัจจุบันหน้า 100-119, ก้าวย่างจากเงื้อมเงา โดย ริชาร์ด คอนนิฟฟ.

ใหม่!!: สัตว์และเสือดาวอินเดีย · ดูเพิ่มเติม »

เสือดาวแอฟริกา

ือดาวแอฟริกา (African leopard) เป็นชนิดย่อยชนิดหนึ่งในบรรดา 8 ชนิดของเสือดาว จัดอยู่ในวงศ์เสือและแมว (Felidae).

ใหม่!!: สัตว์และเสือดาวแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

เสือปลา

ือปลา หรือ เสือแผ้ว (ชื่อเรียกเสือปลาในตัวที่มีขนาดใหญ่; Fishing cat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกเสือขนาดเล็ก จัดเป็นแมวป่าขนาดกลาง รูปร่างอ้วนป้อม ขนตามลำตัวค่อนข้างสั้นและหนา ขนสีเทาอมน้ำตาล หรือขนสีเทาอมมะกอก มีจุดสีน้ำตาลเข้มแกมดำเรียงเป็นลายแนวขนานไปกับความยาวลำตัว โดยขนแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ซึ่งพัฒนามาเพื่อหากินกับน้ำโดยเฉพาะ ขนชั้นในสั้นเกรียนและแน่นมากจนน้ำซึมผ่านไม่ได้ ทำให้ตัวของเสือปลาแห้ง และช่วยรักษาความอบอุ่นเอาไว้ในขณะลงจับปลาในน้ำ ขนชั้นในสั้นกว่าขนชั้นนอก มีความหนาและยาวกว่าขนชั้นใน ขนชั้นนอกเป็นชั้นที่มีลวดลายและหนามันวาว หางยาวเพียงหนึ่งในสามของลำตัว มีพังผืดบาง ๆ ยึดระหว่างนิ้วเท้าหน้า ยังไม่พัฒนา เก็บเล็บไม่ได้เหมือนเสือชนิดอื่น ๆ เสือปลามีหัวขนาดใหญ่ หูสั้นมีกรอบสีดำ ดวงตาสีเขียว มีความยาวตั้งแต่หัวถึงลำตัว 70–90 เซนติเมตร หรือเกินกว่านั้น หางสั้น 20–30 เซนติเมตร น้ำหนัก 7–11 กิโลกรัม ขนาดของเสือปลาอาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของอาหารซึ่งก็คือความสมบูรณ์ของป่า ลูกเสือปลาขนาดเล็กมีลักษณะคล้ายแมวดาว (P. bengalensis) ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันมาก มีการกระจายพันธุ์กว้างขวาง ในภูมิประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น มักอาศัยใกล้แหล่งน้ำตามธรรมชาติ เข่น ลำธาร, แม่น้ำ, ทะเลสาบ, ป่าชายเลน พบได้ตั้งแต่ตะวันตกเฉียงเหนือ, เหนือ, ตะวันออกเฉียงเหนือ, และตะวันตกเฉียงใต้ ของอินเดีย, บังกลาเทศ, เนปาล, ภูฏาน, จีน, รัสเซีย, พม่า, ไทย, ลาว, เวียดนาม, กัมพูชา, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, เกาะสุมาตรา และเกาะชวา เสือปลามักอาศัยหากินอยู่ตามป่าเบญจพรรณ, ป่าพรุหรือป่าละเมาะ และป่าชายเลน เพราะอาหารหลัก คือ ปลา จึงเป็นที่มาของชื่อ สามารถจับปลาหรือสัตว์น้ำ เช่น อึงอ่าง, คางคก, กบ, เขียด, ปาด, ปลาไหล, ปู และสัตว์บกขนาดเล็ก เช่น หนู, กระรอก, กระต่าย, พังพอน, ชะมดเช็ด, ไก่ป่า และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น งู, นาก, ตุ่น, เป็ดน้ำ กินได้เก่งมาก โดยจะนั่งรอตะปบ หรือตะครุบปลาในแหล่งน้ำตื้น สามารถว่ายน้ำและดำน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว โดยใช้ขาหลังตีน้ำ ปีนต้นไม้ได้เก่ง มักอยู่บนต้นไม้ แต่ไม่ทำรังอาศัยอยู่บนต้นไม้ มักทำรังอยู่ในโพรงใต้ต้นไม้ เสือปลามีการผสมพันธุ์ในช่วงเดือนมกราคม–กุมภาพันธ์ ตั้งท้อง 60–65 วัน ออกลูกในเดือนมีนาคม–เมษายน มีการผสมพันธุ์ช่วงเดือนพฤษภาคม–มิถุนายน ออกลูกในเดือนกันยายน–ตุลาคม ออกลูกครั้งละ 1–4 ตัว 1–15 วันแรกตายังปิดอยู่ 55–60 วัน กินปลาหรือสัตว์น้ำและสัตว์บกขนาดเล็ก 120–180 วัน ยังไม่หย่านม จนเมื่ออายุได้ 10–12 เดือน แม่จะแยกจากไป เพื่อฝึกให้หากินเองลำพังตามธรรมชาติ บางครั้ง (บางปี) ฤดูร้อนอากาศแห้งแล้งฝนขาดช่วงตกเป็นระยะเวลานาน น้ำในแหล่งน้ำตามธรรมชาติแห้งขอด มีผลทำให้ปลาและสัตว์น้ำไม่มีที่อยู่อาศัย อาหารของเสือปลาหมดไป จึงทำให้ต้องออกจากป่ามาหาอาหารกินในเขตชุมชนมนุษย์ และอาศัยอยู่ใกล้กับชุมนุมมนุษย์ เช่น ในเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร มีวัดแห่งหนึ่งชื่อ "วัดกระทุ่มเสือปลา" แสดงถึงในอดีตเคยมีเสือปลาชุกชุม ซึ่งในตัวขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเสือแผ้วอาจคุกคามปศุสัตว์ขนาดใหญ่ของมนุษย์ได้ เช่น ลูกวัว การเลี้ยงเพื่อให้เชื่องในสถานที่เลี้ยง ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเสือปลาเป็นสัตว์ป่าที่มีอุปนิสัยดุมาก.

ใหม่!!: สัตว์และเสือปลา · ดูเพิ่มเติม »

เสือโคร่ง

ือโคร่ง หรือ เสือลายพาดกลอน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม อันดับสัตว์กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris ในวงศ์ Felidae จัดเป็นสัตว์ที่มีขนาดที่สุดในวงศ์นี้ และเป็นเสือชนิดที่ใหญ่ที่สุดด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และเสือโคร่ง · ดูเพิ่มเติม »

เสือโคร่งชวา

ือโคร่งชวา เป็นเสือโคร่งสายพันธุ์ย่อยสายพันธุ์หนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris sondaica เป็นเสือโคร่ง 1 ใน 3 สายพันธุ์ที่เคยพบได้ในอินโดนีเซีย โดยจะพบได้เฉพาะบนเกาะชวาเท่านั้น ปัจจุบันเสือโคร่งชวาได้สูญพันธุ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับเสือโคร่งบาหลี (P. t. balica) เสือโคร่งชวาเป็นเสือโคร่งที่มีขนาดเล็ก เช่นเดียวกับเสือโคร่งบาหลี และเสือโคร่งสุมาตรา (P. t. sumatrae) โดยตัวผู้มีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 100-140 กิโลกรัม มีความยาวตั้งแต่หัวจรดหาง 245 เซนติเมตร ตัวเมียมีน้ำหนักระหว่าง 75-115 กิโลกรัม และมีขนาดตัวเล็กกว่าตัวผู้ เสือโคร่งชวาถูกคุกคามอย่างหนักจากการล่าของมนุษย์และการตัดไม้ทำลายป่าซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัย โดยส่วนมากถูกล่าอย่างหนักในช่วงทศวรรษที่ 40 จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1970 เหลือเสือโคร่งชวาเพียงแห่งเดียวที่อุทยานแห่งชาติเมรูเบติลีที่ชวาตะวันตกเท่านั้น และหลังจากปี ค.ศ. 1976 ก็ไม่มีใครพบเสือโคร่งชวาอีกเลย ปัจจุบัน มีรายงานการพบเห็นเสือโคร่งชวาบ้าง แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานที่มีน้ำหนักมายืนยันได้อย่างเพียงพอ โดยการพบเห็นครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2008 พบร่างนักปีนเขาหญิงนิรนามผู้หนึ่งถูกสัตว์ที่คาดว่าเป็นเสือโจมตี ที่อุทยานแห่งชาติเขาเมอร์บารู ในชวากลาง และในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 มีชาวบ้านอ้างว่าพบเห็นแม่เสือพร้อมลูกเสือ 2 ตัวที่ใกล้กับหมู่บ้านที่เขาลาวู.

ใหม่!!: สัตว์และเสือโคร่งชวา · ดูเพิ่มเติม »

เสือโคร่งบาหลี

ือโคร่งบาหลี (Bali tiger) เสือโคร่งสายพันธุ์ย่อยสายพันธุ์หนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris balica เป็นเสือโคร่ง 1 ใน 3 สายพันธุ์ที่เคยมีอยู่ในอินโดนีเซีย โดยเสือโคร่งบาหลีจะพบได้เฉพาะบนเกาะบาหลีเท่านั้น ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วจากการล่าด้วยน้ำมือของมนุษย์ เสือโคร่งบาหลีนับเป็นเสือโคร่งที่มีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่มีในโลก เมื่อเทียบกับเสือโคร่งไซบีเรีย (P. t. altaica) ที่เป็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ที่สุดแล้ว เสือโคร่งบาหลีมีขนาดลำตัวเพียงครึ่งหนึ่งของเสือโคร่งไซบีเรียเท่านั้น โดยมีลำตัวไล่เลี่ยกับเสือดาว (P. pardus) หรือเสือพูม่า (Puma concolor) ที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ น้ำหนักในตัวผู้โดยเฉลี่ย 90-100 กิโลกรัม ขณะที่ตัวเมียจะอยู่ที่ 65-80 กิโลกรัม ความยาวตั้งแต่หัวจรดหางของตัวผู้ 220 เซนติเมตร ตัวเมีย 195-200 เซนติเมตร เสือโคร่งบาหลีมีสีขนและลวดลายบนลำตัวเข้มที่สุดในบรรดาเสือโคร่งทั้งหมด เสือโคร่งบาหลีตัวสุดท้ายตายลงเมื่อวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1937 เป็นเสือตัวเมียที่ถูกยิงในบาหลีตะวันตก ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ทั่วโลก มีซากเสือโคร่งบาหลีเพียง 8 ตัวเท่านั้น โดยส่วนใหญ่จะได้มาจากการล่าในทศวรรษที่ 30.

ใหม่!!: สัตว์และเสือโคร่งบาหลี · ดูเพิ่มเติม »

เสือโคร่งมลายู

ือโคร่งมลายู หรือ เสือโคร่งมาเลเซีย (Harimau Malaya) เสือโคร่งสายพันธุ์ย่อยสายพันธุ์หนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris jacksoni ในวงศ์ Felidae เป็นเสือโคร่งสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งถูกอนุกรมวิธานแยกออกจากเสือโคร่งอินโดจีน (P. t. corbetti) เมื่อปี ค.ศ. 2004 อันเนื่องจากดีเอ็นเอที่ต่างกันKhan, M.K.M. (1986).

ใหม่!!: สัตว์และเสือโคร่งมลายู · ดูเพิ่มเติม »

เสือโคร่งสุมาตรา

ำหรับเสือสุมาตราที่หมายถึงปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ดูที่: ปลาเสือสุมาตรา เสือโคร่งสุมาตรา (Sumatran tiger) เสือโคร่งสายพันธุ์ย่อยสายพันธุ์หนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris sumatrae ในวงศ์ Felidae จัดเป็นเสือโคร่งขนาดเล็กที่สุดในโลกที่ยังคงพบได้จนถึงทุกวันนี้.

ใหม่!!: สัตว์และเสือโคร่งสุมาตรา · ดูเพิ่มเติม »

เสือโคร่งอินโดจีน

ือโคร่งอินโดจีน (Indochinese tiger, Corbett's tiger) เสือโคร่งชนิดย่อยชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris corbetti อยู่ในวงศ์เสือและสิงโต (Felidae) รูปร่างเหมือนเสือโคร่งทั่วไป แต่มีลายเส้นที่เล็กกว่าเสือโคร่งเบงกอล (P. t. tigris) และขนาดลำตัวก็เล็กกว่า โดยตัวผู้มีความยาวจากหัวถึงหางประมาณ 2.7 เมตร หนักประมาณ 180 กิโลกรัม ตัวเมีย ยาวประมาณ 2.4 เมตร หนักประมาณ 115 กิโลกรัม มีการกระจายพันธุ์ในประเทศไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, พม่า และมาเลเซีย โดยถูกอนุกรมวิธานแยกออกมาจากเสือโคร่งเบงกอลในปี พ.ศ. 2511 โดยเฉพาะที่พม่าจะมีเสือโคร่งทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ โดยแบ่งตามภูมิศาสตร์โดยถือเอาแม่น้ำอิรวดีเป็นเกณฑ์ คือ เสือโคร่งสายพันธุ์เบงกอลจะอาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิรวดี ส่วนเสือโคร่งสายพันธุ์อินโดจีนจะอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ นอกจากนี้ในอดีตเคยมีในจีนด้วย เสือโคร่งอินโดจีนในจีนตัวสุดท้ายตายลงเมื่อปลายปี พ.ศ. 2552 ที่เมืองลา มณฑลยูนนาน เนื่องจากชาวบ้านคนหนึ่งฆ่า เสือโคร่งอินโดจีนอาศัยและหากินอยูในป่าที่ราบต่ำใกล้แหล่งน้ำ มีอาหารอุดมสมบูรณ์ สามารถอยู่ได้ในหลากหลายสภาพป่า เช่น ป่าดิบชื้น, ป่าผลัดใบ ล่าสัตว์ที่มีขนาดใหญ่และกลาง เช่น วัว, ควายป่า, กวาง, กระทิง เป็นอาหาร โดยมักจะกินเนื้อบริเวณตะโพกก่อน เมื่อเหลือจะนำไปซ่อน แล้วจะกลับมากินใหม่จนหมด ในบางครั้งเมื่อมีลูกเสือที่อ่อนแอ แม่เสืออาจกินลูกด้วยถ้าหากปกป้องหรือเลี้ยงต่อไปไม่ได้ เสือโคร่งเป็นเสือที่ชอบเล่นน้ำและว่ายน้ำเก่ง เคยมีรายงานว่าสามารถว่ายน้ำข้ามไปมาระหว่างเกาะและชายฝั่งทะเลได้ เสือตัวผู้จะแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ โดยการใช้เล็บตะกุยดินหรือปัสสาวะรดต้นไม้ ในฤดูผสมพันธุ์เสือตัวผู้จะรับรู้ถึงความต้องการของเสือตัวเมียจากเสียงร้องที่ดังขึ้นบ่อยขึ้น เมื่อได้ผสมพันธุ์แล้วเสือตัวผู้จะจากไป และอาจไปผสมพันธุ์กับเสือตัวเมียอื่น ๆ ได้อีก เสือโคร่งอินโดจีนมีระยะตั้งท้อง 3 เดือน และจะออกลูกในที่ปลอดภัย ออกลูกครั้งละ 1–7 ตัว ลูกเสือที่เกิดใหม่จะยังไม่ลืมตา ลูกเสือที่ไม่แข็งแรงจะตายไป ตัวที่เหลือจะได้รับการเลี้ยงดูและฝึกสอนให้หาอาหารจากแม่ต่อไป เมื่อลูกเสือโตพอที่จะล่าเหยื่อได้เอง ก็จะแยกตัวออกไปหากินตามลำพัง สถานะของเสือโคร่งอินโดจีนในธรรมชาติในประเทศไทย เหลือเพียง 2 ที่ คือ ป่าเขาใหญ่และป่าผืนภาคตะวันตกซึ่งติดกับชายแดนพม่าเท่านั้น จากการศึกษาพบว่า เสือโคร่งอินโดจีนที่พบในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้งมีพฤติกรรมล่าเหยื่อสัตว์จำพวกสัตว์กีบมากที่สุด โดยสัตว์ที่ถูกล่าเป็นเพื่อเป็นอาหารมากที่สุด คือ วัวแดง --> สำหรับประเทศพม่าผู้เชี่ยวชาญรายงานว่า ทางรัฐบาลทหารพม่านับจำนวนประชากรเสือในป่าได้ทั้งหมด 85 ตัว ในปี 2553 ตัวเลขนี้ไม่สามารถนับเป็นข้อมูลสถิติได้ เนื่องจากข้อมูลการนับดังกล่าวไม่ได้ระบุวันเวลาและข้อมูลอื่นๆไว้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่ายังมีเสือโคร่งอินโดจีนจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่ตามป่าแถบตะวันออกบริเวณรอยต่อชายแดนไทย ในภูมิภาคอินโดจีน เสือโคร่งถูกล่าอย่างหนักจนสูญพันธุ์จากพื้นที่แถบนี้ทั้งหมด ที่ประเทศเวียดนาม ปี..

ใหม่!!: สัตว์และเสือโคร่งอินโดจีน · ดูเพิ่มเติม »

เสือโคร่งจีนใต้

ือโคร่งจีนใต้ หรือ เสือโคร่งจีน หรือ เสือโคร่งเซียะเหมิน (อักษรจีนตัวเต็ม: 华南虎, อักษรจีนตัวย่อ: 華南虎, หัวหนันหู่) เสือโคร่งพันธุ์ย่อยพันธุ์หนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigris amoyensis อยู่ในวงศ์เสือและสิงโต (Felidae) รูปร่างเหมือนเสือโคร่งทั่วไป แต่มีสีขนที่อ่อนกว่าเสือโคร่งเบงกอล (P. t. tigris) หรือเสือโคร่งอินโดจีน (P. t. corbetti) มีหางสั้นกว่า มีลวดลายที่น้อยกว่า นับเป็นเสือโคร่งชนิดที่มีลวดลายน้อยที่สุด มีขนาดรูปร่างและน้ำหนักเล็กกว่าเสือโคร่งอินโดจีนเล็กน้อย และมีลักษณะของโครงสร้างกะโหลกที่แตกต่างออกไป มีเบ้าตาลึก และมีโหนกนูนเล็กน้อยบริเวณด้านหลังต้นคอ มีการกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะประเทศจีนทางตอนใต้ ตามที่ปรากฏหลักฐานพบว่า เสือชนิดนี้อาศัยอยู่ในบริเวณประเทศจีนมากว่า 2 ล้านปีแล้ว และเชื่อว่าเป็นต้นสายพันธุ์ของเสือโคร่งพันธุ์อื่น ๆ แต่ปัจจุบัน มีสถานะขั้นวิกฤตในธรรมชาติ โดยพบในธรรมชาติครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2507 คาดว่ามีเหลืออยู่ในธรรมชาติราว 30 ตัว และมี 60 ตัวที่อยู่ในสวนสัตว์ประเทศจีน ในอดีตเชื่อว่าอาจมีในเกาหลีใต้ด้วย แต่ปัจจุบันไม่พบแล้ว อุปนิสัยของเสือโคร่งจีนใต้ เหมือนกับเสือโคร่งทั่วไป คือ ชอบเล่นน้ำและมีพฤติกรรมล่าเหยื่อที่คล้ายคลึงกันคือซ่อนเหยื่อและมักกินเนื้อบริเวณสะโพกก่อน ในปี พ.ศ. 2546 ทางการจีนได้ร่วมมือกับทางการแอฟริกาใต้ทำโครงการการอนุรักษ์และขยายพันธุ์เสือโคร่งจีน โดยใช้พื้นที่ป่าของแอฟริกาใต้เป็นสถานที่อาศัยและขยายพันธุ์ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นที่โล่งกว้างขวางและมีภูมิอากาศที่เหมาะสม มีฝนตกเหมาะกับอุปนิสัยที่ชอบเล่นน้ำของเสือ โดยใช้เนื้อที่ 330 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเคยเป็นฟาร์มเลี้ยงแกะมาก่อน การขยายพันธุ์ประสบความสำเร็จเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เมื่อแม่เสือชื่อ "คาเธย์" ได้คลอดลูกเสือเพศผู้ออกมาตัวหนึ่ง จากการผสมกับเสือเพศผู้ชื่อ "ไทเกอร์วู้ด" นับเป็นครั้งแรกที่ลูกเสือโคร่งจีนใต้ได้ถือกำเนิดขึ้นนอกประเทศจีน ทางเจ้าหน้าที่โครงการคาดว่าในอีก 15 ปี ข้างหน้า จะได้ลูกเสือเช่นนี้ออกมาเป็นจำนวนมากขึ้น.

ใหม่!!: สัตว์และเสือโคร่งจีนใต้ · ดูเพิ่มเติม »

เสือโคร่งแคสเปียน

ือโคร่งแคสเปียน หรือ เสือโคร่งเปอร์เซีย (Caspian tiger, Persian tiger.; ببر قزويني) เสือโคร่งสายพันธุย่อยสายพันธุ์หนึ่งที่สูญพันธุ์ไปแล้ว มีการกระจายพันธุ์อยู่ในภูมิภาคเอเชียกลางจนถึงตะวันออกกลาง เช่น อัฟกานิสถาน, เทือกเขาคอเคซัส, ภาคตะวันตกของจีน, ที่ราบสูงแมนจูเรีย, อิหร่าน, อิรัก, ตุรกี, มองโกเลีย, คาซัคสถาน, ทาจิกิสถาน, คีร์กีซสถาน, เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน รวมถึงอาจจะแพร่กระจายพันธุ์ไปถึงซูดานในแอฟริกาเหนือด้วยก็เป็นได้ เนื่องจากมีผู้พบขนเสือโคร่งวางขายในตลาดของไคโร อียิปต์ ในปี ค.ศ. 1951 ซึ่งขนเสือผืนนี้มาจากซูดาน เสือโคร่งแคสเปียน มีลักษณะคล้ายคลึงกับเสือโคร่งไซบีเรีย (P. t. altaica) มาก นับเป็นเสือโคร่งที่มีขนาดใหญ่อีกสายพันธุ์หนึ่ง โดยตัวผู้ในเตอร์กิสถานมีความยาวลำตัว 270 เซนติเมตร นับเป็นสถิติที่ใหญ่สุดเท่าที่มีการบันทึกมา ในขณะที่ตัวเมียมีขนาดเล็กลงมา น้ำหนักตัวเต็มที่ประมาณ 240 กิโลกรัม ล่ากวางและหมูป่า รวมถึงไก่ฟ้า กินเป็นอาหาร ถิ่นที่อยู่อาศัยของเสือโคร่ง 2 สายพันธุ์นี้ต่อติดกัน โดยเสือโคร่งแคสเปียนจะกระจายพันธุ์อยู่แถบตะวันตกของภูมิภาคเอเชียกลาง และเสือโคร่งไซบีเรียจะกระจายพันธุ์อยู่ทางตะวันออกของภูมิภาคเอเชียกลางจนถึงเอเชียเหนือ ภาพวาดแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของลายที่หางของเสือโคร่งแคสเปียน (ซ้าย) กับเสือโคร่งไซบีเรีย (ขวา) เสือโคร่งแคสเปียน สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 70 โดยที่เทือกเขาคอเคซัสตัวสุดท้ายถูกฆ่าตายไปในปี ค.ศ. 1922 ใกล้กับทบิลิซี จอร์เจีย หลังจากไปฆ่าสัตว์เลี้ยงในฟาร์มของชาวบ้าน เสือโคร่งแคสเปียนตัวสุดท้ายในตุรกีถูกฆ่าในปี ค.ศ. 1970 ใกล้กับอูลูเดเร ฮักการี ในอิรักเคยพบเสือโคร่งแคสเปียนเพียงตัวเดียว ถูกฆ่าใกล้กับโมซูล ในปี ค.ศ. 1887 ในอิหร่าน เสือโคร่งแคสเปียนตัวสุดท้ายถูกฆ่าในปี ค.ศ. 1959 ในโกลีสตาน เสือโคร่งแคสเปียนตัวหนึ่งในลุ่มแม่น้ำทาริม ของจีนถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1899 ใกล้กับทะเลสาบลอปนอร์ในมณฑลซินเจียง และหลังจากทศวรรษที่ 20 ก็ไม่มีใครเห็นเสือโคร่งสายพันธุ์นี้ในลุ่มแม่น้ำนี้อีกเลย เสือโคร่งแคสเปียนหายไปจากลุ่มแม่น้ำมานัสในเทือกเขาเทียนซานทางตะวันตกของอุรุมชี ในทศวรรษที่ 60 ที่แม่น้ำไอรี ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยสำคัญแหล่งสุดท้ายในบริเวณทะเลสาบบัลฮัช มีผู้พบครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1948 และตอนปลายแม่น้ำอามูดาร์ยาบริเวณชายแดนระหว่างเติร์กเมนิสถาน, อุซเบกิสถาน และอัฟกานิสถาน เชื่อว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 70 แล้ว แม้จะมีรายงานอย่างไม่เป็นทางการว่าพบเสือโคร่งแคสเปียนบริเวณทะเลอารัลใกล้กับนูคัส ในปี ค.ศ. 1968 หรือในเขตสงวนทางธรรมชาติทิโกรวายาบัลกา ซึ่งเป็นป่ากกริมแม่น้ำอามูดาร์ยา บริเวณชายแดนทาจิกิสถานและอัฟกานิสถาน มีผู้พบเห็นครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1953 แต่มีผู้อ้างว่าพบเห็นรอยเท้าคล้ายรอยเท้าเสือโคร่งขนาดใหญ่ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และเสือโคร่งแคสเปียน · ดูเพิ่มเติม »

เสือโคร่งไซบีเรีย

ือโคร่งไซบีเรีย หรือ เสือโคร่งอามูร์ หรือ เสือโคร่งจีนเหนือ หรือ เสือโคร่งแมนจูเรีย (Siberian tiger จีนตัวเต็ม: 东北虎; จีนตัวย่อ: 東北虎; รัสเซีย: Амурский тигр; มองโกล: Сибирийн бар; เปอร์เซีย: ببر سیبری; เกาหลี: 시베리아호랑이) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกเสือชนิดหนึ่ง เป็นสายพันธุ์ย่อยของเสือโคร่ง (P. tigris) เป็นสัตว์ในวงศ์ Felidae ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังหลงเหลือเผ่าพันธุ์อยู่จนถึงปัจจุบัน เสือโคร่งไซบีเรีย สามารถโตเต็มที่ได้ถึงเกือบ 3 เมตร และหนักได้ถึงเกือบ 300 กิโลกรัม เป็นเสือโคร่งชนิดที่มีลำตัวที่ใหญ่กว่าเสือโคร่งชนิดอื่นอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าแผ่กว้าง กรามใหญ่ ลวดลายน้อย และพื้นลำตัวเป็นสีเหลืองออกขาวมากกว่าเสือโคร่งชนิดอื่น ๆ สันนิษฐานว่า คงเป็นเพราะการปรับตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่มีหิมะและความหนาวเย็นอยู่รอบตัว ในอดีต เสือโคร่งไซบีเรียเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่กว้างขวางของทวีปเอเชีย แต่ในปัจจุบัน เสือโคร่งไซบีเรียมีแหล่งที่อยู่อาศัยเป็นป่าผืนเล็กที่อยู่ตอนเหนือของเมืองวลาดิวอสตอค ประเทศรัสเซีย ตามแนวชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นทางตอนเหนือ และมีจำนวนเพียง 400 ตัว การทำเหมืองแร่และการทำไม้ในแถบไซบีเรียตะวันออกซึ่งเป็นถิ่นของเสือโคร่งไซบีเรีย ที่ประเทศจีน ในปี ค.ศ. 1990 มีการพบเห็นเสือโคร่งพันธุ์ไซบีเรียในเทือกเขาฉางไป๋ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ในประเทศเกาหลีเหนือ สันนิษฐานว่ายังมีเสือโคร่งไซบีเรียหลงเหลืออยู่บริเวณภูเขาเปกดู ซึ่งเป็นบริเวณพรมแดนที่ติดต่อเทือกเขาฉางไป๋ของจีน ปัจจุบัน เสือโคร่งไซบีเรีย พบอาศัยอยู่ในป่าไทก้าของไซบีเรีย คาดมีเหลืออยู่ในธรรมชาติราวกว่า 200 ตัว ส่วนในจีนคาดว่ามีประมาณ 14-17 ตัว โดยพบล่าสุดเมื่อปลายเดือนกันยายน..

ใหม่!!: สัตว์และเสือโคร่งไซบีเรีย · ดูเพิ่มเติม »

เสือโคร่งเบงกอล

ือโคร่งเบงกอล (เบงกาลี:বাঘ, ฮินดี: बाघ; Bengal tiger, Royal bengal tiger) เป็นเสือโคร่งชนิดย่อยชนิดหนึ่ง นับเป็นเสือโคร่งที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของบรรดาเสือโคร่งทั้งหมด รองจากเสือโคร่งไซบีเรีย (P. t. altaica) ที่พบในแถบไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย เสือโคร่งเบงกอลตัวผู้เมื่อมีขนาดใหญ่เต็มที่อาจยาวได้ถึง 360 เซนติเมตร หนัก 180-270 กิโลกรัม ขณะที่ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า และมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 140–180 กิโลกรัม การกระจายพันธุ์อยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ ในประเทศอินเดีย, เนปาล, บังกลาเทศ และกระจายเข้าไปในแถบประเทศพม่าด้วย สถานะในธรรมชาติ จัดเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการถูกล่าเพื่อทำหนังเป็นเครื่องประดับ และกระดูก, อวัยวะ เป็นยาสมุนไพรตามความเชื่อ อย่างไรก็ตาม เสือโคร่งเบงกอลนั้นนับได้ว่าเป็นเสือโคร่งชนิดที่ยังมีเหลืออยู่มากที่สุดในธรรมชาติ คาดว่ามีอยู่ประมาณ 2,000 ตัวในธรรมชาติ ในเขตป่าอนุรักษ์และอินเดียและเนปาล และเป็นเสือที่มนุษย์นำมาเลี้ยงและขยายพันธุ์ได้มากและแพร่หลายที่สุด ในสถานที่เลี้ยง พบว่า เสือโคร่งเบงกอลเป็นเสือโคร่งที่มีความเชื่องและดุร้ายน้อยที่สุด จนสามารถฝึกหัดให้เล่นละครสัตว์ได้ เสือโคร่งเบงกอลขึ้นชื่อว่าเป็นเสือโคร่งที่กินมนุษย์มาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะในอินเดีย การล่าเสือเป็นเกมกีฬาของราชวงศ์ชั้นสูง แม้แต่ในยุคที่อังกฤษเข้ามาปกครองอินเดีย โดยการขี่หลังช้างออกล่าในตามทุ่งหญ้าทั้งหญ้าสูงและหญ้าต่ำ ในคริสต์ทศวรรษที่ 20 มีเสือโคร่งเบงกอลคร่าชีวิตมนุษย์ไปกว่า 1,600 รายต่อปี แม้แต่ในปัจจุบันที่การล่าเสือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และผู้คนเข้าใจถึงการอนุรักษ์สัตว์ป่ามากขึ้น แต่ทว่าก็ยังคงมีการโจมตีมนุษย์อยู่เป็นระยะ ๆ ของเสือ โดยเฉพาะในสุนทรพนะซึ่งเป็นพื้นที่ป่าชายเลน เสือโคร่งเบงกอลที่นี่มีความดุร้ายและไม่เกรงกลัวมนุษย์ มักจะโจมตีมนุษย์เสมอ ๆ โดยเฉพาะการจู่โจมจากด้านหลัง ชาวพื้นเมืองที่นี่จึงต้องสวมหน้ากากไว้ด้านหลังเพื่อป้องกัน ด้วยการทำให้เสือเข้าใจผิดว่ากำลังถูกจ้องดูอยู่ เสือที่โจมตีมนุษย์ส่วนมากเป็นตัวเมียในช่วงฤดูเก็บน้ำผึ้ง ซึ่งตรงกับฤดูที่เสือโคร่งเบงกอลจะมีลูกพอดี.

ใหม่!!: สัตว์และเสือโคร่งเบงกอล · ดูเพิ่มเติม »

เสือไฟ

ือไฟ (หรือ Catopuma temminckii) เป็นแมวป่าขนาดกลาง มีขนาดเล็กกว่าเสือลายเมฆ แต่ใหญ่กว่าแมวลายหินอ่อน โดยชื่อวิทยาศาสตร์ temminckii ถูกตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่กุนราด ยาโกบ แต็มมิงก์ นักสัตววิทยาชาวดัตช์ซึ่งเป็นผู้บรรยายลักษณะทางวิทยาศาสตร์ของเสือไฟแอฟริกาเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และเสือไฟ · ดูเพิ่มเติม »

เสือไฟแอฟริกา

ือไฟแอฟริกา หรือ แมวทองแอฟริกา (African golden cat) เสือขนาดเล็กหรือแมวชนิดหนึ่ง กระจายพันธุ์อยู่ในทวีปแอฟริกา เสือไฟแอฟริกามีลักษณะทั่วไปคล้ายกับเสือไฟที่พบในทวีปเอเชีย ทั้งที่พบกันคนละทวีปที่ห่างไกลกัน เชื่อว่าในยุคก่อนประวัติศาสตร์ราวหนึ่งล้านปีก่อนแผ่นดินใหญ่ในจีนจนถึงทวีปแอฟริกาในปัจจุบันเชื่่อมต่อกันเป็นป่าเดียวกัน แต่ต่อมาถูกคั่นด้วยทะเลทรายกว้างใหญ่หลายแห่ง เสือไฟในสองทวีป จึงถูกตัดขาดจากกัน และมีวิวัฒนาการแยกออกจากกัน หรือเป็นผลของการวิวัฒนาการแบบเข้าหากันผ่อง เล่งอี้.

ใหม่!!: สัตว์และเสือไฟแอฟริกา · ดูเพิ่มเติม »

เสียงคำราม

ียงคำราม คือเสียงแผดร้องที่เปล่งออกมาจากปาก เสียงคำรามเกิดจากสัตว์บางสายพันธุ์ เสียงคำรามมักทำโดยใช้กระดูกไฮออยด์ กระดูกชิ้นเล็กที่ในวัยเติบโตจะไม่แข็งทั้งหมด สัตว์จะคำรามด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น อ้างถิ่นตนเอง สื่อสารกับสมาชิกตัวอื่น ๆ และความโกรธเกรี้ยว นอกจากนี้ เสียงสัตว์คำราม เช่น เสียงสิงโต ยังใช้ในการหาหรือแก่งแย่งหาคู่ของตนด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และเสียงคำราม · ดูเพิ่มเติม »

เส้นทางการเดินทางในเพชรพระอุมา

้นทางการเดินทางในเพชรพระอุมา เป็นเส้นทางการเดินทางของตัวละครภายในเพชรพระอุมาที่เกิดจากจินตนาการของพนมเทียน ในการกำหนดเส้นทางการเดินทางของตัวละครในภาคแรกและภาคสมบูรณ์ โดยที่มีจุดเริ่มต้นจากหมู่บ้านหนองน้ำแห้งของรพินทร์ ไพรวัลย์ หมู่บ้านหล่มช้างจนถึงเมืองมรกตนครในภาคแรก และจากหมู่บ้านหนองน้ำแห้ง อาณาจักรนิทรานครจนถึงเมืองมรกตนครในภาคสมบูรณ.

ใหม่!!: สัตว์และเส้นทางการเดินทางในเพชรพระอุมา · ดูเพิ่มเติม »

เส้นนัซกา

้นนัซกา (Nazca Lines) เป็นลายเส้นลึกลับที่กินอาณาเขตพื้นที่กว่า 520 ตารางกิโลเมตรบนทะเลทรายนัซกา ระหว่างเมืองนัซกากับเมืองปัลปาในแคว้นอีกา ประเทศเปรู สันนิษฐานว่าชาวนัซกาโบราณ (ซึ่งครอบครองดินแดนเปรูมาก่อนยุคจักรวรรดิอินคา) ขุดลายเส้นเหล่านี้ขึ้นเมื่อประมาณ 200 ปีก่อนคริสตกาลถึงประมาณปี ค.ศ. 500 ชาวนัซกาโบราณเป็นเกษตรกรเพาะปลูกอยู่บนที่ราบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ไม่ได้ทิ้งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลย ที่พอจะเข้าใจได้บ้างก็มาจากการศึกษาสุสานและข้าวของเครื่องใช้ในหลุมฝังศพเท่านั้น ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงทำลวดลายเหล่านี้ขึ้น ลายเส้นนัซกาที่ทำขึ้นเป็นแบบวิธีเดียวกันหมด คือ ขุดเอาหินทรายสีแดงบนพื้นผิวทะเลทรายออก แล้วเปิดให้เห็นชั้นหินสีเหลืองอ่อนที่อยู่ข้างใน ไม่มีร่องรอยการใช้สัตว์ช่วยแม้แต่น้อย และภาพเป็นเส้นเดียวไม่ขาดตอน ภาพของลายเส้นนัซกาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือภาพที่เป็นรูปทรงและภาพที่เป็นเส้นลายเฉย ๆ มีภาพสัตว์ นก รูปเรขาคณิต เป็นต้น เส้นนัซกาได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2537.

ใหม่!!: สัตว์และเส้นนัซกา · ดูเพิ่มเติม »

เส้นเวลาการสำรวจระบบสุริยะ

นี่คือ เส้นเวลาการสำรวจระบบสุริยะ เรียงตามวันปล่อยยานอวก.

ใหม่!!: สัตว์และเส้นเวลาการสำรวจระบบสุริยะ · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยว

หยี่ยว หรือ อีเหยี่ยวบรรจบ พันธุเมธา, ศาสตราจารย์, ดอกเตอร.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยว · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ

หยี่ยวกิ้งก่าสีดำ (Black baza) เป็นนกล่าเหยื่อขนาดเล็กพบตามป่าในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประชากรโดยมากเป็นนกอพยพ เช่น ประชากรในประเทศอินเดียจะอพยพหนีหนาวไปตอนใต้ของประเทศและประเทศศรีลังกา ในประเทศไทยพบอพยพเพียงที่เดียว คือ เขาดินสอ ตำบลบางสน อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวรุ้ง

หยี่ยวรุ้ง หรือ อีรุ้ง (Crested serpent-eagle; ชื่อวิทยาศาสตร์: Spilornis cheela) เป็นนกล่าเหยื่อขนาดกลางจำพวกเหยี่ยวที่พบได้ในป่าในทวีปเอเชียเขตร้อน มีการกระจายพันธุ์กว้าง ด้วยความที่นกในสกุลนี้กินอาหารหลัก คือ งู จึงได้ชื่อสามัญในภาษาอังกฤษว่า "Serpent-eagle" (เหยี่ยวงู หรือ อินทรีงู).

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวรุ้ง · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวออสเปร

หยี่ยวออสเปร (Osprey, Sea hawk, Fish eagle) เป็นนกล่าเหยื่อที่กินปลาเป็นอาหาร มีขนาดใหญ่ ยาว 60 เซนติเมตร ช่วงปีกกว้าง 2 เมตร ขนส่วนบนเป็นสีน้ำตาล ศีรษะและส่วนล่างมีสีค่อนข้างเทา มีสีดำบริเวณตาและปีก เหยี่ยวออสเปรมีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้าง ชอบทำรังใกล้กับแหล่งน้ำ แม้ว่าในทวีปอเมริกาใต้จะเป็นเพียงแค่นกอพยพนอกฤดูผสมพันธุ์ แต่ก็ถือว่าสามารถพบได้ทุกทวีปยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกา เหยี่ยวออสเปรกินปลาเป็นอาหาร จึงพัฒนาลักษณะทางกายภาพเฉพาะและแสดงพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อช่วยในการล่าและการจับเหยื่อ จึงส่งผลให้มีสกุลและวงศ์เป็นของตนเองคือ สกุล Pandion และ วงศ์ Pandionidae มี 4 สปีชีส์ย่อยที่ได้รับการยอมรับ แม้จะมีนิสัยชอบในการทำรังใกล้แหล่งน้ำ แต่เหยี่ยวออสเปรก็ไม่ใช่อินทรีทะเล.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวออสเปร · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวทุ่งแถบเหนือ

หยี่ยวทุ่งแถบเหนือ (Hen Harrier, Northern Harrier) เป็นนกล่าเหยื่อ ที่มีการขยายพันธุ์เหนือเส้นศูนย์สูตร ในประเทศแคนาดาและตอนเหนือสุดของสหรัฐอเมริกา และในตอนเหนือของทวีปยูเรเชีย นกชนิดนี้มีสองชนิดย่อย Marsh Hawk เป็นชื่อในอดีตของชนิดย่อยอเมริกาdel Hoyo, J., Elliott, A., & Sargatal, J., eds.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวทุ่งแถบเหนือ · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวดำ

หยี่ยวดำ (Black kite, Pariah kite) เป็นเหยี่ยวชนิดหนึ่ง จัดเป็นนกขนาดกลาง ขนาดลำตัวประมาณ 60-66 เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะเหมือนกันคือ ลำตัวสีน้ำตาลเข้มอมเหลืองทั้งด้านบนและด้านล่าง ปีกสีน้ำตาลเข้ม หางเป็นแฉกตื้น ๆ มองดูคล้ายง่าม ปากสั้นสีดำแหลมคม ปลายปากเป็นขอ หัวค่อนข้างใหญ่ คอสั้น ปีกยาว ส่วนนกที่ยังไม่โตเต็มที่ ลำตัวจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน พร้อมกับมีขีดสีเหลืองอ่อนทั่วทั้งตัว พบกระจายพันธุ์อยู่กว้างขวางในหลายพื้นที่ ตั้งแต่ยูเรเชีย, ออสตราเลเชีย และโอเชียเนีย จึงทำให้มีชนิดย่อยหลากหลายถึง 5 ชนิด (ดูในตาราง) และเป็นนกอพยพในหลายพื้นที่ในช่วงฤดูหนาว ในประเทศไทยพบได้ในป่าทางภาคเหนือ, ภาคกลางและภาคใต้ มีพฤติกรรมหากินในเวลากลางวัน ชอบบินอยู่ตามที่โล่งชายป่า ตามริมฝั่งทะเล หรือตามแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ เพื่อหาอาหาร เมื่อจับเหยื่อได้ก็มักกินบนพื้นดิน หรืออาจนำไปกินบนต้นไม้ พบอยู่โดดเดี่ยว เป็นคู่หรือเป็นฝูง เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ เหยี่ยวดำจะทำรังรวมกันเป็นกลุ่มบนต้นไม้สูง ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะช่วยกันสร้างรังด้วยกิ่งไม้เล็ก ๆ นำมาขัดสานกัน จากนั้นทั้งคู่จะช่วยกันกกไข่และเลี้ยงลูกอ่อน นกจะใช้เวลากกไข่นานประมาณ 29-32 วัน ออกไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง ปกติ 3 ฟอง ไข่ของเหยี่ยวดำ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 ในการสำรวจในปี..

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวดำ · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวดำท้องขาว

หยี่ยวดำท้องขาว (Blyth's Hawk-Eagle), Nisaetus alboniger (เดิมจัดเป็นสกุล Spizaetus) เป็นนกล่าเหยื่อ ในวงศ์ Accipitridae มีการกระจายพันธุ์ในมาเลเซียตะวันตก, ประเทศสิงคโปร์, เกาะสุมาตรา, เกาะบอร์เนียว พบในป่าเปิดโล่ง แม้ว่านกตามเกาะจะพบในป่าที่มีความหนาทึบมากกว่า นกทำรังด้วยกิ่งไม้บนต้นไม้และวางไข่เพียงฟองเดียว เหยี่ยวดำท้องขาวเป็นนกล่าเหยื่อขนาดกลาง ยาวประมาณ 51–58 ซม.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวดำท้องขาว · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวค้างคาว

หยี่ยวค้างคาว (Bat Hawk) เป็นนกล่าเหยื่อขนาดกลาง พบในแอฟริกาและเอเชียใต้ถึงเกาะนิวกินี ในประเทศไทยมีกระจายพันทางตอนใต้ของเทือกเขาตะนาวศรี และภาคใต้ ชื่อนั้นมาจากอาหารที่กินคือค้างคาว.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวค้างคาว · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวปลา

ระวังสับสนกับ: อินทรีกินปลา เหยี่ยวปลา (Fish-eagle, Fishing eagle) เป็นสกุลของนกล่าเหยื่อสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Ichthyophaga เหยี่ยวปลา มีลักษณะคล้ายกับอินทรีหรือเหยี่ยวในสกุล Haliaeetus หรืออินทรีทะเล แต่มีขนาดเล็กกว่า แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ทั้งหมดพบในทวีปเอเชียในแต่ละภูมิภาค คือ อนุทวีปอินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงสุลาเวสี มีลักษณะเด่น คือ ขนส่วนหัวเป็นสีเทา หน้าแข้งขาว เหยี่ยวปลาเล็กหัวเทามีน้ำหนักน้อยกว่าเหยี่ยวปลาใหญ่หัวเทาถึงครึ่งเท่าตัว.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวปลา · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวปลาใหญ่หัวเทา

หยี่ยวปลาใหญ่หัวเทา (Grey-headed fish eagle) นกล่าเหยื่อชนิดหนึ่ง ในวงศ์เหยี่ยวและอินทรี (Accipitridae) จัดเป็นเหยี่ยวขนาดใหญ่ลำตัวยาวถึง 72 เซนติเมตร มีลักษณะสังเกตได้ง่าย คือ ส่วนหัวสีเทา ลำตัวสีน้ำตาล ส่วนท้องตอนล่างและหางสีขาว เฉพาะที่หางตอนปลายมีแถบสีดำคาด นกอายุน้อยลำตัวสีน้ำตาลอ่อน มีลายขีดน้ำตาลใต้ท้องและลายประสีน้ำตาลบนส่วนหาง จะงอยปากสีน้ำตาลปนเทา แข้งและเท้าสีเทาอ่อน ชอบเกาะอยู่ตามยอดไม้สูง คอยจ้องลงโฉบจับปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ กินเป็นอาหาร สร้างรังอยู่ตามต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ใกล้แหล่งน้ำ รังอยู่สูง 10-30 เมตรหรืออยู่บนยอดของต้นไม้ วางไข่ครั้งละ 2-3 ฟอง ตัวผู้ขณะบิน พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงสุลาเวสี มีพฤติกรรมอาศัยอยู่โดดเดี่ยวตามลำน้ำใหญ่ในป่า, อ่างเก็บน้ำ, นาข้าวตามชายฝั่งทะเล และในป่าพรุที่มีกระแสน้ำไหลเอื่อย ๆ หรือน้ำนิ่ง ในประเทศในอดีตพบได้ทั่วทุกภาค แต่ในปัจจุบัน มีรายงานพบในบริเวณเขตรักษาพันธุสัตวปาหวยขาแขง จังหวัดอุทัยธานี และเขตหามลาสัตวปาปาพรุ จังหวัดนราธิวาส และพบจำกัดอยูในเฉพาะบริเวณปาระดับต่ำและอยูในสภาวะใกลสูญพันธุไปจากธรรมชาติแลว ยังไมมีรายงานยืนยันแนชัดวาเหยี่ยวปลาใหญ่หัวเทาจะสามารถใชแหลงน้ำที่มนุษยสรางขึ้นโดยการทำเขื่อนเก็บน้ำเพื่อการชลประทานและการผลิตพลังงานไฟฟาไดหรือไม่ ในประเทศสิงคโปรพบวาทำรังอยูริมอางเก็บน้ำในเดือนมกราคม.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวปลาใหญ่หัวเทา · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวปลาเล็กหัวเทา

หยี่ยวปลาเล็กหัวเทา (Lesser fish-eagle) นกล่าเหยื่อชนิดหนึ่ง ในวงศ์เหยี่ยวและอินทรี (Accipitridae) จัดเป็นเหยี่ยวปลาชนิดหนึ่ง มีขนาดคล้ายกับเหยี่ยวปลาใหญ่หัวเทา (I. ichthyaetus) แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยมีความยาวประมาณ 51-64 เซนติเมตร และน้ำหนักน้อยกว่ากันถึงเท่าตัว ขนปกคลุมตามลำตัวสีน้ำตาล ท้อง, คอ และโคนหางมีสีขาว หางมีสีน้ำตาล ใบหน้ามีสีเหลือง จะงอยปากสั้นงุ้มหลายแหลมมีสีดำ อุ้งเท้ามีสีน้ำตาล นิ้วยาวแข็งแรง เล็บแหลมคมใช้สำหรับจับและฉีกเหยื่อ มีพฤติกรรมชอบอยู่อาศัยเพียงลำพังตัวเดียวบนยอดไม้สูง โฉบเหยื่อจากผิวน้ำ มีเสียงร้อง โย่ว โย่ว โย่ว ลูกนกที่ยังโตไม่เต็มที่มีขนสีน้ำตาลอ่อน พบกระจายพันธุ์ตามริมแหล่งน้ำขนาดใหญ่ตั้งแต่อนุทวีปอินเดียจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยจัดเป็นนกประจำถิ่นที่หาได้ยาก โดยจะพบได้เฉพาะบางพื้นที.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวปลาเล็กหัวเทา · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวนกเขา

หยี่ยวนกเขา (Bird hawk, Sparrow hawk) เป็นสกุลของนกล่าเหยื่อสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Accipiter จัดอยู่ในวงศ์เหยี่ยวและอินทรี (Accipitridae) มีลักษณะโดยรวม คือ ลำตัวมีขนสีเทาน้ำตาล มีลายตลอดตัว อกสีน้ำตาลลายกระขาว มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ตามลำพังหรือเป็นคู่ มักล่าเหยื่อด้วยการซ่อนตัวเงียบ ๆ ในพุ่มไม้บนต้นเพื่อโฉบเหยื่อไม่ให้รู้ตัว มีขนาดเล็กที่สุด คือ เหยี่ยวนกกระจอกเล็ก (A. minullus) ที่พบในทวีปแอฟริกา มีความยาวลำตัวน้อยกว่า 20 เซนติเมตร (7.9 นิ้ว) ความกว้างของปีก 39 เซนติเมตร (15 นิ้ว) น้ำหนัก 68 กรัม (2.4 ออนซ์) จนถึงเหยี่ยวนกเขาท้องขาว (A. gentilis) ที่ตัวเมียขนาดใหญ่สุด ความยาวลำตัว 64 เซนติเมตร (25 นิ้ว) ความยาวปีก 127 เซนติเมตร (50 นิ้ว) น้ำหนัก 2,200 กรัม (4.9 ปอนด์) สำหรับในประเทศไทย พบได้ทั้งสิ้น 7 ชนิด เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองทั้งหมด เช่น เหยี่ยวนกเขาชิครา (A. badius), เหยี่ยวนกเขาหงอน (A. trivirgatus) และเหยี่ยวนกเขาพันธุ์ญี่ปุ่น (A. gularis) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวนกเขา · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวนกเขาชิครา

Shikra, Chappad Chidi, Mohali, Punjab, India เหยี่ยวนกเขาชิครา หรือ เหยี่ยวชิครา (shikra) เป็นเหยี่ยวขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกเหยี่ยวนกเขา มีลักษณะปากแหลมปลายปากงุ้มลง ปีกกว้างสั้น ปลายปีกแหลม หางยาว ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน แต่ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยและลำตัวออกสีน้ำตาลมากกว่า ลำตัวด้านบนมีสีเทาอมฟ้า แก้มสีเทามีสีขาวเป็นลายเล็ก ๆ สีน้ำตาลจาง ๆ อยู่ติดกัน ที่คอมีสีเส้นสีดำลากผ่านกึ่งกลางสันคอ ตามีสีแดงหรือเหลือง หางสีเทามีลายแถบสีคล้ำ 5 แถบ แข้งเป็นสีเหลือง เมื่อเวลาบินจะเห็นปีกด้านล่างเป็นสีขาว ปลายปีกเป็นสีดำและมีลายยาวสีน้ำตาลคล้ำ ลูกนกที่ยังไม่โตเต็มที่จะมีขนสีน้ำตาลเทาเข้ม มีแถบสีขาวและน้ำตาลแดงที่ท้ายทอย คิ้วสีขาว หน้าอกมีแถบใหญ่สีน้ำตาลแดง ที่สีข้างและต้นขามีสีน้ำตาลแดงเป็นขีดสั้น ๆ ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 30-36 เซนติเมตร จึงจัดเป็นเหยี่ยวขนาดเล็กที่สุดในสกุล Accipiter ชนิดหนึ่ง มีพฤติกรรมกระพือปีกได้เร็ว และร่อนอยู่กลางอากาศเพื่อหาเหยื่อ ล่าเหยื่อจำพวกสัตว์ชนิดอื่นและนกขนาดเล็ก รวมถึงแมลงขนาดใหญ่เป็นอาหาร มักอยู่ตามลำพังหรืออยู่เป็นคู่ ปกติชอบเกาะนิ่งอยู่ตามยอดไม้สูงชายป่าหรือป่าละเมาะ คอยออกบินโฉบจับเหยื่อไม่ให้รู้ตัว สร้างรังอย่างง่าย ๆ โดยการเอากิ่งไม้มาขัดกันบนคาคบ เหยี่ยวนกเขาชิครา เป็นนกที่มีการกระจายพันธุ์ค่อนข้างกว้าง โดยพบได้ตั้งแต่ทวีปแอฟริกา, เอเชียใต้, เอเชียอาคเนย์, เอเชียตะวันออกจนถึงเกาะสุมาตรา จึงแบ่งออกเป็นชนิดย่อยด้วยกันทั้งหมด 6 ชนิด (ดูในตาราง) สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภูมิภาคยกเว้นภาคใต้ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1 ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวนกเขาชิครา · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวแมลงปอ

หยี่ยวแมลงปอ (Falconet, Typical falconet) เป็นนกล่าเหยื่อขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกเหยี่ยว จัดอยู่ในสกุล Microhierax ในวงศ์เหยี่ยวปีกแหลม (Falconidae) เป็นเหยี่ยวขนาดเล็กมีขนาดลำตัวไล่เลี่ยกับนกกระจอกเท่านั้นเอง ที่ได้ชื่อว่าเหยี่ยวแมลงปอ เพราะมีพฤติกรรมโฉบบินจับแมลงปอและแมลงอื่น ๆ กินเป็นอาหารกลางอากาศได้ แต่ก็สามารถจับสัตว์อย่างอื่น เช่น สัตว์เลื้อยคลาน, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ รวมถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กกินเป็นอาหารได้ด้วย แบ่งได้ออกเป็น 5 ชนิด ทุกชนิดเป็นนกที่พบประจำถิ่นได้ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ในประเทศไทยพบ 2 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวแมลงปอ · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวแดง

หยี่ยวแดง (Brahminy kite, Red-backed sea-eagle) เป็นนกล่าเหยื่อขนาดกลางในวงศ์ Accipitridae สามารถพบได้ในอนุทวีปอินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ประเทศออสเตรเลี.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวแดง · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวแคระ

หยี่ยวแคระ หรือ เหยี่ยวเล็ก (Pygmy falcon) เป็นนกล่าเหยื่อขนาดเล็กสกุลหนึ่ง จำพวกเหยี่ยว จัดอยู่ในสกุล Polihierax อยู่ในวงศ์เหยี่ยวปีกแหลม (Falconidae) แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวแคระ · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวแคระแอฟริกัน

หยี่ยวแคระแอฟริกัน (Pygmy falcon, African pygmy falcon) เป็นนกล่าเหยื่อขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกเหยี่ยว จัดอยู่ในวงศ์เหยี่ยวปีกแหลม (Falconidae) เป็นเหยี่ยวขนาดเล็ก มีความยาวลำตัวประมาณ 19-20 เซนติเมตร รูปร่างล่ำสันแข็งแรง มีกระหม่อมสีเทา ด้านหลังเป็นจุดกลมขนาดใหญ่สีขาวคล้ายดวงตา อกและท้องเป็นสีขาว มีจะงอยปากงุ้มและแข็งแรงใช้สำหรับหักคอเหยื่อเพื่อล่าเป็นอาหาร ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ เหยี่ยวแคระแอฟริกันเป็นนกที่บินได้เร็วมาก และสามารถฆ่าเหยื่อได้ด้วยการพุ่งชนหรือหักคอกลางอากาศ โดยเหยื่อได้แก่ นกขนาดเล็ก, หนู, กบ และสัตว์เลื้อยคลานชนิดต่าง ๆ และบางครั้งก็กินแมลง เช่น ตั๊กแตน หรือจิ้งหรีด ปกติจะอาศัยอยู่ในพุ่มไม้ที่แห้ง มีระดับการบินต่ำและบินขึ้นลงเป็นลูกคลื่น เมื่อยามเกาะกับกิ่งไม้อาจดูคล้ายกับนกอีเสือ แบ่งได้ออกเป็น 2 ชนิดย่อย คือ P. s. castanonotus พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ซูดานถึงโซมาเลีย และตอนใต้ของอูกานดาและแทนซาเนีย และP.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวแคระแอฟริกัน · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวเพเรกริน

หยี่ยวเพเรกริน (Peregrine falcon, Peregrine; ชื่อวิทยาศาสตร์Falco peregrinus เป็นนกล่าเหยื่อจำพวกเหยี่ยวชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์เหยี่ยวปีกแหลม (Falconidae) เหยี่ยวเพเรกริน เป็นนกที่บินได้เร็วมาก โดยทำความเร็วที่ได้ 321-563 กิโลเมตร/ชั่วโมง และทำความเร็วได้สูงที่สุดเมื่อพุ่งดิ่งลงจากที่สูง ถ้าบินระดับแนวนอนปกติ จะอยู่ที่ความเร็วประมาณ 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่หากดิ่งลงมาจากที่สูงสามารถทำความเร็วได้ถึง 89-57 เมตร/วินาที เอาไปคิดเป็นจำนวนkg/Hr นับเป็นนกที่บินได้เร็วที่สุดในโลก และสามารถเพิ่มความเร็วได้ขณะบินได้ถึง 130 ไมล์/ชั่วโมง ด้วยเวลาไม่ถึง 1 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วกว่า เสียอีก และนับเป็นสัตว์ที่มีความเร็วที่สุดในอาณาจักรสัตว์ทั้งหมด Deadly 60, สารคดีทาง True Explore 1. ทรูวิชั่นส์: ศุกร์ที่ 4 มกราคม 2555 ซึ่งในความเร็วระดับนี้ ลมจะเข้าไปในโพรงจมูกของเหยี่ยวเพเรกริน ซึ่งแรงพอที่จะทำให้สลบได้ แต่ในโพรงจมูกของเหยี่ยวเพเรกรินจะมีกระดูกอีกชั้นหนึ่งสำหรับกันลม เหยี่ยวเพเรกรินตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ โดยเฉลี่ยมีขนาดลำตัวประมาณ 34-58 เซนติเมตร (13–23 นิ้ว) และเมื่อกางปีกจะกว้างได้ถึง 74-120 เซนติเมตร (29–47 นิ้ว) เป็นนกที่กระจายพันธุ์ได้กว้างไกลในหลายพื้นที่ของโลก ล่านกและสัตว์ต่าง ๆ กินเป็นอาหาร โดยเฉพาะนกพิราบ มีความแตกต่างกันออกไปของสีขนและลักษณะขน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นชนิดย่อยต่าง ๆ ได้ถึง 16 ชนิด (ดูในตาราง) แต่โดยทั่วไป ส่วนหัวและแถบหนวดดำตัดกับข้างแก้มและคอสีขาวเป็นแถบใหญ่ สำหรับในประเทศไทย ชนิดย่อย F. p. japonensis มีลำตัวด้านบนเทาเข้ม ลำตัวด้านล่างขาว อกมีลายจุดเล็ก ๆ ลำตัวด้านล่างมีลายละเอียดต่อกันตามขวาง ขณะบินปีกกว้าง ปลายมนกว่าชนิดอื่น ๆ ใต้ปีกขาวมีลายดำหนาแน่นที่ขนคลุมใต้ปีก ชนิดย่อย F. p. peregrinator ลำตัวด้านล่างแกมน้ำตาลแดง และชนิดย่อย F. p. ernesti พบในพื้นที่ภาคใต้ มีแก้มสีดำ หัวและลำตัวสีคล้ำมาก อกค่อนข้างเรียบ มีลายขวางหนาแน่นที่ท้องทำให้ลำตัวด้านล่างเป็นสีดำ ขณะที่ยังเป็นวัยอ่อนมีลายขีดที่อกและท้อง ลำตัวด้านบนแกมน้ำตาลมากกว่านกเต็มวัย ในชนิดย่อย F. p. peregrinator อกและท้องลาย แซมด้วยสีน้ำตาลแดงถึงท้องด้านล่าง ในประเทศไทย มีถิ่นอาศัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ในบริเวณพื้นที่เปิดโล่ง, ชายฝั่งทะเล, หน้าผา หรือที่ราบถึงความสูง 2,565 เมตร จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยถือเป็นนกอพยพที่หายากชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวเพเรกริน · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวเคสเตรล

หยี่ยวเคสเตรล (Common Kestrel, European Kestrel, Eurasian Kestrel หรือ Old World Kestrel) เป็นนกล่าเหยื่อในวงศ์เหยี่ยวปีกแหลม ในบริเตนนั้นไม่มีเหยี่ยวสีน้ำตาลชนิดอื่น มันถึงถูกเรียกว่า "kestrel" เหยี่ยวเคสเตรลมีการกระจายพันธุ์กว้าง ทั้งในยุโรป, เอเชีย, และ แอฟริกา แม้ว่าจะมีการตั้งถิ่นฐานของนกบนเกาะในมหาสมุทรสองสามเกาะ แต่การพบนกอพยพหลงนั้นยากมากในไมโครนีเซีย มีบันทึกเพียงสองครั้งในกวมและเกาะไซปัน.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวเคสเตรล · ดูเพิ่มเติม »

เหยี่ยวเคสเตรลพันธุ์อเมริกา

หยี่ยวเคสเตรลพันธุ์อเมริกา (American Kestrel) หรือที่เรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า Sparrow Hawk (เหยี่ยวนกกระจอก) เป็นเหยี่ยวปีกแหลมขนาดเล็ก และเป็นเหยี่ยวเคสเตรลชนิดเดียวที่พบในทวีปอเมริกา เป็นเหยี่ยวปีกแหลมที่พบมากในทวีปอเมริกาเหนือและพบในถิ่นอาศัยหลากหลายรูปแบบ ด้วยความยาว 19 - 21 เซนติเมตร มันจึงเป็นเหยี่ยวปีกแหลมขนาดเล็กที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ เหยี่ยวเคสเตรลพันธุ์อเมริกามีลักษณะต่างกันในสองเพศ ทั้งขนาดและชุดขน แม้ว่าทั้งสองเพศจะมีสีขนค่อนข้างแดงที่หลังที่เห็นได้ชัด นกวัยอ่อนมีชุดขนคล้ายนกโตเต็มวัย เหยี่ยวเคสเตรลพันธุ์อเมริกาล่าเหยื่อโดยการบินร่อนกลางอากาศด้วยการกระพือปีกอย่างรวดเร็ว และสอดส่ายสายตาพบพื้นเพื่อหาเหยื่อ ปกติจะกินตั๊กแตน, กิ้งก่า, หนู, และนกขนาดเล็กเป็นอาหาร เหยี่ยวทำรังในโพรงบนต้นไม้ หน้าผา อาคาร และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ตัวเมียวางไข่ครั้งละสามถึงเจ็ดใบ พ่อและแม่ช่วยกันกกไข่ เหยี่ยวเคสเตรลพันธุ์อเมริกาเป็นนกที่ใช้ในกีฬาล่าเหยื่อด้วยนกตระกูลเหยี่ยว โดยเฉพาะผู้เริ่มต้น พิสัยการผสมพันธุ์วางไข่เริ่มจากตอนกลางและตะวันตกของรัฐอะแลสกาข้ามไปยังตอนเหนือของประเทศแคนาดาถึงรัฐโนวาสโกเชีย และลงไปทางใต้ตลอดทวีปอเมริกาเหนือ ในตอนกลางประเทศเม็กซิโกและแคริบเบียน มันเป็นนกประจำถิ่นในอเมริกากลางและตลอดทั่วทวีปอเมริกาใต้ นกส่วนมากที่ผสมพันธุ์วางไข่ในประเทศแคนาดาและตอนเหนือของสหรัฐอเมริกาจะอพยพลงใต้เมื่อฤดูหนาว พบนกอพยพหลงบางครั้งในทางตะวันตกของยุโรป.

ใหม่!!: สัตว์และเหยี่ยวเคสเตรลพันธุ์อเมริกา · ดูเพิ่มเติม »

เหลือบ

หลือบเป็น แมลงดูดเลือดอันดับDiptera, วงศ์ Tabanidae ที่กัดและสร้างความเจ็บปวดมาก มีลักษณะคล้ายแมลงวันที่มีขนาดใหญ่ บินเสียงดัง และยังเป็นแมลงผสมเกสรที่มีความสำคัญต่อดอกไม้อีกด้วย โดยเฉพาะใน แอฟริกาใต้ เหลือบพบได้ทั่วโลก ไม่พบเฉพาะละติจูดเหนือมากและใต้มาก บางครั้งเรียก gadflies, breeze flies, zimbs หรือ clegs.ในออสเตรเลียเรียก "March Flies" บางพื้นที่ในแคนาดาพวกมันถูกเรียกว่า Bull Dog Flies.

ใหม่!!: สัตว์และเหลือบ · ดูเพิ่มเติม »

เหี้ย

หี้ย เป็นสัตว์เลื้อยคลานในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ประเทศบังกลาเทศ ศรีลังกา และอินเดีย จนถึงอินโดจีน และเกาะต่าง ๆ ของอินโดนีเซีย (แบ่งออกเป็นชนิดย่อยต่าง ๆ ได้ 5 ชนิด ดูในตาราง) โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ.

ใหม่!!: สัตว์และเหี้ย · ดูเพิ่มเติม »

เหี้ยดำ

หี้ยดำ หรือ มังกรดำ (Black water monitor, Black dragon) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Varanus komaini มีรูปลักษณะทั่วไปคล้ายเหี้ย มีขนาดใกล้เคียงกับเหี้ยทั่วไป เมื่อโตเต็มวัยจากปลายหัวถึงโคนหาง 9ฟุต สีดำด้านทั้งตัว บางตัวก็มีจุดและลายแทรกอยู่บ้าง แต่ลายจะจาง ท้องสีเทา ลิ้นสีน้ำเงินเข้ม เหี้ยดำพบได้เฉพาะบริเวณชายทะเลหรือป่าชายเลนและบนเกาะเล็ก ๆ ทางภาคใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยเท่านั้น โดยสถานที่ค้นพบครั้งแรกคืออำเภอละงู จังหวัดสตูล และสถานที่ ๆ พบเหี้ยดำจะไม่พบเหี้ยเลย ในประเทศไทยหายากมาก และมีรายงานพบทางประเทศมาเลเซีย บริเวณ ปีนัง และ อินโดนีเซีย บริเวณ ลัมปุง และบางหมู่เกาะทางตอนเหนือของอินโดนีเซีย ปัจจุบัน เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ CITES2 และถือเป็นสัตว์เฉพาะถิ่น.

ใหม่!!: สัตว์และเหี้ยดำ · ดูเพิ่มเติม »

เห่าช้าง

ห่าช้าง (Roughneck monitor lizard) เป็นสัตว์เลื้อยคลานในวงศ์เหี้ย (Varanidae) และ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตาม พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเห่าช้าง · ดูเพิ่มเติม »

เห็บโค

ห็บโค (หรือ Rhipicephalus microplus) เป็นปรสิตภายนอกของสัตว์หลายชนิดเช่น ม้า ลา แพะ แกะ กวาง หมู หมา และสัตว์ป่าบางชนิด ที่มีความสำคัญต่อโคและกระบือในเขตร้อนชื้น ส่วนใหญ่พบในเอเชีย บางส่วนของออสเตรเลีย มาดากัสการ์ แอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณทะเลแคริบเบียน อเมริกาใต้ และ อเมริกากลาง รวมทั้ง เม็กซิโก เคยพบในสหรัฐอเมริกา ตามแนวชายแดนที่ติดต่อกับเม็กซิโก เห็บทุกระยะในชีพจักรต้องการเลือด เห็บระยะตัวอ่อน (larvae) ต้องดูดกินเลือดจนอิ่มตัวก่่อนจะลอกคราบเป็นระยะตัวกลางวัย (nymph) เห็บระยะตัวเต็มวัยจะเกาะและอาศัยบนตัวโคในทุกระยะของการเจริญเติบโต จากนั้นเพศเมียจะต้องกินเลือดจนอิ่มตัว (engorge) ก่่อนที่จะลงสู่พื้นเพื่อหาที่เหมาะสมในการวางไข่ สัตว์ที่มีเห็บเกาะดูดเลือดจำนวนมากจะส่งผลต่่อสุขภาพโดยตรง ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางในสัตว์อายุน้อยจะทำให้การเจริญเติบโตช้้า แคระแกรน ส่วนในสัตว์ที่โตเต็มที่อาจซูบผอม ผลผลิตน้ำนมลดลง นอกจากนี้เห็บยังเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงได้แก่โรค babesiosis anaplasmosis และ theileriosis.

ใหม่!!: สัตว์และเห็บโค · ดูเพิ่มเติม »

เห็ดรา

ห็ดรา (Fungus) คือสิ่งมีชีวิตใดๆ ในกลุ่มยูแคริโอต ซึ่งประกอบด้วยทั้งสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอย่างยีสต์และรา และสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่ออกผลคล้ายกับพืช เห็ด สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกจัดลงอยู่ในอาณาจักรเห็ดรา ซึ่งแยกออกจากสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์กลุ่มอื่นๆ ที่เป็นพืชและสัตว์ ลักษณะเฉพาะที่จัดเห็ดราให้อยู่แยกในอาณาจักรอื่นจากพืช แบคทีเรีย และโพรทิสต์บางชนิด คือ ไคตินที่ผนังเซลล์ เห็ดราเหมือนกับสัตว์ตรงที่เป็นสิ่งมีชีวิตเฮเทโรทรอพ กล่าวคือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับอาหารโดยการย่อยโมเลกุลอาหารให้มีขนาดเล็กพอกับเซลล์ และไม่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้เช่นกัน การเติบโตของเห็ดราแสดงถึงการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน ยกเว้นสปอร์ ที่อาจจะลอยไปตามอากาศหรือน้ำ เห็ดราเป็นผู้ย่อยสลายหลักในระบบนิเวศ ตามปกติเห็ดราโดยทั่วไปที่มีบรรพบุรุษร่วมกัน ที่ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนในอาณาจักรก็ตาม เรียกว่ายูเมโคตา (Eumycota) กลุ่มเห็ดรานี้แตกต่างจาก ไมเซโตซัว (ราเมือก) และโอไมซีต (ราน้ำ) ที่มีโครงสร้างคล้ายกัน การศึกษาเกี่ยวกับเห็ดรา เรียกว่า กิณวิทยา ในอดีตกิณวิทยาถูกจัดเป็นหนึ่งในสาขาของพฤกษศาสตร์ แม้ว่าทุกวันนี้จะเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า เห็ดรามีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกับสัตว์มากกว่าพืช เห็ดราพบได้ทั่วโลก แต่ส่วนมากไม่มีความโดดเด่นเพราะมีขนาดเล็ก และมีการพรางตัวในดินหรือบนสิ่งที่ตายแล้ว เห็ดราบางชนิดยังมีการพึ่งพาอาศัยจากพืช สัตว์ เห็ดราประเภทอื่นหรือกระทั่งปรสิต พวกมันจะเริ่มเป็นที่สังเกตได้เมื่อออกผลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเห็ดหรือราก็ตาม เห็ดรามีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายสารอินทรีย์และมีบทบาทโดยพื้นฐานในวัฏจักรสารอาหารและการแลกเปลี่ยนในธรรมชาติ พวกมันยังเป็นแหล่งอาหารโดยตรงมานานแล้ว ในรูปของเห็ด เป็นหัวเชื้อในการทำขนมปัง และในการหมักผลิตภัณฑ์หลายๆ อย่าง เช่น ไวน์ เบียร์ และซีอิ๊ว ตั้งแต่ช่วงคริสตทศวรรษที่ 1940 เห็ดราถูกนำมาใช้ในการแพทย์ เพื่อผลิตยาปฏิชีวนะ และล่าสุด นำมาใช้ผลิตเอนไซม์มากมาย ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมและในผงซักฟอก เห็ดรายังถูกใช้เป็นปราบแมลง โรคในพืช และวัชพืชต่างๆ สายพันธุ์มากมายของเห็ดราผลิตสารประกอบที่ออกฤทธิ์กับสิ่งมีชีวิต เรียกว่า ไมโซโทซิน เช่น อัลคาลอยด์และพอลิเคไทด์ ซึ่งเป็นพิษต่อสัตว์ รวมทั้งมนุษย์ โครงสร้างในบางสายพันธุ์ประกอบด้วยสารประกอบที่ออกฤทธิ์ต่อประสาท และถูกใช้บริโภค หรือในพิธีกรรมทางศาสนาแบบดั้งเดิม เห็ดรายังสามารถทำลายโครงร่างของวัตถุดิบและสิ่งก่อสร้างได้ และกลายเป็นเชื้อโรคแก่มนุษย์หรือสัตว์อื่นๆ การสูญเสียไร่เนื่องจากโรคทางเห็ดรา (เช่น โรคไหม้) หรืออาหารที่เน่าเสียสามารถมีผลกระทบขนาดใหญ่กับคลังอาหารของมนุษย์และระบบนิเวศโดยรอบ อาณาจักรเห็ดราประกอบไปด้วยความหลากหลายมากมายด้วยระบบนิเวศ การดำเนินชีวิต และสัณฐาน ตั้งแต่ไคทริดน้ำเซลล์เดียวไปจนถึงเห็ดขนาดใหญ่ ถึงกระนั้น ความหลากหลายทางชีวภาพที่แท้จริงของอาณาจักรเห็ดรายังไม่มีข้อมูลมากนัก ซึ่งได้มีการประมาณจำนวนสายพันธุ์ไว้ที่ 1.5 - 5 ล้านสายพันธุ์ โดยทีเพียง 5 % เท่านั้นที่ได้รับการจำแนกประเภทแล้ว นับตั้งแต่การสำรวจในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 โดยคาร์ล ลินเนียส คริสเตียน เฮนดริก เพอร์ซูน และเอเลียส แมกนัส ฟรีส์ เห็ดราได้ถูกจำแนกประเภทตามสัณฐาน (เช่นสีของสปอร์ หรือลักษณะในระดับเล็กๆ) หรือรูปร่าง ความก้าวหน้าในอณูพันธุศาสตร์ได้เปิดทางให้สำหรับการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ เพื่อจัดลำดับตามอนุกรมวิธาน ซึ่งบางครั้งได้ขัดแย้งกับกลุ่มพันธุ์ที่ได้จัดไว้ก่อนในอดีตแล้ว การศึกษาในไม่กี่คริสต์ศตวรรษที่ผ่านมาได้ช่วยให้มีการตรวจสอบการจัดจำแนกประเภทใหม่ภายในอาณาจักรเห็ดรา ซึ่งได้แบ่งออกเป็นหนึ่งอาณาจักรย่อย เจ็ดไฟลัม และสิบไฟลัมย่อ.

ใหม่!!: สัตว์และเห็ดรา · ดูเพิ่มเติม »

เห็ดหลุบ

ห็ดหลุบ (Haddon's sea anemone) เป็นสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลัง จำพวกดอกไม้ทะเลหรือซีแอนนีโมนชนิดหนึ่ง พบกระจายพันธุ์อยู่ตามแถบอินโด-แปซิฟิก เห็ดหลุบ เป็นดอกไม้ทะเลชนิดหนวดสั้น มีชื่อเรียกหนึ่งว่า "พังผืดทะเล" มีพฤติกรรมเหมือนดอกไม้ทะเลทั่วไป คือ จะบานเมื่อปราศจากสิ่งใดมารบกวน หากมีสิ่งรบกวนจะหุบตัวเข้ากับซอกหินที่ใช้เป็นที่เกาะ มีสีต่าง ๆ มากมายหลายสี เช่น สีเหลือง, เขียว, เทา หรือสีปริน ซึ่งเป็นสีที่หายาก ปลายหนวดลักษณะเป็นเม็ดกลม ๆ หากไปสัมผัสถูกเข้าจะเหนียวหนึบขาดติดกับมือมาได้เลย กินอาหารด้วยวิธีการสองวิธี คือ การสังเคราะห์แสงจากสาหร่ายซูแซนแทนลีที่อยู่ในเนื้อเยื่อ และจับเหยื่อเอาจากหนวดซึ่งได้แก่ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กและปลาวัยอ่อน อาศัยอยู่ตามพื้นทรายและกระจายพันธุ์ไปทั่วน่านน้ำเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของพื้นที่อินโด-แปซิฟิกตั้งแต่มอริเชียส, ฟิจิ, หมู่เกาะริวกิวทางใต้ของญี่ปุ่นไปถึงออสเตรเลีย ในทางชีววิทยาเห็ดหลุบเป็นดอกไม้ทะเลที่เป็นแหล่งที่พักพิงของสัตว์ทะเลหลายชนิด ทั้งปลาการ์ตูน เช่น ปลาการ์ตูนอานม้า (Amphiprion polymnus), ปลาการ์ตูนลายปล้องหางเหลือง (A. sebae), ปลาการ์ตูนลายปล้อง (A. clarkii), ปลาการ์ตูนครีบส้ม (A. chrysopterus), ปลาการ์ตูนแนวปะการัง (A. akindynos), ปลาการ์ตูนมอริเทียน (A. chrysogaster) รวมถึงปลาสลิดหินสามจุด (Dascyllus trimaculatus) ในวัยอ่อน และยังมีความสัมพันธ์กับสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลังชนิดอื่น ๆ เช่น กุ้งในสกุล Periclimenes, กุ้งชนิด Thor amboinensis หรือกุ้งเซ็กซี่ และปูดอกไม้ทะเล (Neopetrolisthes maculatus) โดยให้เป็นสถานที่หลบภัย ในประเทศไทย เห็ดหลุบยังเป็นอาหารพื้นบ้านของเกาะสมุยหรือเกาะพะงัน ในอ่าวไทย รวมถึงบริเวณอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง โดยสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารต่าง ๆ ได้โดยเฉพาะแกงคั่ว มีความกรุบกรอบ นอกจากนี้แล้วเห็ดหลุบยังเป็นที่ต้องการในเชิงการค้าโดยมักมีการลักลอบจับจากทะเลเพื่อนำไปเลี้ยงในตู้ปลาทะเล จึงเป็นสัตว์สงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเห็ดหลุบ · ดูเพิ่มเติม »

เห็ดทะเล

ห็ดทะเล (Mushroom anemones.) เป็นสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลังในไฟลัมไนดาเรียที่อยู่ในอันดับ Corallimorpharia พบอาศัยอยูในแนวปะการังน้ำตื้นของเขตร้อนทั่วโลก มีรูปรางคล้ายดอกไม้ทะเล (Actiniaria) มาก มีแผนปากกลม โดยแผ่นปากจะมีช่องปากอยู่ตรงกลาง และมีฐานสําหรับยึดเกาะ เห็ดทะเลบางชนิดจะมีหนวดที่รอบปากที่สั้นกวาดอกไมทะเลหรือบางชนิดก็ไมมีหนวดรอบปากหรือไม่สามารถมองเห็นจากภายนอกได้ เห็ดทะเลถูกแยกออกจากดอกไม้ทะเล เพราะเห็ดทะเลมีโครงสรางทางสรีรวิทยาของรางกายคล้ายกับปะการังโครงแข็ง (Scleractinia) มากกวาดอกไม้ทะเล แตอยางไรก็ตามเห็ดทะเลไมสามารถสร้างโครงสร้างของรางกายที่เปนหินปูนไดเหมือนกับปะการังโครงแข็ง ดังนั้นนักอนุกรมวิธานจึงแยกเห็ดทะเลไว้ในอันดับ Corallimorpharia เห็ดทะเลอาศัยและเจริญเติบโตบนก้อนหินหรือซากปะการังที่ตายแล้ว เป็นการดำรงชีวิตอยู่กับที่ไม่มีการเคลื่อนย้าย หรืออาจมีการเคลื่อนที่เล็กน้อยเพื่อความ อยู่รอดและการขยายพันธุ์ ในเนื้อเยื่อตามร่างกายของเห็ดทะเลจะมีสาหร่ายเซลล์เดียว คือ ซูแซนทาลี อาศัยอยู่และเป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพา เห็ดทะเลจะได้รับสารอาหารจากการสังเคราะห์แสงของซูแซนทาลีเป็นหลัก บางครั้งพบว่าซูแซนทาลีที่เจริญเติบโตมีจำนวนมากเกินไปเห็ดทะเลก็สามารถกรองกินซูแซนทาลีได้เช่นกัน โดยขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในขณะนั้น นอกจากนี้เห็ดทะเลบางชนิดยังสามารถจับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกินเป็นอาหารเช่น ลูกกุ้ง, ลูกปลา ซึ่งเป็นการกินอาหารอาหารของเห็ดทะเลอีกวิธีหนึ่ง เห็ดทะเลมีความสามารถในการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศได้ดีมาก ส่วนมากที่พบคือการแตกหน่อ เห็ดทะเลจะใช้ฐานเคลื่อนย้ายตัวเองออกจากตำแหน่งเดิมแต่จะทิ้งเนื้อเยื้อส่วนหนึ่งไว้เล็กน้อย เนื้อเยื่อเหล่านี้จะสามารถพัฒนาขึ้นเป็นเห็ดทะเลตัวใหม่ได้ พบว่าเห็ดทะเลบางชนิดที่มีความสมบูรณ์สามารถแตกหน่อได้ถึง 5–6 หน่อในระยะเวลา 1 ปี อีกวิธีหนึ่งที่พบเห็นทั่วไป คือ เห็ดทะเลจะปล่อยตัวเองออกจากวัสดุยึดเกาะ และล่องลอยไปกับกระแสน้ำเมื่อไปตกในสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เห็ดทะเลเหล่านั้นจะสามารถเจริญเติบโตต่อไป เห็ดทะเลมีสีสันสวยงาม และรูปร่างแปลกตา กอรปกับไม่ได้เป็นสัตว์ที่อยู่ในรายชื่อพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า จึงนิยมในการเก็บจากธรรมชาติเพื่อมาเลี้ยงไว้ในตู้ปลาทะเล ซึ่งปัจจุบันทางกรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์เห็ดทะเลเป็นที่สำเร็จได้แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และเห็ดทะเล · ดูเพิ่มเติม »

เห็ดทะเลหูช้าง

ห็ดทะเลหูช้าง (Elephant ear anemone) สัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลังชนิดหนึ่ง ในไฟลัมไนดาเรีย จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในสกุล Amplexidiscus เห็ดทะเลหูช้าง จัดเป็นเห็ดทะเลชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีลักษณะคล้ายกับเห็ดทะเลในสกุล Rhodactis แต่ต่างกันที่รายละเอียดของเข็มนีมาโตซีส มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่สุดถึง 50 เซนติเมตร มีเมนเซนเทอเรียลแทรกเข้ามาอย่างชัดเจน ขอบจานมีลักษณะเป็นลอน หนวดเจริญดี ขึ้นกระจายทั่วแผ่นจานยกเว้นบริเวณขอบจาน ปากเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน พบกระจายพันธุ์ในแนวปะการังเขตร้อนแถบอินโด-แปซิฟิกกินอาหารได้สองแบบ คือ การสังเคราะห์แสงจากสาหร่ายเซลล์เดียวซูแซนเทลลีที่มีอยู่จำนวนมากที่บริเวณขอบปาก ตลอดจนจับสัตว์ทะเลขนาดเล็ก ๆ หน้าดินหลายประเภท เช่น กุ้ง, หนอนทะเล, อิคีเนอเดอร์เมอเทอ หรือกระทั่งปลากินเป็นอาหารได้ เมื่อจับเหยื่อได้แล้วเห็ดทะเลหูช้างจะเริ่มกระบวนการย่อยอาหารด้วยเริ่มจากขอบจานไปสู่ปาก โดยเปลี่ยนรูปแบบของอาหารให้กลมเป็นลูกบอล.

ใหม่!!: สัตว์และเห็ดทะเลหูช้าง · ดูเพิ่มเติม »

เอบิลิซอรัส

วาดของเอบิลิซอรัส เอบิลิซอรัส (Abelisaurus) เป็นไดโนเสาร์เทอโรพอดในกลุ่มย่อยเอบิซอร์อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ในยุคครีเตเชียส เป็นสัตว์กินเนื้อสองเท้า มีความยาวประมาณ 7-9 เมตร (25-30 ฟุต) ถูกค้นพบในปีในปี ค.ศ.1995 โดยโรเบอร์โต้ อาเบล อดีตผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์Cipolletti ในประเทศอาร์เจนตินาในแคว้นปาตาโกเนี.

ใหม่!!: สัตว์และเอบิลิซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

เอชไอวี

วามหมายอื่น: อัลบั้มเพลงของ ไฮ-ร็อก ดูที่ HIV เอชไอวี (Human immunodeficiency virus, HIV) ไวรัสตระกูล Retrovirus เป็นสาเหตุของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ในกรณีของมนุษย์ จะทำให้ระบบภูมิต้านทานล้มเหลว และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ชื่อเดิมของไวรัสนี้ ได้แก่ human T-lymphotropic virus-III (HTLV-III), lymphadenopathy-associated virus (LAV), และ AIDS-associated retrovirus (ARV). เชื้อเอชไอวีสามารถติดต่อได้ทาง เลือด อสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด หรือน้ำนม ซึ่งภายในของเหลวที่ร่างกายสร้างขึ้นนี้ เชื้อเอชไอวีสามารถอยู่ได้ทั้งในสภาพอิสระในตัว และอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อ สาเหตุใหญ่ของการแพร่กระจายเชื้อ คือ การมีเพศสัมพันธ์โดยทีไม่ได้ป้องกัน เข็มฉีดยาที่ปนเปิ้อน การติดเชิ้อจากแม่สู่ลูกผ่านทางการให้น้ำนม เลือดที่ปนเปิ้อนเชื้อไวรัสเอชไอวีจากการบริจาคให้ธนาคารเลือด ในขณะนี้การติดเชื้อเอชไอวี ในมนุษย์จัดได้ว่าเป็นโรคระบาดร้ายแรง ซึ่งเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2006 องค์กรความร่วมมือเกี่ยวกับ HIV/AIDS (UNAIDS) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณการไว้ว่ามีผู้เสียชีวิตจากเอดส์มากกว่า 25 ล้านคนจากการตรวจพบในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1981 ทำให้เชื้อ HIV เป็นหนึ่งในการแพร่ระบาดที่เป็นสาเหตุการตายของมนุษย์ ที่ร้ายแรงที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์อีกเหตุการหนึ่ง นับจากภายหลังแบล็กเดธที่คร่าชีวิตประชากรยุโรปในสมัยกลางไปถึง 1 ใน 3 เชื้อ HIV ยังเป็นสาเหตุของการตายของมนุษย์ที่มีความเสียหายมากที่สุดในปี ค.ศ. 2005 มีการคาดการว่า มีผู้ติดเชื้อประมาณ 2.4 และ 3.3 ล้านคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และจำนวนมากกว่า 570,000 คนเป็นเด็ก.

ใหม่!!: สัตว์และเอชไอวี · ดูเพิ่มเติม »

เออร์มิน

ออร์มิน หรือ สโทธ หรือ เพียงพอนหางสั้น (Ermine, Stoat, Short-tailed weasel) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมกินเนื้อขนาดเล็กจำพวกวีเซล หรือเพียงพอน เออร์มิน เป็นสัตว์ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่ทวีปยุโรป, ยูเรเชีย และอเมริกาเหนือ เป็นสัตว์นักล่าที่หากินสัตว์ขนาดเล็กต่าง ๆ ไม่เลือก เป็นอาหาร เป็นสัตว์ที่ถูกล่าเพื่อนำหนังและขนทำเป็นเสื้อขนสัตว์ สีขนของเออร์มินจะเปลี่ยนไปเป็นสีขาวล้วนในช่วงฤดูหนาว สีขนโดยปกติจะเป็นสีน้ำตาลที่ส่วนหลัง บริเวณท้องซีดจางกว่า หางเป็นพุ่มพวงปลายหางแหลมเป็นสีดำ สามารถแบ่งออกได้เป็นชนิดย่อยทั้งสิ้น 37 ชนิด ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียมาก พฤติกรรมในธรรมชาติ ตัวเมียจะผสมพันธุ์ระหว่างเดือนกันยายนและพฤศจิกายนและมีระยะเวลาการตั้งท้องนาน 8-11 เดือน ออกลูกเพียงปีละครั้ง ครั้งหนึ่งประมาณ 6-13 ตัว มีพฤติกรรมอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจาย สามารถพบเห็นได้ตามหาดทรายจนถึงบนชนบทที่อยู่สูง โดยสามารถพบได้ในทุกความสูงจากระดับน้ำทะเล เออร์มินชอบที่จะอยู่ในป่าที่เป็นถิ่นกำเนิดดั้งเดิม, ป่าละเมาะ, เนินทราย และพุ่มหญ้า จัดเป็นสัตว์ที่มีความว่องไวมากและจากการที่เป็นสัตว์ที่กินอาหารไม่เลือก จึงสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้แก่นก และสัตว์อื่น ๆ เพราะสามารถล่านกตลอดจนไข่กินเป็นอาหารได้ และจัดเป็นสัตว์รังควานอีกชนิดหนึ่ง เออร์มินได้ถูกนำเข้าไปในนิวซีแลนด์ ซึ่งดั้งเดิมไม่เคยมีสัตว์กินเนื้อมาก่อน ปัจจุบันเออร์มินได้กลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นไปแล้ว ที่คุกคามสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นที่มีเฉพาะในนิวซีแลนด์หลายชนิด เช่น นกกีวี หรือนกแก้วคาคาโป โดยเออร์มินจะเข้าไปกินไข่หรือล่าตัวอ่อนนกเหล่านี้ ซึ่งเป็นนกบินไม่ได้เป็นอาหาร อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการใกล้สูญพัน.

ใหม่!!: สัตว์และเออร์มิน · ดูเพิ่มเติม »

เอาชีวิตรอด

อาชีวิตรอด (살아남기; Survival) เป็นหนังสือการ์ตูนความรู้จากประเทศเกาหลีใต้ ที่แทรกเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และวิธีการเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆที่อาจจะเกิดกับตัวเรา จัดพิมพ์ฉบับลิขสิทธิ์ภาษาไทยโดย สำนักพิมพ์นานมี.

ใหม่!!: สัตว์และเอาชีวิตรอด · ดูเพิ่มเติม »

เอป

อป หรือ ลิงไม่มีหาง (Ape) เป็นไพรเมตที่อยู่ในวงศ์ใหญ่ Hominoidea ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นอีก 2 วงศ์ เอป คือ ลิงที่ไม่มีหาง มีแขนที่ยาวกว่าลิงในวงศ์อื่น ๆ มีนิ้วที่ใช้ในการหยิบจับและใช้ประโยชน์คล้ายคลึงกับมนุษย์มากกว่าสัตว์ในอันดับลิงใด ๆ สามารถเดินตัวตรงได้ สันนิษฐานว่าเอปนั้นวิวัฒนาการมาจากลิงโลกเก่า เอปในปัจจุบันมีเพียง 4 จำพวกเท่านั้น พบในทวีปแอฟริกา และเอเชียแถบเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ชิมแปนซี, กอริลลา, อุรังอุตัง และชะนี จากการศึกษาสารพันธุกรรมพบว่า กอริลล่าและชิมแปนซีมีความใกล้ชิดทางสายวิวัฒนาการกับมนุษย์มากกว่าเอปที่พบในทวีปเอเชีย ซึ่งได้แก่ ชะนีและอุรังอุตัง ซึ่งมีจำนวนโครโมโซม 48 อัน ในขณะที่มนุษย์มี 46 อัน โดยเฉพาะชิมแปนซีนั้น มีหมู่โลหิตแบ่งได้เป็น A, B, O เช่นเดียวกับมนุษย์ และจากหลักฐานทางชีววิทยาระดับโมเลกุลพบว่าดีเอ็นเอของมนุษย์มีความคล้ายกันกับชิมแปนซีถึงร้อยละ 98.4 นอกจากนี้แล้วจากหลักฐานดังกล่าวยังทำให้สันนิษฐานได้ว่าบรรพบุรุษของมนุษย์ วิวัฒนาการแยกจากลิงไม่มีหางเมื่อประมาณ 7.5-4 ล้านปีที่ผ่านมา ซึ่งลิงไม่มีหางจัดได้ว่าเป็นสัตว์ที่มีความเฉลียวฉลาดมากกว่าสัตว์จำพวกใด ๆ ในโลก.

ใหม่!!: สัตว์และเอป · ดูเพิ่มเติม »

เอปตาเซีย

อปตาเซีย หรือ ดอกไม้ทะเลแก้ว หรือ แอนนีโมนแก้ว (Glass anemones, Glassrose anemones, Rock anemones) เป็นสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกดอกไม้ทะเลสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Aiptasia จากการสำรวจเมื่อปี ค.ศ. 1831 พบว่าเอปตาเซียมีจำนวนทั้งหมด 17 ชนิด โดยสามารถพบได้ทั่วไปในทะเลเขตร้อน และกึ่งเขตร้อนทั่วไป จำนวนชนิดของเอปตาเซียส่วนใหญ่จะกระจายอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ขณะที่ด้านมหาสมุทรแปซิฟิกมี 2 ชนิด คือ Aiptasia californica และA. pulchella ที่พบได้เฉพาะมหาสมุทรแห่งนี้ เอปตาเซียมีลักษณะทางกายวิภาค คือ มีรูปร่างคล้ายต้นปาล์ม เจริญเป็นตัวเดี่ยว ๆ หรืออาจพบเจริญเป็นกลุ่ม แต่จะไม่มีเนื้อเยื่อเชื่่อมถึงกันเหมือนกับปะการัง เนื้อเยื่อทั้งตัวของเอปตาเซียเรียกว่า โพลิป ซึ่งในโพลิปจะประกอบด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และเอปตาเซีย · ดูเพิ่มเติม »

เอไคยูรา

เอไคยูรา (Echiura) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีลักษณะร่วมกับไฟลัมไซปันคูลา โดยจะมีลักษณะต่างกันคือ มีระบบหมุนเวียนเลือดที่แท้จริง กินเศษซากสัตว์ในท้องทะเล ส่วนหัวไม่สามารถหดเข้าได้ และลำตัวมีลักษณะคล้ายช้อน จึงได้ชื่อว่า "หนอนช้อน" หมวดหมู่:สัตว์ หมวดหมู่:สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ja:ユムシ.

ใหม่!!: สัตว์และเอไคยูรา · ดูเพิ่มเติม »

เอ็ดมอนโตซอรัส

อ็ดมอนโตซอรัส (Edmontosaurus) เป็นพวกไดโนเสาร์ปากเป็ดชนิดหนึ่ง ฟอสซิลของมันพบในทวีปอเมริกาเหนือ อาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนปลาย เมื่อประมาณ 73 ล้านปี ถึง 65 ล้านปีก่อน มันเป็นเหยื่อของนักล่าอย่างไทรันโนซอรัสและอยู่ร่วมยุคกับไทรเซอราทอปส์ เอ็ดมอนโตซอรัส เป็นหนึ่งในพวกแฮดโดรซอร์ริเด (ไดโนเสาร์ปากเป็ด) ที่ใหญ่ที่สุด ความยาวของมันวัดได้ถึง 13 เมตร (43 ฟุต) และมีน้ำหนักประมาณ 4.0 ตันมันเป็นที่รู้จักกันจากตัวอย่างฟอสซิล ที่มีสภาพสมบูรณ์ มันมีญาติอย่างอนาโตไททัน (Anatotitan) ซึ่งอาศัยอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน ฟอสซิลชิ้นแรกของมัน ถูกค้นพบในภาคใต้ ของรัฐอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา ในปี 1917 เอ็ดมอนโตซอรัส มีชื่อก่อนหน้านี้ว่า annectens ซึ่งตั้งโดย โอลเนียท ชาล มาร์ชในปี..

ใหม่!!: สัตว์และเอ็ดมอนโตซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

เอ๋อเหมยซอรัส

อ๋อเหมยซอรัส (Omeisaurus; 峨嵋龙) เป็นไดโนเสาร์ซอโรพอดขนาดเล็ก ค้นพบฟอสซิลที่ภูเขาเอ๋อเหมย ประเทศจีน ขนาดประมาณ 10-21เมตร ค้นพบในปี..

ใหม่!!: สัตว์และเอ๋อเหมยซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

เฮลล์เบนเดอร์

ลล์เบนเดอร์ (Hellbender, Hellbender salamander) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำขนาดใหญ่ จำพวกซาลาแมนเดอร์ยักษ์ชนิดหนึ่ง นับเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Cryptobranchus เฮลล์เบนเดอร์ เป็นซาลาแมนเดอร์ยักษ์เพียงชนิดเดียวที่พบได้ในสหรัฐอเมริกา และเป็นซาลาแมนเดอร์ยักษ์ 1 ใน 3 ชนิดที่สืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลากว่า 300 ล้านปีมาแล้ว โดยที่ชื่อ "เฮลล์เบนเดอร์" นั้น มีความหมายว่า "เลื้อยมาจากนรก" โดยไม่ทราบสาเหตุที่มาของชื่อนี้ ขณะที่ชื่อสกุลมาจากภาษากรีกโบราณคำว่า kryptos หมายถึง "หลบซ่อน" และ branchion หมายถึง "เหงือก" นอกจากนี้แล้วยังมีชื่อสามัญอื่น ๆ อีก เช่น "นากเมือก" (Snot otter), "หมาปีศาจ" (Devil dog) และ "ปีศาจโคลน" (Mud-devil) เป็นต้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเชื่อกันว่า เฮลล์เบนเดอร์เป็นสัตว์มีพิษและเป็นภัยคุกคามต่อการประมง เฮลล์เบนเดอร์มีลักษณะคล้ายกับซาลาแมนเดอร์ยักษ์ที่พบในจีน และญี่ปุ่น คือ มีส่วนหัวแบนที่กว้างและแผ่แบน รอบ ๆ ปากมีตุ่มที่เป็นประสาทสัมผัสตรวจจับการสั่นสะเทือนของน้ำ ตามีขนาดเล็ก ปากกว้าง มุมปากยาวจากตาข้างหนึ่งจรดตาอีกข้างหนึ่ง ลำตัวแบนเรียวยาว หางมีแผ่นครีบ และไวต่อความรู้สึก ผิวหนังย่นเพื่อใช้ในการหายใจแลกเปลี่ยนออกซิเจน เพราะเป็นซาลาแมนเดอร์ที่ใช้ผิวหนังในการหายใจ แต่ทว่ามีความยาวน้อยกว่า โดยเฮลล์เบนเดอร์โตได้เต็มที่ประมาณ 2 ฟุต หรือ 75 เซนติเมตร มีอายุได้ยาวนานถึง 30 ปี เฮลล์เบนเดอร์ อาศัยอยู่ในลำธารน้ำที่ไหลแรงและสะอาด มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำสูง ในป่าทึบบนภูเขาที่ห่างไกลของสหรัฐอเมริกา เมื่อถูกคุกคามจะปล่อยเมือกจำนวนมากที่มีรสชาติขม เพื่อป้องกันมิให้ถูกกินจากสัตว์นักล่า เฮลล์เบนเดอร์ตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลไข่และตัวอ่อน ตัวอ่อนจะมีพู่เหงือกภายนอกเหมือนกับซาลาแมนเดอร์หลายชนิดทั่วไป ออกหากินในเวลากลางคืน โดยกินสัตว์น้ำต่าง ๆ เช่น เครย์ฟิช เป็นอาหาร ในขณะที่ยังเป็นตัวอ่อนจะกินแมลงน้ำ ในเวลากลางวันจะหลบซ่อนตัวอยู่ภายในโพรงหินหรือใต้ก้อนหิน เนื่องจากมีลำตัวและส่วนหัวที่แบน เพื่อป้องกันตัวเองและมิให้ถูกกระแสน้ำพัดไป เพราะเฮลล์เบนเดอร์โดยเฉพาะที่ยังเป็นตัวเล็กจะตกเป็นอาหารของสัตว์อื่นได้ เช่น เต่า หรืองู รวมถึงปลาเทราต์ เฮลล์เบนเดอร์ตะวันตก หรือเฮลล์เบนเดอร์โอซาร์คส์ เฮลล์เบนเดอร์แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย คือ ชนิดตะวันออก และชนิดตะวันตก โดยชนิดตะวันออกนั้นยังมีจำนวนประชากรมากอยู่และปลอดภัยจากการถูกคุกคาม แต่ในชนิดตะวันตก โดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในภูเขาโอซาร์คส์ ทางแถบตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา มีจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมากว่า 30 ปีแล้ว ตั้งแต่ทศวรรษที่ 70 จากการถูกจับไปเป็นสัตว์เลี้ยง รวมถึงภัยคุกคามอย่างอื่น ได้แก่ มลภาวะในน้ำ และเชื้อราไคทริด ที่เป็นภัยคุกคามสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกในปัจจุบัน เฮลล์เบนเดอร์ที่ติดเชื้อรานี้จะทำให้เกิดแผลต่าง ๆ ตามร่างกาย ทำให้นิ้วตีนกุดหรือขาดไป และตายในที่สุด แม้จะสามารถงอกอวัยวะใหม่ได้เมื่อขาดไป แต่หากกระดูกภายในได้หักไปแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะงอกใหม่ได้อีก หรือแม้แต่เฮลล์เบนเดอร์ที่มีจำนวนนิ้วงอกมากกว่าปกติก็มี ซึ่งเชื้อราไคทิรดนี้เชื่อว่าแพร่ระบาดมาจากกบที่นำเข้ามาจากแอฟริกา เพื่อเป็นสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้แล้วยังโดนคุกคามจากปลาเทราต์ ซึ่งเป็นปลากินเนื้อขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ ปลาเทราต์สีน้ำตาล เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เฮลล์เบนเดอร์ตะวันตกต้องพิการ ในปัจจุบัน ได้มีการให้ทุนจากกรมประมงและสัตว์ป่า สหรัฐอเมริกา (FWS) แก่ผู้ที่ทำการวิจัยและฝึกเฮลล์เบนเดอร์ในวัยอ่อนให้ระวังการจู่โจมของปลาเทราต์สีน้ำตาล ในสถานที่เลี้ยง ก่อนที่จะนำปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติต่อไป โดยให้เฮลล์เบนเดอร์รู้จักหลบเลี่ยงเมื่อได้กลิ่นของปลาเทราต์The Hellbender, "Nick Baker's Weird Creatures".

ใหม่!!: สัตว์และเฮลล์เบนเดอร์ · ดูเพิ่มเติม »

เฮสเปอร์รอร์นิส

ปอร์รอร์นิส (Hesperornis) เป็นนกที่ปรับตัวลงไปอาศัยอยู่ในน้ำ พวกมันอยู่ในช่วงยุคครีเทเชียส สัตว์ในสกุลเฮสเปอร์รอร์นิส ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และเฮสเปอร์รอร์นิส · ดูเพิ่มเติม »

เฮอร์รีราซอรัส

อรีราซอรัส (Herrerasaurus) มีชีวิตอยู่ในช่วงต้น ของยุคไทรแอสสิค พบในทวีปอเมริกาใต้ เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในยุคไทรแอสสิค ความ ยาว 5 เมตร คล้ายนก ฟันมีลักษณะแหลมคม คอสั้น กระดูกต้นขายาว กว่ากระดูกหน้าแข้ง มีนิ้วเท้า 4 นิ้ว กระดูกสะโพกชิ้นหน้าเอียงไปทางด้านหลังค่อนข้าง คล้ายกับไดโนเสาร์ที่มีสะโพกเหมือนนก ชื่อของมันมีความหมายว่า กิ้งก่าเฮอร์รีร.

ใหม่!!: สัตว์และเฮอร์รีราซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

เฮดจ์ฮอก

อก (hedgehog) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดเล็กที่อยู่ในวงศ์ย่อย Erinaceinae ในวงศ์ใหญ่ Erinaceidae เฮดจ์ฮอก มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับเม่น ซึ่งเป็นสัตว์ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) ซึ่งอยู่กันคนละอันดับกัน คือ ด้านหลังของลำตัวปกคลุมไปด้วยขนที่มีลักษณะแข็งคล้ายหนาม ซึ่งไว้สำหรับป้องกันตัว แต่เฮดจ์ฮอกมีขนาดที่เล็กกว่ามาก และมีหนามที่สั้นกว่ามาก โดยขนของเฮดจ์ฮอกมีลักษณะเล็กแข็งคล้ายเสี้ยนหรือหนามมากกว่า มีส่วนใบหน้าคล้ายหนู แต่มีจมูกที่เรียวยาวที่ขมุบขมิบสำหรับดมกลิ่นอยู่ตลอด ขนของเฮดจ์ฮอกตลอดทั้งตัวมีประมาณ 7,000 เส้น ในเส้นขนมีลักษณะกลวงแต่แข็งแรงด้วยสารประกอบเคราติน จึงมีน้ำหนักเบา และซับซ้อนเพื่อช่วยในการรับแรงกระแทกของสัตว์ใหญ่ที่เข้ามาจู่โจมหรือรับแรงกระแทกหากตัวเฮดจ์ฮอกต้องตกจากที่สูงPets 101- Hedgehogs, ทางอนิมอลพลาเน็ต.

ใหม่!!: สัตว์และเฮดจ์ฮอก · ดูเพิ่มเติม »

เฮดจ์ฮอกยุโรป

อกยุโรป หรือ เม่นแคระยุโรป (European hedgehog, Common hedgehog) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกเฮดจ์ฮอก (Erinaceinae) เป็นเฮดจ์ฮอกที่มีขนาดใหญ่ มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 18-30 เซนติเมตร หางยาวประมาณ 1.7-5 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 600-800 กรัม มีขนแข็งปกติและยาวมีขนปกคลุมหนามากกว่า 3 เซนติเมตร ขนที่ใต้ท้องเป็นขนอ่อนสีเทา ส่วนที่เป็นขนแข็งสีดำหรือสีน้ำตาลอ่อน พบพระจายพันธุ์ในยุโรปตะวันออก, ตะวันตก, ยุโรปใต้ และบางส่วนในรัสเซีย กินอาหารได้หลากหลายทั้งแมลง, ไส้เดือนดิน, ไข่นก, แมลงปีกแข็ง รวมทั้งหนูหรือกบด้วย ออกหากินในเวลากลางคืน อาศัยและทำรังในโพรงดินที่ขุดเอง นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และเฮดจ์ฮอกยุโรป · ดูเพิ่มเติม »

เฮดจ์ฮอกสี่นิ้ว

อกสี่นิ้ว หรือ เฮดจ์ฮอกแคระแอฟริกา (Four-toed hedgehog, African pygmy hedgehog) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จำพวกเฮดจ์ฮอก (Erinaceinae) เป็นเฮดจ์ฮอกขนาดเล็ก มีขนาดความยาวลำตัวประมาณ 15 เซนติเมตร หางมีความยาว 2.5 เซนติเมตร น้ำหนัก 500-700 กรัม มีนิ้วที่เท้าหน้า 5 นิ้ว นิ้วเท้าหลัง 4 นิ้ว ขนปกคลุมลำตัวมีความยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร เป็นสีขาวและเทา ส่วนท้องและขาเป็นสีขาว กระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกาแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันออก เช่น แกมเบีย, โซมาเลีย, โมซัมบิก อาศัยในถิ่นที่มีอากาศแห้ง แบบซาวันน่า มีต้นไม้เพียงเล็กน้อย เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน กินอาหารเช่น แมงมุม, แมลง, พืชบางชนิด, หอยทาก บางครั้งอาจกินแมงป่องหรืองูพิษได้ด้วย เนื่องจากมีรายงานว่ามีความทนทานต่อพิษของสัตว์เหล่านี้ แต่เฮดจ์ฮอกสี่นิ้วก็ตกเป็นอาหารของสัตว์ใหญ่กว่า เช่น ไฮยีน่า, หมาจิ้งจอก รวมทั้งนกเค้าแมวด้วย เฮดจ์ฮอกสี่นิ้วได้รับความนิยมในฐานะเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างแพร่หลาย และเป็นชนิดที่ได้รับความนิยมในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และเฮดจ์ฮอกสี่นิ้ว · ดูเพิ่มเติม »

เฮเทโรทรอพ

ทโรทรอพ (Heterotroph เป็นคำสมาสภาษากรีกมาจากคำว่า heterone แปลว่าผู้อื่น และ troph แปลว่าโภชนาการ) คือสิ่งมีชีวิตที่ต้องการอินทรียสารจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เป็นแหล่งคาร์บอนเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เฮเทโรทรอพ หรือเรียกกันว่าผู้บริโภคในห่วงโซ่อาหาร เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ ซึ่งตรงข้ามกับออโตทรอพที่ต้องการแค่แหล่งพลังงานหรือแหล่งคาร์บอนที่มาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือไบคาร์บอเนตก็สามารถสร้างอาหารเองได้ โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร สัตว์ทุกชนิดถือว่าเป็นเฮเทโรทรอพ เช่นเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตจำพวกเห็ดราหรือฟังไจ รวมถึงแบคทีเรียหลายสายพันธุ์ และยังมีพืชประเภทกาฝากบางชนิดที่กลายไปเป็นเฮเทโรทรอพบางส่วน หรือเฮเทโรทรอพเต็มตัวก็มี แต่ในขณะที่พืชกินเนื้อนำเหยื่อที่เป็นแมลงไปเป็นแหล่งไนโตรเจนของพวกมัน แต่พืชจำพวกนี้ก็ยังถือว่าเป็นออโตทรอพ สิ่งมีชีวิตจำพวกเฮเทโรทรอพนั้นไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ ดังที่กล่าวข้างต้น นั่นคือ ความไม่สามารถในการสังเคราะห์อินทรียสารที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลักจากแหล่งอนินทรียสารในสิ่งแวดล้อมได้ (ดังเช่นการที่สัตว์ไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ต่างจากพืชที่สามารถทำได้) และจึงต้องอาศัยแหล่งอาหารที่มาจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งออโตทรอพ และเฮเทโรทรอพ การที่จะกำหนดว่าสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใดที่อยู่ในจำพวกเฮเทโรทรอพ สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์นั้นจะต้องอาศัยคาร์บอนมาจากอินทรียสารหรือสิ่งชีวิตอื่น แม้ว่าสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์นั้นจะอาศัยไนโตรเจนมาจากอินทรียสารหรือสิ่งมีชีวิตอื่น แต่ยังคงอาศัยคาร์บอนจากอนินทรียสาร ก็ยังถือว่าสายพันธุ์นั้นเป็นออโตทรอพ ถ้าสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใดๆ อาศัยคาร์บอนจากอินทรียสารหรือสิ่งมีชีวิตอื่น จะสามารถแบ่งเฮเทโรทรอพย่อยลงมาตามแหล่งพลังงานของแต่ละสายพันธุ์ได้อีก 2 ประเภทคือ.

ใหม่!!: สัตว์และเฮเทโรทรอพ · ดูเพิ่มเติม »

เจมส์บอก

มส์บอก หรือ เจมส์บัก (gemsbok, gemsbuck) เป็นแอนทิโลปจำพวกออริกซ์ชนิดหนึ่ง จัดเป็นแอนทิโลปขนาดใหญ่ มีรูปร่างกำยำล่ำสัน ดูมีพละกำลัง โดยที่ชื่อ "เจมส์บอก" ในภาษาอังกฤษมาจากภาษาแอฟริคานส์คำว่า gemsbok ซึ่งมาจากภาษาดัตช์ที่หมายถึงชื่อของชามอยส์ตัวผู้ เนื่องจากมีลักษณะคล้ายคลึงกัน (โดยเฉพาะรูปแบบใบหน้า) แต่ทั้งนี้ชามอยส์และออริกซ์เป็นสัตว์ที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยออกเสียงตามปกติในภาษาอังกฤษว่า ในอดีตเคยถูกจัดให้มีอีกหนึ่งชนิดย่อย คือ ไบซาออริกซ์ หรือออริกซ์แอฟริกาตะวันออก (O. beisa) แต่ปัจจุบันได้ถูกแยกออกมาเป็นชนิดต่างหาก ตัวผู้มีน้ำหนักตัวประมาณ 170–210 กิโลกรัม ตัวเมีย 140–185 กิโลกรัม ความสูงจากปลายกีบเท้าจรดหัวไหล่ 1.2 เมตร ความยาวลำตัว 2 เมตร ความยาวหาง 85 เซนติเมตร อายุโดยเฉลี่ย 12–15 ปี มีลักษณะเด่น คือ ปลายเขาที่แหลมยาวนั้นเป็นคู่ถ่างกางออก และมีแถบสีดำคล้ายปานขนาดใหญ่ที่บั้นท้ายลำตัวและที่โคนขาทั้งหน้าและหลัง และยังมีแผ่นหนังสีดำยาวใหญ่พาดเฉียงอยู่เหนือท้องทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นความแตกไปจากไบซาออริกซ์ อีกทั้งลำตัวก็บึกบึนกว่า และยังมีแถบสีดำครอบคลุมบริเวณใบหน้ามากกว่า เจมส์บอกพบได้ทั่วไปในตอนใต้ของแอฟริกา เช่น แอฟริกาใต้, นามิเบีย, บอทสวานา มักอาศัยอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นทุ่งหญ้าแห้งแล้ง เช่น พื้นที่กึ่งทะเลทรายและทะเลทราย เช่น ทะเลทรายนามิบ, ทะเลทรายคาลาฮารี พบเป็นจำนวนมากในอุทยานแห่งชาติอีโตซา และอุทยานแห่งชาตินามิบ-นูคลัฟต์ ในนามิเบีย ซึ่งที่นี่เจมส์บอกได้ปรากฎอยู่ในตราแผ่นดินของนามิเบีย ด้วยเป็นสัตว์ที่มีปริมาณมากถึง 373,000 ตัว โดยในธรรมชาติจะตกเป็นอาหารของสัตว์นักล่า เช่น สิงโต, ไฮยีนา และหมาป่าแอฟริก.

ใหม่!!: สัตว์และเจมส์บอก · ดูเพิ่มเติม »

เจนเพต

นเพต (Genpet) เป็นงานศิลปะแนวสื่อผสมผสาน โดยศิลปินชื่อ Adam Brandejs Genpet เป็นผลงานเกี่ยวกับของเล่นที่เป็นสัตว์จริงๆซึ่งทั้งหายใจได้ กินได้ และมีอารมณ์เหมือนสัตว์จริงๆ โดยบริษัทไบโอเทค (Biotech) ซึ่งเหมือนกับให้เด็กเล่นเป็นบทพระเจ้าซึ่งเป็นที่ฮือฮาพอสมควรในตอนแรกที่ออกใหม่ๆ แต่ที่น่าสนใจคือศิลปินได้ทำให้มันเหมือนเกิดขึ้นจริงๆโดยทำทั้งการทำตัว เจนเพตหลอกๆขึ้น และทั้งการตั้งร้านขาย เจนเพตขึ้น รวมไปถึงการตั้งเว็บไซต์ ของ เจนเพตขึ้นด้วย แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องหลอกขึ้นทั้งนั้นจนได้รับการเข้าพิพิธภัณฑ์สิ่งหลอกลวงหรือ hoax of exposure.

ใหม่!!: สัตว์และเจนเพต · ดูเพิ่มเติม »

เธอเรีย

อเรีย (Theria) เป็นชั้นย่อยของชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ประกอบไปด้วยยูเธอเรีย (รวมทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ตัวอ่อนอยู่ในมดลูก) และเมทาเธอเรีย (รวมถึงมาร์ซูเปียล) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับย่อยเธอเรียให้กำเนิดลูกเป็นตัว อาจจะเป็นผลมาจากโปรตีนที่ชื่อ ซินไซทิน ซึ่งทำให้มีการแลกเปลี่ยนสารอาหารระหว่างแม่และตัวอ่อนผ่านทางรก ฟอสซิลเธอเรียที่เก่าแก่ที่สุด คือ Juramaia ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงกลางยุคจูแรสซิก บริเวณประเทศจีน แต่ข้อมูลทางโมเลกุลบอกว่าเธอเรียอาจจะวิวัฒนาการมาก่อนหน้านั้น ประมาณช่วงต้นยุคจูแรสซิก.

ใหม่!!: สัตว์และเธอเรีย · ดูเพิ่มเติม »

เทอริสิโนซอรัส

ทอริสิโนซอรัส (Therizinosaurus) เป็นไดโนเสาร์กลุ่มเทอโรพอดชนิดหนึ่ง โดยสายพันธุ์นี้จะไม่กินเนื้อ แต่จะกินพืช มันกินพืชเพราะลักษณะของฟันมัน ทำให้เทอริสิโนซอรัส เป็นไดโนเสาร์เทอโรพอดที่กินพืช เทอริสิโนซอรัสอาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสเมื่อ 72-68 ล้านปีก่อน ค้นพบฟอสซิลที่ประเทศจีน มองโกเลีย และตะวันออกกลาง.

ใหม่!!: สัตว์และเทอริสิโนซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

เทอโรซอร์

ทอโรซอร์ (Pterosaur; จากภาษากรีก "πτερόσαυρος", "pterosauros", หมายถึง "กิ้งก่ามีปีก") เป็นสัตว์เลื้อยคลานกลุ่มหนึ่ง ที่ชีวิตและอาศัยอยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับไดโนเสาร์ มีลักษณะพิเศษคือ สามารถบินได้ โดยใช้ปีกขนาดใหญ่ที่มีพังผืดเหมือนค้างคาวเป็นอวัยวะสำคัญ ปัจจุบันนี้ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วพร้อมกับไดโนเสาร์ เทอโรซอร์ จัดอยู่ในอันดับ Pterosauria โดยมักจะถูกเรียกว่า "ไดโนเสาร์บินได้" แต่ทั้งนี้เทอโรซอร์มิได้จัดว่าเป็นไดโนเสาร์แต่อย่างใด เหมือนกับ เพลสิโอซอร์, โมซาซอร์ หรืออิกทิโอซอรัส ที่พบในทะเลและมหาสมุทร นอกจากนี้แล้วเทอโรซอร์ยังเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่ง คือ เทอโรแดกทิล โดยคำว่าเทอโรแดกทิลนั้นหมายถึงเทอโรซอร์ในระยะหลังที่มีขนาดใหญ่ และไม่มีฟัน และในทางเทคนิคจะหมายถึงเทอโรซอร์ในสกุล เทอโรแดกทิลัส เทอโรซอร์มีชีวิตอยู่ในช่วงมหายุคมีโซโซอิก สืบทอดเผ่าพันธุ์และครองโลกมาอย่างยาวนานถึง 162 ล้านปี ก่อนจะสูญพันธุ์ไปทั้งหมดในช่วงยุคครีเตเชียสตอนปลายเช่นเดียวกับไดโนเสาร์ ปัจจุบัน นักบรรพชีวินวิทยาได้จำแนกความหลากหลายของเทอโรซอร์ออกได้มากกว่า 200 ชนิด มีความแตกต่างหลากหลายกันออกไปในแต่ละชนิดหรือแต่ละวงศ์ เทอโรซอร์ถูกค้นพบครั้งแรกในรูปแบบซากดึกดำบรรพ์ในยุคศตวรรษที่ 19 ซากดึกดำบรรพ์ของเทอโรซอร์พบได้ในทั่วทุกภูมิภาคของโลก เทอโรซอร์ที่เก่าแก่ที่สุดถือกำเนิดในยุคไทรแอสซิกเมื่อ 228 ล้านปีก่อน โดยบรรพบุรุษของเทอโรซอร์นั้นมีรูปร่างเล็กมาก โดยมีขนาดพอ ๆ กับนกกระจอกในยุคปัจจุบัน เช่น พรีออยแดกกิลุส บัฟฟารีนีโอ ที่มีความกว้างของปีกแค่ 0.5 เมตร เชื่อกันว่าอาศัยอยู่ในป่าทึบกินแมลง เช่น แมลงปอ เป็นอาหาร หรือแครีเรมัส เซซาพลาเนนซิส ที่มีความกว้างของปีก 1 เมตร เทอโรซอร์ในยุคแรกจะมีขนาดลำตัวเล็ก บางจำพวกมีหางยาว เช่น ดิมอร์โฟดอน แมโครนิกซ์ ที่มีความกว้างของปีก 1.2 เมตร น้ำหนัก 1.8 กิโลกรัม มีหางยาวที่แข็ง คอสั้น หัวมีขนาดใหญ่ มีฟันแหลมคม และกระดูกกลวงบางส่วน ทั้งนี่้เชื่อว่าเทอโรซอร์วิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก ๆ ที่กระโดดหรือใช้ชีวิตอยู่บนต้นไม้เป็นหลักด้วยการหากินและหลบหลีกศัตรู เทอโรซอร์ ได้วิวัฒนาการมาเป็นลำดับขั้นตามยุคสมัยไปเรื่อย ๆ เช่น ยุคจูแรสซิก จนกระทั่งถึงยุคครีเตเชียส เทอโรซอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ เคตซัลโคแอตลัส นอร์โทรพี มีความสูงเท่า ๆ กับยีราฟ มีความกว้างของปีก 10.5 เมตร พอ ๆ กับเครื่องบินรบเอฟ-16 น้ำหนักตัวถึง 200 กิโลกรัม เฉพาะส่วนหัวรวมถึงจะงอยปากด้วยก็ยาวถึง 3 เมตรแล้ว จัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่บินได้ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา และเชื่อว่าชอบที่จะกินลูกโดโนเสาร์เป็นอาหาร ตามหลักฐานจากการศึกษาซากดึกดำบรรพ์พบว่า เทอโรซอร์ในยุคหลังนั้นมีขนปกคลุมลำตัวบาง ๆ ด้วย จึงเชื่อกันว่าน่าจะเป็นสัตว์เลือดอุ่น ทั้งนี้มีไว้เพื่อเป็นเสมือนฉนวนกักความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย เช่น เจโฮลอปเทอรัส ที่พบในจีน ซึ่งมีลักษณะปากกว้างคล้ายกบ เป็นต้น เทอโรซอร์ใช้ลักษณะการบินแบบเดียวกับค้างคาว เมื่ออยู่กับพื้นจะใช้วิธีการทะยานตัวออกไปจากท่ายืนสี่เท้าโดยรยางค์ของร่างกาย มีตีนขนาดเล็กเพื่อช่วยลดแรงต้าน เมื่อบินสามารถปรับเปลี่ยนท่าทางการบินได้เล็กน้อย เช่น การหดกล้ามเนื้อปีก หรือขยับข้อเท้าเข้าและออก การเปลี่ยนมุมกระดูกข้อปีก เป็นต้น เมื่อเทียบกับนกแล้ว เทอโรซอร์ยังมีกล้ามเนื้อสำหรับการบินมากกว่า และมีสัดส่วนของน้ำหนักร่างกายมากกว่า แม้แต่สมองก็ดูเหมือนจะวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อการบิน โดยมีกลีบสมองขยายใหญ่ขึ้นเพื่อประมวลผลข้อมูลประสาทรับความรู้สึกที่ซับซ้อนจากเยื่อปีก เทอโรซอร์มีไหล่ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ และลักษณะปีกของเทอโรซอร์ประกอบด้วยเยื่อที่ยึดติดกับสีข้างจากไหล่ไล่ลงไปจนถึงข้อเท้าแต่ละข้าง และเหยียดออกโดยนิ้วที่สี่ที่ยืดยาวไปอย่างน่าทึ่งไปตามขอบหน้าของปีก เยื่อปีกร้อยรัดไปด้วยกล้ามเนื้อและเส้นเลือด และเสริมความแข็งแกร่งด้วยพังผืด ลักษณะของเทอโรซอร์นั้นมีความแตกต่างหลากหลายกันมาก บางจำพวกมีหงอนด้วย สันนิษฐานว่ามีไว้สำหรับดึงดูดเพศตรงข้าม โดยว่ามีลักษณะที่แตกต่างหลากหลายกันออกไป เช่น ทูนแพนแดกทิอุส แนวีแกนส์ ซึ่งเป็นเทอโรซอร์ในยุคแรก ๆ และ ทาเลสไซโครมีอุส เซที ที่มีช่วงปีกกว้าง 4 เมตร เชื่อว่ามีหงอนที่มีสีสันที่สดใส จะงอยปากก็มีความหลากหลายแตกต่างออกไปตามแต่ลักษณะการใช้หาอาหาร เช่น บางชนิดมีฟันแหลมคมเต็มปากเห็นได้ชัดเจนใช้สำหรับการจับปลาในน้ำ เช่น แอนเฮงรา พิสเคเตอร์ หรือ ซันแกริปเทอรัส ที่พบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ที่มีจะงอยปากยาวและงอนขึ้นใช้สำหรับสำรวจและช้อนเอาสัตว์ขนาดเล็กที่ไม่มีกระดูกสันหลังหรือครัสเตเชียนกินเป็นอาหาร หรือบางจำพวก หากินโดยการใช้วิธีการยืนในแหล่งน้ำเค็มตื้น ๆ แล้วใช้การกรองกินสัตว์ขนาดเล็ก ๆ จำพวกครัสเตเชียน เหมือนกับวิธีการกินของนกฟลามิงโกในยุคปัจจุบัน หรือบางสกุล เช่น นิกโตซอรัส ซึ่งเป็นเทอโรซอร์ในทะเลลักษณะคล้ายนกอัลบาทรอสที่มีระยะระหว่างปลายปีกสองข้างกว้างเกือบ 3 เมตร มีอัตราส่วนการร่อน หรือระยะทางที่เคลื่อนไปข้างหน้าได้ต่อการลดระดับลงทุกหนึ่งเมตร จัดเป็นนักร่อนชั้นดี และจากการพบลักษณะของซากดึกดำบรรพ์พบว่า เทอโรซอร์บางกลุ่มก็อาศัยอยู่รวมกันเป็นนิคมหรือคอโลนีเหมือนกับนกทะเลหลายชนิดในปัจจุบัน คือ ไคยัวฮารา โครบรัสกิอี โดยพบหลักฐานว่า ตายพร้อมกันถึง 47 ตัว หน้า 26-45, เทอโรซอร์ ปีกพิศวงสุดแสนพิศดาร โดย ริชาร์ด คอนนิฟฟ.

ใหม่!!: สัตว์และเทอโรซอร์ · ดูเพิ่มเติม »

เทอโรแดคทิลลัส

ทอโรแดคทิลลัส (Pterodactylus πτεροδάκτυλος) เป็นสกุลหนึ่งของเทอโรซอร์ที่รู้จักกันในชื่อ เทอโรแดคทิล (pterodactyls) ตอนนี้มีอยู่แค่หนึ่งสายพันธุ์คือ Pterodactylus antiquus มีฟอสซิลค้นพบที่บาวาเรีย ประเทศเยอรมัน มีอายุอยู่ในช่วงยุคจูราสซิกตอนปลาย (Tithonian ตอนต้น), ประมาณ 150.8–148.5 ล้านปีก่อน ส่วนใหญ่พบที่ยุโรป และแอฟริกา มันเป็นสัตว์กินเนื้อ และมีความเป็นไปได้ที่จะกินปลา และสัตว์เล็กตัวอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และเทอโรแดคทิลลัส · ดูเพิ่มเติม »

เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่

เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ คือ การใช้กระบวนการทางพันธุศาสตร์เป็น👍เครื่องมือในการปรับปรุงลักษณะที่ต้องการ ที่มีประโยชน์ของพืช สัตว์และจุลินทรีย์ เพื่อการผลิตอาหาร หรือยาโดยวิธีการเพิ่มเข้าไป หรือการเอาออกมาของหน่วยพันธุกรรมที่เลือกแล้ว เพื่อให้เกิดลักษณะตามต้องการ เป็นการเลือกหน่วยพันธุกรรมที่เฉพาะเจาะจง มีความแม่นยำกว่าวิธีปรับปรุงพันธุ์ และเป็นการเพิ่มทางเลือกแก่เกษตรกรที่จะพัฒนาการผลิตพืช หรือสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่เช่นการโคลนนิ่ง ซึ่งการโคลนนิ่งสิ่งมีชีวิตครั้งแรกคือการโคลนนิ่งแกะดอลลี่ โดยจะนำเซลล์ไข่ของแกะดอลลี่ตัวหนึ่งมาแล้วนำนิวเคลียสออก จากนั้นก็นำนิวเคลียสจากตัวต้นแบบมาใส่แทน เมื่อได้แล้วก็นำไปถ่ายฝากในครรภ์ของแกะตัวเมียอีกตัวหนึ่ง เมื่อได้ลูกแกะดอลลี่ออกมาแล้วจะมีลักษณะเหมือนตัวต้นแบบทุกประการ การโคลนนิ่งนี้เป็นการสืบพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศและไม่มีการปฏิสนธิระหว่างเซลล์ไข่และอสุจิ หมวดหมู่:เทคโนโลยีชีวภาพ หมวดหมู่:พันธุศาสตร์.

ใหม่!!: สัตว์และเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ · ดูเพิ่มเติม »

เทนตะคูไลต์

ทนตะคูไลต์ คือ ซากดึกดำบรรพ์ ในยุคดีโวเนียน, มีอายุระหว่าง 360-410 ล้านปีมาแล้ว เทนตะคูไลต์ยังไม่มีการจำแนกทางอนุกรมวิธานอย่างเป็นทางการแต่บางคนก็จัดให้อยู่ในกลุ่มของผีเสื้อทะเล (pteropod) ซึ่งเป็นหอยกาบเดี่ยวขนาดเล็ก (ลำตัวยาวน้อยกว่า 1 ซม.) อาศัยอยู่บริเวณผิวทะเล จัดอยู่ในชั้นย่อยโอพิสโธบรานเชีย ไฟลั่มมอลลัสก้า เทนตะคูไลต์มีเปลือกรูปกรวยด้วยขนาดระหว่าง 5 ถึง 20 มม.

ใหม่!!: สัตว์และเทนตะคูไลต์ · ดูเพิ่มเติม »

เทโรพอด

ทโรพอด (Theropods) เป็นไดโนเสาร์พวกซอริสเซียน(สะโพกกิ้งก่า) เทโรพอดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือสไปโนซอรัส ที่อาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกา และเล็กที่สุดคือไมโครแรปเตอร์ ที่พบในประเทศจีน นอกจากนี้เทโรพอดยังเป็นไดโนเสาร์พวกที่เก่าแก่ที่สุดในโลกด้วย โดยพันธุ์ที่เก่าแก่ที่สุดคืออีโอแร็พเตอร์ ที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ เมื่อ 229 ล้านปีก่อน เทโรพอดชนิดแรกที่ค้นพบคือเมกะโลซอรัส โดยพวกเทอราพอดนี้มีญาติคือซอโรพอด เทโรพอดส่วนใหญ่จะเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อ แต่ก็มีพันธุ์ที่เป็นไดโนเสาร์กินพืชอย่างเทอริสิโนซอรัส เทโรพอดมีชีวิตอยู่เมื่อ 229-65 ล้านปีก่อน มีพันธุ์ที่มีชื่อเสียงหลายพันธุ์เช่นไทรันโนซอรัส อัลโลซอรัส ไจกันโนโทซอรัส คาร์โนทอรัส หรือสไปโนซอรั.

ใหม่!!: สัตว์และเทโรพอด · ดูเพิ่มเติม »

เท้า

ท้า เป็นโครงสร้างทางกายวิภาคศาสตร์ของสัตว์หลายชนิด ใช้สำหรับการเคลื่อนที่ ในสัตว์หลายชนิดมีเท้าเป็นอวัยวะที่แยกออกต่างหากอยู่ปลายสุดของขา ประกอบด้วยกระดูกหลายชิ้นรวมทั้งกรงเล็บ (claws) และเล็บ (nail).

ใหม่!!: สัตว์และเท้า · ดูเพิ่มเติม »

เทเลโอคราเตอร์

ทเลโอคราเตอร์ (Teleocrater; คำแปล: "อ่างที่สมบูรณ์" หมายถึง ใกล้เคียงกับเชิงกราน) สัตว์เลื้อยคลานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีชีวิตอยู่ก่อนยุคไดโนเสาร์ จัดเป็นอาร์โคซอร์ชนิดหนึ่ง โดยซากดึกดำบรรพ์ถูกค้นพบตั้งแต่ปี..

ใหม่!!: สัตว์และเทเลโอคราเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

เขียดว้าก

ำหรับหมาน้ำที่เป็นคางคก ดูที่ จงโคร่ง สำหรับหมาน้ำที่เป็นซาลาแมนเดอร์ ดูที่ อะโซล็อต และวงศ์หมาน้ำ เขียดว้าก หรือ หมาน้ำ (Glandular frog) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ในวงศ์กบนา (Ranidae) ถือเป็นเขียดหรือกบขนาดกลาง หัวมีขนาดใหญ่ ปลายจมูกกลมมนไม่ยื่นยาวออกไป แผ่นเยื่อแก้วหูมีขนาดใหญ่ และเห็นได้ชัดเจน ปลายนิ้วเท้าทั้งขาหน้าและขาหลังจะมีตุ่มกลม ๆ ขนาดเล็ก สีของลำตัวด้านบนมีสีค่อนข้างเทาถึงสีน้ำตาลแดง สลับกับมีจุดสีดำเล็ก ๆ ทั่วไป ปากมีสีเข้มสลับกับจุดหรือแถบสีขาว ในตัวผู้จะมีถุงเสียงขนาดใหญ่ จัดเป็นเขียดที่มีเสียงร้องดังที่สุดในบรรดาเขียดในสกุลเดียวกันที่พบในประเทศไทย โดยจะส่งเสียงร้องดัง "ว้าก ๆ ๆ ๆ" อันเป็นที่มาของชื่อเรียก พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในหนองบึง คลอง หรือพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทย พบมากทางภาคใต้ โดยเฉพาะที่อุทยานแห่งชาติทะเลบัน จังหวัดสตูล เขียดว้ากจะร้องเสียงดังในเวลาค่ำคืนและฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งเสียงคล้ายกับเสียงลูกสุนัข จึงเป็นที่มาของชื่อ "หมาน้ำ".

ใหม่!!: สัตว์และเขียดว้าก · ดูเพิ่มเติม »

เขียดจิก

ียดจิก หรือ กบบัว หรือ เขียดเขียว หรือ เขียดบัว (Green paddy frog, Red-eared frog, Leaf frog, Common green frog) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำขนาดเล็ก ชนิดหนึ่ง ในวงศ์กบนา (Ranidae) มีลำตัวด้านหลังและด้านข้างลำตัวสีเขียว ขอบด้านล่างของด้านข้างลำตัวสีน้ำตาลเข้ม และมีจุดสีเข้มกระจายอยู่ที่ด้านข้างลำตัวกับบนหลังทางส่วนท้ายของลำตัว ขอบปากบนสีขาว ด้านท้องสีขาว แผ่นเยื่อแก้วหูสีน้ำตาล ขาหน้าและขาหลังสีน้ำตาลและมีแถบสีเข้มพาดตามความยาวของขา ขาหน้าเรียวและนิ้วตีนยาว ขาหลังเรียวยาวและนิ้วตีนยาว เมื่อพับขาหลังแนบกับลำตัวไปทางด้านหน้า ข้อตีนอยู่ในตำแหน่งช่องเปิดจมูก นิ้วตีนหน้าไม่มีแผ่นหนังระหว่างนิ้ว นิ้วตีนหลังมีแผ่นหนังเกือบเต็มความยาวนิ้ว มีขนาดจากปลายปากถึงรูก้นประมาณ 70 มิลลิเมตร ลำตัวเรียว ผิวหนังลำตัวเรียบ มีแผ่นหนังหนา สีขาวหรือสีครีมขอบสีน้ำตาลเข้มค่อนข้างกว้างอยู่ที่ขอบด้านนอกลำตัว แผ่นหนังนี้เริ่มต้นจากด้านท้ายตาไปที่ส่วนต้นขาหลัง ลูกอ๊อดมีขนาดตัวปานกลาง ลำตัวยาวและหัวแบน ด้านหลังสีเขียว ท้องและด้านข้างลำตัวสีน้ำตาลและมีลายร่างแหสีน้ำตาลเข็มที่ข้างตัว หางยาวและมีกล้ามเนื้อแข็งแรง แผ่นครีบหางใหญ่และมีลวดลายเป็นร่างแหสีน้ำตาลเข้ม ปากอยู่ด้านล่างแต่ค่อนข้างสูงขึ้นมาทางด้านหน้าของส่วนหัว ช่องปากเล็ก มีตุ่มฟัน ขอบของจะงอยปากบนและของจะงอยปากล่างมีรอยหยัก จะงอยปากล่างใหญ่กว่าจะงอยปากบน ลูกอ๊อดมีนิสัยการกินอาหารแบบผู้ล่าและมีพฤติกรรมล่าเหยื่อที่อยู่ในน้ำ จัดได้ว่าเป็นสมาชิกในวงศ์นี้ที่มีขนาดเล็ก มักอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่มีกอพืชน้ำขึ้นหนาแน่น เช่น บัว, จอกแหน, ผักตบ เป็นต้น หากินในเวลากลางคืน มีความว่องไวมาก พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค เขียดจิก มีเสียงร้อง "จิ๊ก ๆๆๆๆๆ" ประกอบกับมักหลบซ่อนอยู่ตามกอบัว อันเป็นที่มาของชื่อ.

ใหม่!!: สัตว์และเขียดจิก · ดูเพิ่มเติม »

เขียดงู

ียดงู (Caecilians) เป็นอันดับของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Apoda (ในบางข้อมูลจะจัดให้อยู่ในอันดับ Gymnophiona) มีลักษณะโดยรวมของรูปร่าง คือ ลำตัวเรียวยาวคล้ายงูหรือปลาไหล มีทั้งอาศัยอยู่บนบก ในโพรงดิน และในน้ำ โดยลดรูปโครงสร้างหลายประการซึ่งเป็นลักษณะที่พบกับสัตว์ที่มีลำตัวเรียวยาวหรืออาศัยอยู่ในโพรง กล่าว คือ หางมีขนาดเล็กมากหรือไม่มีเลย ไม่มีรยางค์ขาหรือฐานรยางค์ แต่ในสกุล Eocaecilia ที่เป็นซากดึกดำบรรพ์มีรยางค์ขา ตามีขนาดเล็กและบางชนิดอยู่ในร่องของกระดูกกะโหลกและถูกชั้นหนังปกคลุมไว้ ปอดข้างซ้ายมีขนาดเล็กหรือไม่มี ขณะที่บางวงศ์ที่อาศัยอยู่ในน้ำจะไม่มีปอด บางชนิดมีเกล็ดฝังตัวอยู่ในร่องที่แบ่งลำตัวเป็นปล้อง การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายใน โดยตัวผู้จะมีอวัยวะถ่ายอสุจิเจริญจากผนังของห้องทวารร่วม บางชนิดวางไข่ในน้ำ และมีระยะเวลาของวัยอ่อนและบางชนิดวางไข่บนบกโดยไม่มีระยะวัยอ่อน ตัวเมียมีพฤติกรรมเฝ้าไข่ แต่เขียดงูส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 75 ออกลูกเป็นตัว วัยอ่อนภายในท่อนำไข่ได้รับสารอาหารจากสิ่งผลิตภายในท่อนำไข่ มีลักษณะเด่น คือ ลำตัวเป็นปล้อง ปล้องของลำตัวโดยทั่วไปมีจำนานเท่ากับจำนวนปล้องของกระดูกสันหลัง แต่บางชนิดอาจมีปล้องลำตัวจำนวนสองปล้องหรืออาจจะถึงสามปล้องต่อกระดูกสันหลังหนึ่งปล้อง โดยปล้องลำตัวปฐมภูมิเจริญขึ้นมาก่อนต่อจากนั้นจึงมีปล้องลำตัวทุติยภูมิหรือปล้องลำตัวตติยภูมิเจริญขึ้นมาเป็นลำดับต่อมา เกล็ดของเขียดงูประกอบด้วยคอลลาเจนหลายชั้นเรียงซ้อนกันและฝังตัวอยู่ในร่องตรงส่วนลึกที่สุดของปล้องลำตัวปฐมภูมิ โดยเรียงเป็นลำดับต่อเนื่องกันในแนวเฉียง กะโหลกของเขียดงูมีชิ้นของกระดูกยึดติดกันแข็งแรงและส่วนใหญ่ไม่มีช่องเปิดที่กะโหลก นอกจากช่องเปิดของอวัยวะรับความรู้สึก ได้แก่ ตา, จมูก, หนวด ในบางวงศ์มีช่องเปิดบริเวณขมับ กระดูกกะโหลกจึงขยับได้บ้าง ฟันที่ขากรรไกรบนอยู่บนกระดูกพรีแมคซิลลา กระดูกแมคซิลโลพาลาทีนและกระดูกโวเมอร์ มีอวัยวะรับรู้จำเพาะ คือ อวัยวะที่แลดูคล้ายหนวด ที่เจริญขึ้นมาจากช่องเปิดที่อยู่ระหว่างตากับช่องเปิดจมูก ตำแหน่งของช่องเปิดหนวดแตกต่างกันในแต่ละชนิด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการอนุกรมวิธาน สัดส่วนความยาวของหนวดที่โผล่พ้นช่องเปิดออกมาก็แตกต่างกันในแต่ละวงศ์ โดยหนวดเป็นโครงสร้างเชิงซ้อนประกอบด้วยกล้ามเนื้อ, ต่อม และท่อ การเจริญของหนวดสัมพันธ์กับตาและอวัยวะจาคอบสัน ซึ่งทำหน้าที่รับรู้สารเคมี เขียดงูแบ่งออกได้เป็นทั้งหมด 9 วงศ์ ประมาณ 200 ชนิด (ในขณะที่บางข้อมูลแบ่งเพียง 6 วงศ์ หรือ 3 วงศ์) กระจายพันธุ์ทั่วไปในเขตร้อน ยกเว้นบนเกาะมาดากัสการ์และทางตะวันออกของเส้นสมมติวอลเลซ ในประเทศไทยพบได้ 1 วงศ์ เช่น เขียดงูเกาะเต่า (Ichthyophis kohtaoensis) เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และเขียดงู · ดูเพิ่มเติม »

เดรัจฉาน

ในศาสนาพุทธ เดรัจฉาน หมายถึง สัตว์ จัดเป็นหนึ่งในอบายภูมิ 4.

ใหม่!!: สัตว์และเดรัจฉาน · ดูเพิ่มเติม »

เดวิด ลิฟวิงสโตน

วิด ลิฟวิงสโตน ดร.

ใหม่!!: สัตว์และเดวิด ลิฟวิงสโตน · ดูเพิ่มเติม »

เดสเพลโตซอรัส

ลโตซอรัส (Daspletosaurus) เป็นเทอโรพอดในวงศ์ไทรันโนซอรอยเดีย (Tyrannosauroidea) ที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ เมื่อประมาณ 77 ถึง 74 ล้านปีก่อนในยุคครีเทเชียส ซากฟอสซิลพบในรัฐอัลเบอร์ต้า และรัฐมอนแทนาเป็นส่วนใหญ่ เดสเพลโตซอรัส เป็นไดโนเสาร์ในวงส์เดียวกับไทรันโนซอรัส ที่มีคุณสมบัติกะโหลกใหญ่พันคม เช่นเดียวกับเทอโรพอดในวงศ์ไทรันโนซอรอยเดียอื่น.

ใหม่!!: สัตว์และเดสเพลโตซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

เดดิคูรัส

ูรัส เป็นสัตว์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ประเภท Glytodont มีชีวิตอยู่ระหว่างสมัยไพลสโตซีนจนกระทั่งสิ้นสุดยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณ 11,000 ปีก่อน เป็น Glytodontid ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยรู้จัก มีความสูง 1.5 เมตร ยาว 3.6 เมตร มีกระดองรูปโดมขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจาก Scute จำนวนมากติดกันอย่างแน่นหนา ค่อนข้างคล้ายกับ Armadillo ในปัจจุบัน หางห่อหุ้มด้วยแผ่นกระดูกที่ยืดหยุ่น มีเดือยแหลมหรือปุ่มยาวอยู่ที่ปลายหาง ซึ่งจะพบได้ในตัวผู้ทุกตัว D. clavicaudatus อาศัยอยู่ในป่าและทุ่งหญ้า กินพืชเป็นอาหาร สันนิษฐานว่าน่าจะใช้หางในการต่อสู้กันเองมากกว่าใช้ป้องกันตัวจากสัตว์นักล่า และการใช้งานร่างกายส่วนหลังอาจทำได้ยากเนื่องจากสัตว์ชนิดนี้มีระยะการมองเห็นที่จำกัด ดังนั้นมันจึงมองไม่เห็นปลายหางที่ถูกเหวี่ยงเข้าใส่คู่ต่อสู้ นอกจากนี้ กระดองที่ถูกพบยังแสดงให้เห็นรอยแตกที่เกิดจากแรงกระแทกที่มากเท่าๆกับแรงที่เกิดจากกล้ามเนื้อหาง กระดองยึดติดอย่างแน่นหนากับเชิงกราน แต่จะหลวมที่บริเวณไหล่ ที่ลำตัวส่วนหน้าจะมีกระดองขนาดเล็กกว่าอีกอันหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดช่องว่างที่เต็มไปด้วยไขมัน เช่นเดียวกับโหนกของอูฐ ที่ใช้เก็บพลังงานสำหรับใช้ในฤดูแล้ง และยังช่วยบรรเทาแรงกระแทกจากหางของคู่ต่อสู้ ฟอสซิลของ D. clavicaudatus ถูกพบในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ โดยเฉพาะที่ Ensenada Formation ในอาร์เจนตินา เนื่องจากสัตว์ชนิดนี้สูญพันธุ์ไปเมื่อไม่นานมานี้ จึงสันนิษฐานว่าอาจถูกล่าโดยมนุษย์กลุ่มแรกที่ตั้งรกรากอเมริกาใต้.

ใหม่!!: สัตว์และเดดิคูรัส · ดูเพิ่มเติม »

เคย

หรือ เคอย (Krill) เป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกุ้ง ในกลุ่มกุ้ง-กั้ง-ปู ซึ่งเป็นสัตว์สำคัญโดยเฉพาะของแพลงก์ตอน ที่เป็นอาหารของ วาฬบาลีน, ปลากระเบนราหูน้ำเค็ม, ปลาฉลามวาฬและแมวน้ำกินปู รวมทั้งนกทะเลบางสปีชีส์ที่กินเคยแต่เพียงอย่างเดียว กุ้งเคยจัดเป็นครัสเตเชียนขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายกุ้ง แต่ตัวเล็กกว่า และไม่มีกรีแหลมๆที่บริเวณหัวเหมือนกุ้ง ตัวสีขาวใส มีตาสีดำ มีขนาดยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร มีเปลือกบางและนิ่ม อาศัยอยู่ตามบริเวณรากไม้ตามป่าชายเลน เช่น ต้นโกงกาง แสม ลำพู ชาวบ้านมักจะออกช้อนตัวเคยกันในเวลาเช้า ช้อนกันได้ทุกวันเพราะมีอยู่มากทุกฤดูกาล จะดำรงชีวิตอยู่ใกล้ผิวทะเลโดยไม่จมลงไป ซึ่งอาจจะอยู่ในน้ำลึกประมาณหน้าแข้งถึงระดับหน้าอก ในแถบขั้วโลกใต้จะเป็นแพลงก์ตอนที่มีขนาดใหญ่ มันจะเป็นอาหารที่สำคัญของปลาวาฬ ส่วนในอ่าวไทยเป็นแพลงก์ตอนที่มีขนาดเล็กอยู่ตามชายฝั่ง ในนากุ้งและบ่อปลา ลักษณะที่สำคัญคือ ในตัวเมียจะมีถุงไข่ที่ติดอยู่กับท้องตั้งแต่กำเนิด จึงมีชื่อเรียกว่า กุ้งโอปอสซั่ม (Opossum shrimp).

ใหม่!!: สัตว์และเคย · ดูเพิ่มเติม »

เคยแอนตาร์กติกา

แอนตาร์กติกา (Antarctic krill) เป็นสปีชีส์ของเคยที่พบในมหาสมุทรแอนตาร์กติกในมหาสมุทรตอนใต้ที่มีลักษณะคล้ายกุ้ง ที่อยู่กันเป็นฝูงใหญ่ที่บางครั้งอาจจะมีจำนวนถึง 10,000 ถึง 30,000 ตัวต่อหนึ่งตารางเมตร เคยแอนตาร์กติกาบริโภค phytoplankton ซึ่งเป็นการใช้พลังงานจากแพลงตอนที่สร้างจากแสงอาทิตย์ในการดำรงชีพ เคยแอนตาร์กติกาเมื่อโตเต็มที่มีขนาดยาวราว 6 เซนติเมตร และหนักราว 2 กรัม และมีอายุราวหกปี เคยแอนตาร์กติกาเป็นสปีซีส์สำคัญของระบบชีวภาพของแอนตาร์กติกที่ประสบความสำเร็จ ที่มีด้วยกันราว 500 ล้านตัน.

ใหม่!!: สัตว์และเคยแอนตาร์กติกา · ดูเพิ่มเติม »

เครย์ฟิช

ำหรับเครย์ฟิชที่พบในทะเล ดูที่: ล็อบสเตอร์ และกุ้งมังกร เครย์ฟิช หรือ หรือ ล็อบสเตอร์น้ำจืด (10088/1372 Crawdad, Mudbug, Freshwater yabby) เป็นกุ้งน้ำจืดจำพวกหนึ่ง มีรูปร่างโดยรวมลำตัวใหญ่ เปลือกหนา ก้ามใหญ่แลดูแข็งแรง มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ, ทวีปยุโรป, โอเชียเนียและบริเวณใกล้เคียง เช่น อีเรียนจายา และเอเชียตะวันออก ปัจจุบันมีการอนุกรมวิธานเครย์ฟิชไปแล้วกว่า 500 ชนิด ซึ่งกว่าครึ่งนั้นเป็นเครย์ฟิชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ แต่ก็ยังมีอีกหลายร้อยชนิดที่ยังไม่ได้รับการอนุกรมวิธาน อีกทั้งหลายชนิดยังมีความหลากหลายทางสีสันมากอีกด้วย สำหรับในประเทศไทยไม่มีกุ้งในลักษณะเครย์ฟิช ซึ่งกุ้งน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่สุดที่พบในประเทศไทย คือ กุ้งก้ามกราม (Macrobrachium rosenbergii) ซึ่งในลักษณะกุ้งก้ามกรามนี้ ไม่จัดว่าเป็นเครย์ฟ.

ใหม่!!: สัตว์และเครย์ฟิช · ดูเพิ่มเติม »

เครื่องจักรความร้อน

อะแกรมของเครื่องจักรไอน้ำวัตต์ ในสาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุณหพลศาสตร์, เครื่องจักรความร้อน (Heat Engine) เป็นเครื่องจักรที่ใช้เปลี่ยนพลังงานความร้อนไปสู่งานทางกลศาสตร์ โดยอาศัยความแตกต่างทางอุณหภูมิของแหล่งกำเนิดอุณหภูมิสูง (heat source) และแหล่งกำเนิดอุณหภูมิต่ำ (heat sink).

ใหม่!!: สัตว์และเครื่องจักรความร้อน · ดูเพิ่มเติม »

เคลด

แผนภาพวิวัฒนาการชาติพันธุ์ (Cladogram) หรือพงศาวลีของกลุ่มสิ่งมีชีวิต โดยลำต้น (เส้นตั้ง) ที่ฐานแต่ละฐานจะเป็นบรรพบุรุษร่วมกันสุดท้ายของสิ่งมีชีวิตที่เป็นลูกหลานภายในพุ่มไม้ที่อยู่เหนือลำต้นนั้น ๆ กลุ่มย่อยสีน้ำเงินและสีแดง (ซ้ายและขวาสุด) เรียกว่า clade เพราะเป็นกลุ่ม "จากชาติพันธุ์เดียว" (monophyletic) โดยแต่ละกลุ่มจะมีบรรพบุรุษร่วมกันที่ฐาน ส่วนกลุ่มย่อยสีเขียวไม่เรียกว่า clade เพราะเป็นกลุ่ม paraphyletic และไม่รวมเอากลุ่มย่อยสีน้ำเงินแม้จะสืบทอดมาจากบรรพบุรุษร่วมกันซึ่งอยู่ที่ฐานของกลุ่มสีเขียว เคลด (clade จาก κλάδος, klados แปลว่า "สาขา") เป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่รวมเอาบรรพบุรุษที่มีร่วมกันและลูกหลานของมันทั้งหมด โดยแสดงเป็น "สาขา" เดียวจากต้นไม้ชีวิต บรรพบุรุษร่วมกันอาจเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งหน่วย กลุ่มประชากร สปีชีส์ (ไม่ว่าจะสูญพันธุ์ไปแล้วหรือยังมีอยู่) เป็นต้น จนไปถึงระดับอาณาจักร เคลดเป็นโครงสร้างซ้อนใน คือจะมีเคลดภายในเคลดเพราะสาขาใหญ่หนึ่ง ๆ จะแยกออกเป็นสาขาย่อย ๆ การแยกออกจะสะท้อนให้เห็นถึงประวัติวิวัฒนาการ เพราะแสดงกลุ่มประชากรที่แยกจากกันแล้ววิวัฒนาการแยกกันต่างหาก ๆ เคลดจะมาจากชาติพันธุ์เดียว (monophyletic) ในทศวรรษ 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา วิธีการศึกษาแบบแคลดิสติกส์ (คือใช้แนวคิดแบบเคลด) ได้ปฏิวัติการจัดหมวดหมู่สิ่งมีชีวิต และได้แสดงความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการที่น่าทึ่งใจระหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ โดยมีผลเป็นนักอนุกรมวิธานพยายามหลีกเลี่ยงการให้ชื่อกับหน่วยที่ไม่ใช่เคลด คือหน่วยที่ไม่ได้มาจากชาติพันธุ์เดียว (monophyletic).

ใหม่!!: สัตว์และเคลด · ดูเพิ่มเติม »

เคสทิดา

เคสทิดา (Cestida) เป็นอันดับหนึ่งในไฟลัมทีโนฟอรา หมวดหมู่:ทีโนฟอรา.

ใหม่!!: สัตว์และเคสทิดา · ดูเพิ่มเติม »

เคนโทรซอรัส

นโทรซอรัส (Kentrosaurus) ชื่อของมันมีความหมายว่ากิ้งก่าแหลมคม เพราะลำตัวส่วนหน้าของมันมีแผงกระดูอยู่ ส่วนจากหลังถึงหางของมันมีหนามแหลมคมอยู่ อาศัยอยู่ในยุคจูแรสซิกตอนปลาย มันยาว 3-5 เมตร พบที่แอฟริกา อาวุธหลักของมันคือหนามยาวหนึ่งคู่ตรงหาง กินพืชเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และเคนโทรซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

เคแมน

แมน หรือ ไคแมน (Caiman) เป็นสัตว์เลื้อยคลานในอันดับจระเข้ในวงศ์ย่อย Caimaninae ในวงศ์ Alligatoridae พบกระจายพันธุ์เฉพาะในทวีปอเมริกาใต้ ตั้งแต่ตอนกลางของเม็กซิโกไปจนถึงเอกวาดอร์ และทางตะวันออกของเทือกเขาแอนดีสไปจนถึงอุรุกวัย, ปารากวัย และทางตอนเหนือของอาร์เจนตินา เคแมน มีขนาดที่เล็กกว่าแอลลิเกเตอร์ มีกระดูกฮัยออยด์เป็นชิ้นกว้าง ช่องเปิดจมูกมีช่องเดียวขนาดใหญ่ อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำน้ำที่มีกระแสน้ำไม่แรง หลากหลายลักษณะ วางไข่บนกองดินและใช้หางปัดกวาดพรรณพืชต่าง ๆ มากองรวมกัน บางชนิดใช้ความร้อนจากแสงแดดหรือความร้อนจากการเน่าสลายของพรรณพืชสำหรับการฟักไข่ ขนาดเล็กที่สุด มีขนาดโตเต็มที่ 1.7 เมตร ขนาดใหญ่ที่สุดโตเต็มที่ได้ 2-5 เมตร ในสกุลที่สูญพันธุ์ไปแล้ว Purussaurus มีความยาวได้ถึง 12 เมตร และ Mourasuchus ซึ่งมีขนาดใหญ่เหมือนกัน มีจมูกกว้างเหมือนเป็.

ใหม่!!: สัตว์และเคแมน · ดูเพิ่มเติม »

เคแมนแคระ

แมนแคระ หรือ ไคแมนแคระ (Dwarf caiman) เป็นสกุลของเคแมนที่จัดอยู่ในสกุล Paleosuchus (/พา-ลี-โอ-ซู-ชัส/) ในวงศ์ Alligatoridae เคแมนแคระ มีความยาวเต็มที่ประมาณ 1.7 เมตร จัดเป็นสัตว์ในอันดับจระเข้ที่มีขนาดเล็ก อาศัยและกระจายพันธุ์ในลุ่มน้ำอเมซอน ในทวีปอเมริกาใต้ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และเคแมนแคระ · ดูเพิ่มเติม »

เคแมนแคระกูว์วีเย

แมนแคระกูว์วีเย (Cuvier's dwarf caiman, Cuvier's caiman, Smooth-fronted caiman, Musky caiman) เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง จำพวกเคแมน จัดอยู่ในวงศ์แอลลิเกเตอร์ (Alligatoridae) จัดเป็นสัตว์เลื้อยคลานในอันดับจระเข้ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง มีขนาดยาวเต็มที่ประมาณ 1.4 เมตร (4.6 ฟุต) ในตัวผู้ และ 1.2 เมตร (3.9 ฟุต) ในตัวเมีย น้ำหนักประมาณ 6 ถึง 7 กิโลกรัม (13 ถึง 15 ปอนด์) ถูกค้นพบและบรรยายทางวิทยาศาสตร์โดยฌอร์ฌ กูว์วีเย (Georges Cuvier) นักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ค้นพบเป็นบุคคลแรก โดยสถานที่ค้นพบครั้งแรกคือเมืองกาแยนในเฟรนช์เกียนา โดยที่ชื่อวิทยาศาสตร์ คำว่า Paleosuchus มาจากคำภาษากรีกว่า palaios หมายถึง "โบราณ" และ soukhos หมายถึง "จระเข้" เพราะเชื่อว่าเคแมนแคระกูว์วีเยสืบสายพันธุ์มาจากสัตว์ในอันดับจระเข้โบราณอายุนานกว่า 30 ล้านปี และคำว่า palpebrosus มาจากภาษาละติน palpebra หมายถึง "เปลือกตา" และ osus หมายถึง "เต็มไปด้วย" ซึ่งหมายถึงแผ่นกระดูกที่ปรากฏอยู่เหนือเปลือกตา ส่วนหัว เคแมนแคระกูว์วีเย กระจายพันธุ์อยู่ในป่าทึบของลุ่มน้ำแอมะซอนในทวีปอเมริกาใต้ โดยอาศัยในพื้นที่ที่เป็นแม่น้ำและทะเลสาบ การฟักไข่เหมือนกับเคแมนชนิดอื่น ๆ คือ ใช้ความร้อนจากแสงแดดหรือความร้อนจากการเน่าสลายของพรรณพืชที่ใช้ปกคลุมรังเพื่อการฟักเป็นตัว เคแมนแคระกูว์วีเยไม่มีชนิดย่อย กินอาหารได้หลากหลายชนิด ทั้งสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ, ปลา, ปู, นก, กุ้ง, หอย, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก รวมถึงแมลงปีกแข็งและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังด้วย เนื่องจากเป็นสัตว์ขนาดเล็กจึงนิยมเลี้่ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และเคแมนแคระกูว์วีเย · ดูเพิ่มเติม »

เงือก

อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เงือก เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งตามความเชื่อนิยายปรัมปราเกี่ยวกับน้ำ โดยเป็นจินตนาการเกี่ยวกับสัตว์น้ำ โดยมากจะเล่ากันว่าเงือกนั้นเป็นสัตว์ครึ่งมนุษย์ มีส่วนครึ่งท่อนบนเป็นคน ส่วนครึ่งท่อนล่างเป็นปลา ในหลายประเทศทั่วโลก มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานเงือกมากมาย โดยเชื่อว่า แท้จริงแล้วสัตว์ที่มนุษย์เห็นเป็นเงือก คือ พะยูน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลขนาดใหญ่ ที่เมื่อให้นมลูกแล้วจะลอยตัวกลางน้ำเหมือนผู้หญิงให้นมลูก.

ใหม่!!: สัตว์และเงือก · ดูเพิ่มเติม »

เตาเจียงโกซอรัส

ตาเจียงโกซอรัส (Tuojiangosaurus; 沱江龍) เป็นชื่อไดโนเสาร์สายพันธุ์ใกล้เคียงกับไดโนเสาร์ตระกูลสเตโกซอรัส ซึ่งมีแผงเต็มหลังและมีหนามแหลมอยู่ที่ปลายหางหลายเล่ม โดยคณะสำรวจได้ค้นพบในประเทศจีน ทั้งนี้ ชื่อ "เตาเจียงโกซอรัส" หมายถึง "กิ้งก่าแห่งแม่น้ำเตา" นั่นเอง.

ใหม่!!: สัตว์และเตาเจียงโกซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

เต่า

ต่า คือ สัตว์จำพวกหนึ่งในอันดับ Testudines จัดอยู่ในจำพวกสัตว์เลือดเย็น ในชั้นสัตว์เลื้อยคลาน เป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการมาแล้วกว่า 200 ล้านปี ซึ่งเต่านั้นถือเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยเต่าจะมีกระดูกที่แข็งคลุมบริเวณหลังที่เรียกว่า "กระดอง" ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะสามารถหดหัว ขา และหางเข้าในกระดองเพื่อป้องกันตัวได้ แต่เต่าบางชนิดก็ไม่อาจจะทำได้ เต่าเป็นสัตว์ที่ไม่มีฟัน แต่มีริมฝีปากที่แข็งแรงและคม ใช้ขบกัดอาหารแทนฟัน โดยมากแล้ว เต่า เป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวและเคลื่อนที่ได้ช้า อาศัยและใช้ช่วงชีวิตหนึ่งอยู่ในน้ำ ซึ่งมีอาศัยทั้งน้ำจืด และทะเล แต่เต่าบางจำพวกก็ไม่ต้องอาศัยน้ำเลย เรียกว่า "เต่าบก" (Testudinidae) ซึ่งเต่าบกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ เต่ายักษ์กาลาปากอส (Geochelone nigra) ที่อาศัยอยู่ตามเกาะต่าง ๆ ในหมู่เกาะกาลาปากอส ในเอกวาดอร์ (มีทั้งหมด 15 ชนิดย่อย) ในขณะที่เต่าน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ เต่าอัลลิเกเตอร์ (Macrochelys temminckii) อาศัยอยู่ตามหนองน้ำในทวีปอเมริกาเหนือ.

ใหม่!!: สัตว์และเต่า · ดูเพิ่มเติม »

เต่าบก

ต่าบก (Tortoise, Land turtle) คือ เต่าที่อยู่ในวงศ์ Testudinidae ซึ่งเป็นวงศ์ใหญ่ มีสกุลต่าง ๆ จำนวนมากที่อยู่ในวงศ์นี้ เต่าบก คือ เต่ากลุ่มที่ไม่สามารถที่จะว่ายน้ำหรือใช้ชีวิตอยู่ในน้ำได้ เนื่องจากจะจมน้ำตายได้ เนื่องจากโดยมากแล้วจะมีกระดองขนาดใหญ่ โค้ง และมีน้ำหนักมาก รวมทั้งเท้าที่ไม่มีพังผืดระหว่างนิ้ว จึงไม่สามารถใช้ว่ายน้ำได้.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าบก · ดูเพิ่มเติม »

เต่าบกอินโดจีน

ต่าบกอินโดจีน (Indochinese tortoise) เป็นสกุลของเต่าบก (Testudinidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Manouria มีลักษณะเด่นคือ มีแผ่นกระดองเห็นชัดเจน มีเดือย 1 อันหรือ 1 คู่บริเวณขาหลังด้านบน ดูเผิน ๆ เหมือนเป็นเต่ามี 5 ขา หรือ 6 ขา ใช้สำหรับในการป่ายปีนบนที่สูง เป็นเต่าที่พบกระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้นในภูมิภาคเอเชียตั้งแต่เอเชียใต้ จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ในพื้นที่ที่สูงจากระดับน้ำทะเลเป็นพันเมตร เป็นเต่าที่กินพืชต่าง ๆ บนพื้นดินเป็นอาหารหลัก เช่น หน่อไม้, เห็ดรา, ผลไม้ต่าง ๆ และก็สามารถกินเนื้อสัตว์เช่น สัตว์น้ำขนาดเล็ก รวมถึงซากสัตว์ได้ด้วย จัดเป็นเต่าบกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชี.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าบกอินโดจีน · ดูเพิ่มเติม »

เต่าบกเอเชีย

ต่าบกเอเชีย (Asian tortoises) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าบก ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Indotestudo พบกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย แถบเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำแนกออกได้เป็น 3 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าบกเอเชีย · ดูเพิ่มเติม »

เต่าบิน

ต่าบิน หรือ เต่าจมูกหมู หรือ เต่าฟลายริเวอร์ (Pig-nosed turtle, Fly river turtle) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Carettochelys insculpta ซึ่งเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์ Carettochelyidae และสกุล Carettochelys รูปร่างทั่วไปคล้ายตะพาบ คือ กระดองหลังอ่อนนุ่ม แต่ไม่มีกระดูกในชั้นหนังเหมือนตะพาบ สีกระดองสีเทา ในวัยเล็กจะเป็นสีชมพูและจะค่อย ๆ เข้มขึ้นตามอายุ บริเวณขอบกระดอกเป็นหยักเหมือนเต่า ใต้ท้องสีขาว ขาทั้ง 4 ข้างแผ่แบนเป็นครีบ มีเล็บ แต่เล็บไม่อาจเคลื่อนไหวได้ เมื่อวายน้ำจะไม่เหมือนกับเต่าอื่น ๆ คือ จะใช้ครีบคู่หน้าเป็นตัวว่าย และครีบคู่หลังควบคุมทิศเหมือนหางเสือ คล้ายกับเต่าทะเลหน้า 359-360, วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก (พ.ศ. 2552) โดย วีรยุทธ์ เลาหะจินดา ISBN 978-616-556-016-0 มีจมูกยื่นยาวมาและงุ้มหักลงคล้ายหมู จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 60 เซนติเมตร น้ำหนัก 55 กิโลกรัม แพร่กระจายพันธุ์อยู่ในแม่น้ำ, ลำคลอง หรือทะเลสาบที่มีความลึกไม่มากนัก ที่เกาะปาปัวนิวกินี และทวีปออสเตรเลียทางตอนเหนือ กินอาหารได้หลากหลายทั้งพืชและสัตว์ หรือซากสัตว์ เนื่องจากเป็นเต่าที่มีสายตาไม่ค่อยดี สถานภาพปัจจุบัน ใกล้สูญพันธุ์มากแล้ว เนื่องจากถูกคุกคามถิ่นที่อยู่อาศัยและถูกจับมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นเต่าอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันมาก ซึ่งอุปนิสัยของเต่าบินไม่ดุมากนัก เมื่อเทียบกับเต่าหรือตะพาบชนิดอื่น แถมยังเชื่องกับผู้เลี้ยงอีกต่างหาก โดยในที่เลี้ยงสามารถจะเลี้ยงไว้ในน้ำได้ตลอดชีวิต ไม่ต้องขึ้นบกเหมือนเต่าหรือตะพาบทั่วไป แต่เต่าบินก็สามารถปีนขึ้นมาอาศัยอยู่บนบกได้ด้วยเช่นกัน ในปี ค.ศ. 1979 เต่าบินถือเป็นเต่าที่หายากและมีราคาแพงมาก โดยทั่วโลกมีผู้ครอบครองเพียง 5 ตัว ใน 5 ประเทศเท่านั้น ในประเทศไทย มีเพียงตัวเดียวเป็นของ นาวาอากาศโท วิโรจน์ นุตพันธุ์ นักวิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชาวไทยที่มีชื่อเสียง เป็นเต่าตัวผู้ มีราคา 25,000 บาท ซึ่งทาง น.ท.วิโรจน์ ตั้งใจจะหาเต่าตัวเมียมาผสมพันธุ์เพื่อแพร่ขยายพันธุ์ต่อไป แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เต่าบินตัวนี้ได้ถูกผู้ขโมยไปและนำไปแกงเป็นอาหารรับประทาน แต่ในปัจจุบัน สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วที่อินโดนีเซีย โดยแม่เต่าจะถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 25 ปี โดยวางไข่ในเวลากลางคืน บนสันดอนฝั่งแม่น้ำช่วงฤดูแล้ง เอ็มบริโอที่เจริญเป็นเต่าวัยอ่อนโดยสมบูรณ์แล้วยังคงอยู่ภายในเปลือกไข่จนกระทั่งสันดอนถูกน้ำท่วมในช่วงฤดูฝนจึงค่อยฟักตัวออกจาก.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าบิน · ดูเพิ่มเติม »

เต่าบึง

ต่าบึง หรือ เต่าป่า (Forest turtles, Terrapins.) เป็นสกุลของเต่าสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Heosemys จัดอยู่ในวงศ์ Geoemydidae (บางข้อมูลหรือข้อมูลเก่าจัดอยู่ในวงศ์ Bataguridae) โดยแยกออกจากสกุล Geoemyda ซึ่งเป็นสกุลส่วนใหญ่ในวงศ์นี้่ เต่าในสกุลนี้เป็นเต่าที่พบกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย มีทั้งชนิดที่เป็นเต่าอาศัยอยู่บนพื้นดินที่แห้งแล้งหรือเป็นป่าดิบทึบ และที่เป็นเต่าอาศัยอยู่ได้บนบกและในน้ำTurtle taxonomy Working Group (Rhodin, A.G.J., van Dijk, P.P, Iverson, J.B., and Shaffer, H.B.).2010.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าบึง · ดูเพิ่มเติม »

เต่าบึงดำ

ระวังสับสนกับ: เต่าบึงดำลายจุด เต่าบึงดำ (Black marsh turtle.) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานประเภทเต่าสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Siebenrockiella ในวงศ์เต่านา (Geoemydidae) เต่าในสกุลนี้ เดิมเคยถูกให้มีเพียงชนิดเดียว แต่ปัจจุบันได้จัดให้มี 2 ชนิด โดยมีเต่าป่าฟิลิปปิน ย้ายมาจากสกุล Heosemys โดยสกุลนี้ตั้งขึ้นมาครั้งแรกในปี..

ใหม่!!: สัตว์และเต่าบึงดำ · ดูเพิ่มเติม »

เต่ากระ

ต่ากระ หรือ เต่าปากเหยี่ยว (Hawksbill sea turtle) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลังชั้นสัตว์เลื้อยคลาน และเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Eretmochelys มีลักษณะคล้ายเต่าตนุ (Chelonia mydas) โดยที่เป็นเต่าทะเลขนาดกลาง มีลำตัวไม่ใหญ่มากนัก จะงอยปากแหลมงองุ้มคล้ายกับจะงอยปากของนกเหยี่ยว มีเกล็ดบริเวณหัวด้านหน้า 2 คู่ และเกล็ดบริเวณด้านข้างข้างละ 4 เกล็ด ลักษณะของกระดองมีลวดลายและสีสันสวยงาม ขอบกระดองเป็นหยักโดยรอบ ซึ่งในอดีตมักจะถูกนำไปทำเป็นเครื่องประดับและข้าวของต่าง ๆ เช่น หวี เมื่อโตเต็มที่ จะมีขนาดความยาวประมาณ 100 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 120 กิโลกรัม เต่ากระพบกระจายพันธุ์ในเขตอบอุ่นในมหาสมุทรทั่วทั้งโลก โดยมักอาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่งที่สงบเงียบไม่มีการรบกวน จากการศึกษาพบว่า เต่ากระกินทั้งได้พืชและสัตว์ โดยใช้ปากที่งองุ้มนี้กินทั้งสาหร่ายทะเล, หญ้าทะเล รวมทั้งสัตว์น้ำประเภทต่าง ๆ รวมถึงปะการังด้วย วางไข่บนชายหาดครั้งละ 150-250 ฟอง จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1 ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 และจัดเป็น 1 ใน 4 ชนิดของเต่าทะเลที่พบได้ในน่านน้ำไท.

ใหม่!!: สัตว์และเต่ากระ · ดูเพิ่มเติม »

เต่ากระอาน

ต่ากระอาน (Northern river terrapin) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง จัดเป็นเต่าน้ำจืด-น้ำกร่อย มีความยาวกระดองมากกว่า 60 เซนติเมตร ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และถือว่าเป็นเต่าที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤติ ล่าสุดชาวบ้านในพื้นที่ อ.ตะกั่วทุ่ง.พังงา พบบริเวณคลองถ้ำเมื่อวันที่ 3 มกราคม..

ใหม่!!: สัตว์และเต่ากระอาน · ดูเพิ่มเติม »

เต่าญี่ปุ่น

ต่าญี่ปุ่น หรือ เต่าแก้มแดง (Red-eared slider) เป็นเต่าน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ทวีปอเมริกาเหนือ จัดเป็นชนิดย่อยของเต่าแก้มแดง (T. scripta) มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำแถบรัฐอิลลินอยส์, แม่น้ำมิสซิสซิปปี ไปจนถึงอ่าวเม็กซิโก เหตุที่ได้ชื่อว่า เต่าญี่ปุ่นเพราะว่าในประเทศไทย พ่อค้าชาวญี่ปุ่นเป็นบุคคลแรกที่นำเต่าชนิดนี้มาขาย จึงทำให้ได้ชื่อว่า เต่าญี่ปุ่น ลักษณะเมื่อแรกเกิด กระดองจะเป็นสีเขียว เมื่อโตขึ้นจะเปลี่ยนไปเป็นสีคล้ำ เท้าทั้ง 4 ข้างมีพังผืดใช้ว่ายน้ำได้ดี มีจุดเด่นคือ รอบ ๆ ดวงตามีสีแดง จึงทำให้ได้ชื่อว่า เต่าแก้มแดง ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1 ฟุต โดยที่ตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าตัวเมียเล็กน้อย กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ แม้กระทั่งลูกเป็ดขนาดเล็กที่กำลังว่ายน้ำอยู่ ผสมพันธุ์กันในน้ำระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน จากนั้นในเดือนสิงหาคม ตัวเมียจะขึ้นมาวางไข่ในหาดทราย ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 60-75 วัน อายุเมื่อพร้อมที่จะผสมพันธุ์ประมาณ 2 ปี และมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 30 ปี เต่าขนาดเล็กที่กระดองยังเป็นสีเขียว สีเผือก ซึ่งมีราคาซื้อขายที่แพงมาก''Albino (มัน เผือก มาก)'', โดย เวอร์ริเดียน, ชวิน ตันพิทยคุปต์ คอลัมน์ Aqua Knowledge หน้า 70-73. นิตยสาร Aquarium Biz ปีที่ 2 ฉบับที่ 16: ตุลาคม 2011 เต่าญี่ปุ่น นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลินมาก ด้วยเป็นที่รู้จักกันดีจากการที่ถูกอ้างอิงถึงในภาพยนตร์การ์ตูนชุด Teenage Mutant Ninja Turtles ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคทศวรรษที่ 80 และ90 ในประเทศไทยมีการเลี้ยงกันมานานกว่า 30 ปี ได้รับความนิยมอย่างยิ่งเนื่องจากความน่ารักในเต่าขนาดเล็กประกอบกับมีราคาถูก แต่ทว่าก็ได้กลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน เนื่องจากเมื่อเต่าโตขึ้นแล้วไม่สวยน่ารักเหมือนอย่างเก่า เจ้าของจึงนำไปปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ กลายเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่น เนื่องจากสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี และยังทนทานต่อมลภาวะได้ดีกว่าเต่าพื้นเมือง ทำให้แพร่ขยายพันธุ์แย่งอาหารและถิ่นที่อยู่ของเต่าพื้นเมืองไทย รวมถึงยังเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในที่อื่น ๆ ด้วย เช่น กรุงลอนดอน ในประเทศอังกฤษ.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าญี่ปุ่น · ดูเพิ่มเติม »

เต่ามะเฟือง

ต่ามะเฟือง หรือ เต่าเหลี่ยม (Leatherback turtle) เป็นเต่าทะเล จัดเป็นเต่าชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ในบรรดาสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมดที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์อยู่จนถึงปัจจุบัน จึงเป็นเต่าเพียงชนิดเดียวในวงศ์ Dermochelyidae และสกุล Dermochelys เต่ามะเฟืองสามารถแยกออกจากเต่าประเภทอื่นได้โดยการสังเกตที่กระดองจะมีขนาดคล้ายผลมะเฟือง และครีบคู่หน้าไม่มีเล็บ ตั้งแต่ออกจากไข่ ความลึกที่เต่ามะเฟืองสามารถดำน้ำได้ถึง 1,280 เมตร.

ใหม่!!: สัตว์และเต่ามะเฟือง · ดูเพิ่มเติม »

เต่ามาตามาต้า

ต่ามาตามาต้า (Mata mata turtle, Matamata turtle) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าชนิดหนึ่ง ในวงศ์เต่าคองู (Chelidae) จัดเป็นเต่าเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Chelus โดยคำว่า "Mata mata" ที่เป็นชื่อสามัญนั้น มาจากภาษาสเปนแปลว่า "ฆ่ามัน ฆ่ามัน" จัดว่าเป็นเต่าชนิดหนึ่งที่หากินและอาศัยอยู่ในน้ำตลอดเวลา มีรูปร่างแปลกตา นับว่าเป็นนักพรางตัวเข้ากับได้ดีเยี่ยมชนิดหนึ่ง เพราะมีรูปร่างและสีสันกลมกลืนกับธรรมชาติมาก เต่ามาตามาต้ามีส่วนหัวที่แบนแผ่เป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ และผิวหนังขรุขระและมีติ่งเนื้อล้อมรอบทำหน้าที่รับความรู้สึกและตรวจสอบการกระเพื่อมของน้ำ กระดองกว้างและแบนราบมีสันขนาดใหญ่ 3 สัน เรียงตามความยาวของกระดอง ที่เมื่ออยู่ในน้ำแล้วมองดูเหมือนก้อนหิน หรือเปลือกไม้ หรือใบไม้มากกว่า และมีจมูกที่มีความยาวคล้ายหลอด คอยาวเหมือนงู ซึ่งทั้งหมดใช้สำหรับการพรางตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใต้พื้นน้ำ เพื่อรอดักซุ่มเหยื่อ ซึ่งได้แก่ ปลา โดยเต่ามาตามาต้าจะอยู่นิ่ง ๆ อ้าปากรอปลาที่ผ่านเข้ามาในระยะของปาก จะกินปลาด้วยการดูดเข้าไป รวมถึงกินสัตว์อย่างอื่นได้ด้วย เช่น ครัสเตเชียน, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ตลอดจนสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เต่ามาตามาต้า โตเต็มที่ได้ถึง 50 เซนติเมตร น้ำหนักกว่า 20 กิโลกรัม นับเป็นเต่าน้ำที่มีขนาดใหญ่อีกชนิดหนึ่ง กระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำจืดของทวีปอเมริกาใต้ เช่น แม่น้ำโอรีโนโก และอเมซอน มักอาศัยอยู่ในน้ำที่มีสภาพเป็นกรดสูงซึ่งเกิดจากการทับถมของเศษซากพืชต่าง ๆ จนน้ำมีสีคล้ายสีน้ำตาลหรือสีชา มีสารแทนนินสูง มีพฤติกรรมเชื่องช้าเป็น อาศัยอยู่โดดเดียว โดยหากินและอาศัยอยู่ในน้ำตลอดเวลา ยกเว้นเมื่อตัวเมียขึ้นมาวางไข่บนบกเท่านั้น โดยวางไข่บนดินเลนประมาณ 12-28 ฟอง อายุที่พร้อมขยายพันธุ์อยู่ที่ 5 ปี ฤดูการวางไข่อยู่ที่ปลายปีราวเดือนตุลาคม-ธันวาคม ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 208 วัน นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และเต่ามาตามาต้า · ดูเพิ่มเติม »

เต่ายักษ์กาลาปาโกส

ต่ายักษ์กาลาปาโกส หรือ เต่ากาลาปาโกส (Galápagos tortoise, Galápagos giant tortoise) สัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกเต่า จัดเป็นเต่าบกชนิดหนึ่ง นับเป็นเต่าบกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีลักษณะเด่น คือ กระดองหนา มีสีเทาเข้มจนถึงสีดำ มีคอที่ยาวมากเพื่อใช้ในการหาอาหาร หัวมีขนาดเล็ก ตัวผู้มีกระดองยาว 122 เซนติเมตร น้ำหนักได้ถึง 250 กิโลกรัม ตัวเมียจะตัวเล็กกว่า กระดองยาว 91 เซนติเมตร น้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 159 กิโลกรัม วางไข่ประมาณ 9-25 ฟอง ไข่จะฟักในอุณหภูมิประมาณ 35-40 องศาเซลเซียส แต่จะเหลือลูกเต่าไม่ถึงครึ่งที่มีชีวิตรอดจากการวางไข่แต่ละครั้ง ชอบอาศัยในที่พุ่มไม้เตี้ย ในบึง และเนินทรายชายฝั่ง และมีอายุยืนได้นานมากกว่า 100 ปี หรือเกือบ ๆ 200 ปี เต่ายักษ์กาลาปาโกส เป็นเต่าที่กินพืชเป็นอาหาร โดยสามารถกินพืชที่ขึ้นที่แห้งแล้งชนิดต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย รวมถึงพืชที่มีหนามแหลมอย่างกระบองเพชรด้วย และจากการศึกษาจากนักวิทยาศาสตร์พบว่าเมื่อถึงฤดูแล้งที่สภาพอาหารเหือดแห้ง เต่ายักษ์กาลาปาโกสสามารถปรับตัวให้หัวใจเต้นเพียงครั้งละ 1 ครั้งต่อ 1 นาทีได้ด้วย เพื่อประหยัดพลังงานในการเผาผลาญอาหาร และในช่วงฤดูผสมพันธุ์ จากการติดเครื่องติดตามดาวเทียมพบว่า เต่ายักษ์กาลาปาโกสมีพื้นที่อพยพ 6 ไมล์ จากยอดภูเขาไฟอัลเซโด มาจนถึงระดับน้ำทะเล เพื่อผสมพันธุ์ ซึ่งบางตัวอาจใช้เวลาเดินทางนานถึง 2 เดือน หน้า 100, Close Encounters.

ใหม่!!: สัตว์และเต่ายักษ์กาลาปาโกส · ดูเพิ่มเติม »

เต่ายักษ์เซเชลส์

ต่ายักษ์เซเชลส์ (Seychelles giant tortoise) เป็นเต่าบกที่เคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 เนื่องจากถิ่นที่อยู่บนหมู่เกาะเซเชลส์ถูกมนุษย์รุกรานอย่างหนัก ซึ่งเต่ายักษ์ชนิดอื่นๆที่ใกล้เคียงกันบนหมู่เกาะอื่นๆในมหาสมุทรอินเดีย อย่างเช่นมอริเชียส, เรอูนียง และ เกาะโรดริเกซ ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว เต่ายักษ์ในมหาสมุทรอินเดียเพียงชนิดเดียวที่เหลือรอดมาได้คือ เต่ายักษ์อัลดาบร้า (A. gigantea) เนื่องจากมีถิ่นที่อยู่โดดเดี่ยวและมีกฎหมายคุ้มครองในศตวรรษที่ 19 เต่ายักษ์เซเชลส์อาศัยอยู่บนหมู่เกาะเซเชลส์ กินพืชพรรณตามริมหนองและลำธารเป็นอาหาร เมื่อ..

ใหม่!!: สัตว์และเต่ายักษ์เซเชลส์ · ดูเพิ่มเติม »

เต่ายูนิฟอรา

ต่ายูนิฟอรา (Ploughshare tortoise, Madagascar tortoise, Angonoka, Madagascar angulated tortoise) สัตว์เลื้อยคลานประเภทเต่า จำพวกเต่าบกชนิดหนึ่ง เต่ายูนิฟอรา มีลักษณะเด่น คือ กระดองจะกลมสูงกว่าเต่าชนิดอื่น ๆ ตรงขอบด้านข้างของกระดอง จะยังคงมีลายสามเหลี่ยมสีเข้มชี้ขึ้นข้างบน โดยที่ฐานของสามเหลี่ยมจะชนกันทำให้ส่วนล่างของขอบกระดองด้านข้างเป็นสีดำ แลดูคล้ายแฉกของดาว จัดว่าเป็นเต่าที่มีความสวยงามมากชนิดหนึ่ง ขนาดเมื่อโตเต็มที่ ตัวผู้มีความยาวประมาณ 17.5 นิ้ว (44.5 เซนติเมตร) และตัวเมียประมาณ 15 นิ้ว (38 เซนติเมตร) กินพืชจำพวกใบไม้ตระกูลถั่ว โดยเฉพาะที่อยู่ในสกุลชงโค (Bauhinia) เป็นอาหารหลักมากถึงร้อยละ 90 ที่เหลืออีกร้อยละ 10 เป็นหญ้า เป็นเต่าที่พบได้เฉพาะบนเกาะมาดากัสการ์ ในป่าละเมาะใกล้ชายฝั่งทะเลทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะใกล้กับอ่าวบาลีเบย์ที่เดียวเท่านั้น ด้วยความสวยงามจึงมักถูกจับนำมาขายเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่เสมอ ๆกอรปกับพื้นที่อาศัยถูกบุกรุกแผ้วถางด้วยไฟเพื่อทำการเกษตรรวมทั้งถูกจับไปบริโภคเป็นอาหาร จนคาดว่าเหลือปริมาณประชากรในธรรมชาติไม่ถึง 400 ตัว ถือได้ว่าเป็นเต่าบกชนิดที่หายากที่สุดในโลก จึงมักตกเป็นข่าวลักลอบซื้อขายกันอย่างผิดกฎหมายอยู่บ่อย ๆ มีราคาซื้อขายที่สูงมากแม้ว่าปัจจุบันจะสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วก็ตาม โดยเต่าขนาดเล็กอายุประมาณ 3–4 ปี ขนาดประมาณ 6 นิ้ว มีราคาซื้อขายกันอยู่กับที่ประมาณ 200,000 บาท และตัวใหญ่อายุประมาณ 10 ปี ความยาวประมาณ 12 นิ้ว ราคาซื้อขายอยู่ที่ 1–2,000,000 บาท โดยในตัวใหญ่มีราคาซื้อกันที่เซนติเมตรละ 200,000 บาท ราคาจะแตกต่างกันไปที่ความสวยงามของกระดองและอายุรวมถึงขนาดหน้า 9 ต่อหน้า 1, เส้นทางทารุณ 'เต่า' สัตว์มงคล.

ใหม่!!: สัตว์และเต่ายูนิฟอรา · ดูเพิ่มเติม »

เต่ารัศมีดารา

ต่ารัศมีดารา เป็นสกุลของเต่าจำพวกเต่าบก (Testudinidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Astrochelys (/แอส-โตร-เช-ลิส/) พบเพียง 2 ชนิด เท่านั้น บนเกาะมาดากัสการ์ เป็นเต่าที่มีกระดองสวยงาม โดยลายจะเป็นลายสวยเป็นลายใบมีดของคันไถ และเป็นลายรัศมีคล้ายดาว จึงเป็นที่นิยมอย่างยิ่งของนักเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ จนกระทั่งเข้าสู่ภาวะใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤตแล้วในธรรมชาติทั้งคู.

ใหม่!!: สัตว์และเต่ารัศมีดารา · ดูเพิ่มเติม »

เต่าราเดียตา

ต่าราเดียตา หรือ เต่ารัศมีดารา (Radiated tortoise) เป็นเต่าบกชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Astrochelys radiata มีกระดองที่มีสีสวยโดยเฉพาะในวัยเล็ก คล้ายกับเต่าในสกุล Geochelone ที่เคยถูกจัดให้อยู่ร่วมสกุลเดียวกันมาก่อน แต่ทว่ามีลวดลายที่ละเอียดกว่ามากเหมือนกับลายของ "ดาว" โดยเฉพาะในตัวที่มีสีเหลืองมาก จะเรียกว่า "ไฮเยลโล่" จัดเป็นเต่าขนาดกลาง เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดประมาณหนึ่งฟุตครึ่ง น้ำหนักประมาณ 35 ปอนด์ มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศมาดากัสการ์บริเวณตอนใต้ และถูกนำเข้าไปในเรอูว์นียง และมอริเชียส ในสภาพที่เป็นทะเลทราย แต่ก็เป็นเต่าที่ชอบความเย็นและความชื้นพอสมควร เนื่องจากสภาพที่อยู่อาศัยมีสภาพฝนตกชุกอยู่ด้วย กินผักและผลไม้หลากชนิดเป็นอาหาร ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ วางไข่ในหลุมที่ตัวเมียเป็นฝ่ายขุดประมาณ 7-9 ฟอง แล้วเว้นช่วงไป จากนั้นก็จะขุดหลุมใหม่เพื่อวางไข่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าไข่จะหมด ใช้เวลาฟักประมาณ 200 วัน ซึ่งไข่จะฟักเป็นตัวเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ เต่าราเดียตา เป็นเต่าบกที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในแง่ของการนิยมเป็นสัตว์เลี้ยง มีราคาซื้อขายที่แพงมาก มีการอนุรักษ์มีสถานะติดอยู่ในบัญชีหมายเลข 1 (Appendix I) ของไซเตส ในธรรมชาติจะอาศัยอยู่ในพุ่มไม้หนามทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมาดากัสการ์ แม้จะมีปริมาณในธรรมชาติมากถึง 63,000,000 ตัว แต่ทว่าก็มีปริมาณลดลงเรื่อย ๆ ถึงร้อยละ 47 จากเมื่อ 11 ปีก่อน คาดว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปภายใน 20 ปี ข้างหน้า เต่าราเดียตาจะสูญพันธุ์ในที่สุด ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มีรายงานการเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้สำเร็จ จึงมีการลักลอบเข้ามาจากมาดากัสดาร์ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหม.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าราเดียตา · ดูเพิ่มเติม »

เต่าริดลีย์

ต่าริดลีย์ (Ridley sea turtle) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานทางทะเลจำพวกเต่าสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อว่า Lepidochelys ในวงศ์เต่าทะเล (Cheloniidae) เต่าริดลีย์ มีความยาวของกระดอง 70 เซนติเมตร จัดเป็นเต่าทะเลขนาดเล็ก และเป็นเต่าทะเลเพียงสกุลเดียวที่มีพฤติกรรมวางไข่ในเวลากลางวันด้วย ส่วนการวางไข่ในเวลากลางคืนมีปรากฏการณ์พิเศษ โดยเฉพาะที่ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของคอสตาริกา ในคืนข้างแรมที่น้ำขึ้นสูงสุด เต่าริดลีย์จะมารวมตัวกันวางไข่เป็นจำนวนมากได้ถึง 400,000 ตัว ภายในเวลา 6 วัน ในอัตราเฉลี่ยนาทีละ 5,000 ตัว ทั้งไปและมา ถึงขนาดที่ชายหาดเต็มไปด้วยเต่าจนต้องปีนป่ายบนหลังตัวอื่น คิดเป็นประชากรเต่าริดลีย์ 1 ใน 4 โลก ซึ่งการรวมตัวกันวางไข่มากถึงขนาดนี้เรียกว่า "อารีบาดา" (Arribada) ชื่อ "ริดลีย์" มาจาก อาร์ชีย์ คารร์ นักอนุรักษ์และนักวิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชาวอเมริกัน เป็นผู้เรียกขาน โดยอธิบายว่าเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกทั่วไปในแถบฟลอริดา เต่าริดลีย์ จำแนกออกได้เป็น 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าริดลีย์ · ดูเพิ่มเติม »

เต่าลายตีนเป็ด

ต่าลายตีนเป็ด (Painted terrapin) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าน้ำชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Batagur borneoensis เป็นเต่าที่มีสีสันสวยงาม กระดองค่อนข้างกลม ขนาดกระดองหลังมีความยาว 60 เซนติเมตร กระดองหลังมีสีน้ำตาลอ่อน ๆ มีลายสีดำตามยาว 3 เส้น หัวสีน้ำตาลมีแถบสีขาว ขามีสีเทา กระดองส่วนท้องสีขาวหรือสีครีม อาศัยอยู่บริเวณน้ำกร่อยแถบปากแม่น้ำ พบมากที่จังหวัดนราธิวาสและปัตตานี ปัจจุบันในประเทศไทยพบเฉพาะแค่ปากคลองละงู ใน อำเภอละงู จังหวัดสตูลเท่านั้น กินสัตว์น้ำและพืชเป็นอาหาร ในต่างประเทศพบที่ มาเลเซีย, บรูไน และอินโดนีเซีย ตัวเต็มวัยเพศผู้มีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย ผสมพันธุ์กันทั้งกลางวันและกลางคืน ระหว่างเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคม แม่เต่าขึ้นมาวางไข่ประมาณต้นเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ เวลา 21.00 นาฬิกา จนถึง 04.00 นาฬิกา ไข่มีลักษณะยาวรีเท่ากันตลอดฟอง ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวใช้เวลาราว 88-99 วัน ปัจจุบัน เป็นเต่าที่ใกล้สูญพันธุ์มากแล้ว และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 2 ในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535Praschag, P., Hundsdörfer, A. K. & Fritz, U. (2007).

ใหม่!!: สัตว์และเต่าลายตีนเป็ด · ดูเพิ่มเติม »

เต่าสแนปปิ้ง

ต่าสแนปปิ้ง หรือ เต่าฉก (Snapping turtles) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chelydra ในวงศ์เต่าสแนปปิ้ง (Chelydridae) จัดเป็นเต่าขนาดใหญ่จำพวกหนึ่ง นอกเหนือไปจากสกุล Macroclemys หรือเต่าอัลลิเกเตอร์ ซึ่งเป็นเต่าน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเต่ากินเนื้อขนาดใหญ่ พบกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาทั้งอเมริกาเหนือ, อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ โดยอาศัยในแหล่งน้ำระดับน้ำตื้นและขึ้นมาบนบกบ้าง แต่การกินอาหาร, ผสมพันธุ์ และการจำศีลในฤดูหนาวกระทำในน้ำทั้งสิ้น การขึ้นมาบนบกเป็นการแพร่กระจายไปในพื้นที่ใหม่ กินอาหารทั้งพืชและสัตว์ มีพฤติกรรมการหาอาหารต่างไปจากเต่าอัลลิเกเตอร์ตรงที่จะใช้การเคลื่อนย้ายหาเหยื่อหรืออยู่นิ่งกับที่เพื่อให้เหยื่อเข้ามาใกล้ แล้วค่อยฉกงับอย่างรุนแรง.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าสแนปปิ้ง · ดูเพิ่มเติม »

เต่าหก

ต่าหก (Asian forest tortoise) เป็นเต่าบกชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Manouria emys เมื่อโตเต็มที่มีกระดองยาว 2 ฟุต น้ำหนักประมาณ 30-40 กิโลกรัม กระดองโค้งสูงมาก ขาหน้าด้านบนมีเกล็ดใหญ่ ๆ ขาหลังสั้นทู่มีเล็บกลมใหญ่ และไม่มีเกล็ดขนาดใหญ่ มีเดือยอยู่ระหว่างขาหลังกับหางข้างละอัน เดือยมีกระดูกอยู่ข้างใน สำหรับใช้ยันพื้นดินเวลาปีนขึ้นที่สูงจึงดูคล้ายมีขาเพิ่มอีกสองขา เป็นหกขา จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก เต่าหก พบกระจายพันธุ์อยู่ในทวีปเอเชีย ตั้งแต่เอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงอินโดนีเซีย จัดเป็นเต่าบกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบได้ในทวีปเอเชีย แม้จะเป็นเต่าบก แต่ก็ชอบความชื้น ชอบอาศัยอยู่ในโคลนตมหรือใกล้แหล่งน้ำ ในป่าดิบเขา โดยจะขุดหลุมแล้วฝังตัวอยู่ ไม่ค่อยพบในที่ราบ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย คือ.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าหก · ดูเพิ่มเติม »

เต่าหญ้า

ต่าหญ้า หรือ เต่าสังกะสี หรือ เต่าหญ้าแปซิฟิก (Olive ridley sea turtle, Pacific ridley) เป็นเต่าทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lepidochelys olivacea เป็นเต่าทะเลขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ประมาณ 60-70 เซนติเมตร น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 30-40 กิโลกรัม กระดองมีสีเขียวมะกอกหรือสีน้ำตาล เกล็ดบนกระดองมีลักษณะซ้อนกันเหมือนสังกะสีมุงหลังคา อันเป็นที่มาของอีกชื่อเรียกหนึ่ง ส่วนท้องมีสีเหลืองออกขาว หัวค่อนข้างโต ดวงตาปูนโปนออกมา กระดองมีความแข็งมาก ริมฝีปากสั้นทู่และคมแข็งแรงมากเพื่อใช้สำหรับขบกัดกินสัตว์มีกระดองซึ่งเป็นอาหารหลัก ส่วนของกระดองและท้องเชื่อมต่อกัน เป็นเต่าทะเลที่ว่ายน้ำได้เร็วมาก โดยอาจว่ายได้ถึง 35 กิโลเมตรต่อหนึ่งชั่วโมง พบกระจายพันธุ์ในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ในมหาสมุทรแอตแลนติกพบน้อยมาก กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น กุ้ง, ปลา, แมงกะพรุน, ปู, หอย, สาหร่ายทะเลและหญ้าทะเล ในน่านน้ำไทยจะพบได้ในฝั่งทะเลอันดามัน ในอ่าวไทยจะพบได้น้อยกว่า จัดเป็นเต่าทะเลอีกชนิดหนึ่งที่พบได้น้อบมากในน่านน้ำไทย โดยการวางไข่มีรายงานว่าพบที่ฝั่งทะเลอันดามันเท่านั้น โดยไม่พบในฝั่งอ่าวไทย และจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าหญ้า · ดูเพิ่มเติม »

เต่าหับ

ต่าหับ (Asian box turtle, Siamese box terrapin) สัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายเต่านา แต่มีกระดองโค้งนูนสูงกว่า กระดองราบเรียบ ใต้ท้องแบ่งเป็น 2 ตอน ซึ่งเรียกว่า "แผ่น" หรือ "หับ" หรือ "ขีด" สามารถเก็บขา หัว และหางเข้ากระดองได้มิดชิด อันเป็นที่มาของชื่อ หัวมีขนาดเล็กสีเหลืองมีลวดลายสีดำ กระดองสีน้ำตาลเข้ม ใต้ท้องสีขาวหรือสีเหลือง โตได้เต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร สามารถพบได้ในแหล่งน้ำทุกภาคของประเทศไทยโดยเฉพาะภาคกลางและภาคใต้ ในต่างประเทศพบที่อินเดีย ภูมิภาคอินโดจีน, พม่า, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ เป็นเต่าที่สามารถว่ายน้ำได้ดี แต่ชอบอยู่บนบกที่มีความชื้นมากกว่าลงน้ำ ผสมพันธุ์ในน้ำ แต่วางไข่บนบก ปีหนึ่งวางไข่หลายครั้ง ทว่าวางไข่เพียงครั้งละ 2-3 ฟองเท่านั้น อาหารสามารถกินได้ทั้งพืชและสัตว์ มีชนิดย่อย ถึง 4 ชนิด ได้แก่ C. a. lineata พบในพม่า, C. a. amboinensis พบในอินโดนีเซีย, ซูลาเวสี, C. a. couro พบในสุมาตรา, ชวา, บาหลี และ C. a. kamaroma พบในไทย, มาเลเซีย นอกจากนี้แล้ว เต่าหับยังมีความแตกต่างหากหลายทางสีสันและลวดลายต่าง ๆ ออกไปอีก เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 โดยจากสถิติในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าเต่าหับนับเป็นสัตว์ที่มีการลักลอบซื้อขายกันมากที่สุดในตลาดค้าสัตว์ป่าร่วมกับลิ่น โดยเต่าที่เข้ามาในประเทศไทย ส่วนมากจะถูกนำเข้ามาทางอินโดนีเซียผ่านมาทางมาเลเซีย และเข้ามาทางภาคใต้ของไทย ก่อนจะนำออกต่อไปยังประเทศจีนและเวียดนาม โดยเต่าหับนอกจากได้รับความนิยมในแง่ของการเป็นสัตว์เลี้ยงแล้ว ยังถือว่าเป็นสัตว์นำโชคอีกด้วย เชื่อว่าจะนำโชคลาภมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ โดยเฉพาะหากเต่าหับตัวใดมีหับที่ใต้ท้องมากกว่า 2 ตอน หรือ 3 ตอน และยังนำกระดองไปทำเป็นเครื่องรางของขลังได้อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าหับ · ดูเพิ่มเติม »

เต่าหับเอเชีย

ต่าหับเอเชีย (Asian box turtles; 閉殼龜屬; พินอิน: Bì ké guī shǔ) เป็นสกุลของเต่าสกุลหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์เต่านา (Geoemydidae) ใช้ชื่อสกุลว่า Cuora มีรูปร่างคล้ายโดยรวมคล้ายกับเต่าในวงศ์นี้ส่วนใหญ่ คือ กระดองโค้งกลมเห็นได้ชัด มีลักษณะสำคัญ คือ กระดองส่วนท้องแบ่งออกเป็น 2 ตอน สามารถทำให้พับหับได้เหมือนกล่อง ซึ่งเต่าจะสามารถเก็บส่วนหัว ขาทั้ง 4 ข้าง และหางได้ปิดสนิท เต่าหับเอเชียนั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดประมาณ 9 ชนิด กระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์และตอนใต้ของจีน เช่น มณฑลยูนนาน เป็นเต่าที่สามารถว่ายน้ำได้ดี แต่มักที่จะอยู่บนพื้นดินที่มีความชุ่มชื้นมากกว่า กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ เต่าหับเอเชียนอกจากได้รับความนิยมในแง่ของการเป็นสัตว์เลี้ยงแล้ว ยังถือว่าเป็นสัตว์นำโชคอีกด้วย เชื่อว่าจะนำโชคลาภมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ โดยเฉพาะหากเต่าหับตัวใดมีหับที่ใต้ท้องมากกว่า 2 ตอน หรือ 3 ตอน และยังนำกระดองไปทำเป็นเครื่องรางของขลังได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างในเต่าหับเหรียญทอง (C. aurocapitata) โดยที่มาของความเชื่อมาจากชาวจีน.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าหับเอเชีย · ดูเพิ่มเติม »

เต่าหัวค้อน

ต่าหัวค้อน หรือ เต่าล็อกเกอร์เฮด หรือ เต่าจะละเม็ด (Loggerhead) เป็นเต่าทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Caretta caretta จัดเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Caretta ลักษณะทั่ว ๆ ไปคล้ายเต่าหญ้า (Lepidochelys olivacea) และเต่าตนุ (Chelonia mydas) มาก ต่างกันที่เกล็ดบนส่วนหัวตอนหน้ามี จำนวน 2 คู่ เท่ากับเต่าหญ้า แต่เกล็ดบนกระดองหลังแถวข้างมีจำนวน 5 แผ่นซึ่งต่างจากเต่าทะเลชนิดอื่น ๆ และรูปทรงของกระดองจะเรียวเล็กลงมาทางส่วนท้ายและเป็นสันแข็งเห็นชัดเจน กระดองมีสีน้ำตาลแดง น้ำตาลเหลือง หรือน้ำตาลส้ม ขอบชายโครงมีสันแข็ง ขณะที่ยังเป็นลูกเต่ากระดองจะยกสูง ที่สำคัญเป็นจุดเด่น คือ มีหัวขนาดใหญ่โตอย่างเห็นได้ชัด อันเป็นที่มาของชื่อเรียก ขาซึ่งเป็นใบพายทั้งคู่หน้าและคู่หลังมีเล็บหนึ่งเล็บในแต่ละข้าง ขนาดเมื่อโตเต็มที่มีขนาดกระดองหลังยาวประมาณ 85 เซนติเมตร กระดองท้อง 60 เซนติเมตร มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม กินอาหารจำพวก สัตว์น้ำมีเปลือกและหอย เป็นอาหารหลัก พบน้อยมากที่มหาสมุทรแปซิฟิก แต่พบมากที่มหาสมุทรแอตแลนติก ในน่านน้ำไทยพบน้อยมาก และไม่พบรายงานว่ามีการขึ้นมาวางไข่เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว แต่ยังพบได้บ้างที่เขตอบอุ่นทางตอนเหนือของออสเตรเลียและทะเลญี่ปุ่น หรืออินโดนีเซีย ในเดือนมีนาคม..

ใหม่!!: สัตว์และเต่าหัวค้อน · ดูเพิ่มเติม »

เต่าอัลลิเกเตอร์

ต่าอัลลิเกเตอร์ในสวนสัตว์พาต้า เต่าอัลลิเกเตอร์ หรือ เต่าอัลลิเกเตอร์ สแนปปิ้ง (Alligator snapping turtle) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์เต่าสแนปปิ้ง (Chelydridae) จัดเป็นเต่าเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Macrochelys ซึ่งหลายชนิดในวงศ์นี้ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตชนิดหนึ่ง และตั้งชื่อวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นเกียรติแด่ คอนราด จาค็อบ แทมมินค์ นักสัตววิทยาชาวดัตช์ เต่าอัลลิเกเตอร์ มีส่วนหัวใหญ่ตัน ขากรรไกรรูปร่างเหมือนจะงอยปากและกระดองยาวหนามีสัน 3 สันแลดูคล้ายหลังของอัลลิเกเตอร์ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ กระดองของมีสีเทาเข้ม หรือน้ำตาล, ดำ, หรือสีเขียวมะกอก ในบางครั้งอาจมีตะไคร่น้ำเกาะเพื่อใช้พรางตัว มีลายสีเหลืองบนตาที่ช่วยในการพรางตัวและมีหน้าที่แบ่งส่วนลูกตา รอบ ๆ ดวงตาของถูกล้อมรอบด้วยเนื้อรูปดาวซึ่งดูแล้วเหมือนขนตา ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย โดยตัวผู้นั้นนั้นมีความยาวกระดอง 66 เซนติเมตร และมีน้ำหนักได้ถึง 80 กิโลกรัม ส่วนตัวเมียมีน้ำหนัก 23 กิโลกรัม ความแตกต่างระหว่างเพศสามารถดูได้จากความหนาของโคนหาง โดยเต่าตัวผู้จะมีโคนหางที่หนากว่าเพราะเป็นส่วนที่ซ่อนอวัยวะสืบพันธุ์ไว้ โดยตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่มีบันทึกอย่างไม่เป็นทางการระบุว่ามีน้ำหนักถึง 403 ปอนด์ (ประมาณ 183 กิโลกรัม) พบในแม่น้ำนีโอโช ในรัฐแคนซัส เมื่อปี ค.ศ. 1937 ขณะที่ตัวที่มีบันทึกไว้อย่างเป็นทางการมีน้ำหนักถึง 236 ปอนด์ อยู่ที่สวนสัตว์บรู๊คฟิลด์ ในชิคาโก เต่าอัลลิเกเตอร์ จัดเป็นเต่าน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีแรงกัดของกรามที่รุนแรง โดยเต่าขนาด 1 ฟุต มีแรงกัดถึง 1,000 ปอนด์ ซึ่งเป็นแรงกัดมหาศาลเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจาก จระเข้น้ำเค็ม และ ไฮยีน่า แม้แต่สุนัขขนาดใหญ่ที่ดุร้าย เช่น พิทบูล ยังมีแรงกัดได้เพียง 400-500 ปอนด์เท่านั้น และเมื่อกัดแล้วกรามจะล็อกเพื่อไม่ให้ดิ้นหลุด จนผู้เชี่ยวชาญในการจับเต่าอัลลิเกเตอร์กล่าวว่า หากถูกเต่าอัลลิเกเตอร์กัดแล้ว วิธีเดียวที่จะเอาออกมาได้ คือ ต้องตัดหัวออกแล้วใช้ไม้เสียบเข้าไปในรูจมูกให้ทะลุถึงคอ เพื่อปลดล็อกกราม เต่าอัลลิเกเตอร์ เป็นเต่าที่กระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำจืดของหลายพื้นที่ในภาคตะวันออกและภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา กินเนื้อเป็นอาหาร กินปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร โดยวิธีการซุ่มนิ่ง ๆ ไม่เคลื่อนไหวใต้น้ำ แล้วอ้าปากใช้ลิ้นที่ส่วนปลายแตกเป็น 2 แฉกที่ส่วนปลายสุดของกรามล่าง เพื่อตัวหลอกปลาให้เข้าใจว่าเป็นหนอน เมื่อปลาเข้าใกล้ได้จังหวะงับ ก็จะงับด้วยความรุนแรงและรวดเร็ว นอกจากนี้แล้วเต่าอัลลิเกเตอร์ยังกินเต่าด้วยกัน รวมถึงเต่าอัลลิเกเตอร์ด้วยกันเองเป็นอาหารด้วยจากการขบกัดที่รุนแรง เชื่อกันว่า เต่าอัลลิเกเตอร์มีอายุยืนได้ถึง 200 ปี แต่อายุโดยเฉลี่ยในที่เลี้ยง คือ 20-70 ปี เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 11-13 ปี โดยจะโตไปได้เรื่อย ๆ ตลอดชีวิต โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์ แต่เมื่อเลยไปแล้วอัตราการเจริญเติบโตก็จะช้าลง ตัวเมียวางไข่ขนาดเท่าลูกปิงปองได้มากถึง 52 ฟอง แต่โดยเฉลี่ยประมาณ 29-31 ฟอง โดยขุดหลุมฝังไว้ในพื้นดิน ซึ่งไข่จำนวนหนึ่งอาจถูกสัตว์กินเนื้อต่าง ๆ เช่น แรคคูน ขุดขโมยไปกินได้ และด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้เต่าในธรรมชาติต้องวางไข่ใกล้กับทางรถไฟมากขึ้น เต่าอัลลิเกเตอร์ นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง และจัดแสดงตามสวนสัตว์ ขณะที่กฎหมายในบางที่เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย ห้ามเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ในบางพื้นที่ เช่น รัฐลุยเซียนา มีการนำไปปรุงเป็นซุป ถือเป็นอาหารท้องถิ่นอย่างหนึ่ง โดยมีการจับส่งให้แก่ร้านอาหารตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 30 จนถึง ทศวรรษที่ 70-80 ทำให้ประชากรเต่าอัลลิเกเตอร์มีจำนวนที่ลดลงSwamp Thing, "Nick Baker's Weird Creatures".

ใหม่!!: สัตว์และเต่าอัลลิเกเตอร์ · ดูเพิ่มเติม »

เต่าอาร์คีลอน

อาร์คีลอน (Archelon) เป็นสกุลของเต่าทะเลสูญพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด ฟอสซิลของมันพบในปี..1895 ที่รัฐเซาท์ ดาโคตา ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับการบรรยายในปี..

ใหม่!!: สัตว์และเต่าอาร์คีลอน · ดูเพิ่มเติม »

เต่าจักร

ต่าจักร (Spiny turtle, Spiny terrapin) สัตว์เลืิ้อยคลานประเภทเต่าชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์เต่านา (Geoemydidae) เต่าจักร มีสันหนาเป็นเส็นกลางแผ่นเกล็ดสันหลังทุกแผ่น และมีตุ่มหลายตุ่มบนแผ่นเกล็ดชายโครงแต่ละแผ่น เมื่อยังเป็นเต่าวัยอ่อนจะมีแผ่นเกล็ดขอบกระดองแต่ละชิ้นคล้ายหนามแหลม 1 หนามคล้ายจักร อันเป็นที่มาของชื่อ ยกเว้นแผ่นเกล็ดขอบกระดอง ที่ 4 ที่ 5 จะมี 2 หนามซึ่งหนามที่ปรากฎในลูกเต่าจะค่อย ๆ หายไปเมื่อโตเต็มที่ ขาหน้าไม่มีผังพืด กระดองหลังสีน้ำตาลแดง กระดองท้องและด้านข้างแผ่นเกล็ดขอบกระดองออกสีเหลืองหรือสีส้ม และมีเส้นลายสีน้ำตาลดำ ขาสีน้ำตาลดำเกล็ดลำตัวออกสีชมพูอ่อน ผิวสีน้ำตาลเทา ส่วนหัวสีน้ำตาล พบกระจายพันธุ์ในที่ชุ่มชื้นของป่าดิบตั้งแต่แหลมมลายูลงไป ตั้งแต่ภาคใต้ของไทย เช่น ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, ระนอง ไปจนถึงพม่า, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, บรูไน จนถึงฟิลิปปินส์ เต่าจักร เป็นเต่าที่อาศัยอยู่บนบกมากกว่าอยู่ในน้ำ โดยมักจะอยู่ในสภาพพื้นที่ ๆ มีความชุ่มชื้นและมีอุณหภูมิที่ค่อนข้างเย็นมากกว่า และพบได้ในที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 900 เมตร กินผักและผลไม้เป็นอาหาร จัดเป็นเต่าอีกชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร น้ำหนักไม่เกิน 6.5 กิโลกรัม นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง ปัจจุบันสามารถขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว โดยพฤติกรรมการผสมพันธุ์และวางไข่จะเลียนแบบตามพฤติกรรมในธรรมชาติ คือ เต่าตัวผู้จะไล่กัดตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ในช่วงฤดูฝนหรือเวลาที่ฝนตก เต่าตัวเมียวางไข่ในช่วงเวลากลางคืน สามารถวางไข่ได้ 3 ครั้่งต่อปี มีระยะเวลาฟักเป็นตัวนานประมาณ 106, 110, และ 145 วัน เต่าจักรเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ตามกฎหมายในประเทศไท.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าจักร · ดูเพิ่มเติม »

เต่าจาน

ต่าจาน หรือ เต่ากระอาน หรือ เต่ากระอานใต้ (Southern river terrapin) เต่าชนิดหนึ่ง ในวงศ์เต่านา (Geoemydidae) เป็นเต่าที่พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำที่เป็นน้ำกร่อยในประเทศมาเลเซีย, อินโดนีเซีย, กัมพูชา ตลอดจนภาคใต้ตอนล่างและภาคตะวันออกของไทย มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับเต่ากระอาน (B. baska) แต่มีจมูกที่งอนกว่า และมีรายงานการพบฟอสซิลที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาด้วย เต่าจาน หรือเต่ากระอานเป็นเต่าอีกชนิดหนึ่งที่ใกล้สูญพันธุ์ เพราะถูกล่าเอาไปทำเป็นอาหารหรือเชื่อว่าเป็นยาบำรุง ในกัมพูชาถูกเรียกว่า "เต่าหลวงกัมพูชา" เนื่องจากในอดีตมีแต่เพียงสมาชิกราชวงศ์เท่านั้นที่จะบริโภคไข่เต่าชนิดนี้ได้ ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วโดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดจังหวัดสตูล ในสังกัดกรมประมง เช่นเดียวกับเต่ากระอาน และเต่าลายตีนเป็ด (B. borneoensis) ซึ่งเป็นเต่าในสกุลเดียวกัน และรวมถึงมีการขยายพันธุ์ได้ด้วยหน่วยงานอนุรักษ์ของทางการกัมพูชาด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าจาน · ดูเพิ่มเติม »

เต่าทะเล

ต่าทะเล (Sea turtle) เป็นเต่าที่อยู่ในวงศ์ใหญ่ Chelonioidea ซึ่งวิวัฒนาการจนสามารถอาศัยอยู่ได้ในทะเลตลอดเวลา โดยจะไม่ขึ้นมาบนบกเลย นอกจากการวางไข่ของตัวเมียเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าทะเล · ดูเพิ่มเติม »

เต่าดาว

ต่าดาว (Star tortoise, Typical tortoise) เป็นสกุลของเต่าจำพวกเต่าบกสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Geochelone (/จี-โอ-เช-ลอน/) พบกระจายพันธุ์บนบกในป่าทวีปเอเชียและแอฟริกา จัดเป็นสกุลที่เป็นต้นแบบของเต่าบกในอีกหลายสกุลและหลายชนิด ปัจจุบันจำแนกออกได้เป็น 3 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าดาว · ดูเพิ่มเติม »

เต่าดาวพม่า

ต่าดาวพม่า (Burmese star tortoise; ชื่อวิทยาศาสตร์: Geochelone platynota) เป็นเต่าบกที่มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 11 นิ้ว มีลวดลายบริเวณกระดองหลังเป็นรูปดาว ความเข้มของสีกระดองจะผันแปรไปตามสภาพแวดล้อม มีช่วงวัยเจริญพันธุ์ 10-15 ปี ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงฤดูฝน มักวางไข่ใต้พื้นทรายหรือทรายที่ปนดิน ระยะเวลาฟักไข่ 130-148 วัน มีถิ่นอาศัยในป่าผลัดใบ, ป่าดิบแล้ง ทุ่งหญ้าทางตอนเหนือของประเทศพม่า อาหารที่เต่าดาวพม่าชอบคือ ผักชนิดต่าง ๆ อาทิ คะน้า, กะหล่ำปลี, ผักโขม, ตำลึง, หน่อไม้ และมะเขือเทศ ปัจจุบันเต่าดาวพม่าได้ถูกขึ้นบัญชีอนุสัญญา CITES ห้ามล่า ห้ามซื้อขายในตลาดค้าสัตว์ ทำให้เต่าดาวพม่าเป็นสัตว์เฉพาะถิ่นและเป็นสัตว์หายาก ในประเทศไทยสวนสัตว์นครราชสีมา หรือสวนสัตว์โคราช ที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ เต่าดาวพม่า ได้เป็นครั้งแรกในโลก.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าดาวพม่า · ดูเพิ่มเติม »

เต่าดำ

ต่าดำ หรือ เต่ากา หรือ เต่าแก้มขาว (Black marsh turtle; 粗頸龜) เป็นเต่าชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็ก มีลักษณะ ลำตัวยาวประมาณครึ่งฟุต น้ำหนักไม่ถึงครึ่งกิโลกรัม ลำตัวแบน มีกระดองสีดำ หัว หาง และขามีสีดำ มีลักษณะเด่น คือ มีแต้มสีขาวเหนือตา แก้ม และตามใบหน้าอีกหลายแห่ง อันเป็นที่มาของชื่อ กระดองส่วนบนยาวเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปตามแหล่งน้ำประเภทหนองหรือบึง ในภูมิภาคเอเชียใต้จนถึงเอเชียอาคเนย์ สำหรับในประเทศไทยพบได้ทุกทั่วภาค แต่จะพบได้มากในภาคกลางและภาคใต้ กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์น้ำ มีอุปนิสัยชอบหมกตัวอยู่ใต้โคลนในน้ำ นาน ๆ ทีจึงค่อยโผล่มาหายใจบนผิวน้ำ ดังนั้นเวลาพบจึงเห็นตัวสกปรกเลอะโคลนอยู่เสมอ จะขึ้นบกเวลากลางคืน เพื่อต้องการหาทำเลวางไข่ หรือผสมพันธุ์ หรือย้ายที่อยู่ ส่วนกลางวันมักหมกตัวอยู่ในที่รก ชื้นแฉะ หรือตามโคลนใต้พื้นน้ำ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 และนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์แปลก ๆ ในเต่าที่เป็นเต่าเผือกจะมีราคาซื้อขายที่แพงมาก เพราะถือเป็นสัตว์ที่หายาก.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าดำ · ดูเพิ่มเติม »

เต่าดำแฮมิลตัน

ระวังสับสนกับ: เต่าบึงดำ เต่าดำแฮมิลตัน หรือ เต่าบึงดำลายจุด (Black pond turtle, Spotted pond turtle, Indian spotted turtle) เต่าชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์เต่านา (Geoemydidae) จัดเป็นเพียงเต่าเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Geoclemys เต่าดำแฮมิลตัน เป็นเต่าขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มที่ไม่เกิน 1 ฟุต มีลักษณะเด่น คือ ทั้งตัวและกระดองมีสีคล้ำเช่น สีดำ หรือสีน่ำตาลเข้ม ตามหัวลำตัวและกระดองมีจุดกลมสีเหลืองหรือสีขาวกระจายอยู่ทั่ว เป็นเต่าที่พบแพร่กระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำจืดของอนุทวีปอินเดีย เช่น อินเดีย, บังกลาเทศ, ปากีสถาน ส่วนหัว เต่าดำแฮมิลตัน เป็นเต่าที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง โดยเชื่อว่าทำให้ผู้เลี้ยงได้มีชีวิตที่ยืนยาว มีความอยู่เย็นเป็นสุข ทำให้มีสนนราคาซื้อขายที่แพงมาก โดยเต่าขนาดเล็กมีราคาประมาณ 4,000 บาท และเต่าขนาดใหญ่ถึง 10,000 บาท ซึ่งเต่าดำแฮมิลตัน เป็นสัตว์ที่มีรายชื่อห้ามซื้อขายในอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) และมีรายชื่อในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าของประเทศไทย ทำให้การซื้อขายกันในประเทศไทยถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นเต่าที่มีลักลอบนำเข้ามาจากต่างประเทศ คราวละมาก ๆ ในครั้งเดียวโดยเก็บซ่อนไว้ในกระเป๋าเดินทาง และถูกมัดด้วยถุงพลาสติกหรือสก๊อตเทป ทำให้เต่าส่วนมากอ่อนแอ สภาพร่างกายขนาดน้ำและอาหาร และทำให้มีสภาพใกล้ตายได้.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าดำแฮมิลตัน · ดูเพิ่มเติม »

เต่าคอยาว

ต่าคอยาว หรือ เต่าคองู (Long-necked turtles, Snake-necked turtles) เป็นสกุลของเต่าน้ำจืดสกุลหนึ่ง ในวงศ์เต่าคองู (Chelidae) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chelodina มีลักษณะทั่วไปกระดองแบนราบ นิ้วตีนทุกนิ้วมีผังพืดเชื่อมติดกัน เล็บยาว มีส่วนคอเรียวเล็ก ยืดหดได้ หัวมีขนาดเล็ก ดวงตากลมโต เป็นเต่าที่อาศัยและหากินในน้ำเป็นหลัก พบในแหล่งน้ำที่มีกระแสน้ำไม่แรงหรือแหล่งน้ำนิ่ง บางชนิดพบในแหล่งน้ำกร่อย บางชนิดในฤดูแล้งจะมีพฤติกรรมจำศีลด้วยการซ่อนตัวอยู่ใต้โคลน บางชนิดวางไข่ในน้ำ ซึ่งจัดว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่วางไข่ในน้ำ มีขนาดกระดองประมาณ 15 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในตอนใต้ของปาปัวนิวกินี และออสเตรเลีย พบทั้งหมด 11 ชนิด ได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าคอยาว · ดูเพิ่มเติม »

เต่าคองู

ต่าคองู (Snake-necked turtle, Eastern snake-necked turtle, Common long-necked turtle) สัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าชนิดหนึ่ง ในวงศ์เต่าคองู (Chelidae) มีลักษณะเด่น คือ มีส่วนคอที่ยาวมากเหมือนงู หัวมีขนาดเล็ก ตากลมโต ขนาดโตเต็มที่กระดองยาว 30 เซนติเมตร อาศัยในน้ำตื้น ๆ หรือชายน้ำ จะไม่อยู่ห่างน้ำไปไกลเพราะคอที่ยาวจะทำให้การเคลื่อนไหวบนบกทำได้ไม่คล่องตัว ชอบความสะอาด มักจะหมอบราบกับพื้นท้องน้ำ และฝังตัวอยู่ในโคลนที่อ่อนนุ่ม กินอาหารจำพวกปลาหรือสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ ด้วยการดูดเข้าไปในปาก พบกระจายพันธุ์บนเกาะปาปัวนิวกินีแถบทางใต้ของเกาะบริเวณช่องแคบทอเรส และตามหนองบึงทั่วไปของออสเตรเลีย เต่าคองูมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 17-50 ปี สืบพันธุ์โดยวางไข่ในเดือนพฤษภาคมและตอนปลายของฤดูฝน ฟักออกเป็นตัวในเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม ลูกเต่าที่ฟักออกใหม่ มีความยาว 3.7 เซนติเมตร บนกระดองหลังมีจุดด่างสีน้ำตาลดำ เต่าคองูในสวนสัตว์พาต้า เต่าคองู เป็นสัตว์เลื้อยคลานอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง และจัดแสดงตามสวนสัตว.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าคองู · ดูเพิ่มเติม »

เต่าคองูเหนือ

ต่าคองูเหนือ (Northern australian snake-neck turtle, Northern snake-necked turtle) สัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าชนิดหนึ่ง ในวงศ์เต่าคองู (Chelidae) เต่าคองูเหนือ กระจายพันธุ์ในอินโดนีเซีย, ออสเตรเลีย และหมู่เกาะพิตแคร์นThomson S. (2000).

ใหม่!!: สัตว์และเต่าคองูเหนือ · ดูเพิ่มเติม »

เต่าตนุ

ต่าตนุ (Green turtle) เป็นเต่าทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chelonia mydas อยู่ในวงศ์ Cheloniidae และเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Chelonia เป็นเต่าทะเลที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และมีน้ำหนักมากเมื่อโตเต็มที่ โดยมีความยาวตั้งแต่หัวจรดหางประมาณ 1 เมตร น้ำหนักราว 130 กิโลกรัม หัวป้อมสั้น ปากสั้น เกล็ดเรียงต่อกันโดยไม่ซ้อนกัน กระดองหลังโค้งนูนเล็กน้อย บริเวณกลางหลังเป็นแนวนูนเกือบเป็นสัน ท้องแบนราบขาทั้ง 4 แบน เป็นใบพาย ขาคู่หลังมีขนาดเล็กกว่าขาคู่หน้ามาก ขาคู่หน้ามีเล็บแหลมเพียงข้างละชิ้น สีของกระดองดูเผิน ๆ มีเพียงสีน้ำตาลแดงเท่านั้น แต่ถ้าหากพิจารณาให้ละเอียด จะพบว่าเกล็ดแต่ละเกล็ดของกระดองหลังมีสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลอมเขียว ขอบเกล็ดมีสีอ่อน ๆ เป็นรอยด่างและมีลายเป็นเส้นกระจายออกจากจุดสีแดงปนน้ำตาล คล้ายกับแสงของพระอาทิตย์ที่ลอดออกจากเมฆ จึงมีชื่อเรียกเต่าชนิดนี้ว่าอีกชื่อหนึ่งว่า "เต่าแสงอาทิตย์" ขณะที่ชาวตะวันตกเรียกว่า "เต่าเขียว" อันเนื่องจากมีกระดองเหลือบสีเขียวนั่นเอง พบกระจายพันธุ์ทั้งในมหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก ในน่านน้ำไทยพบทั้งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน นับเป็นเต่าทะเลชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในน่านน้ำไทย โดยมักพบในเขตที่มีอุณหภูมิน้ำที่ค่อนข้างอุ่น คือ สูงกว่า 20 องศาเซลเซียสขึ้นไป เต่าตนุเป็นเต่าที่กินทั้งพืชและสัตว์ แต่จะกินพืชเป็นหลัก โดยกินอาหารจำพวก หญ้าทะเลหรือสาหร่ายทะเล โดยมีสัตว์น้ำขนาดเล็กทั่วไป เช่น ปลาหรือแมงกะพรุน เป็นอาหารรองลงไป โตเต็มที่เมื่ออายุได้ 4-7 ปี เชื่อว่าอายุยืนถึง 80 ปี ฤดูวางไข่ตกอยู่ในราวเดือนมิถุนายนจนถึงเดือนกันยายนในบริเวณอ่าวไทยและอยู่ในราวเดือนกันยายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ในทะเลอันดามัน จำนวนไข่ต่อครั้งมีตั้งแต่ 70-150 ฟอง เต่าขนาดโตเต็มที่แล้วจะว่ายน้ำหากินไปเรื่อย ๆ แต่จะกลับมาวางไข่บนชายหาดที่ถือกำเนิด เป็นเต่าที่มักพบในเขตน้ำตื้นใกล้ชายฝั่งหรือตามเกาะต่าง ๆ สำหรับในน่านน้ำไทย พบเต่าชนิดนี้ขึ้นวางไข่มากที่เกาะครามและเกาะกระในอ่าวไทย และทางฝั่งทะเลอันดามันพบวางไข่มากที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตา บนชายหาดและเกาะหลายแห่งในจังหวัดภูเก็ตและพังง.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าตนุ · ดูเพิ่มเติม »

เต่าซูลคาต้า

ต่าซูลคาต้า หรือ เต่าเดือยแอฟริกัน (Sulcata tortoise, African spurred tortoise) เป็นเต่าบกชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Geochelone sulcata จัดเป็นเต่าบกที่มีความใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองมาจาก เต่ายักษ์กาลาปากอส (G. nigra) และเต่าอัลดาบร้า (Aldabrachelys gigantea) จัดเป็นเต่าที่มีลักษณะกระดองที่แบนราบ เมื่อยังอยู่ในวัยเล็กลำตัวมีสีขาวไปจนถึงสีน้ำตาลเหลือง เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นและวัยเต็มวัยสีของกระดองจะพัฒนาเป็นสีน้ำตาลและสีเหลือง ขาทั้งสี่ข้างแข็งแรง โดยเฉพาะขาคู่หน้ามีเกล็ดขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน กระจายพันธุ์บริเวณพื้นที่แห้งแล้ง บริเวณขอบทะเลทรายซาฮาร่าตั้งแต่ประเทศมาลี, เซเนกัล ในแอฟริกาตะวันตกไปจนถึงเอธิโอเปีย ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้มากกว่า 36 นิ้ว น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม มีอายุยาวกว่า 100 ปี เป็นเต่าที่กินอาหารหลักได้หลากหลาย โดยมากเป็นหญ้า รวมถึงวัชพืชและผลไม้ชนิดต่าง ๆ รวมถึงพืชในทะเลทราย เช่น กระบองเพชร มีพฤติกรรมที่แตกต่างไปกวาเต่าบกชนิดอื่น ๆ คือ เดินเก่งและเดินได้เร็ว สามารถเดินหาอาหารกินได้วันละหลายชั่วโมง เต่าตัวผู้เมื่อสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ราว 5 ปี หรือมีความยาวประมาณ 15 นิ้ว ในส่วนตัวเมียจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 7 ปี หรือมีความยาวประมาณ 17 นิ้ว ตัวผู้มีโคนหางที่ยาวกว่าตัวเมีย และมีกระดองบริเวณก้นเป็นรูปตัววี อีกทั้งกระดองใต้ท้องมีลักษณะโค้งเว้าเข้าไปด้านใน การสังเกตเพศเห็นได้เมื่อมีอายุได้ 3-4 ปี หรือมีความยาวประมาณ 1 ฟุต มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงต้นฤดูร้อนจนถึงปลายฤดูฝน โดยใช้เวลาผสมพันธุ์นานราว 1 ชั่วโมง เต่าตัวเมียจะวางไข่หลังผสมพันธุ์แล้ว 1 เดือน โดยใช้ขาหลังขุดหลุม ซึ่งอาจมีหลายหลุมเพื่อหลอกสัตว์กินเนื้อชนิดอื่นที่จะมาขโมยไข่ วางไข่ครั้งละ 20-30 ฟอง โดยในแต่ละปีอาจวางไข่ได้ถึงครั้งละ 4-5 ครั้ง และมักจะวางไข่ในช่วงเวลาบ่ายไปจนถึงตอนเย็น ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 90 วัน โดบใช้อุณหภูมิประมาณ 29-31 องศาเซลเซียส ความชื้นอยู่ที่ร้อยละ 75-85 ลูกเต่าเมื่อแรกฟักจะมีความยาวประมาณ 2 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 20-30 กรัม และจะมีถุงไข่แดงติดตัวมาด้วย ซึ่งถุงไข่แดงนั้นจะให้พลังงานแทนอาหาร ใช้เวลานานประมาณหนึ่งสัปดาห์ ถุงไข่แดงนี้จึงจะยุบไป ปัจจุบัน เต่าซูลคาค้าเป็นเต่าบกอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง และสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว รวมถึงในประเทศไทยด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าซูลคาต้า · ดูเพิ่มเติม »

เต่าปากแม่น้ำ

ต่าปากแม่น้ำ (River terrapins) เป็นสกุลของเต่าสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Batagur (/บา-ตา-เกอ/) ในวงศ์เต่านา (Geoemydidae) เป็นเต่าที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่เป็นน้ำกร่อยใกล้ทะเล เช่น ปากแม่น้ำ หรือชะวากทะเล พบกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชียในส่วนของเอเชียอาคเนย์และเอเชียใต้.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าปากแม่น้ำ · ดูเพิ่มเติม »

เต่าปูลู

ต่าปูลู เป็นเต่าน้ำจืดกินเนื้อเป็นอาหารชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Platysternon megacephalum (เป็นภาษาละตินแปลว่า "หัวโต อกแบน") ในสกุล Platysternon วงศ์ Platysternidae ซึ่งมีเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในวงศ์และสกุลนี้ มีรูปร่างที่แปลกไปจากเต่าชนิดอื่น ๆ กล่าวคือ มีหัวที่โต ปากงุ้มแหลม เล็บที่ทั้ง 4 ข้างแหลมคมมาก มีหางที่ยาวมาก และไม่สามารถหดหัวเข้ากระดองที่เรียวยาวได้ เป็นเต่าที่พบในลำธารน้ำตกบนภูเขาสูงหรือป่าดิบชื้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตอนบนที่ติดกับตอนใต้ของประเทศจีน.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าปูลู · ดูเพิ่มเติม »

เต่าป่าอาระกัน

ต่าป่าอาระกัน หรือ เต่าดงยะไข่ (Arakan forest turtle; ชื่อวิทยาศาสตร์: Heosemys depressa) เป็นเต่าบกที่พบในป่าลึกบริเวณเขตรัฐอาระกัน ประเทศพม่า ซึ่งเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่เมื่อ 7 กันยายน ค.ศ. 2009 สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (Wildlife Conservation Society: WCS)ได้ประกาศการค้นพบอีกครั้งจำนวน 5 ตัว.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าป่าอาระกัน · ดูเพิ่มเติม »

เต่านา

ำหรับบุคคลดูที่ หม่อมหลวงมิ่งมงคล โสณกุล เต่านา หรือ เต่าสามสัน (Snail-eating turtles) เป็นสกุลของสัตว์เลื้อยคลาน 2 ชนิดจำพวกเต่าที่อยู่ในสกุล Malayemys ในวงศ์ Bataguridae เป็นเต่าน้ำจืดขนาดเล็ก มีลักษณะเด่น คือ กระดองส่วนบนมีสันนูน 3 เส้น เห็นได้ชัดเจน อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ และมีขอบเรียบ ส่วนหัวมีขนาดใหญ่และมีลายเส้นสีเหลืองหรือสีขาว กระดองส่วนบนมีสีน้ำตาลและขอบสีครีมหรือสีเหลือง กระดองส่วนล่างมีสีเหลือง และแต้มสีดำบนแผ่นเกล็ด ขณะที่สีผิวทั่วไปเป็นสีน้ำตาลเทาหรือดำ บริเวณส่วนหน้าและจมูกมีลายเส้นขีดสีขาว เป็นเต่าที่พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในแหล่งน้ำของภูมิภาคอินโดจีนและแหลมมลายู พบเห็นได้ทั่วไปทั้งนาข้าว, สวนสาธารณะ หรือท้องร่องสวนผลไม้ พื้นที่การเกษตรทั่วไป เป็นเต่าที่กินหอยเป็นอาหารหลักทั้งหอยฝาเดียวและหอยสองฝา โดยใช้ริมฝีปากขบกัดเปลือกหอยให้แตก แล้วใช้เล็บจิกเนื้อหอยออกมากิน และยังกินสัตว์น้ำอย่างอื่นได้ด้วย เดิมทีเต่านาถูกจำแนกไว้เพียงชนิดเดียว แต่ต่อมาได้มีการศึกษาเพิ่มขึ้นโดยนักวิชาการชาวตะวันตก เมื่อปี ค.ศ. 2004 พบว่าแท้จริงแล้วมี 2 ชนิด โดยมีลักษณะแตกต่างกันทางกายวิภาคบางประการ และถิ่นที่แพร่กระจายพันธุ์ คือ.

ใหม่!!: สัตว์และเต่านา · ดูเพิ่มเติม »

เต่านาหัวใหญ่

ต่านาหัวใหญ่ หรือ เต่านามลายู (Malayan snail-eating turtle) เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง จำพวกเต่า ในวงศ์เต่านา (Geoemydidae) มีลักษณะกระดองสีน้ำตาลอ่อน หัวมีสีดำมีลายสีขาวเป็นเส้นใหญ่จากจมูกผ่านนัยน์ตาตอนบนและจากปากผ่านนัยน์ตาตอนล่าง 2 ขีด มีลายขาวที่แก้มด้วย ลายเส้นขาวใหญ่นี้เป็นจุดเด่น ผิวหนังทั่วไปและขามีสีเทาดำ ความยาวกระดองเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 25 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 1/2 กิโลกรัม เต่านาหัวใหญ่ เป็นเต่าที่พบได้บ่อยที่สุดในประเทศไทย สามารถพบได้ทั่วไปตั้งแต่นาข้าว, ท้องร่องสวน หรือแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ ทั่วทุกภาคของประเทศ และพบได้ในประเทศใกล้เคียง เช่น กัมพูชา และมาเลเซีย เป็นเต่าที่กินหอยฝาเดียวและหอยสองฝาเป็นอาหารหลัก โดยใช้ปากขบกัดเปลือกหอยให้แตก จากนั้นจึงใช้เล็บฉีกเอาเนื้อหอยออกมากิน เดิมเคยถูกจัดให้เป็นชนิดเดียวกับเต่านาอีสาน (M. subtrijuga) แต่ต่อมาได้มีการศึกษาใหม่ พบว่าแท้จริงแล้วแยกออกเป็น 2 ชนิด ในปี ค.ศ. 2004.

ใหม่!!: สัตว์และเต่านาหัวใหญ่ · ดูเพิ่มเติม »

เต่านาอีสาน

ต่านาอีสาน (Mekong snail-eating turtle) เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง ในวงศ์เต่านา (Geoemydidae) เป็นเต่านาชนิดหนึ่ง ที่เพิ่งแยกออกมาในปี ค.ศ. 2004 มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับเต่านาหัวใหญ่ (M. macrocephala) ซึ่งเป็นเต่านาอีกชนิด แต่มีลักษณะที่แตกต่างออกไป คือ มีขีดตามแนวตั้งใต้จมูก 4-5 ขีด ซึ่งมีมากกว่าเต่านาหัวใหญ่ และเส้นขีดที่นัยน์ตาจะเล็กกว่า รวมทั้งมีรูปร่างที่เล็กกว่าด้วย เต่านาอีสาน มีถิ่นกระจายพันธุ์ที่ภาคอีสานของประเทศไทย และพบไปจนถึงลาว, กัมพูชา และเวียดนาม เป็นเต่าที่กินหอยฝาเดียวและหอยสองฝาเป็นอาหารหลัก โดยใช้ปากขบกัดเปลือกหอยให้แตก แล้วใช้เล็บฉีกเอาเนื้อของหอยออกมา พบได้ทั่วไปในพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ รวมทั้งพื้นที่ทำการเกษตร เช่น นาข้าว, ท้องร่องสวน ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และเต่านาอีสาน · ดูเพิ่มเติม »

เต่าน้ำบอร์เนียว

ต่าน้ำบอร์เนียว (Malaysian giant turtle, Bornean river turtle, Malayan giant terrapin) เป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภทเต่าชนิดหนึ่ง ในวงศ์เต่านา (Bataguridae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Orlitia เป็นเต่าขนาดใหญ่ กระดองเรียบเป็นรูปไข่สีน้ำตาลเข้มหรือดำ ด้านล่างเป็นสีน้ำตาลเหลืองออกขาว เมื่อโตเต็มที่แล้วขอบกระดองจะราบเรียบ แต่เมื่อยังเป็นวัยที่โตไม่เต็มที่ จะโค้งเป็นโดมมากกว่านี้ และขอบข้างเป็นหยัก มีเล็บนิ้วเท้าที่แหลมคมและเท้าเป็นพังผืด ขนาดโตเต็มที่ ตัวผู้อาจมีความยาวได้กว่า 80 เซนติเมตร หรือ 1 เมตร น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม ขณะที่ตัวเมียเล็กกว่าเกือบครึ่งตัว โดยมีกระดองยาว 50 เซนติเมตร น้ำหนักเพียง 30 กิโลกรัม จัดเป็นเต่าน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้และที่พบในทวีปเอเชีย พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำจืดของเกาะบอร์เนียว, เกาะสุมาตรา และคาบสมุทรมลายูตอนล่าง อาจพบได้ถึงภาคใต้สุดของไทย แถบจังหวัดสตูล กินพืช, ผัก, ผลไม้และสัตว์น้ำต่าง ๆ ตลอดจนซากสัตว์ตายลอยน้ำ เป็นสัตว์ที่อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าน้ำบอร์เนียว · ดูเพิ่มเติม »

เต่าแพนเค้ก

ต่าแพนเค้ก (Pancake tortoise, African pancake tortoise, Softshell tortoise) สัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง จำพวกเต่า ในวงศ์เต่าบก (Testudinidae) จัดเป็นเต่าเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในสกุล Malacochersus เต่าแพนเค้ก มีลักษณะเด่น คือ กระดองที่หลังได้ลดรูปจนลำตัวแบนราบ และอ่อนนุ่ม เหลือเพียงกระดูกรูปวงแหลมล้อมรอบตัวเป็นช่วงและพื้นผิวด้านบนของกระดองหลังและกระดองท้องเป็นชั้นหนังมีความอ่อนนุ่ม มีลำตัวที่แบนและเตี้ย มีขนาดความยาวประมาณ 6-7 นิ้ว และความสูงเพียง 1.5 นิ้ว เต่าแพนเค้ก มีกระดองที่แบนราบอ่อนนุ่ม และมีน้ำหนักเบา ทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวผิดไปจากเต่าบกชนิดอื่น ๆ พบกระจายพันธุ์บริเวณโขดหินในพื้นที่แห้งแล้ง มีสภาพกึ่งทะเลทราย หรือบนภูเขาสูง โดยอาจพบได้บนความสูงระหว่าง 100-6,000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล ในแทนซาเนียและเคนยา กินพืชและผักชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร โดยเฉพาะหญ้าและผลไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้น นอกจากนี้แล้ว เต่าแพนเค้ก ยังสามารถที่จะเอาลำตัวเข้าหลบซ่อนในซอกหินได้เพื่อหนีศัตรูตามธรรมชาติ ด้วยกระดองที่แบน และเมื่ออยู่ในซอกหินแล้ว สามารถที่จะขยายตัวให้ใหญ่ขึ้นได้ เพื่อไม่ให้ศัตรูลากออกมา ด้วยการสูดอากาศเข้าไปในลำตัว เต่าแพนเค้ก เป็นเต่าที่ปีนป่ายเก่ง และนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าแพนเค้ก · ดูเพิ่มเติม »

เต่าแก้มแดง

ต่าแก้มแดง (Pond slider, Common slider) เป็นเต่าน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ทวีปอเมริกาเหนือ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำแถบรัฐอิลลินอยส์, แม่น้ำมิสซิสซิปปี ไปจนถึงอ่าวเม็กซิโก ลักษณะเมื่อแรกเกิด กระดองจะเป็นสีเขียว เมื่อโตขึ้นจะเปลี่ยนไปเป็นสีคล้ำ เท้าทั้ง 4 ข้างมีพังผืดใช้ว่ายน้ำได้ดี ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1 ฟุต โดยที่ตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าตัวเมียเล็กน้อย กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ ผสมพันธุ์กันในน้ำระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน จากนั้นในเดือนสิงหาคม ตัวเมียจะขึ้นมาวางไข่ในหาดทราย ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 60-75 วัน อายุเมื่อพร้อมที่จะผสมพันธุ์ประมาณ 2 ปี และมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 30 ปี.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าแก้มแดง · ดูเพิ่มเติม »

เต่าแม่น้ำมาลาวี

ต่าแม่น้ำมาลาวี หรือ เต่าแม่น้ำอเมริกากลาง(Central american river turtle, Mesoamerican river turtle) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่าชนิดหนึ่ง จัดเป็นเพียงสกุลเดียวและชนิดเดียวเท่านั้น ในวงศ์ Dermatemydidae ที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน มีกระดองหลังยาวและโค้งนูน กระดองท้องใหญ่ การหุบขากรรไกรล่างเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อที่ผ่านไปบนก้านกระดูกโพรโอติก และขากรรไกรติดกับพื้นผิวของก้านกระดูกโพรโอติกที่อยู่ในซัยโนเวียลแคปซูล กระดองท้องไม่มีกระดูกมีโสพลาสทรอน มีกระดูกพลาสทรอนไปเชื่อมต่อกับขอบนอกของกระดองหลังที่มีร่องแบ่งเป็นกระดูกชิ้นเล็กจำนวน 10 คู่ กระดูกเชิงกรานเชื่อมติดกับกระดองท้องในลักษณะยืดหยุ่นได้ มีความยาวโดยเฉลี่ยตั้งแต่ 30-70 เซนติเมตร อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดของทะเลสาบและแม่น้ำแต่อาจเข้าไปอาศัยในแหล่งน้ำกร่อยได้บ้าง มีอุปนิสัยหากินอยู่ตามพื้นล่างของแหล่งน้ำและไม่ขึ้นมาบนผิวน้ำ โดยใช้พื้นที่ในอุ้งปากและคอหอยแลกเปลี่ยนออกซิเจนด้วยการสูบน้ำเข้าทางปากแล้วผลักดันออกทางช่องเปิดจมูก กินพืชได้หลายชนิด รวมทั้งผลไม้และเมล็ดที่ร่วงลงน้ำ โดยเฉพาะมะเดื่อฝรั่ง ออกหากินในเวลากลางคืนและหลบซ่อนตัวในเวลากลางวันอยู่ที่พื้นล่างของแหล่งน้ำ วางไข่บริเวณชายฝั่งแม่น้ำ ตัวเมียอาจวางไข่ได้ถึง 4 ครั้ง ในฤดูผสมพันธุ์ แพร่กระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนใต้ของเม็กซิโกจนถึงตอนเหนือของฮอนดูรัส เต่าแม่น้ำมาลาวีที่สวนสัตว์ปราก ประเทศเช็กเกีย เต่าแม่น้ำมาลาวีถือเป็นเต่าที่หายากและใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤตแล้ว นับเป็นเต่าที่หายากที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง โดยเป็นสมาชิกเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในวงศ์นี้ ซึ่งสกุลและชนิดอื่น ๆ ได้สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าแม่น้ำมาลาวี · ดูเพิ่มเติม »

เต่าใบไม้

ต่าใบไม้ หรือ เต่าแดง (Asian leaf turtle, Brown stream terrapin) สัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่า ในวงศ์เต่านา (Geoemydidae) มีลักษณะเด่น คือ กระดองส่วนล่างมีลักษณะคล้ายบานพับคล้ายกับเต่าหับ แต่ปิดได้เฉพาะตอนล่าง หัวมีสีน้ำตาล, น้ำตาลแดง หรือเขียวมะกอกด้านบนสุดของหัวอาจมีจุดสีดำ และด้านข้างของหน้าอาจจะมีแถบสีเหลืองหรือชมพู กระดองส่วนล่างสีจาง มีเส้นเป็นแนวรัศมี บางครั้งพบว่ากระดองส่วนล่างอาจเป็นสีดำ หรือน้ำตาลเข้มทั้งหมดลักษณะรอยต่อระหว่างแผ่นเกล็ดต้นขาและแผ่นเกล็ดทวารโค้งและกระดองส่วนล่างที่มีลักษณะเป็นบานพับเป็นลักษณะที่ทำให้แยกออกจากเต่าหวาย ที่มีลักษณะกระดองคล้ายคลึงกัน มีกระดองส่วนบนยาวเต็มที่ 22 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในพื้นที่ชุ่มน้ำหรือลำธารในป่า หรือเนินเขา ในทุกประเทศของภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ เป็นเต่าที่กินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น สัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลังต่าง ๆ ในน้ำ, ผัก และผลไม้ เป็นต้น จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าใบไม้ · ดูเพิ่มเติม »

เต่าเสือดาว

ต่าเสือดาวขนาดใหญ่ในนามิเบีย ลูกเต่าวัย 1 เดือนบนฝ่ามือ เต่าเสือดาว (Leopard tortoise) สัตว์เลื้อยคลานประเภทเต่าชนิดหนึ่ง จัดเป็นเต่าบก (Testudinidae) ชนิดหนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าเสือดาว · ดูเพิ่มเติม »

เต่าเหลือง

ต่าเหลือง หรือ เต่าเทียน หรือ เต่าแขนง หรือ เต่าขี้ผึ้ง (Elongated tortoise) เป็นเต่าบกชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Indotestudo elongata จัดเป็นเต่าบกขนาดกลาง เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม กระดองโค้งสูงพอสมควร ทั่วตัวมีสีขาวหรือเหลืองเป็นส่วนใหญ่ มีแต้มสีดำบ้างประปราย ขอบกระดองของบางตัวมีสีเหลืองใสดูคล้ายขี้ผึ้งหรือเทียน จึงเป็นที่มาของชื่อ ในบางตัวเมื่อโตเต็มที่อาจมีสีน้ำตาลแก่ปน ขามีสีเทาดำ ขาหน้ามีเกล็ดใหญ่ ๆ อยู่ด้านบน ขาหลังสั้นทู่ ขาหน้าและขาหลังไม่มีพังผืดระหว่างนิ้ว แต่มีนิ้วแข็งแรงมาก ตัวผู้มีเกล็ดกระดองเว้าและลึก ขณะที่ตัวเมียราบเรียบกว่า พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และบางส่วนในเอเชียใต้ ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค กินพืชและผลไม้เป็นอาหารหลัก แต่ก็สามารถกินเนื้อ เช่น ซากสัตว์หรือหอยได้ด้วย เป็นเต่าที่ชอบความชื้น แต่ไม่ชอบที่จะแช่น้ำ พบได้ในป่าแทบทุกสภาพ แม้กระทั่งในสวนยางพาราหรือสวนปาล์มน้ำมัน วางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง โดยมีฤดูผสมพันธุ์ระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม จากนั้นในเดือนธันวาคมจึงจะวางไข่ โดยจะขุดหลุมลึกประมาณครึ่งตัว ใช้เวลาฟักประมาณ 146 วัน ลูกเต่าที่เกิดมาใหม่กระดองจะมีความนิ่ม จะแข็งเมื่ออายุได้ราวหนึ่งปี เต่าชนิดนี้ ในประเทศไทย สามารถพบเห็นได้ง่าย คือ ที่หมู่บ้านบ้านกอก อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ห่างจากตัวอำเภอเมืองราว 50 กิโลเมตร โดยจะพบเต่าเหลืองอาศัยและเดินไปเดินมาทั่วไปในหมู่บ้าน โดยที่ชาวบ้านไม่ทำอันตรายหรือนำไปรับประทาน เต่าจึงอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งชาวบ้านที่นี่เชื่อว่าเต่าเหลืองเป็นเต่าเจ้า เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และเรียกชื่อเต่าชนิดนี้เป็นภาษาถิ่นว่า "เต่าเพ็ก" จนได้รับชื่อเรียกว่าเป็น "หมู่บ้านเต่า" เต่าเหลือง มีสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 และนิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าเหลือง · ดูเพิ่มเติม »

เต่าเดือย

ต่าเดือย หรือ เต่าควะ (Impressed tortoise) เต่าประเภทเต่าบกชนิดหนึ่ง เต่าเดือย นับเป็นเต่าบกที่พบได้ในป่าทวีปเอเชียที่มีกระดองสวยงามมากชนิดหนึ่ง โดยมีแผ่นเกล็ดที่กระดองหลังบางแผ่นที่โปร่งแสง แผ่นเกล็ดสันหลังและแผ่นเกล็ดชายโครงยุบลงมาเล็กน้อย แผ่นเกล็ดเหนือต้นคอมีขนาดใหญ่ ตอนปลายแยกออกเป็น 2 ส่วน โคนขาหน้าหุ้มด้วยเกล็ดที่มีลักษณะแหลมคล้ายหนาม ขาหลังคล้ายเท้าช้าง มีเดือยรูปวงกลมและเดือยคล้ายไก่ 1 เดือย ระหว่างโคนขาหลังและโคนหาง แผ่นเกล็ดใต้คอมีขนาดเล็ก แผ่นเกล็ดท้องมีขนาดใหญ่ มีขนาดใหญ่โตเต็มที่ประมาณ 28 เซนติเมตร ความยาวของกระดองท้อง 27 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 2.5 กิโลกรัมหรือมากกว่า กระดองหลังเป็นสีเหลืองส้ม ขอบกระดองเป็นสีเหลือง มีจุดสีน้ำตาลกระจายอยู่ประปราย ตัวผู้และตัวเมียมีสีที่แตกต่างกัน และมีน้ำหนักที่ต่างกันอีกด้วย เต่าเดือย เป็นเต่าที่อาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงจีนตอนใต้ อาจพบได้บนที่สูงถึง 2,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นเต่าที่กินอาหารจำพวกพืช เช่น หน่อไม้, เห็ดรา เป็นอาหารหลัก โดยมักหากินตามพื้นที่มีความชื้นสูงและมีหญ้าขึ้นรกชัฎ เป็นเต่าที่ใกล้สูญพันธุ์ในธรรมชาติมากแล้วชนิดหนึ่ง ปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 เต่าเดือย เป็นเต่าอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์แปลก ๆ โดยในอดีต มีชื่อเรียกเฉพาะในแวดวงผู้ค้าสัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นสัตว์ป่าว่า "เต่าหกพม่า" มีราคาขายเพียงตัวละ 50-100 บาทเท่านั้น ในปี พ.ศ. 2516 โดยจะเป็นเต่าที่ถูกจับมาจากทางพม่า ผ่านทางอำเภอแม่สอด แต่ทว่าก็เป็นเต่าที่เลี้ยงให้รอดยากมากในที่เลี้ยง โดยมากเต่าที่ถูกจับมาขายนั้นมักไม่กินอาหาร หรือเลือกกินเป็นอย่างยิ่ง และในปัจจุบัน ได้มีการค้นพบเต่าเดือยอีกจำพวกหนึ่ง ที่มีขนาดเล็กกว่าเต่าเดือยขนาดปกติ โดยตัวผู้มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 22 เซนติเมตร น้ำหนักไม่ถึง 2 กิโลกรัม ตัวเมียมีขนาดยาวประมาณ 25 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 2.5 กิโลกรัม พบได้ในป่าตั้งแต่ชายแดนของประเทศไทยแถบจังหวัดตราดต่อเนื่องไปตามแนวเทือกเขาในประเทศกัมพูชาภาคตะวันตก และมีรายละเอียดที่แตกต่างจากเต่าเดือยปกติพอสมควร เช่น ตัวผู้และตัวเมียมีสีสันที่คล้ายกันและลำตัวไล่เลี่ยกัน, ตัวผู้มีเกลล็ดสีแดงที่ขาหลัง, มีสีสันที่สดใสน้อยกว่า และสามารถปรับตัวได้ดีในที่เลี้ยง โดยไม่เลือกอาหารที่จะกินมากนัก ซึ่งยังไม่ได้มีการศึกษาทางวิชาการ จึงอาจเป็นไปได้ว่าเป็นเต่าชนิดใหม่ หรือเป็นชนิดย่อยของเต่าเดือ.

ใหม่!!: สัตว์และเต่าเดือย · ดูเพิ่มเติม »

เตโตรโดท็อกซิน

ตโตรโดท็อกซิน (tetrodotoxin, ตัวย่อ: TTX) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เตโตรด็อก (tetrodox) มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น Anhydrotetrodotoxin, 4-epitetrodoxin, Tetraodonic acid เป็นชื่อเรียกพิษที่อยู่ในตัวปลาปักเป้า เตโตรโดท็อกซินมีสูตรเคมีว่า C11 H17 N3 O8 มีน้ำหนักโมเลกุล 319.268 โดยสกัดครั้งแรกได้จากนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นชื่อ ดร.โยชิซุมิ ทะฮะระ ในปี ค.ศ. 1909 เตโตรโดท็อกซิน เป็นสารพิษชนิดที่ออกฤทธิ์ทำลายระบบประสาท โดยจะเข้าไปจับกับ fast sodium channel ของผนังหุ้มเซลล์ประสาทก่อให้เกิดการ action potential ทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณประสาทได้ ซึ่งส่งผลต่อเซลล์ประสาททั่วร่างกายยกเว้นเซลล์ประสาทที่หัวใจ เมื่อพิษดังกล่าวส่งผลทำลายประสาทจะทำให้เซลล์ประสาทของกล้ามเนื้อไม่สามารถส่งสัญญาณให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวทำงานได้ กล้ามเนื้อจึงเป็นอัมพาต และเมื่อกล้ามเนื้อเป็นอัมพาตก็ส่งผลต่อกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจเป็นอัมพาตตามด้วย ทำให้ผู้ได้รับพิษหายใจไม่ออกและเสียชีวิตจากการหายใจไม่ออก อาการกว่าพิษจะกำเริบใช้เวลาประมาณ 20 นาทีถึง 3 ชั่วโมง ในบางกรณีอาจแสดงอาการเพียงแค่ 4 นาที เท่านั้นจากการรับประทานปลาปักเป้าเข้าไป โดยจะมีอาการชาที่ปากและลิ้น มีอาการชาและชักกระตุกบริเวณใบหน้าและแขนขา ปวดศีรษะ ปวดท้อง มีอาการคลื่นไส้อาเจียน และอาจมีอาการท้องเสีย กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ชัก หมดสติ การเต้นของหัวใจช้าลง ความดันโลหิตต่ำ และเสียชีวิตได้ ส่วนอาการที่รุนแรงที่สุดคือ เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อช่วยหายใจ ทำให้ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในเวลา 4-6 ชั่วโมง แต่ก็มีรายงานการเสียชีวิตเร็วที่สุดหลังจากได้รับพิษไปเพียง 20 นาทีเท่านั้น แท้จริงแล้วการสร้างพิษในปลาปักเป้ามิได้เกิดจากเซลล์ของตัวปลาเอง นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าเกิดจากการที่ปลาปักเป้าไปเกินแพลงก์ตอนบางชนิดในกลุ่มไดโนแฟลกเจลเลตที่มีพิษ หรือกินหอยหรือหนอนที่กินแพลงก์ตอนดังกล่าวเข้าไป ทำให้เกิดสารพิษสะสม หรืออาจเกิดจากแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของปลา เตโตรโดท็อกซิน มีความรุนแรงกว่าไซยาไนด์ถึง 1,200 เท่า และทนความร้อนได้สูงถึง 200 องศาเซลเซียส ดังนั้นจึงไม่สามารถทำลายพิษได้ด้วยการใช้ความร้อนปกติในการปรุงอาหาร และไม่มียาแก้พิษใด ๆ ต่อต้านได้ ซึ่งเตโตรโดท็อกซินนั้นอยู่ในอวัยวะทุกส่วนของปลาปักเป้า โดยที่มีปริมาณการสะสมของพิษไม่เท่ากัน ส่วนที่สะสมพิษมาก ได้แก่ รังไข่, อัณฑะ, ตับ, ผิวหนัง และลำไส้ พบน้อยในกล้ามเนื้อ แต่แม้การรับประทานเนื้อปลาไปเพียงแค่ 1 มิลลิกรัม ก็ทำให้เสียชีวิตได้ ยิ่งโดยเฉพาะผู้มีอาการแพ้อย่างรุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตได้สูงถึงร้อยละ 50 หากได้รับพิษเข้าไป การที่ปลาปักเป้ามีพิษที่ร้ายแรงเช่นนี้ในร่างกายก็เพื่อป้องตัวกันจากการถูกกินจากสัตว์อื่นนั่นเอง ซึ่งพิษของปลาปักเป้านั้นไม่ได้แปรเปลี่ยนไปตามสภาพสิ่งแวดล้อมหรือฤดูกาลเช่นเดียวกับแมงดาทะเล นอกจากนี้แล้ว ในตัวปลาปักเป้าเองยังมีพิษอีกชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายเตโตรโดท็อกซิน นั่นคือ ซาซิท็อกซิน (Saxitoxin, STX) ซึ่งมักพบในปลาปักเป้าที่อยู่ในน้ำจืด ซึ่งการปรุงปลาปักเป้าเพื่อการรับประทาน นิยมกันมากในแบบอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะการทำเป็นซาซิมิหรือปลาดิบ ในประเทศญี่ปุ่น พ่อครัวที่จะแล่เนื้อปลาและปรุง ต้องขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตจากทางการเสียก่อน ซึ่งจากการศึกษาวิจัยในประเทศญี่ปุ่น พบว่าผู้ที่ได้รับพิษจากปลาปักเป้าร้อยละ 50 เกิดจากการกินตับของปลา ร้อยละ 43 เกิดจากการกินไข่ และร้อยละ 7 เกิดจากการกินหนัง โดยปลาปักเป้าชนิดที่มีสารพิษในตัวน้อยที่สุดหรือแทบไม่มีเลย คือ Takifugu oblongus ที่พบในน่านน้ำของแถบอินโด-แปซิฟิก แต่กระนั้นก็ยังสามารถทำให้ผู้ที่รับประทานเข้าไปเสียชีวิตอยู่ดี.

ใหม่!!: สัตว์และเตโตรโดท็อกซิน · ดูเพิ่มเติม »

เซฟาโลคอร์ดาตา

ซฟาโลคอร์ดาตา (Cephalochordata)เป็นสัตว์มีแกนสันหลังที่มีรูปร่างหัวท้ายแหลม ฝังตัวตามพื้นทรายในทะเล มีโนโตคอร์ดและไขสันหลังตลอดชีวิต ไม่มีสมอง ลำตัวเป็นปล้องชัดเจน กินอาหารโดยกรองจากน้ำ น้ำออกตามรูด้านหลังเรียกเอทริโอพอร์ (atriopore) มีอวัยวะสำคัญเรียกเอนโดสไตล์ (endostyle) ซึ่งสะสมไอโอดีนได้ มีหน้าที่สร้างเมือกเพื่อจับอาหารที่มากับน้ำ คาดว่าอวัยวะชนิดนี้วิวัฒนาการไปเป็นต่อมไทรอยด์ในสัตว์ชั้นสูง ตัวอย่างเช่น แอมฟิออกซัส (Amphioxus) ซึ่งเหลืออยู่เพียงสองสกุลคือ Branchiostoma และ Asymetron พบฟอสซิลของเซฟาโลคอร์ดาตา (Yunnanozoon) ทางภาคใต้ของจีนซึ่งมีอายุย้อนไปถึงยุคแคมเบรียนตอนต้น จัดเป็นฟอสซิลที่เก่าที่สุดของสัตว์กลุ่มนี้.

ใหม่!!: สัตว์และเซฟาโลคอร์ดาตา · ดูเพิ่มเติม »

เซกโนซอรัส

เซกโนซอรัส (Segnosaurus) ชื่อมีความหมายว่ากิ้งก่าวิ่งช้า ยาวประมาณ 6 เมตรอาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนปลายเมื่อประมาณ 90 ล้านปีก่อน ค้นพบฟอสซิลที่ทวีปเอเชีย เป็นไดโนเสาร์กินพืชที่เชื่องช้า และรักสงบ ปากเป็นจะงอย มีหางยาวและว่ายน้ำเก่ง หมวดหมู่:ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส.

ใหม่!!: สัตว์และเซกโนซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

เซลล์ประสาท

ซลล์ประสาท หรือ นิวรอน (neuron,, หรือ) เป็นเซลล์เร้าได้ด้วยพลัง ของเซลล์อสุจิที่ทำหน้าที่ประมวลและส่งข้อมูลผ่านสัญญาณไฟฟ้าและเคมี โดยส่งผ่านจุดประสานประสาท (synapse) ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อโดยเฉพาะกับเซลล์อื่น ๆ นิวรอนอาจเชื่อมกันเป็นโครงข่ายประสาท (neural network) และเป็นองค์ประกอบหลักของสมองกับไขสันหลังในระบบประสาทกลาง (CNS) และของปมประสาท (ganglia) ในระบบประสาทนอกส่วนกลาง (PNS) นิวรอนที่ทำหน้าที่โดยเฉพาะ ๆ รวมทั้ง.

ใหม่!!: สัตว์และเซลล์ประสาท · ดูเพิ่มเติม »

เซอราแซลมัส

ซอราแซลมัส เป็นสกุลหนึ่งของปลาน้ำจืดจำพวกปลาปิรันยา ใช้ชื่อสกุลว่า Serrasalmus ในวงศ์ปลาปิรันยา (Serrasalmidae) ปลาปิรันยาในสกุลนี้จัดเป็นต้นแบบของปลาปิรันยาทั้งหมด และเหมือนกับปลาปิรันยาทุกชนิดคือ อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดของทวีปอเมริกาใต้ หากินเป็นฝูง มีซี่ฟันที่แหลมคมและมีรูปร่างเหมือนสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนหรือรูปไข่ แบ่งออกได้เป็น 24 ชนิด จัดเป็นสกุลที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในวงศ์นี้.

ใหม่!!: สัตว์และเซอราแซลมัส · ดูเพิ่มเติม »

เซอราโตซอรัส

ซอราโตซอรัส (Ceratosaurus - กิ้งก่ามีเขา) เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อ (เทอโรพอด) ช่วงปลายยุคจูแรสสิค มีความใกล้ชิดกับสายพันธุ์ของอัลโลซอรัส แต่ขนาดตัวเล็กกว่าครึ่งหนึ่ง ความยาวลำตัวประมาณ 6 เมตร แต่จากการคำนวณคาดว่า ตัวโตที่สุดอาจยาวได้ 8.8 เมตร มีลักษณะ คล้ายอัลโลซอรัส แต่มีส่วนหัวที่โตกว่าเมื่อเทียบกับสัดส่วนลำตัว แขนสั้นและเล็กมี 4 นิ้วไม่น่าใช้เป็นอาวุธได้ และมีเขายื่นออกมาจากเหนือจมูกและดวงตา เป็นเอกลักษณ์และที่มาของชื่อ "กิ้งก่ามีเขา"ของมัน แต่เขาของซีราโตซอรัส เป็นแผ่นกระดูกบางๆ ไม่แข็งแกร่งพอจะเอาไปใช้เป็นอาวุธได้ จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า เขาของมันน่าจะมีไว้เพื่อดึงดูดตัวเมีย ฟันของของเซอราโตซอรัสยาวมากเมื่อเทียบกับขนาดลำตัว แต่แบนและบางกว่า นักล่ายุคเดียวกัน เหมาะกับการตัดเนื้อกิน แต่ไม่สามารถบดกระดูกได้ ทำให้คาดได้ว่า เหยื่อของมันน่าจะเป็นไดโนเสาร์กินพืชขนาดกลาง ที่ฉีกเนื้อกินได้ง่ายกว่า บวกกับการศึกษาที่พบฟอสซิล เชื่อว่า เซอราโตซอรัสมักจะล่าเหยื่อในป่าทึบ ตามลำพังคล้ายๆกับ เสือดาว แม้จะมีขนาดตัวเล็กกว่านักล่าอื่นๆ แต่ก็มีร่างกายแข็งแกร่ง และ ปราดเปรียว จัดได้ว่าเป็นนักล่าตัวยงอีกสายพันธุ์หนึ่ง.

ใหม่!!: สัตว์และเซอราโตซอรัส · ดูเพิ่มเติม »

เซอร์วัล

ซอร์วัล (serval, serval cat) สัตว์กินเนื้อขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์เสือและแมว (Felidae).

ใหม่!!: สัตว์และเซอร์วัล · ดูเพิ่มเติม »

เซคันด์ไลฟ์

ซคันด์ไลฟ์ (Second Life: SL) เป็นโลกเสมือนบนอินเทอร์เน็ต เริ่มให้บริการเมื่อราว พ.ศ. 2546 พัฒนาโดยบริษัทลินเดนรีเสิร์ช (นิยมเรียกกันว่า ลินเดนแล็บ) และได้รับความสนใจในทางสากลผ่านสื่อข่าวเป็นกระแสหลักในช่วงปลายปี พ.ศ. 2549 ถึงต้นปี พ.ศ. 2550 สามารถใช้บริการเซคันด์ไลฟ์ผ่านทางโปรแกรมลูกข่ายที่ชื่อว่า Second Life Viewer ซึ่งดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์หลัก ผู้ใช้งานแต่ละคนจะเรียกว่า ผู้อาศัย (Resident) ซึ่งสามารถสื่อสารหรือแสดงปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้คนอื่นผ่านการแสดงออกของอวตาร (avatar) โปรแกรมดังกล่าวเป็นระดับการพัฒนาขั้นสูงของบริการเครือข่ายเชิงสังคมผสานเข้ากับมุมมองทั่วไปของเมทาเวิร์ส (metaverse) ผู้อาศัยแต่ละคนสามารถสำรวจ พบปะกับผู้อาศัยอื่น คบหาสมาคม มีส่วนร่วมในกิจกรรมส่วนบุคคลหรือเป็นกลุ่ม สร้างและซื้อขายไอเทม (ทรัพย์สินเสมือน) หรือให้บริการใดๆ บนเซคันด์ไลฟ์ เซคันด์ไลฟ์เป็นหนึ่งในโลกเสมือนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความเคลื่อนไหวทางวรรณกรรมที่เรียกว่า ไซเบอร์พังก์ (cyberpunk) และนวนิยายของนีล สตีเฟนสัน (Neal Stephenson) เรื่อง Snow Crash จุดมุ่งหมายของลินเดนแล็บคือสร้างโลกใหม่ที่คล้ายเมทาเวิร์สซึ่งสตีเฟนสันอธิบายไว้ว่า เป็นโลกที่ผู้ใช้งานสร้างขึ้นเอง และผู้คนสามารถมีปฏิสัมพันธ์ เล่นด้วยกัน ทำธุรกิจ หรือการสื่อสารอย่างอื่น เซคันด์ไลฟ์มีหน่วยเงินเป็นของตัวเองเรียกว่า ลินเดนดอลลาร์ (Linden Dollar: L$) และสามารถแลกเปลี่ยนได้กับหน่วยเงินจริงเป็นดอลลาร์สหรัฐ ในตลาดที่ประกอบด้วย ผู้อาศัย ลินเดนแล็บ และบริษัทในชีวิตจริง แม้เซคันด์ไลฟ์จะถูกเรียกว่าเกมในบางครั้ง แต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ถึงแม้อาจจัดได้ว่าเป็นเกมอย่างหนึ่งที่พื้นฐานที่สุด แต่เซคันด์ไลฟ์ก็ไม่มีแต้ม คะแนน ผู้ชนะหรือผู้แพ้ ระดับ กลยุทธ์ในการจบเกม หรือคุณสมบัติอื่นใดที่จะระบุว่าเป็นเกม แต่ถึงกระนั้น ในโลกของเซคันด์ไลฟ์อาจมีเกมให้เล่นด้วยก็ได้ โปรแกรมนี้เป็นเพียงสภาพแวดล้อมเสมือนที่วางโครงสร้างไว้บางส่วน ที่ซึ่งตัวละครจะต้องรับผิดชอบกิจกรรมใดๆ ด้วยตัวเอง เพื่อความบันเทิงส่วนตัว บัญชีผู้ใช้ทั้งหมดของเซคันด์ไลฟ์ได้รับการลงทะเบียนมากกว่า 8.5 ล้านบัญชี ถึงแม้ว่าจะมีหลายบัญชีที่ไม่ได้ใช้งาน ผู้อาศัยบางคนก็อาจมีบัญชีมากกว่าหนึ่ง และไม่มีตัวเลขใดที่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการ ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่เด่นชัดก็คือ เซคันด์ไลฟ์มีคู่แข่งหลายโปรแกรมที่โดดเด่น เช่น อิมวู (IMVU), แทร์ (There), แอ็กทีฟเวิลด์ส (Active Worlds) และเรดไลต์เซนเทอร์ (Red Light Center).

ใหม่!!: สัตว์และเซคันด์ไลฟ์ · ดูเพิ่มเติม »

เซเบิล

ซเบิล (sable) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ในอันดับสัตว์กินเนื้อ ในวงศ์เพียงพอน (Mustelidae).

ใหม่!!: สัตว์และเซเบิล · ดูเพิ่มเติม »

เป็ด

ป็ด เป็นสัตว์ปีกในวงศ์นกเป็ดน้ำ (Anatidae) ปากแบน ตีนแบน ระหว่างนิ้วมีพังผืดยึดติดกันเพื่อสะดวกในการว่ายน้ำ ตัวมีหลายสี เช่น น้ำตาล ขาว เขียว ชมพู ม่วง ขนาดเล็กกว่าห่าน ว่ายน้ำเก่ง กินปลา พืชน้ำและสัตว์เล็กๆ มีต้นตระกูลมาจากเป็ดแมลลาร์ด (Anas platyrhynchos) เป็ดเป็นนกน้ำที่มีขนาดเล็กกว่าหงส์และห่าน และสามารถพบได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม เป็ดมีแหล่งอาหารที่หลากหลาย เช่น หญ้า เมล็ดข้าว พืชน้ำ ปลา แมลง การเลี้ยงเป็ดมี 2 ประเภท คือ การเลี้ยงเพื่อเป็นแหล่งอาหารและการเลี้ยงเป็ดสวยงาม การเลี้ยงเป็ดเพื่อใช้เป็นอาหาร (ทั้งเนื้อและไข่) ซึ่งมีเป็นอยู่ไม่กี่พันธุ์ อาหารที่ทำจากเป็ดเช่นเป็ดปักกิ่ง การเลี้ยงเป็ดเพื่อความสวยงามพบได้น้อย เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง หายาก ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นจึงพบได้ในสวนสัตว์ หรือได้รับเลี้ยงดูโดยคนมีฐาน.

ใหม่!!: สัตว์และเป็ด · ดูเพิ่มเติม »

เป็ดบ้าน

ป็ดบ้าน เป็นเป็ดสายพันธุ์ที่เป็นสัตว์เชื่อง เหมาะสำหรับนำมาเลี้ยงภายในบ้าน มักนำมาทำเป็นอาหาร และสามารถนำขนมาทำเครื่องประดับได้ เป็ดหลายตัวยังคงถูกเลี้ยงไว้เพื่อการแสดงอีกด้วย เป็ดบ้านส่วนใหญ่นั้นสืบเชื้อสายมาจากเป็ดแมลลาร์ด (Anas platyrhynchos) และมักอาศัยอยู่ห่างจากเป็ดเทศ (Cairina moschata).

ใหม่!!: สัตว์และเป็ดบ้าน · ดูเพิ่มเติม »

เป็ดพม่า

ป็ดพม่า หรือ เป็ดรัดดี (Ruddy shelduck; ชื่อวิทยาศาสตร์: Tadorna ferruginea) เป็นนกอพยพชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Anatidae พบตามแม่น้ำสายใหญ่ เช่น แม่น้ำโขง นาเกลือ ตามชายทะเล และบึง แพร่กระจายพันธุ์ในทวีปยุโรป, แอฟริกา และเอเชีย ลำตัวมีขนาดใหญ่ ยาว 61-67 เซนติเมตร คล้ายห่าน ขนมีสีน้ำตาลแกมแดงหรือส้มเป็นหลัก ตัวผู้มีสร้อยรอบคอสีดำ ตัวเมียมีใบหน้านวลมากกว่า แต่ตัวเล็กกว่าตัวผู้ มีพฤติกรรมอยู่รวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ บางครั้งอาจถึงพันตัว ในพื้นที่ชุ่มน้ำต่าง ๆ สามารถกินได้ทั้งพืชและสัตว์ขนาดเล็กทั่วไป.

ใหม่!!: สัตว์และเป็ดพม่า · ดูเพิ่มเติม »

เป็ดก่า

ป็ดก่า (White-winged duck, White-winged wood duck) เป็นสัตว์ปีกชนิดหนึ่ง จำพวกเป็ด อยู่ในวงศ์นกเป็ดน้ำ (Anatidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Asarcornis จัดเป็นเป็ดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเด่นคือ หัวและลำคอตอนบนสีขาว มีจุดกระดำกระด่างสีดำ โดยทั่วไปสีของลำตัวจะเป็นสีน้ำตาลเหลือบเขียว มีขนเป็นปื้นขาวตรงหัวไหล่เป็นลักษณะเด่น มีรูปร่างเทอะทะ ปีกกว้าง ขาสั้น เพศผู้มีม่านตาสีสดใสเป็นสีเหลืองส้ม ในขณะที่เพศเมียมีม่านตาสีน้ำตาลเข้ม จะงอยปากสีเหลืองเข้มหรือสีส้ม มีประดำเป็นหย่อม ๆ เพศผู้ในฤดูผสมพันธุ์โคนปากจะพองโต เพศผู้มีขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย น้ำหนักโดยเฉลี่ยเพศผู้ประมาณ 2,945-3,855 กรัม ขณะที่เพศเมีย 1,925-3,050 กรัม พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศอินเดีย, บังกลาเทศ, เนปาล, พม่า, ไทย จนถึงหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยถือเป็นนกในวงศ์ Anatidae ชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เป็ดก่า มีอุปนิสัยแปลกไปจากนกชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน โดยมักจะอาศัยอยู่ในป่าดิบทึบ และพบได้จนถึงในพื้นที่ ๆ มีความสูงถึง 5,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ออกหากินในเวลากลางคืนและกลับสู่ถิ่นที่อยู่ในเวลารุ่งเช้า โดยมักจะจับกิ่งไม้สูง ๆ ใช้เป็นที่หลับนอน มักจับคู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ 5-6 ตัวในแหล่งน้ำที่สงบ ปราศจากการรบกวน แม้จะมีรูปร่างเทอะทะแต่ก็สามารถบินได้ดี และบินหลบหลีกต้นไม้ต่าง ๆ ในป่าดิบได้เป็นอย่างดี ในฤดูผสมพันธุ์ เป็ดก่าจะส่งเสียงร้องขณะบิน การจับคู่ผสมพันธุ์อาจเป็นในรูปแบบผัวเดียวเมียเดียว แต่ยังไม่เป็นที่ยืนยัน วางไข่ครั้งละ 6-13 ฟอง สีของไข่เป็นสีเหลืองอมเขียว มักทำรังตามโพรง เพศเมียเท่านั้นที่กกฟักไข่ ระยะเวลาฟักประมาณ 33-35 วัน ขณะฟักไข่หรือเลี้ยงลูกอ่อนเพศผู้จะอยู่พัวพันเพียงห่าง ๆ เท่านั้น เป็ดก่า ถือเป็นเป็ดป่าที่หายากและเพาะขยายพันธุ์ได้ยากชนิดหนึ่ง มีการขยายพันธุ์ได้ด้วยฝีมือมนุษย์เพื่อการอนุรักษ์ ได้แค่ไม่กี่ครั้ง และถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเป็ดก่า · ดูเพิ่มเติม »

เป็ดหางแหลม

ป็ดหางแหลม หรือ เป็ดหอม (Pintail duck, Northern pintail) เป็นนกจำพวกเป็ดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Anatidae มีคอยาวกว่าเป็ดชนิดอื่น ๆ ในวงศ์เดียวกัน ลำตัวป้อมกลม มีปลายหางแหลมจนเห็นได้ชัดเจน อันเป็นที่มาของชื่อ ปากและขามีสีเทา ตัวผู้หัวมีสีน้ำตาลเข้ม คอด้านหน้าและอกสีขาว ลำตัวสีเทา สีข้างมีแถบสีเหลือง ขณะที่ตัวเมียมีขนปกคลุมลำตัวสีน้ำตาล และมีขนาดลำตัวเล็กกว่าตัวผู้พอสมควร มีขนาดความยาวประมาณ 56 เซนติเมตร มีพฤติกรรมตอนกลางวันมักลอยตัวรวมกับเป็ดน้ำชนิดอื่น ๆ ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ หากินโดยใช้ปากไช้ตามผิวน้ำ และมุดน้ำโผล่หางแหลมชี้ขึ้นมาให้สังเกตได้ชัดเจน เป็นเป็ดที่วิ่งได้ไกลมาก และสามารถบินขึ้นจากน้ำได้เร็วและคล่องแคล่ว มีการกระจายพันธุ์กว้างไกล ตั้งแต่ทวีปอเมริกาเหนือ จนถึงอเมริกากลาง, บางส่วนในแอฟริกา, ทวีปยุโรป, เอเชียเหนือ และเอเชียกลาง, ตะวันออกกลาง, อนุทวีปอินเดียจนถึงเอเชียอาคเนย์ สำหรับในประเทศไทย ถือเป็นนกอพยพในช่วงฤดูหนาว และมีสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเป็ดหางแหลม · ดูเพิ่มเติม »

เป็ดหงส์

ป็ดหงส์ (Knob-billed duck, Comb duck) เป็นสัตว์ปีกจำพวกเป็ดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์นกเป็ดน้ำ (Anatidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Sarkidiornis จัดว่าเป็นเป็ดป่าขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีลำตัวประมาณ 76 เซนติเมตร มีจะงอยปากสีดำแถบบนปีกสีบรอนซ์สะดุดตา ตัวผู้มีส่วนหลังสีดำเหลือบสีเขียวแกมฟ้าและสีม่วง ส่วนหัวและลำคอสีขาว มีจุดประสีดำ แถบสีดำรอบด้านหลังคอพาดลงไปถึงด้านข้างของส่วนอก และอีกแถบหนึ่งพาดลงไปด้านข้างของส่วนหาง ขณะบินจะสังเกตเห็นแผ่นหลังส่วนล่างสีออกเทาชัดเจน ในฤดูผสมพันธุ์ตัวผู้มีปุ่มเนื้อที่โคนจะงอยปากด้านบนขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก จนเห็นได้ชัดเจน ขณะที่ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าและลำตัวสีทึมกว่า และไม่มีแถบสีดำสองแถบบนส่วนคอและที่ใกล้หาง ลูกอ่อนที่อายุน้อยลำตัวไม่ค่อยมีสีเหลือบและบริเวณแถบขาวมีสีคล้ำ มีถิ่นแพร่กระจายพันธุ์กว้างขวางมาก ตั้งแต่ ปากีสถาน, อินเดีย, ศรีลังกา, บังกลาเทศ ไปทางทิศตะวันออกผ่านแคว้นอัสสัม, พม่า ถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีนตอนตะวันตกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังพบในทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้อีกด้วย มีพฤติกรรมมักอาศัยอยู่ในป่าดิบทึบ ชอบที่จะเกาะคอนไม้สูง ๆ อาศัยเป็นที่หลับนอน อาศัยอยู่รวมเป็นฝูง ซึ่งเป็นครอบครัวประมาณ 4-10 ตัว หากินโดยการไซ้กินหัวและยอดอ่อน ตลอดจนเมล็ดของพืชน้ำ, เมล็ดข้าว, แมลงน้ำ และอาจกินสัตว์น้ำอย่างกบ, เขียด และปลาได้ด้วย มีฤดูผสมพันธุ์อยู่ในราวเดือนกรกฎาคมจนถึงเดือนกันยายน ในประเทศอินเดียมีรายงานว่าพบทำรังในรังเก่าของนกแร้ง และในรูบนกำแพงป้อมเก่า ๆ และบนหน้าผาดิน วางไข่สีครีมจาง ๆ จำนวน 7-15 ฟอง ในประเทศไทย ถือเป็นนกที่หาได้ยากมาก และใกล้สูญพันธุ์เนื่องจากสูญเสียที่อยู่ในธรรมชาติ และเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเป็ดหงส์ · ดูเพิ่มเติม »

เป็ดคับแค

ป็ดคับแค (Cotton pygmy goose, Cotton tealAli, Salim; J C Daniel (1983).) เป็นนกชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกเป็ดน้ำ (Anatidae) จัดเป็นนกเป็ดน้ำขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีน้ำหนักเต็มที่ประมาณ 160 กรัม และความยาวลำตัวประมาณ 26 เซนติเมตร มีลักษณะเด่น คือ มีสีขาวต่างจากนกเป็ดน้ำชนิดอื่น ปากและขาสีเทา ตัวผู้ บริเวณใบหน้า, คอและลำตัวสีขาว, กระหม่อม และวงรอบคอและหลังสีดำ, ปีกสีเขียว และมีแถบสีขาวเห็นชัดขณะบิน ขณะที่ ตัวเมีย มีสีทึมกว่า และไม่มีวงรอบคอ ลำตัวด้านบนสีน้ำตาลจาง ๆ มีแถบสีดำลากผ่านตา มีพฤติกรรมหากินรวมฝูงกันกับนกเป็ดน้ำชนิดอื่น ๆ ส่งเสียงร้อง "คว้าก – คว้าก – คว้าก - แอ๊ก" มีจะงอยปากสั้นคล้ายกับห่าน จึงเหมาะสำหรับใช้สำหรับจิกหากินตามผิวน้ำหรือพื้นดิน แต่ก็ดำน้ำได้และดำน้ำเก่ง ในฤดูผสมพันธุ์อาจจะอาศัยอยู่ตัวเดียวหรือเป็นคู่ นอกฤดูผสมพันธุ์อาจจะพบรวมฝูงนับเป็นร้อยถึงพันตัว กระจายพันธุ์อยู่ในอนุทวีปอินเดีย, เอเชียอาคเนย์ และออสเตรเลียทางตอนเหนือ ในประเทศไทยถือเป็นนกประจำถิ่น เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเป็ดคับแค · ดูเพิ่มเติม »

เป็ดแมลลาร์ด

ป็ดแมลลาร์ด หรือ เป็ดหัวเขียว (mallard, wild duck) เป็นสัตว์ปีกจำพวกเป็ดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์นกเป็ดน้ำ (Anatidae) เป็ดแมลลาร์ดมีลักษณะเหมือนเป็ดทั่วไป แต่มีลักษณะเด่น คือ ตัวผู้บริเวณหัวและคอสีเขียวเข้ม มีแถบสีขาวรอบคอ อกสีน้ำตาลแกมน้ำตาลแดงเข้ม ลำตัวด้านบนสีเทาแกมน้ำตาลอ่อน ตะโพกและขนคลุมโคนขนหางด้านบนเป็นสีดำ ขนหางสีออกขาว ท้องมีสีจางกว่าลำตัวด้านบน ปากสีเหลืองแกมเขียว ขาสีส้ม ขาของตัวเมียเป็นลายสีน้ำตาล มีแถบคาดตาสีดำ ปีกมีแววขนปีกสีน้ำเงิน ปากสีออกน้ำตาลมักมีขอบสีเหลืองหรือสีส้ม ขนหางสีจางกว่าขนคลุมโคนขนหางด้านบน กินทั้งได้พืชและสัตว์ มีความยาวเมื่อโตเต็มที่จากปลายปากถึงปลายหางประมาณ 50-60 เซนติเมตร มีการกระจายพันธุ์ค่อนข้างกว้าง ตั้งแต่ทวีปอเมริกาเหนือ, ยุโรป, ตอนเหนือของทวีปแอฟริกา และทวีปเอเชีย ส่วนในนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย มีผู้นำเข้าไปเผยแพร่จากประเทศอังกฤษ ส่วนในประเทศไทยถือเป็นนกอพยพ แต่ไม่พบรายงานการวางไข่ของเป็ดชนิดนี้ มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง มีจำนวนสมาชิกประมาณ 50-60 ตัว ตามแหล่งน้ำทั่วไป และอาจจะรวมฝูงเข้ากับนกชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน หากินในเวลากลางคืน ส่วนในเวลากลางวันจะว่ายน้ำพักผ่อนในแหล่งน้ำตื้น อาจกินสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เข้าไปด้วย มีนิสัยตื่นตกใจง่าย มีความตื่นตัวระแวดระวังภัยสูง สามารถบินขึ้นจากน้ำได้อย่างรวดเร็ว เป็ดแมลลาร์ด ถือเป็นต้นสายพันธุ์ของเป็ดที่เลี้ยงกันในเชิงพาณิชย์อย่างในปัจจุบันนี้ และมีบางส่วนเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม และถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเป็ดแมลลาร์ด · ดูเพิ่มเติม »

เป็ดแมนดาริน

ป็ดแมนดาริน (Mandarin duck; 鸳鸯; พินอิน: Yuānyāng; オシドリ; 원앙) เป็นนกชนิดหนึ่ง จำพวกเป็ด อยู่ในวงศ์นกเป็ดน้ำ (Anatidae) เป็ดแมนดาริน มีสีสวยมาก โดยเฉพาะในตัวผู้ จนได้ชื่อว่าเป็นนกชนิดหนึ่งที่มีความสวยงามที่สุดในโลก เป็นนกที่จัดอยู่ในประเภทขนาดกลาง มีความยาวลำตัวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 48 เซนติเมตร ในฤดูผสมพันธุ์ตัวผู้จะมีสีฉูดฉาดหลายสี ซึ่งแต่ละสีตัดกันเห็นเด่นชัดสวยงามมาก โดยหน้าผากและหัวเป็นสีทองแดง, สีม่วง และเขียวเหลือบเป็นมันเงา และมีขนปีกสีส้มขนาดใหญ่ดูคล้ายเป็นแผงข้างละเส้นงามสะดุดตา และจะสวยงามในฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น ขณะที่ตัวเมียจะมีขนาดตัวย่อมลงมาและสีสันไม่ฉูดฉาดเท่า มีพฤติกรรมอาศัยอยู่ตามหนองบึง และลำห้วยที่มีต้นไม้ขึ้นปกคลุม เพื่ออาศัยเป็นที่หลบซ่อนตัว และจะชอบเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ โดยอาศัยอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ตามแหล่งน้ำ โดยกินพืชน้ำชนิดต่าง ๆ รวมถึงสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นอาหาร พอสิ้นฤดูหนาวเมื่อพ้นฤดูผสมพันธุ์แล้ว ตัวผู้จะผลัดขนจนดูคล้ายตัวเมีย ซึ่งจะมีลายขีดสีขาวบริเวณท้องและลายขีดสีดำที่โคนปาก เป็ดแมนดาริน วางไข่ครั้งละ 9-12 ฟอง ไข่มีสีเนื้อเป็นมัน ระยะเวลาฟักไข่นาน 28-30 วัน โดยที่ตัวเมียจะเป็นผู้ฟัก กระจายพันธุ์อยู่ในภาคตะวันออกของประเทศจีนแถบลุ่มแม่น้ำอุสซูรี ไปจนถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออก ได้แก่ ไต้หวัน, ญี่ปุ่น และเกาหลี รวมถึงบางส่วนในทวีปยุโรปด้วย เป็ดแมนดาริน เป็นนกที่จับคู่เพียงตัวเดียวตลอดชีวิต ดังนั้นจึงเป็นสัญลักษณ์ของความรักแท้ จนปรากฏเป็นนิทานพื้นบ้านเรื่องต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และยังเป็นสัตว์แห่งความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อของชาวจีนอีกด้วย โดยปกติแล้ว เป็ดแมนดาริน ไม่ใช่นกประจำถิ่นของประเทศไทย ในประเทศไทยจะพบก็เพียงเป็นนกอพยพหนีหนาว แต่ก็พบได้น้อยมาก ในแถบภาคเหนือและภาคกลางบางพื้นที่ ด้วยความสวยงาม เป็ดแมนดาริน จึงมักถูกจับเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งในกฎหมายไทย เป็ดแมนดารินเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพุทธศักราช 2535.

ใหม่!!: สัตว์และเป็ดแมนดาริน · ดูเพิ่มเติม »

เป็ดแดง

ป็ดแดง เป็นเป็ดขนาดเล็ก มีแหล่งขยายพันธุ์ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ p. 58.

ใหม่!!: สัตว์และเป็ดแดง · ดูเพิ่มเติม »

เนื้อทราย

thumb เนื้อทราย หรือ ทราย หรือ ตามะแน (Hog deer) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกกวางชนิดหนึ่ง มีรูปร่างอ้วนป้อม ขาสั้น เนื้อทรายจะมีสีขนเปลี่ยนไปตามสภาพภูมิอากาศ thumb thumb.

ใหม่!!: สัตว์และเนื้อทราย · ดูเพิ่มเติม »

เนื้อทรายอินโดจีน

นื้อทรายอินโดจีน หรือ เนื้อทรายไทย (Indochinese hog deer, Thai hog deer) เป็นกวางชนิดเนื้อทราย (H. porcinus) ชนิดหนึ่ง โดยในอดีตเคยถูกจัดให้เป็นชนิดย่อย แต่ในปัจจุบันได้ถูกจำแนกออกมาต่างหาก พบกระจายพันธุ์ในไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม และตอนใต้ของเมียนมาร์ เนื้อทรายอินโดจีนในประเทศไทยเคยพบชุกชุมตามที่ราบต่ำหรือป่าโปร่ง ยกเว้นทางภาคใต้ เดิมเคยถูกจัดให้เป็นสัตว์ป่าสงวน เพราะอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ แต่ปัจจุบันได้ถูกถอดออกจากการเป็นสัตว์ป่าสงวนแล้ว เนื่องจากสามารถเพาะขยายพันธุ์ฺในที่เลี้ยงและนำไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติในปริมาณที่มากพอควร และสามารถขยายพันธุ์ได้เอง โดยเฉพาะที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จังหวัดชัยภูม.

ใหม่!!: สัตว์และเนื้อทรายอินโดจีน · ดูเพิ่มเติม »

เนื้อเยื่อ

นื้อเยื่อ ในทางชีววิทยาคือกลุ่มของเซลล์ที่ทำหน้าที่ร่วมกันในสิ่งมีชีวิต วิชาการศึกษาเนื้อเยื่อ เรียกว่า มิญชวิทยา (Histology) หรือ จุลกายวิภาคศาสตร์ (Microanatomy) หรือหากเป็นการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับโรคเรียกว่า จุลพยาธิวิทยา (histopathology) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเนื้อเยื่อโดยทั่วไปคือ แท่งขี้ผึ้ง (wax block), สีย้อมเนื้อเยื่อ (tissue stain), กล้องจุลทรรศน์แบบแสง (optical microscope) ซึ่งต่อมามีการพัฒนาเป็นกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (electron microscopy), immunofluorescence, และการตัดตรวจเนื้อเย็นแข็ง (frozen section) เป็นเทคนิคและความรู้ใหม่ที่เพิ่งกำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยเครื่องมือต่างๆ เหล่านี้เราสามารถตรวจพยาธิสภาพ เพื่อการวินิจฉัยและพยากรณ์โรคได้.

ใหม่!!: สัตว์และเนื้อเยื่อ · ดูเพิ่มเติม »

เนื้อเยื่อบุผิว

นื้อเยื่อบุผิว (Epithelium) เป็นเนื้อเยื่อพื้นฐานหนึ่งในสี่ชนิดของสัตว์ ร่วมกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อประสาท เนื้อเยื่อบุผิวบุโพรงและพื้นผิวของโครงสร้างทั่วร่างกาย และยังเกิดเป็นต่อมจำนวนมาก หน้าที่ของเซลล์บุผิวรวมไปถึงการหลั่ง การเลือกดูดซึม การป้องกัน การขนส่งระหว่างเซลล์และการตรวจจับการรู้สึก ชั้นเนื้อเยื่อบุผิวนั้นไร้หลอดเลือด ฉะนั้น เนื้อเยื่อบุผิวจึงได้รับอาหารผ่านการแพร่ของสสารจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่อยู่ข้างใต้ ผ่านเยื่อฐาน เนื้อเยื่อบุผิวสามารถจัดเป็นกลุ่มเซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นต่อมมีท่อและต่อมไร้ท่อได้.

ใหม่!!: สัตว์และเนื้อเยื่อบุผิว · ดูเพิ่มเติม »

เนื้อเยื่อคัพภะ

อวัยวะที่เจริญมาจาก Germ layer ในแต่ละชั้น ชั้นเนื้อเยื่อคัพภะ (Germ layer) เป็นเนื้อเยื่อ (กลุ่มของเซลล์) ที่เกิดขึ้นระหว่างการเกิดเอ็มบริโอ (embryogenesis) ของสัตว์ แม้ว่ามักกล่าวถึงในแง่การเจริญในสัตว์มีกระดูกสันหลัง แต่ความจริงแล้วสัตว์ทุกชนิดที่มีวิวัฒนาการซับซ้อนกว่าฟองน้ำ มีการสร้างชั้นเนื้อเยื่อปฐมภูมิ (primary tissue layers, บางครั้งเรียกว่า primary germ layers) 2 หรือ 3 ชั้น แล้ว สัตว์ที่มีสมมาตรในแนวรัศมี เช่น ไนดาเรีย (cnidarian) หรือทีโนฟอรา (ctenophore) สร้าง germ layer ขึ้นมา 2 ชั้น ได้แก่ เอ็กโทเดิร์ม และเอนโดเดิร์ม จึงเรียกว่า ไดโพลบลาสติก (diploblastic) ส่วนสัตว์ที่มีสมมาตรแบบ 2 ด้านคือตั้งแต่หนอนตัวแบนจนถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมจะมีการสร้างเนื้อเยื่อชั้นที่ 3 ขึ้นมา เรียกว่า เมโซเดิร์ม จึงเรียกสัตว์ชนิดนี้ว่า ไตรโพลบลาสติก (triploblastic) Germ layer จะเจริญต่อไปเป็นเนื้อเยื่อและอวัยวะของสัตว์ทุกชนิดผ่านกระบวนการเกิดอวัยวะ (organogenesis).

ใหม่!!: สัตว์และเนื้อเยื่อคัพภะ · ดูเพิ่มเติม »

เนื้อเยื่อเจริญ

นื้อเยื่อเจริญ (meristem) คือเนื้อเยื่อในพืชที่ประกอบไปด้วยเซลล์ที่ยังไม่ผ่านการเปลี่ยนสภาพ (เซลล์ที่สามารถแบ่งตัวได้) ซึ่งมักพบในตำแหน่งที่พืชมีการเจริญเติบโต โดยปกติแล้วเซลล์พืชที่ทำการแบ่งตัวแล้วจะไม่สามารถแบ่งตัวออกมาได้อีก เนื้อเยื่อเจริญจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการแบ่งตัวของเซลล์เนื่องจากประกอบไปด้วยเซลล์ใหม่ที่จะถูกนำไปขยายเนื้อเยื่อและนำไปสู่สร้างอวัยวะใหม่ เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานให้กับต้นพืช เซลล์ในเนื้อเยื่อเจริญนั้นมีรูปแบบการทำงานที่คล้ายคลึงกับเซลล์ต้นกำเนิดที่พบในสัตว์ คือมีบางเซลล์ที่ยังไม่ผ่านการเปลี่ยนสภาพ แต่สามารถที่จะทำการแบ่งเซลล์ในภายหลังได้ และเซลล์ทั้งสองประเภทยังมีขนาดเล็กและเต็มไปด้วยโปรโตพลาสซึม ทั้งยังมีแวคิวโอลที่มีขนาดเล็กมาก ส่วนไซโทพลาสซึมนั้นไม่มีพลาสติดที่ผ่านการเปลี่ยนสภาพประกอบอยู่ด้วย (คือคลอโรพลาสหรือโครโมพลาส) แม้ว่าจะโพรพลาสติดซึ่งเป็นขั้นก่อนของพลาสติดอยู่ก็ตาม เซลล์ในเนื้อเยื่อเจริญจะอัดแน่นอยู่ด้วยกันโดยไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์ และจะมีผนังเซลล์ที่บางมาก การดำรงสภาพกลุ่มเซลล์เหล่านี้ต้องการสมดุลระหว่างกระบวนการที่ตรงข้ามกันสองกระบวนการคือการเริ่มสร้างอวัยวะและการแทนที่เซลล์ต้นกำเนิด เนื้อเยื่อเจริญสามารถแบ่งประเภทได้ตามตำแหน่งที่อยู่ แบ่งได้เป็น 3 ประเภทได้แก.

ใหม่!!: สัตว์และเนื้อเยื่อเจริญ · ดูเพิ่มเติม »

เนเฟช

นเฟช (נֶפֶש) เป็นคำที่ปรากฏในคัมภีร์ฮีบรูของศาสนายูดาห์ หมายถึง "ชีวิต" ซึ่งมีอยู่ทั้งในมนุษย์และสัตว์ ซึ่งจะสิ้นสุดลงเมื่อผู้นั้นตาย เนเฟชตามความเข้าใจของศาสนายูดาห์และพยานพระยะโฮวาจึงไม่ใช่วิญญาณอมตะ ศาสนาคริสต์ได้พัฒนาความเชื่อนี้ต่อมาว่าเนเฟชหรือ "พซีเค" ในภาษากรีกเป็นวิญญาณอมตะ จะดำรงอยู่ต่อไปแม้ว่าร่างกายจะแตกสลายไปแล้วก็ตาม นิกายโปรเตสแตนต์ฝ่ายลัทธิคาลวินเชื่อว่าวิญญาณเป็นอมตะ และยังมีความรู้สึกอยู่ตลอดแม้ตายไปแล้ว แต่ฝ่ายลูเทอแรนว่าวิญญาณเป็นมตะ จะหลับใหลไปจนกว่าบรรดาผู้ตายจะคืนชีพ นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์เชื่อว่าวิญญาณจะไปอยู่ที่แดนผู้ตาย ส่วนนิกายโรมันคาทอลิกเชื่อว่าผู้ที่ยังไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จะต้องไปอยู่ในแดนชำระก่อน เมื่อบริสุทธิ์แล้วจึงขึ้นสวรรค์ต่อไป ตั้งแต่สังคายนาลาเตรันครั้งที่ห้า คริสตจักรโรมันคาทอลิกถือว่าผู้ไม่เชื่อว่าวิญญาณเป็นอมตะเป็นพวกนอกรีต.

ใหม่!!: สัตว์และเนเฟช · ดูเพิ่มเติม »

Balistoides

Balistoides เป็นสกุลของปลาทะเลในวงศ์ปลาวัว (Balistidae) จัดเป็นปลาวัวขนาดใหญ่ มีขนาดลำตัวตั้งแต่ 45 เซนติเมตรขึ้นไป มีอุปนิสัยดุร้าย จนสามารถว่ายไล่หรือกัดทำร้ายนักดำน้ำได้ พบกระจายพันธุ์ในน่านน้ำแถบอินโด-แปซิฟิก แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และBalistoides · ดูเพิ่มเติม »

Bangana lippus

Bangana lippus เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีชื่อสามัญว่า "ปลาเพ้า" ซึ่งเป็นชื่อเรียกรวมกับปลาบางชนิดในสกุลเดียวกัน เช่น B. sinkleri เป็นต้น.

ใหม่!!: สัตว์และBangana lippus · ดูเพิ่มเติม »

Bangana sinkleri

Bangana sinkleri เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีชื่อสามัญว่า "ปลาเพ้า" ซึ่งเป็นชื่อเรียกรวมกับปลาบางชนิดในสกุลเดียวกัน เช่น B. lippus เป็นต้น ปลาชนิด B. sinkleri มีลักษณะลำตัวทรงกระบอก ขนาดประมาณ 19-30 เซนติเมตร หัวโต จะงอยปากสั้นและมีตุ่มเล็ก ๆ ในตัวผู้ ปากกว้างอยู่ด้านล่าง เกล็ดค่อนข้างใหญ่ ครีบหลังสูง ลำตัวสีเทาหรือเขียวมะกอก ในฤดูผสมพันธุ์จะเปลี่ยนเป็นสีม่วง มีลายจุดสีน้ำตาลแดง ท้องสีขาว อาหารได้แก่ ตะไคร่น้ำหรือสาหร่ายตามพื้นน้ำหรือแก่งหิน มักอาศัยอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ 3-9 ตัว ตามซอกหินหรือแก่งน้ำไหลเชี่ยว เป็นปลาที่พบน้อย โดยจะพบเฉพาะบริเวณแม่น้ำโขงที่เดียวเท่านั้น.

ใหม่!!: สัตว์และBangana sinkleri · ดูเพิ่มเติม »

Benthosema

Benthosema เป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และBenthosema · ดูเพิ่มเติม »

Bolinichthys

Bolinichthys เป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และBolinichthys · ดูเพิ่มเติม »

Bothrops insularis

Bothrops insularis หรือที่รู้จักกันในชื่อ โกลเดนแลนซ์เฮดCampbell JA, Lamar WW.

ใหม่!!: สัตว์และBothrops insularis · ดูเพิ่มเติม »

Brookesia micra

Brookesia micra (/บรู๊ค-เค-เซีย-ไม-คร่า/) เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก จำพวกกิ้งก่าคาเมเลี่ยนชนิดหนึ่ง Brookesia micra เป็นกิ้งก่าคาเมเลี่ยนในสกุล Brookesia ชนิดใหม่ที่ได้รับการค้นพบเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และBrookesia micra · ดูเพิ่มเติม »

Buceros

Buceros เป็นสกุลของนกเงือกขนาดใหญ่ ที่อาศัยอยู่ในทวีปเอเชีย ประกอบไปด้วย 3 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และBuceros · ดูเพิ่มเติม »

Caenorhabditis elegans

Caenorhabditis elegans เป็นหนอนนีมาโทดาที่โปร่งใส มีความยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร C. elegans อาศัยอยู่ในดินในเขตอบอุ่น และเริ่มถูกใช้ในงานวิจัยทางด้านอณูชีววิทยาและชีววิทยาการเจริญ มาตั้งแต่ ปี..

ใหม่!!: สัตว์และCaenorhabditis elegans · ดูเพิ่มเติม »

Cassiopea andromeda

Cassiopea andromeda เป็นแมงกะพรุนจำพวกแมงกะพรุนกลับหัวชนิดหนึ่ง โดยเป็นแมงกะพรุนที่มีส่้วนหัวหรือเมดูซ่าคว่ำลงและเกาะติดกับพื้นทะเล ที่เป็นพื้นทรายหรือพื้นโคลน และเอาส่วนที่เป็นหนวดชูขึ้น ทำให้แลดูคล้ายดอกไม้ทะเลหรือแมงกะพรุนที่ตายแล้ว Cassiopea andromeda มีความยาวเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร แพร่กระจายพันธุ์ในน่านน้ำแถบอินโด-แปซิฟิกฝั่งตะวันตก รวมถึงในน่านน้ำไทยด้วย แต่เป็นแมงกะพรุนที่ไม่้ได้มีการจับมาบริโภค โดยการชูเอาหนวดที่มีเข็มพิษคอยดักจับแพลงก์ตอนที่ลอยตามกระแสน้ำกินเป็นอาหาร รวมถึงกุ้งหรือปลาขนาดเล็กเป็นอาหาร รวมถึงสามารถสังเคราะห์แสงเองได้ด้วยจากสาหร่ายซูแซนแทลลี่ที่อยู่รอบ ๆ หนว.

ใหม่!!: สัตว์และCassiopea andromeda · ดูเพิ่มเติม »

Centrobranchus

Centrobranchus เป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และCentrobranchus · ดูเพิ่มเติม »

Ceratoscopelus

Ceratoscopelus เป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และCeratoscopelus · ดูเพิ่มเติม »

Cervus

Cervus (/เซอ-วัส/) เป็นสกุลของกวาง ที่พบกระจายพันธุ์ในยูเรเชีย, แอฟริกาเหนือ และบางส่วนของอเมริกาเหนือ เดิมสกุลนี้เคยถูกจัดให้เป็นสกุลหลักของกวาง ร่วมกับสกุลอื่น ๆ คือ Dama, Elaphurus และ Hyelaphus และจนถึงปลายปี..

ใหม่!!: สัตว์และCervus · ดูเพิ่มเติม »

Chironex fleckeri

Chironex fleckeri (/ไค-โร-เน็ก-เฟลค-เคอ-ไร/) เป็นแมงกะพรุนจำพวกแมงกะพรุนกล่องที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คำว่า Chironex มีรากศัพท์จากคำว่า "chiro" (Χέρι) ในภาษากรีก แปลว่า "มือ" กับคำว่า "nex" ภาษาละตินแปลว่า "ความตาย" เมื่อโตเต็มที่ จะมีหนวดมากถึง 60 เส้นซึ่งยืดได้ไกลถึง 3 เมตร มีเมดูซ่าขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอล มีดวงตาทั้งหมด 24 ดวงอยู่รอบ ๆ และมีดวงตาหลัก 2 ดวงอยู่ในดวงแต่ละคู่ ที่มีลักษณะคล้ายกับดวงตามนุษย์ คือ มีทั้งเลนส์ตา, ม่านตา และตาดำ ซึ่งทำให้เห็นภาพได้ดี และสามารถมองภาพในแบบตีลังกาได้ และมองได้รอบทิศ 360 องศา และนับเป็นระบบการมองเห็นที่ดีมากเมื่อเทียบกับสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกอื่น ๆ ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัดถึงการทำงานของตา ในส่วนของหนวดที่ยาวเมื่อสัมผัสกับสิ่งมีชีวิตอื่น กระเปาะเล็ก ๆ หลายล้านอันซึ่งกระจายอยู่เต็มพื้นผิวของหนวดแต่ละเส้นจะแตกตัวออกแล้วปล่อยเหล็กในออกมาใส่เหยื่อ จากนั้นเหล็กในก็จะทำหน้าที่ฉีดสารพิษเข้าไปในร่างกายของเหยื่อ ด้วยแรงที่มากถึง 1.5 ล้านแรงโน้มถ่วง หากเหยื่อเป็นมนุษย์ พิษจะออกฤทธิ์รุนแรงทำให้เกิดอาการเจ็บปวด และหัวใจหยุดทำงานและคร่าชีวิตเหยื่อได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ปกติ แมงกะพรุนกล่องชนิดนี้อาศัยอยู่ในทะเลทางแถบตอนเหนือของออสเตรเลีย โดยอาศัยอยู่ในน้ำตื้นรวมถึงป่าโกงกาง และหลีกเลี่ยงการอาศัยอยู่ในน้ำลึก เช่น เกรตแบร์ริเออร์รีฟเชื่อว่าเข้าไปเพื่อหาอาหารซึ่งเป็นปลา แต่บางครั้งก็อาจถูกกระแสน้ำซัดขึ้นไปในแม่น้ำถ้าระดับน้ำลดต่ำและกระแสน้ำไหลช้า แต่จากการศึกษาพบว่า Chironex fleckeri ไม่สามารถที่จะแยกแยะวัตถุที่เป็นสีขาวได้ แต่จะแยกแยะได้ในวัตถุที่เป็นสีดำหรือสีแดง Chironex fleckeri นับเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษที่มีอันตรายที่สุดในโลกและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีพิษร้ายแรงกว่าแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกสหลายเท่า และมีขนาดใหญ่กว่า C. yamaguchii ซึ่งอยู่ในสกุลเดียวกันหลายเท่า และถึงแม้จะตายแล้วก็ยังคงมีพิษอยู่ Chironex fleckeri จะขยายพันธุ์ในช่วงฤดูหนาว และจะเจริญเติบโตเต็มที่ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นฤดูกาลถัดมา กินปลาเป็นอาหาร ด้วยการแทงเหล็กในให้ปลาเป็นอัมพาต โดยกินปลามากถึงน้ำหนักตัวเองถึง 4 เท่า และเหมือนกับแมงกะพรุนกล่องทั่วไป คือ สามารถว่ายน้ำได้ไม่ใช่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำเหมือนแมงกะพรุนจำพวกอื่น ซึ่งมีความเร็วเทียบเท่ากับการว่ายน้ำของมนุษย์ มีการศึกษาพบว่าวัน ๆ หนึ่ง แม้จะว่ายน้ำไกล แต่จะเป็นเส้นทางที่ไม่เป็นเส้นตรง และจะนอนหลับพักผ่อนบนพื้นทะเลในเขตน้ำตื้นในเวลากลางคืน ป้ายเตือนอันตรายจากแมงกะพรุนกล่องในออสเตรเลีย ปัจจุบัน หลายพื้นที่ของออสเตรเลีย มีตาข่ายและป้ายเตือนนักท่องเที่ยวที่ลงเล่นน้ำให้ระวัง แต่กระนั้นก็ยังมีบางส่วนที่หลุดรอดตาข่ายนั้นเข้ามาทำอันตรายได้ รวมถึงแมงกะพรุนอิรุคันจิ ซึ่งเป็นแมงกะพรุนกล่องเช่นเดียวกัน แต่มีขนาดเล็กกว่ามากด้วยTV with Teeth - KILLER JELLYFISH, สารคดีทางอนิมอลพลาเน็ต ทางทรูวิชั่นส์: อาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2556.

ใหม่!!: สัตว์และChironex fleckeri · ดูเพิ่มเติม »

Clione limacina

Clione limacine หรือในชื่อสามัญว่า นางฟ้าทะเล (Sea angel) เป็นหอยฝาเดี่ยวที่ไม่มีเปลือกจำพวกหนึ่ง พบในความลึกระดับ 500 เมตรGofas, S. (2012).

ใหม่!!: สัตว์และClione limacina · ดูเพิ่มเติม »

COPINE Scale

COPINE Scale เป็นมาตราสำหรับประเมินที่สร้างขึ้นในประเทศไอร์แลนด์แล้วต่อมาใช้ในสหราชอาณาจักรเพื่อจัดลำดับความร้ายแรงของรูปทารุณเด็กทางเพศ โดยตามกฎหมายของประเทศ คำว่า "เด็ก" หมายถึงบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เจ้าหน้าที่ของโปรเจ็กต์ COPINE (Combating Paedophile Information Networks in Europe แปลว่า เครือข่ายข้อมูลต่อสู้คนใคร่เด็กในยุโรป) พัฒนามาตราสำหรับประเมินนี้ขึ้น โดยเป็นโปรเจ็กต์ที่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2540 และมีสำนักงานอยู่ที่คณะจิตวิทยาประยุกต์ที่มหาวิทยาลัยคอลเลจคอร์ก (University College Cork) ในประเทศไอร์แลน.

ใหม่!!: สัตว์และCOPINE Scale · ดูเพิ่มเติม »

Diaphus

Diaphus เป็นประเภทของปลาตะเกียงและเป็นที่รู้จักมากที่สุด It is the most species rich lanternfish genus.

ใหม่!!: สัตว์และDiaphus · ดูเพิ่มเติม »

Diogenichthys

Diogenichthys เป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และDiogenichthys · ดูเพิ่มเติม »

Electrona

Electrona เป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และElectrona · ดูเพิ่มเติม »

Entelodont

Entelodont (มีสมญานามในหมู่นักวิทยาศาสตร์อเมริกันว่า หมูนรก - Hell pig หรือ หมูคนเหล็ก - Terminator pig) เป็นกลุ่มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินทั้งพืชและสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว มีความสัมพันธ์อย่างห่างๆกับหมูและสัตว์กีบเท้าคู่ไม่เคี้ยวเอื้องในปัจจุบันชนิดอื่นๆ มีถิ่นอาศัยอยู่ทั่วป่าในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ระหว่างสมัยโอลิโกซีนและต้นสมัยไมโอซีน เมื่อ 45 ถึง 25 ล้านปีก่อน ขนาดใหญ่ที่สุดสูง 2.1 เมตร สมองมีขนาดเท่ากับกำปั้น กินพืชและเนื้อที่เน่าเปื่อยเป็นอาหาร.

ใหม่!!: สัตว์และEntelodont · ดูเพิ่มเติม »

Epiplatys

Epiplatys เป็นสกุลของปลาน้ำจืดจำพวกปลาคิลลี่ฟิช ในวงศ์ Nothobranchiidae คำว่า Epiplatys มาจากภาษากรีกคำว่า ἐπί (epí) หมายถึง "ยอด" หรือ "อยู่บน" และคำว่า πλατύς (platýs) หมายถึง "แบนราบ" โดยมีความหมายถึง ลักษณะของครีบหลังที่อยู่จนเกือบสุดปลายหาง และพฤติกรรมที่มักว่ายน้ำแบนราบไปกับผิวน้ำ เป็นปลาที่กระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในทวีปแอฟริกา พบทั้งในน้ำจืดและน้ำกร่อย มีความใกล้ชิดกับสกุล Aplocheilus หรือ ปลาหัวตะกั่ว ที่พบได้ในทวีปเอเชียรวมถึงประเทศไทย มีจุดเด่น คือ ส่วนหัวด้านบนมีจุดกลมเล็ก ๆ เห็นชัดเจน สันนิษฐานว่ามีไว้เพื่อเป็นประสาทรับสัมผัสความมืด-สว่าง ในช่วงเวลากลางวัน เป็นปลาขนาดเล็ก มีสีสันสวยงาม จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามหน้า 44-49, ผีเสื้อน้อยแห่งแอฟริกา Epiplatys annulatus.

ใหม่!!: สัตว์และEpiplatys · ดูเพิ่มเติม »

Eristalis tenax

หมวดหมู่:แมลง.

ใหม่!!: สัตว์และEristalis tenax · ดูเพิ่มเติม »

Euryplatea nanaknihali

Euryplatea nanaknihali เป็นแมลงวันชนิดหนึ่งที่เพิ่งได้รับการค้นพบใน พ.ศ. 2555 ที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี โดยมีขนาดเพียง 0.4 มิลลิเมตร และได้รับการระบุว่าเป็นแมลงวันที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าแมลงวันทั่วไปประมาณ 15 เท่า หรือเล็กกว่าเมล็ดข้าวเปลือก 5 เท่า ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากแต่สามารถเห็นได้โดยใช้กล้องจุลทรรศน์ และมีลักษณะเป็นแมลงปรสิต.

ใหม่!!: สัตว์และEuryplatea nanaknihali · ดูเพิ่มเติม »

Filopaludina martensi

Filopaludina martensi เป็นมอลลัสคาประเภทหอยฝาเดี่ยว จำพวกหอยขม (Viviparidae) ชนิดหนึ่ง พบในน้ำจืดมีขนาดเล็ก เปลือกเป็นเกลียวกลมยอดแหลม เปลือกหนาและแข็ง ผิวชั้นนอกเป็นสีเขียวแก่ ฝาปิดเปลือกเป็นแผ่นกลม ตีนใหญ่ จะงอยปากสั้นทู่ ตามีสีดำอยู่ตรงกลางระหว่างโคนหนวด ตัวผู้มีหนวดเส้นข้างขวาพองโตกว่าเส้นข้างซ้าย ลักษณะพิเศษของหอยชนิดนี้ จะมีอวัยวะเพศทั้งเพศผู้และเพศเมียอยู่ในตัวเดียวกัน ออกลูกเป็นตัว และผสมพันธุ์ได้ด้วยตัวเองเมื่ออายุได้ 60 วัน ออกลูกเป็นตัวครั้งละประมาณ 40-50 ตัว หอยที่ออกมาใหม่ ๆ มีวุ้นหุ้มอยู่ แม่หอยจะใช้หนวดแทงวุ้นจนแตก เพื่อให้ลูกหอยหลุดออกจากวุ้น หอยขมสามารถเคลื่อนไหวได้ทันทีเมื่อออกจากตัวแม่ จะพบเห็นชุกชุมอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม-พฤษภาคม มักอาศัยในแหล่งน้ำจืด เช่น คู, คลอง, หนอง, บึง ที่น้ำไม่ไหลแรงและเป็นน้ำนิ่ง มีระดับความลึกตั้งแต่ 10 เซนติเมตร ถึง 2 เมตร มักเกาะอยู่กับพันธุ์ไม้น้ำ, เสาหลัก, ตอไม้ หรือตามพื้น กินอาหารจำพวกสาหร่าย และอินทรีย์สาร หรือเศษใบไม้ใบหญ้าผุ ๆ ในน้ำ รวมทั้งซากอินทรีย์ที่เน่าเปื่อยและผงตะกอนที่จมอยู่ตามผิวดิน นับเป็นหอยขมชนิดที่พบได้แพร่หลายมากที่สุดในประเทศไทย และยังพบได้ในภูมิภาคใกล้เคียง เช่น ลาว, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนาม โดยชนิดต้นแบบพบในประเทศไทย ขณะที่ยังใช้ชื่อประเทศว่า "สยาม" อยู่ นิยมนำมาปรุงเป็นอาหารต่าง ๆ ในตำรับอาหารไทย เช่น แกงคั่วหอยขม มีการส่งเสริมให้มีการเพาะเลี้ยงกันเป็นสัตว์เศรษฐกิจ และยังมีความเชื่อด้วยว่า หากใครได้ปล่อยหอยชนิดนี้ลงกลับสู่ธรรมชาติ จะนำความขมขื่นให้หมดไป.

ใหม่!!: สัตว์และFilopaludina martensi · ดูเพิ่มเติม »

Geckolepis megalepis

Geckolepis megalepis (/เก็ก-โค-เล-ปิส/ /เม-กา-เล-ปิส/) เป็นสัตว์เลื้อยคลานจำพวกจิ้งจกและตุ๊กแกชนิดหนึ่ง พบเฉพาะบนเกาะมาดากัสการ์ เป็นสัตว์ที่ถูกค้นพบเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และGeckolepis megalepis · ดูเพิ่มเติม »

Gene flow

ในสาขาพันธุศาสตร์ประชากร gene flow (การไหลของยีน, การโอนยีน) หรือ gene migration เป็นการโอนความแตกต่างของยีน (genetic variation) ของประชากรกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง ถ้าอัตราการโอนยีนสูงพอ กลุ่มประชากรทั้งสองก็จะพิจารณาว่ามีความหลากหลายทางพันธุกรรม (genetic diversity) ที่เหมือนกัน และดังนั้น จึงเท่ากับเป็นกลุ่มเดียวกัน มีการแสดงแล้วว่า ต้องมี "ผู้อพยพหนึ่งหน่วยต่อหนึ่งรุ่น" เป็นอย่างน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มประชากรเบนออกจากกันทางพันธุกรรมเนื่องจากการเปลี่ยนความถี่ยีนอย่างไม่เจาะจง (genetic drift) กระบวนการนี้เป็นกลไกสำคัญเพื่อโอนความหลากหลายของยีนในระหว่างกลุ่มประชากรต่าง ๆ หน่วยที่ "อพยพ" เข้ามาหรือออกจากกลุ่มประชากรอาจเปลี่ยน ความถี่อัลลีล (allele frequency, สัดส่วนของสมาชิกกลุ่มประชากรที่มีรูปแบบหนึ่งเฉพาะของยีน) ซึ่งก็จะเปลี่ยนการแจกแจงความหลากหลายของยีนระหว่างกลุ่มประชากร "การอพยพ" อาจเพิ่มรูปแบบยีนใหม่ ๆ ให้กับสปีชีส์หรือประชากรกลุ่ม ๆ หนึ่ง อัตราการโอนที่สูงสามารถลดความแตกต่างของยีนระหว่างสองกลุ่มและเพิ่มภาวะเอกพันธุ์ เพราะเหตุนี้ การโอนยีนจึงเชื่อว่าจำกัด การเกิดสปีชีสใหม่ (speciation) เพราะรวมยีนของกลุ่มต่าง ๆ และดังนั้น จึงป้องกันพัฒนาการความแตกต่างที่อาจนำไปสู่การเกิดสปีชีสใหม่ '''gene flow''' ก็คือการโอนอัลลีลจากประชากรกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่งผ่าน "การอพยพ" ของสิ่งมีชีวิตแต่ละหน่วย มีปัจจัยต่าง ๆ ต่ออัตราการโอนยีนข้ามกลุ่มประชากร อัตราคาดว่าจะต่ำในสปีชีส์ที่กระจายแพร่พันธุ์หรือเคลื่อนที่ไปได้ในระดับต่ำ ที่อยู่ในที่อยู่ซึ่งแบ่งออกจากกัน ที่มีกลุ่มประชากรต่าง ๆ อยู่ห่างกัน และมีกลุ่มประชากรเล็ก การเคลื่อนที่ได้มีบทบาทสำคัญต่ออัตราการโอนยีน เพราะสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนที่ได้มีโอกาสอพยพไปที่อื่นสูงกว่า แม้สัตว์มักจะเคลื่อนที่ได้มากกว่าพืช แต่พาหะที่เป็นสัตว์หรือลมก็อาจจะขนละอองเรณูและเมล็ดพืชไปได้ไกล ๆ เหมือนกัน เมื่อระยะแพร่กระจายพันธุ์ลดลง การโอนยีนก็จะถูกขัดขวาง การผสมพันธุ์ในสายพันธุ์ (inbreeding) วัดโดย สัมประสิทธิ์การผสมพันธุ์ในสายพันธุ์ (inbreeding coefficient ตัวย่อ F) ก็จะเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มประชากรบนเกาะจำนวนมากมีอัตราการโอนยีนที่ต่ำ เพราะอยู่ในภูมิภาคแยกต่างหากและมีขนาดประชากรเล็ก ตัวอย่างโดยเฉพาะอย่างหนึ่งก็คือ จิงโจ้สกุล Petrogale lateralis (Black-footed Rock-wallaby) ที่มีกลุ่มซึ่งผสมพันธุ์ภายในสายพันธุ์บนเกาะต่าง ๆ แยกต่างหาก ๆ นอกชายฝั่งของออสเตรเลีย นี่เนื่องจากไปมาหาสู่กันไม่ได้ การโอนยีนจึงเป็นไปไม่ได้ และทำให้ต้องผสมพันธุ์กันในสายพัน.

ใหม่!!: สัตว์และGene flow · ดูเพิ่มเติม »

Gonichthys

Gonichthys เป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และGonichthys · ดูเพิ่มเติม »

Gymnoscopelus

Gymnoscopelus เป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และGymnoscopelus · ดูเพิ่มเติม »

Han solo (ไทรโลไบต์)

Han solo เป็นไตรโลไบต์ชนิดหนึ่งในจีนัส Han และเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในจีนัสนี้ ถูกพบเป็นฟอสซิลในชั้นหินยุคออร์โดวิเชียนในจีนตอนใต้.

ใหม่!!: สัตว์และHan solo (ไทรโลไบต์) · ดูเพิ่มเติม »

Harryplax severus

Harryplax severus (/แฮร์-รี่-แพลกซ์/ /เซ-เวอ-รัส/) ครัสเตเชียนจำพวกปูชนิดหนึ่ง ถูกประกาศให้เป็นสัตว์ชนิดใหม่ในช่วงต้นปี..

ใหม่!!: สัตว์และHarryplax severus · ดูเพิ่มเติม »

Heterometrus laoticus

Heterometrus laoticus (Asian giant forest scorpion) เป็นแมงป่องช้างชนิดหนึ่ง จัดเป็นแมงป่องขนาดใหญ่ และเป็นแมงป่องชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 6-8 เซนติเมตร ไม่รวมหาง ลำตัวสีดำเป็นเงามันเลื่อม ภาษาอีสานจึงเรียกว่า "แมงเงา" เป็นแมงป่องขนาดใหญ่ที่พบอาศัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะภูมิภาคอินโดจีน เช่น ลาว, เวียดนาม, ไทย พบกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะพบมากในภาคเหนือและอีสาน ผิวบริเวณส่วนหัวของแมงป่องช้างชนิดนี้จะเรียบและมีส่วนหัวที่กว้างกว่าชนิดอื่น นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ รวมทั้งเลี้ยงไว้เพื่อการเศรษฐกิจสำหรับบริโภค หรือแสดงโชว์ต่าง ๆ ได้อีกด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และHeterometrus laoticus · ดูเพิ่มเติม »

Hintonia (ปลา)

Hintonia candens เป็นสายพันธุ์ที่พบของปลาตะเกียงในมหาสมุทรใต้ สายพันธุ์นี้เติบโตขึ้นเป็นเส้นผ่าศูนย์กลาง 13 เซนติเมตร (5.1 นิ้ว) สายพันธุ์นี้เป็นเพียงสมาชิกเพียงชนิดเดียวของสกุล.

ใหม่!!: สัตว์และHintonia (ปลา) · ดูเพิ่มเติม »

Homo erectus

ม อีเร็กตัส (แปลว่า "มนุษย์ที่ยืนตรง" มาจากคำกริยาในภาษาละตินว่า ērigere ซึ่งแปลว่า ตั้งให้ตรง) เป็นสปีชีส์ของมนุษย์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ที่มีชีวิตอยู่เกือบทั้งสมัยไพลสโตซีน โดยมีหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดประมาณ และหลักฐานที่ใหม่ที่สุดที่ 27,000 ปีก่อน เป็นสกุลที่เกิดในแอฟริกาและได้ย้ายถิ่นฐานกระจายไปจนถึงจอร์เจีย อินเดีย ลังกา จีน และเกาะชวาChauhan, Parth R. (2003) in An Overview of the Siwalik Acheulian & Reconsidering Its Chronological Relationship with the Soanian - A Theoretical Perspective.

ใหม่!!: สัตว์และHomo erectus · ดูเพิ่มเติม »

Homo naledi

Homo naledi เป็นสปีชีส์โฮมินินที่สูญพันธุ์แล้วซึ่งกำหนดเข้าสกุล Homo ถูกค้นพบในห้อง Dinaledi ของระบบถ้ำดาวขึ้น (Rising Star Cave) ซึ่งตั้งอยู่ในแอ่งมนุษยชาติ (Cradle of Humankind) ประเทศแอฟริกาใต้ ตัวถ้ำเองอยู่ห่างจาก Swartkrans ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 800 เมตร และอยู่ในบริเวณเดียวกับแหล่งที่พบโฮมินินอันขึ้นชื่อ คือ Sterkfontein และ Kromdraai สปีชีส์นี้มีลักษณะ คือ มีมวลกายและความสูงคล้ายกับประชากรมนุษย์รูปร่างเล็ก มีปริมาตรในกะโหลกเล็กกว่าใกล้เคียงกับ Australopithecus และสัณฐานกะโหลกคล้ายกับสปีชีส์ Homo สมัยต้น ๆ กายวิภาคของกะโหลกรวมลักษณะดั้งเดิมที่ทราบจาก australopithecine กับลักษณะที่ทราบจากโฮมินินสมัยต้น ๆ กระดูกซากดึกดำบรรพ์ในถ้ำรวมส่วนต่าง ๆ จากอย่างน้อย 15 ตน ซากต่าง ๆ แสดงสัญญาณว่าถูกกำจัดโดยเจตนาในถ้ำใกล้เวลาตาย ตัวซากดึกดำบรรพ์เองยังไม่ถูกวัดอายุ แต่สายชีวภาพที่อยู่นั้นประมาณว่ามีอายุ 2.5 ล้านปี ผู้ค้นพบเสนอให้กระดูกนี้เป็นตัวแทนของสปีชีส์ใหม่ในสกุล Homo ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ ยืนยันว่ายังจำเป็นต้องวิเคราะห์ต่อไปเพื่อสนับสนุนหรือหักล้างสมมุติฐานนี้.

ใหม่!!: สัตว์และHomo naledi · ดูเพิ่มเติม »

Hydrornis

Hydrornis เป็นสกุลของนกขนาดเล็ก จำพวกนกแต้วแร้ว พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดิมเคยถูกจัดรวมเป็นสกุลเดียวกับสกุล Pitta แต่ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และHydrornis · ดูเพิ่มเติม »

Hyelaphus

Hyelaphus เป็นสกุลของกวางขนาดเล็กสกุลหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั่วไปแล้วมีลำตัวสีน้ำตาล ทั้งหมดเป็นชนิดที่ถูกคุกคามในธรรมชาติ และใน 2 จาก 3 ชนิด เป็นชนิดที่พบกระจายพันธุ์เฉพาะบนเกาะเล็ก ๆ แต่เดิมสกุลนี้เคยถูกจัดให้เป็นสกุลย่อยของสกุล Axis แต่ปัจจุบันด้วยหลักฐานทางพันธุกรรมพบว่ากลับมีความใกล้ชิดกับสกุล Rusa มากกว่า จำให้ถูกแยกออกเป็นสกุลต่างหากPitraa, Fickela, Meijaard, Groves (2004).

ใหม่!!: สัตว์และHyelaphus · ดูเพิ่มเติม »

Hygophum

Hygophumเป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และHygophum · ดูเพิ่มเติม »

Hymenoceridae

Hymenoceridae เป็นวงศ์ของครัสเตเชียนวงศ์หนึ่ง จำพวกกุ้ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Hymenoceridae มีลักษณะทั่วไปมีเปลือกคลุมหัวและลำตัวเรียบ ลำตัวแบนข้าง ขอบปลายของสันหางมีหนาม 2 คู่ third maxilliped 3 ปล้องสุดท้ายแผ่แบนปล้องที่ 2 กว้างกว่าปล้องที่ 3 ก้ามของขาเดินคู่ที่ 2 แผ่แบน บางครั้งแบนใหญ่เหมือนใบไม้ ขอบด้านในของก้ามคู่ที่สองเป็นรอยหยักเหมือนฟันเลื่อย เป็นกุ้งที่มีขนาดเล็ก มีความยาวประมาณ 1-5 เซนติเมตร มีรูปร่างแปลกตา สีสันสดใสหน้า 108, รู้เฟื่องเรื่อง กุ้งทะเลสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และHymenoceridae · ดูเพิ่มเติม »

ICD-10 บทที่ 20: สาเหตุภายนอกของการเจ็บป่วยและการตาย

ป็นบัญชีโรคย่อยหนึ่งจากบัญชีจำแนกทางสถิติระหว่างประเทศของโรคและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง ฉบับทบทวนครั้งที่ 10 (ICD-10) ซึ่งเป็นรหัสของโรคและอาการ อาการแสดง ความผิดปกติที่ตรวจพบ อาการนำ สภาพสังคม หรือสาเหตุภายนอกของการบาดเจ็บหรือโรค จัดทำขึ้นโดยองค์การอนามัยโลกโดยแล้วเสร็จในปี..

ใหม่!!: สัตว์และICD-10 บทที่ 20: สาเหตุภายนอกของการเจ็บป่วยและการตาย · ดูเพิ่มเติม »

Idiogramma elbakyanae

Idiogramma elbakyanae เป็นสายพันธุ์ของต่อตัวเบียน (parasitoid) ถูกพบที่รัฐตลัซกาลาของประเทศเม็กซิโก สายพันธุ์ถูกตั้งชื่อและอธิบายโดยนักกีฏวิทยาชาวรัซเซียชื่อว่า Andrey I. Khalaim คำบรรยายถูกเผยแพร่ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และIdiogramma elbakyanae · ดูเพิ่มเติม »

Idiolychnus

Idiolychnus urolampus เป็นสายพันธุ์ปลาตะเกียงที่รู้จักกันดีในมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย สายพันธุ์นี้เติบโตขึ้นจะยาวประมาณ 11.0 เซนติเมตร (4.3 นิ้ว).

ใหม่!!: สัตว์และIdiolychnus · ดูเพิ่มเติม »

Krefftichthys

Krefftichthys anderssoniเป็นประเภทของปลาตะเกียงพบในมหาสมุทรทางตอนใต้ สายพันธุ์นี้เติบโตขึ้นจะยาว 7 เซนติเมตร (2.8 นิ้ว).

ใหม่!!: สัตว์และKrefftichthys · ดูเพิ่มเติม »

Lampadena

Lampadena เป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และLampadena · ดูเพิ่มเติม »

Lampanyctodes

Lampanyctodes เป็นปลาตะเกียงในครอบครัว Myctophidae เป็นชนิดเดียวในประเภทนี้.

ใหม่!!: สัตว์และLampanyctodes · ดูเพิ่มเติม »

Lampanyctus

Lampanyctusเป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และLampanyctus · ดูเพิ่มเติม »

Lampichthys

Lampichthys procerusเป็นประเภทของปลาตะเกียงพบในมหาสมุทรใต้ ปลาชนิดนี้มีขนาดความยาว 10.0 เซนติเมตร (3.9 นิ้ว).

ใหม่!!: สัตว์และLampichthys · ดูเพิ่มเติม »

Lamprologus ocellatus

Lamprologus ocellatus เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) จัดเป็นปลาหมอสีจำพวกปลาหมอหอยชนิดหนึ่ง มีหน้าตาประหลาดคล้ายกบ ลำตัวมีสีเหลืองสวยงาม มีเกล็ดเป็นจุดคล้ายมุกสีน้ำเงินอยู่ตามแนวยาวของลำตัว มีความยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร โดยตัวผู้จะมีขนาดใหญ่และลำตัวยาวกว่า เป็นปลาที่อาศัยอยู่เฉพาะในทะเลสาบแทนกันยีกาเท่านั้น โดยอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำตื้นในระดับความลึก 15-100 ฟุต ได้แก่บริเวณ เอ็มบิต้า, แวมแพมบี้ และในบริเวณประเทศแซมเบีย มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมฝูงกันบริเวณที่เป็นสุสานหอย คือ บริเวณที่มีซากเปลือกหอยทับถมกันอยู่หนาแน่น เพราะใช้ซากเปลือกหอยเป็นที่หลบภัยจากสัตว์ผู้ล่า ตลอดจนใช้แหล่งผสมพันธุ์สร้างรังวางไข่ และเก็บเลี้ยงลูกปลาให้ปลอดภัย เป็นปลาที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยได้ชื่อว่าเป็นปลาหมอสีตระกูลปลาหมอหอยที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตัวที่มีสีเหลืองจัด หรือสีทองทั้งตัว สามารถที่จะเพาะขยายพันธุ์ได้ในสถานที่เลี้ยง โดยปลาจะถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 1 ปี สามารถวางไข่ได้ประมาณ 5-6 รอบต่อปี ปลาตัวเมียจะมีขนาดป้อมสั้นกว่าตัวผู้ ขณะที่สีสันทั้งสองเพศนั้นคล้ายคลึงกันจนไม่สามารถแยกออกได้ด้วยวิธีนี้ ''Lamprologus ocellatus'' "orange" หรือปลาตัวที่มีสีส้ม เป็นปลาที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว หวงถิ่น โดยมักจะว่ายวนเวียนอยู่เฉพาะรอบ ๆ เปลือกหอยที่ตัวอาศัยอยู่ มักไล่ปลาอื่นที่เข้าใกล้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นไล่กัดปลาตัวอื่นจนบาดเจ็บหรือล้มตาย และถึงแม้จะนำมาเลี้ยงในตู้กระจกแล้วก็ยังไม่เกรงกลัวมนุษย์ เมื่อใช้กระชอนช้อนลงไป จะไม่ว่ายหนีเหมือนปลาอื่น ๆ แต่กลับว่ายออกมาดูตลอดจนจิกกัดกระชอนเสียด้วยซ้ำ ในที่เลี้ยงสามารถให้กินได้ทั้งอาหารสด และอาหารสำเร็จรูป การผสมพันธุ์ในที่เลี้ยงจะเหมือนกับปลาผสมพันธุ์เองในธรรมชาติ โดยปลาจะฝ่ายจับคู่ที่เหมาะสมเอง พฤติกรรมเมื่อวางไข่ ปลาตัวผู้จะพยายามชักชวนตัวเมียให้เข้ามาวางไข่ในเปลือกหอย ตัวเมียจะเข้าออกเปลือกหอยติดต่อกันหลายวัน เมื่อพร้อมที่จะวางไข่ ตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าไปในเปลือกหอยเพื่อให้ไข่ได้รับการปฏิสนธิ ช่วงที่ตัวเมียวางไข่นั้นมักจะมุดเข้าไปในเปลือกหอย จนดูเหมือนว่าจะหายตัวไป และจะไล่ปลาทุกตัวที่เข้าใกล้ ไม่เว้นแม้แต่ปลาตัวผู้ ไข่มีลักษณะเป็นเม็ดสีขาวขนาดเล็กมาก จำนวนประมาณ 8-30 ฟอง ไข่ใช้เวลา 2 สัปดาห์ จึงจะฟักเป็นตัว พ่อแม่ปลาจะช่วยกันดูแลลูกปลา จะป้อนอาหารให้ลูกปลาด้วยการเคี้ยวในปากแล้วย่อยออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผ่านทางเหงือก ลูกปลาจะว่ายอยู่บริเวณรอบ ๆ เปลือกหอย และเมื่อมีอันตรายก็จะมุดเข้าเปลือกหอยพร้อมกัน พ่อแม่ปลาจะอยู่แลดูลูกปลาจนมีขนาดได้ประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร พ่อแม่ปลาจะเริ่มห่างจากลูกปลา และเริ่มไล่ลูกปลาให้พ้นไปจากอาณาบริเวณตัวเอง เพื่อให้ลูกปลาเจริญเติบโตด้วยตนเอง และพ่อแม่ปลาก็พร้อมที่จะผสมพันธุ์และวางไข่ครั้งใหม.

ใหม่!!: สัตว์และLamprologus ocellatus · ดูเพิ่มเติม »

Latimeria

Latimeria เป็นสกุลเดียวของปลาซีลาแคนท์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน มี 2 ชนิด พบที่บริเวณขอบด้านตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย และ อินโดนีเซี.

ใหม่!!: สัตว์และLatimeria · ดูเพิ่มเติม »

Lepidophanes

Lepidophanesเป็นประเภทของปลาตะเกียงพบในมหาสมุทรแอตแลนติก.

ใหม่!!: สัตว์และLepidophanes · ดูเพิ่มเติม »

Lobianchia

Lobianchiaเป็นประเภทของปลาตะเกียงพบในมหาสมุทรแอตแลนติก.

ใหม่!!: สัตว์และLobianchia · ดูเพิ่มเติม »

Loweina

Loweinaเป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และLoweina · ดูเพิ่มเติม »

Macrobrachium lanchesteri

Macrobrachium lanchesteri เป็นสัตว์พวกกุ้งกั้งปูชนิดหนึ่งในสกุล Macrobrachium ของวงศ์ Palaemonidae โดยเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ "กุ้งฝอย" หรือ "กุ้งฝอยน้ำจืด" ร่วมกับกุ้งอีกหลายชนิดในสกุล Macrobrachium และสกุล Caridina ของวงศ์ Atyidae.

ใหม่!!: สัตว์และMacrobrachium lanchesteri · ดูเพิ่มเติม »

Makararaja chindwinensis

Makararaja chindwinensis เป็นปลากระเบนชนิดใหม่ของโลก ที่ยังไม่มีชื่อสามัญ จัดอยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) และเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Makararaja เป็นปลากระเบนที่ค้นพบในปี ค.ศ. 2006 และทำการอนุกรมวิธานไว้ในปี ค.ศ. 2007 โดย ไทสัน อาร์. โรเบิร์ตส์ นักมีนวิทยาชาวอเมริกัน เป็นปลากระเบนขนาดเล็ก ซึ่งมีความกว้างของขอบจานราว ๆ 38-50 เซนติเมตร น้ำหนักสูงสุด 3-4 กิโลกรัม สิ่งที่ทำให้ปลากระเบนสกุลนี้แตกต่างไปจากปลากระเบนในสกุลอื่น คือ รูปร่างของจานดูเกือบจะกลม คล้ายกับปลากระเบนในสกุล Pastinachus แต่ปลากระเบนชนิดนี้จะมีเกล็ดจะเล็กละเอียดกว่ามาก จนแทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น นอกจากนี้ยังมีในส่วนของหางที่ดูหนาหรืออวบอิ่มน้อยกว่าและเรียวกว่าหางของปลากระเบนในสกุล Pastinachus ที่ดูอวบอ้วนกว่ามาก แต่ก็ไม่เล็กเรียวเกินไปเหมือนอย่างเช่นหางปลากระเบนสกุล Himantura เงี่ยงของปลากระเบนสกุลนี้เรียวเล็กมากจนดูคล้ายกับดาบสั้นหรือกริช ตำแหน่งที่ตั้งถึงแม้จะอยู่เลยไปส่วนหลังแต่ยังใกล้กว่าหากเทียบกับปลากระเบนสกุล Pastinachus พบอาศัยอยู่ในแม่น้ำชินด์วิน ซึ่งเป็นแควสาขาของแม่น้ำอิระวดี ทางตอนเหนือของประเทศพม.

ใหม่!!: สัตว์และMakararaja chindwinensis · ดูเพิ่มเติม »

Malo kingi

Malo kingi (/มา-โล-คิง-กี/) เป็นแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงมากชนิดหนึ่งของโลก เป็นแมงกะพรุนกล่องจำพวกแมงกะพรุนอิรุคัน.

ใหม่!!: สัตว์และMalo kingi · ดูเพิ่มเติม »

Manogea porracea

Manogea porracea เป็นแมงมุมชนิดหนึ่ง ที่มีพฤติกรรมพิเศษแตกต่างไปจากแมงมุมทั่วไป กล่าวคือ ตัวผู้จะมีพฤติกรรมในการปกป้องดูแลไขซึ่งต่างไปจากแมงมุมทั่วไป ที่เมื่อหลังจากการผสมพันธุ์แล้ว ตัวผู้มักตายจากการถูกตัวเมียจับกินเป็นอาหาร หรือไม่ก็ละทิ้งไป Manogea porracea จัดเป็นแมงมุมใยกลม ที่ทั้งสองเพศจะสร้างใยซึ่งเป็นรังของตัวเองขึ้นมาตั้งแต่เล็ก แต่เมื่อถึงสู่วัยเจริญพันธุ์ ตัวผู้จะละทิ้งใยของตัวเองโดยจะเสาะแสวงหาใยของตัวเมีย ด้วยการรุกเข้าไปหาตัวเมียถึงในใยของตัวเมีย หลังจากผสมพันธุ์เสร็จแล้ว ตัวผู้จะยังไม่ละทิ้งตัวเมียไปไหนไกล แต่จะสร้างใยของตัวเองขึ้นมาใกล้ ๆ ใยของตัวเมียซึ่งจะอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร โดยจะสร้างขึ้นอยู่เหนือบริเวณใยของตัวเมีย หากตัวเมียตายไปหรือละทิ้งไข่ไป ก็จะเป็นตัวผู้ที่จะดูแลไข่จนกว่าจะฟักเป็นตัว ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้เชื่อว่า เนื่องจากในสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่นั้นเต็มไปด้วยอันตรายและสัตว์นักล่า จึงมีโอกาสอย่างมากที่ตัวเมียจะตายไปก่อนที่ไข่จะฟักเป็นตัว ธรรมชาติจึงสร้างให้ตัวผู้ทำหน้าที่ดูแลปกป้องไข่ด้ว.

ใหม่!!: สัตว์และManogea porracea · ดูเพิ่มเติม »

Megapiranha

Megapiranha เป็นสกุลของปลาน้ำจืด จำพวกปลาคาราซินที่สูญพันธุ์ไปแล้ว นับได้ว่าเป็นปลาปิรันยายักษ์ สูญพันธุ์ไปแล้วในยุคไมโอซีนยุคสุดท้าย (ระหว่าง 8-10 ล้านปีมาแล้ว) ที่อาร์เจนตินา โดยค้นพบเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และMegapiranha · ดูเพิ่มเติม »

Metelectrona

Metelectronaเป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และMetelectrona · ดูเพิ่มเติม »

Microdontinae

Microdontinae เป็นวงศ์ย่อยของแมลงในวงศ์ Syrphidae ประกอบด้วยแมลงประมาณ 350 สปีชี.

ใหม่!!: สัตว์และMicrodontinae · ดูเพิ่มเติม »

Myctophum

Myctophumเป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และMyctophum · ดูเพิ่มเติม »

Nannobrachium

Nannobrachium เป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และNannobrachium · ดูเพิ่มเติม »

Notolychnus

Notolychnus valdiviaeเป็นประเภทของปลาตะเกียงพบในมหาสมุทรทั่วโลก สายพันธุ์นี้เติบโตขึ้นเป็น 6.3 เซนติเมตร (2.5 นิ้ว).

ใหม่!!: สัตว์และNotolychnus · ดูเพิ่มเติม »

Notoscopelus

Notoscopelusเป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และNotoscopelus · ดูเพิ่มเติม »

Pachysticus jenisi

Pachysticus jenisi เป็นสายพันธุ์ของแมลงปีกแข็ง อยู่ในวงศ์ Cerambycidae ซึ่งได้รับการอธิบายโดย Vives ในปี..

ใหม่!!: สัตว์และPachysticus jenisi · ดูเพิ่มเติม »

Paedophryne

Paedophryne เป็นสกุลของกบในวงศ์ Microhylidae กบทั้งหกสปีชีส์ที่เป็นที่ทราบกันในขณะนี้เป็นหนึ่งในกบและสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กที.

ใหม่!!: สัตว์และPaedophryne · ดูเพิ่มเติม »

Paedophryne amauensis

Paedophryne amauensis เป็นอึ่ง (สัตว์กลุ่มกบ) ขนาดเล็ก พบในป่าของปาปัวนิวกินี ซึ่งถูกค้นพบตั้งแต่เดือนสิงหาคม..

ใหม่!!: สัตว์และPaedophryne amauensis · ดูเพิ่มเติม »

Palaemonidae

Palaemonidae เป็นวงศ์ของครัสเตเชียนจำพวกกุ้งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Palaemonidae จัดเป็นวงศ์ขนาดใหญ่ ด้วยมีจำนวนสมาชิกมากมาย พบได้ตั้งแต่ในแหล่งน้ำจืดสนิทบนยอดภูเขาสูง, แม่น้ำ, เขตน้ำกร่อย ไปจนถึงก้นทะเลลึกกว่า 1,300 เมตร ขนาดตั้งแต่ 1 เซนติเมตรไปจนถึงมากกว่า 18 เซนติเมตร โดยชนิดที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ กุ้งก้ามกราม (Macrobrachium dacqueti) ส่วนชนิดที่อยู่ตามแนวปะการังส่วนใหญ่จะมีความยาวไม่เกิน 5 เซนติเมตร.

ใหม่!!: สัตว์และPalaemonidae · ดูเพิ่มเติม »

Parvilux

Parviluxเป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และParvilux · ดูเพิ่มเติม »

Penaeidae

Penaeidae เป็นวงศ์ของครัสเตเชียนจำพวกกุ้ง จัดอยู่ในจำพวกกุ้งขนาดกลาง หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Prawn แบ่งออกได้เป็น 2 จำพวก คือพีเนียด และเคย พีเนียดมีมากมาย ตัวอย่างเช่น กุ้งแชบ๊วย จำแนกกุ้งในวงศ์ Penaeidae ได้ 43 สกุล มี 23 สกุลที่สูญพันธุ์ไปแล้ว (สัญลักษณ์ †).

ใหม่!!: สัตว์และPenaeidae · ดูเพิ่มเติม »

Phascolarctos

Phascolarctos เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง (Marsupialia) จำพวกพอสซัมสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Phascolarctos โดยมาจากภาษากรีกโบราณคำว่า phaskolos หมายถึง "ถุง" หรือ "กระเป๋า" และ arktos หมายถึง "หมี" โดยตั้งขึ้นในปี..

ใหม่!!: สัตว์และPhascolarctos · ดูเพิ่มเติม »

Polycentrus

Polycentrus (/โพ-ลี-เซน-ทรัส/) เป็นสกุลของปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ในวงศ์ปลาใบไม้อเมริกาใต้ (Polycentridae) โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ชน.

ใหม่!!: สัตว์และPolycentrus · ดูเพิ่มเติม »

Protomyctophum

Protomyctophumเป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และProtomyctophum · ดูเพิ่มเติม »

Pygocentrus palometa

Pygocentrus palometa (/พี-โก-เซน-ตรัส-พา-โล-เม-ตา/) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง จำพวกปลาปิรันยา มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ในวันที่ 25 ธันวาคม..

ใหม่!!: สัตว์และPygocentrus palometa · ดูเพิ่มเติม »

Rhynchocinetidae

Rhynchocinetidae เป็นวงศ์ของครัสเตเชียนวงศ์หนึ่ง จำพวกกุ้ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Rhynchocinetidae โดยพบทั่วโลก 2 สกุล 17 ชนิด อาศัยอยู่ในทะเลเท่านั้น ในฝั่งทะเลอันดามันของไทยพบ 2 สกุล 2 ชนิด มีลักษณะโดยทั่วไป คือ เปลือกคลุมหัวเรียบ ไม่มีรอยหยักนูน เปลือกคลุมหัวกับกรีเชื่อมต่อไม่สมบูรณ์ ทำให้กรีสามารถขยับไปมาได้ ฟันกรีหยาบใหญ่ ก้ามของขาเดินคู่แรกทั้งสองข้าง ขนาดเกือบเท่ากัน ขาเดินคู่ที่สองมีขนาดใหญ่กว่าและยาวกว่าขาเดินคู่แรก ตัวผู้จะมีก้ามใหญ่กว่าปกติ กุ้งในวงศ์นี้มีขนาดเล็ก ความยาวเพียง 2-6 เซนติเมตร มีสีสันและลวดลายตามตัวแปลกตา สำหรับกุ้งในวงศ์นี้ที่เป็นที่รู้จักดี คือ กุ้งมดแดง (Rhynchocinetes durbanensis) ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์น้ำสวยงาม.

ใหม่!!: สัตว์และRhynchocinetidae · ดูเพิ่มเติม »

RNA interference

RNA interference RNA interference หรือ RNAi เป็นกระบวนการในการควบคุมการแสดงออกของลักษณะทางพันธุกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งพบทั้งในพืช สัตว์ และมนุษย์ โดยอาศัยการทำงานของชิ้นส่วน double strand RNA (dsRNA) ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการต่าง ๆ แล้ว จะมีผลไปยับยั้งการทำงานของ messenger RNA (mRNA) ของยีนหนึ่ง ๆ อย่างจำเพาะ จึงมีผลยับยั้งการทำงานของยีนนั้นได้.

ใหม่!!: สัตว์และRNA interference · ดูเพิ่มเติม »

Rucervus

Rucervus (/รู-เซอ-วัส/) เป็นสกุลของกวางที่กระจายพันธุ์ในอินเดีย, เนปาล, อินโดจีน และเกาะไหหลำ ของจีน ส่วนใหญ่สูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยจากการทำลายป่า รวมทั้งถูกล่า และมีบางชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว กวางในสกุลนี้เคยถูกรวมเป็นสกุลเดียวกันกับสกุล Cervus แต่ถูกจัดให้เป็นสกุลต่างหาก ตามหลักของความแตกต่างทางสัณฐานวิทยา ตามหลักฐานทางพันธุกรรมแล้ว ละองละมั่งควรจะใช้สกุล Cervus ขณะที่ทั้ง 2 ชนิดที่เหลือยังใช้ที่สกุล Rucervus อยู่ หรืออย่างน้อยก็ย้ายไปในสกุล AxisPitraa, Fickela, Meijaard, Groves (2004).

ใหม่!!: สัตว์และRucervus · ดูเพิ่มเติม »

Scopelopsis

Scopelopsis multipunctatus เป็นประเภทของปลาตะเกียงสายพันธุ์นี้เติบโตขึ้นจะยาวประมาณ 8.1 เซนติเมตร (3.2 นิ้ว).

ใหม่!!: สัตว์และScopelopsis · ดูเพิ่มเติม »

Siamogale melilutra

Siamogale melilutra สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง จำนวนนากที่สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จัดเป็นนากขนาดใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ขุดค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่มณฑลยูนนาน ประเทศจีน Siamogale melilutra มีกะโหลกและฟันคล้ายกับแบดเจอร์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เดียวกัน มีฟันที่แหลมคมสำหรับใช้กัดแทะหรือเจาะทำลายสัตว์น้ำเปลือกแข็ง เช่น หอย, หมึก หรือกุ้งปู กินเป็นอาหาร จากการคำนวณจากหัวกะโหลกและฟันที่พบ พบว่าเป็นนากขนาดใหญ่มีความยาวกว่า 2 เมตร น้ำหนัก 50 กิโลกรัม นับว่าใหญ่กว่าสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เดียวกันชนิดอื่นมาก สามารถว่ายน้ำได้ดีทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก เชื่อว่าอาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อราว 6.2 ล้านปีก่อน ในยุคไมโอซีน โดยมีการพบการกระจายพันธุ์อยู่ทั่วโลก แต่ยังไม่มีข้อมูลด้านวิวิฒนาการเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นซากดึกดำบรรพ์ค่อนข้างหาได้ยาก.

ใหม่!!: สัตว์และSiamogale melilutra · ดูเพิ่มเติม »

Solen regularis

Solen regularis เป็นหอยทะเลกาบคู่ชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายหลอดกาแฟ ความยาว 7–8 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร เปลือกสีน้ำตาลอ่อน เนื้อสีขาวขุ่น ส่วนหัวนิ่ม ส่วนปลายเหนียว หอยชนิดนี้ชอบฝังตัวตามแนวดิ่งในตะกอนดินทรายปนโคลนบริเวณปากแม่น้ำ ในต่างประเทศพบที่เกาะบอร์เนียวและออสเตรเลีย ส่วนในไทยจะพบหอยชนิดนี้แพร่กระจายหนาแน่นตามจังหวัดบริเวณชายฝั่งอ่าวไทย เช่น จังหวัดตราด สมุทรปราการ สมุทรสงคราม เพชรบุรี เป็นต้น หอยในสกุล Solen ที่พบร่วมกับหอยชนิดนี้ได้แก่ S. corneus, S. strictus และ S. thailandicus หอยเหล่านี้มีชื่อสามัญร่วมกันเป็นภาษาไทยว่า "หอยหลอด" หอย S. regularis เป็นหอยหลอดชนิดหนึ่งที่พบมากและมีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูงในไทย เมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และSolen regularis · ดูเพิ่มเติม »

Spongilla lacustris

Spongilla lacustris เป็นสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกฟองน้ำ (Porifera) ชนิดหนึ่ง จัดเป็นฟองน้ำน้ำจืด (Spongillidae) ชนิดหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำจืดอย่างกว้างขวางทั้งในทวีปยุโรป, เอเชีย และออสเตรเลีย และมีแนวโน้มว่าจะอยู่จำแนกออกเป็นชนิดใหม่ ในประเทศไทยเคยรายงานพบที่ทะเลน้อย ส่วนหนึ่งของทะเลสาบสงขลา จังหวัดสงขลา รวมทั้งบ่อบัวภายในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม มีสีเขียวเนื่องจากมีสาหร่ายเซลล์เดียวอาศัยอยู่ด้วย ในระยะที่ยังเป็นวัยอ่อนหรือเป็นเจมมูลจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำไหลจะเป็นแบบเคลือบ โดยจะแตกตัวเป็นก้อนกลม ๆ ใส ๆ เกาะไปกับวัสดุประเภทต่าง ๆ ใต้น้ำ เช่น กิ่งก้านของพืชน้ำ หรือก้อนหิน เมื่อถึงวัยเจริญเต็มที่จะแตกแขนงคล้ายเขากวาง หรือปะการังเขากวาง กินอาหารแบบกรองกินแพลงก์ตอนหรือแบคทีเรียที่ล่องลอยในกระแสน้ำ เจริญเติบโตได้ดีในที่ ๆ มีแสงสว่าง แต่ไม่ใช่แสงจ้าหรือแสงแดดโดยตรง สามารถนำมาเพาะเลี้ยงได้ในตู้ปลาหรือที่เลี้ยง แต่ทว่าเลี้ยงให้รอดได้ค่อนข้างยาก นอกจากนี้แล้วสาหร่ายสีเขียวในฟองน้ำน้ำจืดชนิดนี้ สามารถสกัดออกมาเป็นยารักษาสิวได้.

ใหม่!!: สัตว์และSpongilla lacustris · ดูเพิ่มเติม »

Stenobrachius

Stenobrachiusเป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และStenobrachius · ดูเพิ่มเติม »

Stereocilia

ในหูชั้นในของสัตว์ต่าง ๆ มากมาย Stereocilia เป็นออร์แกเนลล์ของเซลล์ขนซึ่งตอบสนองต่อการไหวของน้ำเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ รวมทั้งการได้ยินและการทรงตัว Stereocilia ยาวประมาณ 10-50 ไมโครเมตร และมีลักษณะบางอย่างคล้าย ๆ กับ microvilli เซลล์ขนจะแปลความดันในน้ำและสิ่งเร้าเชิงกลอื่น ๆ ให้เป็นกระแสไฟฟ้าผ่าน microvilli จำนวนมากซึ่งเป็นลำตัวของ stereocilia มี Stereocilia ทั้งในระบบการได้ยินและระบบการทรงตัว (Vestibular system) Stereocilia ของหูชั้นในของก.

ใหม่!!: สัตว์และStereocilia · ดูเพิ่มเติม »

Symbolophorus

Symbolophorusเป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และSymbolophorus · ดูเพิ่มเติม »

Taaningichthys

Taaningichthys เป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และTaaningichthys · ดูเพิ่มเติม »

Tachypleus

Tachypleus เป็นสกุลของแมงดาสกุลหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tachypleus โดยจัดอยู่ในวงศ์ Limulidae เป็นแมงดาที่พบในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออก มีขนาดใหญ่ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ.

ใหม่!!: สัตว์และTachypleus · ดูเพิ่มเติม »

Tarletonbeania

Tarletonbeaniaเป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และTarletonbeania · ดูเพิ่มเติม »

Triphoturus

Triphoturusเป็นประเภทของปลาตะเกียง.

ใหม่!!: สัตว์และTriphoturus · ดูเพิ่มเติม »

Xenarthra

Xenarthra เป็นชื่อของกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีรก ซึ่งในปัจจุบันเหลืออยู่แต่ในทวีปอเมริกา ต้นกำหนดของกลุ่มนี้ย้อนหลังไปได้ถึงยุคเทอร์เชียรีตอนต้น (ประมาณ 60 ล้านปีก่อน หลังมหายุคมีโซโซอิกเล็กน้อย) การดำรงอยู่ของสัตว์กลุ่มนี้ในอเมริกาเหนือสามารถอธิบายได้จากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอเมริกา สัตว์ในกลุ่มนี้ประกอบด้วยตัวกินมด, สลอธ และ อาร์มาดิลโล ในอดีตกลุ่มนี้เคยถูกจัดหมวดหมู่ให้รวมอยู่กับตัวนิ่มและ อาร์ดวาร์ก ภายใต้อันดับ Edentata (หมายถึง "ไร้ฟัน" เพราะสมาชิกในอันดับไม่มีฟันตัดหน้าหรือฟันกรามหน้า หรือมีฟันกรามที่ยังไม่พัฒนาดี) ต่อมาจึงได้พบว่าอันดับอีเดนตาตาประกอบไปด้วยสัตว์จากหลายตระกูลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ดังนั้นอันดับนี้จึงถูกยกเลิกตามมาตรฐานการจัดลำดับ ปัจจุบันตัวนิ่มและอาร์ดวาร์ก ถูกจัดอยู่ในอันดับแยกต่างหากจากกัน และกำหนดเป็นอันดับใหญ่ Xenarthra ขึ้นเพื่อสำหรับสัตว์ในตระกูลที่เหลือ โดยที่ชื่อ "Xenarthra" หมายถึง "ข้อต่อกระดูกที่แปลกประหลาด" มีที่มาจากข้อต่อกระดูกของสัตว์กลุ่มนี้มีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทอื่น เนื่องจากกลุ่มนี้ขาดคุณลักษณะที่เชื่อว่ามีในบรรพบุรุษของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลุ่มมีรก ประเภทอื่นที่รู้จักกัน จึงถูกจัดให้อยู่นอกกลุ่มมีรก ซึ่งเป็นกลุ่มของมีรก ประเภทอื่นในปัจจุบัน ตามสัณฐานวิทยาของกลุ่ม Xenarthra และหลักฐานสนับสนุนจากการศึกษาระดับโมเลกุล ตัวกินมดและสลอธจัดว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากที่สุดในกลุ่ม ในอันดับ Xenarthra มักจะถูกแบ่งออกเป็น 2 อันดับ คือ อันดับ Pilosa ประกอบด้วยอันดับย่อย Vermilingua และ Folivora และอันดับ Cingulata ที่แยกต่างหาก ปัจจุบันกลุ่ม Xenarthra มีสถานะเป็น หมู่ หรือ อันดับใหญ่และเป็นส่วนหนึ่งของ อันดับหมู่ใหญ่ Atlantogenata.

ใหม่!!: สัตว์และXenarthra · ดูเพิ่มเติม »

Xenotilapia papilio

Xenotilapia papilio เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) X. papilio ถูกค้นพบเมื่อปี..

ใหม่!!: สัตว์และXenotilapia papilio · ดูเพิ่มเติม »

เปลี่ยนเส้นทางที่นี่:

AnimalAnimaliaMetazoaอาณาจักรสัตว์อาณาจักรสัตว์/ชั่วคราวเมตาซัว

ขาออกขาเข้า
Hey! เราอยู่ใน Facebook ตอนนี้! »