ภาวะถ่ายโอนแบบไม่ประสานเวลาและเฟรมรีเลย์
ทางลัด: ความแตกต่างความคล้ายคลึงกันค่าสัมประสิทธิ์การเปรียบเทียบ Jaccardการอ้างอิง
ความแตกต่างระหว่าง ภาวะถ่ายโอนแบบไม่ประสานเวลาและเฟรมรีเลย์
ภาวะถ่ายโอนแบบไม่ประสานเวลา vs. เฟรมรีเลย์
โมเดล ATM ภาวะถ่ายโอนแบบไม่ประสานเวลา หรือ เอทีเอ็ม (Asynchronous Transfer Mode: ATM) เป็นเครือข่ายสื่อสาร ที่ใช้โพรโทคอลชื่อเดียวกันคือ ATM เป็นมาตรฐานการส่งข้อมูลความเร็วสูง โดย ATM ถูกพัฒนามาเพื่อให้ใช้กับงานที่มีลักษณะ ข้อมูลหลายรูปแบบและต้องการความเร็วในการส่งข้อมูลสูงมากๆ มีความเร็วในการส่งข้อมูลได้ตั้งแต่ 2 Mbps ไปจนถึงระดับ Gbps สื่อที่ใช้ในเครือข่ายมีได้ตั้งแต่สายโคแอกเชียล สายไฟเบอร์ออปติค หรือสายไขว้คู่ (Twisted pair) โดย ATM นั้นถูกพัฒนามาจากเครือข่ายแพ็กเก็ตสวิตซ์ (packet switched) ซึ่งจะแบ่งข้อมูลที่จะส่งออกเป็นหน่วยย่อยๆ เรียกว่าแพ็กเก็ต (packet) ที่มีขนาดเล็กและคงที่แล้วจึงส่งแต่ละแพ็กเก็ตออกไป แล้วนำมาประกอบรวมกันเป็นข้อมูลเดิมอีกครั้งที่ปลายทาง ข้อดีของ ATM คือสามารถใช้กับข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ภาพเคลื่อนไหว, ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือเสียง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเร็วของข้อมูลสูง และยังมีการรับประกันคุณภาพของการส่ง เนื่องจากมี Quality of Service (QoS) จุดเด่นของเครือข่าย ATM ที่เหนือกว่าเครือข่ายประเภทอื่น คือ อัตราการส่งผ่านข้อมูลสูง และเวลาในการเดินทางของข้อมูลน้อย จึงทำให้มีบางกลุ่มเชื่อว่า ATM จะเป็นเทคโนโลยีหลักของเครือข่าย LAN ในอนาคต เนื่องจากสามารถรองรับ Application ที่ต้องการอัตราส่งผ่านข้อมูลสูง เช่น การประชุมทางไกล (Videoconferencing) หรือแม้กระทั่ง Application แบบตอบโต้กับระหว่าง Client กับ Sever ATM เป็นระบบเครือข่ายแบบแพ็กเก็ตสวิตซ์ชนิดพิเศษ เนื่องด้วยกลุ่มข้อมูลที่ส่งแบบแพ็กเก็ตสวิตซ์โดยทั่วไปจะเรียกว่า "แพ็กเก็ต" แต่ ATM จะใช้ "เซลล์" แทน ที่ใช้คำว่าเซลล์เนื่องจาก เซลล์นั้นจะมีขนาดที่เล็กและคงที่ ในขณะที่แพ็กเก็ตมีขนาดไม่คงที่ และใหญ่กว่าเซลล์มาก โดยมาตรฐานแล้วเซลล์จะมีขนาด 53 ไบต์ โดยมีข้อมูล 48 ไบต์ และอีก 5 ไบต์ จะเป็นส่วนหัว (Header) ทำให้สวิตซ์ของ ATM ทำงานได้เร็วกว่าสวิตซ์ของเครือข่ายอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียข้อมูล ATM สวิตซ์จะใช้เทคนิคการปรับจราจร (Traffic Shapping) เพื่อกำหนดให้แพ็กเก็ตข้อมูลเป็นไปตามข้อกำหนดที่วางไว้ เช่น ในกรณีที่สถานีส่งข้อมูลในอัตราที่สูงเกินกว่าลิงก์จะรองรับได้ ATM สวิตซ์ก็จะทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์แพ็กเก็ตมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และส่งต่อในปริมาณที่ลิงก์จะรองรับได้ หรือที่กำหนดไว้เท่านั้น และอีกเทคนิคหนึ่งที่ใช้คือ การกำหนดนโยบายจราจร (Traffic Policing) คือ ถ้ามีเซลล์ข้อมูลที่ส่งเกินกว่าอัตราข้อมูลที่กำหนดไว้ก็จะถูกทำสัญลักษณ์ไว้เพื่อแสดงว่าเซลล์นี้มีลำดับความสำคัญต่ำ(Priority) เมื่อส่งผ่านเซลล์นี้ต่อไปก็อาจจะถูกละทิ้งหรือไม่ก็ได้นั้นขึ้นอยู่กับความคับคั่งของเครือข่าย. ฟรมรีเลย์ เป็นเทคโนโลยีของ Packet switch ประเภทหนึ่ง มันเป็นโพรโทคอลในเลเยอร์ที่ 2 ที่ใช้ในเครือข่าย WAN ความเร็วสูงซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์หลักในการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Network) ต่างๆ ที่อยู่กระจัดกระจายออกไป ให้สามารถสือสารกันด้ผ่านทาง "โครงสร้างเน็ตเวิร์คพื้นฐานที่ใช้งานร่วมกัน" เฟรมรีเลย์มีการใช้งานเทคนิคที่เรียกว่า Statistical Multiplexing ซึ่งทำให้อุปกรณ์ปลายทางหลายๆ ตัวสามารถเข้าถึงท่าส่งสัญญาณ ภายในเครือข่ายของเฟรมรีเลย์ได้พร้อมๆ กัน การทำ Statistical Multiplexing สามารถจัดสรรแบนด์วิทธ์ของท่าส่งสัญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคร้องตามความต้องการในการใช้งานแบนด์วิทธ์จริง ในขณะที่ TDM ทั่วๆไป จะมีการจองแบนด์วิดธ์ไว้ใน Time Slot ที่กำหนดล่วงหน้าถึงแม้ Time Slot นั้นจะไม่ถูกใช้งาน.
ความคล้ายคลึงกันระหว่าง ภาวะถ่ายโอนแบบไม่ประสานเวลาและเฟรมรีเลย์
ภาวะถ่ายโอนแบบไม่ประสานเวลาและเฟรมรีเลย์ มี 1 สิ่งที่เหมือนกัน (ใน ยูเนี่ยนพีเดีย): โพรโทคอล
รายการด้านบนตอบคำถามต่อไปนี้
- สิ่งที่ ภาวะถ่ายโอนแบบไม่ประสานเวลาและเฟรมรีเลย์ มีเหมือนกัน
- อะไรคือความคล้ายคลึงกันระหว่าง ภาวะถ่ายโอนแบบไม่ประสานเวลาและเฟรมรีเลย์
การเปรียบเทียบระหว่าง ภาวะถ่ายโอนแบบไม่ประสานเวลาและเฟรมรีเลย์
ภาวะถ่ายโอนแบบไม่ประสานเวลา มี 4 ความสัมพันธ์ขณะที่ เฟรมรีเลย์ มี 3 ขณะที่พวกเขามีเหมือนกัน 1, ดัชนี Jaccard คือ 14.29% = 1 / (4 + 3)
การอ้างอิง
บทความนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ภาวะถ่ายโอนแบบไม่ประสานเวลาและเฟรมรีเลย์ หากต้องการเข้าถึงบทความแต่ละบทความที่ได้รับการรวบรวมข้อมูลโปรดไปที่: