เรากำลังดำเนินการเพื่อคืนค่าแอป Unionpedia บน Google Play Store
🌟เราได้ทำให้การออกแบบของเราง่ายขึ้นเพื่อการนำทางที่ดีขึ้น!
Instagram Facebook X LinkedIn

พยานบุคคลและพระเยซู

ทางลัด: ความแตกต่างความคล้ายคลึงกันค่าสัมประสิทธิ์การเปรียบเทียบ Jaccardการอ้างอิง

ความแตกต่างระหว่าง พยานบุคคลและพระเยซู

พยานบุคคล vs. พระเยซู

พยานบุคคล หรือมักเรียกสั้น ๆ ว่า พยาน (witness) หมายถึง ผู้รู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสของตนซึ่งการกระทำความผิดอาญาหรือเหตุการณ์สำคัญอื่น ๆ เช่น ได้เห็นด้วยตา ได้ฟังด้วยหู ได้ดมด้วยจมูก หรือได้สัมผัสด้วยมือ ของตนเอง และเพราะฉะนั้น จึงสามารถให้รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับเหตุการณ์เช่นว่านั้นได้ อันพยานบุคคลที่ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารมาด้วยตนเองนั้น เรียกว่า "ประจักษ์พยาน" (eyewitness) พยานทั้งหลายมักได้รับเบิกตัวขึ้นศาลเพื่อให้การในการพิจารณาคดี การเรียกพยานให้ปรากฏตัวต่อศาลนั้น ศาลจะใช้ "หมายเรียกพยาน" (subpoena) หรือหากคู่ความนำพยานมาเบิกความต่อศาลเอง จะเรียกว่า "พยานนำ" ในต่างประเทศ คดีบางประเภท โจทก์หรือจำเลย หรือผู้แทน เช่น ทนายความ ก็มีอำนาจออกหมายเรียกพยานได้ พยานที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่าง ๆ หากศาลเป็นผู้แต่งตั้ง เรียกว่า "พยานผู้เชี่ยวชาญ" (expert witness) แต่หากคู่ความเป็นฝ่ายนำมาเอง เรียกว่า "ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญ" การสืบพยานบุคคลตามกฎหมายไทย การสืบพยานบุคคลตามกฎหมายไทยนั้น ไม่ได้จำกัดอายุขั้นต่ำของพยานบุคคลไว้ แต่ผู้ที่จะเป็นพยานบุคคลจะต้องสามารถเข้าใจและตอบคำถามได้ แม้แต่ผู้หูหนวก เป็นใบ้ ก็สามารถเป็นพยานได้ และจะต้องเป็นประจักษ์พยาน ได้รู้เห็นเรื่องนั้นมาโดยตรง ส่วนพยานบอกเล่านั้นโดยหลักแล้วห้ามรับฟัง เว้นแต่ ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้น น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ หรือ มีเหตุจำเป็นเนื่องจากไม่สามารถนำประจักษ์พยานมาเป็นพยานได้ และมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น ในคดีแพ่ง คู่ความสามารถอ้างคู่ความอีกฝ่ายเป็นพยานได้ แต่ในคดีอาญา กฎหมายห้ามไม่ให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน ก่อนเบิกความ พยานจะต้องสาบานตนตามลัทธิศาสนาหรือจารีตประเพณีแห่งชาติของตน หรือกล่าวคำปฏิญาณว่าจะให้การตามความสัตย์จริงเสียก่อน เว้นแต่มีเอกสิทธิไม่ต้องสาบาน หากพยานเบิกความโดยไม่ได้สาบานตน และไม่ใช่ผู้มีเอกสิทธิแล้ว ศาลก็รับฟังพยานนั้นไม่ได้ ในการสอบถามพยาน ศาลจะเป็นผู้ถามรายละเอียดก่อน จากนั้นจะให้ฝ่ายอ้างพยานซักถาม และให้อีกฝ่ายถามค้านเพื่อทำลายน้ำหนักพยาน และฝ่ายที่อ้างพยานถามอีกครั้งหนึ่งเพื่อปิดช่องโหว่จากการถามค้าน เรียกว่าถามติง ทั้งนี้ การซักถามและถามติงห้ามใช้คำถามนำ และการถามติงจะต้องเป็นการถามที่เกี่ยวกับเรื่องที่ถูกถามค้าน เมื่อถามติงแล้วหากจะถามพยานเพิ่มเติม จะต้องได้รับอนุญาตจากศาล การเบิกความจะต้องเบิกความด้วยวาจา และห้ามอ่านข้อความที่เขียนมา ยกเว้นศาลอนุญาตหรือเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญที่ศาลแต่งตั้งสามารถทำความเห็นเป็นหนังสือต่อศาลได้ แต่ในคดีอาญา พยานผู้เชี่ยวชาญที่ทำความเห็นเป็นหนังสือต่อศาลก็ต้องมาศาลเพื่อเบิกความประกอบด้วย ทั้งนี้ การสืบพยานบุคคล สามารถใช้วิธียื่นบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นแทนการซักถามได้ แต่จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลและมาศาลเพื่อให้อีกฝ่ายถามค้าน หรือจะใช้วิธีประชุมทางจอภาพก็ได้ แต่ในคดีอาญา การส่งบันทึกถ้อยคำสามารถทำได้เฉพาะกรณีพยานอยู่ต่างประเทศ และการประชุมทางจอภาพสามารถทำได้ภายในประเทศไทยเท่านั้น อนึ่ง การที่ศาลไปสืบพยานนอกศาล (โดยศาลนั้นเอง หรือหากเป็นคดีแพ่งก็สามารถมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการได้) เรียกว่า การเดินเผชิญสืบ ส่วนการที่ศาลให้ศาลอื่นสืบพยานให้ เรียกว่า การส่งประเด็นไปสืบ หมวดหมู่:วิธีพิจารณาความ. ระเยซู (Jesus) หรือ เยซูชาวนาซาเร็ธ (Jesus of Nazareth; 4-2 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 30-33Sanders (1993).) เป็นชาวยิวผู้เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ คริสต์ศาสนิกชนเรียกพระองค์ว่า พระเยซูคริสต์ เพราะถือว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าพระบุตรซึ่งเป็นพระบุคคลหนึ่งในพระตรีเอกภาพ นอกจากนี้ในคัมภีร์ไบเบิลยังบันทึกว่าพระเยซูทรงแสดงปาฏิหาริย์ทรงรักษาคนตาบอดให้หายขาด รักษาคนพิการ โดยตรัสว่า บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว หลังพระเยซูสิ้นพระชนม์ ก็ได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตายหลังสิ้นพระชนม์ได้เพียง 3 วัน และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ชาวมุสลิมก็ให้ความเคารพพระเยซูเช่นกัน แต่เชื่อต่างจากชาวคริสต์ โดยชาวมุสลิมเรียกพระเยซูว่านบีอีซา คัมภีร์อัลกุรอานระบุว่าพระเยซูไม่ใช่ทั้งพระเจ้าและพระบุตรของพระเจ้า แต่เป็นบ่าวคนหนึ่งของพระเจ้า และเป็นเราะซูลที่พระเจ้าส่งมาเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมให้แก่ชาวอิสราเอลเช่นเดียวกับเราะซูลอื่น ๆ นอกจากนี้กุรอานยังอ้างว่าพระเยซูได้ทำนายถึงเราะซูลอีกท่านหนึ่งที่จะมาในอนาคตด้วยว่าชื่ออะหมัด คำว่า "เยซู" มาจากคำในภาษากรีกคือ "เยซุส" Ιησους ซึ่งมาจากการถ่ายอักษรชื่อ Yeshua ในภาษาแอราเมอิกหรือฮีบรูอีกทอดหนึ่ง คริสตชนอาหรับเรียกเยซูว่า "ยาซูอฺ" ตามภาษาซีรีแอก ส่วนชาวอาหรับมุสลิมเรียกว่า "อีซา" ตามอัลกุรอาน ความหมายคือ "ผู้ช่วยให้รอด" เป็นชื่อที่ใช้กันมากในหมู่ชาวยิวตั้งแต่สมัยโยชูวาเป็นต้นมา ภาษาละตินแผลงเป็นเยซูส ภาษาโปรตุเกสแผลงต่อเป็นเยซู ภาษาไทยทับศัพท์ภาษาโปรตุเกสมาจนทุกวันนี้ ส่วนคำว่า "คริสต์" เป็นสมญาซึ่งมาจากคำในภาษากรีกว่า "คริสตอส" Χριστός ซึ่งเป็นคำแปลของคำภาษาฮีบรู Messiah อันหมายถึง "ผู้ได้รับการเจิม" ชาวอาหรับเรียกว่า "มะซีฮฺ" ซึ่งหมายถึงการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่สูงส่ง เช่น พระมหากษัตริย์ ปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ เป็นต้น เมื่อราชอาณาจักรยูดาห์เสียแก่บาบิโลน ก็สิ้นกษัตริย์ที่ได้รับการเจิม ต่อจากนั้นชาวยิวก็โหยหาพระเมสสิยาห์ที่จะมาสร้างอาณาจักรใหม่ของพระเจ้า "พระคริสต์" จึงเป็นชื่อตำแหน่ง ไม่ใช่ชื่อตัวบุคคล ผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่านมักเรียกพระองค์ว่า "พระเยซู" และเพื่อให้แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่ชื่อเหมือนกัน ก็เรียกเป็น "พระเยซูชาวนาซาเรธ" หรือ "พระเยซูบุตรของโยเซฟ" แต่นักบุญเปาโลหรือเปาโลอัครทูตมักเรียกพระองค์ว่า "พระคริสต์" หรือ "พระเยซูคริสต์" ที่เรียกว่า "พระคริสต์เยซู" ก็มี.

ความคล้ายคลึงกันระหว่าง พยานบุคคลและพระเยซู

พยานบุคคลและพระเยซู มี 0 สิ่งที่เหมือนกัน (ใน ยูเนี่ยนพีเดีย)

รายการด้านบนตอบคำถามต่อไปนี้

การเปรียบเทียบระหว่าง พยานบุคคลและพระเยซู

พยานบุคคล มี 0 ความสัมพันธ์ขณะที่ พระเยซู มี 80 ขณะที่พวกเขามีเหมือนกัน 0, ดัชนี Jaccard คือ 0.00% = 0 / (0 + 80)

การอ้างอิง

บทความนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง พยานบุคคลและพระเยซู หากต้องการเข้าถึงบทความแต่ละบทความที่ได้รับการรวบรวมข้อมูลโปรดไปที่: