เรากำลังดำเนินการเพื่อคืนค่าแอป Unionpedia บน Google Play Store
🌟เราได้ทำให้การออกแบบของเราง่ายขึ้นเพื่อการนำทางที่ดีขึ้น!
Instagram Facebook X LinkedIn

ตราแผ่นดินของออสเตรียและลูกโลกประดับกางเขน

ทางลัด: ความแตกต่างความคล้ายคลึงกันค่าสัมประสิทธิ์การเปรียบเทียบ Jaccardการอ้างอิง

ความแตกต่างระหว่าง ตราแผ่นดินของออสเตรียและลูกโลกประดับกางเขน

ตราแผ่นดินของออสเตรีย vs. ลูกโลกประดับกางเขน

ตราแผ่นดินของออสเตรีย รุ่นล่าสุดที่ปราศจากโซ่ที่ขาดออก เดิมถูกใช้โดยสาธารณรัฐออสเตรียที่หนึ่ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 - 1934 และในช่วงภายใต้การปกครองนาซีเยอรมันในปี ค.ศ. 1938 ออสเตรียก็ได้ใช้ตราแผ่นดินในรุ่นที่ต่างออกไปซึ่งมีนกอินทรีสองหัวประกอบอยู่ด้วยและหลังจากการสถาปนาสาธารณรัฐออสเตรียที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 ตราแผ่นดินรุ่นเดิมของสาธารณรัฐที่หนึ่งก็ได้มีการนำกลับมาใช้อีกครั้ง ซึ่งได้เพิ่มโซ่เหล็กที่ขาดออกเป็นสองท่อนติดอยู่ที่ปลายของขานกอินทรี อันหมายถึงความเป็นอิสระหลังจากที่ออสเตรียถูกปลดปล่อยจากภายใต้การปกครองของนาซีเยอรมันตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง. “ลูกโลกประดับกางเขน” ของเดนมาร์กที่เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งเดนมาร์ก พระเยซูในรูป “Salvator Mundi” (พระมหาไถ่แห่งโลก) ลูกโลกประดับกางเขน (globus cruciger) หมายถึงลูกกลมที่ด้านบนประดับด้วยกางเขน แปลมาจากภาษาละติน globus (ลูกกลม), gerere (สวมใส่), crux (กางเขน) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางคริสต์ศาสนาของความมีอำนาจที่ใช้กันโดยทั่วไปในยุคกลางและแม้ในปัจจุบันบนเหรียญ, เป็นรูปสัญลักษณ์ หรือเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ การใช้ลูกโลกประดับกางเขนเป็นสัญลักษณ์ความมีอำนาจของพระเยซู (กางเขน) บนโลกมนุษย์ (ลูกกลม) ที่ใช้ถือโดยประมุขของอาณาจักรบนโลก หรือในทางสัญลักษณ์โดยเทวดา เมื่อถือโดยพระเยซูเองในรูปสัญลักษณ์ในศิลปะตะวันตกก็จะเรียกว่า “Salvator Mundi” (พระมหาไถ่แห่งโลก).

ความคล้ายคลึงกันระหว่าง ตราแผ่นดินของออสเตรียและลูกโลกประดับกางเขน

ตราแผ่นดินของออสเตรียและลูกโลกประดับกางเขน มี 2 สิ่งที่เหมือนกัน (ใน ยูเนี่ยนพีเดีย): สมัยกลางตราอาร์ม

สมัยกลาง

แบบจำลองของหมวกหุ้มเกราะซึ่งถูกพบที่ซัททันฮู ในหลุมศพของผู้นำชาวแองโกล-แซกซัน สันนิษฐานว่าเป็นกษัตริย์ราวปี ค.ศ. 620 ในช่วงต้นสมัยกลางNees ''Early Medieval Art'' pp. 109–112 สมัยกลาง หรือ ยุคกลาง (Middle Ages) คือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยปกติแล้วเริ่มนับตั้งแต่การล่มสลายลงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก (การสิ้นสุดของสมัยคลาสสิก) จนถึงจุดเริ่มตั้นของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และยุคแห่งการสำรวจ ซึ่งเป็นยุคที่นำไปสู่สมัยใหม่ในเวลาต่อมา สมัยกลางคือช่วงเวลาตรงกลางของกระบวนการเปลี่ยนผ่านในประวัติศาสตร์ตะวันตกคือ สมัยคลาสสิก สมัยกลาง และสมัยใหม่ นอกจากนี้สมัยกลางยังถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงเวลาคือ ต้นสมัยกลาง (Early Middle Ages), สมัยกลางยุครุ่งโรจน์ (High Middle Ages) และปลายสมัยกลาง (Late Middle Ages) ในยุคกลางตอนต้น การลดลงของประชากร, การหดตัวของเมือง และการรุกรานจากอนารยชน เริ่มต้นขึ้นในยุคโบราณตอนปลายและดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เหล่าอนารยชนผู้บุกรุกเข้าตั้งอาณาจักรของตนในส่วนที่เหลืออยู่ของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 แอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันตะวันออก ได้กลายไปเป็นจักรวรรดิอิสลามหลังจากถูกยึดครองโดยผู้สืบทอดของนบีมุฮัมมัด แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและโครงสร้างทางการเมืองมากมาย แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากยุคโบราณคลาสสิคอย่างสิ้นเชิง จักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือจักรวรรดิไบแซนไทน์ยังคงอยู่รอดและรักษาอำนาจของตนเอาไว้ได้ นอกจากนี้แล้วอาณาจักรเกิดใหม่ส่วนใหญ่ยังคงเกี่ยวพันอยู่กับสถาบันที่หลงเหลืออยู่ของชาวโรมัน ในขณะที่วัดวาอารามของคริสต์ศาสนาได้แผ่ขยายไปทั่วยุโรปตะวันตก ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 และ 8 ชาวแฟรงก์ภายใต้การปกครองของราชวงศ์การอแล็งเฌียงได้สถาปนาจักรวรรดิขึ้นซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปตะวันตกมีนามว่า จักรวรรดิการอแล็งเฌียง ซึ่งยืนยงไปจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9 เมื่อจักรวรรดิล่มสลายลงจากแรงงกดดันของการรุกรานจากภายนอก เช่น ชาวไวกิงจากทางเหนือ ชาวแมกยาร์จากทางตะวันออก และชาวซาราเซนจากทางใต้ ช่วงต้นสมัยกลางซึ่งเริ่มขึ้นหลังคริสต์ศตวรรษที่ 10 ประชากรของยุโรปขยายตัวอย่างมากจากการที่นวัตกรรมทางเทคโนโลยีและทางการเกษตรทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรืองและการทำเรือกสวนไร่นาขยายตัว ระบบมาเนอร์ - องค์กรของชาวนาตามหมู่บ้านที่ติดค้างค่าเช่าที่ดินและหน้าที่ด้านแรงงานแก่ขุนนาง และระบบเจ้าขุนมูลนาย - โครงสร้างทางการเมืองที่ซึ่งอัศวินและขุนนางศักดิ์ต่ำกว่าติดค้างหน้าที่ด้านการทหารแก่เจ้านายผู้มีศักดิ์สูงกว่าของพวกเขาแลกกับสิทธิ์ในการเก็บค่าเช่าที่ดินและชาวนาใต้ปกครอง สองระบบนี้คือระเบียบของสังคมที่ใช้กันในยุคกลางตอนกลาง ต่อมาอาณาจักรเริ่มรวมศูนย์อำนาจมากขึ้นภายหลังการล่มสลายลงของจักรวรรดิคาโรแล็งเชียง สงครามครูเสดซึ่งเริ่มขึ้นครั้งแรกในปี..

ตราแผ่นดินของออสเตรียและสมัยกลาง · ลูกโลกประดับกางเขนและสมัยกลาง · ดูเพิ่มเติม »

ตราอาร์ม

ตราแผ่นดินของหลายประเทศมีลักษณะเป็นตราอาร์ม ดังเช่นภาพตราแผ่นดินของประเทศในสหภาพยุโรป ตราอาร์ม (Coat of arms, เรียกอย่างเฉพาะเจาะจงว่า armorial achievement หรือ armorial bearings, เรียกอย่างย่อว่า arms) ในธรรมเนียมของทวีปยุโรป เป็นสัญลักษณ์ซึ่งออกแบบขึ้นสำหรับบุคคลหรือคณะบุคคล อันมีการดัดแปลงใช้ในหลายลักษณะ พัฒนามาจากตราประจำตัวของอัศวินในยุโรปสมัยโบราณเพื่อจำแนกพวกของตนออกจากพวกของศัตรู สามัญชนในยุโรปภาคพื้นทวีปอาจใช้ตราอาร์มเป็นสัญลักษณ์ได้เช่นกัน แต่เรียกชื่อชนิดตราต่างออกไปว่า Burgher arms ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ของประเทศไทย ได้ให้นิยามของคำว่า "อาร์ม" ไว้ดังนี้ ตราอาร์มนั้นต่างจากตราประทับ (seal) และตราสัญลักษณ์ (emblem) ตรงที่มีการให้คำอธิบายอย่างเป็นทางการโดยมีศัพท์เฉพาะของตนเอง ซึ่งเรียกโดยรวมในภาษาอังกฤษว่า Blazon หรือเทียบเป็นภาษาไทยว่า นิยามของตรา ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 21 ตราอาร์มได้มีการนำไปใช้กับสถาบันต่างๆ เช่นมหาวิทยาลัย ตราของแต่ละแห่งจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและปกป้องสิทธิการใช้งาน การใช้ตราดังว่ามานี้ยังรวมถึงการใช้เป็นเครื่องหมายราชการประจำชาติหลายประเทศ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือใช้เป็น "ตราแผ่นดิน" นั่นเอง ศิลปะในการออกแบบ การแสดงให้ปรากฏ การอธิบาย และการบันทึกตราอาร์ม เรียกว่า heraldry อันอาจแปลเป็นภาษาไทยตามสำนวนของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ว่า "มุทราศาสตร์".

ตราอาร์มและตราแผ่นดินของออสเตรีย · ตราอาร์มและลูกโลกประดับกางเขน · ดูเพิ่มเติม »

รายการด้านบนตอบคำถามต่อไปนี้

การเปรียบเทียบระหว่าง ตราแผ่นดินของออสเตรียและลูกโลกประดับกางเขน

ตราแผ่นดินของออสเตรีย มี 18 ความสัมพันธ์ขณะที่ ลูกโลกประดับกางเขน มี 24 ขณะที่พวกเขามีเหมือนกัน 2, ดัชนี Jaccard คือ 4.76% = 2 / (18 + 24)

การอ้างอิง

บทความนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ตราแผ่นดินของออสเตรียและลูกโลกประดับกางเขน หากต้องการเข้าถึงบทความแต่ละบทความที่ได้รับการรวบรวมข้อมูลโปรดไปที่: