โลโก้
ยูเนี่ยนพีเดีย
การสื่อสาร
ดาวน์โหลดได้จาก Google Play
ใหม่! ดาวน์โหลด ยูเนี่ยนพีเดีย บน Android ™ของคุณ!
ฟรี
เร็วกว่าเบราว์เซอร์!
 

เซารอน

ดัชนี เซารอน

ซารอน (Sauron) เป็นตัวละครหลักฝ่ายอธรรมในนิยายเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เดิมเป็นเทพไมอา ซึ่งทำงานรับใช้จอมมารมอร์กอธ ภายหลังตั้งตัวเป็นใหญ่ เซารอนเป็นผู้หลอมสร้างแหวนเอก ซึ่งบรรจุพลังอำนาจมหาศาลเอาไว้ภายใน และสามารถบังคับควบคุมใครก็ตามที่สวมแหวนแห่งอำนาจวงอื่น.

48 ความสัมพันธ์: ฟินร็อดกอลลัมกอนดอร์กิลกาลัดภูเขาในมิดเดิลเอิร์ธมอร์กอธมอร์ดอร์มิดเดิลเอิร์ธมินัสมอร์กูลมินัสทิริธมนุษย์ (มิดเดิลเอิร์ธ)มนุษย์หมาป่ายุคที่สองแห่งอาร์ดายุคที่สามแห่งอาร์ดายุคที่หนึ่งแห่งอาร์ดาวาลา (มิดเดิลเอิร์ธ)วิชคิงอังก์มาร์อามันอาร์ดาอาร์นอร์อาวเลอิซิลดูร์อคัลลาเบธอนาริออนฮอบบิท (หนังสือ)ทวิพฤกษาแห่งวาลินอร์ดาบนาร์ซิลคทาค้างคาวตำนานแห่งซิลมาริลซิลมาริลนูเมนอร์แหวนแห่งอำนาจแหวนแห่งเอลฟ์โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ไมอาไอนัวร์เบเรนเบเลริอันด์เมิร์ควู้ดเอกธำมรงค์เอลฟ์ (มิดเดิลเอิร์ธ)เอเรกิออนเอเลนดิลเจ. อาร์. อาร์. โทลคีนเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์เคเลบริมบอร์

ฟินร็อด

ตามปกรณัมชุด เดอะซิลมาริลลิออน ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ฟินร็อด เฟลากุนด์ (Finrod Felagund) เป็นเจ้าชายเอลฟ์ชาวโนลดอร์ ทรงเป็นโอรสองค์ใหญ่ของฟินาร์ฟิน ผู้เป็นโอรสของกษัตริย์ฟินเว จอมกษัตริย์องค์แรกของชาวโนลดอร์ทั้งมวล มารดาของพระองค์คือเจ้าหญิงเออาร์เวนแห่งอัลควาลอนเด ธิดาของกษัตริย์โอลเว ชาวเทเลริ ชื่อ 'ฟินร็อด' เป็นคำในภาษาซินดาริน ส่วนชื่อจริงของพระองค์เป็นภาษาเทเลริน คือ ฟินดาราโท (Findaráto) มีความหมายว่า 'ทายาทแห่งฟินเวผู้สูงศักดิ์' ซึ่งชื่อนี้ในภาษาเควนยาจะออกเสียงเป็น อาร์ทาฟินเด (Artafinde) ส่วนสมัญญานาม เฟลากุนด์ เป็นชื่อที่เหล่าคนแคระผู้ก่อสร้างอาณาจักรถ้ำแห่งนาร์โกธรอนด์ ตั้งถวายแด่พระองค์ มีความหมายว่า 'ผู้ขุดเจาะถ้ำ' นอกจากนี้พระองค์ยังมีอีกสมัญญาหนึ่งว่า โนม (Nóm) ซึ่งหมายถึง 'ผู้ทรงปัญญา' เป็นชื่อที่มนุษย์ในตระกูลเบออร์ตั้งถวายแด่พระองค์ ฟินร็อดเป็นโอรสของฟินาร์ฟินกับเออาร์เวน มีน้องชายคือ โอโรเดร็ธ อังกร็อด อายก์นอร์ และน้องสาวสุดท้องคือ กาลาเดรียล พระองค์เดินทางมายังมิดเดิลเอิร์ธเมื่อครั้งกบฏชาวโนลดอร์เดินทัพออกจากแผ่นดินอมตะ เพื่อไล่ตามล้างแค้นมอร์กอธ ทั้งที่ขัดต่อพระบัญชาของเหล่าวาลาร์ ฟินร็อดเป็นผู้ก่อตั้งหอคอยมินัสทิริธ ที่ช่องเขาแห่งซิริออน ภายหลังหอคอยนี้ตกไปอยู่ใต้อำนาจของมอร์กอธ และเป็นสถานที่ซึ่งฟินร็อดสิ้นพระชนม์ เนื่องจากพระองค์เป็นโอรสของเออาร์เวน เป็นนัดดาของกษัตริย์โอลเวชาวเทเลริ จึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังอาณาจักรโดริอัธของกษัตริย์ธิงโกล ซึ่งเป็นเชษฐาของกษัตริย์โอลเว ฟินร็อดเป็นหลานรักของกษัตริย์ธิงโกล และได้รับคำแนะนำให้สร้างอาณาจักรนาร์โกธรอนด์ขึ้น ในลักษณะเดียวกันกับเมเนกร็อธ คือเป็นราชวังที่ขุดเจาะลงไปในถ้ำใต้พื้นดิน แล้วฟินร็อดจึงขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งนาร์โกธรอนด์ ทรงยกหอคอยมินัสทิริธให้อยู่ในความดูแลของโอโรเดร็ธพระอนุชา ในสงครามดากอร์บราโกลลัค ฟินร็อดตกอยู่ในวงล้อมของพวกออร์ค แต่ทรงหนีรอดออกมาได้ด้วยความช่วยเหลือของบาราเฮียร์ ทายาทแห่งตระกูลเบออร์ พระองค์จึงประทานแหวนซึ่งมีตราประจำราชสกุลฟินาร์ฟินให้แก่บาราเฮียร์ เป็นเครื่องระลึกถึงวีรกรรมครั้งนั้น (แหวนนี้ต่อมามีชื่อเรียกว่า แหวนแห่งบาราเฮียร์) พร้อมทั้งคำสัญญาจะให้ความช่วยเหลือแก่ทายาทของบาราเฮียร์อย่างเต็มกำลังหากพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ จากคำสัญญานี้ทำให้ฟินร็อดร่วมเดินทางไปกับภารกิจเสี่ยงภัยของเบเรน บุตรแห่งบาราเฮียร์ เพื่อไปชิงซิลมาริลจากมงกุฎของมอร์กอธตามบัญชาของกษัตริย์ธิงโกล พระองค์ปกป้องเบเรนจนถึงที่สุดเมื่อพวกเขาถูกเซารอนจับตัวได้ ระหว่างเดินทางผ่านช่องเขาซิริออน (ซึ่งเวลานั้นตกอยู่ใต้อำนาจของมอร์กอธแล้ว) พระองค์ต่อสู้กับปีศาจหมาป่าเพื่อปกป้องเบเรน จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ที่หอคอยมินัสทิริธซึ่งพระองค์เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาเอง.

ใหม่!!: เซารอนและฟินร็อด · ดูเพิ่มเติม »

กอลลัม

กอลลัม (Gollum) เป็นตัวละครเอกในจินตนิยายเรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เป็นชนเผ่าฮอบบิท มีชื่อเดิมว่า สมีโกล ปรากฎตัวครั้งแรกในเดอะฮอบบิท และปรากฎตัวในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตอนหอคอยคู่พิฆาต.

ใหม่!!: เซารอนและกอลลัม · ดูเพิ่มเติม »

กอนดอร์

กษาขาว ดาวเจ็ดดวง และมงกุฎปีก กอนดอร์ (Gondor) คือชื่ออาณาจักรมนุษย์แห่งหนึ่งบนทวีปมิดเดิลเอิร์ธ ในจินตนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏในนวนิยายแฟนตาซีเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ก่อตั้งโดย อิซิลดูร์ และ อนาริออน โอรสของ เอเลนดิล เมื่อปีที่ 3320 ของยุคที่สองเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน.

ใหม่!!: เซารอนและกอนดอร์ · ดูเพิ่มเติม »

กิลกาลัด

กิลกาลัด จากภาพยนตร์ไตรภาค ลอร์ดออฟเดอะริงส์ กิลกาลัด (Gil-galad) เป็นกษัตริย์พรายชาวโนลดอร์พระองค์สุดท้ายแห่งมิดเดิ้ลเอิร์ธ ซึ่งถูกกล่าวถึงไม่มากนักใน ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในภาคผนวกท้ายเล่มของภาค กษัตริย์คืนบัลลังก์มีการกล่าวถึงอยู่เล็กน้อย คือ ในช่วงยุคที่สองของมัชฌิมโลก กิลกาลัดเป็นกษัตริย์ที่นำทัพพรายมาต่อสู้กับเซารอนร่วมกับมนุษย์ ซึ่งมีผู้นำ คือ เอเลนดิล และสิ้นพระชนม์ในสงครามครั้งนั้น.

ใหม่!!: เซารอนและกิลกาลัด · ดูเพิ่มเติม »

ภูเขาในมิดเดิลเอิร์ธ

ในปกรณัมชุด เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ทั้งทวีปมิดเดิลเอิร์ธ และทวีปอามัน ตลอดจนถึงดินแดนอื่นๆ ทั่วพิภพอาร์ดา มีเทือกเขาใหญ่น้อยมากมาย ต่อไปนี้เป็นรายชื่อภูเขาหรือเทือกเขาที่สำคัญ.

ใหม่!!: เซารอนและภูเขาในมิดเดิลเอิร์ธ · ดูเพิ่มเติม »

มอร์กอธ

'''มอร์กอธ บาวเกลียร์''' มอร์กอธ บาวเกลียร์ (Morgoth Bauglir) เป็นตัวละครที่แต่งขึ้นโดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏในผลงานของโทลคีนเรื่อง ซิลมาริลลิออน และตำนานอื่นๆ ในยุคโบราณของปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ มอร์กอธเป็นชาวไอนัวร์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าเฉกเช่นวาลาร์ ชื่อเดิมของเขาคือ เมลคอร์ แต่ต่อมาเป็นที่รู้จักทั่วไปในมิดเดิลเอิร์ธในชื่อของ มอร์กอธ หลังจากที่เจ้าชายเอลฟ์นามว่า เฟอานอร์ เป็นผู้ตั้งให้ ในประวัติศาสตร์ของมิดเดิลเอิร์ธ มอร์กอธมีบทบาทเป็นฝ่ายอธรรมผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่ง เซารอน เจ้าแห่งความมืดที่หลายคนรู้จักดีจากเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์เคยเป็นข้ารับใช้ของเขา นาม มอร์กอธ บาวเกลียร์ ที่จริงแล้วเป็นชื่อฉายา ชื่อของเขาที่ปรากฏครั้งแรกในไอนูลินดาเล (เรื่องราวของการสร้างมิดเดิ้ลเอิร์ธ และเป็นบทแรกของ ซิลมาริลลิออน) มีชื่อว่า เมลคอร์ ซึ่งหมายถึง "ผู้ผงาดด้วยอำนาจ" ส่วนคำว่า มอร์กอธ สามารถแปลได้ว่า "ทรราชเจ้าแห่งความมืด" หรือ "ผู้กดขี่อันน่าสยดสยอง" คำนี้มีที่มาจากภาษาเควนยาซึ่งหมายถึง ศัตรูมืด หรือ ความมืดอันน่าหวาดหวั่น (รากศัพท์มาจาก มอร์ (mor) - สีดำ ความมืด เงามืด และ กอส/กอธ (goth) - น่ากลัวมาก ความสยองขวัญ) ส่วนคำว่า บาวเกลียร์ เป็นภาษาซินดาริน หมายถึง ทรราช หรือ ผู้กดขี่ (รากศัพท์ MBAW - บังคับ พลังอำนาจ กดขี่) ตัวละครนี้ไม่ได้ถูกเรียกว่ามอร์กอธจนกระทั่งเขาได้รับสมญานั้นจาก เฟอานอร์ แห่ง โนลดอร์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคที่หนึ่ง (First Age) หลังจากเมลคอร์หลบหนีออกจากวาลินอร์แล้ว และพวกเอลฟ์ก็เรียกแต่ชื่อนั้นของเขา แต่ก่อนหน้าเหตุการณ์นั้นเขาถูกเรียกเพียงว่า เมลคอร์ ระหว่างการพัฒนาการของตำนานของโทลคีน เขาได้เปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการแปรพักตร์ของไอนูองค์นี้ และเปลี่ยนชื่อของเขาด้วย นอกเหนือจากชื่อพิเศษของเขาซึ่งชาวโนลดอร์ตั้งให้ (มอร์กอธ) เขายังถูกเรียกในตำนานต่างๆ (ในหลากหลายรูปแบบ) ว่า'เมลโค' 'เบลคา' 'เมเลกอร์' และ 'เมเลโค' ชื่อของเขาในรูปซินดารินคือ 'เบเลกูร์' ซึ่งไม่เคยถูกใช้เลยนอกจากในคำที่แปลงรูปแล้วว่า 'เบเลกัวธ์' ซึ่งหมายถึง ’ความตายอันยิ่งใหญ่' หมวดหมู่:ตัวละครในซิลมาริลลิออน หมวดหมู่:ไอนัวร์.

ใหม่!!: เซารอนและมอร์กอธ · ดูเพิ่มเติม »

มอร์ดอร์

มอร์ดอร์ จากภาพยนตร์ไตรภาค ลอร์ดออฟเดอะริงส์ มอร์ดอร์ (Mordor) เป็นชื่อดินแดนแห่งหนึ่งในจินตนิยายชุด เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ซึ่งเป็นที่ตั้งอาณาจักรอันชั่วร้ายของ เซารอน คำว่า มอร์ดอร์ เป็นภาษาซินดาริน มีความหมายว่า 'แผ่นดินแห่งความมืด' มอร์ดอร์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของมิดเดิลเอิร์ธ ในกำบังของเทือกเขาเอเฟลดูอัธ และเอเร็ดลิธุย ข้างตะวันออกของแม่น้ำอันดูอิน จึงตั้งประชิดอยู่ทางตะวันออกของอาณาจักรกอนดอร์ ภายในมอร์ดอร์เป็นที่ตั้งของ บารัดดูร์ หอคอยทมิฬ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซารอน นอกจากนี้ยังมีเมาท์ดูม หรือ โอโรดรูอิน หรือภูมรณะ ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่เปิดสู่แหล่งลาวาใต้พิภพ เป็นที่ที่มีอัคคีความร้อนสูงที่สุดบนมิดเดิลเอิร์ธ เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่สามารถหลอมสร้างแหวนเอกธำมรงค์ และเป็นที่เดียวที่ทำลายมันลงได้ เมาท์ดูมคือจุดหมายในการเดินทางของโฟรโด แบ๊กกิ้นส์ และ แซมไวส์ แกมจี ในภารกิจทำลายแหวนเอกในเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ การเข้าสู่มอร์ดอร์ สามารถเข้าได้จากทางทิศเหนือ ผ่านประตูดำแห่งมอร์ดอร์ ชื่อว่า 'โมรันนอน' ซึ่งตั้งอยู่ที่ช่องแคบเชิงเขาระหว่างเอเฟลดูอัธกับเอเร็ดลิธุย อีกทางหนึ่งคือผ่านช่องเขาบนเอเร็ดลิธุย ซึ่งมีเมืองปราการแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ชื่อ มินัสมอร์กูล เมืองนี้แต่เดิมเป็นเมืองของชาวกอนดอร์ ซึ่งสร้างขึ้นสำหรับคอยเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของเซารอน ต่อภายหลังถูกพวกภูตแหวนยึดไปได้ และกลายเป็นที่อยู่ของวิชคิง หรือราชันขมังเวท ด้านหน้าประตูดำเป็นทุ่งราบกว้างใหญ่ ชื่อทุ่งดาร์กอลัด หรือ ทุ่งสมรภูมิ เป็นสถานที่ซึ่งเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงปลายยุคที่สอง คือ สงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย เป็นที่สิ้นพระชนม์ของกิล-กาลัด และ เอเลนดิล ในยุคที่สามทุ่งกว้างใหญ่แห่งนี้กลายเป็นบึงน้ำเฉอะแฉะ เรียกกันว่า 'บึงมรณะ' ข้างใต้บึงเป็นหลุมศพของเอลฟ์และมนุษย์ที่เสียชีวิตในสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้.

ใหม่!!: เซารอนและมอร์ดอร์ · ดูเพิ่มเติม »

มิดเดิลเอิร์ธ

แผนที่มิดเดิลเอิร์ธในช่วงยุคที่หนึ่ง แสดงแผ่นดินเบเลริอันด์ ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่บันทึกในซิลมาริลลิออน ทางด้านขวามือสุดของแผนที่เป็นที่ตั้งของ 'เทือกเขาสีน้ำเงิน' แผนที่มิดเดิลเอิร์ธในช่วงปลายของยุคที่สาม ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ สังเกตจะเห็น 'เทือกเขาสีน้ำเงิน' อยู่ทางด้านซ้ายมือสุดของแผนที่ มิดเดิ้ลเอิร์ธ (Middle-earth) หรือ มัชฌิมโลก หมายถึงสถานที่ในนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน อันเป็นฉากหลังของเรื่องราวตำนานทั้งหลายในงานเขียนของโทลคีน ปกรณัมของโทลคีนมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเข้าควบคุมและครอบครองโลก (ในตำนานเรียกว่า "อาร์ดา") ซึ่งมีทวีปหลักชื่อว่า "มิดเดิลเอิร์ธ" เป็นที่อยู่อาศัยของพวก 'มรรตัยชน' (คือมนุษย์ที่รู้ตาย) เป็นสถานที่ตรงข้ามกับ "อามัน" หรือ 'แดนอมตะ' อันเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกวาลาร์ กับพวกเอลฟ์ คำนี้มีรากมาจากคำภาษาอังกฤษกลางว่า middel-erde ซึ่งพัฒนามาจากคำในภาษาอังกฤษเก่าว่า middangeard แก่นสำคัญของงานเขียนของโทลคีนคือเรื่องของการช่วงชิง ควบคุม และครอบครองอำนาจหรือของวิเศษ ทำให้เกิดสงครามขึ้นบนมิดเดิลเอิร์ธหลายครั้งหลายหน คือสงครามระหว่างเหล่าเทพวาลาร์ เอลฟ์ และพันธมิตรชาวมนุษย์ฝ่ายหนึ่ง กับเทพอสูรเมลคอร์กับบริวาร ได้แก่พวกออร์ค มังกร และมนุษย์ที่เป็นทาสอีกฝ่ายหนึ่ง ในตำนานยุคหลัง เมื่อเมลคอร์สิ้นอำนาจและถูกขับไล่ออกไปจากอาร์ดาแล้ว บทบาทการช่วงชิงนี้ก็ตกไปอยู่กับเซารอน สมุนเอกของเขา เหล่าเทพวาลาร์ได้ยุติบทบาทของตนลงหลังจากที่เมลคอร์สิ้นอำนาจ เพราะการสงครามระหว่างพวกพระองค์ครั้งนั้นได้ทำให้โลกพินาศเสียหายไปมาก อย่างไรก็ดีพวกพระองค์ก็ยังส่ง อิสตาริ หรือเหล่าพ่อมด เข้ามาให้ความช่วยเหลือในการต่อต้านอำนาจของเซารอน อิสตาริที่มีบทบาทมากคือ แกนดัล์ฟพ่อมดเทา และซารูมานพ่อมดขาว แกนดัล์ฟได้ทำงานบรรลุวัตถุประสงค์เป็นอย่างดี โดยได้ช่วยเหลือชาวมิดเดิลเอิร์ธอย่างถึงที่สุดเพื่อโค่นอำนาจเซารอนลงให้ได้ แต่ซารูมานกลับพ่ายแพ้ต่อความคิดฉ้อฉลแล้วตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่ ช่วงชิงอำนาจบนมิดเดิลเอิร์ธแข่งกับเซารอนเสียเอง สำหรับพลเมืองชาวมิดเดิลเอิร์ธพวกอื่นๆ ได้แก่ คนแคระ เอนท์ และฮอบบิท อันเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ในการสร้างสรรค์งานของโทลคีน เขาได้จัดทำแผนที่ของมิดเดิลเอิร์ธขึ้นเป็นจำนวนมาก แสดงถึงดินแดนและสถานที่ต่างๆ ที่ตำนานของเขาเอ่ยถึง แผนที่บางส่วนได้รับการตีพิมพ์ในช่วงชีวิตของเขา แต่ก็ยังมีแผนที่อีกจำนวนมากที่ไม่ได้ตีพิมพ์เลยจนกระทั่งเขาเสียชีวิตไปแล้ว แผนที่ส่วนใหญ่จะปรากฏอยู่ในเรื่อง เดอะฮอบบิท เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ ซิลมาริลลิออน เหตุการณ์ส่วนใหญ่ในยุคที่หนึ่งเกิดขึ้นบนดินแดนที่เรียกชื่อว่า เบเลริอันด์ ดินแดนนี้ต่อมาได้จมลงสู่ทะเลหลังสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเทพวาลาร์กับเมลคอร์ คงเหลือแต่เทือกเขาสีน้ำเงินที่ปรากฏอยู่ทางขวาสุดของแผนที่ เป็นจุดเชื่อมต่อเดียวกันกับเทือกเขาสีน้ำเงินที่อยู่ทางด้านซ้ายสุดของแผนที่ในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ดินแดนทางด้านตะวันออกของเทือกเขาสีน้ำเงินเป็นที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ในยุคที่สองและสาม โทลคีนบอกว่ามิดเดิ้ลเอิร์ธนั้นคือโลกของเรา เพียงแต่เป็นช่วงเวลาในอดีต โดยประมาณว่าปลายยุคที่สามคือช่วงระยะประมาณ 6,000 ปีก่อนยุคของโทลคีน เขายังบรรยายเขตแดนที่ฮอบบิทอาศัยว่าอยู่ที่ "ตะวันตกเฉียงเหนือของโลกเก่า ทางตะวันออกของทะเลใหญ่",เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์, บทนำ, หน้า 2 ซึ่งอ้างอิงถึงอังกฤษและเขตตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปอย่างชัดเจน ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธของโทลคีน ถูกแบ่งออกเป็นหลายยุค เรื่องราวที่ปรากฏใน เดอะฮอบบิท และเรื่องราวใน ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เกิดขึ้นในราวปลายยุคที่สาม และนำไปสู่ช่วงเริ่มต้นของยุคที่สี่ ในขณะที่เรื่องราวใน ซิลมาริลลิออน ซึ่งเป็นงานเขียนของโทลคีนเกี่ยวกับมิดเดิลเอิร์ธที่เก่าแก่ที่สุด เป็นเรื่องที่เกิดตั้งแต่ยุคสร้างโลกและยุคที่หนึ่งเป็นส่วนใหญ.

ใหม่!!: เซารอนและมิดเดิลเอิร์ธ · ดูเพิ่มเติม »

มินัสมอร์กูล

มินัสมอร์กูล (Minas Morgul) เป็นชื่อหอคอยในปกรณัมชุด มิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ชื่อเป็นคำในภาษาซินดาริน แปลว่า "หอคอยแห่งมนต์ดำ" เดิมชื่อว่า มินัสอิธิล หรือ หอคอยจันทร์รุ่ง ตั้งชื่อตามชื่อผู้สร้างและเจ้าของคนแรก คืออิซิลดูร์ ซึ่งสร้างหอคอยแห่งนี้ขึ้นในระหว่างการก่อตั้งอาณาจักรกอนดอร์ พร้อมกับเมืองออสกิเลียธ และหอคอยมินัสอะนอร์ ในช่วงปลายของยุคที่สองเพื่อป้องกันฝั่งตะวันตกของเมืองออสกิเลียส มินัสอิธิลตั้งอยู่ในหุบเขามอร์กูล บนเทือกเขาเอเฟลดูอัธ ซึ่งอยู่ติดชายอาณาเขตมอร์ดอร์ เมื่อแรกสร้างเป็นนครที่งดงามดั่งแสงจันทร์ กำแพงและถนนถูกสร้างด้วยหินอ่อนและประดับประดาอย่างสวยงามปลูกประดับด้วยพฤกษาต่างๆ มีหอคอยที่งดงามอยู่กลางเมือง และอิซิลดูร์ได้นำหน่ออ่อนของพฤกษาขาว ที่เขาลอบนำออกมาจากเกาะนูเมนอร์ได้ทันก่อนเกาะจะจมสมุทร มาปลูกไว้ที่นี่ด้วย มินัสอิธิลถูกเซารอนตีแตกครั้งแรกเมื่อปีที่ 3429 ของยุคที่สอง อิซิลดูร์หนีออกจากนครเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากเอเลนดิล นำทัพกลับมาร่วมกับทัพของอนาริออน สามารถขับไล่เซารอนกลับไปอยู่หลังแนวเทือกเขาได้ ในระหว่างสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย โอรสองค์ที่ 2 และ 3 ของอิซิลดูร์ คือเคียร์ยอนและอาราทัน รับหน้าที่เฝ้าพิทักษ์หอคอยแห่งนี้ หลังสิ้นสุดสงคราม เคียร์ยอนและอาราทันเดินทางขึ้นเหนือพร้อมอิซิลดูร์ผู้บิดา มินัสอิธิลก็กลับมาอยู่ในความดูแลของกอนดอร์ ปีที่ 1636 ของยุคที่สาม เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่แพร่มาพร้อมกับสายลมดำมืดจากแดนมอร์ดอร์ มินัสอิธิลได้รับความเสียหายมากที่สุด ทหารและพลเมืองล้มตายไปเป็นจำนวนมากจนเกือบเป็นเมืองร้าง ปีที่ 1980 เหล่านาซกูลพ่ายแพ้ที่อังก์มาร์ ถูกกองทัพพันธมิตรของเอลฟ์ ทัพดูเนไดน์ และทัพกอนดอร์ของเจ้าชายเออาร์นัวร์ตีแตกจนต้องหนีกลับมายังมอร์ดอร์ แต่พวกมันหันมายึดมินัสอิธิลไปเป็นที่มั่นใหม่ และยึดไปได้สำเร็จในปีที่ 2002 พาลันเทียร์ประจำเมืองนี้จึงตกไปอยู่ในมือของเซารอน และถูกย้ายไปยังหอคอยบารัดดูร์ นับแต่นั้นมินัสอิธิลจึงถูกเรียกว่า 'มินัสมอร์กูล' ซึ่งหมายถึง 'หอคอยแห่งเวทมนตร์อันมืดดำ' ส่วนมินัสอะนอร์ก็เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น 'มินัสทิริธ' หมายถึง 'หอคอยระวังภัย' ทว่าหลังจากสงครามแห่งแหวนจบ แหวนเอกได้ถูกทำลาย เซารอนสิ้นอำนาจ รวมทั้งอาณาจักรมอรดอร์ล่มสลายลง หอคอยนี้ถูกทิ้งร้างไว้เป็นเวลานานหลายปีด้วยความหวาดกลัวจากเรื่องราวในอดีต จนกษัตริย์แห่งกอนดอร์มีพระบัญชาให้บูรณะหอคอยนี้เป็นนครมินัสอิธิลอันงดงามอีกครั้ง.

ใหม่!!: เซารอนและมินัสมอร์กูล · ดูเพิ่มเติม »

มินัสทิริธ

มินัสทิริธ (Minas Tirith) เป็นชื่อหอคอยในตำนานชุด มิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ชื่อเป็นคำในภาษาซินดาริน แปลว่า "หอคอยระวังภัย" ในปกรณัมปรากฏชื่อหอคอย มินัสทิริธ ทั้งในยุคที่หนึ่ง และยุคที่สาม ของอาร์ดา มินัสทิริธ จากภาพยนตร์ไตรภาค เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในปี 3320 ของยุคที่สอง ในขณะนั้นเมืองหลวงของอาณาจักร กอนดอร์ยังคงเป็น ออสกิเลียธ (Osgiliath) อิซิลดูร์ และ อนาริออน บุตรแห่งเอเลนดิล ทั้งสองได้ร่วมกันปกครอง ออสกิเลียธ แต่พวกเขาก็ยังสร้างปราการที่เป็นของตนเองด้วย โดยปราการทั้งสองนั้นตั้งอยู่คนละฟากของแม่น้ำอันดูอิน อิซิลดูร์ สร้างหอคอยจันทร์รุ่งเรียกว่า มินัสอิธิล ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ ส่วนอนาริออน สร้างหอคอยตะวันรอนเรียกว่า มินัสอะนอร์ ทางตะวันตกของแม่น้ำ มินัสอะนอร์ถูกสร้างขึ้นเป็นป้อมปราการอย่างแข็งแกร่งและงดงาม แบ่งเป็น 7 ชั้น โดยมีประตูใหญ่ด้านหน้าและประตูชั้นต่อๆไปอยู่ด้านข้างสลับไปมาส่วนประตูชั้นบนสุดจะหันไปด้านหน้า กำแพงชั้นแรกสร้างด้วยวัสดุสีดำแบบเดียวกับที่ใช้ในออร์ธังค์ และชั้นอื่นๆทำด้วยหินอ่อน ในชั้นที่หกจะมีทางออกไปยังสุสานกษัตริย์และผู้พิทักษ์ส่วนชั้นที่เจ็ดเป็นที่ตั้งของท้องพระโรงและที่ปลูกพฤกษาขาว และด้านบนคือหอคอยที่เก็บรักษาดวงพาลันเทียร์ประจำมินัสอะนอร์หรือมินัสทิริธต่อมา ต่อมาในปี 3429 ของยุคที่สอง เซารอนโจมตีกอนดอร์ มินัสอิธิลถูกยึดไปได้ แต่กอนดอร์ยังสามารถรักษา ออสกิเลียธ และมินัสอะนอร์ไว้ได้ หลังจากนั้นก็สามารถขับไล่กองทัพเซารอนกลับไปยังมอร์ดอร์ได้ก่อนที่คณะพันธมิตรของมนุษย์และเอลฟ์กลุ่มสุดท้ายมาถึง อนาริออนเสียชีวิตในระหว่างสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย ในปี 3440 และสงครามจบลงด้วยการพ่ายแพ้ของเซารอนในอีกปีต่อมา ในปีที่ 2 ของยุคที่สาม อิซิลดูร์ นำหน่ออ่อนของพฤกษาขาวที่นำออกมาจากมินัสอิธิลได้ทัน และนำมาปลูกไว้ที่ มินัสอะนอร์ เพื่อเป็นการรำลึกถึง อนาริออน ต่อมา ออสโตเฮอร์ (Ostoher) กษัตริย์ลำดับที่เจ็ดแห่งกอนดอร์ ได้ปรับปรุงและขยายมินัสอะนอร์ให้กว้างขึ้น หลังจากนั้นก็เกิดธรรมเนียมที่กษัตริย์แห่งกอนดอร์ จะเสด็จมาประทับที่มินัสอะนอร์ ในช่วงฤดูร้อน แต่อย่างไรก็ตาม ออสกิเลียธก็ยังคงเป็นเมืองหลวงอยู่ ในปี 1437 ของยุคที่สาม เกิดสงครามกบฏที่เรียกว่า กบฏราชวงศ์ ทำให้ออสกิเลียธได้รับความเสียหาย และเกิดโรคระบาดอย่างรุนแรง ทำให้เมืองถูกทิ้งร้าง จากนั้นมินัสอะนอร์จึงได้กลายมาเป็นเมืองหลวงของกอนดอร์แทนที่ และได้มีการสร้างหอคอยสีขาวขึ้นในส่วนยอดของมินัสอะนอร์ เพื่อเป็นที่เก็บ พาลันเทียร์ ในปี 2002 มินัสอิธิล ถูกยึดอีกครั้งโดยพวกนาซกูล และถูกเปลี่ยนชื่อเป็น มินัสมอร์กูล หลังจากนั้นมินัสอะนอร์ก็ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เช่นกันว่า มินัสทิริธ ซึ่งหมายถึง 'หอคอยระวังภัย' เมื่อเซารอนกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ในช่วงปลายยุคที่สาม กองทัพมอร์ดอร์ยกข้ามแม่น้ำอันดูอิน เช้าโจมตีมินัสทิริธ ซึ่งมี วิชคิง เป็นแม่ทัพ โดยทหารกอนดอร์ป้องกันกำแพงอยู่ภายในเมือง เกิดการรบกันอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งกองทัพมอร์ดอร์ใช้ กรอนด์ ทำลายประตูเมืองลงได้ ทหารมอร์ดอร์เคลื่อนพลหลั่งไหลเข้าเมือง (แต่ในฉบับนิยาย กรอนด์ไม่สามารถทำลายประตูเมืองได้ จนกระทั่งวิชคิงต้องมาร่ายเวทย์ทำลายประตูเมืองด้วยตัวเอง ประตูเมืองจึงถูกทำลาย แต่ทว่าทหารมอร์ดอร์ก็ยังไม่สามารถยกพลเข้าประตูเมืองได้เนื่องจากกองทัพโรฮันนำกองทัพกำลังเสริมมาช่วยเหลือกอนดอร์) ไม่นานนักทหารจากโรฮันก็เคลื่อนทัพมาถึงและเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน เกิดการพุ่งรบกันบนสมรภูมิแห่งทุ่งพาเลนเนอร์ และในที่สุดอารากอร์นนำพลจากทางแม่น้ำอันดูอินขึ้นมาช่วยรบ จนได้รับชัยชนะ หลังจากสงครามมินัสทิริธได้รับการบูรณะใหม่โดยคนแคระจากเอเรบอร์ได้สร้างประตูเมืองขึ้นใหม่ด้วยมิธริลและมอบให้เป็นของขวัญแก่นคร ทั้งยังบูรณะถนนอาคารต่างๆด้วยหินอ่อนสีขาว และชาวเอลฟ์ได้นำต้นไม้มาประดับท้องถนนต่างๆและสร้างน้ำพุขึ้นจนเมืองถือได้ว่างดงามยิ่งกว่าที่เคยเป็นม.

ใหม่!!: เซารอนและมินัสทิริธ · ดูเพิ่มเติม »

มนุษย์ (มิดเดิลเอิร์ธ)

มนุษย์ ตามความหมายในจินตนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยมหาเทพอิลูวาทาร์ โดยสร้างขึ้นภายหลังเผ่าพันธุ์เอลฟ์ จึงได้ชื่อว่าเป็น บุตรคนเล็กแห่งอิลูวาทาร์ เหตุการณ์ในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นเหตุการณ์ในตอนท้ายของยุคสมัยอันรุ่งเรืองของพวกเอลฟ์ เมื่อพ้นจากยุคของเอลฟ์แล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงรุ่งเรืองขึ้นและได้ครอบครองโลกทั้งหมดดังเช่นปัจจุบัน.

ใหม่!!: เซารอนและมนุษย์ (มิดเดิลเอิร์ธ) · ดูเพิ่มเติม »

มนุษย์หมาป่า

มพ์ไม้ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 แสดงภาพมนุษย์หมาป่า มนุษย์หมาป่า (Werewolf, Lycanthrope) เป็นผีตามความเชื่อของชาวยุโรปในยุคกลาง จัดเป็นผีจำพวกเดียวกับแวมไพร์หรือผีดิบดูดเลือดชนิดหนึ่ง คือ เป็นผีที่สามารถแปลงร่างเป็นทั้งมนุษย์และหมาป่าได้ อาหารของมนุษย์หมาป่าก็คือ เนื้อและเลือดสด ๆ ของมนุษย์ โดยจะออกหากินในเวลากลางคืน เหยื่อโดยมากจะเป็นเหยื่อที่มาเพียงคนเดียว มนุษย์หมาป่ามีทั้งที่เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งหมาป่า และกลายร่างเป็นหมาป่าทั้งตัว เชื่อกันว่ามนุษย์หมาป่าสามารถกลับหนังของตนเข้าข้างในเพื่อหลบซ่อนขนหมาป่าเมื่อกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นมนุษย์หมาป่าจะถูกถลกหนังออกเพื่อล่าเอาหนังหมาป่าไว้ วิธีทดสอบว่าผู้ใดเป็นมนุษย์หมาป่าหรือไม่นั้นสามารถจำอก ผู้ที่เป็นมนุษย์หมาป่านั้นจะมีขนระหว่างคิ้วหนาและยาวจนเกือบจรดกันตรงระหว่างคิ้ว ใบหูเล็กและปลายเรียวแหลม นิ้วกลางทั้งสองข้างมักสั้นเกือบเท่านิ้วชี้ และที่สำคัญคือ มีขนที่ฝ่ามือด้วย มนุษย์หมาป่า จะกลับร่างกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาเมื่อได้รับบาดเจ็บ ซึ่งนักล่าแวมไพร์สามารถที่จะตามรอยเลือดได้ วิธีการฆ่ามนุษย์หมาป่า คือ การยิงด้วยลูกปืนหรือแทงด้วยใบมีดที่ทำมาจากเงิน และจะต้องเป็นเงินที่หลอมมาจากกางเขน ศพของมนุษย์หมาป่าควรนำไปเผาดีกว่าฝัง เพราะนำไปฝังอาจทำให้มนุษย์หมาป่ากลับคืนร่างมาเป็นแวมไพร์หรือมนุษย์หมาป่าได้อีกครั้ง เชื่อกันว่า ผู้ที่กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าเป็นเพราะถูกสาปหรือเกิดจากอุบัติเหตุที่สยดสยอง บุคคลนั้นต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าทุกค่ำคืน หรือในทุกวันพระจันทร์เต็มดวงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีเดียวที่จะหยุดการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ คือ ความตายเท่านั้น ความเชื่อเรื่องมนุษย์หมาป่ามีอยู่ทั่วโลก มีอาการป่วยทางประสาทประเภทหนึ่งที่หาได้ยาก เรียกว่า "Lycanthropy" (/ไล-เคน-โทร-ฟี่/) ซึ่งเป็นอาการที่เป็นที่รู้จักกันมานานตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นอาการที่ผู้ป่วยมักคิดว่าตนเองสามารถกลายร่างเป็นหมาป่าได้ ทั้งที่ไม่สามารถทำได้ แต่ก็มีกิริยาอาการแบบเดียวกับหมาป่า เที่ยวฆ่าผู้อื่นและกินเนื้อที่เหยื่อที่ตนฆ่าทิ้ง นอกจากนี้แล้ว ผู้ที่มีขนรุงรังตามแขนขาหรือหลังหรือลำตัว จนถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์หมาป่า เป็นอาการผิดปกติที่เรียกว่า Hypertrichosis (/ไฮ-เปอร์-ทริ-โค-ซิส/) เกิดจากยีนในโครโมโซมผิดปกติ แต่เกิดขึ้นได้น้อยมากเพียงหนึ่งใน 1,000,000 เท่านั้น แต่ทว่าอาการดังกล่าวสามารถส่งต่อทางพันธุกรรมได้ นอกจากนี้แล้ว การกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่ายังเกิดจากผู้ที่ต้องการจะกลายร่างเพื่อความแข็งแกร่งและอยู่ยงคงกระพัน ตามความเชื่อของรัสเซีย เชื่อว่า การที่จะกลายร่างเป็นหมาป่าได้นั้นต้องกระโดดข้ามต้นไม้ใหญ่ที่ล้มอยู่ในป่า แล้วเอามีดทองแดงเล่มเล็ก ๆ แทงต้นไม้แล้วท่องคาถา แล้วดื่มน้ำจากรอยเท้าบนดินของหมาป่า และกินสมองของสัตว์ที่ถูกหมาป่าฆ่าตาย หากทำดังนี้แล้วจะกลายร่างเป็นหมาป่าได้ และยังมีอีกวิธีการหนึ่ง คือ ในเวลาเที่ยงคืนของคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ให้ปรุงน้ำมันชนิดหนึ่งขึ้นมาที่ทำมาจากต้นไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า หนังหมาป่า และต้นถุงมือหมาจิ้งจอก ฝิ่น ผสมกับเลือดค้างคาวและไขมันของเด็กที่ถูกฆ่าตาย เอาของทั้งหมดนี้มาต้มรวมกันในหม้อ เมื่อผสมเข้ากันดีแล้วก็ให้ทาตามตัวแล้วเอาหนังหมาป่ามาคลุมร่าง พร้อมกับท่องคาถาขอให้เปลี่ยนร่างเป็นหมาป่า ซึ่งจะกลายเป็นหมาป่าเองโดยอัตโนมัติในทุก ๆ คืน และกลับคืนร่างเป็นมนุษย์ในเวลาเช้า คาถานี้จะถูกทำลายลงก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นตายหรือถูกแทงเข้า 3 ครั้งที่หน้าผาก นักรบนอร์ดิก หรือที่รู้จักกันดีในนามของ เบอร์เซอร์เกอร์ เป็นพวกที่สร้างความเชื่อเรื่องมนุษย์หมาป่าให้น่ากลัวยิ่งขึ้น เนื่องจากนิยมไว้ผมและหนวดเครายาวรุงรังเพื่อให้น่ากลัว ข่มขวัญศัตรู พวกชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลเมื่อถูกชนกลุ่มนี้ทำร้าย มักจะเชื่อว่าพวกเบอร์เซอร์เกอร์สามารถกลายร่างเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์ร้าย อย่าง หมี หรือหมาป่าได้ ขณะทำการต่อสู้ ซึ่งในเทพปกรณัมของเบอร์เซอร์เกอร์บทหนึ่งเล่าว่า มีแม่มดร่ายเวทมนตร์ไว้บนหนังหมาป่า 2 ผืน ใครที่ได้สวมหนังหมาป่านี้จะกลายร่างเป็นหมาป่าไปทั้งหมด 10 วัน มีนักรบ 2 คนไปพบหนังหมาป่า 2 ผืนนี้โดยบังเอิญในป่า จึงขโมยมาขณะที่เจ้าของยังหลับอยู่ ด้วยความรู้ไม่ถึงการณ์นักรบทั้ง 2 ก็นำหนังหมาป่านี้มาสวมดู แต่ไม่สามารถถอดออกได้ นักรบทั้ง 2 หอนโหยหวนและเข้าทำร้ายซึ่งกันและกัน และยังทำร้ายเจ้าของหนังหมาป่าด้วย เมื่อ 10 วันผ่านไป เมื่อทั้งคู่กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วก็เอาหนังหมาป่าทั้ง 2 ผืนนี้ไปเผาไฟทำลายทิ้งเสีย ในเทพปกรณัมของชาวไอริชเล่าว่า มีนักบวชผู้หนึ่งหลงทางอยู่ในป่า พบหมาป่านั่งอยู่ข้างกองไฟ หมาป่าตัวนี้สามารถพูดเป็นภาษามนุษย์ได้ หมาป่าได้ขอให้นักบวชอวยพรให้กับภรรยาของตนซึ่งกำลังใกล้จะตาย หมาป่าอธิบายว่า ครอบครัวของตนถูกสาปให้ทั้งหญิงและชายอย่างละหนึ่งคน จะต้องกลายร่างเป็นหมาป่าทั้งหมด 7 ปี ถ้าว่าถ้าครบ 7 ปีแล้วยังมีชีวิตอยู่ก็จะกลายร่างเป็นมนุษย์ดังเดิม แต่นักบวชไม่เชื่อ จนกระทั่งหมาป่าตัวเมียจึงฉีกหนังหมาป่าออกเผยให้เห็นเป็นร่างของหญิงสาวที่อยู่ภายใน เรื่องราวของมนุษย์หมาป่า ถูกอ้างอิงถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลากหลายประการเช่นเดียวกับแวมไพร์ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง An American Werewolf in Paris ในปี..

ใหม่!!: เซารอนและมนุษย์หมาป่า · ดูเพิ่มเติม »

ยุคที่สองแห่งอาร์ดา

ที่สอง แห่งอาร์ดา เป็นช่วงเวลาหนึ่งในจักรวาลของเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เริ่มนับตั้งแต่การจับกุมคุมขังเทพอสูรมอร์กอธไว้ในสุญญภูมิ หลังจากการล่มจมสมุทรของแผ่นดินเบเลริอันด์ ซึ่งเป็นผลจากสงครามแห่งความโกรธา อันเป็นสงครามระหว่างปวงเทพแห่งแดนประจิมกับมอร์กอธ การรุ่งเรืองและล่มสลายของอาณาจักรนูเมนอร์ ไปจนถึงการปราบปรามเซารอนลงสำเร็จในสงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย กินเวลายาวนานถึง 3,441 ปี เหตุการณ์ในยุคที่สองของอาร์ดา มิได้มีการบรรยายไว้โดยละเอียดเหมือนยุคที่หนึ่ง ซึ่งปรากฏเนื้อหาอยู่ในตำนานเรื่อง ซิลมาริลลิออน แต่ได้มีการบรรยายสรุปโดยย่ออยู่ในภาคผนวกของหนังสือเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และในตำนานอคัลลาเบธ อันเป็นตำนานว่าด้วยการรุ่งเรืองและล่มสลายของอาณาจักรนูเมนอร์ นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาจำนวนมากที่โทลคีนประพันธ์ค้างไว้ และคริสโตเฟอร์ โทลคีน ได้รวบรวมไว้ในหนังสือ Unfinished Tales.

ใหม่!!: เซารอนและยุคที่สองแห่งอาร์ดา · ดูเพิ่มเติม »

ยุคที่สามแห่งอาร์ดา

ที่สามแห่งอาร์ดา เป็นช่วงเวลาหนึ่งในจักรวาลของเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เริ่มนับตั้งแต่การพ่ายแพ้ของเซารอนต่อกองทัพพันธมิตรครั้งสุดท้ายของมนุษย์และพราย (สงครามตอนต้นเรื่องในภาพยนตร์) เอกลักษณ์ของยุคนี้คือความเสื่อมถอยของพวกพราย หรือ เอลฟ์ การเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของอาณาจักรกอนดอร์และอาร์นอร์ และการฟื้นอำนาจของเซารอน ยุคที่สามกินเวลา 3,021 ปี จนถึงความพ่ายแพ้อีกครั้งของเซารอน เมื่อแหวนถูกทำลาย เมื่อโฟรโด แบ๊กกิ้นส์, บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ และแกนดัล์ฟ เดินทางออกจากมิดเดิลเอิร์ธ จึงเริ่มนับเป็นยุคที่สี.

ใหม่!!: เซารอนและยุคที่สามแห่งอาร์ดา · ดูเพิ่มเติม »

ยุคที่หนึ่งแห่งอาร์ดา

ในจินตนิยายชุด ปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน คำว่า ยุคที่หนึ่ง มักหมายถึง ยุคที่หนึ่งของเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ส่วนใหญ่ที่ปรากฏในเรื่อง ซิลมาริลลิออน ยุคนี้เริ่มต้นด้วยการตื่นขึ้นของเหล่าเอลฟ์ ที่ริมทะเลสาบคุยวิเอเนน และจบลงด้วยการล้มล้างมอร์กอธ โดยกองทัพผสมระหว่างวาลินอร์กับเบเลริอันด์ ยุคที่หนึ่งกินเวลาหลายร้อยปีในวาเลียนศักราช และอีกเกือบ 590 ปีของยุคแห่งตะวัน หากคิดเวลารวมเป็นปีตะวัน อาจได้ช่วงเวลาประมาณ 4,902 ถึง 65,390 ปีตะวัน เนื่องจากวิธีการคำนวณปีวาลาร์เทียบกับปีตะวันในงานเขียนแต่ละชุดของโทลคีนมีความแตกต่างกัน ตัวเลขที่มากกว่าคิดเทียบจากข้อมูลในภาคผนวกของเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ส่วนเลขน้อยกว่าคิดจากงานเขียนในชุดแรกๆ ของเขา บางครั้งในงานเขียนอาจระบุถึง ยุคที่หนึ่ง ด้วยคำว่า ยุคบรรพกาล ด้วย มักมีความเข้าใจผิดกันว่า ยุคที่หนึ่ง เริ่มนับตั้งแต่ยุคแห่งตะวัน เพราะบางครั้งก็เอ่ยถึงว่า "ยุคที่หนึ่งแห่งตะวัน" ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่การกำเนิดของดวงตะวันเรื่อยไปจนถึงการสิ้นอำนาจของมอร์กอ.

ใหม่!!: เซารอนและยุคที่หนึ่งแห่งอาร์ดา · ดูเพิ่มเติม »

วาลา (มิดเดิลเอิร์ธ)

วาลาร์ (Valar) เป็นชื่อเรียกชนชั้นสูงในชนเผ่า ไอนัวร์ (Ainur) ในจินตนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน มีกล่าวถึงอยู่มากในตำนานเรื่องซิลมาริลลิออน ชนเผ่าไอนัวร์เป็นชนเผ่าที่ถือกำเนิดมาจากพระเจ้าสูงสุดในโลกอาร์ดา คือมหาเทพอิลูวาทาร์ เป็นพวกที่ช่วยมหาเทพสร้างพิภพต่างๆ และตระเตรียมสถานที่ให้พร้อมสำหรับเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ กล่าวคือเป็นผู้ช่วยสร้างโลกอาร์ดานั่นเอง ชาวมนุษย์มักเรียกเหล่าไอนัวร์ว่า "เทพ" คำว่า "วาลาร์" เป็นคำภาษาเอลฟ์ หมายถึง "พลังอำนาจแห่งพิภพ" รูปคำ วาลาร์ (Valar) เป็นพหูพจน์ คำเอกพจน์คือ วาลา (Vala).

ใหม่!!: เซารอนและวาลา (มิดเดิลเอิร์ธ) · ดูเพิ่มเติม »

วิชคิง

วิชคิงแห่งอังก์มาร์ (Witch King of Angmar) หรือ ราชาภูติ หรือ พญาโหงแห่งอังก์มาร์ เป็นตัวละครตัวหนึ่งในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ในเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นหัวหน้าของเหล่านาซกูล หรือภูตแหวน ที่ทำหน้าที่รับใช้จอมมารเซารอน เนื่องจากตกอยู่ใต้อำนาจของเซารอนหลังจากยอมรับแหวนแห่งอำนาจของมนุษย์ทั้งเก้าวงมาไว้ในครอบครองด้วยความโลภ ในปกรณัมของโทลคีนไม่ได้เอ่ยถึงชื่อจริงของเขา รวมถึงเหล่านาซกูลอื่น ๆ ด้วย แต่จากข้อมูลบางส่วนในงานเขียนที่ยังไม่เสร็จของเขา บ่งชี้ว่ามีแม่ทัพนูเมนอร์อย่างน้อย 3 คนที่ได้รับแหวนแห่งอำนาจ และหนึ่งในสามคนนี้น่าจะได้เป็นวิชคิงในเวลาต่อมา เขาได้ชื่อว่าเป็น วิชคิง "แห่งอังก์มาร์" เนื่องจากสามารถโจมตีอาณาจักรอาร์นอร์ ยึดดินแดนมาส่วนหนึ่งก่อตั้งเป็นอาณาจักรอังก์มาร์ได้ จากนั้นก็โจมตีดินแดนส่วนอื่นของอาร์นอร์จนอาณาจักรล่มสลายลงในที่สุด แม้ภายหลังเหล่านาซกูลจะย้ายมายังมินัสมอร์กูลแล้ว ก็ยังคงเรียกชื่อราชันขมังเวทว่า "วิชคิงแห่งอังก์มาร์" อยู่ ในช่วงศึกที่ฟอร์นอสต์ครั้งอังมาร์แตก กลอร์ฟินเดลได้ทำนายชะตาของวิชคิงไว้ว่า "อวสานของเขาจะไม่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของบุรุษใด" ซึ่งผลลัพธ์ก็เป็นดังที่ว่า เมื่อเอโอวีน (นางเป็นสตรี) พร้อมด้วยฮอบบิท เมอเรียด็อค แบรนดี้บั๊ก ได้สังหารเขาในศึกที่ทุ่งเพลานอร์ หน้ามินาสทิริธ ครั้งสงครามแหวน.

ใหม่!!: เซารอนและวิชคิง · ดูเพิ่มเติม »

อังก์มาร์

ร์นดูม เมืองหลวงของอังก์มาร์ อังก์มาร์ (Angmar) คือชื่อดินแดนแห่งหนึ่งบนทวีปมิดเดิลเอิร์ธ ในจินตนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ชุด เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปในอาณาจักรอาร์นอร์ของชาวมนุษย์ดูเนไดน์ ภายหลังตกไปอยู่ใต้อำนาจของเหล่านาซกูล อังก์มาร์ตั้งอยู่ในแคว้นรูห์เดาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ของอาณาจักรอาร์นอร์ ช่วงกลางยุคที่สาม ประมาณปีที่ 1300 อาณาจักรอาร์นอร์อ่อนแอ นาซกูลจึงมาตียึดเอาดินแดนบางส่วนในรูห์เดาร์ไปได้ และก่อตั้งอาณาจักรอังก์มาร์ขึ้น มีเมืองหลวงชื่อ "คาร์นดูม" (Carn Dûm) จากนั้นใช้ที่แห่งนี้เป็นที่มั่นในการบุกโจมตีดินแดนส่วนอื่นๆ ของอาร์นอร์ต่อไปอีกจนกระทั่งอาณาจักรล่มสลายลงในที่สุด ต่อมาเมื่อเหล่านาซกูลยกลงมาโจมตีอาณาจักรกอนดอร์ และยึดเอามินัสอิธิลไปได้ จึงทิ้งให้อังก์มาร์กลายเป็นเมืองร้าง แล้วย้ายมายังมินัสอิธิลซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น มินัสมอร์กูล แทน.

ใหม่!!: เซารอนและอังก์มาร์ · ดูเพิ่มเติม »

อามัน

อามัน (Aman) เป็นชื่อดินแดนแห่งหนึ่งบนโลกอาร์ดา ในจินตนิยายชุด มิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น แผ่นดินอมตะ (Undying Lands) หรือ อาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ (Blessed Realm) เนื่องจากบนดินแดนแห่งนี้เป็นที่อยู่ของบรรดาอมตะชนทั้งสิ้น แต่เดิมโลกอาร์ดามีทวีปเดียว มีทะเลสาบกลางแผ่นดินและเกาะกลางทะเลสาบนั้นชื่อว่า อัลมาเรน เป็นที่ประทับของเหล่าพลังอำนาจ หรือปวงเทพ หรือคือเหล่าไอนัวร์ ที่จำแลงร่างลงมาอยู่ในโลก แต่หลังจากมอร์กอธทรยศและทำลายผืนพิภพจนวอดวาย แผ่นดินและผืนน้ำเปลี่ยนรูปทรงไปทั้งหมด จึงเกิดเป็นทวีปใหญ่น้อยมากมาย ทวีปอามันเกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้ โดยเป็นทวีปที่อยู่ทางฟากตะวันตกสุดของอาร์ดา คั่นตัวออกจากทวีปอื่นด้วยมหาสมุทรใหญ่ชื่อ เบเลกายร์ หลังจากนั้นปวงเทพก็ย้ายมาประทับอยู่บนทวีปนี้ ตั้งเมืองศูนย์กลางของปวงเทพขึ้นเรียกว่า วาลินอร์ ภูมิประเทศในใจกลางทวีปเป็นที่ราบ และผืนป่า ซึ่งเป็นไร่นาของเทพียาวันนา และเขตป่าของเทพโอโรเม ด้านตะวันตกจรดทะเลวัฏฏะ (เอคไคอา) ด้านตะวันออกจรดทะเลเบเลกายร์ โดยมีขุนเขาสูงใหญ่ขวางกั้นไว้ที่ชายทวีปด้านตะวันออก มีชื่อว่า เทือกเขาเพโลริ ยอดเขาสูงสุดของเพโลริคือ ทานิเควทิล อันเป็นที่ประทับของจอมกษัตริย์แห่งกษัตริย์ทั้งปวง คือมานเวเทพบดี นครวาลินอร์ตั้งอยู่เชิงขุนเขาแห่งนี้ ด้านนอกนครเป็นเนินสูงใหญ่ชื่อ 'เอเซลโลฮาร์' บนเนินเป็นที่ตั้งของที่ประชุมมนตรีพิพากษา (คือที่ประชุมของปวงเทพวาลาร์ เมื่อต้องมีการพิจารณาเหตุการณ์สำคัญ) ใกล้เนินเอเซลโลฮาร์เป็นที่ตั้งของทวิพฤกษาแห่งวาลินอร์ หลังจากชาวเอลดาร์เดินทางมายังอามัน ปวงเทพเห็นว่าพวกเขายังจำเป็นต้องได้รับกลิ่นไอจากมหาสมุทรใหญ่ และอากาศจากแผ่นดินเกิด จึงแหวกช่องเขาเพโลริให้แยกออกในช่วงกึ่งกลางของทวีป กลายเป็นช่องเขาคาลาเคียร์ยา ซึ่งเป็นที่ตั้งของนครทิริออน เมืองหลวงของพวกเอลฟ์ ชายหาดริมมหาสมุทรใหญ่ใกล้กับนครนี้ มีชื่อเรียกว่า อ่าวเอลดามาร์ หรืออ่าวนิวาสเอลฟ์ เป็นที่ตั้งของนครอัลควาลอนเด เมืองหลวงของชาวเทเลริ ในอ่าวเอลดามาร์มีเกาะใหญ่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ เกาะนี้เดิมคือแผ่นดินใหญ่ที่เทพอุลโมใช้นำพาเหล่าเอลฟ์ออกจากทวีปมิดเดิลเอิร์ธมาสู่อามัน แต่เมื่อถึงการเดินทางครั้งสุดท้ายของเหล่าเทเลริ พวกเขาขอให้เทพอุลโมหยุดยั้งการเดินทาง พระองค์จึงหยั่งรากของเกาะลงยึดกับก้นมหาสมุทรกลายเป็นเกาะขนาดใหญ่ มีชื่อว่า 'โทลเอเรสเซอา' หรือเกาะเอกา (Lonely Isle) บางครั้งในปกรณัมเรียกชื่อว่า 'เอเรสเซอา' บนเกาะนี้เป็นที่ตั้งของนครอวัลโลเน พวกเอลฟ์โนลดอร์ที่ถูกเนรเทศไปยังมิดเดิลเอิร์ธ เมื่อได้รับอภัยโทษและกลับคืนสู่แผ่นดินอมตะ ก็จะมาได้เพียงเกาะโทลเอเรสเซอาแห่งนี้ อามันได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินอมตะ ก็เพราะผู้อยู่อาศัยบนแผ่นดินนั้นล้วนเป็นอมตะชน ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ไปอยู่บนนั้นจะมีชีวิตยืนยาว ตรงกันข้าม ถ้ามนุษย์ผู้ไม่ได้รับอนุญาตเหยียบลงบนแผ่นดินนั้น กลับจะยิ่งเสียชีวิตเร็วขึ้นเพราะไม่อาจทนรับสภาพอากาศของแผ่นดินอมตะได้ มนุษย์ผู้แรกที่ได้เหยียบย่างขึ้นบนแผ่นดินอมตะ คือ เออาเรนดิลจอมนาวิก ซึ่งเสี่ยงชีวิตเดินทางไปขออภัยต่อปวงเทพในฐานะตัวแทนของสองเผ่าพันธุ์ (เอลฟ์และมนุษย์) ในเหตุการณ์ตอนปลายของยุคที่หนึ่ง เขาได้รับพรพิเศษจากปวงเทพให้เลือกได้ว่าจะเป็นเอลฟ์หรือมนุษย์ เออาเรนดิลเลือกเป็นเอลฟ์ จึงได้รับมอบหมายให้อัญเชิญดวงมณีซิลมาริลไปบนนาวาวิงกิล็อท เพื่อส่องแสงสว่างแก่โลกตลอดไป เหตุนี้เขาจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เออาเรนดิลผู้ได้รับพร ในช่วงปลายยุคที่สอง อาร์-ฟาราโซน กษัตริย์นูเมนอร์ คิดเหิมเกริมด้วยถูกยุยงจากเซารอน หมายจะไปชิงความเป็นอมตะจากปวงเทพ จึงยกทัพเรือไปจะตีอามัน จากเหตุการณ์นี้องค์อิลูวาทาร์จึงบันดาลให้มหาสมุทรใหญ่เกิดหุบเหวลึก ดูดเอาเกาะนูเมนอร์จมสมุทร แล้วย้ายอามันออกไปจากพิภพอาร์ดา บันดาลให้โลกกลม ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดสามารถเดินทางไปถึงอามันได้อีกเลย นอกจากผู้ได้รับอนุญาติจากเหล่าเอลฟ์ เช่น บิลโบ และ โฟรโด ซึ่งเป็นผู้ถือแหวน ที่สามารถไปถึงได้โดยผ่านทาง เส้นทางมุ่งตรง เท่านั้น เพื่อไปใช้ชีวิตเป็นอมตะกับ ชาวอมตะที่เหลือ.

ใหม่!!: เซารอนและอามัน · ดูเพิ่มเติม »

อาร์ดา

อาร์ดา (Arda) เป็นชื่อดินแดนในจินตนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ ซึ่งใช้ในความหมายแทนโลกของเราทั้งหมด อาร์ดาประกอบด้วยทวีปใหญ่ๆ ที่สำคัญคือ มิดเดิลเอิร์ธ อามัน และ กาฬทวีป มีมหาสมุทรหลายแห่ง ที่สำคัญคือ มหาสาคร (The Great Sea) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า เบเลกายร์ ในทะเลเบเลกายร์นี้เคยมีเกาะนูเมนอร์ ซึ่งล่มจมสมุทรไปตั้งแต่ยุคที่สองของอาร์ดา ดินแดนส่วนอื่นๆ ในอาร์ดามิได้ถูกเอ่ยถึง ตามปกรณัมของโทลคีน อาร์ดาเป็นส่วนหนึ่งของ เออา (Ea) คือจักรวาลแห่งพิภพที่มหาเทพอิลูวาทาร์สร้างขึ้นในสุญญภูมิ ด้วยการบรรเลงบทเพลงมหาคีตา ซึ่งมีจิตวิญญาณแรกเริ่ม (หรือไอนัวร์) ช่วยในการสร้างด้วย การสร้างครั้งนั้นเรียกว่า มหาคีตาแห่งไอนัวร์ เมื่อเออาถือกำเนิดขึ้น ไอนัวร์บางส่วนได้ลงมาอยู่ในโลกนี้เพื่อปกปักรักษาและตระเตรียมสถานที่ไว้ให้พร้อมสำหรับบุตรแห่งอิลูวาทาร์ ไอนัวร์ที่ลงมายังอาร์ดา พวกที่มีพลังอำนาจสูง เรียกว่า วาลาร์ ส่วนพวกที่มีฤทธิ์น้อยกว่า เรียกว่า ไมอาร์ ไอนัวร์เหล่านี้บางครั้งเรียกรวมๆ กันว่า ปวงเทพ โลกอาร์ดาแต่ดั้งเดิมเมื่อเริ่มสร้างนั้นเป็นแผ่นดินแบนๆ ที่ล้อมรอบด้วยทะเลวัฏฏะ (Encircling Sea) มีชื่อเรียกว่า เอคไคอา (Ekkaia) ข้างใต้เป็นโถงถ้ำมากมาย ข้างบนเป็นเขตห้วงเวหามีชื่อว่า อิลเมน แผ่นดินดั้งเดิมเป็นทวีปเดี่ยวตั้งอยู่ตรงกลาง มีทะเลสาบอยู่ใจกลางทวีป และมีเกาะอยู่กลางทะเลสาบนั้น ชื่อว่า เกาะอัลมาเรน เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าวาลาร์และไมอาร์ เมื่อเกิดสงครามระหว่างปวงเทพขึ้น ทำให้แผ่นดินเกิดวินาศวอดวาย แตกเป็นทวีปต่างๆ พวกวาลาร์และไมอาร์จึงย้ายถิ่นฐานไปอาศัยอยู่บนทวีปอามัน ซึ่งอยู่ทางสุดตะวันตกของอาร์ดา ส่วนทวีปมิดเดิลเอิร์ธที่อยู่บริเวณกึ่งกลางอาร์ดา ได้กลายเป็นถิ่นฐานที่อาศัยของบรรดาบุตรแห่งอิลูวาทาร์ คือพวกเอลฟ์ และมนุษย์ มีมหาสาครหรือเบเลกายร์ กั้นกลางระหว่างสองทวีปนี้ ในช่วงปลายยุคที่สอง เมื่อมนุษย์ชาวนูเมนอร์เหิมเกริมจะบุกรุกทวีปอามันเพื่อช่วงชิงความเป็นอมตะ ปวงเทพจึงจมเกาะนูเมนอร์เสีย และย้ายทวีปอามันออกไปเสียจากโลก บันดาลให้โลกกลายเป็นโลกกลม แม้แล่นเรือไปทางตะวันตกจนสุดหล้า ก็จะหวนกลับมายังจุดตั้งต้นได้อีกครั้ง การจะไปถึงทวีปอามันได้ต้องเดินทางผ่านเส้นทางมุ่งตรง ซึ่งจะไปได้โดยพวกเอลฟ์เท่านั้น.

ใหม่!!: เซารอนและอาร์ดา · ดูเพิ่มเติม »

อาร์นอร์

ในปกรณัมชุด มิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน อาร์นอร์ (Arnor) หรือ อาณาจักรเหนือ เป็นอาณาจักรของมนุษย์ชาวดูเนไดน์ ในดินแดนแห่ง เอเรียดอร์ ในมิดเดิลเอิร์ธ ชื่อดังกล่าวน่าจะแปลว่า "ดินแดนแห่งกษัตริย์" มาจากภาษาซินดารินว่า อารา (Ara-) (แปลว่า สูงส่ง, เกี่ยวกับกษัตริย์) + (น)ดอร์ ((n) dor) (แปลว่า ดินแดน) ปรากฏอยู่ในนิยายทั้ง ซิลมาริลลิออน และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในช่วงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น อาณาจักรอาร์นอร์แผ่กว้างไกลครอบคลุมดินแดนเกือบทั้งหมดของเอเรียดอร์ ตั้งแต่แม่น้ำบรุยเนน กวาโธล ไปจนถึงแม่น้ำลูห์น รวมทั้งดินแดนซึ่งต่อมารู้จักในนามว่า ไชร์ ด้วย ประชากรของอาร์นอร์ประกอบด้วยชาวดูเนไดน์ในดินแดนตะวันตกตอนกลางของอาณาจักร และชาวพื้นเมืองหรือลูกครึ่ง (รวมทั้งพวกต่อต้าน).

ใหม่!!: เซารอนและอาร์นอร์ · ดูเพิ่มเติม »

อาวเล

อาวเล (Aulë) เป็นตัวละครตัวหนึ่งในปกรณัมของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏในงานเขียนเรื่อง ซิลมาริลลิออน โดยเป็นหนึ่งในเทพวาลาร์ ทรงเป็นเทพแห่งการช่าง เป็นผู้ลงแรงสร้างพิภพมากที่สุดองค์หนึ่ง และมีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์เสมอด้วยหรืออาจสูงกว่าเมลคอร์เสียอีก เทพอาวเลเป็นผู้สร้างเผ่าพันธุ์คนแคระ และทรงเป็นอาจารย์ของเอลฟ์ชาวโนลดอร์ สองเผ่าพันธุ์นี้จึงสมัครรักใคร่กันดีในยุคแรกๆ ก่อนจะเกิดเหตุวิวาทกันด้วยสงครามชิงซิลมาริล เทพอาวเลทรงสร้างผลงานกระเดื่องหลายชิ้น เช่น ตรวนอังไกนอร์ ที่ใช้ล่ามจอมมารมอร์กอธ, มหาชวาลา อิลลูอิน กับ ออร์มัล ที่ส่องแสงสว่างให้แก่โลกก่อนแสงชนิดใดๆ ทั้งสิ้น, รวมทั้งนาวาแห่งดวงตะวันและเกาะแห่งจันทรา ที่ประดิษฐานแสงสุดท้ายของทวิพฤกษา กลายเป็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ส่องแสงให้แก่พิภพ เทพอาวเลอภิเษกกับเทพียาวันนา เทพีผู้ครองความอุดมสมบูรณ์ ผู้ดูแลพืชพรรณและสรรพสิ่งที่เจริญเติบโต การที่อาวเลสร้างคนแคระทำให้ยาวันนาไม่ค่อยพอใจ เพราะคนแคระนิยมใช้ขวานและชอบตัดต้นไม้ พระนางจึงไปทูลขอมานเวเทพบดี ให้ป่าไม้มีผู้คอยพิทักษ์รักษา เป็นกำเนิดของเหล่าพฤกษบาล หรือพวกเอนท์ หมวดหมู่:ตัวละครในซิลมาริลลิออน หมวดหมู่:ไอนัวร์ ja:ヴァラ#アウレ la:Ainur#Valar pl:Valar#Aulë sv:Valar (Tolkien)#Aulë.

ใหม่!!: เซารอนและอาวเล · ดูเพิ่มเติม »

อิซิลดูร์

อิซิลดูร์ (Isildur) เป็นตัวละครตัวหนึ่งในปกรณัมชุด มิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏในหนังสือเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซิลมาริลลิออน และ Unfinished Tales ชื่อ 'อิซิลดูร์' หมายถึง 'ผู้รักใคร่ในดวงจันทร์' ใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ อิซิลดูร์ถูกเอ่ยถึงในฐานะชาวดูเนไดน์แห่งนูเมนอร์ โอรสของกษัตริย์เอเลนดิล ทรงเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรอาร์นอร์และกอนดอร์ในช่วงเวลาสั้นๆ และทรงเป็นบรรพชนของอารากอร์น เอเลสซาร์ เรื่องราวโดยละเอียดของเขาจะปรากฏอยู่ใน ซิลมาริลลิออน และ Unfinished Tales มากกว.

ใหม่!!: เซารอนและอิซิลดูร์ · ดูเพิ่มเติม »

อคัลลาเบธ

อคัลลาเบธ (Akallabêth) เป็นเนื้อหาส่วนที่สี่ในหนังสือเรื่อง ซิลมาริลลิออน งานประพันธ์ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ใน ปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์การล่มสลายของเกาะนูเมนอร์ในยุคที่สองของอาร์ดา ซึ่งเป็นอาณาจักรของมนุษย์ชาวเอไดน์ที่ได้รับเป็นของขวัญจากเทพวาลาร์ คำว่า อคัลลาเบธ เป็นคำในภาษาอดูนาอิก มีความหมายว่า การล่มสลาย (The Downfallen) ภาษาเควนยาเรียกว่า อทาลันเท (Atalantë).

ใหม่!!: เซารอนและอคัลลาเบธ · ดูเพิ่มเติม »

อนาริออน

อนาริออน (Anárion) เป็นตัวละครตัวหนึ่งในปกรณัมชุด มิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏในหนังสือเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซิลมาริลลิออน และ Unfinished Tales ชื่อของเขามีรากศัพท์มาจากคำภาษาเควนยา อนาร์ (Anar) ซึ่งหมายถึง 'ดวงอาทิตย์' อนาริออนเป็นโอรสองค์ที่สองของเอเลนดิล และเป็นน้องชายของอิซิลดูร์ พวกเขาทั้งสามคนพ่อลูกเป็นผู้นำกลุ่ม ผู้ศรัทธา หรือ Elendili ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวนูเมนอร์ผู้ภักดีต่อปวงวาลาร์ใช้เรียกขานตัวเอง ในยุคสมัยที่ อาร์-ฟาราโซน กษัตริย์นูเมนอร์ คิดเหิมเกริมท้าอำนาจของปวงเทพ เนื่องจากความยโสอวดดีและหลงเชื่อในคำยุยงของเซารอน อนาริออนได้หนีออกจากเกาะนูเมนอร์พร้อมกับพ่อและพี่ชายได้ทันในคราวล่มเกาะ เขาขึ้นฝั่งมิดเดิลเอิร์ธในทางตอนใต้พร้อมกับพี่ชาย และได้ร่วมกันก่อตั้งอาณาจักรกอนดอร์ขึ้น ขณะที่เอเลนดิล บิดาของพวกเขาขึ้นฝั่งทางเหนือ และก่อตั้งอาณาจักรอาร์นอร์ ใกล้กับอาณาจักรลินดอนของกิลกาลัดสหายเก่า อนาริออนและอิซิลดูร์ได้ร่วมกันพัฒนาอาณาจักรกอนดอร์ให้ยิ่งใหญ่ ทั้งสองสร้างหอคอยมินัสอะนอร์ และ มินัสอิธิล รวมถึงสะพานใหญ่ข้ามอันดูอินและนครออสกิเลียธ โดยที่ออสกิเลียธมีความหมายถึงดวงดาว ซึ่งเป็นความหมายของชื่อ 'เอเลนดิล' มินัสอะนอร์กับแคว้นอนอริเอนตั้งชื่อตาม 'อนาริออน' ขณะที่ มินัสอิธิลกับแคว้นอิธิลิเอนตั้งชื่อตาม 'อิซิลดูร์' เมื่อเซารอนหวนคืนมามิดเดิลเอิร์ธ ก็ยกทัพมาโจมตีกอนดอร์และยึดมินัสอิธิลไปได้ อิซิลดูร์หนีขึ้นเหนือไปขอความช่วยเหลือจากเอเลนดิล ขณะที่อนาริออนเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาเมืองออสกิเลียธและอาณาจักรกอนดอร์ไว้ ทำให้เซารอนต้องถอยไปตั้งหลักอยู่หลังแนวขุนเขา จนกระทั่งทัพใหญ่ของเอเลนดิลยกมาถึง พวกเขาทั้งสามได้เข้าร่วมในกองทัพพันธมิตรครั้งสุดท้ายของเอลฟ์และมนุษย์ อนาริออนได้เข้ารบในสมรภูมิทุ่งดาร์กอลัด และสงครามการปิดล้อมบารัด-ดูร์ แต่แล้วก็เสียชีวิตในระหว่างการปิดล้อมครั้งนั้นในปีที่ 3340 ของยุคที่สอง อนาริออนมีบุตรสี่คน บุตรคนที่สี่คือ เมเนลดิล ได้เป็นกษัตริย์องค์ที่สามแห่งกอนดอร์ ไม่มีข้อมูลอื่นกล่าวถึงบุตรสามคนก่อนหน้านั้น เมื่อสิ้นสุดยุคที่สอง อิซิลดูร์แต่งตั้งให้เมเนลดิลเป็นเจ้าผู้ครองกอนดอร์ ส่วนตัวพระองค์กับโอรสทั้งสามเดินทางขึ้นเหนือเพื่อไปครองอาณาจักรอาร์นอร์ต่อจากบิดา ซึ่งอิซิลดูร์เสียชีวิตในระหว่างการเดินทางคราวนั้นที่ทุ่งแกลดเดน สายวงศ์ของอนาริออนกับอิซิลดูร์ได้ร่วมเป็นสายเดียวกัน เมื่อทายาทคนหนึ่งในวงศ์อนาริออน คือเจ้าหญิงฟีริเอลแห่งกอนดอร์ ได้วิวาห์กับทายาทวงศ์อิซิลดูร์ คือเจ้าชายอาร์เวดุย แห่งอาร์เธไดน์ ซึ่งสืบสายโลหิตต่อมาจนถึงอารากอร์นที่ 2 ทำให้อารากอร์นมีศักดิ์และสิทธิ์ในการปกครองอาณาจักรทั้งสองรวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน.

ใหม่!!: เซารอนและอนาริออน · ดูเพิ่มเติม »

ฮอบบิท (หนังสือ)

อะฮอบบิท (ชื่อภาษาอังกฤษ "The Hobbit" หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "There and Back Again") เป็นนิยายแฟนตาซีสำหรับเด็ก ประพันธ์โดยเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ในลักษณะกึ่งเทพนิยาย โทลคีนเขียนเรื่องนี้ในราวช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 โดยเริ่มแรกเขาเพียงใช้เล่าเป็นนิทานสนุกๆ ให้ลูกฟัง กับใช้เล่นคำในภาษาต่างๆ ที่เขาสนใจ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเก่า นิยายเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 21 กันยายน..

ใหม่!!: เซารอนและฮอบบิท (หนังสือ) · ดูเพิ่มเติม »

ทวิพฤกษาแห่งวาลินอร์

"''Creation of the Two Trees''" ในปกรณัมของ เจ.อาร์.อาร์. โทลคีน ทวิพฤกษาแห่งวาลินอร์ (Two Trees of Valinor) เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยเทพียาวันนา ได้แก่ เทลเพริออน (Telperion) และ เลาเรลิน (Laurelin) อันเป็นพฤกษาเงินและทองซึ่งนำแสงสว่างมาสู่ดินแดนของ วาลาร์ ในโบราณกาล พวกมันถูกทำลายโดย เมลคอร์ และ อุงโกเลียนท์ แต่วาลาร์นำดอกไม้และผลสุดท้ายของพวกมันไปสร้างเป็น ดวงจันทร์ และ ดวงอาทิต.

ใหม่!!: เซารอนและทวิพฤกษาแห่งวาลินอร์ · ดูเพิ่มเติม »

ดาบนาร์ซิล

นาร์ซิล (Narsil) เป็นอาวุธสำคัญซึ่งปรากฏในนวนิยายเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ในฐานะเป็นดาบของกษัตริย์เอเลนดิล ซึ่งสืบทอดต่อมาถึงอารากอร์น ดาบนี้ถูกทำลายแตกเป็นเสี่ยงๆ ในสงครามระหว่างทัพพันธมิตรครั้งสุดท้ายกับทัพของเซารอนในตอนปลายยุคที่สอง ภายหลังดาบนี้ถูกตีขึ้นมาใหม่มีชื่อว่า อันดูริล (Anduril) ปรากฏในนิยายเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซิลมาริลลิออน และ Unfinished Tales.

ใหม่!!: เซารอนและดาบนาร์ซิล · ดูเพิ่มเติม »

คทา

thumb คทา (แบบบริติช: Sceptre, แบบอเมริกัน: Scepter) คือกระบองที่ทำมาจากไม้หรือโลหะ เช่น เงิน หรือ ทอง มักประดับประดาด้วยเพชรพลอย มีลักษณะสั้นบ้างยาวบ้างแล้วแต่การออกแบบและใช้งาน มีที่มาจากกระบองที่ใช้เป็นอาวุธในสงคราม จากตำนานเทพปกรณัมของกรีก แต่เดิมคทาเป็นของเทพอพอลโล คทาถูกใช้โดยกษัตริย์มาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ในยุคกลางคทาถูกใช้โดยกษัตริย์สื่อถึงอำนาจ เป็นหนึ่งในเครื่องทรงอันประกอบด้วย มงกุฎ คทา กระบี่ สายสะพาย เหรียญตรา เสื้อคลุมหรือผ้าคลุมนิยมปักเป็นลวดลาย คทาเป็นเครื่อประดับยศของทหารยศจอมพลด้วย และบางครั้งก็ถูกใช้โดยนักบว.

ใหม่!!: เซารอนและคทา · ดูเพิ่มเติม »

ค้างคาว

้างคาว จัดอยู่ในชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีลำตัวขนาดเล็กมีปีกบินได้ ค้างคาวเป็นอันดับใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยมีค้างคาวกว่า 1,100 สปีชีส์ หมายความว่า กว่า 20% ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นค้างคาว.

ใหม่!!: เซารอนและค้างคาว · ดูเพิ่มเติม »

ตำนานแห่งซิลมาริล

ตำนานแห่งซิลมาริล (The Silmarillion) เป็นนิยายจินตนิมิต แต่งโดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน (ผู้แต่งเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์) เริ่มประพันธ์โครงเรื่องตั้งแต่ปี..

ใหม่!!: เซารอนและตำนานแห่งซิลมาริล · ดูเพิ่มเติม »

ซิลมาริล

ในตำนานที่เขียนโดย เจ.อาร์.อาร์. โทลคีน ซิลมาริล (Silmaril) (มาจากภาษาเควนยา ว่า ซิลมาริลลิ) เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในจินตนิยาย ประกอบด้วยอัญมณีสามชิ้นที่สุกสว่างดังดวงดาว ภายในบรรจุแสงอันบริสุทธิ์ของ ทวิพฤกษา ซิลมาริลทำมาจากวัสดุใสดังผลึกคริสตัลที่เรียกว่า ซิลิมา ประดิษฐ์โดย เฟอานอร์ เอลฟ์ชาวโนลดอร์ ในวาลินอร์ ในช่วงยุคแห่งพฤกษา งานเขียนชุด ซิลมาริลลิออน ของโทลคีน มีหัวใจหลักของเรื่องเกี่ยวข้องกับดวงมณีซิลมาริลนี้เอง ว่าด้วยเรื่องราวของผู้สร้าง การถูกช่วงชิง และการแก้แค้น ตลอดจนชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับผู้คนที่เกี่ยวข้องทั้งหม.

ใหม่!!: เซารอนและซิลมาริล · ดูเพิ่มเติม »

นูเมนอร์

นูเมนอร์ (Númenor) เป็นชื่อเกาะแห่งหนึ่งในโลกจินตนาการของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ชุด เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เป็นแผ่นดินที่แยกต่างหากออกมาจาก มิดเดิลเอิร์ธ มีแนวคิดในการประพันธ์มาจากแผ่นดินจมสมุทรแอตแลนติส ชื่อนูเมนอร์มาจากภาษาเควนยา ว่า Númenórë ซึ่งมีความหมายว่า แผ่นดินตะวันตก โทลคีนเขียนไว้ว่า เมื่อแปลงจากคำภาษาเควนยาเป็นภาษานูเมนอเรียน ชื่อนี้ออกเสียงเป็น อนาดูเน (Anadûnê).

ใหม่!!: เซารอนและนูเมนอร์ · ดูเพิ่มเติม »

แหวนแห่งอำนาจ

333px แหวนแห่งอำนาจ เป็นแหวนในจินตนาการของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ในนิยายชุด เดอะลอร์ดออฟเดอะริง.

ใหม่!!: เซารอนและแหวนแห่งอำนาจ · ดูเพิ่มเติม »

แหวนแห่งเอลฟ์

แหวนแห่งเอลฟ์ หรือ ไตรธำมรงค์ เป็นสิ่งประดิษฐ์วิเศษในตำนานชุด เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ งานประพันธ์ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เป็นแหวนที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในบรรดาแหวนแห่งอำนาจ เป็นรองแต่เพียง เอกธำมรงค์ เท่านั้น แหวนแห่งเอลฟ์ทั้งสามสร้างขึ้นในยุคที่สองของอาร์ดา โดย เคเลบริมบอร์ ผู้เป็นหลานของ เฟอานอร์ โดยที่เซารอนไม่ได้มีส่วนในการสร้างด้วย ดังนั้นแหวนเอกจึงไม่สามารถมีอิทธิพลบังคับบัญชาผู้สวมแหวนเอลฟ์ได้ อย่างไรก็ดี เคเลบริมบอร์สร้างแหวนทั้งสามขึ้นโดยอาศัยความรู้จาก 'อันนาทาร์' ซึ่งเป็นร่างแปลงของเซารอน ดังนั้นแหวนแห่งเอลฟ์จึงพันผูกอยู่กับแหวนเอกอยู่ในแง่หนึ่ง เมื่อแหวนเอกถูกทำลาย อำนาจอันวิเศษของแหวนแห่งเอลฟ์ก็สูญสลายไปด้วย แหวนแห่งเอลฟ์ถูกสร้างขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายในการธำรงรักษา อันเป็นธรรมชาตินิสัยของเหล่าเอลฟ์ ดังนั้นแหวนทั้งสามจึงมีคุณสมบัติในการชะลอความร่วงโรย ทำให้สรรพสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ มีแต่ความสดชื่นเยาว์วัย แหวนแห่งเอลฟ์ถูกนำออกไปจากมิดเดิลเอิร์ธในตอนปลายยุคที่สาม พร้อมกับผู้ถือแหวนที่เดินทางออกจากเกรย์เฮเวนส์ กลับไปสู่แผ่นดินอมต.

ใหม่!!: เซารอนและแหวนแห่งเอลฟ์ · ดูเพิ่มเติม »

โฟรโด แบ๊กกิ้นส์

ฟรโด แบ๊กกิ้นส์ (Frodo Baggins) เป็นตัวละครในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน และเป็นตัวละครเอกในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เขาถูกกล่าวถึงครั้งแรกในนิยาย ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตอน มหันตภัยแห่งแหวน โดยเป็น ฮอบบิทจากไชร์ในฐานะหลานและทายาทของบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ โฟรโดได้รับสืบทอดแหวนเอกธำมรงค์จากบิลโบลุงของเขา และได้รับมอบหมายภารกิจในการนำแหวนเอกนี้ไปทำลายยังเขาเมาท์ดูมในดินแดนมอร์ดอร์ นอกจากนี้เขายังปรากฏในงานชิ้นอื่นของโทลคีนอีกอาทิ ตำนานแห่งซิลมาริล และ Unfinished Tales.

ใหม่!!: เซารอนและโฟรโด แบ๊กกิ้นส์ · ดูเพิ่มเติม »

ไมอา

มอาร์ (Maiar) เป็นชื่อเรียกดวงจิตชั้นรอง ซึ่งเป็นหนึ่งในเหล่า ไอนัวร์ (Ainur) ตัวละครในจินตนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน มีกล่าวถึงอยู่มากในตำนานเรื่องซิลมาริลลิออน ชนเผ่าไอนัวร์เป็นชนเผ่าที่ถือกำเนิดมาจากพระเจ้าสูงสุดในโลกอาร์ดา คือมหาเทพอิลูวาทาร์ เป็นพวกที่ช่วยมหาเทพสร้างพิภพต่างๆ และตระเตรียมสถานที่ให้พร้อมสำหรับเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ กล่าวคือเป็นผู้ช่วยสร้างโลกอาร์ดานั่นเอง ชาวมนุษย์มักเรียกเหล่าไอนัวร์ว่า "เทพ" เทพไมอาร์เข้ามายังโลกอาร์ดาก็เพื่อช่วยเหล่าวาลาร์ในการสร้างโลกนั่นเอง รูปคำ ไมอาร์ (Maiar) เป็นพหูพจน์ คำเอกพจน์คือ ไมอา (Maia).

ใหม่!!: เซารอนและไมอา · ดูเพิ่มเติม »

ไอนัวร์

อนัวร์ (Ainur) เป็นคำภาษาเควนยาสำหรับเรียกเหล่าชนผู้ศักดิ์สิทธิ์ในจินตนิยายเรื่อง ซิลมาริลลิออน ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ตามตำนานว่า พวกเขาถือกำเนิดจากมหาเทพอิลูวาทาร์ ซึ่งเป็นพระเจ้าสูงสุดผู้สร้างโลก เหล่าไอนัวร์ได้ช่วยอิลูวาทาร์สร้างโลก มีรายละเอียดแสดงอยู่ในตำนานไอนูลินดาเล (Ainulindale) ซึ่งหมายถึง มหาคีตาแห่งไอนัวร์ เมื่อสร้างโลกอาร์ดาเสร็จ เทพไอนัวร์จำนวนหนึ่งได้เดินทางเข้ามาในโลก เพื่อดูแลและจัดการสถานที่ให้พร้อมสำหรับเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ เทพเหล่านี้มีพลังอำนาจไม่เท่ากัน กลุ่มที่มีอำนาจมากเรียกว่า วาลาร์ กลุ่มที่มีอำนาจน้อยกว่า เรียกว่า ไมอาร์ คำว่า ไอนัวร์ (Ainur) เป็นรูปพหูพจน์ รูปเอกพจน์เรียกว่า ไอนู (Ainu).

ใหม่!!: เซารอนและไอนัวร์ · ดูเพิ่มเติม »

เบเรน

รน (Beren) เป็นชื่อตัวละครตัวหนึ่งในปกรณัมชุด มิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏในตำนานชุด ซิลมาริลลิออน ชื่ออื่นๆ ของเขาคือ เบเรน แอร์ฅามิออน (Beren Archamion) หมายถึง 'เบเรนผู้มีมือเดียว' บ้างก็เรียกว่า เบเรน คัมลอสต์ (Beren Camlost) หมายถึง 'เบเรน คนมือเปล่า' เบเรนเป็นมนุษย์ในยุคบรรพกาล หรือยุคที่หนึ่งของโลกอาร์ดา เป็นบุตรของบาราเฮียร์ ชนตระกูลเบออร์ เขามีชื่อเสียงอยู่ในประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธสองสถานะ หนึ่งคือเป็นผู้เข้าไปช่วงชิงดวงมณีซิลมาริลมาจากมงกุฎของมอร์กอธได้โดยลำพัง ด้วยความช่วยเหลือจากลูธิเอนเท่านั้น และสองคือเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้วิวาห์กับชนเผ่าเอลฟ์ เป็นการวิวาห์ข้ามเผ่าพันธุ์ ระหว่างบุตรทั้งสองของอิลูวาทาร์เป็นครั้งแรก.

ใหม่!!: เซารอนและเบเรน · ดูเพิ่มเติม »

เบเลริอันด์

แผ่นดินเบเลริอันด์ เบเลริอันด์ (Beleriand) เป็นชื่อดินแดนแห่งหนึ่งในโลกจินตนาการ มิดเดิลเอิร์ธ งานประพันธ์ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินมิดเดิลเอิร์ธ ทางฟากตะวันตกของเทือกเขาเอเร็ดลูอิน (หรือเทือกเขาสีน้ำเงิน ด้านตะวันตกของแคว้นไชร์ ใน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์) ติดกับมหาสาคร หรือเบเลกายร์ ปรากฏเป็นฉากหลังสำคัญอยู่ในเรื่อง ซิลมาริลลิออน งานเขียนอื่นๆ ของโทลคีนที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินเบเลริอันด์ ได้แก่ The Lays of Beleriand, ตำนานบุตรแห่งฮูริน (The Children of Hurin), The Book of Lost Tales และอื่นๆ ในหนังสือชุด ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ อาณาเขตเบเลริอันด์ ด้านตะวันตกจรดทะเลเบเลกายร์ ด้านตะวันออกจรดเทือกเขาเอเร็ดลูอิน ทิศเหนือจรดทุ่งอาร์ด-กาเลน ทิศใต้แผ่ไปถึงผืนป่าเทาร์-อิม-ดุยนัธ มีแม่น้ำสายหลักอยู่สองสาย ได้แก่แม่น้ำซิริออน กับแม่น้ำเกลิออน แม่น้ำซิริออนเป็นแม่น้ำใหญ่กว่า ไหลผ่านกึ่งกลางแผ่นดินเบเลริอันด์ แบ่งพื้นดินออกเป็นเบเลริอันด์ตะวันออก และเบเลริอันด์ตะวันตก ส่วนแม่น้ำเกลิออนแม้จะแคบกว่า แต่ยาวกว่า ไหลผ่านเบเลริอันด์ตะวันออกเลียบไปกับแนวเทือกเขาเอเร็ดลูอิน ฟากตะวันออกของเกลิออนเป็นแผ่นดินที่เรียกว่า ออสซิริอันด์ มีแควสาขาอีกหกสายไหลจากเอเร็ดลูอินลงมาบรรจบกับเกลิออน ดังนั้นบางครั้งก็เรียกดินแดนนี้ว่า 'แผ่นดินแห่งแม่น้ำทั้งเจ็ด' หรือ 'ดินแดนสัตตนที' แผ่นดินเบเลริอันด์ถึงคราววิบัติจนล่มจมลงสู่ใต้มหาสมุทร เมื่อครั้งสงครามแห่งความโกรธา อันเป็นสงครามเทพ ระหว่างทัพของวาลาร์ กับมอร์กอธ เป็นอันสิ้นสุดยุคที่หนึ่ง คงเหลือแต่เพียงแผ่นดินซึ่งเป็นที่ตั้งหลุมศพของมอร์เวน ทูริน และนิเอนอร์ ที่ยังโผล่พ้นมหาสมุทรอยู่ เรียกว่า 'โทลมอร์เวน'.

ใหม่!!: เซารอนและเบเลริอันด์ · ดูเพิ่มเติม »

เมิร์ควู้ด

มิร์ควู้ด (Mirkwood) เป็นชื่อดินแดนแห่งหนึ่งของพวกเอลฟ์ ในจินตนิยายเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เมิร์ควู้ดเป็นป่าขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำอันดูอิน แต่เดิมมีชื่อเรียกว่า ป่าใหญ่กรีนวู้ด (Greenwood The Great) กินอาณาเขตกว้างไกลในดินแดนโรห์วานิออน ในยุคที่สาม เอลฟ์กลุ่มที่มาอาศัยอยู่ในเมิร์ควู้ดนี้ ส่วนใหญ่เป็นชาวซิลวัน และมีชาวซินดาร์เป็นบางส่วน ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ธรันดูอิล สภาพทั่วไปของป่า มีต้นไม้โบราณเก่าแก่และสูงใหญ่เป็นจำนวนมาก กิ่งก้านสาขาของแต่ละต้นแผ่ปกคลุมไปทั่ว จนแสงอาทิตย์สามารถผ่านเข้ามาได้เพียงน้อยนิด ในช่วงยุคที่สาม เซารอนกลับมาอย่างลับๆ และหลบซ่อนอยู่ในป่าเมิร์ควู้ด ได้สร้างหอคอยที่เรียกว่า โดลกุลดัวร์ (Dol Guldur) นับจากนั้นความมืดก็เข้าปกคลุมเมิร์ควู้ดแม้แต่ในเวลากลางวัน เหล่าปีศาจร้ายได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่อาศัยเพื่อซ่อนตัวซึ่งรวมไปถึง แมงมุมยักษ์ (Great Spiders) ซึ่งเป็นลูกหลานของ ชีล็อบ ในหนังสือเรื่อง เดอะฮอบบิท บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ เคยเดินทางผ่านป่าแห่งนี้ และได้เข้าเฝ้า "กษัตริย์พราย" ซึ่งก็คือ ธรันดูอิลนั่นเอง จากเหตุการณ์ที่บิลโบได้เข้าเฝ้าคราวนี้ทำให้เราทราบว่า ธรันดูอิลมีผมสีทอง นอกจากนี้ในเมิร์ควู้ด เมื่อครั้งที่กอลลัมเดินทางผ่านป่าเพื่อตามหาแหวน กับบิลโบ แต่ถูก อารากอร์นพบเข้าและจับตัวได้ จึงนำเขามาขังเขาไว้ที่นี่ภายใต้การดูแลของพวกเอลฟ์แห่งเมิร์ควู้ด แต่เหล่าสมุนเซารอนสืบทราบและตามมาชิงตัว ระหว่างการต่อสู้ของพวกออร์คและพวกเอลฟ์ กอลลัมหนีไปได้ เลโกลัสจึงไปส่งข่าวการหนีไปของกอลลัม ในที่ประชุมของ เอลรอนด์ และเลโกลัสเจ้าชายแห่งป่าเมิร์ควู้ด ก็ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก คณะพันธมิตรแห่งแหวน ต่อมาภายหลัง เอลฟ์จากลอธลอริเอน ได้เข้ามาโจมตีและทำลาย ปราการแห่งโดลกุลดัวร์ จากนั้นเมิร์ควู้ดจึงได้กลับคืนสู่สภาพเดิม ปราศจากเงามืดและความชั่วร้.

ใหม่!!: เซารอนและเมิร์ควู้ด · ดูเพิ่มเติม »

เอกธำมรงค์

แหวนเอกธำมรงค์ (The One Ring) หรือชื่ออื่นๆ ว่า แหวนเอก แหวนประมุข แหวนแห่งอำนาจ หรือ ยมทูตแห่งอิซิลดูร์ เป็นแหวนวิเศษในจินตนาการจากนิยายไตรภาค เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ซึ่งเป็นนิยายที่เล่าเรื่องราวของภารกิจการทำลายแหวนวิเศษวงนี้ ผู้สร้างแหวนนี้คือ เซารอน ผู้เป็นจอมมาร สร้างขึ้นในยุคที่สอง โดยใส่พลังของตัวเองลงไปด้วย แหวนจะคอยทดสอบจิตใจทุกคนที่มันเห็น ผู้ที่ชนะใจตัวเองไม่ได้แหวนจะนำไปสู่ความตาย และทำให้คนดีอ่อนแอ แต่หากเป็นกลางจะเปลี่ยนเป็นปีศาจชั่วคราวแล้วกลับเป็นปกติก็จะมีอำนาจต้านแหวนได้ เนื่องจากเป็นแหวนที่มีอำนาจมากที่สุดในแหวนแห่งอำนาจ หลังจากสงครามที่เซารอนพ่ายแพ้ครั้งแรก แหวนตกไปอยู่ในมือของอิซิลดูร์, กอลลัม, บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ก่อนที่โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ผู้ถือแหวนคนสุดท้ายจะนำแหวนไปทำลายที่ภูเขามรณะ(แต่แท้จริงๆแล้วแซมไวส์ แกมจีเป็นผู้ถือแหวนคนสุดท้ายแต่อยู่ในระยะสั้นที่สุด เพราะหลังจากที่เข้าใจผิดว่าโฟรโดถูกแมงมุมยักษ์ชีล็อบฆ่าตาย แซมได้เอาแหวนเอกไปเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของเซารอน ต่อมาเมื่อช่วยโฟรโดแล้วก็เอาแหวนเอกมาคืนให้แก่โฟรโดตามเดิม).

ใหม่!!: เซารอนและเอกธำมรงค์ · ดูเพิ่มเติม »

เอลฟ์ (มิดเดิลเอิร์ธ)

อลฟ์ (elf) ตามความหมายในจินตนิยายชุดมิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยมหาเทพอิลูวาทาร์ มีชีวิตยืนยาวเท่ากับอายุของโลก จึงเสมือนหนึ่งว่าเป็นอมตะ คำว่า 'เอลฟ์' (Elf) เป็นคำที่โทลคีนเลือกมาจากตำนานโบราณเพื่อใช้แทนคำศัพท์แท้จริงอันเป็นชื่อของชนเผ่านี้ คือ เอลดาร์ (Eldar) ซึ่งเป็นคำในภาษาเควนยา หมายถึง 'ประชากรแห่งแสงดาว'.

ใหม่!!: เซารอนและเอลฟ์ (มิดเดิลเอิร์ธ) · ดูเพิ่มเติม »

เอเรกิออน

อเรกิออน (Eregion) คือชื่ออาณาจักรเอลฟ์ในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏในหนังสือ ซิลมาริลลิออน และ Unfinished Tales ชื่อ 'เอเรกิออน' เป็นภาษาซินดาริน ซึ่งในภาษาเวสทรอนเรียกว่า ฮอลลิน (Hollin) เนื่องจากบริเวณนั้นมีต้นฮอลลี่อยู่มาก (ereg หมายถึง ต้นฮอลลี่ มีรากศัพท์จากคำว่า EREK- หมายถึงหนามแหลมคม) อาณาจักรเอเรกิออนก่อตั้งขึ้นโดยเอลฟ์ชาวโนลดอร์ หลังจากแผ่นดินเบเลริอันด์ล่มจมลงสู่ใต้สมุทรเมื่อสิ้นสุดยุคที่หนึ่ง ชาวโนลดอร์ที่หลงเหลือได้เดินทางข้ามเอเรียดอร์ และตั้งอาณาจักรแห่งนี้ขึ้นที่เชิงเทือกเขาฮิธายเกลียร์ ทางฟากตะวันตก ใกล้กับอาณาจักรมอเรียของเหล่าคนแคระ เมืองหลวงของเอเรกิออนชื่อว่า โอสต์-อิน-เอดิล (Ost-in-Edhil) ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งรัตนากร เนื่องจากเป็นแหล่งชุมนุมของช่างอัญมณีฝีมือดีของชาวโนลดอร์จำนวนมาก ในบันทึกงานประพันธ์ของโทลคีน ไม่มีส่วนใดระบุถึงกษัตริย์หรือผู้นำของชาวเอเรกิออน แต่อาจสันนิษฐานได้ว่า ผู้ปกครองเอเรกิออนน่าจะเป็น กาลาเดรียลกับเคเลบอร์น เนื่องจากกาลาเดรียลเป็นเชื้อพระวงศ์โนลดอร์ชั้นสูงเพียงคนเดียวที่เดินทางกลับมาจากอามันและยังมีชีวิตอยู่ หรือมิฉะนั้นก็อาจเป็น เคเลบริมบอร์ บุตรของคูรูฟิน หลานของเฟอานอร์ ซึ่งได้สืบทอดฝีมือช่างชั้นสูงมาจากเฟอานอร์ด้วย งานศึกษาวรรณกรรมของโทลคีนทั่วไปเชื่อว่า ผู้ปกครองเอเรกิออนคือ เคเลบริมบอร์ ในยุคที่สอง เซารอนในร่างแปลง 'อันนาทาร์' ได้เข้ามาร่วมสมาคมกับเหล่าช่างแห่งโอสต์-อิน-เอดิล และได้สอนให้พวกเขาสร้าง แหวนแห่งอำนาจ ขึ้น พวกเอลฟ์สร้างแหวนแห่งอำนาจขึ้นครั้งแรกจำนวน 16 วง หลังจากนั้นเซารอนแอบกลับไปยังมอร์ดอร์ และสร้างแหวนเอกธำมรงค์ขึ้นจากไฟใต้พิภพที่โอโรดรูอิน ระหว่างนั้น เคเลบริมบอร์ได้สร้างแหวนแห่งเอลฟ์ ขึ้นอีก 3 วง โดยที่เซารอนไม่ล่วงรู้ หลังจากเซารอนสร้างแหวนเอกสำเร็จ และสวมแหวนนั้น พวกเอลฟ์จึงได้รู้ว่าตัวตนที่แท้ของอันนาทาร์ คือใคร เคเลบริมบอร์รีบส่งแหวนเอลฟ์สามวงไปเสียให้พ้น ส่วนเซารอนก็ยกทัพออร์คมาโจมตีเอเรกิออนเพื่อแก้แค้นพวกเอลฟ.

ใหม่!!: เซารอนและเอเรกิออน · ดูเพิ่มเติม »

เอเลนดิล

อเลนดิล (Elendil) เป็นตัวละครตัวหนึ่งในปกรณัมของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏในนิยายเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซิลมาริลลิออน และ Unfinished Tales เขาเป็นบิดาของอิซิลดูร์ และ อนาริออน เป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอาร์นอร์และกอนดอร์ อาณาจักรของชาวดูเนไดน์บนมิดเดิ้ลเอิร์ธ เอเลนดิลเกิดในปีที่ 3119 ของยุคที่สอง เขาเป็นบุตรของอามันดิล เจ้าผู้ครองนครอันดูนิเอ และผู้นำเหล่า'ผู้ศรัทธา' ที่ยังมีสัมพันธไมตรีอันดีกับพวกเอลฟ์ ในยุคที่นูเมนอร์ภายใต้การปกครองของอาร์-ฟาราโซน แข็งข้อกับปวงเทพและเป็นอริกับพวกเอลฟ์ ชื่อของเอเลนดิลในภาษาเควนยา แปลได้สองความหมาย คือ 'สหายเอลฟ์' หรือ 'ผู้รักดวงดาว' เอเลนดิลกับบุตรทั้งสอง คืออิซิลดูร์และอนาริออน หนีรอดจากการล่มสลายของเกาะนูเมนอร์ แล้วมาก่อตั้งอาณาจักรมนุษย์ขึ้นใหม่บนแผ่นดินมิดเดิลเอิร์ธ พวกเขานำสมบัติทรงคุณค่าหลายอย่างติดตัวมาด้วย เช่น พาลันเทียร์ หน่ออ่อนของนิมล็อธพฤกษาขาว และสมบัติประจำราชวงศ์อีกหลายอย่างเช่น แหวนของบาราเฮียร์ เป็นต้น เอเลนดิลปกครองอาณาจักรอาร์นอร์ ตั้งเมืองหลวงอยู่ที่นครอันนูมินัส ขณะที่บุตรทั้งสองคืออิซิลดูร์และอนาริออนปกครองกอนดอร์ โดยสร้างเมืองหลวงที่ออสกิเลียธ และสร้างราชวังของแต่ละคนไว้ที่มินัสอิธิล และมินัสอะนอร์ ตามลำดับ ในช่วงปลายยุคที่สอง เอเลนดิลร่วมมือกับกิล-กาลัด จอมกษัตริย์โนลดอร์องค์สุดท้าย จัดตั้งกองทัพผสมระหว่างเอลฟ์กับมนุษย์ ทำสงครามกับเซารอน เรียกชื่อว่า สงครามแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย เซารอนได้ออกมารบด้วยตัวเอง และสังหารทั้งเอเลนดิลและกิล-กาลัดสิ้นพระชนม์ในที่รบ ดาบนาร์ซิล ของเอเลนดิล แตกออกเป็นเสี่ยงๆ อิซิลดูร์คว้าดาบหักนั้นขึ้นมา และสามารถตัดนิ้วของเซารอนที่สวมแหวนเอกธำมรงค์ ทำให้เซารอนสิ้นอำนาจและพ่ายแพ้ไปในการศึกครั้งนั้น ตราประจำพระองค์ของเอเลนดิล คือภาพนิมลอธพฤกษาขาว มีดวงดาราเจ็ดดวง อันเป็นสัญลักษณ์แทนเรือเจ็ดลำที่บรรทุกพาลันเทียร์ขณะหนีออกจากการล่มสลายของนูเมนอร์ และสามารถหนีรอดมาถึงชายฝั่งมิดเดิ้ลเอิร์ธ ด้านบนสุดมีรูปมงกุฏปีก ตราสัญลักษณ์นี้ ภายหลังได้กลายเป็นตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรกอนดอร.

ใหม่!!: เซารอนและเอเลนดิล · ดูเพิ่มเติม »

เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน

. อาร.

ใหม่!!: เซารอนและเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน · ดูเพิ่มเติม »

เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์

อะลอร์ดออฟเดอะริงส์ (The Lord of the Rings) เป็นนิยายแฟนตาซีขนาดยาว ประพันธ์โดยศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เป็นนิยายที่ต่อเนื่องกับนิยายชุดก่อนหน้านี้ของโทลคีน คือ เรื่อง There and Back Again หรือที่รู้จักกันดีอีกชื่อหนึ่งว่า เดอะฮอบบิท แต่ได้ขยายโครงเรื่องซับซ้อนไปกว่า เดอะฮอบบิท มาก โทลคีนแต่งเรื่องนี้ขึ้นในช่วงปี..

ใหม่!!: เซารอนและเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ · ดูเพิ่มเติม »

เคเลบริมบอร์

ลบริมบอร์ (Celebrimbor) เป็นตัวละครเผ่าเอลฟ์ ชาวโนลดอร์ ซึ่งปรากฏในปกรณัมของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เรื่อง ซิลมาริลลิออน และ Unfinished Tales เป็นผู้มีบทบาทในทางการช่างชั้นสูงรองลงมาจากเฟอานอร์ผู้เป็นปู่ ได้สร้างของวิเศษต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมาก.

ใหม่!!: เซารอนและเคเลบริมบอร์ · ดูเพิ่มเติม »

เปลี่ยนเส้นทางที่นี่:

Eye of Sauronอันนาทาร์ดวงตาแห่งเซารอนเนตรมารแห่งเซารอน

ขาออกขาเข้า
Hey! เราอยู่ใน Facebook ตอนนี้! »